...จะไม่มีช่องว่าง ระหว่างเรา...ชิพ&แดน Series <<<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...จะไม่มีช่องว่าง ระหว่างเรา...ชิพ&แดน Series <<<  (อ่าน 434906 ครั้ง)

sixty-3

  • บุคคลทั่วไป

ALeX

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีครับชาวบอร์ดที่รักทุกท่าน ยังจำผมได้หรือเปล่า? ฮั่นแหน่นึกว่าลืมกันซะแล้ว อิอิ :m4:

ที่หายไปนานผมเห็นว่ามีคนมาตามหลายคน(เข้าใจความรู้สึกเพราะผมเองก็ตามนักเขียนหลายท่านที่ติดนิยายอยู่งอมแงมเช่นกัน โดยเฉพาะป้าสองนี่แหละ -_-" :m29:) อยากบอกว่าตอนนี้ภายในชีวิตมีเรื่องราวต่างๆวุ่นวายมากมาย ไหนจะเรียนพิเศษ แต่งนิยาย ผมต้องแบ่งเวลาให้ดีสุดๆซึ่งเป็นอะไรที่เหนื่อยเอาการ...

วันนี้ฤกษ์ดีได้เอาบทนำมาลงเป็นpremiere...ที่มาดึกขนาดนี้เพราะเพิ่งตรวจอักษรเสร็จเรียบร้อย(ผิดพลาดประการใดให้อภัยผมด้วยเถอะก๊าบ) มีเรื่องจะชี้แจงเกี่ยวกับนิยายภาค3นี้สักนิดหนึ่งคือ...

1. อ่านเรื่องนี้จะรู้สึกได้ว่ามันทั้งเศร้า ทั้งทุกข์แปลกๆ...ตัวละครเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เปลี่ยนไปหมด ซึ่งเป็นอะไรที่ผมเองอยากให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ คืออยากให้อ่านแล้วได้อารมณ์ที่เกิดขึ้นประมาณว่า นี่คือนิยายภาคต่อจริงๆหรือ? แต่โดยรวมแล้วนิสัยพื้นฐานและเนื้อเรื่องบังคงดำเนินต่อมาจากภาค2นะครับ ^-^
2. นิยายเรื่องนี้คาดไว้ว่าน่าจะสั้นที่สุดในจำนวนทั้งสามภาค เพราะตอนนี้แต่งไปได้ประมาณเกือบครึ่งเเล้ว อย่างที่บอกอ่ะครับ ผมยุ่งจริงๆ
3. แต่ขอรับรองว่าภาคสามจะต้องแอบหวาน แหม สัญญาคนอ่านไว้แล้ว แต่ก่อนจะหวานมันก็ต้องมีมรสุมบ้างเล็กน้อยใช่มั้ยครับ แฮะๆ ยังไงต้องติดตามกันน๊า
4. อาจจะเอามาลงช้า ไม่ใช่เกือบทุกวันเหมือนทั้งสองภาคที่ผ่านมา
5. ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ

ผมหวังว่านิยายของแดน-กับชิพนี้จะถูกใจใครหลายๆคนตั้งแต่ต้นจนจบ ผมรับทุกข้อความคิดเห้นเสมอและขอให้บอกมาเพราะจะได้ปรับปรุง ไม่ต้องเกรงใจเลย ผมแค่อยากแต่งนิยายที่รักและอยากให้ผู้อ่านได้เกิดความรุ้สึกบ้างเวลาอ่านตัวละครของผมไปเรื่อยๆ แค่ทุกท่านเข้ามาและลงคอมเม้นท์ทิ้งไว้ผมก็มีกำลังใจและซาบซึ้งมากแล้ว ขอบคุณจริงๆครับ

ขอให้สนุกกับการอ่าน(ทุกเรื่องเลย!!! o13 o13 o13)


...จะไม่มีช่องว่าง ระหว่างเรา...



“ฉันอาจจะเคยทำร้ายเธอ ทำให้เธอเสียใจ...แต่จนวันนี้แล้ว ฉันบอกได้ทำเดียวว่ารักเธอสุดหัวใจ”



บทนำ



       ภายนอกกระจกบานกว้าง ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดครึ้มลงทุกขณะ...บนถนนข้างทางที่คราคร่ำไปด้วยชาวอเมริกันซึ่งออกมาเดินจูงสุนัขออกกำลังกาย
บ้างก็เดินควงคู่ออกมาร่วมดินเนอร์กันสองต่อสอง...ผมเหม่อมองไปบนท้องฟ้า ผ่านใบของต้นปาล์มที่พัดไหวกลายเป็นเงาทาบทับไปบนถนนเวสต์ฮอลีวูดตัดกับเส้นวิ
ลเชอร์-ลาแบร์

       บรรยากาศมืดครึ้มเงียบเหงาเหมือนฝนกำลังจะตกเช่นนี้ทำให้ผมคิดถึงใครบางคน...ใครบางคนที่ทำให้ผมใจหวิวทุกค่ำคืนตลอดเวลาสิบปีที่ผ่าน
มา...

       เบาะข้างๆยุบตัวลง แม่ไถลตัวเข้ามาโอบกอดรอบคอของผมขณะกำลังแนบใบหน้าตรงต้นแขน…พร้อมทั้งมองไปทางทิศเดียวกัน

       “นั่งคิดอะไรอยู่แดน?”

