ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
ขอเก็บนายไว้ ให้หัวใจอุ่นรัก
“…ความรักมีอยู่ทุกหนแห่ง แม้ในหัวใจที่ทุกข์ระทมและบอบช้ำก็ตาม...”
บทที่ 1
เสียงเรียกของใครบางคนทำให้ผมหันไปตามเสียงนั่น
“เฮ้ยแดน เป็นยังไงบ้างว่ะ ปิดเทอมที่ผ่านมามึงไปเที่ยวไหนมา?”
เด็กวัยรุ่นสามสี่คนเดินตรงมาทางผม ไอ้คนตัวเตี้ยที่สุดในกลุ่มทักผมอย่างร่าเริงหลังจากที่เราไม่ได้เจอหน้ากันตั้งสามเดือนเต็ม ไอ้ชัตน่ะเอง มันเป็นเพื่อนสนิทของผมมาตลอดสี่ปีที่ผ่านมานี่ ในโรงเรียนชื่อดังย่าน...(อ้อ โรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนชายล้วนนะครับ)
“กูสบายดี มึงล่ะ ไอ้บิว ไอ้อ๋อง ไอ้โย่ง”
ผมทักเพื่อนๆทุกคนที่เดินมาด้วยกัน อ้อ ลืมบอกทุกๆคนไปว่าผมชื่อแดนครับ และเรื่องราวที่ผมกำลังจะบอกเล่าให้ทุกๆคนได้รับรู้ก็คือเรื่องราวความรักของผม...ที่แม้จะไม่ได้เป็นครั้งแรก แต่กลับสลับซับซ้อนกว่านั้น
“เฮ้ย พวกกูอ่ะร้อน ‘อิหาย แต่มึงเปิดตูดแนบไปอะเมกานี่หว่า เย็นสบายเลยดิ”
ผมยิ้มนิดๆแก้เขิน เอามือเกาผมยุ่งๆ ผมอ้อมแอ้มตอบกลับไปว่า
“กูไปเยี่ยมพ่อกูว่ะ ไม่ได้อยากไปนักหรอก…”
ใช่แล้วครับ พ่อของผมขณะนี้อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ทำไมน่ะเหรอครับ? ก็เพราะว่าพ่อผมเป็นชาวอเมริกัน ส่วนแม่ผมท่านเป็นลูกครึ่งไทย – จีน แต่ผมนอนบ้านเดียวกับแม่ที่กรุงเทพ
“อะไรกันว่ะ...มึงยังไม่หายโกรธพ่อมึงอีกเหรอ”
ไอ้โย่ง หนึ่งในเพื่อนกลุ่มก๊วนเดียวกันถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วง ผมรู้ว่าพวกมันห่วงผม ฟังจากน้ำเสียงของพวกมัน...แต่ไม่ครับ มันไม่ได้ทำให้ความรู้สึกต่างๆของผมกระเตื้องดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
พ่อของผมหย่าขาดจากคุณแม่นานหลายปีแล้ว ตั้งแต่ผมเป็นเด็กๆ ซึ่งปัญญาของเด็กวัยหกเจ็ดขวบตอนนั้นคงหนีไม่พ้นความเสียใจ ความสงสัย จากความสงสัยมาเป็นโมโห โกรธเกียจ และชิงชังคนเป็นพ่อไปในที่สุด...
ผมเสียใจไม่มีวันหายที่พ่อทำกับพวกเราแบบนี้ ทิ้งแม่ผมไป ทิ้งผมไป ไปอยู่ที่อื่น...
