ไปรด.เสร็จเรียบร้อยกลับมาแล้ว เหนื่อยมากมาย แต่สนุกกับการส่องหนุ่มมาก เอามาเล่าให้ฟังได้มากมาย

จากการสำรวจ หนุ่มที่หล่อมากมายคือหนุ่มทวีธาภิเษก สูง ขาว หุ่นดี โอมั่กๆๆ....5ดาว

รองลงมา หนุ่มสาธิตจุฬาฯ เค้าบอกว่าเป็นเกย์ด้วย น่ารักดี ถ้าไม่ติดว่ามีแฟนแล้วเนี้ยจีบต่อเลยนะ 555+ ....4ดาวครึ่ง

และรางวัลพิเศษ หนุ่มสวนฯนี่แหละ หล่อ+มีให้เลือกเยอะเเยะมากมายตลอดกาล เอาไปเลย 10ดวง!!!

ข้างบนเนี้ย ขำๆนะคร้าบ

ตอนนี้ขอตัวไปตามอ่านนิยายในบอร์ดต่อก่อนสักสองสามเรื่อง แล้วจาไปนอนแล้ว
ต่อไปอาจไม่ค่อยได้เอามาลงนะครับ ขอตัวอ่านหนังสือเตรียมสอบก่อง ปิดเทอมแล้วค่อยมาลุย
ปล.แฟนคลับชิพนี่เยอะเเยะจริงๆๆๆ น่าภูมิใจคับ ขอบคุณมากคับทุกคน

บทที่ 27
“พี่มาร์ค…พี่มาร์คครับ เดี๋ยวก่อน!”
หลังจากที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่นาน โชคดีที่ผมเรียกสติคืนได้ทันก่อนที่พี่มาร์คจะเดินหนีไปได้ไกลมากกว่านี้ ขายาวๆของพี่มาร์คก้าวเร็วมาก เร็วเสียจนผมเกือบตามไม่ทัน
“พี่มาร์ค!”
ในที่สุด ผมก็วิ่งตามพี่เขาทัน หน้าตาแดงๆของเขาทำเอาผมใจไม่ดีเลยสักนิด
“แดน…”
“พี่มาร์คครับ…มันไม่ใช่…อย่างที่คิด” แฮกๆ...เหนื่อย...วิ่งหนีเร็วโคตรๆ...
“ไม่ต้องพูดแล้วแดน” ตัวพี่มาร์คเย็นเชียบ ดวงตาเย็นชาคมกริบจ้องมองผมไม่กระพริบ พร้อมทั้งสะบัดแขนออก “พี่ไม่อยากฟัง…”
“แต่พี่มาร์ค…”
“แล้วจะให้พี่คิดยังไง…ในเมื่อ…แฟนตัวเอง…ไปยืนจูบกับคนอื่น?”
คำว่า ‘แฟน’ ที่ถูกเอ่ยจากปากพี่มาร์คช่างทำให้ผมรู้สึกปวดใจเหลือเกิน เหมือนคำพูดมันกรีดแทงลงไปในจิตใจ…ผมรู้สึกว่าตัวเองเลวยังไงไม่รู้
“แดน พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าพี่ก็คน…แถมเราสองคนเป็นอะไรกัน แดนก็รู้ดี” พี่มาร์คกระซิบประโยคสุดท้าย “พี่หึงเป็นนะ แล้วก็ไม่ชอบด้วย ที่ต้องเห็นภาพบาดตาแบบนั้น”
“แต่แดนไม่รู้เรื่องเลย แดนไม่ได้เป็นคนเริ่มด้วยซ้ำ…”
“ก็นั่นแหละ! ไอ้เพื่อนหน้าขาวของแดนคนนั้นมันแอบชอบเรา ยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง?!”
ผมอึ้ง…รู้อยู่หรอกครับว่าไอ้ชิพพอจะมีใจให้ผมอยู่บ้าง…แต่ไม่ยักรู้ว่าพี่มาร์คมองออกว่าไอ้ชิพก็เป็นเกย์ด้วย…
“พี่มาร์ครู้?”