       ผมยิ้ม รีบยกหลังมือขึ้นปาดรื้นน้ำตา

       “ไม่มีอะไรหรอกแม่”

      แม่ในชุดผ้ากันเปื้อนสีขาวตัวโปรดกุมมือผมไว้ ก่อนจะบีบมันเบาๆอย่างที่ท่านคอยทำเพื่อให้กำลังใจผมตลอดเวลาที่ผ่านมา

       “แม่ก็คิดถึงพ่อเค้าเหมือนกันนะ”

       พ่อของผมเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งเมื่อสิบปีก่อน หลังจากที่บินมาดูใจพ่อแค่ไม่กี่วัน ท่านก็จากไปอย่างสงบ...เหมือนท่านกำลังรอการกลับมาของ
ผมและแม่ ช่วงเวลานั้นแม้จะแสนสั้นแต่ก็ทำให้ผมมีความสุขที่ในที่สุด...เราสามคนพ่อแม่ลูกก็ได้กลับมาเจอหน้ากันสักที

       เริ่มแรกที่พ่อผมเสียไปเป็นการทำใจที่ยากเย็นและแสนเจ็บปวด…หากแต่ชีวิตของทุกคนต้องดำเนินต่อไป ผมรู้ว่าพ่อคงอยากให้ผมก้าวไปข้างหน้า
แทนที่จะจมอยู่กับอดีต…มันคือการฝึกฝนตนเองที่แสนทรหด…

       บวกกับชีวิตส่วนตัวของผมที่มีแต่ปัญหามากมาย…มันยากที่จะทำใจให้สงบและใช้ชีวิตอย่างปกติ มีหลายคืนที่ผมถึงกับนอนไม่หลับเพราะคิดถึงแต่
เรื่องต่างๆ จวบจนกระทั่งแม้แต่บัดนี้…ฝันร้ายเหล่านั้นก็ยังคงกลับมาเยี่ยมเยือนบ้างบางครั้ง…

       แต่มันทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่ ตอนนี้ผมมองทุกสิ่งจากหลายมุมก่อนจะตัดสินใจอะไร…บางทีฟ้าอาจลิขิตมาให้ผมกับเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน…แต่ผมยังรัก
เขาเสมอ หมดหัวใจ…เหมือนที่มันไม่สามารถมอบให้ใครได้อีก…นับวันเวลาที่ผ่านไปแม้ภาพแห่งความทรงจำเหล่านั้นจะเลือนลาง…แต่ผมไม่เคยลืมความรู้สึกนั้นที่เคยมี
เขา…มีกันและกัน…มันยังคงตราตรึงอยู่ในใจเรื่อยมา       

       …เสียงเปิดประตูร้านดังขึ้น เป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีแขกเข้ามาในร้านอาหารของเรา ร้านอาหารไทยที่แม่ซื้อต่อมาจากคนไทยเจ้าเก่า โดยเปิดเป็นร้าน
อาหารเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ตอนเริ่มแรกเราสองคนแม่ลูกก็พยายามทำงานเก็บเงินเพื่อให้ซื้อกิจการนี้ต่อได้ หลังจากนั้นเราก็จ้างแม่ครัวเพิ่ม จ้างพนักงานเสิร์ฟเพิ่มซึ่งก็
เป็นนักเรียนคนไทยเสียส่วนใหญ่ จนบัดนี้ร้านของเราขายดี ได้รับการประเมินจากทางกระทรวงของรัฐผ่านทุกครั้ง

       “แม่ไปรับลูกค้าก่อนนะ”

      ความจริงแม่ทำหน้าที่อยู่ในห้องครัว ร่วมกับแม่ครัวชาวอีสานอีกสองคนที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาทำงาน ส่วนพนักงานเสิร์ฟก็มีพี่อัจกับจิราสอง
สาวนักเรียนไทยที่มาต่อปริญญาโท ณ คาวน์สเตทแห่งหนึ่งย่านชานเมือง

       ภายในร้านมีโต๊ะไม่กี่ตัว แม่กับผมตัดสินใจเปิดร้านอาหารเล็กๆตัดช่องน้อยแต่พอตัวก่อนเท่านั้นเพราะแค่ต้องการมีพอกินพอใช้ ค่าครองชีพสำหรับ
ในประเทศมหาอำนาจแบบนี้แพงหูฉี่…ใช่ว่าพอลืมตาอ้าปากได้แล้วก็ลืมตัว มีคนไทยหลายรายแล้วเหมือนกันที่ประมาท จนตอนนี้หนี้สินพะรุงพะรังเต็มไปหมด…

       ยามเย็นมีคนไทยเข้ามานั่งจับจองจนเกือบเต็มแล้ว ร้านของเราบริการจัดส่งอาหารด้วยแต่ก็เป็นแค่ใกล้ๆ จะใครซะอีกถ้าไม่ใช่ผมเองเป็นคนขับรถ
ไปส่ง(- -*)…นั่นเล่นเหนื่อยเอาการตอนเริ่มต้นเพราะเราไม่ได้จ้างใครเลย ประกอบกับที่ผมเรียนหนังสือให้จบแล้วต่อโทฯไปด้วย แถมยังเรียนพิเศษเสริมความรู้เป็น
เอกภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย

       ...ฝนข้างนอกเริ่มตกประปราย เป็นภาพที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในแถบนี้ เม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาไม่นานเท่าใดนักก็หยุดลง กระจกในร้านเกิดฝ้า
อากาศ ข้างนอกคงหนาวจัด...แสงไฟจากร้านรวงถูกเปิดขึ้นทำให้ถนนทั้งสายสว่างไสวไปตลอด ทำไมนะ? คืนนี้ใจผมถึงเต้นแปลกๆ...มันแปลกไปจากความรู้สึก
เดิมๆ...หลังจากคืนนั้นเมื่อสิบปีก่อน...ในคืนนี้ผมคิดถึงเขาคนนั้นจัง...ไม่รู้เพราะอะไร

       ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเป็นความเศร้าที่ทุกข์ทรมานอย่างบอกไม่ถูก...สักพักหนึ่งจะเหมือนว่าเราทำใจได้แล้ว แต่เปล่าเลย ผมยังไม่สามารถลืมเขา
ได้...มีเพียงวันเวลาที่ทำให้ผมเรียนรู้ว่าไม่ควรจมอยู่แต่กับอดีต ทำให้ผมก้าวเดินต่อไป

       …โดยที่ยังไม่อาจลืมเขาได้ลงจนหมดสิ้น

       ทุกคืนที่เฝ้าฝัน...ทุกคืนที่ผมต้องหลับตาลงไปซึมซับความร้าวรานเหล่านั้น...ทำให้ผมเรียนรู้มากพอที่จะปล่อยวางจากเขา...ความรักที่ผมมีให้มัน
คือความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน นอกจากแค่ได้รักและอยากเห็นเขามีความสุขเท่านั้น

       ผมไม่รู้ว่าเขามีชีวิตยังไง…เขาจะมีความสุขดีมั้ย?...เขาจะประสบความสำเร็จอย่างที่เขาฝันไว้หรือเปล่า…เขาจะมีใครดีๆสักคนคอยดูแลเขา…แทน
ผม…แล้วหรือยัง

       แต่เชื่อมั้ยว่า ผมมีแต่ความหวังดีส่งให้เขาตลอด…ผ่านดวงใจดวงเดิม หากเขาลืมผมแล้ว…ก็คงไม่เป็นไร…เพราะรักเขาเกินกว่าเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น…

       ความรัก ที่เปรียบเสมือนการเดินทางอันยาวนาน บัดนี้ผมเดินทางมาโดยไม่มีเขา...แม้เป็นเพียงร่างกาย แต่หัวใจของเราอยู่ใกล้กัน...ตลอดเวลา

       และมันจะไม่มี...ช่องว่างระหว่างเราสองคน อีกต่อไป...





       โปรดติดตามตอนต่อไป





ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

sixty-3

  • บุคคลทั่วไป
อ๊า
มาแว้วววววววว

 :mc4:
ขอหวานๆเช่นกันคร้าบ

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
เปิดตัวมาได้น่าติดตามดีจังแฮะ

โดยเฮพาะชือ่เรื่องภาคนี้ด้วย  ชอบจังเลย

จะไม่มีที่ว่าง  ระหว่างเรา

ขอให้มันอบอุ่น  สมกับชื่อเรื่องซะทีนะครับ

อติดตามต่อปายยยยย

 o13

wutwit

  • บุคคลทั่วไป
มาเป็นกำลังใจให้ALEXค้าบบบบบบบบบบบ


หายไปหลายวันเหมือนกันนะ


คิดถึงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 :L2: :L2:

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
โห..แอบมาต่อ เพิ่งเจอนะ Alex :laugh: :oni3:

อย่าบอกนะว่า ชิพ ตามหาแดนมาตลอด ระยะเวลากว่า 10 ปีที่่ผ่านมา  o7 :o12:

ขอให้สมหวังเหมือนชื่อเรื่องนะครับ  :m1:

ออฟไลน์ nirun4

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
โห ใจร้ายอ่ะ ตั้ง 10 ปีแหนะ :o12: :o12: :o12:

เป็นกำลังใจให้นะครับ รออ่านครับ o13

ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: จากกันมานานมากเลยนะครับ  10ปีนี่ถ้าเปนช่วงที่มีความสุขมันก็แป๊บเดียว  แต่สำหรับความทุกข์มันเหมือนยาวนานจนเหมือนกับทั้งชีวิตเลยนะครับเนี่ยะ  :m15: :sad2: :m15:

แล้วก็ขอบคุณนะครับสำหรับภาค3  :m4: :m4:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






snowman

  • บุคคลทั่วไป
โห ... 10 ปี  ...

ยาวนานจังเลย

รู้สึกเศร้าแฮะ ... แบบว่า ได้เรียนรู้ได้เห็นชีวิตของคนตั้งแต่ยังเด็ก จนวัยรุ่น จวบวัยเริ่มแรกกลางคน ...


ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกเศร้า



snowblack

  • บุคคลทั่วไป
เย้ๆมาต่อแล้ว

แต่

"หัวใจเราอยู่ใกล้กัน"

มันฝังเหมือนว่าแค่ห่างมาเฉยๆโดยที่ยังติดต่อกันอยู่ประมาณนั้นอ่ะครับ

ไม่เหมือนคนที่หนีเค้ามาอ่ะครับมันดูแปลกๆ หรือผมจิ้นไม่ดีพอก็ไม่รู้

แต่รอตอนต่อไปนะครับ  o13

ออฟไลน์ ~!!Ome!!~

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
รอตอนต่อไปจ้าเอาหวานๆไม่มีเศร้าน๊าภาคนี้อ่ะ  :m1:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
10  ปีเชียวเหรอเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย รออ่านอย่างใจจดใจจ่อแน่ๆครับ

angsumalin

  • บุคคลทั่วไป
ว๊ากกก :serius2: 10 ปีเชียวววน๊า :o12:

ภาค 1+2 น้ำตาตกในมาเยอะแหล่ะ

ภาคนี้ชดเชยกันหน่อยน่ะค๊าบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2008 11:29:33 โดย angsumalin »

ALeX

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้น :o8:




บทที่ 1



       “แดนรับโทรศัพท์หน่อยลูก~~~”

       แม่ตะโกนเสียงดังมาจากในครัว โทรศัพท์ดังหนวกหูรบกวนสมาธิกระผมที่กำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างขะมักขเม้น^-^…ในที่สุดพี่อัจซึ่งนั่งอยู่ตรงแถว
เคาท์เตอร์ก็ยกหูขึ้นมากรอกสำเนียงภาษาอังกฤษเปร่งๆลงไปอย่างสุภาพ...ปรากฏว่าเป็นสายของผม

       “ใครอ่ะพี่อัจ?”

