[[ THE CAGE ]] . . กรงรัก . .
[29]
“อาการของคุณนทดีขึ้นเยอะแล้วนะครับ ไวกว่าปกติมากทีเดียว”
แพทย์สูงวัยเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นร่างบอบบางเริ่มลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำเองได้ ทั้งๆที่คนไข้อาการเดียวกับส่วนใหญ่ต้องทำกายภาพบำบัดอีกนานกว่าจะเดินเหินได้คล่องแคล่วเช่นนี้ นับเป็นโชคดีของร่างตรงหน้าที่เขานึกเห็นใจ ยังเด็กอยู่แท้ๆแต่กลับต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ ดีที่มีคุณชายของเขาคอยอยู่เป็นเพื่อนให้กำลังใจตลอด
จะว่าไปพฤติกรรมของธนกรก็อดทำให้เขานึกสงสัยไม่ได้ เท่าที่ทราบมา คุณชายใหญ่ของเขาไม่ค่อยจะใส่ใจใครต่อใครนัก เที่ยวสนุกไปวันๆ ธุรกิจของที่บ้านก็ไม่คิดจะสืบทอด เขาที่ไม่ค่อยได้เจอกับร่างสูงนักก็ได้แต่ฟังคำของคนรอบข้างที่นำมานินทากันสนุกปาก แต่เมื่อได้พบกับตัวจริง กลับรู้สึกตรงกันข้าม ก็เพราะธนกรทั้งดูแลและเอาใจใส่นิชาอย่างตั้งใจ แววตาที่ทอดมองร่างเล็กที่พยายามทำกายภาพบำบัดอย่างจริงจังนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนจนพยาบาลสาวน้อยใหญ่ล้วนชื่นชม และเข้าใจผิดคิดกันไปว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องแท้ๆคลานตามกันมาเสียด้วยซ้ำไป
“นท หิวรึยัง?”
“ยังไม่หิวเท่าไหร่ครับ”
“แต่นี่เที่ยงแล้วนะ กินเลยดีกว่า เดี๋ยวปวดท้อง... มา พี่ป้อนนะ”
ใบหน้าเนียนขึ้นสีเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายนำถาดอาหารของโรงพยาบาลวางไว้บนตัก แล้วหยิบช้อนขึ้นมาเตรียมตักอาหารอย่างกระตือรือร้น ไม่รู้ว่าจะเขินสายตากรุ้มกริ่มที่จ้องมองมาดี หรือเขินสายตาคนรอบข้างที่ลอบมองอยู่อย่างห่างๆดี จะรอให้พยาบาลออกไปก่อนค่อยทำไม่ได้หรือไงกันนะ
แม้นิชาเองก็เริ่มชินกับความไม่แคร์สื่อของธนกรบ้างแล้ว หลังจากอีกฝ่ายเคยแม้แต่อุ้มเขาเข้าไปทำธุระในห้องน้ำต่อหน้าพยาบาลสาวที่ดูแลเขาเป็นประจำ ทั้งๆที่พยาบาลก็เตรียมกระโถนสำหรับเขาแล้ว แต่รายนั้นกลับไม่ยอม ไม่รู้เกิดหวงอะไรขึ้นมา
แต่จริงๆเขาก็นึกขอบคุณธนกร ก็โตมาขนาดนี้แล้วจะให้ใช้กระโถนอยู่ก็บอกอารมณ์ไม่ถูก หนำซ้ำยังต่อหน้าผู้หญิงอีกต่างหาก ต่อให้คิดว่าเป็นหน้าที่ของพยาบาลเขาก็ยังรู้สึกอายอยู่ดี
“กินเยอะๆ จะได้หายไวๆ”
นิชายิ้มน้อยๆและพยักหน้า น้ำเสียงนุ่มที่คอยปลอบโยนและให้กำลังใจของผู้ชายตรงหน้าเป็นเสมือนยาชั้นดี ธนกรคอยพยุงในยามที่เขาล้ม และคอยส่งกำลังให้ก้าวต่อไป เขาก็ต้องการเพียงเท่านี้ ใครสักคนที่อยู่เคียงข้างไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข คอยค้ำจุนกันและกัน เป็นความสุขทางใจที่ไม่ว่ามีเงินมากเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้
