[4]
“นี่ๆ เมื่อกี้ใช่พี่เนมรึเปล่า?”
เสียงกระซิบกระซาบจากสาวน้อยในชุดนักศึกษาทำให้เจ้าของนามเร่งรีบฝีเท้าไปยังจุดนัดพับในห้างดังให้เร็วขึ้น อุตส่าห์สวมแว่นกันแดด แถมมัดผมเป็นปอยจุกจิ๋วๆอยู่ด้านหลังเหมือนหางไก่อีกต่างหาก ถึงกระนั้นออร่าดาราก็ยังจับอยู่ดี
ใกล้ค่ำแล้ว เพราะฝ่ายตรงข้ามดันบอกว่าติดธุระด่วนที่ต้องรีบไปจัดการก่อนถึงได้เลื่อนเวลามาเป็นหกโมงเย็น ทั้งๆที่เขาอยากจะรีบเอาโทรศัพท์แลกกันซะ ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะแอบเช็คหมายเลขโทรศัพท์ของคนสำคัญในนั้นที่มีทั้งดาราและผู้จัดการส่วนตัวของเขา
“คุณอยู่ไหนครับ? ผมรออยู่นะ”
เสียงทุ้มนุ่มเช่นเดิมดังลอดปลายสายเข้ามา จังหวะเดียวกับที่นิพิทก้าวเข้าร้านกาแฟชื่อดังพอดี ดวงตาคู่สวยมองผ่านเลนส์สีชาเห็นร่างสูงของชายหนุ่มต้นเหตุของปัญหานั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ที่มุมหนึ่งจึงรีบเดินตรงไป
“อะ นี่ของคุณ”
มือบางยื่นโทรศัพท์ให้แก่คนที่แบมือรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง เหมือนเขาคิดไปเองหรือเปล่านะว่าเคยเห็นหน้าตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
“ของผมล่ะ?”
ใบหน้าที่เขาไม่อยากจะยอมรับนักว่าหล่อฉายแววประหลาดใจ อ้าปากกว้างพร้อมกับอุทานเสียงดัง ทั้งๆที่ประกายในแววตาเต็มไปด้วยความขบขันอย่างคนกะล่อน
“โทรศัพท์ของผมอยู่ไหน?”
เสียงใสเริ่มแข็งขึ้นโดยที่เจ้าของร่างไม่คิดจะทรุดกายนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย ยิ่งห่างไว้ยิ่งดี เขาไม่อยากจะเสวนากับคนแบบนี้นักหากไม่จำเป็น
“ผมลืมทิ้งไว้ที่บ้าน”
“คุณ!! อย่ามาล้อเล่นแบบนี้นะ! ถ้าลืมก็กลับไปเอาเดี๋ยวนี้เลย!”
ร่างตรงหน้าหัวเราะจนตัวโยนราวกับการยั่วโมโหเขามันน่าสนุกนักหนา มือใหญ่โบกไปมาแล้วยื่นโทรศัพท์สีขาวของเขาคืนให้แต่โดยดี
“ล้อเล่นนิดเดียวเองครับ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
นิพิทบ่นพึมพำแล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง ตั้งใจจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นบัตรบางอย่างที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย
“นั่นมัน!”
“ของใครน้า?”
บัตรเครดิตของเขา!นิพิทนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาพกแค่เงินสดไม่กี่บาทและบัตรเครดิตหนึ่งใบออกไปจากบ้าน ขากลับก็ไม่ได้ใช้ จึงลืมไปเสียสนิทว่าบัตรหายไปหนึ่งใบ
ครั้นจะอายัดบัตรแล้วทำใหม่ก็วุ่นวาย แถมไม่รู้ว่าระหว่างนั้นอีกฝ่ายจะเอาไปรูดอะไรรึเปล่าอีกต่างหาก
“เอาคืนมานะ! ไม่อย่างนั้นผมจะแจ้งความ!”
นิพิทเอ่ยเสียงไม่เบานัก คนรอบข้างเริ่มหันมามอง จนในที่สุดเขาก็ต้องยอมลดเสียงให้เบาลง แต่น้ำเสียงยังเจือแววขู่เช่นเดิม
“ถ้าคุณไม่คืนผมมาเดี๋ยวนี้ ผมจะแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ผู้อื่น หรือต่อให้คุณเอาไปรูดที่ไหนผมก็ไม่ปล่อยไว้แน่”
“ใครจะไปกล้าล่ะครับ ในเมื่อคุณรู้จักบ้านของผมแล้วนี่”
“รู้แล้วก็เอาคืนมาสิ!”