      “ไม่รู้อ่ะ คนไทย แดนรับเหอะ”

       ว่าแล้วร่างเล็กก็เดินจากไปเช็ดโต๊ะที่ว่างอยู่ วันนี้คนน้อยเพราะเป็นวันธรรมดาแถมยังใกล้จะหยุดยาวในช่วงเทศการขอบคุณพระเจ้าของชาวอเมริกัน

       กลับมาที่โทรศัพท์...ผมถอดแว่นอ่านหนังสือออก พลางสงสัยอยู่ในใจว่าใครกันหนอที่โทรฯหาผมแถมยังเป็นคนไทยอีกด้วย?

       “ฮัลโหล?”

      “แดนเหรอ? นี่พี่เองนะ มาร์คไง”

       วูบแรกที่ได้ยินเสียง ใจผมก็เต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นเสียแล้ว...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร น้ำเสียงอ่อนโยนสุภาพนั้นผมจำได้แม่นทีเดียว

       “อ้าวพี่มาร์ค! เป็นยังไงบ้างครับ”

      เป็นธรรมดาที่ผมต้องพูดเสียงดังเพราะความตื่นเต้นดีใจ จนทำให้แขกหลายๆคนมองมาอย่างฉงนสงสัย (-_-“)

       “พี่ก็สบายดี แดนล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

       ความจริง เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับพี่มาร์คติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์ นับตั้งแต่ผมตัดสินใจค้นหาเบอร์ที่สามารถติดต่อถึงพี่มาร์คได้ รวมถึงพี่เมฆ
ด้วย เราทักทายกันตามประสา ได้ข่าวว่าพี่มาร์คย้ายกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯแล้ว...แหม พูดไปก็น่าอิจฉา ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่เมืองนู้นจะมีสภาพเป็นยังไงบ้างนะ ผมล่ะคิดถึงมัน
จริงๆ

       แต่ก่อนพี่มาร์คอาศัยอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ ผมไม่ค่อยได้รับข่าวคราวจากเขาเลย จนกระทั่งย้ายมาอยู่ที่อเมริกาและบอย...อดีตคนรู้จักของผมส่ง
เบอร์ติดต่อมาให้ รู้อีกทีว่าตอนนี้พี่มาร์คกับพี่เมฆจบปริญญาโทด้านการบริหารเรียบร้อยแล้ว แถมทั้งสองยังรักกันดี หลายครั้งที่ส่งรูปถ่ายพร้อมจดหมายสนุกๆเขียนมาเล่า
ให้ฟังคลายเหงา...ล่าสุดเห็นบอกว่าอยากจัดตั้งบริษัทของตัวเอง

       “พี่เมฆล่ะครับสบายดีหรือเปล่า?”

       “~โอ๊ย ขานั่นอ่ะนอนขี้เซาทั้งวัน บอกว่าเมืองไทยอากาศร้อนๆ แต่ก่อนก็เป็นคนติดดินอยู่ดีๆตอนนี้กลายเป็นไฮโซไปซะแล้ว”

       ผมหัวเราะ

       “โธ่พี่ ก็พี่สองคนเล่นอยู่อังกฤษนานเป็นสิบๆปี หนาวกว่าที่อเมริกาตั้งเยอะ กลับไปเมืองร้อนทีก็ให้คนเขาบ่นหน่อยจะเป็นไร”

      “เออๆ แต่บ่นมากก็ไม่ดี รำคาญ”

      มีเสียงแจ้วๆแว่วเข้ามาในโทรศัพท์ ไอ้พี่เมฆตัวดีแอบประท้วงอยู่ปลายสาย

       “เชื่อเขาเลยจริงๆ...”

      พี่มาร์คบ่นพึมพำ

      “เออนี่ ตอนนี้ที่ร้านแดนเป็นยังไงบ้าง ขอถามหน่อยซิ”

      “อืม…” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆร้าน มีแขกนั่งอยู่สองสามโต๊ะ สั่งอาหารหลายจาน ในครัวมีแม่ครัววุ่นทำอาหารกันอยู่สามคน หนึ่งในนั้นมีแม่
ของผมด้วย

       “ก็ไม่มีอะไรนี่ ทุกอย่างลงตัวดี ช่วงนี้ลูกค้ารู้จักร้านผมมากขึ้น คนเลยมากินเยอะ”

      “เหรอ...ดีนี่”

      “พี่มาร์คถามเพราะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

      ฝ่ายนู่นนิ่งเงียบไป...ทำให้ผมฉุกคิดอะไรขึ้นบางอย่าง...

      “คือ ตอนนี้พี่ตั้งบริษัทนำเข้ากับเมฆน่ะ มันเลยไม่ค่อยมีคน...”

      ...แล้ว?...

      “คือ...เอ่อ พี่ก็เกรงใจแดนนะที่ว่าตอนนี้กิจการแดนกำลังไปได้ดี พี่ไม่อยากรบกวน แต่มันจำเป็นจริงๆ...”

