[[ THE CAGE ]] . . กรงรัก . .
สายลมพัดผ่าน ---
ลมหนาวที่พัดผ่านกายให้เย็นยะเยือก แต่ก็ซ่อนไว้ซึ่งความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ลมอุ่นของฤดูใบไม้ผลิที่มาเยือนพร้อมกับเสียงของหิมะละลาย เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่คนจากเมืองร้อนไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสนัก
ลมแรงที่มาพร้อมกับสายฝนโหมกระหน่ำ ซัดสาดทุกสิ่งอย่างจนมองเห็นเพียงความมืดดำ แต่เมื่อพ้นไป ฟ้าก็กระจ่างใสยิ่งกว่าเดิม กลิ่นของดินและใบหญ้าทำให้รู้สึกดี
เวลาอีกหนึ่งปีล่วงผ่านไป พร้อมกับจิตใจที่เติบโตขึ้นอีกก้าว
ตอนนี้ เขาพร้อมจะกลับประเทศไทยแล้ว
กลับมาสู่ที่เดิม ประเทศบ้านเกิดของเขา
สายลมอุ่นร้อนพัดมาต้อนรับตั้งแต่ก้าวแรกที่ลงจากเครื่องบิน นิชายิ้มเมื่อรับรู้ถึงกลิ่นและอากาศที่คุ้นเคย
ที่อเมริกา อากาศดีก็จริง แต่อย่างไรเสีย ประเทศไทยก็ดีกว่าอยู่แล้ว อย่างน้อยหน้าหนาวก็ไม่ต้องทนหนาวจนเดินแทบไม่ไหว หน้าฝนก็ไม่ได้มีพายุเฮอริเคนให้หวั่นใจ หรือแม้แต่แผ่นดินไหวก็ไม่มีอะไรน่าเป็นกังวลเหมือนอยู่ต่างประเทศ
เขาตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปหาบิดามารดาที่รับอุปถัมภ์เขามาตั้งแต่ยังเล็กก่อนเป็นอันดับแรก ทว่า ขาเรียวกลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้พบกับใครคนหนึ่งตั้งแต่เขาก้าวออกจากเกท
"อ๊ะ..."
"ไม่ได้พบกันซะนานเลยนะคะ"
"... คุณหญิง"
"ถ้าไม่รังเกียจ รบกวนคุณนทมากับหญิงสักครู่ได้ไหมคะ"
ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นแค่ลูกค้าในร้านธรรมดาๆของเขา แต่ยังเป็น'เพื่อน'ที่ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน แม้จะคนละเหตุผล แต่ก็ด้วยต้นเหตุเดียวกัน
"มีอะไรเหรอครับ?"
ดวงตาคู่สวยปรายมองถ้วยกาแฟชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างตรงหน้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยแววมั่นใจเช่นเคย
"สบายดีไหมคะ คุณนท?"
"ดีครับ คุณหญิงเองก็ดูสบายดีนะครับ"
"ใช่ค่ะ หญิงเองก็เพิ่งแวะกลับมาจากฮ่องกง ตอนนี้หญิงอยู่ประจำสาขาที่นั่นค่ะ คิดว่าเอกคงเล่าให้ฟังบ้างแล้ว"
"ใช่ครับ เห็นว่าทำเอาผลประกอบการสาขานั้นพุ่งเลย"
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ว่าอยู่ที่นั่นก็ท้าทายดี ต้องเตรียมรับมือกับเหตุการณ์แปลกใหม่ทุกวันเลย สนุกดีค่ะ คุณนทเองก็ดูสดใสขึ้นเยอะเลยนะคะ"
"ครับ อยู่ที่นั่นได้เรียนรู้อะไรมากเหมือนกันครับ นับว่าเป็นสองปีที่คุ้ม... ถ้าไม่ได้น้องชายของคุณหญิง คงไม่มีโอกาสอย่างวันนี้"
"รายนั้นมาได้ฟังคงภูมิใจน่าดูค่ะ หญิงดีใจนะคะที่คุณนทดูมีความสุขกว่าเมื่อก่อนขึ้นเยอะเลย"
"ขอบคุณครับ คุณหญิงเองก็เหมือนกัน ดูสมเป็นคุณหญิงที่มุ่งมั่นเหมือนเดิม ไม่สิ ดูดีกว่าเดิมเยอะเลยครับ"
"ขอบคุณค่ะ ว่าแต่คุณนท ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้างคะ?"