มือหนายกหลบฝ่ามือเล็กที่เอื้อมตะปบมาอย่างรวดเร็ว จนเจ้าของร่างเล็กหน้าทิ่มไปโถมทับร่างสูงที่นั่งเอกเขนกอยู่เต็มรัก
“อุ๊บ!”
แว่นกันแดดร่วงหล่นไปบนโซฟา ร่างเพรียวอุทานเบาๆเพราะขาของเขากระแทกกับโต๊ะไม่เบานัก แต่คนที่น่าจะเจ็บกว่าคงจะเป็นคนที่รองรับอยู่ใต้ร่าง ดวงตาคู่สวยประสานเข้ากับนัยน์ตาคมที่มองกลับมาพอดิบพอดี
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ดวงตาของผู้ชายคนนี้ ---
มีเสน่ห์ จนทำให้เขาลืมสิ่งรอบข้างไปชั่วขณะ
“คุณโอเครึเปล่า?”
“อ๊ะ อ้อ ก็ไม่เป็นไร”
เขารีบผละจากแล้วถอยออกมาอีกครั้ง มือใหญ่ยื่นแว่นกันแดดให้พร้อมกับพยักพเยิดให้ไปนั่งฝั่งตรงข้าม นิพิทเห็นแล้วว่ายืนอยู่ก็เมื่อยเปล่า เพราะร่างตรงหน้าคงไม่ยอมรามือแต่โดยง่าย จะอะไรกับเขานักหนานะ
“คุณต้องการอะไรจากผม?”
“ผมเหรอ? จริงๆก็ไม่ได้มากมายอะไรนะ ผมแค่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เมื่อคืนทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี... ทำไมจู่ๆเช้ามาผมถึงได้รับการต้อนรับด้วยหมัดแบบนั้น นี่ฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายได้เลยนะ”
นิพิทกลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างจนใจ ก็เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ว่าด้วยภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสดใสตอบรับกระแสของวัยรุ่นทำให้ใครต่อใครคิดว่าเขาน่ารักและแสนดี คงเพราะไม่เคยมีข่าวกับผู้หญิงให้เห็นด้วยนั่นล่ะ
“โอเค ผมผิดเองที่ต่อยคุณ แล้วไง?”
“แค่นี้เหรอ?”
“แล้วจะเอาอะไรอีก?”
ร่างสูงใช้ปลายนิ้วชี้มาที่คางของตนเอง
“นี่เจ็บมากเลยนะ กระดูกลั่นเลยมั้ง คิดว่าเป็นไอดอลเลยพูดแค่นั้นก็จบเหรอครับ?”
อ้อ สรุปหมอนี่ก็รู้ว่าเขาเป็นศิลปิน หรือว่าตั้งใจจะแบล็กเมล์?
“ฟังนะ ผมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คุณ แล้วเรื่องของเราเป็นจบกันตกลงไหม?”
ใบหน้าดูดีเปื้อนยิ้ม ทำให้นิพิทถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะสั่นศีรษะแทนการปฏิเสธเสียอย่างนั้น
“ผมไม่ต้องการเงินของคุณ แต่ผมอยากให้คุณชดใช้”
“ชดใช้อะไร?”
นอกเหนือจากเงิน มีอะไรที่ชดใช้แทนได้อีกอย่างนั้นหรือ? นี่หมอนี่คงไม่ได้คิดอะไรอกุศลกับเขาหรอกใช่ไหม?
“ตอนนี้ผมกำลังลำบากนิดหน่อย อยากให้คุณช่วย ตกลงรึเปล่า?”
“ทำอะไรล่ะ? ถ้าไม่บอก ผมไม่ตกลงหรอก”
เกิดหลอกไปขายก็แย่น่ะสิ คนสมัยนี้เชื่อถือได้ซะที่ไหนล่ะ
ใบหน้าดูดียังคงประดับรอยยิ้มอย่างเสมอต้นเสมอปลาย พร้อมกับมือใหญ่ที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขสามตัวแล้วเปรยกับตนเองเบาๆ แต่ก็ดังเพียงพอที่จะทำให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ยินอย่างชัดเจน
“เอ... ตอนนี้โรงพักจะมีคนรับโทรศัพท์รึเปล่าน้า”
“โอเค! ก็ได้! จะให้ช่วยอะไรว่ามา!”
เกลียดคนตรงหน้านัก เกลียดรอยยิ้มยียวนอย่างคนถือไพ่เหนือกว่าแบบนี้ที่สุด!
เสียงจอแจ แสงสี และดนตรีบรรเลงเบาๆแล่นผ่านโสตประสาท
เขากำลังยืนอยู่หน้าร้านที่เมื่อคืนเพิ่งมาหมาดๆ สายตากวาดมองไปทั่วด้วยความงุนงง ตั้งแต่ที่พนักงานหน้าร้านยกมือไหว้สวัสดีบุรุษร่างสูงที่ลากเขามาถึงที่นี่ จนทางเดินไปสู่ประตูที่มีเพียงพนักงานเท่านั้นที่จะเข้ามาได้
“คุณพาผมมาที่นี่ทำไม?”
“ก็คุณบอกว่าจะช่วยผมไม่ใช่เหรอครับ?”
“อ้าว สวัสดีครับท่านประธาน”
ร่างสูงของหนุ่มในชุดสูทสีแดงคนหนึ่งที่เดินออกมาจากห้องพักพนักงานยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดี เป็นไงบ้าง?”
“ก็ดีครับ วันนี้แขกเยอะกว่าทุกวัน คงเพราะต้นเดือน เฮ้ย คางไปโดนอะไรมาครับ?!”
นิพิทอ้าปากค้างขณะอีกฝ่ายสนทนากับพนักงานในร้านอย่างตั้งใจ
เดี๋ยวนะ --- ท่านประธานอย่างนั้นเหรอ?!“อ้อ นี่เหรอ?” สายตาหยอกเย้าถูกส่งมายังร่างที่ยืนอยู่เคียงข้าง “โดนแมวข่วนน่ะ”
แมวตัวนั้นชักสีหน้าอย่างขัดใจ ขณะที่โฮสต์หนุ่มขมวดคิ้วด้วยความงุนงง เพราะดูอย่างไรรอยแผลนั้นก็ไม่เหมือนรอยแมวข่วนเลยสักนิด แต่ประธานว่าอย่างนั้น ใครจะกล้าขัด
เสียงประตูปิดลง และในตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในห้อง ‘ประธาน’ คนที่ว่า
“คุณเป็นเจ้าของร้านนี้เหรอ?”
“ครับ เจ้าของร้านเองครับ เพราะฉะนั้นถึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องดูแลความเรียบร้อยของร้าน อย่างเรื่องเมื่อคืนเป็นต้น”
“มันเกี่ยวกันที่ไหน!”
ใบหน้าสวยแดงก่ำไปจนถึงใบหูเมื่อถูกย้อนความทรงจำที่ยังไม่ทันได้ลืม ครั้นจะอ้าปากด่าแต่ก็พูดอะไรไม่ออก เขาผิดเองที่ดื่มเยอะจนเมา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ควรฉวยโอกาสกับคนที่เมาจนไม่ได้สติแบบนี้
“พอดีตอนนี้เลขาส่วนตัวของผมกำลังวุ่นวายเกี่ยวกับการปิดบัญชีร้าน เพราะปีนี้ร้านเราโดนสรรพากรเข้าตรวจ เขาเลยไม่มีเวลามาช่วยผมดูแลร้านอย่างที่เคยทำ”
“แล้วไง?”
“ผมเลยอยากให้คุณช่วยทำหน้าที่นั้นแทนให้หน่อยครับ”
ร่างสูงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มสบายๆ ไม่กดดันเลยสักนิด แต่บัตรเครดิตและรอยแผลบนใบหน้าก็ทำให้เขาต้องตกปากรับคำไปโดยปริยาย ในใจนึกคร่ำครวญถึงตรีภพผู้เป็นผู้จัดการส่วนตัวตงิดๆ หากมีผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วยคงหาทางแก้สถานการณ์ให้เขาได้แน่ เคยนึกดีใจที่ตรีภพได้ไปพักร้อนจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับเขา ที่ไหนได้ พ้นสายตาไปเพียงวันเดียวเขาก็คิดถึงอีกฝ่ายเสียแล้ว
“ผมจบนิเทศฯมานะ”
“ผมรู้แล้วครับ ประวัติการศึกษาของคุณมีอยู่ว่อนเน็ตเลย”
“ผมไม่เคยทำงานอย่างอื่นนอกเหนือจากเป็นนักร้อง”
“อืม ผมก็ไม่ได้ต้องการคนมีประสบการณ์มาก่อนเหมือนกัน”
“ผมไม่แน่ใจว่าจะทำที่นี่ได้สักกี่วันนะ อาทิตย์หน้าผู้จัดการของผมกลับมาคงต้องไปทำงานต่อ”
“อ้อ พอดีเชียวครับ ผมอยากได้คนช่วยแค่หนึ่งสัปดาห์นี้เท่านั้นล่ะ”
นิพิทนึกก่นด่าตนเองอยู่ในใจ รู้อย่างนี้ลดจำนวนวันลงอีกหน่อยดีกว่า
“แล้ว... คุณจะให้ผมทำอะไรบ้างล่ะ?”
“ง่ายๆครับ ก็แค่ช่วยงานผม งานจิปาถะอย่างงานเอกสาร แล้วก็เดินตรวจรอบๆร้านว่ามีอะไรน่าสงสัยเกิดขึ้นรึเปล่า และวันไหนที่ผมเข้า ก็ช่วยมารายงานให้ผมรับทราบเท่านั้นครับ”
“งานแค่นั้น หาคนอื่นมาทำแทนก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“... ผมไม่คิดว่าคุณอยู่ในสถานะที่จะต่อรองได้นะครับ”
“อะไรนักหนา อย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นผู้เสียหายจะได้ไหม?!”
“จริงๆแล้ว ผมว่าผมนี่ล่ะผู้เสียหายตัวจริง”
อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ แต่เขารู้สึกอยากจะตั๊นไอ้หน้าหล่อๆที่ประดับรอยยิ้มหวานนั่นอย่างบอกไม่ถูก ถ้าไม่ติดว่าประตูบานใหญ่จู่ๆก็เปิดเข้ามาเสียก่อน
“พี่เอก! วันนี้เข้าด้วยเหรอครับ?”
“เชษฐ์”
นามของผู้ที่เพิ่งมาถึงทำให้เจ้าของร่างสูงเพรียวหันไปมองด้วยความประหลาดใจ ลืมไปเสียสนิทว่าร่างสูงตรงหน้าเป็นพนักงานในร้านนี้ ท่าทางคงจะเป็น ‘เลขา’ คนที่ว่ากระมัง
“อ้าว พี่เนม! เมื่อคืนเป็นยังไงบ้างครับ? ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ไปส่ง”
ดูเหมือนว่าการก๊งเหล้าด้วยกันจะทำให้ระดับความสนิทเพิ่มขึ้น จากคำว่า ‘คุณ’ ก็กลายเป็น ‘พี่’ ได้อย่างรวดเร็ว
“อะ อ้อ ไม่เป็นไร”
นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าด้วยเหตุอันใด เขาถึงได้ไปนอนอยู่บนเตียงของเจ้าของร้านได้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม ความจริงก็ดูเหมือนจะค่อยๆเฉลยออกมาจากปากของมนุเชษฐ์โดยที่ร่างสูงอีกคนจะอ้าปากห้ามไว้ไม่ทันจึงได้แต่ยืนอมยิ้มอยู่หลังโต๊ะประธาน
“เมื่อคืนดูเหมือนว่าพี่จะเมาหนักไปหน่อยครับ แต่ตอนนี้หายคลื่นไส้แล้วใช่ไหม?”
“เอ่อ... เมื่อคืนพี่...?”
“อ้าว จำไม่ได้เหรอครับ? เมื่อคืนพี่อาเจียนใส่ผม กำลังคิดเลยว่าจะทำยังไงดี พอดีพี่เอกผ่านมาเลยอาสาไปส่งพี่ที่บ้านให้ แต่เหมือนว่าสุดท้ายแล้วก็เลอะด้วยกันหมดอยู่ดีใช่ไหมครับ? เห็นว่าพี่เอกต้องเอารถไปล้างอยู่ศูนย์นี่ ยังไงวันหลังระวังหน่อยนะครับพี่ ดื่มจนเมามากมันไม่ดีเท่าไหร่”
มนุเชษฐ์เอ่ยเรื่อยๆโดยไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่านิพิทซึ่งยืนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกด้วยความอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ความทรงจำในตอนเช้าค่อยๆรีรันเข้ามาในโสตทีละประโยค
'เห็นเสื้อผ้าผมไหม?'