แสงอาทิตย์ที่ส่องลาดเข้ามาภายในห้อง ทอประกายระยิบระยับสวยงาม เจิดจ้าในฟากฟ้าสีสดใส ดวงตาคู่สวยมองออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้าน่ารัก อากาศก็ดี เสียงนกก็ไพเราะ ในยามที่หัวใจรู้สึกดีแบบนี้ ไม่ว่าเห็นอะไรก็มีความสุขได้ตลอดจริงๆ
“วันนี้ฟ้าสวยเนอะ พี่เอก”
“อืม ใช่... สวยจริงๆด้วย”
เสียงกริ่งดังขึ้นหน้าบ้าน ทำเอาเจ้าของเรือนร่างเพรียวที่กำลังนอนเล่นดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาตัวเขื่องถึงกับสะดุ้งตัวลอย ใครจะไปคิดว่าจะมีแขกในบ่ายวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อเช่นนี้กันเล่า ใครกันนะที่มาหาเธอถึงบ้าน จะว่าเพื่อนก็ไม่น่าจะใช่ เพราะยังไม่เคยมีใครรู้ว่าบ้านใหม่ของเธออยู่ไหน หรือจะเป็นเตชินท์ รายนั้นก็มีกุญแจบ้าน ไม่เห็นจำเป็นต้องกดกริ่งนี่นา
เมื่อเรียวขาก้าวมาถึงประตูด้านหน้า มองลอดหน้าต่างกระจกใสออกไปเธอจึงได้พบกับร่างแน่งน้อยของน้องสาวคนเล็ก นภิสารีบเปิดประตูต้อนรับเด็กสาวในชุดกระโปรงน่ารักด้วยความยินดีแกมประหลาดใจ
“ลมอะไรพัดเรามาถึงนี่ได้น่ะ เล็ก?”
“นานๆทีก็อยากมาเยี่ยมพี่หญิงบ้างนี่นา สบายดีไหม?”
“ดีสิ กำลังเบื่ออยู่พอดีเลย” เธอเอ่ยพลางเดินนำเข้ามาในตัวบ้าน ห้องนั่งเล่นที่ถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยยังอยู่ในสภาพเดิม “นั่งก่อน เดี๋ยวเอาน้ำมาให้ หิวรึเปล่า?”
“นิดหน่อย นี่อยู่คนเดียวเหรอคะ?”
“อื้อ ดูอะไรเรื่อยเปื่อย เล็กเปลี่ยนช่องได้เลยนะ”
“หืม แล้ว... พี่ชินล่ะ?”
“ถามทำไม?”
หญิงสาวเผลอตอบกลับด้วยคำถามอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันคิด เจ้าหล่อนไม่นึกอยากจะพูดถึงชายคนนั้นนัก เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้นก็ยังไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย เมื่อได้ยินนามของเตชินท์ชัดๆอีกครั้ง ก็พลอยทำเอาประหวัดไปถึงเหตุการณ์บนรถในวันนั้น
บ้าหรือเปล่า มาขอให้เธอรัก คนเราไม่ได้มีสวิตซ์นะถึงจะสั่งให้ใจรักใครก็ได้ และคนอย่างเธอก็ไม่คิดจะรักใครเพราะสงสารหรือเห็นใจเสียด้วย ดูสภาพแล้วอย่างกับคนอกหักมา ตลกที่สุด คงจะเป็นคนที่ชื่อ ‘นท’ คนนั้น แล้วคิดจะให้เธอดามหัวใจให้ระหว่างนี้หรือ ฝันไปเถอะ ผู้ชายโลเลแบบนี้เธอเกลียดนักล่ะ
ในขณะที่ผู้เป็นน้องสาว กลับไม่สังเกตเห็นเจตนาของพี่สาว และตีความไปผิดทาง
“ถามไม่ได้ก็ไม่ถาม ไม่คิดว่าพี่หญิงจะหวงสามีขนาดนี้”
“ไม่ใช่แบบนั้น พี่ไม่อยากให้เล็กไปยุ่งกับเขาน่ะ”