      “ฮื้อ?”

      “พี่อยากให้แดนกลับมาช่วยพี่ทำงาน เพราะแดนรู้ภาษาญี่ปุ่น แล้วพี่กับเมฆก็ไว้ใจแดน”

      “…”

      ผมนิ่งอึ้งไปกับคำพูดของพี่มาร์คชั่วครู่ เหมือนมันพูดไม่ออก...ผมไม่มีคำตอบให้เขาหรอก ทว่าใจหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆไป...

       “แดน...แดนยังฟังอยู่หรือเปล่า?”

      “ครับ ผมฟังอยู่...”

      “พี่ขอโทษนะที่ต้องโทรฯมาถามคำถามน่าอึดอัดใจแบบนี้ พี่ขอโทษจริงๆ...แต่ตอนนี้บริษัทของพี่กำลังจะขยายตลาดไปที่ญี่ปุ่น แล้วลูกค้าญี่ปุ่นก็เป็น
คนสำคัญมากด้วย...พี่ไม่อยากให้ใครที่พี่ไม่ไว้วางใจมากพอมาทำงานนี้ให้ มีแต่แดนคนเดียวเท่านั้นแหละที่พี่นึกถึงและคิดว่ามีฝีมือพอ…”

       น้ำเสียงของพี่มาร์คฟังดูอับจนหนทางจริงๆ ผมโน้มตัวไปมองแม่ในครัวที่กำลังหันหลังเข้าเตาผัดอาหารในกระทะ ง่ะ>.<...ไม่รู้จะตอบปลายสาย
ไปยังไงดี(=_=”)

      “พี่มาร์คครับ...ผมขอเวลาหน่อยได้มั้ย”

      พี่มาร์คเงียบไปนิด

       “...ได้ซิ พี่ไม่บังคับแดนอยู่แล้ว แต่แค่ขอร้องเท่านั้น ยังไงถ้าแดนได้คำตอบแล้วก็...ติดต่อพี่ด้วย นี่คือเบอร์ใหม่ของออฟฟิศ...”

      คว้ากระดาษมาจด ด้วยนิสัยและทักษะของเลขานุการ(ที่ดี)ตอนเป็นผู้ช่วยครูอยู่ที่ยูฯทำให้ข้อความทุกอย่างที่พี่มาร์คพูดรัวลงมาถูกจดสู่
แผ่นกระดาษครบถ้วน ภายในเวลาไม่กี่วินาที

       “ขอบคุณมากนะแดน...พี่ต้องขอโทษที่จู่ๆก็โทรฯมาหาด้วยเรื่องแบบนี้โต้งๆ...แดนคงไม่ว่าอะไรนะ”

      “ไม่เป็นไรครับ...ผมยินดีเสมอ”

      “ขอบคุณแดนจริงๆ...”

       วางโทรศัพท์...ผมนั่งนิ่งๆจ้องมองข้อความที่จดด้วยลายมือขะยุกขะยิกของผม...พยายามคิดทบทวนถึงข้อเสนอของพี่มาร์ค...ในที่สุดผมก็เข้าไปขอ
คุยกับแม่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะเรามีเพียงกันสองคน ผมจำเป็นต้องให้แม่ตัดสินใจด้วย ท่านเป็นเสมือนอีกครึ่งหนึ่งของผมเช่นกัน



       “แดน...นอนได้แล้วลูก”

      ภายในบ้านเช่าขนาดเล็กแห่งหนึ่ง...ผมนอนอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัว กำลังอ่านหนังสือภายใต้โคมไฟสีนวลตา ฟังเสียงแม่วุ่นอยู่กับตระกร้าผ้าที่
เตรียมซักพรุ่งนี้เช้า...บ้านเช่าส่วนใหญ่ของชาวอเมริกันในมหานครลอสแองเจิลลิสต่างสร้างจากไม้กระดานนำมาต่อๆกันแล้วพื้นบุด้วยพรมทั้งหลัง ทำให้เวลาเดินมีเสียง
ตึงตัง...ห้องเช่าข้างบนที่เป็นชาวผิวดำก็เช่นกัน นี่ขนาดดึกแล้วเจ้าลูกชายที่ทำงานพิเศษเพิ่งกลับบ้านและกำลังเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอยู่...ผมชอบนั่งอ่านหนังสือพลางฟังเสียง
ต่างๆรอบตัวเช่นนี้เป็นประจำ มันทำให้ไม่เหงาดี...

       “แดน ได้ยินที่แม่พูดมั้ย? นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ”

      แม่โผล่หน้าเข้ามา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆผม...แม่กุมมือผมไว้

      “แดนเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?”

      “เสร็จแล้วแม่ ไม่ต้องห่วงเลย”

      ผมถอดแว่นตาอ่านหนังสือออก วางหนังสือลงแล้วนั่งขัดสมาธิ...แม่รู้เรื่องที่ผมจะไปช่วยงานบริษัทพี่มาร์คที่เมืองไทยแล้ว เราปรึกษากันซึ่งแม่ก็ไม่
ได้ว่าอะไร ไม่แม้แต่คัดค้านเลยซะด้วยซ้ำ ผมซะอีกที่เป็นห่วงแม่ว่าอยู่ตัวคนเดียวจะเป็นอะไรมั้ย แต่แม่ดันบอกว่า

       ‘...ถ้าแดนอยากไปช่วยเขา ก็ไปเถอะลูก ไม่ต้องห่วงแม่...เรื่องแค่นี้สบายมาก แดนไปเถอะ ดูแลตัวเองดีๆด้วย...’