ผมไม่เคยมีความคิดอยากอยู่กับพ่อ ตรงกันข้ามต่างหาก ผมอยากหลบหน้าพ่อมากที่สุด แต่ทำยังไงได้เมื่อแม่ของผมท่านคะยั้นคะยอให้บินไปหาพ่อบ้างเหลือเกิน ทั้งที่ใจลึกๆอยากอยู่กับเพื่อนในช่วงเวลาปิดเทอมอันยาวนาน(ที่รู้สึกเหมือนสั้น)มากกว่า
“ไม่รู้ว่ะ...แต่ช่างกูเถอะ กูไม่อยากพูดถึง”
ผมตัดบท เพื่อนทุกคนก็รู้ดีว่าผมไม่มีอารมณ์พูดถึงเรื่องเหล่านั้น มันเลยชวนกันจะไปกินข้าวที่โรงอาหาร ชื่อเจ้าของร้านอาหารสุดฮิตเป็นหนึ่งในตัวเลือกทั้งหลายเหล่านั้น
ผมสั่งอาหาร นั่งกินข้าว หัวเราะกับพวกมัน เอาเป็นเอาตายเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมานานนม สักพักตอนที่อาหารตรงหน้าพวกเรากำลังจะหมด ฝ่ามือใครคนหนึ่งก็ผลักมาอย่างแรงจนเจ็บที่ไหล่ด้านหลังของผม พวกเราหยุดส่งเสียง
“เฮ้ย! เงียบเสียงหน่อยได้ไหมว่ะพวกมึงอ่ะ กูจาแดกข้าว!”
ผมที่ถูก ‘มัน’ เล่นงานทำใจดีสู้เสือ หันไปมองหน้า ซึ่งไม่ค่อยกล้าทำบ่อยนัก...แต่เผอิญวันนี้เป็นวันแรกที่เพิ่งเปิดเทอม ไอ้ความบ้าบิ่นที่เก็บกดไว้มันเลยเอาชนะความกลัวสำเร็จ เอาว่ะ เป็นไงเป็นกันเว้ยทีนี้!
วินาทีแรกที่ผมสบตาไอ้จอมหาเรื่องนั่น ผมรู้ตัวเลยว่าภายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี่ผมมีสิทธิล้มหน้าคว่ำลงไปกองกับพื้น นี่มันไอ้พวก ‘ฆ่าด้วยมือเปล่า’ ชัดๆ!…เคยไหมครับ ทุกโรงเรียนมันจะมีพวกไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ ชอบสูบบุหรี่ และเชี่ยวชาญด้านอบายมุขต่างๆทุกกระบวนท่า ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ดูจากสีหน้าท่าทาง แววตาหาเรื่องนี่ กร่างน่าดูเชียวครับ...(น่ากัวอ่า~~~>.<)
พอรู้ตัวแล้วว่าผมตัดสินใจผิด เลือดภายในกายมันดูเหมือนจะเย็นเป็นน้ำแข็งไปตามๆกัน(กลัวเลือดกลบปาก) ปกติแล้วไม่มีใครที่ไหนที่เขาสติดีไปยุ่งกับไอ้พวกนี้กันหรอกครับ ยิ่งไอ้ควายนี่ยิ่งตัวใหญ่เบ้อเริ่ม สูงโคตรรร มันงี้กำมือแน่นจมกล้ามขึ้นเป็นมัดเลยครับ
“หุบปาก แล้วพวกมึงก็แดกไปซะ”
เนื่องจากโรงอาหารโรงเรียนนี้มันแคบครับ พวกเรามองหน้ากันด้วยดวงใจที่เต้นตึกตัก ก่อนจะรีบเก็บจานแล้วลุกหนีไปจากบริเวณนั้น และแล้วในที่สุดพวกเราก็เริ่มกลับมาใช้เสียงกันอีกครั้ง หลังจากถูกไอ้คนกร่างแผ่นดินนั่นข่มขู่พวกเรา