“อ้อ ขนาดนี้ยังไม่ยอมรับว่าหวงอีกเหรอพี่หญิง อะไรจะขนาดนั้น ไหนบอกไม่อยากแต่งงานไง พี่หญิงจะกลืนน้ำลายตัวเองเหรอ”
นภิสาระบายลมหายใจ เพิ่งจะดีกันได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าเรื่องจะเริ่มวนกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว นี่เธอต้องทะเลาะกับน้องสาวเพราะผู้ชายคนนั้นอีกนานแค่ไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่อยากจะให้ลลดาไปวุ่นวายกับเตชินท์เลย ไม่อยากจะให้ผู้ชายแบบนั้น --- คนใจง่าย เหมือนจะเข้มแข็ง แต่พอพ่ายแพ้ก็อ่อนแอเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน --- มาแตะต้องน้องสาวที่น่ารักของเธอแม้แต่ปลายก้อย
หากไม่รีบแก้ไขความเข้าใจผิด เดี๋ยวทุกอย่างก็จะลามและลุกเป็นไฟอีกครั้ง
“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เล็ก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ดีหรอกนะ พี่แค่ไม่อยากให้เล็กต้องอยู่กับคนแบบนั้น”
“ทำไมพี่ไปว่าพี่ชินแบบนั้น พี่เขาไม่ใช่คนไม่ดีซะหน่อย” ลลดาเอ่ย นึกขัดเคืองที่อีกฝ่ายต่อว่าคนที่เธอรักและปรารถนาจะแต่งงานด้วยเช่นนั้น “คนดีๆเขาไม่จำเป็นต้องแสดงออก พี่หญิงอย่ามองแค่ภายนอกสิ พี่ชินเขาอาจจะดูเป็นเพลย์บอย แต่จริงๆเขาก็มีคนที่รักจริงนะ”
“พี่รู้ว่าเขามี”
เธอนึกถึงสีหน้าระทมทุกข์ของชายหนุ่มในวันนั้น คนที่กล้าแข็งไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร กลับแสดงท่าทางอ่อนแอออกมาให้ได้เห็น จริงๆก็ตั้งแต่วันที่น้องชายเปิดร้านเป็นวันแรก สามีของเธอเอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามาย ไม่พูดไม่ดูแลใคร ซึ่งผิดวิสัยคนสวมหน้ากากในสังคมยิ่งนัก
จะว่าไป ในวันนั้น เธอเองก็ได้เห็นคนที่หน้าตาคล้ายกับเจ้าของร้านกาแฟร้านประจำ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้ติดตามว่าใช่คนเดียวกันจริงหรือไม่ เพราะแม้ว่าหากดูจากประเภทของงานก็คล้ายคลึงกัน แต่ตามธุรกิจแล้วมันคนละสไตล์กันเลย เธอจึงคิดว่าไม่น่าใช่
แต่ว่าในคืนนั้น ชื่อที่เตชินท์หลุดปากออกมา
‘นท’ชื่อที่คุ้นเคย --- ที่เธอไม่นึกเอะใจในคราแรกที่ได้ฟัง
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ในขณะที่น้องสาวบ่นแว้ดอยู่ข้างหูอย่างขัดใจนัก
“พี่หญิงฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย?”
“ฟังสิ... เมื่อกี้ว่าไงนะ?”
“ก็ที่พี่หญิงบอกว่า รู้ว่าพี่ชินมีคนที่รัก... พี่หญิงรู้ได้ไงล่ะ?”
ในเมื่อเรื่องนี้มีเพียงเธอและเตชินท์ที่รู้ เป็นความลับระหว่างคนสองคนเท่านั้น การที่นภิสารู้ก็เท่ากับว่าความแตก ลลดากังวลนักว่าแผนการแต่งงานที่เธอเฝ้ารอจะล้มเหลว
“รู้สิ... ก็ชัดเจนซะขนาดนั้น”
“ชัดเจน?”