      จะว่าผมเป็นคนติดแม่ก็ได้ นี่ขนาดอายุสามสิบสองแล้ว...แต่ผมยังชอบนอนตักแม่ มันรู้สึกอบอุ่นไม่เหมือนตักของคนไหน เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่
ผมรักมากที่สุดในชีวิต...เธอเป็นดั่งดวงตะวันที่ทอแสงให้ผมยามที่กำลังท้อแท้หมดหนทาง

       “แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนอีก แม่นัดแท็กซี่ไว้แต่เช้ามืดเลยนะ”

      “แดนนอนไม่หลับอ่ะแม่...”

      “ตื่นเต้นเหรอ?”

      “คงงั้นมั้ง…”

      เราสองคนนั่งกันเงียบๆ แม่รู้ว่าผมคิดอะไร...ความรู้สึกหวาดกลัวนี่ทำเอาผมกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน มันหลอนอยู่ข้างใน

       “...แดนจำคำแม่ไว้นะ...คนทุกคนเขาลิขิตมาไว้หมดแล้ว จะเป็นยังไงเราไม่รู้หรอก ขอแค่เราอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ”

       ใช่...ชีวิตของผมตอนนี้ล้วนมีแต่ปัจจุบัน ไม่มีอดีต ไม่มีสิ่งที่วาดฝัน เพราะผมพยายามอยู่แต่กับความจริง...ความฝันบางครั้งมันทำให้เราเจ็บปวด
ฉะนั้นจึงต้องเลิกคิดถึงมัน...มีแต่เพียงความทรงจำเท่านั้นที่ผมเก็บไว้อยู่ส่วนในลึกสุดของหัวใจ

       “นอนซะเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าแม่มาปลุก แม่เองก็ง่วงแล้ว”

      ก่อนที่แม่จะออกไป ผมคว้าแขนแม่ แล้วคว้าร่างนั้นมากอด...ความรู้สึกอ่อนแอตีตือขึ้นมาในอก...พยายามไม่ร้องไห้ให้แม่เห็น

       “แม่...มีอะไรแม่ก็รีบโทรฯหาผมเลยนะ”

      แม่พยักหน้ารับคำ ก่อนจะยิ้มๆเพราะเสียงของผมค่อนข้างสั่นเครือ...แม่เองซะเปล่าที่เข้มแข้งแม้ว่าผมกำลังจะจากท่านไปอีกหน แต่แม่ผ่านอะไรมา
มากมายและแข็งแกร่งมากกว่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถ...ใจหายไม่น้อยที่ภาพแม่กำลังยิ้ม...ทำให้ผมคงต้องนอนคิดถึงท่านไปอีกหลายคืนแน่ๆ

       เสียงปิดประตูแผ่วเบา...ผมถอนหายใจเสียงดังอยู่คนเดียว...นี่เราคิดดีแล้วหรือเนี้ยที่ตอบตกลงพี่มาร์คไป? แต่เปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว แม่คงได้ด่า
ตาย...แถมยังเสียมารยาทต่อพี่มาร์คด้วย

      จู่ๆ...ไม่รู้นึกบ้าอะไรขึ้นมา ทำให้ผมลุกออกจากเตียงไปหยิบไดอารี่ที่เก็บอยู่ในลิ้นชัก...ไขแม่กุญแจออก หยิบไดอารี่เล่มเก่าที่ไม่ได้เอาออกมาเปิด
อ่านนานมากจนฝุ่นเกาะหนา มันเป็นช่วงที่ผมย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่กับแม่ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน...มือสั่นเทาค่อยๆเปิดออกทีละหน้า พลางคิดว่าตอนนั้นเรารู้สึกเจ็บปวดได้มาก
มายขนาดนั้นเชียวหรือ?

      ความรู้สึกที่ค่อยหลังไหลเข้ามาทำให้หยาดน้ำตาไหลหยดลงบนหน้ากระดาษโดยไม่รู้ตัว...ความคิดถึงที่พุ่งจู่โจมรุ่นแรงจนมันแทบกลับไปเป็น
เหมือนวันเก่าๆ...การจากมาครั้งนั้นผมไม่มีอะไรของเขาติดตัวไว้เลย...มีเพียงความทรงจำที่ตราประทับแน่นไว้ในหัวใจ ไม่มีวันจางหาย...

       คืนนั้นผมนอนตาค้าง กลัวที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจออะไรบ้าง...แต่มันช่างเจ็บปวดเหนือคำบรรยาย...

 



       โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
 :m13: :m13: หวังว่าภาคนี้จะไม่รันทดมากนะครับ  สงสารอ่ะ  เศร้ามาตั้งสองภาคแระ  :m15: :m15:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
อืม เหงา เศร้า ซึมดี

จะเจออะไรนะถ้ากลับไปเมืองไทย

การกลับไปจะทำให้แผลที่(ไม่มีวัน)ตกสะเก็ดนั้นเหวอะกว่าเกาไหมนะ  :sad2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ขอให้เส้นทางกลับมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง  :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ nirun4

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
 :o12: :o12: :o12: โอ๊ยได้อ่านแล้ว มาต่อเร็ว ๆ นะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :oni1: กลับไทยแล้วจะได้เจอกันเลยมั้ยนะบนเครื่อง :laugh:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ตอนหน้าแล้วสิ ต้องเจอกันแน่ๆ

sixty-3

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ Tetjinen

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
 :sad2: ภาคนี้คงได้สุขสมใช่ไมครับ  o2