"อาการ?"
"เรื่องที่... ความจำเสื่อม..."
"อ๋อ ผม... หายดีแล้วครับ"
"จริงเหรอคะ"
"ใช่ครับ ตอนนี้หายดีแล้ว ไม่ต้องห่วงนะครับ"
"ค่อยยังชั่วหน่อยค่ะ โล่งอกจริงๆนะคะ"
หญิงสาวมีแววโล่งอกฉายชัดในดวงตา ไม่ว่าอย่างไร เจ้าหล่อนก็ไม่อยากให้น้องสาวทำให้คนอื่นความจำเสื่อม และยังกังวลใจอยู่จนถึงทุกวันนี้ว่านิชาจะหายดีเป็นปกติเมื่อไหร่
"ตอนนี้คุณหญิง..."
เขาข่มใจเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่จะออกปากถามถึงสภาพครอบครัวที่ดูไม่แตกต่างจากคนที่ประสบความล้มเหลวในชีวิตแต่งงาน --- ที่มีเขาเป็นหนึ่งในต้นเหตุหลัก
แต่ดูเหมือนว่าเวลาเกือบสองปีที่หญิงสาวย้ายไปทำงานที่ต่างประเทศ ต้องเรียนรู้และยืนหยัดอยู่ให้ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง ถึงจะมีเงินและที่พักอาศัยอยู่ แต่แรงกดดันจากคนรอบข้างที่ไม่เป็นมิตร ทำให้เธอเติบโตขึ้นมากในระยะเวลาอันสั้น
เพียงแค่มองอากัปกิริยาของนิชา เธอก็อมยิ้มออกมาเพราะเดาได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะพูดเรื่องอะไร
"เราหย่ากันแล้วค่ะ"
"... คุณหญิง"
"หญิงเอง ตอนแรกก็เสียใจนิดๆนะคะ แต่พอเวลาผ่านไป เราก็รู้ดีถึงเหตุผล และรู้ว่าต่อให้ยื้อไปยังไงก็ไม่มีทางทำให้อะไรดีขึ้นค่ะ คุณชินเองก็มีทางเดินของเขา หญิงเองก็มีเส้นทางของหญิงที่ตั้งใจจะไป เพราะงั้นหญิงคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วค่ะ"
"จริงเหรอครับ.."
"แล้วคุณนทเองล่ะคะ เคยถามตัวเองไหมว่า ทางที่เลือก... ถูกต้องแล้วรึเปล่า?"
ราวกับมีฟ้าผ่าลงมากลางใจ
ใช่
สิ่งที่เขาทำ เป็นสิ่งที่ใครต่อใครล้วนบอกว่าพึงกระทำ
แต่สิ่งนี้ ใช่สิ่งที่ถูกต้องตรงกับหัวใจของเขาจริงหรือเปล่า
เขาไม่เคยลองถามตัวเองมาก่อนเลยสักครั้ง
สายตาของหญิงสาวมองทะลุความคิดที่แอบซ่อนมาตลอดสองปีของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และสามารถดึงมันออกมาได้ด้วยคำพูดสั้นๆเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
ผู้หญิงคนนี้ อาจจะเป็นคนที่เหมาะสมกับเตชินท์ก็เป็นได้
ไม่สิ เสือกับสิงห์ คงไม่อาจอยู่ร่วมถ้ำกันได้
อย่างที่เขาว่ากัน บางทีคนที่ว่าเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก อาจจะไม่ได้เกิดมาคู่กันก็เป็นได้
"ถ้าหากว่ามันไม่ใช่... หญิงก็อยากให้คุณนทเลือกเส้นทางที่ทำให้คุณนทมีความสุขที่สุดค่ะ ในฐานะของเพื่อน"
เจ้าของนามพยักหน้าโดยไม่ตอบคำ รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างจริงใจ
เขาไม่เคยทำอะไรให้กับนภิสาเลย นอกเหนือไปจากทำให้ครอบครัวของเจ้าหล่อนพังทลาย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ต้นเหตุที่แท้จริงก็ตามที
“อยากพบคุณชินไหมคะ?”
“เอ๊ะ?”
เผลอเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันคิดเมื่อได้ยินนามนั้น เมื่อตั้งสติได้จึงรีบกลบเกลื่อนทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำเอาเสียเลย
“เอ่อ... ผมหมายถึง เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้นเหรอครับ?”