“ไอ้พวกเดนสวะนั่น...ไม่ต้องไปสนใจมัน” ผมพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น พูดอย่างสงบ แม้ว่าในใจยังอยากจะแอบเอามือไปลูบไหล่ตรงที่โดนมันผลักเอา ไอ้...แรงควายชะมัด
พวกคุณอาจจะสงสัยว่าทำไมกลุ่มของพวกผมถึงได้แอนตี้เด็กเกเรกันนัก มันก็เพื่อน ก็โรงเรียนเดียวกัน? แต่สำหรับความคิดของผมในตอนนั้นมันไม่ใช่อย่างตอนนี้ครับ ผมเป็นเด็กดี เด็กที่ตั้งใจเรียนและอยู่ในโอวาทของครูบาอาจารย์ทุกท่านเสมอมา แม้ว่าจะมีซุกซนบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ที่บ้านไม่เคยต้องหนักใจ
เสียงวงดนตรีดุริยางค์เริ่มบรรเลงเป็นสัญญาณให้นักเรียนเตรียมตัวออกมาเข้าแถวหน้าเสาธง ปกติแถวม.ปลาย(ผมเพิ่งขึ้นม.4ครับ เป็นเด็กม.ปลายสดๆร้อนๆ)จะอยู่กลางแดด โดยเสียสละให้น้องๆม.ต้นได้เข้าแถวในที่ร่ม
ผมก็ทำเหมือนที่เคยทำทุกเช้า ของทุกปี นั่นคือคุยเล่นกับเพื่อนๆเป็นการหยอกล้อ จนกว่าครูจะเอาไม้เรียวมาไล่ตีนั่นแหละถึงจะเรียกได้ว่าเข้าแถวจริงๆ จากนั้นนักเรียนทั้งโรงเรียนก็จะต้องนั่งฟังพวกผู้บริหารพล่ามจนจบ เป็นอันเสร็จพิธี(ที่แสนห่วยแตก)
แต่ผมไม่มีวันรู้ครับ ว่าเหตุการณ์หลังเข้าแถวเช้าวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปทั้งชีวิต...
บทที่ 2
ตอนเข้าแถว สายตาของผมมันบังเอิญไปสบลงที่เป้าหมายอันไม่พึ่งประสงค์ แต่ด้วยแรงอะไรบางอย่าง...ทำให้ผมต้องเฝ้าจับตามอง สังเกตไอ้ ‘เถื่อน’ นั่นที่เล่นงานผมตอนกินข้าวเช้าในโรงอาหาร
ผมแอบหัวเราะเย้าะเย้ยมันใจใน ฮึ! ไอ้เถื่อนตอนนี้กำลังทำหน้าจ๋อยครับ ไม่รู้เพราะอะไร มันกำลังกอดกระเป๋านักเรียนแฟบใบหนึ่ง(ซึ่งเดาเอาว่ารู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ว่าหนังสือเรียนไม่มีวันได้เข้าไปอยู่ในนั้นได้แน่นอน) มันยืนเกาหัวงง ท่าทางเงอะงะต่างจากที่มันทำกับผมไว้ตอนเช้า สักพักครูผู้ชายเข้ามาไล่ตีมัน มันก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ถึงตอนนี้ผมหัวเราะออกมาเบาๆกับภาพที่เห็น
แต่ไม่รู้เพราะอะไร ในส่วนลึกลงไปในห้วงความคิด...ผมรู้สึกสงสารมัน
ไม่ได้ๆ! ผมไปสงสารมันไม่ได้ครับ มัน...มันเกือบจะต่อยหน้าผมแล้วไง!
ผมพยายามไม่หันกลับไปมอง ตั้งใจนั่งฟังผู้อำนวยการพล่ามไปเรื่อยๆ คุยกับเพื่อนข้างๆบ้าง จนในที่สุดก็ลืมมันจนได้ เมื่อหัวหน้าระดับมาปล่อยแถวทีละห้อง เข้าไปนั่งที่ในห้องเรียน ผมก็รู้สึกโล่งใจอย่างแปลกประหลาด...เฮ้อ เปิดเทอมใหม่นี่ ผมจะตั้งใจเรียนให้มากที่สุด!