ออฟไลน์ xenosaga2000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
เย่ๆๆ  มาต่อแล้ว

ภาคนี้หวานหรอ

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ตอนหน้าจะเจอกันมั้ยน้า :a2:

angsumalin

  • บุคคลทั่วไป
ชีวิตคนเรากว่าจะแฮปปี้นั้นแสนสาหัส :o12:

ออฟไลน์ kaporzung

  • magKapleVE
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-2
    • Get vivid impressions and unforgettable emotions
รักแดนมากกกกก
 :m1:
มาต่อไวๆนะคะ

คิดถึง อิอิ  :o8:

ALeX

  • บุคคลทั่วไป

บทที่ 2



       ลมอุ่นร้อนค่อยๆพัดเข้ามาประทะใบหน้าของผม ขณะกำลังก้าวออกมาจากนอกตัวอาคารสนามบิน...ใจที่เต้นตึกตักเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนล้อเครื่อง
แต่พื้นแล้ว...ความดีใจที่ได้กลับมาบ้านเกิดในรอบสิบปีที่ผ่านมาทำให้ผมต้องสูดอากาศหายใจเข้าไปเต็มๆปอด...แล้วรับรู้ว่านี่แหละคือเมืองไทย...

       อากาศร้อนขึ้นมาก แต่หรือเป็นเพราะว่าผมอาศัยอยู่ในเมืองหนาวเสียนาน ทว่าก็ยินดีที่จะรับลมร้อนๆพร้อมไอแดดแสบผิวที่พัดเข้ามาประทะ

       มือข้างหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมา ผมมีแค่ใบเดียวเพราะมันสะดวกดี กวาดสายตามองหาเงาของพี่มาร์ด แต่...ก็ไม่ปรากฏตัวออกมา
สักที...

       ชักเริ่มงงๆ

      “แดน!”

      สักครู่ ร่างสูงที่คุ้นตาโบกมือเรียก ชั่ววูบนั่นความดีใจโลดแล่นอยู่ในอก เพียงแค่ปราดเดียวที่ทั้งพี่มาร์คและพี่เมฆรีบวิ่งเข้ามาหา ตอนแรกเราก็
ทักทายกันอย่างเก้กังๆเนื่องจากไม่ได้เจอหน้านานนับยี่สิบปี...ก่อนจะช่วยกันพาผมไปที่อาคารจอดรถผู้โดยสาร

       “~โห นี่เจ้าแดน เอ็งดูดีขึ้นเยอะเลยนะเนี้ย”

      ไอ้พี่เมฆเริ่มแซวก่อน เพราะเขาเป็นคนมีอัธยาศัยดีมาแต่ไหนแต่ไร เลยช่วยให้คนรอบข้างยิ้มได้ง่ายๆ

      “ผมอ้วนขึ้นอ่ะดิพี่”

       “ไม่หรอก แดนดูดีจริงๆ แต่ก่อนผอมไปไม่น่าดู ฮ่าๆ”

      พี่มาร์คเริ่มแซวบ้าง ก็คนมันอายุเยอะแล้วนี่...แต่น่าอิจฉาคู่รักกำลังอินเลิฟไม่คลายหวานคู่นี้จริงๆ ดูเขายังฟิตแอนด์เฟิร์มอยู่เลย...พี่มาร์คร่างสูง
หุ่นดี ผิวสีคล้ำเข้มมีแผงไหลกว้างเอวคอดแบบนักกีฬา...ส่วนพี่เมฆก็ดูตัวสูงโปรง หุ่นกำลังดีไม่อ้วนเกินไม่ผอมเกิน...หน้าตาที่ดูมีอายุขึ้นแต่ยิ่งมีเสน่ห์แบบหนุ่มใหญ่
กลับทำให้คนยิ้มง่ายอย่างเขาไม่ค่อยแก่ลงสักเท่าใดนัก

      “มาร์ค แต่ผมว่าคุณแก่ขึ้นนะ”

      “คุณน่ะแหละแก่ ดูซิตีนกาเต็มหน้า”

      ไอ้พี่เมฆหันมาถลึงตา ทั้งๆที่เริ่มแซวพี่มาร์คก่อนชัดๆ ผมหัวเราะ...มีความสุขที่ได้เห็นภาพหวานๆของคนทั้งสองที่ผมรู้จักมานาน มันทำให้ผมคิด
ถึงวันเวลาเก่าๆที่เคยมีร่วมกัน จนบัดนี้เราทุกคนเติบโตขึ้น ได้เรียนรู้ ดูจากลักษณะหรือน้ำเสียงที่ทั้งสองใช้พูดคุยกัน...มันคือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และความรักที่
ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง

       “เดี๋ยวแดนดูบ้านใหม่นะ ว่าสวยมั้ย”

      พี่เมฆเป็นคนขับรถ รถของเรามุ่งหน้าตรงสู่ใจกลางเมือง...ระหว่างสองข้างทางทำให้คนไกลบ้านอย่างผมตื่นตาตื่นใจไม่น้อย..เมืองไทยเปลี่ยนไป
เยอะมาก ทั้งเจริญขึ้นแล้วก็มีอะไรแปลกใหม่เยอะแยะเต็มไปหมด แถมในเมืองยังตกแต่งเป็นบรรยากาศเหมือนของเมืองนอกจนผมอดนึกไม่ได้ว่าไม่ได้กลับมาเมืองไทย
จริงๆแล้วซะอีก (=_=”)

       “แดนอยากเข้าบ้านก่อนหรือว่าเที่ยวดูเมืองสักรอบ ว่าไง?”