“เขาแยกออกไปเมื่อสองปีที่แล้ว หลังจากนั้นไม่นานเราก็หย่ากัน เขายกบ้านให้หญิง แต่หญิงก็ไปจีน ไม่ค่อยได้กลับไปหรอกค่ะ สุดท้ายหญิงเลยโอนชื่อของบ้านหลังนั้นคืนเขาไป”
“แล้วตอนนี้...”
“ตอนนี้ ได้ยินว่าเขายังไปๆมาๆที่บ้านกับคอนโด ทั้งๆที่ความจริงอยู่บ้านน่าจะสะดวกกว่า แต่เขาก็ไม่ยอมขายคอนโดห้องนั้น... คงไม่อยากจะลืมความทรงจำดีๆที่นั่นล่ะมั้งคะ”
นิชานิ่งไป สิ่งแรกที่หัวใจพาลนึกถึงคือกุญแจห้องที่คอนโด ที่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่ได้เอาไปคืน คอนโดที่เขาเช่าเอาไว้ก็ปล่อยต่อไปแล้ว ดังนั้นสิ่งของทั้งหมดตอนนี้อยู่ที่บ้านของธนกร นอกจากกุญแจดอกนี้ ที่เขายังคงเก็บไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา
“คงไม่ได้พบกันหรอกครับ เขาคงยุ่งเหมือนเดิม”
“ก็คงจะยุ่งอยู่ค่ะ เห็นวุ่นกับธุรกิจใหม่”
“ธุรกิจใหม่?”
“อ้าว เอกไม่ได้เล่าให้ฟังหรอกเหรอคะ?”
“ไม่ได้เล่าครับ มีอะไรเหรอครับ?”
“จริงๆแล้ว คุณชินลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทตั้งแต่ปลายปีที่แล้วค่ะ แล้วออกไปทำร้านอาหารเป็นของตัวเอง”
“ร้านอาหาร?!”
มันไม่ได้เข้ากับหน้าโหดๆแบบนั้นจนต้องเผลออุทานเสียงดังโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ใช่ค่ะ เขามีเงินลงทุน เลยเปิดร้านแล้วขยายสาขาได้ไว กระดากปากที่จะชม แต่ว่าหญิงยอมรับว่าเขามีพรสวรรค์ด้านการลงทุนจริงๆค่ะ มองทะลุปรุโปร่งเลย”
“อ้อ เป็นผู้บริหารนี่เอง... แล้วจู่ๆลาออกไม่มีใครว่าอะไรเหรอครับ?”
“อากงของหญิงที่ยังคงตำแหน่งประธานก็ดูหงุดหงิดนะคะ ยังไงคุณชินก็มีฝีมือมากแต่เพราะเกิดเรื่องหลายๆอย่าง ท่านเลยถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ของบริษัทและครอบครัวค่ะ”
นิชานึกโล่งใจ เขาเคยเข้าใจว่าในวงการมาเฟียแบบนี้ การลาออกจะต้องถูกตามล่าอะไรแบบนั้นเสียอีก
ลงท้ายแล้วกลายเป็นเขานี่เองที่เอาแต่พูดคุยซักถามไม่ยอมหยุด มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกินในสองปีนี้ที่เขาพลาดไป ทุกอย่างที่อยากรู้พรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากคู่สวย
"หญิงคงต้องขอตัวก่อน ขอโทษที่รบกวนเวลานะคะคุณนท"
หญิงสาวเอ่ยพลางลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะถูกร่างตรงหน้ารั้งเอาไว้ จนต้องหันหน้ามามองด้วยสายตาประหลาดใจ
"เอ่อ คือ... ขอบคุณมากนะครับ 'พี่หญิง'"
นภิสายิ้มให้กับใบหน้าน่าเอ็นดูของคนที่อายุไม่แตกต่างจากน้องชายแท้ๆของหล่อนอย่างจริงใจ
“โชคดีนะคะ”
สายฝนหยุดโปรยปรายลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รอบกายเต็มไปด้วยคู่รักที่กางร่มคู่กัน หัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข
แต่เขา ก็ยังเดินอยู่บนถนนสายนี้อยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องลงมา
ทำไมเขาเพิ่งจะมารู้ตัวกันนะ ว่าตัวเขาเองนั้นรักนิชามากขนาดนี้?