ครูประจำชั้นเข้าห้องมาโฮมรูม เลือกหัวหน้า ฯลฯ จนเมื่อกระบวนการต่างๆเสร็จเรียบร้อย ครูก็ไม่ยอมออกไปสักที ผมสังเกตเห็นท่านกำลังมองนาฬิกา หน้าตาเริ่มหงุดหงิดพร้อมกับชะเง้อออกไปนอกห้องเหมือนกำลังรอใครบางคน
“ทำไมนายนี่ยังไม่มาอีกน้า…” ครูบ่น คิ้วเริ่มขมวดเป็นเกลียว(แหะๆ ความจริงแค่ย่นหน้าผากเฉยๆ)
และแล้วเสียงพื้นรองเท้านักเรียนที่คล้ายกับควบมาแต่ไกลก็ดังขึ้นที่ระเบียงทางเดินด้านนอกห้อง พร้อมกับที่ร่างของใครบางคนพรวดพราดเข้ามา ตายอ่า+++ไอ้เถื่อนนั่น ไอ้เถื่อนนั่นอยู่ห้องเดียวกับผมเหรอเนี่ย!
ไอ้นั่นมันก็สบตามาที่ผมทันทีครับ โอพระเจ้า! หน้าตามันโคตรเป็นเด็กดีอ่ะครับ แต่แค่ท่าทางมันเกเรนิดๆก็เท่านั่นเอง ถามว่าผมรู้ได้ไงอ่ะเหรอ? 555+ ไม่รู้หรอก คงเพราะว่ามันขาว แล้วก็...หล่อด้วยล่ะมั้ง(ในความคิดของผมคนเถื่อนมันจะตัวดำๆ บึกๆ แบบว่าตบทีเดียวอยู่อ่ะ...อยู่ที่วัดเลยอ่ะนะ)
มันยิ้มครับ เชื่อไหมครับ ตอนนั้นผมคิดไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้...แต่แค่รู้สึกว่า มันยิ้มด้วยความโล่งใจ???!!!!
ครูประจำชั้นแนะนำให้ทั้งห้องรู้จัก ‘เด็กใหม่’ ซึ่งมันก็นอบน้อมดี ท่าทางเรียบร้อยเชียวเวลาอยู่ต่อหน้าครูแก ท่านก็ถามไปยิ้มไป(ผมโชคดีมากใช่ไหมล่ะครับที่ได้ครูดี ครูชื่อฟ้าครับ เรียกว่าครูฟ้าๆกันเป็นแถวเพราะแกเป็นกันเองกับเด็กมากกก)
เพื่อนๆก็ให้ความสนใจกับมันไม่น้อยครับ เพราะว่าโรงเรียนผมขึ้นชื่อว่าเข้ายากมาก เปอร์เซ็นต์คนที่สอบเข้ามานับปีก็ลดน้อยลงๆ ยิ่งเข้ากลางปียิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่นี่มันม.4 เริ่มม.ปลาย เข้าได้คงไม่แปลก แต่ก็แปลกอยู่ดีแหละเพราะว่ามันต้องใช้เส้นที่ใหญ่พอดูแน่ๆ หรือไม่ก็เก่งอภิมหากาพย์
แต่กลุ่มก๊วนของผม โดยเฉพาะผมยิ่งแล้ว ไม่ได้แสดงความต้อนรับยินดีปรีดาอะไรร่วมไปกับ ‘ไอ้เด็กใหม่’ ด้วยเลย คงรู้ใช่ไหมครับเพราะอะไร...