“…มองออก ถึงบอกไงว่าให้เลิกยุ่งกับหมอนั่นสักที มันพยายามจะแข่งกับพี่ ท้าทายพี่ รู้มั้ยว่ามันอยากแย่งเราไป…เหมือนน้องฟ้า...พี่จะไม่พูดอีกแล้ว เพราะยิ่งพูดไปก็ยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้สาระมากขึ้นเท่านั้น”
พี่มาร์คส่ายหน้าแล้วออกเดินต่อ โอย…ไม่รู้จะรีบไปตามควายที่ไหน เดินเร็วชะมัด
ผมวิ่งไปตื้อต่อ คนตัวโตที่กำลังโกรธผมอยู่ตอนนี้ทำตัวได้ ‘งอนสะบัด’ จริงๆ
“เดี๋ยวครับ ผมขอโทษ…”
พี่มาร์คหันกลับมาทำหน้าดุใส่ แถมยังสะบัดมือผมออกอีก
“พอเถอะ…เราเลิกคุยกันสักพัก…พี่จะกลับไปทบทวนว่าตัวเองบกพร่องอะไรไป สำหรับตอนนี้ พี่ก็ขอแค่ให้แดนคิดดูก็แล้วกัน ว่าควรทำยังไงกับเพื่อนเราคนนั้นดี…”
“ตลอดเวลา...แดนเคยเห็นพี่นอกใจเหรอ? เคยเห็นพี่ให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าแดนมั้ย?...พี่แค่ต้องการให้เราเป็นของกันและกัน”
โธ่...พี่มาร์ค...ผมขอโทษครับ แต่เมื่อกี้นี้มันดวงซวยแท้ๆ...
ไอ้ชิพ มึงแกล้งกูชัดๆ!
“ผมขออธิบายก่อนได้มั้ย?”
ทว่า พี่มาร์คส่ายหน้า
“พี่แค่ต้องการอยู่คนเดียว เราสองคน...ต่างคนต่างอยู่กันสักพักเถอะ”
วินาทีที่ประโยคนั้นเล็ดลอดออกมา..เรายืนแน่นิ่งกันอยู่เพียงสองคน สายลมเย็นๆพัดผ่านความรู้สึกต่างๆให้หลุดลอยออกไปจนตัวผมเริ่มชา แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่กำลังได้ยิน
“พี่มาร์ค…” นี่…นี่เขากำลังจะ…
“ไม่อย่างนั้น…เราก็ไม่ได้เป็นแฟนกันอีกต่อไป”
คืนนั้นทั้งคืน ผมนอนน้ำตานองอาบสองแก้ม…
นี่พี่มาร์คบอกเลิกผมแล้วใช่มั้ย? นี่พี่มาร์ค…ไม่ต้องการผมต่อไปอีกแล้วใช่มั้ย?
เวลาจะถูกทิ้ง มันให้ความรู้สึก...แบบนี้เองน่ะเหรอ?
ผมเฝ้าทบทวนตัวเอง แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่า ผมทำผิดไปแล้วมากแค่ไหน…
…ซึ่งผม เพิ่งรู้ตัวว่าแคร์และคิดถึงพี่มาร์คมากเท่าไร ก็ตอนนี้เอง…
หลายวันต่อมา อาการซึมเศร้าของผมก็ยังไม่ทุเลาลง ทว่าไม่มีใครระแคะระคาย จนกระทั่งวันหยุดยาวเสาร์-อาทิตย์ ไอ้โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมจู่ๆมันก็ดังขึ้นขัดจังหวะการนอนฟุ้งซ่านของผมพอดี -v-
“ฮัลโหล...”
“อาบน้ำแต่งตัวเด๊ะ เดี๋ยวไปรับ”
ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง เพราะไอ้เจ้าของเสียงปลายสายนั้น เกินความคาดหมายของผมจริงๆ
“ทะ…โทรมาทำไม?”
