บทที่ 32
“เฮ้อ~~~ เสร็จซักทีเนอะพี่เมฆ”
ผมกำลังเดินคุยอยู่กับพี่เมฆที่ทางเดินหน้าตึกสอง ซึ่งเป็นอาคารเรียนสำหรับเด็กชั้นม.ปลายอย่างพวกเรา พี่เมฆเป็นคู่ทีมที่ไปแข่งตอบปัญหาภาษาอังกฤษกับผมเอง และผลที่ออกมาก็คือทีมของโรงเรียนเราได้ตำแหน่งชนะเลิศอันดับหนึ่งมาครอง (ต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย) (-/\-)
“นั่นซิเนอะ จะได้หายเหนื่อยกันสักที แต่ว่าไปมันก็ใจหายเหมือนกันนะ...”
ผมยิ้ม ตบไหล่ปลอบใจพี่เขาสองสามที ก็แน่อยู่หรอก พี่เมฆเป็นรุ่นพี่ม.6แล้วนี่นา เวลาที่หลงเหลืออยู่ในโรงเรียนที่เราทุกคนรักแห่งนี้ก็อีกแค่ไม่ถึงสองเดือน อีกอย่างเราเตรียมซ้อมโปรแกรมนี้มานาน พี่เมฆคงคุ้นเคยกับมัน แม้แต่ผมเองยังอดใจหายวูบๆเป็นบางครั้งไม่ได้
ผ่านมาหลายวันแล้วหลังรายการออกอากาศ เราทำดีที่สุด ภายในเวลาหลายเดือนของการ ‘เขี้ยว’ ‘เค็น’(ขึ้นภูเขา)จากท่านอาจารย์ทั้งหลายไม่ทำให้ใครผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ความทุ่มเทของพวกเราทุกคนได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ
“พี่คงคิดถึงจารย์’สุธานีตอนต้องไปเรียนมหาลัย’ ...ก็เราสนิทกันมาตั้งนาน”
“เด๋วอัดเสียงตอนแกสอนไว้ให้เอาเปล่า?”
“...เอ็งอยากให้พี่นอนไม่หลับไปอีกสิบปีหรือไง”
ผมหัวเราะรับมุกของพี่เมฆ...ขอแซวนิดส์เหอะ เจ๊สุธานีเนี้ยนะเขาจะเป็นคนที่คล่อง ไว สอนๆอยู่ใครไม่ทันใจแกเอาปากกาปาหัวบ้าง เดินไปด่า+ตีบ้าง แต่สอนดีมากนะคับ ทว่าเวลาแกพูดจะชอบลงท้ายประโยคเป็นเอกลักษณ์ว่า ‘อ่ะข่ะ’ หรือ ‘น่ะข่ะ’...
ไม่เชื่อถามเด็กม.4ที่เรียนกับแกได้...ทุกคนร๊ากกกเจ๊กันทั้งนั้น
“คิดซะว่าเก็บช่วงเวลาที่ดีที่สุดนี้ไว้ในความทรงจำก็แล้วกันคับพี่ อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ทำสำเร็จแล้ว หลังจากต้องทนแกด่า ทั้งด่า ทั้งหยิก ทั้งจิก! มานานนนน”
ผมลากเสียง แล้วก็หัวเราะไปกับพี่เมฆ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “แล้วนี่พี่เมฆจะเข้าที่ไหน?”
“คงเป็น…” พี่เมฆเอ่ยชื่อสถาบันชื่อดัง ผมเคยคุยกับพี่เขา เห็นที่ทำหน้าเศร้าๆอยู่ตอนนี้เป็นเพราะพ่อพี่เขาบังคับให้เข้าเรียนต่างหาก ใจจริงแล้วอยากเข้าไอ้โรงเรียนวาดรูปเก่าแก่เท่าๆกับโรงเรียนของเรา ที่อยู่ข้างๆกันนี่มากกว่า...