“อ้าวเธอ ไปนั่งตรงนั่นไป ว่างอยู่พอดี”
ครูฟ้าชี้มาตรงโต๊ะตัวที่ว่างอยู่ข้างหลังผมพอดี ผมซึ่งนั่งติดกับไอ้ชัตทำหน้าเหวอ แต่ก็ไม่ทันทักท้วงอะไรได้แล้ว ไอ้เวรนั่นเดินมาทรุดกายลงจับจอง ครูฟ้าท่านก็รีบออกไปสอนคาบแรกที่ห้องอื่นต่อทันที
“เฮ้ย ไอ้ตี๋ ลุกออกไปนั่งที่อื่นดิ”
จะบอกให้ พอมันเริ่มพูด ไอ้เสียงทุ้มๆ ห้าวๆทรงพลังอย่างแปลกประหลาดนั่นทำเอาผมขนลุกเลยทีเดียว ไอ้ตี๋ที่มันพูดถึงเหรอครับ? ไอ้ชัตผู้โชคร้ายไงครับ
“กูพูดไม่ได้ยินไง ลุกออกไปเด่!” มันเริ่มตะคอก
ไอ้ชัตซึ่งรู้ตัวดีอยู่แล้วเหลือบตามองผม ก่อนจะส่งแววตาขอโทษขอโพย(อย่างจะเอาตัวรอดและน่าสมเพช ไอ้เพื่อนชั่ว!)
สรุปแล้วมันลุกครับ ลุกให้ไอ้หมอนั่น! เด็กใหม่คนนั้นก็ยิ้มหน้าระรื่นเข้ามานั่งแทนที่ไอ้ชัต ส่วนเจ้าของเดิมกระเด็นไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ผมไม่สงสารมันหรอกครับ มันอยากทรยศผมก่อนเอง
“มึงชื่อไร?”
“พูดกับใคร?” ผมตอบเสียงเรียบ
“มึงแหละไอ้ฝรั่ง แหมทำเล่นตัว”
โอย จะบ้าตาย เวลาผมอยู่ใกล้ไอ้พวกเถื่อนพวกนี้แล้วอยากจะฆ่าตัวตาย เคยเป็นไหมครับ แบบว่ากลัวมันทำร้ายร่างกายเอาอ่ะ
มันจ้องหน้าผมครับ ดวงตามันเรียวๆแบบเด็กที่มีเชื้อสายจีน สีน้ำตาลอ่อนพอมองออก คิ้วเข้มพาดเฉียงเหนือดวงตาทั้งสองข้าง หน้าผากกว้าง จมูกโด่งใช้ได้ทว่ายังไม่เท่าผมเพราะมีเชื้อยุโรปปนมาด้วย เลยดีกรีสูงกว่านิดส์ ทว่าริมฝีปากมันนี่ซิครับ แดงปนชมพูระเรื่อเหมือนพวกในโฆษณาเลย ผิวก็ออกครีมๆขาวๆ ดูไปดูมาแล้วหน้าจิ้มลิ้มเหมือนเด็กๆ มองอีกมุมก็เข้มจัดอย่าบอกใคร(เหอะๆ)
“ดะ...แดน” ผมตอบมันไป
“กูอยากเป็นเพื่อนมึง กูชื่อชิพ”
มันอยากเป็นเพื่อนผม?! ทำไงดีว่ะทีนี้
“แต่...กูมีเพื่อนสนิทแล้ว” ผมนึกอยากตบปากตัวเองที่พูดออกไปแบบนั้น
“มีอีกสักคนจะเป็นไรไปว่ะ ไมว่ะ? กูมันเลวนักหรือไง มึงเลยเล่นตัวจริงนะไอ้สัด”
ผมก้มหน้างุด รู้สึกเหมือนมีรังสีพิฆาตคอยจ้องมอง
“มึงลูกคุณหนูนักเหรอไง หา?” ไอ้ชิพ เพื่อนใหม่สดๆร้อนๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“เปล่าหรอก กู...” ผมดีแต่อึกอัก
“มึงกลัวกูใช่ไหมล่า 555+ “ เอ๊ะ ไอ้เชี่ยนี่รู้ทันแฮะ
ขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง ห้องที่ผมอยู่มันคือห้องคิงของระดับอ่ะครับ ผมก็นึกสงสัยอยู่ตั้งนานแล้วว่าทำไมได้เด็กใหม่คนนี้มันถึงเข้าปุ๊บอยู่ห้องคิงปั๊บเลย พอมาตอนหลังถึงได้รู้ว่ามันเรียนเก่งโคตร โดยเฉพาะเลขมันนี่ระดับเทพเลยครับ
“ไม่เป็นไรๆ มึงอยากให้กูพูดคะขากะมึงไหมล่ะ”
ไอ้ชิพถามมาผมกลับงง อะไรว่ะ คะขา?
“ก็แบบประมานว่า เรา นาย อะไรทำนองเนี่ย” มันพูดอธิบายให้เสร็จสรรพพอเห็นว่าผมไม่ตอบ
“ไม่ต้อง คุยกับกูปกติ” ผมเริ่มผ่อนคลายลงเพราะไอ้ชิพมันเริ่มใช้โทนน้ำเสียงธรรมดา ยิ้มให้ผมด้วย...ซึ่งความจริงแล้วมันก็ดู...เอ่อ ไม่ค่อยร้ายกาจเท่าไรนัก
ตอนนั้นผมจำความรู้สึกในสมองได้ดี...ทำไมครูคาบแรกยังไม่เข้าสักทีว่ะ ไอ้เชี่ยนี่จะได้เลิกพล่ามใส่ผมสักที แม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยก็ตามหลังจากที่มันชวนคุย
“ทำไมหน้าตามึงเหมือนฝรั่งๆวะ?”
อ้าว ไอ้ควายนี่ “ก็กูเป็นลูกครึ่ง”
“ครึ่งอะไร ครึ่งหญิงครึ่งชาย?” แววตาที่มันแกล้งล้อผมเล่นแวววาว เป็นประกาย
ผมค้อนขวัก “ครึ่งไทย อเมริกัน” ผมไม่ได้ด่ามันตามหลังดั่งปกติ เพราะยังระแวงอยู่ไม่ใช่น้อย
“โห พ่อหรือแม่มึงล่ะที่เป็นไอ้กัน”
หน้าผมแดงเล็กน้อย เลยตอบมันไปสั้นๆเท่านั้นว่า “พ่อ”
แล้วมันก็จ้อต่อไปครับ ตอนแรกรำคาญเล็กน้อย ทว่าจะไม่ตอบคำถามมันก็ไม่กล้าเพราะกระไรอยู่...แต่ข้อใหญ่ใจความคือกลัวฟังครูพูดเวลาเรียนไม่รู้เรื่อง แต่ที่ไหนได้ มันกลับตั้งใจเรียนมากครับ แล้วครูที่เข้าช้ามากๆๆๆคนนี้ก็โคตรน่าเบื่อ พูดอะไรเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหมด จะทำเอาผมหลับเสียให้ได้ แต่ไอ้คนข้างๆผมนี่ซิครับ จดเอาๆจนได้กระดาษเป็นหน้าๆ ถึงตอนนี้แล้วผมชักอยากจะชวนมันคุยเสียเอง กลัวหลับ แล้วโดนหักคะแนน(แป๋ววว)
พอใกล้จะจบคาบ มันก็แอบมากระซิบชวนคุยต่อครับ “เฮ้ย มึงมีแฟนยังอ่ะ”
“ไม่มี ไมอ่ะ” ผมตอบเรียบๆ ไม่ได้คิดอะไร
“โรงเรียนนี้น่าเสียดายว่ะ ไม่มีหญิงเลย แต่ก่อนตอนกูอยู่โรงเรียนเก่า...ผู้หญิงชอบกูตรึม กูเป็นถึงนักบาสระดับจังหวัดเชียวนะเฟ้ย!”
ผมพยักหน้าฟังมันพูดไปเก็บของไป พลางหยิบเอาสมุดหนังสือออกมาจากใต้โต๊ะเพราะคาบเรียนต่อไปต้องเดินไปเรียนที่ตึกวิทย์ฯ มันก็ยังตามผมมาครับ จนกระทั่ง...
“โอย!...”
ผมร้องเสียหลง ขณะที่กำลังก้มใส่รองเท้าอยู่หน้าห้องดีๆนั้น ใครบางคนมันก็ดันวิ่งมาชนผม ไม่ใช่เบาๆเลยนะครับ ผมงี้ล้มลงไปทั้งตัว หนังสือหนังหากระจัดกระจายเกลื่อนกล่าน ผมปัดตัวเร็วๆพร้อมกับที่เงยหน้าขึ้นไปเพื่อจะด่าไอ้เวรนั่น แต่ว่า...
สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าแทบทำให้หัวใจของผมหยุดเต้น พูดไม่ออก กลืนน้ำลายไม่ได้ หัวใจมันเต้นแรงเร็วบวกกับความแห้งในลำคอราวกับใส่กรวดคั่วร้อนๆลงไป ผม...ผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ผมไม่อยากเชื่อใจตัวเอง!
“ขอโทษนะครับน้อง พี่กำลังรีบ”
เด็กนักเรียน...ม.6คนนั้นเริ่มวิ่งออกไปตามทางเดินอีกครั้ง แต่แค่เสี้ยววินาทีที่ผมสัมผัสสายตากับเขา และขณะที่เขาเอ่ยคำขอโทษเพียงประโยค ภาพความทรงจำต่างๆภายใจจิตใจผมมันก็ระเบิดออกมาครับ ผมจดจำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเค้าโครงใบหน้าอันคุ้นเคยนั่น...ทำให้นึก ทำให้นึกถึงทันที...
ทำไม? ทำไมคนๆนั้นถึงได้หน้าเหมือนกัน...ขนาดนี้?!
เหมือนมีน้ำอุ่นใสไหลมาเอ่อคลอตรงหน่วยตา ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่อยากร้องไห้เพราะเรื่องเดิมๆอีกต่อไปแล้ว ไม่อยาก...
“เฮ้ยเชี่ยแม่ง! ชนคนประสาไรว่ะ ไม่ดูตาม้าตาเรือ” ไอ้ชิพครับที่เป็นคนรีบเข้ามาช่วยพยุงผมเป็นคนแรก หลังจากที่มันตะโกนด่า ‘เขาคนนั้น’ จนพอใจไปอีกหลายชุดด้วยวาจาเผ็ดร้อน...ผมรีบปาดน้ำตา มันเห็นก็ชะงัก อึ้งดิครับงานนี้
“เฮ้ยไอ้ฝรั่ง มึงโดนชนล้มแค่นี้ร้องไห้เลยหรือไงว่ะ ปอดแหกเปล่าว่ะเนี่ย?”
ตาแดงๆทำยังไงมันก็ปกปิดไม่ได้ ผมเลยได้แต่ตอแหลมันไปตามระเบียบ “เปล่า แค่ผงเข้าตาเท่านั้นเอง”
มันยังคงจับต้นแขนผมไว้ มองด้วยสายตาเป็นห่วง...มันส่ายหน้านิดๆ ก่อนจะเอ่ยให้ผมได้ยินคนเดียวว่า “อะไรกันว่ะ เรื่องแค่นี้อย่าร้องไห้ดิ เราเกิดมาเป็นผู้ชาย ชาตินี้อย่าเสียน้ำตานะโว้ย”
มัน...มันพูดออกมาราวกับว่าตั้งแต่เกิดมามันยังไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยเสียน้ำตาให้กับสิ่งใด...
ผมพยักหน้า ไอ้ชิพมันก็โอบคอผมพร้อมกับเดินไปเรียนที่ตึกวิทย์ฯด้วยกัน แต่ทำยังไงผมก็ลืมหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ลง มันทำให้ผมเซื่องซึม ทำอะไรไม่ถูกไปทั้งวัน...
ผมเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร คงเพราะเรื่องเก่าๆ ที่กัดกินหัวใจของผมอยู่กระมัง ที่ทำให้ผมอยากตายตามเขาไป ตาย...ตามพี่ที่แสนดีของผมคนนั้นไป!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
:a13:q
*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
ทิพย์โมบอร์ดนิยาย