“เอาน่า จะถึงแล้ว รีบลงมาเลยนะ”
ไอ้ชิพไงคับ ไอ้ชิพน่ะเอง...เสียงของมันร่าเริงยังไงชอบกล ผมจำได้ว่าตัวมันเพิ่งจะประกาศเป็นศัตรูกับผมไปหยกๆเองไม่ใช่เหรอ? แล้วที่มันหลบหน้า ทำงอน ทำโมโห โกรธใส่ผมอยู่ตั้งนานตั้งแต่วันฝนตกนั้น มันทำไปเพื่ออะไร? ในเมื่อตอนนี้มันโทรฯมาชวนไปเที่ยว(ตามเคย)อีกแล้ว แบบเหนือความคาดหมายซะด้วย หรือว่ามันมีแผนสูงอะไรมาอีกกันแน่นะ...
ถ้าไม่นับเรื่องจูบนั่นล่ะก็...นี่คงเป็นไอ้ชิพภาคที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนแน่ๆ จู่ๆทำมาเป็นหายโกรธ ทำตัวเป็นมิตรขึ้นผิดหูผิดตา(เอ่อ...ทำตัวดีแบบน่ารักน่าใจหาย) น่ากลัวชะมัด... (+_+)
ผมอาบน้ำแต่งตัว พยายามทำหน้าตาให้สดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ สักพักหลังจากนั่งรออยู่หน้าบ้าน รถยุโรปคันหรูมันปลาบก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าสู่หน้าประตูบ้าน ผมเดินเอื่อยเฉื่อยไปขึ้นรถมัน ไม่ทันไรมันก็บีบแตรเร่ง แหนะ! ไอ้บ้านี่จะรีบไปไหนของมันฟ่ะ!
คนร่างสูงในรถฉีกยิ้มกว้างเมื่อผมถดตัวไปนั่งบนเบาะข้างๆคนขับ...ซึ่งดูจากลักษณะการแต่งตัวแล้วก็เหมือนเดิม ทั่วๆไป แต่ทำไมนะ?...วันนี้ผมถึงคิดว่ามันดู เอ่อ...หล่อเป็นพิเศษ แล้วยังไอ้แว่นตากันแดดกรอบบางทรงโฉบเฉี่ยวนั่นอีก...
“ไง ‘ไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้นล่ะ?”
ขึ้นมามันก็พูดคุยเป็นปกติ แต่ผมอึดอัด และงง...ยังไม่สามารถพยายามทำใจพูดกับมันเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างปกติสุข มันขัดๆอยู่ข้างในใจยังไงไม่รู้ เหมือนว่าไอ้ชิพไม่สะทกสะท้านกับการทะเลาะกันครั้งใหญ่ระหว่างมันกับผมที่ผ่านมา
“...” เลยได้แต่นั่งนิ่งเงียบๆ
“เฮ้ย เป็นอะไรไป”
ผมถอนหายใจ ต้องแกล้งพูดกับมัน แต่เป็นเรื่องอื่น “วันนี้แต่งตัวซะหรู นัดสาวที่ไหนไว้เหรอ?”