      “ขอเข้าพักก่อนดีกว่าพี่ ผมไม่ค่อยได้นอนบนเครื่องเลย”

      พี่มาร์คพยักหน้า พี่เมฆเลยเร่งเครื่องให้เร็วขึ้น

       “งั้นรีบกลับไปนอนพักดีกว่า แดนคงเหนื่อยจากการเดินทาง พี่ก็เป็นนะเวลานั่งเครื่องนานๆ แมร่-งโคตรเหนื่อยเลย...”

      ผมแอบยิ้ม...เอาศีรษะพิงกระจกรถพลางมองออกไปข้างนอก...ไม่น่าเชื่อว่าผมกลับมาแล้ว นี่แหละที่เหมือนความฝัน…

       

       “เอาล่ะ ถึงแล้ว”

      พี่มาร์คเป็นคนไขประตูบ้านหลังเดี่ยวสองชั้นที่ใหญ่โตสวยงาม...พี่เมฆเป็นคนช่วยยกกระเป๋าเข้ามาแม้ผมจะห้ามไว้หลายครั้งแล้วก็ตาม(ไม่เป็นไร
เดี๋ยวทิป อิอิ^-^) บ้านหลังนี้ที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้เพราะเงินเก็บของคนทั้งสอง ผมคิดว่าเป็นอะไรที่น่าภูมิใจมาก...บ้านในฝันที่หลายคนอยากได้ มีสวนเล็กๆหน้า
บ้าน มีโรงจอดรถ มีความเป็นส่วนตัวและตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่ดี

       ตัวบ้านสีขาวสวย เป็นบ้านใหม่ในละแวกนั้น ภายในตกแต่งเรียบง่าย ดูรู้ว่ามีคนอาศัยอยู่แค่ชายหนุ่มสองคน...พี่มาร์คซึ่งเป็นคนมีระเบียบ ส่วนพี่
เมฆเป็นคนไร้ระเบียบ...แต่ทั้งสองต่างอยู่ร่วมกันอย่างลงตัวจนความน่ารักทำเอาผมแอบอิจฉาตาร้อนผ่าวนิดๆ(ล้อเล่นๆ^-^) ห้องของผมอยู่ชั้นสอง เป็นส่วนที่เตรียม
ไว้สำหรับแขกอยู่แล้ว และจะเป็นที่พักผิงของผมไปตลอดจนกว่าจะหาที่อยู่เองได้

       “หรือไม่แดนก็อยู่กับเราไปตลอดก็ได้”

      เราคุยกันทางโทรศัพท์แล้วว่าจะให้ผมมาอยู่บ้านเดียวกับพี่มาร์คและพี่เมฆ...ทว่าปฏิเสธพ่อคนช่างตื้ออย่างพี่มาร์คไม่ได้แม้จะเกรงใจ หน่ำซ้ำพอ
ตกปากรับคำแล้วยังจะให้เลยเถิดไปจนถึงอยู่ถาวรเลยอีกต่างหาก -_-“…แต่ผมไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกินรบกวนความเป็นส่วนตัวของพวกเขานี่ เหอะๆ

       “ไม่อ่ะครับพี่ เท่านี้ผมก็ขอขอบคุณมากแล้ว”

       “แน่ใจนะ…”

      พี่มาร์คยังทำสีหน้าอ้อนวอนแบบผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ได้หรอก ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกอย่างขืนอยู่ต่อไปไอ้พี่เมฆได้อึดอัดตายแน่...เพราะอะไรน่ะ
เหรอ? เหอะๆ...ผมพอรู้กิตศัพท์ของพ่อพันธุ์วัวถึกตัวนี้มาบ้างหรอกน๊า~~~...(>/////<)

      “งั้น แดนพักผ่อนเถอะนะ ปรับตัวซะก่อน แล้วเดี๋ยวเย็นนี้พี่ค่อยปลุกไปกินอาหารก็แล้วกัน พี่เลี้ยงเอง”

      พี่มาร์คกับพี่เมฆหลบตัวออกไป ท่าทางผมคงต้องกวนเรื่องนู่นนี่พวกเขาอีกหลายอย่าง...แต่ตอนนี้รู้สึกง่วงและเหนื่อยเหลือเกิน...ผมล้มตัวลง
นอนอย่างคนหมดแรง เฮ้อ...บ้านหลังนี่จะว่าไปทั้งดูดีและอยู่สบายไม่ใช่น้อย พอทำงานแล้วผมคงต้องเก็บเงินหาบ้านดีๆแบบนี้สักหลัง ให้พี่มาร์คช่วยหา...ตรงหน้าบ้าน
อาจจะปลูกสวนดอกไม้ไว้ดูเล่น ผมอาจจะเลี้ยงหมาตัวใหญ่ๆเอาไว้สักตัวเพื่อเอาไว้นอนกอดมันตอนกลางคืนเวลาเหงา แล้วก็ให้มันเฝ้าบ้าน ต้องจ้างแม่บ้านดีๆมาดูแลสัก
คน เอาที่ไว้ใจได้...เท่านี้ผมก็มีความสุขแล้ว

       เฮ้อ...หยุดเรื่องเพ้อฝันเอาไว้ก่อน คงต้องนอนหลับเต็มๆอิ่มสักงีบ แล้วเรื่องต่อไปค่อยว่ากันอีกที

       ...ทว่ามันคงไม่หนักหนาเกินไป





      โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :เฮ้อ: กลับมาแล้วจะได้เจอกันรึเปล่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด