สองสามวันที่มีทิวเข้ามาอยู่ในบ้าน กลับกลายเป็นสิ่งเดียวที่สร้างสีสันให้กับชีวิตในวันที่ไม่มีลุงหลวยของพิท เขายังไม่กลับไปทำงาน ทันทีที่มีงานซ่อมวัดทางปักษ์ใต้เข้ามา พิทจึงได้ปฏิเสธไป
“แล้วชีวิตเจ้าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” คำที่หลวงพ่อพูดยังก้องอยู่ในใจ ถึงแม้หลายวันมานี้เขาจะไม่พบเจอเหตุการณ์ประหลาดใดๆอีก แต่ก็ยังเหมือนรู้สึกว่าแววตาคู่นั้นยังคงจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา
“นี่ใจคอจะไม่ออกไปทำงานเลยเหรอ” แม่ทักเมื่อพิทเดินลงมาจากห้องเพื่อทานอาหารเช้า เขาหยุดกึก กำลังตัดสินใจจะหันหลัง
กลับเข้าห้อง
“คุณ หยุดบ่นมันสักวันเหอะ ผมขอ คุณบ่นมันจนผมเริ่มจะสงสารมันแล้ว” พ่อทำเสียงเข้ม แต่นั่นก็ทำให้หล่อนเบ้ปากและก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ
“ลงมาก่อนสิพิท วันนี้พ่อมีเรื่องจะวานหน่อย”
.......................................................
พิทขับรถมุ่งหน้าสู่สระบุรี บ้านเกิดของลุงหลวย ที่ที่ลูกชายเพียงคนเดียวของแกอยู่ พ่อเป็นคนไหว้วานให้พิทเอาเงินทำบุญทั้งหมดมาให้ เพราะติดธุระที่โรงงาน พิทจึงไม่สามารถเลี่ยงที่จะไม่ออกจากบ้านได้ ทั้งๆที่เขาได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ออกจากบ้านหากไม่จำเป็นในช่วงนี้
“พ่อพี่ดูใจดีนะ” ทิวพูด
“แต่พี่หน้าเหมือนแม่มากเลย โดยเฉพาะปาก” ทิวเว้นวรรค “ปากห้อยเหมือนกันเลย”
พิทหันขวับ
“แต่ก็ยังหล่อนา” ทิวรีบลูบหลัง
“นายไม่คิดจะเปลี่ยนชุดมั่งเหรอ เห็นใส่แต่ชุดคนป่วย” พิทเพิ่งสังเกตเห็น
“ก็ไม่มีใครทำบุญมาให้นี่นา”
“อ้าว ไหนบอกว่าไม่ใช่ผีไง ทำไมยังขอส่วนบุญ”
“โอ้ย จะไปรู้ได้ไงวะ ไม่ได้จบโทไสยศาสตร์วิทยานี่หว่า”
“อย่ามาวะกับกูนะเว้ย” พิทขึ้นเสียง
“เค้าขอโทษ” ทิวเสียงอ่อยลงทันที
“เออ ให้มันรู้มั่งว่าใครเป็นใคร” พิทเลี้ยวหัวรถเข้าห้างสรรพสินค้าชานเมืองแห่งหนึ่ง
“ไปเลือกเอา อยากใส่ชุดไหน”
ทั้งคู่เดินวนไปวนมาอยู่แผนกเสื้อผ้าบุรุษ
“ชุดนี้เป็นไง” ทิวเอาร่างของตัวเองไปทาบกับหุ่นที่โชว์ในชุดทำงาน ร่างที่กลืนหายไปจนเห็นแต่ตัวหุ่น แต่ใบหน้ายังเป็นเขา พร้อมรอยยิ้มแป้นแล้นลักยิ้มข้างเดียว ทำให้ดูน่าขัน
“หรือชุดนี้” เขาแวบไปทาบหุ่นอีกตัวที่อยู่ในชุดลำลองกางเกงขาสั้นเสื้อยืด
พิทกอดอกมอง ด้วยความเอือมระอา ไอ้บ้านี่มันกินกระทิงแดงผสมใบกระท่อมมารึยังไง ทำไมถึงมีพลังงานเยอะจนล้น
“ทิวว่าไม่ไหว เอาชุดนี้ดีกว่า” ร่างของเขาแวบหายไปโผล่ที่หุ่นอีกตัวที่ใส่กางเกงว่ายน้ำโชว์ พิทเริ่มส่ายหน้า
“ไม่ดีเหรอ งั้น.....” เขาหันซ้ายหันขวา “รู้แล้ว ชุดนี้ท่าจะดี แวบบบบบบ”
ทิวแวบไปโผล่ที่แผนกชั้นในสตรี คราวนี้เขายืดเชิดหน้าชูคอ ทำปากจู๋อยู่บนหุ่นผู้หญิงที่ใส่แค่จีสติงกับเสื้อชั้นในลายเสื้อสีชมพูเข้าชุด
“ชอบมั๊ยคะ ตะเองงงงงง” ทิวแอ๊บเสียงเล็ก ในที่สุดพิทก็หลุดขำหัวเราะจนน้ำลายพุ่ง
“ไอ้บ้า มึงนี่มันผีบ้าผีบอจริงๆ” พิทน้ำตาเล็ด เขาไม่สนใจผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่าจะมองเขาเป็นคนบ้าพูดคนเดียวอีกแล้ว
“ก็ไอ้บ้านั่นมันตลกนี่หว่า” เขานึกในใจ