“แน่นอน” มันยิ้มกว้าง แต่ผมแอบสังเกตเห็นลูกกระเดือกมันขยับอย่างยากลำบาก เหมือนจะพยายามกลืนน้ำลายผ่านลำคออันแห้งผาด...555+(แอบสะใจ) ผมกัดมันคืนบ้างจะเป็นไรไป จริงม่ะ? ไอ้คนปากแข็ง
“ตาแดงๆแบบนี้ร้องไห้มาหรือไง”
เชี่ย!!! จู่ๆมันก็พูดขึ้นมาแทงใจดำผม
ผมได้แต่รำพึงในใจว่ามันตรัสรู้ได้ยังไงฟ่ะ...”เปล่า” แต่น้ำเสียงตอแหลของผมมันดันสูงแบบไม่แนบเนียนไปนิดส์ (อ่านะ)
“เหรอ งั้นนึกว่าร้องไห้เพราะเสียใจ ที่ไอ้แฟนตัวดำนั่นมันทิ้งไปแล้วซะอีก”
ฉึก!!! เสียงมีดคมๆมันแทงเข้ามากลางอก ผมค่อยๆทำตาโต ก่อนจะรีบเก็บอาการ เหลือแต่เพียงความตกใจเล็กน้อย
“ใครบอก”
“กูรู้ แล้วก็ อ้อ แสดงความเสียใจด้วยนะ คงจะร้องไห้มาตลอดทั้งคืนเลยซิท่า 555+”
วินาทีที่มันหัวเราะ เสียงอันดังก้องนั้นเหมือนจะแทรกผ่านความคิดของผม เข้าไปดังก้องอยู่ในหูแทน ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าที่มันเรียกผมมาในวันนี้เพราะต้องการเยาะเย้ยผม ของจริง แบบที่ต้องการจะซ้ำเติมจิตใจผม และก็ไม่รู้ว่าทำไม...มันถึงต้องทำตัวใจร้ายกับผมแบบนี้ด้วย
ผมมองไปที่มัน ความแค้นน่ะอยู่ในใจ แต่แววตาที่ส่งออกไปคือความตัดพ้อ...
“ทำไม...มึงถึงต้องทำแบบนี้กับกูด้วย”
มันนิ่งไปนิด ดวงตาภายใต้แว่นตาดำบ้าบออะไรนั่นเล็งมาทางผม “ไม่พอใจก็ลงไปซิ”
“งั้นก็จอด รู้อย่างนี้กูไม่มานั่งให้มึงทรมานเล่นเฉยๆหรอก”
ทว่าไอ้ชิพหันกลับไปมองถนนเหมือนเดิม แล้วขับต่อไป...มุ่งตรงไปสู่ห้างสรรพสินค้าที่พวกเราเคยเดินเที่ยวเล่นกันเป็นประจำ แต่พอถึงที่หมาย บุคคลที่ผมไม่คาดฝันก็ปรากฏตัวขึ้นโดยที่ไอ้ชิพต้องเป็นส่วนรู้เห็นสำคัญด้วยอย่างแน่นอน
“อ้าวพี่แดน สวัสดีค่ะ”
ยัยน้องแอนดี๊ด๊า! ยัยตัวแสบนี่อีกแล้วเหรอ?...ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาเมื่อไร แต่ตอนนี้ยัยเปี๊ยกนั่นเข้าไปกอดรัดลำแขนไอ้ชิพเป็นที่เรียบร้อยแล้วเฉกเช่นทุกครั้ง แถมวันนี้ยังแต่งตัวไม่ธรรมดาอีกซะด้วย
“สวัสดีครับน้องแอน...” ผมทักตอบ ไม่สบตาใครทั้งสิ้น
“น้องแอนครับ วันนี้ให้พี่แดนเขาเที่ยวเล่นกับเราด้วยนะ เพราะว่า…”
“อ้อ เพราะว่าพี่แดนเขาพึ่งอกหักมาน่ะเหรอคะ? ได้ซิคะ แหม ดีนะคะที่พี่ชิพชวนพี่แดนมา ไม่อย่างงั้นคงเหงาแย่เลย คนพึ่งอกหักใหม่ๆเนี่ย”
ได้ยินดังนั้น ผมจึงหันไปถมึงตาใส่ไอ้เพื่อนเลว...เห็นมันทำหน้ายิ้มชอบใจ เข้าขากันดีกับยัยน้องแอนนั่น
มันสองคนสบตากันต่อแบบคนรู้ทัน
“โธ่น้องแอน อย่าไปพูดอย่างนั้นซิครับ พี่แดนเขากำลังเสียใจนะครับ”
“เอ่อ...แอนขอโทษค่ะ” (เสียงกระซิบ) “ก็พี่ชิพบอกแอนว่าอย่างงั้นไม่ใช่เหรอคะ...”
ไอ้ชิพเนียน ยังทำมาดนิ่ง
“เอาเถอะคะ วันนี้เดี๋ยวพี่แดนเที่ยวกับเราแล้วก็จะสนุกเองน่ะแหละ จริงมั้ยคะพี่ชิพ”
คนสองคนที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็น ‘แฟน’ กันหยอดคำหวาน ก่อนจะควงแขนกันเดินนำหน้าไป ปล่อยให้ผมตามหลังอยู่คนเดียว มองภาพหวานๆ แต่ไม่ยักบาดใจ มีแต่ความโมโห โมโหไอ้คนตัวสูงนั่น! จิตใจมันทำด้วยอะไร ทำไมถึงต้องแกล้งกันอย่างนี้ด้วย ทำไม?
เวลาทั้งวัน ไอ้ชิพพายัยน้องแอนดี๊ด๊าเที่ยวซะรอบห้าง ซื้อของราคาแพงๆให้ กระซิบกระซาบกระหนุ๋งกระหนิ๋งใส่กันอย่างไม่เกรงใจใคร ส่วนผมเสียอารมณ์ที่ต้องเดินตามพวกมัน ถึงจะออกปากแล้วว่าผมอยู่ในฐานะเพื่อน(นอกคอก) แต่เหมือนถูกปล่อยเกาะให้เดินเองเสียมากกว่ายังไงยังงั้น
มาหยุดพักที่ร้านขายไอติม หลังจากสั่งขนมหวานเย็นๆมาคนละที่เรียบร้อยแล้ว ยัยตัวเปี๊ยกปากสว่างนั่นก็เริ่มหันมาขุดคุ้ยเรื่องของผมต่อ
“แฟนพี่แดนเขาเลิกกับพี่แดนทำไมเหรอคะ?”
ไอ้นัยน์ตาใสซื่อ หลอกผู้ชายที่โง่พอนั่นไม่สามารถปกปิดประสงค์ร้ายจากเจ้าตัว ไม่ให้ผมรู้ไม่ได้หรอก...เมื่อโดนคำถามนี่เข้าไป ผมเลยได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตากินไอติมต่อไปเงียบๆ
“ไม่ตอบก็ไม่เป็นไรคะ...พี่แดนอาจจะยังทำใจไม่ได้ ว่าแต่เมื่อไรจะหาแฟนใหม่ล่ะคะ”
น้องแอนซักผมไปมาอย่างไร้มารยาท จนทนไม่ได้ เลยต้องมองหน้าแบบไม่เกรงใจบ้างแล้ว เห็นไอ้อาการแอ๊บแบ๋วน่าสมเพชนั่น แม้กรูจะรู้ทั้งรู้ว่าน้องแอนกำลังเสแสร้งเป็นคนดี...แต่ความจริงกำลังสะใจกรูอยู่ล่ะซิ...’เออ! กูไม่แย่งผัวมึงหรอก’...
แทนที่จะพูดออกไป ทว่าไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอยากก้มหน้ารับความขมขื่นในใจไปเรื่อยๆ คล้ายกับว่าอยากทรมานตัวเองต่อไปโดยไม่มีจุดสิ้นสุด...
ไอ้ชิพก็นั่งยิ้มสนใจฟังอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่คิดช่วยเหลือ...จู่ๆเสือกถามขึ้นมาอย่างใคร่รู้เกินความจำเป็น
“นั่นซิ เมื่อไรจะหาแฟนใหม่สักทีละครับคุณแดน”
ผมกำหมัดแน่น...นับหนึ่งถึงสิบข่มความอยากต่อยหน้าไอ้ชิพให้หงายหลัง
“คงไม่ใช่เร็วๆนี้...”