“ก็เหมือนจะถูกหักอกมา เล็กจำได้ไหม คนที่ร้านกาแฟน่ะ... แต่พี่ก็ยังไม่ชัวร์นะว่าคนเดียวกันจริงรึเปล่า แต่ก็ชื่อเดียวกันนั่นแหละ”
“... อ้อ คนนั้นนี่เอง”
ที่แท้ก็ไม่ได้หมายถึงเธอ แต่หมายถึงผู้ชายคนนั้น คนที่สายสืบของเธอนำมารายงานว่าเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ร่วมคอนโดเดียวกับผู้ชายที่เธอรักนานเป็นปี แต่ล่าสุดย้ายออกมาด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เตชินท์ก็ยังตามติดต่ออยู่เนืองๆ
หน้าตารึ ก็งั้นๆ สูงรึก็ไม่ นอกจากดูใสๆแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเทียบกับเธอได้สักอย่าง ผู้หญิงแท้ๆอย่างเธอย่อมดีกว่าแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเตชินท์ถึงยังตัดไม่ขาด ในเมื่อมีเธออยู่เคียงข้างตลอดเช่นนี้
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเข้าหา แต่หากเข้ามาเกะกะในเส้นทางของเธอ สิ่งเดียวที่เธอจะทำได้อย่างง่ายดายก็คือ
กำจัดซะ“จากนี้ก็คงไม่ไปยุ่งแล้วล่ะมั้ง”
“พี่ก็คิดอย่างนั้น จริงๆก็ไม่ได้สนใจหรอก ไม่ใช่เรื่องของพี่นี่นะ”
“พี่หญิงไม่โกรธเหรอ สามีรักคนอื่นแบบนี้”
--- แถมยังเป็นผู้ชายอีกต่างหาก“ไม่หรอก พี่ไม่ได้รักเขานี่ บอกแล้วว่ามันแค่การแต่งเพื่อธุรกิจ เล็กไม่เชื่อพี่เลย”
“พี่หญิง จริงๆเหรอ รู้แบบนี้แต่ก็ไม่โกรธเหรอ?”
“จะโกรธทำไมล่ะ? เขามีคนรักก็ดีอยู่แล้วนี่”
หงุดหงิดก็แค่ตัวเองซะมากกว่าที่เผลอไผลขาดสติเพราะถูกเสียงนุ่มๆ และดวงตาที่เว้าวอนในคืนนั้นหลอกซะจนพลาดพลั้งไป แต่ก็แค่ครั้งเดียว เธอไม่อยากจะนำเรื่องแค่นี้มาเป็นพันธะว่าเธอต้องรักคนคนนี้ ด้วยเหตุผลเพียงแค่ ‘ก็ได้กันแล้ว’
--- ขืนใช้ทฤษฎีนี้รักใครสักคน คนอย่างเตชินท์คงมีคนรักนับไม่ถ้วนทีเดียว
“งั้นพี่หญิงก็คงไม่เอาไปบอกใครใช่ไหม?”
“ไม่หรอก จะให้บอกใครล่ะเรื่องแบบนี้”
ลลดาถอนหายใจโล่งอก นึกขอบคุณความใจกว้างของร่างตรงหน้านักหนา เพราะหากเรื่องนี้หลุดไปถึงหูใครเข้า เรื่องที่เธอสั่งการไปคงย้อนรอยกลับมาหาเธอได้ในเวลาไม่นาน จะว่าไป หลายวันมาแล้วลูกน้องที่เธอจ้างวานไว้ยังไม่ติดต่อมาเสียที ครั้นจะติดต่อไปก็ติดต่อไม่ได้อีก น่าแปลกนัก แต่พวกมือสมัครเล่นก็แบบนี้ อย่าบอกนะว่าเกิดขี้ขลาดขึ้นมา เดี๋ยววันนี้ต้องไปหาถึงที่ซะแล้วกระมัง
“สรุปเล็กมีเรื่องอะไรกับพี่รึเปล่า? หรือจะชวนไปไหน?”
“อ้อ ก็อยากจะมาคุยด้วยเฉยๆค่ะ หรือพี่หญิงไม่ว่าง?”
“คุยด้วยน่ะได้หรอก แต่อย่าโมโหสิ เราน่ะอารมณ์ร้อนประจำเลย”
“อื้อ ก็พยายามปรับอยู่ แต่มันยากนี่นาการควบคุมอารมณ์น่ะ ป๊ากับม้านั่นแหละตามใจเล็กตั้งแต่เด็ก ก็เลยติดเป็นนิสัย แบบนี้มันแก้ยากนะ”
“โทษคนอื่นอีก เราก็หัดตั้งสติดีๆก่อนจะพูดหรือทำอะไรสิ มันก็แค่นั้นเอง”
“พี่หญิงไม่ได้มาเป็นเล็ก ไม่เข้าใจหรอก เล็กน่ะใจเย็นลงตั้งเยอะแล้วนะ”
“อะไรทำให้คิดแบบนั้นได้นะเรา”
หญิงสาวโคลงศีรษะพร้อมกับเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อรินน้ำส้มใส่แก้วใสให้ผู้เป็นน้องสาว ขณะที่มีสายตาทอประกายอย่างหมายมาดมองตามหลังอย่างไม่ละสายตา ริมฝีปากคู่สวยที่ฉาบด้วยลิปสติกสีชมพูขยับเอ่ยเอื้อนถ้อยคำโดยไม่เปล่งเสียง แน่นอน นภิสาไม่ได้ยินหรอก แต่คำเหล่านี้ย้ำชัดลงไปทุกลมหายใจของเธอ
“ก็ใจเย็นรอให้ถึงวันที่ทุกคนพังทลาย และพี่ชินจะได้เป็นของเล็กคนเดียวไงล่ะ”
“ฮัดเช้ย!”
“เป็นหวัดเหรอครับ บอส”
“เปล่า... เหมือนคนนินทาน่ะ”
เตชินท์ขยับกรอบแว่นสีดำ ขณะตรวจสอบข้อมูลของคู่แข่งรายใหม่ที่จู่ๆก็เข้ามาในตลาด ธุรกิจค้าอาวุธข้ามชาติไม่ใช่ธุรกิจที่จู่ๆอยากจะทำก็ทำได้ง่ายๆ เพราะมันเกี่ยวพันกับเรื่องของกฎหมาย ทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งเจ้าของธุรกิจที่อยู่ในตลาดโลกต่างก็เป็นผู้ทรงอิทธิพลกันทั้งนั้น หากไม่มีเส้นสาย ก็อย่าหวังเลย
แต่บริษัทนี้ เป็นเพียงบริษัทที่ไม่มีชื่อเสียง ค้นหาที่มาที่ไปไม่พบ ทั้งๆที่ในตอนนี้เขารวมธุรกิจเข้ากับหลิวเช่อแล้วแท้ๆ บริษัทของเขาใหญ่และมีชื่อเสียงกว่าหลายเท่าตัว แต่เหตุใดลูกค้ารายสำคัญหลายรายถึงได้หันเหไปสั่งสินค้าจากบริษัทนั้นแทน
หรือเป็นเพราะเรื่องของราคาที่ผันผวนตามเศรษฐกิจโลก จากวิกฤติหนี้ยุโรปทำให้เขาสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ไปเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ฝั่งยุโรปนิยมชมชอบปืนโบราณนักหนา แต่อย่างว่า เรื่องเศรษฐกิจก็มีผลกระทบสูงอยู่เหมือนกัน ต่อจะรวยล้นฟ้ามาจากไหนก็ตาม ก็ต้องรู้จักลดสินค้าฟุ่มเฟือยไปบ้าง
หนำซ้ำ แหล่งผลิตของเขาก็ถูกทำลายไปหลายแห่ง เรียกได้ว่าสินค้าก็ขาด ลูกค้าก็ลดลง มีแต่เรื่องแย่ๆที่ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน และนั่นเองทำให้เขาต้องปรับราคาขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น เหตุใดลูกค้ากลุ่มอเมริกาตะวันออกถึงได้เลิกซื้อสินค้าของเขาแล้วไปซื้อจากบริษัทเล็กๆนั่นโดยไม่แม้แต่จะบอกกล่าวเช่นนี้
หากเป็นเพียงลูกค้ารายย่อยทั่วไปเขาคงไม่แคลงใจ แต่นี่เป็นลูกค้าที่คบค้าสมาคมกันมาหลายสิบปี ตั้งแต่รุ่นบิดาของเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าจะบอกว่าเป็นแค่เรื่องของเงินก็ไม่น่าจะทำกันแบบนี้
“ตามที่บอสสั่ง ผมไปตรวจสอบมาแล้วนะครับ บริษัทนั้นไม่มีชื่ออยู่ในระบบกระทรวงพาณิชย์ น่าจะปลอมแปลงเอกสารและจัดตั้งขึ้นเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่อยู่ที่ลงไว้ในอินเตอร์เน็ตก็ไม่มีอยู่จริง เบอร์โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้”
“แล้วลูกค้า...?”