“แต่ก็ยังดีนะ ที่ไอ้มาร์คมันก็จะไปด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นพี่ไม่มีเพื่อนปรับทุกข์ อกแตกตายแน่…เอ คิดใหม่ดูอีกทีดีกว่าแฮะ ไม่มีมันก็ดีอยู่หรอก มันจะได้ไม่ต้องแย่งกันหลีสาวกับพี่ 555+”
พี่เมฆหัวเราะเสียงดัง หลี่สาว? คำๆนี้ทำให้ผมตากระตุกเล็กน้อย แอบสะอึกในใจกับความหมายของมัน...แต่ว่าพี่เมฆไม่รู้นี่ว่าพี่มาร์คเป็น...เกย์
ทว่าถ้าเขาได้เจอคนที่ดีกว่า ผมก็ดีใจด้วย...
“นั่นไง พูดถึงก็มา ไอ้นี่ตายยากจริงๆ”
ผมรีบสะบัดหัว ไล่ความคิดบ้าๆนั่นออกไปให้หมด พี่มาร์คไม่มีทางจีบ ‘สาว’ ไหนแน่นอน เหอะๆ (-_-“) เราสองคนเดินตรงเข้าไปหาร่างสูง ที่ยืนถือกระเป๋านักเรียนพิงรั้วเหล็กอยู่น่าโรงเรียน พอผมมองเห็นเขา สบตากัน ได้เห็นหน้า ทว่าไม่หน้ามืดหรือใจเต้นรัวแรงเพราะความคิดถึง...แค่แอบปลื้มว่าพี่มาร์คต้องไม่ไปหลีสาวที่ไหนแน่ ผมมั่นใจ
“คุยอะไรกันอยู่ ฮือ?” พี่มาร์คถามเรียบๆ
“เออ เรื่อยเปื่อย แล้วนี่รอใคร เมียมึงเหรอ?”
“ใครว่ะเมียกู?” นั่นซิ ใครกัน?
“ก็...นี่ไง ไอ้แดนไง เมียมึง ว่ะฮ่าๆๆๆๆ”
ไอ้...ไอ้พี่เมฆบ้า!!! บ้าๆๆๆ+++ ผมก็นึกว่ามีเด็กสก๊อยกระโปรงสั้นหน้าอกตูมที่ไหนรอพี่มาร์ค ’หลี’ อยู่...กลับโดนไอ้พี่เมฆอำซะจนเข้าใจผิดหน้าดำ ตอนนี้กลายเป็นหน้าแดง แดงแจ๊ดแจ๊ไปแล้วซะด้วย -_-)
ไอ้บ้า มาล้ออะไรกันตอนนี้...
“อะ...อะรายไอ้เมฆ แค่เคยกลับบ้านทางเดียวกัน มึงอย่าล้อไปมากกว่านี้ล่ะ เดี๋ยว...จะยุ่ง”
อุ๊ย! พี่มาร์คเขาก็หน้าแดง เกาหัวเขินๆท่าทางน่าร๊ากแบบฉบับพี่มาร์คคนเดิม
สำหรับผม ก็จะเป็นพี่ชายที่แสนดีตลอดไป
“เออๆ พอหอมปากหอมคอหน่า ว่าแต่ อย่าลืมเรื่องไปทะเลกันนะโว้ยไอ้มาร์ค นี่ก็ใกล้แล้ว กูก็จะได้รีบบอกพ่อให้จองที่พัก กูต้องไปแล้ว เดี๋ยวมีเรียนxxxต่อ ไปล่ะ”
พี่มาร์คร่ำลาพี่เมฆกันอีกสองสามคำ ส่วนผมยกมือไหว้แล้วโบกมือให้พองาม ตอนเราสองคนมองเขาเดินข้ามฝั่งไปขึ้นรถเมล์ เฮ้อ...ผมเองยังสงสัยอยู่เลยว่าตอนใกล้จะเอ็นท์ฯแบบเด็กม.6 กรูจะมีแรงตะเวนเรียนพิเศษเหมือนใครต่อใครเขามั้ยน๊อ…=_=
“แดนครับ”
“ฮื้อ?”