หัวใจเจ็บปวดราวกับถูกบีบ อยากกลับไปพบกับร่างบอบบาง อยากขอโทษ อยากบอกรักให้สมกับที่ไม่เคยได้พูดออกไป
รู้สึกตัวอีกที เขาก็พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่หน้าตึกบริษัทของตนเอง เขาถอนหายใจพร้อมกับเดินตรงเข้าไปที่ลิฟต์
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน การที่ใครมาพูดเรื่องของพรหมลิขิต เขาจะหัวเราะแล้วบอกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
แต่ ณ วันนี้ เขากลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาหยุดก่อนที่เรียวขาจะไปถึงลิฟต์
และวินาทีนั้นเอง ที่หัวใจของเขาสั่งการร่างกายอีกครั้ง
ร่างสูงหันไปทางประตูทางเข้า จึงได้เห็นร่างเล็กที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับร่มคันเล็กที่นำติดตัวเผื่อไว้ พร้อมกับตรงไปที่ประชาสัมพันธ์แล้วพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งราวกับนัดแนะใครเอาไว้ ชายหนุ่มรีบหลบไปยืนอยู่หลังมุมตึกเพื่อซ่อนกายก่อนที่จะได้รู้ตัว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องกลัวการที่นิชาจะมองเห็นเขาขนาดนี้ แต่นิชาบอกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนไปต่างประเทศว่า หากพบหน้าเขา จะไม่มาให้เห็นหน้าอีก คำพูดนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขาอยู่เสมอ
ไม่อยากจะเชื่อว่าจู่ๆร่างที่เขาปรารถนาจะได้สัมผัสจะโผล่มาอยู่ใกล้ๆเช่นนี้เอง
ชายหนุ่มระบายลมหายใจให้เป็นปกติ ตั้งใจว่าจะรอให้อีกฝ่ายเดินไปก่อนแล้วค่อยไปถามประชาสัมพันธ์ว่าอีกฝ่ายจะไปบริษัทไหนในตึกแห่งนี้ แต่กลับถูกโทรศัพท์ตามตัวให้รีบขึ้นไปยังบริษัทของตนเองโดยด่วนเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญที่จะมาซื้อแฟรนไชส์ของบริษัทเขาไปเปิดตัวที่อังกฤษ
กว่าจะประชุมเสร็จก็ผ่านไปอีกชั่วโมง ถึงตอนนั้นเขารีบลงมาด้านล่างของตึก แต่ก็ไม่พบกับนิชาแล้ว เตชินท์ขบริมฝีปาก ก่อนจะกลับขึ้นบริษัทไปเพื่อทำงานต่อ
ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องประธานบริษัทอันเป็นห้องของเขาเอง มือใหญ่เอื้อมเปิดประตูเข้าไป แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลาดมา พร้อมกับร่างด้านหลังของใครบางคนที่ยืนอยู่ภายในห้อง
ร่างของคนที่เขาไม่เคยคิดฝันว่าจะได้พบกันอีก โดยเฉพาะในที่แห่งนี้และเวลาแบบนี้
ดวงตาคู่สวยที่เขาไม่ได้เห็นมาสองปีหันหลังมามอง พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้า
เหมือนกับฝันไป
ฝันที่ทำให้ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย
นี่เขา --- ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?“... กลับมาแล้วเหรอครับ พี่ชิน”
ใครต่อใครล้วนแต่เติบโตตามช่วงเวลาที่ผันผ่าน และสิ่งต่างๆที่ประสบพบเจอในแต่ละวัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือเรื่องดี ก็ล้วนแต่ทำให้ตัวเรานั้นได้เรียนรู้ ปรับตัว และเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า
เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา ทำให้เขาอดรู้สึกตื่นเต้นในแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานานปี
ไออุ่น และหัวใจ แนบเข้ากับแผ่นหลังที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนบางๆกางกั้น
มือใหญ่โอบรอบเรือนกายที่ถวิลหา มือเล็กยกขึ้นแนบสัมผัสผิวกายอุ่นร้อนของคนที่หวนคะนึง
แรงกอดที่เพิ่มขึ้น ราวกับต้องการย้ำให้ชัดเจนว่านี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฝัน --- ฝันที่บอกไม่ได้ว่าร้ายหรือดี --- ฝันว่าได้พบกัน แล้วก็ต้องตื่นมาพบว่าเป็นเพียงแค่ฝัน
นานเหลือเกินที่ต้องทนผ่านวันเวลาที่แสนปวดใจเหล่านั้น นานเหลือเกินจนแทบจะลืมอุณหภูมิของกันและกัน
ไม่มีเสียงอื่นใด นอกจากเสียงของหัวใจที่เต้นรัวสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกัน
"คิดถึง"
เนิ่นนาน กว่าที่เสียงทุ้มที่สั่นเครือจะเล็ดลอดเรียวปากให้ได้ยิน เสียงที่ไม่ได้ฟังมานาน ก็ยังเป็นเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวจนรับรู้ได้ถึงการมีชีวิตไม่เปลี่ยนแปลง
นิชาหันกลับไปมองทางด้านหลัง
“เป็นประธานบริษัท... ทำแบบนี้ไม่เหมาะมั้งครับ”
“นท”
เสียงนั้นเจือแววตำหนิ ที่อีกฝ่ายพูดเรื่องแบบนี้ออกมาในเวลาเช่นนี้ ในเวลาที่ชายหนุ่มร่างสูงแทบคลั่งเพราะความคิดถึงมากขนาดนี้
ใช่ว่าร่างบางจะไม่คิดถึง เขาต้องใช้ความพยายามมากนักที่จะหักห้ามจิตใจเอาไว้ไม่ให้ฝังกายเข้าสู่อ้อมกอดตรงหน้า เขาต้องขบริมฝีปากเบาๆเพื่อเรียกสติและกลั้นน้ำตาเอาไว้
“... พี่ อยากขอโทษนทมาตลอด”
“ขอโทษ?”
“ใช่ ทุกอย่างที่พี่ทำไป... พี่เสียใจ”
“... ครับ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว”
“นท พี่พูดจริงๆนะ แล้วนี่เราหายดีแล้วเหรอ? อาการความจำเสื่อมล่ะ?”
มือใหญ่ที่แนบเข้ากับผิวแก้มอย่างอ่อนโยนและดวงตาที่มองตรงมาด้วยความห่วงใยทำให้ร่างเล็กพยายามก้มหน้าหลุบลงต่ำ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่า จริงๆแล้วเขาดีใจมากแค่ไหนที่ได้พบกับร่างตรงหน้า
ดีใจมากเสียจนหยาดน้ำอุ่นใสเอ่อล้นดวงตาในพริบตา ---
“อื้อ... ไม่เป็นไรแล้วครับ”
“จริงเหรอ จริงใช่ไหม?”
ได้ฟังน้ำเสียงยินดีจากหัวใจแบบนั้นแล้ว อดไม่ได้ที่จะใช้หลังมือปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ ทั้งๆที่เขาเองก็ทำเรื่องใจร้ายกับร่างตรงหน้าตั้งหลายครั้งก่อนจะไปต่างประเทศ แต่ทำไมถึงได้เป็นห่วงคนอย่างเขาอีก
“ครับ ผมหายดีแล้ว”
“ดีจริงๆ พี่อยากจะบอก ในสิ่งที่ไม่เคยได้บอกนทเลย”
เตชินท์เอ่ยอย่างหนักแน่น ปราศจากความลังเล แม้ว่าในแววตาจะแฝงไปด้วยความหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเขาอย่างไม่ไยดี แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากจะเสียใจทีหลังที่ไม่ได้พูดคำนี้ออกไป
“พี่รักนทมากนะ ขอโอกาสให้พี่อีกครั้งได้ไหม พี่สาบานว่าจะไม่ทำให้นทเสียใจอีก...”
ดวงตาคมสั่นระริก หลากหลายความรู้สึกประดังประเดเข้ามาในใจ ทั้งรัก แต่ก็กลัวการถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี แต่เขาก็ไม่อยากจะปล่อยให้โอกาสที่อาจจะน้อยนิดนี้หลุดลอยไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย
“เชื่อพี่เถอะ... สองปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่พี่ไม่คิดถึงนท... กลับมาเป็นนทของพี่ได้ไหม?”
