ตอนที่ 28 สืบ 30%
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นและถูกผลักเข้ามาจากด้านนอกทำให้ผมละสายตาจากแฟ้มเอกสารขึ้นมองคนที่กำลังเดินเข้ามา
"คุณจิมเรียกผมมาพบ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ"
ผมวางมือจากงานที่ทำ เอนหลังพิงพนักโซฟามองคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด
"เชิญนั่งก่อนครับ"
ผายมือไปยังเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะสำหรับแขก หลังจากที่นายอนุชิตนั่งลงเรียบร้อยผมก็เริ่มเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม
"คุณรู้จักเด็กที่ชื่อต้าใช่มั้ย"
อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงก่อนจะตอบรับ
"ครับ ใช่น้องคนนั้นที่นั่งเล่นอยู่ด้านนอกกับพวกคุณเรหรือเปล่าครับ"
ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับ
"ผมต้องการให้คุณค้นหาที่อยู่ของเด็กคนนั้นแล้วนำมันมาให้ผม คุณทำได้หรือเปล่า"
อีกฝ่ายหน้าเหวอเล็กน้อย ด้วยคงไม่คาดคิดว่าจากหน้าที่การงานของตนจะต้องมารับทำงานอย่างนี้
"เอ่อ.. น้องชื่อจริงว่าอะไรครับ"
ผมขมวดคิ้ว
"คุณก็สืบสิครับ ผมให้เวลาคุณ 3 วัน เอาล่ะ หมดธุระของคุณแล้ว ผมจะทำงานต่อ" ผมตัดบทโดยการก้มหน้าลงจัดการกองเอกสารบนโต๊ะต่อ
"...ครับ" อีกฝ่ายตีสีหน้ายุ่งยากแต่ก็ยอมรับงานใหม่แต่โดยดี ร่างสูงค่อยๆลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
การสืบหาประวัติหรือที่อยู่ของคนๆหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก ถึงจะมีแค่รูปร่างหน้าตาเป็นข้อมูลเพียงอย่างเดียวก็ตาม...
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงนาฬิกาที่เดินติ๊กๆ
ผมนั่งอ่านเอกสารอันแล้วอันเล่า แต่ก็ยังไม่หมดเสียที ปกติงานในส่วนของผมก็มากพออยู่แล้ว ตอนนี้งานที่ผมต้องรับผิดชอบกลายเป็นคูณสอง ยิ่งมากกว่าเดิมเข้าไปอีก เรียกได้ว่า ทำงานจนไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหน เพราะว่างานในส่วนของพี่กานต์ถูกโอนมาให้ผมเป็นคนรับผิดชอบ ตอนนี้มันต้องบินไปเจรจาธุรกิจที่สิงค์โปร กว่าจะกลับก็คงประมาณอีกสองวัน
สองวันนี้คงเปรียบเสมือนนรกสำหรับผม เรื่องงานน่ะไม่เท่าไหร่ แต่อีกเรื่องสิ ค่อนข้างสาหัส
ประตูถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง โดยไม่มีการเคาะบอกกล่าวล่วงหน้า ผมเงยหน้าขึ้น กำลังจะอ้าปากเอ่ยต่อว่าคนที่เข้ามาโดยพละการ แต่ก็ต้องหุบฉับเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนทำ
มันแง้มประตูออกน้อยๆ ยื่นหน้าที่มีรอยยิ้มเห็นทั้งฟันบนและล่างเข้ามา มือสองข้างจับที่เปิดไว้ เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ต่อว่า มันก็ค่อยๆย้ายตัวเองเข้ามาในห้องทีละนิด จนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า อีกฝั่งของโต๊ะทำงาน
ผมรอให้มันพูดธุระ แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่พูดอะไร หรือจะแค่เข้ามากวนเฉยๆ?
คิดดังนั้นผมก็ผละความสนใจจากมัน ลดสายตาลงหันเหความสนใจที่ไปเอกสารในมือแทน แต่ใช่ว่าผมจะปิดการรับรู้ภายนอกไปเสียทั้งหมด เพราะการที่มีมันอยู่ใกล้ๆ ทำให้ผมไม่มีสมาธิมากพอจะทำความเข้าใจกับอ่านตัวอักษรที่ติดกันเป็นพืด และตัวเลขมากมายที่หมายถึงผลกำไร หรือขาดทุน
จากหางตาผมเห็นมันยืนหมุนซ้ายหมุนขวาราวกับทำตัวไม่ถูก ก่อนมือขาวจะยื่นมาด้านหน้าแล้วเคาะลงที่โต๊ะทำงานของผมสองก๊อก
“...จิมมม” มันลากเสียงยาว ละมือข้างที่เคาะโต๊ะค้างกลางอากาศ
ผมรู้ดีว่าการเงยหน้าขึ้นมาถามและคุยกับมันตรงๆ เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการเข้าใจจุดประสงค์ของมัน แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงยังทำนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้ บางทีอาจเป็นเพราะ ผมอยากเห็นปฏิกิริยาของมัน ว่าจะทำยังไงต่อไปมากกว่า
และก็ไม่ปล่อยให้ผมรอนาน มันวางมือลงกับโต๊ะ แล้วเอื้อมมืออีกข้างมาจับแฟ้มเอกสารหมายจะดึงไป ติดที่ว่าผมยังจับพลาสติกแข็งไว้แน่น เลยทำให้มันไม่สามารถเอาไปได้
ผมตวัดสายตามองมันอย่างดุๆ
แต่ถึงจะตีหน้านิ่งหรือทำตาดุแค่ไหน มันก็ไม่ได้มีท่าทางกลัวเลย กลับกัน มันเริ่มเรียนรู้วิธีตอบโต้.. ริมฝีปากสีเรื่อเริ่มเบะออก มือก็ยังรั้นจับแฟ้มไว้ไม่ปล่อย
“จิมม” มันเรียกชื่อผมอีกครั้งโดยไม่มีคำนำหน้าเหมือนเดิม
ถึงจะบอกตัวเองว่าไม่ควรถือสาหาความกับเด็ก แต่การเรียกแบบนี้สำหรับผมมันไม่ชินจริงๆ นอกจากเพื่อนหรือคนในครอบครัวแล้ว ปกติก็ไม่มีใครเรียกชื่อของผมห้วนๆแบบนี้ อาจเป็นเพราะตำแหน่งหน้าที่การงานที่อยู่เหนือคนอื่น จึงทำให้ชื่อของผมมีคำว่า “คุณ” นำหน้าเสมอ แม้แต่คนอื่นที่ไม่ได้ร่วมงานด้วยกัน แต่หากมีอายุน้อยกว่าเพียง 1 ปี หรืออ่อนเดือนกว่า ก็จะมีคำว่า “พี่” นำหน้าเสมอ
ยิ่งกับไอ้เด็กคนนี้ที่อ่อนกว่าทั้งวุฒิภาวะและวัยวุฒิ แล้วยิ่งมารู้ว่าความจริงแล้วมันเป็นเด็ก 9 ขวบในคราบของเด็กม.ปลาย แต่กลับเรียกชื่อห้วนๆ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
“พี่จิม” ผมพูดเสียงเรียบ แก้คำเรียกให้มันเสียใหม่
มันไม่เพียงแต่ไม่ทำตาม ปากเล็กๆกลับสวนมาทันควัน
“จิม”
“พี่จิม”
“จิม!”