“นี่แดนรู้หรือยังว่าเราจะไปทะเลกันหลังสอบเสร็จ”
ผมเงยหน้าไปหาร่างสูงที่เดินเคียงข้าง “ก็รู้ แต่ไม่ละเอียด”
พี่มาร์คยิ้มๆ ค่อยๆเอามือมาโอบไหล่ผม เราสองคนเดินไปยังป้ายรถเมล์เพื่อรอขึ้นรถ แล้วก็เล่ารายละเอียดต่างๆของทริปให้ผมฟังทั้งหมด
“แดนอยากไปด้วยกันมั้ย? พี่อยากให้แดนไปด้วยกันนะ”
“ผมก็อยากไป...”
“ไปซิ”
“แต่...พี่มาร์คไปกับเพื่อนๆไม่ใช่เหรอคับ?”
พี่มาร์คกระชับวงแขนขึ้น ปลอบเบาๆ
“ไม่เป็นไรน่า...เดี๋ยวก็รู้จักกันเอง ทะเลน่ะสวยมากนะ พี่ชอบทะเล แดนก็ชอบไม่ใช่เหรอ เราจะไปลงทะเลกัน เล่นน้ำ ถ่ายรูป กินอาหารทะเล ตกเย็นก็เกากีต้าร์ร้องเพลงกับพวกเพื่อนๆรอบกองไฟ...”
“พี่อยากใช้เวลากับแดนให้มากๆ ภายในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เราจะไม่ได้เจอหน้ากันแบบทุกวัน พี่คงคิดถึงเราแย่...”
บรรยากาศยามเย็นชวนให้เราเดินกันช้าๆ ทอดน่องไปตามริมฟุตบาท รถที่แล่นสัญจรไปมา แสงไฟจากเสาโคมโบราณด้านหน้าเพาะช่าง...ชวนให้ผมเอ่ยคำบางคำออกมา “ถ้าสมมติ...เราเป็นได้แค่พี่น้องกัน...พี่มาร์คจะยังคงเป็นพี่ชายที่แสนดีของผมอยู่มั้ย?”
พี่มาร์คดูเหมือนยังไม่รู้ตัวว่าผมพยายามจะบอกอะไร ได้แต่ยิ้ม...
รอยยิ้มที่ค่อยๆกรีดแผลใจของผม โดยไม่รู้ตัว
“ทำไมแดนพูดแบบนั้น?”
“ก็...ถ้าเผื่อผมรักพี่มาร์คแบบพี่ชาย”
“พี่ก็จะยังคงเป็นพี่ชายที่แสนดีสำหรับแดนเสมอครับ”
บางครั้งผมคิดว่าการที่พี่มาร์คมีเสน่ห์ในแบบฉบับของเขา ก็คืออารมณ์ง่ายๆ ใช้ชีวิตแบบสบายๆ แต่มันมีอำนาจกับคนอื่นอย่างน่าประหลาด น่าหลงใหล แบบที่ดึงดูดเราเข้าไปทีละน้อย แต่ยาก...ที่จะถอนตัว เหมือนล่อให้หลงหัวปักหัวปำ มีความสุขกับรอยยิ้มจริงใจของเขา
แววตาของพี่มาร์คอ่อนโยน ฉายแววสงสัย...
“ผมอยากให้พี่มาร์คเป็นพี่ชายที่แสนดีของผม”
“ก็เป็นอยู่แล้วไงคับ ทำไมเหรอ?”
“…เปล่าหรอกคับ แค่พี่มาร์คดีต่อผมเหลือเกิน...”