'ตากอยู่ในห้องน้ำแน่ะครับ'
'น่าเสียดายที่คุณจำผมไม่ได้ ทั้งที่เมื่อคืน... คุณฝากรักกับผมเอาไว้เต็มที่ขนาดนั้นแท้ๆนะ'
'ผมแค่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เมื่อคืนทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี... ทำไมจู่ๆเช้ามาผมถึงได้รับการต้อนรับด้วยหมัดแบบนั้น'
ดวงหน้าแดงจัดหันไปทางต้นเรื่องที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ห่างๆโดยไม่มีความสำนึกผิดอยู่ในแววตาเลยแม้เสี้ยวกระผีก
สรุปนี่เขาโดนหลอกว่างั้น!
มนุเชษฐ์ที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นักมองนาฬิกาแล้วขอตัวไปทำงานก่อน ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศกรุ่นๆเตรียมปะทุของร่างที่ยืนตัวสั่นอยู่กลางห้อง
นึกจะมาทิ้งบอมบ์ก็มา เสร็จแล้วก็จากไปไม่คิดจะช่วยกันเลยนะน้องชายที่รัก
ธนกรนึกระอาในใจ ยิ่งปรายสายตามองเห็นสีหน้าแดงสลับกับซีดของอีกฝ่ายก็นึกอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่ก็ต้องหักห้ามเอาไว้เพราะแค่นี้ก็รู้ดีถึงผลลัพธ์ที่กำลังจะตามมาแล้ว
“คะ คุณ!!!”
โมโหจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตรงรี่เข้าไปหาต้นเรื่องที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่หลังโต๊ะ มือเรียวกระแทกลงบนโต๊ะไม้สักอย่างดีเสียเต็มแรง แล้วก็ต้องเงียบไปชั่วครู่เพราะเจ็บจนมือชา ทำเอาผู้เป็นประธานถึงกับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
“เป็นสิ! ไอ้บ้า! หลอกกันเหรอ!!”
“ไม่ได้หลอกเลยนะครับ”
“ไม่หลอก แล้วที่พูดมานี่อะไร! ตั้งใจทำให้เข้าใจผิดกันนี่!!”
ธนกรอมยิ้มอีกครั้ง ในแววตาฉายชัดถึงการหยอกเย้าราวกับเห็นร่างตรงหน้าเป็นลูกแมวหรือสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่น่ารักน่าเอ็นดู
“อะไรกัน ผมก็แค่บอกว่าคุณฝากรักใส่ผมเท่านั้น เหมือนกับเวลาแมวมาฝากรักนั่นแหละครับ ว่าแต่คุณเข้าใจว่าอะไรเหรอครับถึงได้โกรธขนาดนี้?”
“เข้าใจว่าอะไรเหรอ?! ก็....!!”
ผิวแก้มใสที่ขึ้นสีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมแดงขึ้นอีกจนธนกรนึกหวั่นว่ามันจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ ปลายนิ้วหนาประคองใบหน้ารูปไข่ให้เงยขึ้นเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ดวงตาคมที่มองตรงมาทำเอาหัวใจเต้นรัวผิดจังหวะ
“ว่ายังไงครับ?”
“.... คะ คุณ........! เออ ช่างมันเถอะ! ผมเข้าใจผิดไปเองนั่นล่ะ!”
“เอ จริงเหรอ แต่ผมก็อยากจะแก้ไขความเข้าใจผิดนั่นเหมือนกันนะ”
“ไม่ต้อง พอ ผมอยากลืมเรื่องนี้เต็มทีละ!”
สรุปว่าเขาคงเมาหนัก อาเจียนใส่มนุเชษฐ์เสียจนพาเขากลับบ้านไม่ได้ เลยส่งต่อให้กับเจ้าของร้านที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดี แต่ลงท้ายแล้วก็อาเจียนคารถเสียจนเละเทะไปทั้งสองคน ลงเอยด้วยการโดนจับแก้ผ้าเพื่อทำความสะอาด ตอนเช้าสภาพเลยเป็นแบบนั้นสินะ
--- เมื่อเช้านี้น่าจะต่อยให้แรงกว่านี้หน่อย“เข้าใจรึยังล่ะครับ ว่าผมเป็นผู้เสียหายในเรื่องครั้งนี้”
“เออ รู้แล้ว! ผมผิดเอง! จะให้ทำอะไรบอกมาเลย!”
“ว่าง่ายจัง... ถ้างั้น เริ่มต้นจากเรื่องเบสิกๆกันก่อนไหมครับ”
“อะไร?!”
