ขอโทษนะคะ ไม่ค่อยมีเวลาเลย แต่งยังไม่เสร็จเลยเอามาลงให้อ่านก่อนครึ่งหนึ่งค่ะ
แต่งเสร็จเดี๋ยวเอามาโพสต่อค่ะ
บทที่ 19 Part I
“ข อ..โทษ” เสียงของผู้หญิงที่ผมได้ยินกำลังสั่นเครือเหมือนคนกำลังร้องไห้อย่างหนัก พลอยทำให้ขาที่กำลังจะก้าวออก
จากห้องเป็นอันชะงักงันนิ่งอยู่กับที่ คงไม่ใช่สิ่งยินดีแน่....ถ้าผมจะเดินออกไปตอนนี้ ควรจะทำยังไงดีนะ ปิดประตูห้องนอนซะ
แล้วอย่ายุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองมันคงจะดีกว่ารึเปล่า แต่หากผมปิดเสียงลูกบิดประตูคงเรียกความสนใจของใครต่อใครเป็นแน่
ผมค่อยถอยหลังกลับไปทิ้งให้ประตูเปิดอ้าไว้เช่นเดิม คนเราคนมีสเปชส่วนตัวบ้าง ... และผมว่าตอนนี้พี่พาร์ทต้องการมัน
ผมนั่งลงที่บนเตียงมือก็พลางไล่เช็ดผมที่เปียกมะล่อกมะแลกจากการสระผมเสร็จใหม่ ๆ บทสนทนาดังเข้ามาเป็นระยะ
ทำเอาผมใจหาย ผมว่า..... จริงๆ แล้วผมไม่ควรอยู่ที่นี่เวลานี้ใช่มั้ย ประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนทุกอย่างจะเงียบไป
“ขอโทษนะครับ....แต่เรา-รักกัน- ผมกับรตีรักกัน ขอโทษที่ทำให้คุณเสียใจ แต่ได้โปรดอภัยให้เราเถอะนะครับ
ผมขาดรตีไม่ได้ พอๆ กับเธอเองก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากผม แม้จะเลิกกันไปนาน....แต่ไม่มีวันไหน
ที่เราทั้งสองจะไม่คิดถึงกัน ผมเองก็ไม่อยากให้คุณต้องเสียใจ แต่เรื่องหัวใจมันห้ามไม่ได้หรอกครับ”
.
.
.
“..........” เวลาผ่านไปนานเกินกว่าที่ผมจะอดใจไหวเพราะทุกอย่างเงียบงันไร้เสียงที่เป็นปฏิกิริยาตอบสนอง
จนต้องเผลอแนบตัวชิดประตูที่เปิดอ้าอยู่เพื่อให้เข้าใกล้ที่สุด แนบหูกับประตูที่กางกั้น...........
......................เงียบ..................... หรืออาจเป็นเพราะพี่พาร์ทกำลังไปตามล่าหัวใจเค้าคืนมา.....เป็นได้
.....เพราะนั่น..........”คือหัวใจ”..................ของพี่เค้านี่นา แอบแปลกใจไม่ได้ ที่ความรู้สึกมันแกว่งๆ
โดยไม่ทราบสาเหตุ .....เผลอเอามือจับอกที่กระเพื่อมแรงตามอารมณ์นั่นอยากจะให้มันหยุดเต้น จังหวะ แปลกๆนี่ซะที
ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออกเบาๆ ก็ทำให้ไอ้อาการใจเต้นรัวๆ แบบไร้จังหวะจะโคน ค่อยๆ ผ่อนมาเป็นปกติ
ก้าวขาออกจากที่ซ่อนก็ต้องแปลกใจ ...ที่เห็นใครอีกคนยังอยู่กับที่ ประตูห้องยังเปิดอ้าซ่าท้าให้ยุงลองเข้ามาเยี่ยมซักที
ที่น่าแปลก.....คือนิ่งไม่ขยับ และยังคงนิ่งงันอยู่แบบนั้นทั้งที่ผมยืนมองอยู่ตรงนี้เกิน 5 นาทีแล้ว เพราะอะไรนะ ...
เพราะนึกถึงประโยคสุดท้ายก็ยิ่งแปลกใจ...... ทั้งๆที่พึ่งเสียคนรักไป ทำไมถึงได้นิ่งเฉยขนาดนั้น แต่ไอ้การนิ่งนี่
ก็ไม่ธรรมดา แต่กลับเป็นการนิ่งที่สร้างความกังวลใจให้ผมอย่างบอกไม่ถูก เมื่อทนไม่ไหวถึงได้เดินเข้าไปหา ....
ภาพที่เห็นแทบช็อค ... เรียกว่า “ช็อค” ได้มั้ยนะ พี่พาร์ทที่เอาแต่จ้องมองอากาศอันว่างเปล่าตรงหน้า ราวกับว่ามีใคร
สักคนยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยดวงตาที่แดงกล่ำ หยาดหยดน้ำตาค่อยๆ ไหลทีละหยดๆ จนมันกลายเป็นสาย เปรอะเปื้อน
ใบหน้าหล่อเหลาให้หม่นหมองลงไปอีกเป็นกอง ขนาดผมมายืนข้างๆ แล้วแท้ๆ คนตรงนี้กับไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของ
ผมสักนิด ทำไม....ถึงน่าสงสารขนาดนี้ พี่เค้า....ทำอะไรผิดหรือไง? ถึงต้องมาโดนทิ้งแบบนี้ .
“พี่พาร์ท” ผมเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว คนตรงหน้าหันมามองนิดๆ ราวกับว่าพึ่งรู้สึกตัวกระนั้น ดวงตาที่มองมาเศร้าสลด
เหมือนกำลังบอกผมกลายๆ ว่าตอนนี้แทบทนไม่ไหว ...ดวงตาที่บอกความร้าวรานของจิตใจได้เป็นอย่างดี
สายตาพี่พาร์ทกวาดมองไปทั่ว แววตาเจ็บร้าวที่มองไปยังทางเดินนั่น เสียงล้อลอกของกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ คงจะ
ตอกย้ำความรู้สึกให้เจ็บลึกเข้าไปอีก อีกคนถึงได้หลับตาแน่น กลืนน้ำลายลงคอยอึกใหญ่ จนผมต้องเอื้อมมือไป
ปิดประตู ไล้มือค่อยๆ เช็ดน้ำตาอย่างแผ่วเบา พี่พาร์ทสะดุ้งนิดๆ...เหมือนพึ่งรู้ว่าตัวเองร้องไห้ ใบหน้าที่อ่อนล้าเต็มที
น่าสงสาร..น่าสงสารเหลือเกิน ผมกอดพี่พาร์ทแน่นๆ อยากโอบอุ้มความเจ็บปวดให้มันหายใจ แต่ก็ทำได้แค่ปลอบใจ
“ถ้าอยากร้อง.....ก็ร้องเถอะฮะ” ผมกระชับกอดแน่นขึ้นไปอีก พี่พาร์ทกอดผมตอบ ซุกหน้าลงที่ไหล่ปล่อยให้ความเสียใจ
ไหลรินบนบ่าอย่างเชื่องช้า ...................และเนิ่นนาน
.
.