พิทตื่นมาอีกครั้งในบ่ายวันรุ่งขึ้น เขารอให้พ่อเดินทางโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น พิทอยากออกไปจากที่นี่เต็มทน ที่นี่เหมือนไม่ใช่โลกมนุษย์ เขาหวาดระแวง ทุกครั้งที่เห็นเด็กวิ่งหายไปในมุมนึงของตึก เห็นคนแก่เดินถือไม้เท้า เห็นหญิงตั้งครรภ์นั่งเหม่อลอย
เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นคนรึเปล่า
“คนค่ะคุณ คุณลุงแกเป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่นี่” นี่เป็นหนึ่งในหลายๆครั้งที่เขาถามพยาบาลว่าคนๆนั้นเป็นใคร
“ออกไปข้างนอกบ้างสิคะคุณ จะได้สดชื่น มีสวนอยู่ใกล้ๆนี่เองนะคะ”
พยาบาลเสนอแนะ
เขาเห็นว่ามันเป็นความคิดที่ดี เลยจัดแจงล้างหน้าล้างตา และออกไปนั่งแกร่วชมสวนยามเย็น
สวนที่นี่เป็นสวนเล็กๆที่มีตึกรายล้อม เขาไม่รู้หรอกว่ามีตึกอะไรบ้าง แต่ก็สบายดีเมื่อได้นั่งทอดสายตาไปแบบนี้ สวนที่มีหินรูปร่างแปลกตาประดับประดา ต้นลีลาวดีสีขาวแข่งกันเบ่งดอกสีขาวแกมเหลืองนวล บางดอกร่วงหล่นแต่งแต้มพื้นสีเขียวให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เขาคิดถึงลุงหลวย
“นี่พี่!!” เสียงหนึ่งดังลอยมาตามลม พิทหันหลังไปมองเห็นแต่เพียงความว่างเปล่า เมื่อไม่เห็นอะไรเขาจึงหันหน้ากลับมา
“เฮ้ย!!” แต่กลับกลายเป็นว่าต้นเสียงนั้นอยู่ข้างหน้าเขาจนจมูกเกือบจะชนกัน
พิทหงายหลังตึงลงนอนบนพื้นหญ้า
“ เป็นไรป่าว” เด็กหนุ่มนั่นชะโงกหน้ามามองเขาสนใจ
“โอย” พิทร้องโอดครวญ เพราะก้นกระแทกเต็มเบ้า “นี่ ไม่กระโดดขึ้นคร่อมเลยล่ะ หึ ตกใจหมดเลย”
“ก็ใครจะคิดละว่าพี่ขวัญอ่อน”
เด็กนั่นพูด ทำเอาพิทนิ่งไป เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายที่ผ่านมา ทำให้เขากลายเป็นคนขวัญอ่อนเหมือนที่เด็กนั่นว่าจริงๆ
“มาผมช่วย” เขายื่นมือ แต่พิทกลับไม่สนใจ เขายันตัวเองแล้วลุกขึ้นนั่ง
“พี่มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียว” เด็กหนุ่มนั่งลงใกล้ๆเขา พิทหันมามอง เขาแปลกใจว่าใครอนุญาต
เขาหันไปจ้องหน้าเด็กนั่นอย่างพินิจพิเคราะห์
“ก็หน้าตาดี ผิวพรรณก็ดี คงไม่ใช่หรอกมั้ง....”
“แต่เอ ไม่แน่ เดี๋ยวนี้ผีมันพัฒนาไปไกล มันอาจแปลงร่างมาเหมือนคนก็ได้”
“แต่ถ้าผีหน้าตาน่ารัก เฮ้ย น่าตาปกติแบบนี้ มันก็....โอเค๊อ่ะ”
........