“แต่แอนจะแนะนำอะไรให้อย่างหนึ่งนะคะ รับรอง พี่แดนต้องชอบ” และแล้วน้องแอนก็พูดแทรกขึ้นมา ทำให้ผมไม่มีกะใจจะพูดอะไรอีกต่อไป “น้องแอนว่าพี่แดนก็หน้าตาดี พอจะหาแฟนได้ง่ายๆอยู่แล้ว พี่แดนก็ทำใจให้ปกติไว้ซิคะ เดี๋ยวก็มีใครเข้ามาเอง อ้อ แต่ที่สำคัญอย่าไปแย่งแฟนใครเขาเข้าล่ะคะ เดี๋ยวจะหาว่าแอนไม่เตือน”
ยัยแอนจิกสายตากลมโตแพรวพราวกลับมา ผมมองเฉยๆ ตีสีหน้าเย็นชา ระอากับยัยเด็กตัวแสบสวมบทนางร้าย สมองกลวงนี่เสียเต็มประดา...
ไม่รู้ไอ้ชิพไปคว้าของ ‘ต่ำๆ’ พรรคนี้มาจากไหนนะ
กว่าจะ(ไล่)ลายัยน้องแอน สลัดให้ยัยนั่นกลับบ้านไปได้ก็เล่นเอาเหนื่อยอีกตามเคย เพียงแต่ตอนนี้ไอ้ชิพดูจะสบายใจหน่อย ที่มีการจุ๊บกันข้างแก้มก่อนกลับสมใจน้องเขา ซึ่งเป็นอะไรที่ผมคิดว่าไร้สาระมาก \\\(-_-*) กับการต้องพะเน้าพะนอยัยเด็กใจแตกคนนี้ให้เคยตัว
“ไง สนุกมั้ย?” ผมกับมันเดินไปลานจอดรถ ผมไม่ตอบ หน้ามันยังแทบไม่อยากจะมอง
“กูถามว่าสนุกมั้ย?” มันเริ่มขึ้นเสียง ทำหน้าตาท่าทางหงุดหงิด แหม พอไม่อยู่ต่อหน้ายัยน้องแอนแฟนสาว มึงก็ทำตัวเหี้ยได้ตามใจชอบขึ้นมาเลยนะ สาดดดด @#=+//**
“…”
“กูถามว่าสนุกมั้ย ได้ยินหรือเปล่า?”
โชคดีที่ตรงประตูเชื่อมสู่ลานจอดรถขณะนั้นไม่มีผู้คน ไอ้ชิพเลยได้ตะโกนออกมาเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใคร มันเค้นเสียงรอดไรฟันออกมาแบบโกรธจัด หน้าตาดุร้ายน่ากลัวชะมัด...ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงกลัวมันมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมก็โกรธมันเหมือนกัน เลยตอบกวนๆกลับไป
“เสียงดังหาพ่อมึงเหรอ?!”
“กูไม่สน! ไม่มีใครได้ยินอยู่แล้ว แต่มึงไม่ยอมตอบกู”
“กูไม่ตอบแล้วจะทำไม? มันเรื่องของกู ฮึ มึงอย่ามาทำอารมณ์เสียเพราะน้องแอนลากมึงไปมาทั้งวันหน่อยเล้ย ทีกูตามต้อยๆยังไม่รำคาญ ชอบซะอีก น้องแอนน่ารักดีออกนะว่ามั้ย”
ตอนนี้ไอ้ชิพเป็นฝ่ายกำหมัดแน่น เม้มปาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นบ้าอะไร ผีเข้าสิง? เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทำตัวไอ้น่าตืบมาก
ผมจ้องมองมันด้วยใบหน้าเฉยเมย แม้ว่าใจจะเต้นรัวแรง...กลัว...หวาด...ก็ตาม
“กูจะบอกอะไรมึงให้ฟัง เรื่องที่มึงพยายามประชดประชันกู หรือว่าทำเป็นโกรธ โมโห รำคาญกู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องห่าเหวอะไรก็ตาม...กูเบื่อเรื่องพวกนั้นเต็มทน ฉะนั้นเลิกทำตัวให้กูสนใจได้แล้ว เข้าใจมั้ย?”