“เจ้าของบริษัทจะเป็นฝ่ายติดต่อไปหาลูกค้าเองโดยตรงครับ นอกเหนือจากนั้นแล้วไม่มีทางอื่นในการติดต่อ ล่าสุดผมทราบมาว่าเริ่มตีตลาดลูกค้าในออสเตรเลียแล้วด้วยครับ”
น่าแปลก ราวกับว่าบริษัทนี้ไม่ได้ตั้งใจจะหาลูกค้า แต่จงใจจะแย่งลูกค้าไปจากเขาเสียมากกว่า
“ไปสืบมาให้ได้ว่ามันเป็นใคร”
ชายหนุ่มร่างหนาผู้เป็นดั่งมือขวาของเตชินท์พยักหน้า ไม่ว่าจะยากเย็นเป็นตายแค่ไหน คำสั่งของชายตรงหน้าคือที่สุดในบริษัทแห่งนี้
“แล้วก็ หาทางกำจัดมันออกไปจากตลาดของเราให้ได้”
“ทราบแล้วครับ บอส”
เตชินท์ทอดสายตามองออกไปนอกผนังที่ทำจากกระจกใส ด้านนอกไม่สามารถมองเข้ามาได้ แต่จากด้านในบนชั้น 56 แล้ว มองเห็นเมืองได้ชัดเจนทีเดียว
ท้องฟ้าสีสดสวยไร้หมู่เมฆ มีเพียงรอยพาดสีขาวจากเครื่องบินไอพ่นที่ผ่านมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างดูเงียบสงบ ปราศจากความวุ่นวาย ราวกับเป็นภาพวาดบนผืนผ้าใบของจิตรกรดัง ที่สามารถเปลี่ยนเมืองอันเต็มไปด้วยการฉ้อโกงและแก่งแย่งชิงดี ให้กลายเป็นประเทศที่งดงามและสงบสุขได้
แต่ก็เพียงเท่านั้น ไม่ว่ารอบด้านจะเป็นอย่างไร ในหัวใจของเขาก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน --- ร้อนดั่งมีไฟสุม อมทุกข์ ไม่เป็นสุข --- เขาไม่เคยยิ้มได้อีกเลย นับแต่ไม่มีเสียงร้องของนกน้อยที่เป็นดั่งกำลังใจในการดำเนินชีวิตของเขา
ตอนนี้เด็กที่ชอบท้องฟ้าคนนั้นกำลังมองฟากฟ้าแบบเดียวกันกับเขาอยู่รึเปล่า?เพิ่งเข้าใจว่า การเสียสละเพื่อคนที่รัก มันจะเจ็บปวดมากขนาดนี้
แล้วนิชาที่เสียสละเพื่อเขามาตลอด 5 ปี --- จะเจ็บปวดมากขนาดไหน?