พี่มาร์คยิ้ม รอยยิ้มอบอุ่น พร้อมทั้งฝ่ามือที่หนาใหญ่กระชับมั่นกุมมือของผมไว้ แล้วก็ลูบหัวผมเบาๆ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนมีพี่ชายคนหนึ่ง ทั้งๆที่ผมไม่เคยมีพี่น้องมาก่อนเลยในชีวิต
พอดีรถเมล์สายที่กลับบ้านของพี่มาร์คมาพอดี “พี่กลับก่อนนะ แล้วค่อยโทรฯไปหาคืนนี้นะครับ”
พี่มาร์คไปแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ผม เดือนนี้หน้าหนาวกำลังคืบคลานเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งมหานครกรุงเทพ ลมหนาวเย็นๆพัดมา พร้อมกับมือของใครบางคนที่กระชากเข้ามาที่ต้นแขนของผมอย่างแรง
“เฮ้ย!” ผมร้อง ตัวที่ถูกกระชากหมุนไปเจอหน้าใครคนนั้น แววตาที่เย็นชา...ไร้อารมณ์อย่างกับหุ่น มีอยู่คนเดียวที่ทำให้ผมใจเต้นรัวได้ด้วยสีหน้าแบบนั้น (เชรี่ยยย กูนึกว่าโจรซะอีก…)
“ชิพ!!!”
“นี่จะไปไหนกับมัน?”
“ไป...ไปไหน” นี่...นี่มันอะไรกันเนี่ย??? o_O”””
“ก็ไปทะเล อ้ออออ...เล่นน้ำ เกากีต้าร์รอบกองไฟ...แล้วตอนกลางคืนก็จะนอนกับมันด้วยใช่มั้ย?!”
...นอน...
มันคิดอะไรของมัน...หา!?
“นี่...มึงรู้ได้ยังไง...มึง มึงแอบตามกูมาเหรอไอ้ชิพ”
มันไม่ตอบ ได้แต่จ้องหน้าผมตาไม่กระพริบ คนแถวนั้นก็เริ่มมองมาทางทิศเดียวกัน แต่โชคดีหน้าหนาวมืดเร็ว เลยไม่ค่อยอาย ทว่าไอ้ชิพยังไม่หยุดพูดเสียงดังสักที
“แล้วมันจริงมั้ยล่ะ” หน้าตามันหาเรื่อง แต่กูไม่กลัวหรอกโว้ย!!!(แฮะๆ ความจริง ก็มีอยู่บ้างเล็กน้อย…)
“จริง! กูจะไปไหนมันก็เรื่องของกูนี่”
“สรุปจะไปกับมันเหรอ?”
“เรื่องส่วนตัวว่ะ!” เชรี่ย!!! กูเจ็บแล้วนะโว้ย =_=””
ผมตะคอกใส่หน้ามัน ซึ่งมันชะงักไป และวินาทีต่อมาผมก็รู้สึกตัวว่าไม่น่าทำอย่างนั้นใส่มันเลย แววตาของมันหม่นแสงลง ทว่ามือที่จับข้อแขนของผมกลับออกแรงบีบแข็งขึ้น ชิพก็อย่างนี้แหล่ะ...ชอบใช้กำลังมากกว่าเหตุผลอยู่เรื่อย
“ชิพ กูขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนี้ แต่กู...เอ่อ ไม่ชอบที่มึงใช้กำลังเข้าแก้ปัญหา ถ้ามีอะไร ก็พูดออกมา” ความจริงแล้วกะจะบอกไปว่ารำคาญไอ้ท่าทีเอาแน่เอานอนไม่ได้ของมัน และก็เริ่มจะโมโหๆกับมันแล้วด้วย “ชิพ ถ้ามึงอยากไปเที่ยวด้วยกัน ไม่มีปัญหานะ ก็แค่...”
“ไม่!” มันออกแรงลากผม แรงควายชะมัด แล้วก็ชอบไม่ออมมือเลยด้วย เหอะ! ตัวของมันเดินนำหน้าเร็วจี๊ ทำเอาตัวของผมลอยลิ่วตามทางของมันไปจนถึงรถส่วนตัว อ้อ คงยังไม่ลืมใช่มั้ยครับว่าไอ้เด็กอายุสิบเจ็ดปีคนนี้ขับรถมาเรียนด้วยตัวเอง...