ระหว่างที่พูดไป ผมรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ใบหน้าที่บัดนี้เย็นเชียบนิ่งเฉย ทว่า...ใบหน้าไอ้ชิพดูเหมือนคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แววตาที่ดุดันแปรเปลี่ยนเป็นหรี่ลง มีน้ำใสๆคลอหน่วย ก่อนที่จะหยดลงมาเม็ดหนึ่งจากตาแดงๆของมัน ผมรู้สึกดีจริงๆที่ได้พูดออกไป...
“ไม่ต้องไปส่งหรอกนะ เดี๋ยวกลับเอง”
ตอนหันหลังกลับ เดินออกมาด้วยความรู้สึกเบาหวิว...ความจริงแล้วจะหนีกลับบ้านก่อนก็ได้แต่ไม่ได้ทำ ผมต้องการพูดให้มันรู้เรื่อง ให้มันเข้าใจ มันจะมาทำตัวเอาแต่ใจเป็นลูกคุณหนูกับผมแบบนี้ไม่ได้(ถึงมันจะเป็นคนแบบนั้นก็ตามทีเถอะ)
เรียกแท็กซี่หน้าห้าง ฝนเริ่มตกลงมาบางๆ วันนี้ผมไม่ได้โดนไล่ลงจากรถของใคร ผมสมัครใจเดินออกมาเอง ไม่มีความลังเล ชะงักใจ หรือพะวงอะไรทั้งสิ้น แค่กลับบ้าน...กลับไปให้พ้นจากใครบางคนก็เท่านั้น เท่านั้นเองจริงๆ...
สักพัก หน้าจอของผมก็ปรากฏข้อความหนึ่งฉบับ
‘มึงไม่รู้จริงๆเหรอ...ที่กูเป็นตัวเหี้ยสำหรับมึง เพราะอะไร?’
ตาที่จ้องมองข้อความบนหน้าจอสีฟ้าค่อยๆเริ่มพร่ามัว รู้สึกว่าความอ่อนไหวในจิตใจของผมเริ่มสั่นคลอน...ทว่าเพียงแค่หลับตาลง ภาพของใครบางคนก็ปรากฏขึ้น ผมรู้สึกผิด และไม่อยากผิดไปมากกว่านี้ แม้ว่าหัวใจจะเต้นตุบด้วยความเจ็บปวดเชื่องช้า ซึ่งค่อยๆทรมานเข้ามาตามร่างกายก็ตาม
ยอมรับก็ได้ว่า...ชิพทำให้ผมสับสน
ผมพยายามสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัว แล้วกดปุ่ม ‘ลบทิ้ง’...
มันส่งตามมาอีก
‘กูโกรธตัวเอง ที่ต้องยอมสารภาพกับมึงตอนนี้...เพราะกูรู้ใจตัวเองช้าไป’
สารภาพ?
ไอ้ชิพสารภาพ...รู้ใจตัวเองช้าไป ผมกดปุ่มพิมพ์ข้อความส่งกลับไปอย่างด่วน
‘ชิพ...กูขอร้อง เลิกทำแบบนี้’
กำมือถือไว้แน่น รอมัน...รอว่าจะมีข้อความของมันตอบกลับมามั้ย?
ตั้งนาน มีแต่ความว่างเปล่า
มันคงถอดใจไปแล้ว...กะจะไม่ง้อมันหรอกนะ
ผมถอนหายใจ เงยหน้าไปข้างหลังเบาะ...พยายามกลั้นอารมณ์ไว้ เพราะตอนนี้คนขับแท็กซี่เริ่มชำเหลืองมองมาด้านหลัง มองดวงตาของผมที่เอ่อคลอผิดปกติ...
พยายามคิดถึงความร้ายกาจของมัน อารมณ์ร้ายๆของมันต่างๆนานา แต่ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวด...นอกจากจะทำให้ผมยิ่งเป็นคนเห็นแก่ตัวขึ้นไปอีกแล้ว เหตุผลของมันทั้งหมด...ผมรู้แก่ใจว่ามันทำลงไปเพราะอะไร
แล้วทำไม...ไอ้น้ำตาเจ้ากรรม...มันถึงได้ไหลออกมา มากมายแบบนี้นะ?...
โปรดติดตามตอนต่อไป