“พี่!!” เด็กนั่นเรียกสติพิทที่พร่ำเพ้อกับตัวเองกลับมา
“อะไร ชอบทำให้ตกใจ”
“เป็นอะไรจ้องหน้าผมอยู่ได้”
“เปล่าๆ แล้วนี่มาทำอะไรที่นี่คนเดียวล่ะ” เขาถาม
“พี่คำถามนี่ผมเป็นคนถามพี่นะ ถ้าจำไม่ผิด” เด็กนั่นทำหน้าเย้ย
“เฮ้ย น้อยๆหน่อย ยังไม่รู้จักกันอย่ามากวนประสาท”
“โอเค งั้นเรามารู้จักกันก่อน ผมชื่อ..............” เขาลุกขึ้นยืนพรึ่บตัวตรงยืดอก “ทิวครับ เป็นนักศึกษาปีที่สี่ เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยังโสด มีปานสีแดงที่ด้านหลังด้านซ้าย มีปัญหาเรื่องการมองเห็นนิดหน่อย ใส่รองเท้าเบอร์ 8 ครึ่ง ไม่ชอบใส่นาฬิกา ชอบวง the beattle แล้วก็.......”
“พอๆ ใครถาม”
“อ้าว ก็พี่อยากรู้จักผมไม่ใช่เหรอ ตาพี่แล้ว แนะนำตัวหน่อย”
พิทส่ายหน้าไปมา ทำไมเขาต้องมานั่งฟังเด็กไร้สาระคนนี้พร่ำเพ้อเรื่องของตัวเองด้วย
“พี่จำไม่ได้เหรอ เป็นความจำเสื่อมแน่ๆเลย” เด็กนั่นทำหน้าตกใจ
“จะบ้าเหรอ ส่ายหน้านี่ไม่อยากตอบโว้ย” เขาหมดความอดทน แต่ไหนแต่ไรที่ลุงหลวยคอยห้ามไม่ให้เขาพูดจาหยาบคายไม่ไพเราะ แต่ตอนนี้แกไม่อยู่แล้ว ใครจะแคร์
เด็กนั่นหน้าจ๋อย เขานั่งลงและก้มหน้านิ่ง
“พี่ก็คงไม่อยากคุยกับผมเหมือนคนอื่นๆน่ะสินะ” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำอยู่ในลำคอ
พิทมองเด็กนั่นอีกครั้ง บางทีเขาอาจป่วยเป็นโรคบางอย่างก็ได้ ถึงมาอยู่ที่นี่ หากเขาป่วยจริงแล้วพิททำนิสัยแย่ๆไปแบบนั้นก็เท่ากับทำร้ายจิตใจเด็กนั่น
“อ่ะ ก็ได้ๆ เราเอ่อ ผม เอ่อ....” เขากระอักกระอ่วนไม่รู้จะเรียกแทนตัวเองว่าอะไร
“เรียกพี่ก็ได้ครับ” เด็กทิวเงยหน้าขึ้นมายิ้ม
“เออ พี่ชื่อพิท จบมหา’ลัยมาจะห้าปีแล้ว มาทำงานที่นี่.....”
“แล้วพี่มาที่นี่ทำไม”
“ก็เอ่อ พี่ไม่สบาย....นิดหน่อย” เขาอายที่จะตอบเด็กนั่นว่าจมน้ำ
“ไม่สบายเป็นอะไรเหรอพี่”
“นี่ อย่ารู้มากได้มั๊ย แค่นี้พอ” พิทดุ
“ก็ได้” ทิวตอบเสียงอ่อย
“แล้วเราหล่ะ ป่วยเป็นอะไร มาอยู่ที่นี่นานแล้วเหรอ”
“ก็นานแล้วนา แต่ทิวก็ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร ไม่มีใครยอมบอกเลย” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเศร้าลง เขาดูเป็นเด็กร่าเริงแต่แววตาลึกๆนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์
“เออ พี่รู้ป่าว ตึกนั้นน่ะ....”แต่แล้วทิวก็เปลี่ยนน้ำเสียงที่เศร้าให้เป็นร่าเริง “มีพี่สาวคนหนึ่งด้วยนะ ใจดี สวยด้วย แต่ขี้แยไปหน่อย ชอบร้องไห้ วันหลังทิวจะพาไปรู้จัก”
“เหรอ” พิทเผลอยิ้มเมื่อเห็นร้อยยิ้มเด็กหนุ่ม “แล้วเรียนคณะอะไรหล่ะ”
“เรียนสื่อสารมวลชนพี่ ทิวอยากเป็นนักข่าว อยากเป็นนักข่าวการเมืองการทหาร” เขาตอบแววตาเป็นประกาย
“เออ แปลกแฮะ”
“พ่อทิวเป็นทหาร แม่ทิวก็เป็นราชการ ครอบครัวเราอยู่ค่ายทหาร ตอนเด็กๆนะ.......”