หยดน้ำที่กลั้นเอาไว้รินอาบแก้มใส โดยที่เจ้าของร่างงามไม่พูดคำใด และไม่มีคำใดที่เขาต้องการจะฟังมากไปกว่าเสียงหัวใจของร่างตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว ร่างเล็กโถมกายเข้าสู่ร่างหนาพร้อมกับปล่อยให้เสียงสะอื้นหลุดรอดออกมาในที่สุด
ขณะที่เตชินท์เองก็ไม่ต่างกัน เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเขาผู้ซึ่งมีบิดาพร่ำสอนมาว่าให้เข้มแข็ง กำลังร้องไห้ขณะกอดร่างของคนที่เขาแสนรักเอาไว้แน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้จากไปอีกเลยตลอดชีวิต
“คิดถึง... นทคิดถึงพี่ชินมากๆเลย ขอโทษนะครับ ขอโทษที่นทไม่ได้ติดต่อมาเลย มันยากมากเลยที่นททำแบบนั้น แต่นท... นท...”
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
ตอนนี้ เขาอยากจะปล่อยให้ทุกสิ่งที่ผ่านไปแล้วเป็นเพียงแค่อดีต ในวันนี้พวกเขาจะเริ่มต้นกันใหม่ เตชินท์ใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้กับร่างตรงหน้าอย่างเบามือ ดวงหน้าดูดีที่ชุ่มหยดน้ำใสดูทอประกายอยู่เบื้องหน้า และดวงตาที่ช้อนมองตรงมายังเป็นดวงตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยความรักที่มอบให้กับเขาไม่มีเปลี่ยน
ความรักอาจจะไม่มีเหตุผล หรืออาจจะทำให้คนเราตาบอด
ในเมื่อคนเรา ต่างคนก็ต่างมีนิยามของความรักที่แตกต่างกัน
เพราะฉะนั้น ความรัก ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็เป็นสิ่งที่คนเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสิน
“ขอบคุณนะ... ที่รักคนอย่างพี่”
“... เพราะทั้งชีวิต นทรักพี่ชินได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
สำหรับพวกเขาแล้ว คนที่ดีที่สุดของกันและกัน ก็คือร่างตรงหน้า
เพราะความสุขในยามที่อยู่ด้วยกัน มันมากมายเอ่อล้นกลบทุกสิ่งทุกอย่างได้
มือทั้งสอง จึงยังเกาะกุมกันอยู่เช่นนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
.
.
FIN.
Talk: จบไปแล้วค่ะสำหรับ กรงรัก ^ ^
จริงๆแล้ว ตอนจบที่คิดเอาไว้มีหลายแนวมาก เขียนตอนจบเอาไว้หลายแบบมาก ไปจนกระทั่งว่าทำไมน้องนทถึงมาอยู่ในห้องนั้นในตอนท้าย
แต่สุดท้ายแล้ว พล็อตนั้นไม่ได้เอามาใช้ อยากให้เรื่องราวของสองคนนี้เป็นสิ่งที่คนอ่านคิดต่อเองดีกว่าค่ะว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง
สำหรับนิยายเรื่องนี้ ชานมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากขอบคุณมากๆที่ติดตามกันมาเป็นระยะเวลานาน (จริงๆเรื่องไม่ยาวมาก แต่ว่าอัพช้ามากเท่านั้นเอง แหะๆ) หากไม่ได้การสนับสนุนของทุกคน นิยายเรื่องนี้อาจไม่สามารถดำเนินมาถึงตอนจบแบบนี้ได้
นี่เป็นนิยาย แต่เชื่อว่าในชีวิตจริงของหลายๆคนเองก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้มา ไม่ว่าในตอนนี้จะเจอเรื่องที่ดีหรือร้าย ขอให้สู้ต่อไปนะคะ
ชีวิตของคนเรา ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดในวันหน้า
เพราะฉะนั้น ใช้วันนี้ให้มีความสุขที่สุดนะคะ เพื่อที่อนาคตเราจะไม่เสียดายวันเวลาที่ผ่านพ้นไป
ชานมเองก็จะทำวันนี้ให้ดีที่สุดเหมือนกันค่ะ
นิยายเรื่องนี้ จะตีพิมพ์กับทางสำนักพิมพ์ HERMIT นะคะ กำหนดตีพิมพ์ยังไม่ออก (เพราะชานมยังเขียนไม่จบซะที

)
เมื่อไหร่ที่มีข่าวคร่าว จะมาอัพเดทนะคะ
ขอบคุณมากๆอีกครั้งสำหรับกำลังใจมากมายที่มอบให้คนเขียนหน้าใหม่อย่างชานมค่ะ