“จะไปไหนว่ะ?”
“มากับกูนี่!”
มันออกรถ เพียงเสี้ยววินาทีเดียวรถก็พุ่งตัวออกไปแล่นอยู่บนถนนด้วยความเร็วสูง ขณะที่นั่งอยู่ข้างๆมันผมพยายามอย่างหนักที่จะไม่เปิดปากพูดแม้แต่นิด ก็เพราะกลัวว่ามันอาจเกิดบ้าขึ้นมาได้ทุกขณะ ถ้าหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าชนเสาตอม่อล่ะ แง ผมยังไม่อยากตายตอนนี้น๊า~~~~T_T
เวลาผ่านไปเท่าไรไม่รู้(แค่รู้สึกว่ามันนานประมาณชาติกว่ากับอีกเจ็ดสิบกว่าปีเห็นจะได้) ผมกับไอ้ชิพนั่งกันอยู่ในรถของมัน คอแข็ง ตาเหม่อลอยทั้งคู่ แล้วไม่เปิดปากพูดกันสักคำตลอดทาง ตอนนี้เราอยู่กันที่หน้าบ้านผมแล้ว แบบ...ประมาณว่าบรรยากาศอึดอัด มาคุๆ รู้สึกทะแม่งๆยังไงชอบกล
ผมลอบมองหน้ามัน ไม่เห็นมันแสดงปฏิกิริยา เลยทำท่าจะเปิดประตูลง ช่วงเวลานั้นแหละที่มันขยับตัวรวดเร็วปานสายฟ้า(โอเคๆ...ไม่ได้เร็วขนาดนั้นหรอก แต่ไม่ทันเห็นก็แล้วกัน) โน้มกายเข้ามาโอบผมไว้ แล้วจูบผมเข้าที่ริมฝีปากซะอย่างงั้น
เย้ย!!!?
เอ่อ...เอาอีกแล้ว ไอ้ความรู้สึกเหมือนมีกลองดุริยางค์ทั้งวงมารัวดรัมอยู่ในอก จนเสียงมันดังก้องอย่างกับอยู่ในสเตเดียมที่ไหนสักแห่ง บ้าเอ๊ย! ผมเกลียดชะมัดเวลาไอ้บ้าชิพมันทำกับผมแบบนี้...
แล้วไหนจะยังปลายนิ้วมือของมัน ที่กำลังสัมผัส อยู่ที่โคนต้นคอด้านหลัง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นไหลผ่านทั่วร่าง ราวกับจะน๊อคเอ๊าท์ผมไปได้นานเป็นวันๆ...เดือนๆ...ปีๆ...ยังไงยังงั้นเลย...
“แดน กูรักมึง...”
……………….
……...........
……….
...ตึง...
..........
……
…จะหาว่าผมเป็นบ้าไปแล้วก็ได้ แต่ในหูผม ได้ยินเสียง ‘ตึง!’ ดังก้องทันทีที่มันเอ่ยคำๆนั้นจบ...วินาทีที่มันถอนริมฝีปากออก ลมหายใจร้อนๆหอบหนักอย่างกับไปวิ่งมาเป็นสิบๆกิโล
‘รัก’...ตอนแรกผมไม่สามารถซึมซับความหมายของมันได้มากนัก เพราะหัวยังมึน เหมือนมีค้อนมาทุบ หูอื้ออึงไปหมด ปวดท้อง ลืม...ลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนหายใจไม่ออก(ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก)...สมองขาดอำนาจในการสั่งการร่างกายให้ขยับตามหัวใจ ว่าอยาก...อยากโผเข้าไปกอด...