“...”
“จิมมม” ผมขมวดคิ้วเริ่มรู้สึกว่าถูกเด็กกวนประสาท มันนิ่งไปสักพักก่อนจะเรียกชื่อผมไม่หยุด
“จิม จิม จิม จิม จิม จิม จิม จิม จิม จิม” เหมือนมันกำลังสนุก เพราะริมฝีปากอิ่มขยับยิ้มบางๆ นัยน์ตาใสๆคู่นั้นก็ระยิบระยับเป็นประกาย
“ดื้อ”
คำพยางค์เดียวที่จำกัดความเป็นมัน และแน่นอน ไอ้เด็กดื้อตรงหน้าก็ไม่วายเถียงกลับ
“ไม่ดื้อ” ปากยื่นปากยาว ผละตัวยืนตรงๆแล้วกอดอกแน่นด้วยท่าทางอยากจะเหนือกว่า
“จิมมมมมม”
ลองจินตนาการภาพคนอื่นที่มาเรียกชื่อผมอย่างนี้แล้วรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะตั๊นหน้ามันสักสองสามที แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองอีก ทำไมพอไอ้เด็กนี่เรียกแล้ว กลับรู้สึก ..เอ็นดู
ผมนิ่วหน้ารีบปัดความคิดประหลาดออกจากหัว กระแอมไอเป็นการใหญ่ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อมุ่งไปยังธุระของมัน
“เข้ามาทำไม?” ถามพลางขยับตัวเล็กน้อยปรับเปลี่ยนท่านั่งให้สบายขึ้น มันร้องอ้อในลำคอเบาๆ ก่อนจะหัวเราะแล้วเกาหัวแก้เก้อที่ตัวเองหลงลืมธุระสำคัญไป
“พี่เรให้มาถามว่า จิมจะออกไปกินข้าวข้างนอกเอง หรือจะฝากพี่เรซื้อ”
ผมกวาดสายตามองงานบนโต๊ะอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจ
“ฝากซื้อ”
โดยปกติแล้ว เวลาพักกลางวัน หากงานล้นมืออย่างเช่นวันนี้ ก็จะได้คุณเรคอยซื้อข้าวซื้อน้ำขึ้นมาให้
“จิมอยากกินไร”
“มึงจะซื้ออะไรก็ซื้อมาเถอะ”
มันทำหน้ามุ่ย เบะปาก ก่อนจะต่อว่าผม
“เขาอุตส่าห์พูดเพราะๆด้วย แต่ตัวเองดันพูดไม่เพราะ ไม่คุยด้วยแล้ว จิมนิสัยไม่ดี ไปหาพี่เรดีกว่า” พูดจบก็รีบวิ่งออกจากห้องไปทันที ผมมองประตูที่ค่อยๆปิดสนิทลงช้าๆ ห้องกลับมาเป็นปกติสุขไร้ความวุ่นวายอีกครั้ง
หากเปรียบช่วงชีวิตที่สงบสุขในช่วงเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา เป็นเหมือนตะกอนที่ถ่วงอยู่ก้นแก้ว... ตอนนี้น้ำแก้วนั้นคงจะขุ่นคั่กเพราะตะกอนได้ถูกกวนขึ้นจนปั่นป่วนไปหมด
แม้ว่าบรรยากาศในห้องนี้จะกลับมาเงียบสงบแล้วก็ตาม แต่ผมรู้ดี ในความเงียบสงบกำลังมีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย
หวังเพียงอย่างเดียว.. เวลา 3 วันต่อจากนี้ คงจะมากพอที่จะไม่ทำให้น้ำในแก้วขุ่นมากกว่าเดิม
.............
TALK :: รอบนี้ขออัพกระปิบกระปอยมาแบบเป็นเปอร์เซ็นต์เนอะ 55
เปอร์เซ็นถัดไป ใครที่รอพี่เตอร์ พี่เตอร์มาด้วยล่ะ -....- อดใจรออีกนิดเนอะะะะ
ขอบคุณทุกคำคอมเม้นท์มากๆค่ะ
ดีใจแทนพี่จิม ฮาาา (ปกติโดนด่าตล๊อดดด) 5555