เตชินท์ปรายสายตามองนาฬิกาที่ข้อมือ วันแห่งความวุ่นวายเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น แต่เขากลับไม่รู้จะทำอะไร เบื่อหน่ายเสียจนตัดสินใจมายืนดูทิวทัศน์อยู่เฉยๆเช่นนี้ ไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งสิ้น
ทว่า --- ภาพของบุคคลที่รักกลับลอยเข้ามา
“... นท”
ดวงตาคมปิดลงเพื่อลืมภาพรอยยิ้มของร่างงาม แต่ยิ่งพยายามจะลืม กลับยิ่งทำให้นึกถึงอิริยาบถของนิชามากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งเสียงใสที่หัวเราะทีไรก็ทำให้เขายิ้มออกได้ทุกทีไม่ว่าเมื่อไหร่
ทั้งน้ำเสียงหวานนุ่มที่แสนอ่อนโยนในทุกครั้งที่เอ่ยเรียกชื่อของเขา
ทั้งรอยยิ้ม และดวงตาชุ่มน้ำคู่สวยที่สะท้อนภาพของเขาตลอดเวลา
จะโทษใครได้อีกนอกจากตนเอง
ตนเอง ที่งี่เง่า เอาแต่ใจ และไร้สติ
--- จนทำให้สูญเสียคนที่รักสุดหัวใจ ด้วยน้ำมือของตัวเขาเอง
“บอส ผมมีอีกเรื่องจะต้องแจ้งให้ทราบ”
ร่างสูงของคนสนิทเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง ทำให้เจ้าของร่างสูงหันกลับมามองพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เนื่องจากผู้ชายตรงหน้ามีนิสัยสุขุมรอบคอบ ไม่น่าจะลืมบอกอะไรหากเป็นเรื่องสำคัญ
“ผมไม่แน่ใจว่าบอสต้องการจะฟังอยู่ไหม”
“เรื่องอะไรล่ะ? ว่ามาสิ”
“เรื่องของคุณนท”
ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ความรู้สึกในใจตีวกไปวนมา อยากรู้นักว่าป่านนี้นิชาจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่คำพูดที่ทำให้เขาเจ็บปวดกลับแล่นวาบเข้ามาในสมอง
‘กลับไปได้แล้ว... นทไม่อยากเห็นหน้าพี่อีก และขอให้เราจบกันแค่นี้ อย่าติดต่อมาอีก อย่าส่งคนมาตาม เพราะไม่ว่ายังไง... นท... ก็จะไม่กลับไปอีกแล้ว’“ตอนนี้คุณนท...”
“ไม่ต้องพูด” เตชินท์ขัดจังหวะเสียงเรียบ “จากนี้ไป ไม่ต้องติดตามเด็กคนนั้นอีกต่อไปแล้ว”
“แต่ว่า...”
“ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งรึไง!”
“... ทราบแล้วครับ”
สิ่งเดียวที่คนเลวอย่างเขาพอจะทำได้ ก็คือทำตามความปรารถนาของเด็กคนนั้น หากเด็กคนนั้นไม่ต้องการจะพบหน้าคนอย่างเขา เขา --- ก็จะไปให้ไกลตา จะไม่มีวันที่นิชาได้เห็นหน้าเขาให้รำคาญตาอีกต่อไป
Talk: พักนี้มาอัพบ่อยหน่อย มีอารมณ์เขียน และมีเวลาเขียนค่ะ
วันหยุดยาวสามวันนี้จะใช้เวลาเต็มที่กับนิยายเรื่องนี้ให้มากที่สุด
ว่าแต่ทุกคนไปเที่ยวไหนกันรึเปล่าคะ
จะไปไหนก็เดินทางระวังกันด้วยนะคะ แล้วอย่าลืมกลับมาติดตามกรงรักกันต่อล่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจมากๆนะคะ
ป.ล. เรื่องความจำเสื่อมเพราะสมองกระทบกระเทือน ขอบคุณสำหรับหลายๆท่านที่ให้ความรู้เพิ่มเติมนะคะ
ชานมเรียนศิลป์คำนวณ แล้วจบคณะบัญชีค่ะ เพราะงั้นจะเขียนอะไรทำนองนี้พึ่งแต่อากู๋อย่างเดียว
มีอะไรแนะนำเพิ่มเติม เสริมกันมาได้เลยนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