...แต่ผมก็ไม่ทำ และนึกเกลียด โทษตัวเองที่ทำตัวน่ารังเกียจ...แดน มึงเพิ่งตัดใจจากพี่มาร์คได้แล้วนะ! ไอ้แดน!...แต่แล้วหัวใจผมมันก็ร่ำร้อง ว่าเราอยากได้ยินคำๆนี้มาจากคนนี้มานานแสนนานแล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ไงล่ะ คำว่ารักมันหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้าแล้ว ทำไมผมถึงทำใจยอมรับมันไม่ได้ ทำไม?
ไม่ใช่ซิ...ไม่ใช่ยอมรับไม่ได้...
...ทว่าในส่วนลึก ผมรู้สึกเหมือนได้ลอยขึ้นไปบนฟ้า ไม่มีวันตก ไม่มีวันเสียศูนย์ เมื่อได้ยินคำนี้ ทุกอย่างจะไม่มีทางเป็นไปไม่ได้...
หรือว่านี่...ผมเองก็รักมันเข้าให้ซะแล้ว!
“แดน...”
เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นขัดภวังค์ อ้อ ไอ้ชิพน่ะเอง...มันสะกิดผม สติสตังเลยย้อนกลับมาใหม่ ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนกันนะ ในรถ...ของชิพ แล้วทำไมใบหน้าของมันถึงได้อยู่ใกล้ผมแบบนี้นะ ลมหายใจร้อน หน้าแดง อ้อ เพราะเราพึงจูบกันไปสดๆร้อนๆน่ะเอง
หา?!!!
มิน่าทำไมหน้ามันถึงเป็นแบบนั้น ผมรีบดึงตัวเองออกห่าง มันกลับรุกเข้ามาอย่างไม่รอช้า แหม...สติดีเชียวนะมรึง...
“แดน กูรักมึงจริงๆนะ เลิกกับพี่มาร์คอะไรนั่นเถอะ กูรักมึงมานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร ที่แน่ๆตอนนี้หยุดคิดถึงมึงไม่ได้แล้ว...ไม่ได้แล้วจริงๆ”
“เอ่อ...” อย่าคาดขั้นกูมากนักได้มั้ย กูไม่ไหวแล้วโว้ย!!!
“โทรฯไปซิ เอาซิ โทรฯเลย บอกเขาว่าขอเลิก หรือ...หรืออะไรก็ได้! แล้วไม่ต้องไปไหนกับเขาทั้งนั้น ไปกับกู เราจะ-“
มันอึกอัก
“แล้วทำไมที่ผ่านมา มึงถึงชอบทำตัวร้ายกาจกับกู”
เออ นั่นซิ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังยอมตามมัน
“แดน...กูไม่รู้ว่าความรักเป็นยังไง แต่พอได้เจอมึง...กูก็รู้ว่าไอ้ความสุข ความอบอุ่น ทุกๆครั้งที่คิดถึงมึงนี้คือความรัก...กูโกรธตัวเองที่ไม่รู้จะบอกมึงยังไง พอมึงเป็นแฟนกับพี่มาร์ค กูก็โมโห ที่มันมาแย่งมึงไป ทำไม...ทำไมกูถึงรักมึงไม่ได้บ้าง”
“กูอยากรักมึง บอกมึงใจจะขาด...แต่มึงมีแฟนแล้ว กูก็อยากทำให้มึงหึงบ้าง อยากให้มึงสนใจ...มึงหึงกูบ้างมั้ย? มึงรักกูมั้ยแดน?”
เอ่อ...ชิพ กูทั้งหึงมึง ทั้งหมั่นไส้มึงในคราวเดียวกัน...