ปลายนิ้วเรียวแนบลงบนริมฝีปากนุ่มที่ขยับไม่ยอมหยุด ดวงตาคมมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาคู่สวยราวกับจะเพ่งมองเข้าไปถึงตัวตน
“เริ่มจาก พูดจาดีๆกับเจ้าของร้านก่อนนะครับ จริงๆผมก็ไม่ถือหรอก เพราะยังไงคุณก็อายุมากกว่าผม แต่คงดูไม่ดีเท่าไหร่ในสายตาของคนอื่น”
“รู้ได้ไงว่าอายุมากกว่า?”
“บอกแล้วไงครับ ประวัติของคุณน่ะว่อนเน็ต”
“เออ เข้าใจแล้ว”
“เข้าใจแล้ว ‘ครับ’”
นิพิททำหน้ามุ่ยอย่างขัดใจ
“เข้า-ใจ-แล้ว-ครับ”
จงใจพูดช้าๆชัดๆ ประชดประชันอีกฝ่าย แต่ธนกรกลับยิ้มรื่นอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ดีครับ แล้ววันหลังเพื่อความปลอดภัยของคุณเอง อย่ามีเรื่องกับคนไม่รู้จักบ่อยๆนะครับ ถ้าเมื่อวานผมไม่อยู่กับเชษฐ์ ป่านนี้หน้าสวยๆของคุณอาจมีรอยไปแล้วนะ”
“หมายความว่าไง?”
“อ้าว ลืมกันซะแล้วเหรอครับ? เราเคยเจอกันที่สุวรรณภูมิแล้วไง”
ความทรงจำค่อยๆแล่นวาบเข้ามาทีละฉาก นิพิทอ้าปากค้างเมื่อนึกถึงคนที่มีเรื่องด้วยตอนหยิบกระเป๋าเดินทางได้ ที่แท้ก็คนนี้เองที่เข้ามาห้าม ก็คิดอยู่ว่าหน้าคุ้นๆเหมือนเคยเจอกันที่ไหน
“ยังมีอีกเรื่อง”
“อะไรนักหนา”
นิพิทบ่นพึมพำ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของอีกฝ่าย
“ผมชื่อเอก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณเนม”
เจ้าของนามพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้ แต่กลับถูกปลายนิ้วหนารั้งชายเสื้อเอาไว้พร้อมกับใบหน้าดูดีประดับรอยยิ้มที่มองตรงมา
“ก็ได้ๆ ผมชื่อเนม พอใจยัง?”
“พูดไม่เพราะเลย เราควรทำความรู้จักกันไว้นะครับ ต้องอยู่ด้วยกันตั้งอาทิตย์”
“.......... ผมชื่อเนม ชื่อจริงชื่อนิพิท แปลว่ากระจ่างชัด ปัจจุบันอายุยี่สิบเจ็ดปี อาชีพนักร้อง มีพี่สาวชื่อนา เป็นดารา กับน้องชายชื่อนท เป็นผู้ช่วยผู้บริหาร พ่อแม่อยู่จังหวัดกาญจนบุรี ตอนนี้ผมกลับมาจากอเมริกาเพื่อพักผ่อนแต่กำลังถูกรบกวนเวลาพักผ่อนด้วยคนบางคนที่กำลังยัดเยียดให้ผมทำงานเป็นเลขาชั่วคราวเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เท่านี้เข้าใจยัง
ครับ!”
ธนกรอึ้งไปชั่วครู่กับถ้อยคำแนะนำตัวที่ยาวยืดโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะหยุดพักหายใจเลยแม้เพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะคลี่ยิ้มอย่างสมใจ
“กระจ่างแจ้งสมชื่อเลยครับ”
เจ้าของชื่ออยากจะทึ้งผมสวยๆของตนเองให้หมด ถ้าไม่ติดว่าบริษัทประกันจะไม่จ่ายค่าเสียหายนะ เขาคงเอาศีรษะโขกกับร่างตรงหน้าสักรอบสองรอบ เผื่อว่าจะช่วยให้คนกระจ่างเลิกกวนส้นสักที
--- ไอ้บ้าเอ๊ย!!
Talk: หวังว่าคงยาวพอชดเชยตอนก่อนหน้าได้นะคะ
พอดีหยุดอยู่บ้านเลยมีเวลา อยากให้ทุกเดือนมีวันหยุดเยอะๆแบบนี้จริงๆเลยเนอะ