แต่คำถามหลัง ลำบากใจที่จะตอบ
“แล้วให้กูทำยังไง”
“ก็เลิก...แล้วกูเอง กูนี่แหล่ะจะเป็นคนคอยดูแลมึงเอง เป็นแฟนมึง ทำให้มึงมีความสุข ของร้องล่ะ...กูรักมึง และ...และยอมแลกกับอะไรทั้งนั้นเพื่อให้มึงตอบตกลง”
ผมจ้องหน้ามัน เชื่อมั้ยครับ? เป็นครั้งแรกที่รู้จักคนอย่างมันมา ไอ้ชิพ...ผู้ที่แข็งกระด้างและเชื่อมั่นว่าตัวมันเองแข็งแกร่งที่สุดในโลก บัดนี้กลับกำลังร้องไห้น้ำตาอาบไหลสองแก้ม หนำซ้ำ ยังสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ไม่ต้องการอะไรเลยนอกจาก...ความรัก
“ชิพ กูขอโทษ...” ผมไม่ได้ร้องไห้ หน้าตาเฉยๆนะตอนนั้น แบบประมาณว่าธรรมดามาก แต่รู้อะไรมั้ย? ว่าหัวใจของผมเจ็บปวดมาก มากกว่าตอนที่เรารู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต ครั้งนี้หนักมากที่สุด...รู้สึกเหมือนประมาณว่าชีวิตจะจบสิ้นแล้ว อะไรทำนองนั้นเลย...เพราะผมรู้ดีว่าคำพูดที่ผมตัดสินใจจะพูดต่อไป มันจะฆ่าไอ้ชิพ และหัวใจของผมทั้งเป็นเช่นกัน…
“ถึงกูเลิกกับพี่มาร์คแล้ว กูก็รักมึงไม่ได้ กู...ไม่ได้รักมึง”
เงียบ...ไม่มีใครพูดอะไรต่อ จากนั้นมันค่อยๆถอยตัวกลับไปนั่งที่เดิม คอตก ไหล่หลู่ลงอย่างคนพ่ายแพ้ยับเยิน ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน...แววตา แววตาที่เตือนผม ว่าทุกครั้งจะสดใส ร่าเริง หรือไม่ก็ทำให้ผมใจเต้นแรง ภาพเหตุการณ์ต่างๆนานาไหลย้อนกลับเข้ามา เพียงแต่บัดนี้แววตาของชิพว่างเปล่า หลงเหลือแต่เพียงความอ่อนล้า เหม่อลอย...ผมรู้สึกคล้ายกับมีก้อนอะไรบางอย่างอัดแน่นขึ้นมาจุกอยู่ในอก สะอึกในชั่ววินาที
ทำใจแข็งเปิดประตูรถ วิ่งหนีเข้าบ้าน
เรื่องทั้งหมดนี่เป็นเพียงความฝัน ภาพลวงตา เดี๋ยวสักพักแม่ก็จะมาปลุกผมให้ตื่นขึ้นเหมือนทุกวันใช่มั้ย? ทำไมความรักของผมมันต้องวุนวายมากขนาดนี้ ต้องทำให้หลายคนเจ็บปวด เพราะตัวผมเอง...เพราะผมเองทั้งหมดเลย
ผมโกหกมัน...เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาลงเอยกับคนอย่างผมอีกแล้ว…
แม้แต่ชิพ ผมก็ไม่ควรค่ากับความรักของมัน
เจอแม่ แม่ก็ทักเป็นปกติ ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ผมยังไม่เข้าใจเลยแม้แต่บัดนี้ว่ามีปัญญายืนคุยกับแม่ได้ยังไงตั้งหลายนาทีโดยไม่ได้ระเบิดอารมณ์ ‘นั้น’ ออกมา คงเพราะเจ็บจนชาไปชั่วขณะล่ะมั้ง จนเมื่อขึ้นถึงห้อง ค่อยๆเดินไปชะโงกดูรถของไอ้ชิพเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ผมถึงกับต้องวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำเย็นๆให้ไหลชโลมใจทั้งที่อยู่ในชุดนักเรียน ก่อนที่ใบหน้าจะเหยเก และร้องไห้เสียงดังมากไปกว่านี้...โดยไม่สนว่าเสียงน้ำจะช่วยกลบไม่ให้แม่ได้ยินได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆมันไม่ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไม่เลยจริงๆ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
