มาแล้น
บทที่ 1
“แดนรับโทรศัพท์หน่อยลูก~~~”
แม่ตะโกนเสียงดังมาจากในครัว โทรศัพท์ดังหนวกหูรบกวนสมาธิกระผมที่กำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างขะมักขเม้น^-^…ในที่สุดพี่อัจซึ่งนั่งอยู่ตรงแถว
เคาท์เตอร์ก็ยกหูขึ้นมากรอกสำเนียงภาษาอังกฤษเปร่งๆลงไปอย่างสุภาพ...ปรากฏว่าเป็นสายของผม
“ใครอ่ะพี่อัจ?”
“ไม่รู้อ่ะ คนไทย แดนรับเหอะ”
ว่าแล้วร่างเล็กก็เดินจากไปเช็ดโต๊ะที่ว่างอยู่ วันนี้คนน้อยเพราะเป็นวันธรรมดาแถมยังใกล้จะหยุดยาวในช่วงเทศการขอบคุณพระเจ้าของชาวอเมริกัน
กลับมาที่โทรศัพท์...ผมถอดแว่นอ่านหนังสือออก พลางสงสัยอยู่ในใจว่าใครกันหนอที่โทรฯหาผมแถมยังเป็นคนไทยอีกด้วย?
“ฮัลโหล?”
“แดนเหรอ? นี่พี่เองนะ มาร์คไง”
วูบแรกที่ได้ยินเสียง ใจผมก็เต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นเสียแล้ว...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร น้ำเสียงอ่อนโยนสุภาพนั้นผมจำได้แม่นทีเดียว
“อ้าวพี่มาร์ค! เป็นยังไงบ้างครับ”
เป็นธรรมดาที่ผมต้องพูดเสียงดังเพราะความตื่นเต้นดีใจ จนทำให้แขกหลายๆคนมองมาอย่างฉงนสงสัย (-_-“)
“พี่ก็สบายดี แดนล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
ความจริง เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับพี่มาร์คติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์ นับตั้งแต่ผมตัดสินใจค้นหาเบอร์ที่สามารถติดต่อถึงพี่มาร์คได้ รวมถึงพี่เมฆ
ด้วย เราทักทายกันตามประสา ได้ข่าวว่าพี่มาร์คย้ายกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯแล้ว...แหม พูดไปก็น่าอิจฉา ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่เมืองนู้นจะมีสภาพเป็นยังไงบ้างนะ ผมล่ะคิดถึงมัน
จริงๆ
แต่ก่อนพี่มาร์คอาศัยอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ ผมไม่ค่อยได้รับข่าวคราวจากเขาเลย จนกระทั่งย้ายมาอยู่ที่อเมริกาและบอย...อดีตคนรู้จักของผมส่ง
เบอร์ติดต่อมาให้ รู้อีกทีว่าตอนนี้พี่มาร์คกับพี่เมฆจบปริญญาโทด้านการบริหารเรียบร้อยแล้ว แถมทั้งสองยังรักกันดี หลายครั้งที่ส่งรูปถ่ายพร้อมจดหมายสนุกๆเขียนมาเล่า
ให้ฟังคลายเหงา...ล่าสุดเห็นบอกว่าอยากจัดตั้งบริษัทของตัวเอง
“พี่เมฆล่ะครับสบายดีหรือเปล่า?”
“~โอ๊ย ขานั่นอ่ะนอนขี้เซาทั้งวัน บอกว่าเมืองไทยอากาศร้อนๆ แต่ก่อนก็เป็นคนติดดินอยู่ดีๆตอนนี้กลายเป็นไฮโซไปซะแล้ว”
ผมหัวเราะ
“โธ่พี่ ก็พี่สองคนเล่นอยู่อังกฤษนานเป็นสิบๆปี หนาวกว่าที่อเมริกาตั้งเยอะ กลับไปเมืองร้อนทีก็ให้คนเขาบ่นหน่อยจะเป็นไร”
“เออๆ แต่บ่นมากก็ไม่ดี รำคาญ”
มีเสียงแจ้วๆแว่วเข้ามาในโทรศัพท์ ไอ้พี่เมฆตัวดีแอบประท้วงอยู่ปลายสาย
“เชื่อเขาเลยจริงๆ...”
พี่มาร์คบ่นพึมพำ
“เออนี่ ตอนนี้ที่ร้านแดนเป็นยังไงบ้าง ขอถามหน่อยซิ”
“อืม…” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆร้าน มีแขกนั่งอยู่สองสามโต๊ะ สั่งอาหารหลายจาน ในครัวมีแม่ครัววุ่นทำอาหารกันอยู่สามคน หนึ่งในนั้นมีแม่
ของผมด้วย
“ก็ไม่มีอะไรนี่ ทุกอย่างลงตัวดี ช่วงนี้ลูกค้ารู้จักร้านผมมากขึ้น คนเลยมากินเยอะ”
“เหรอ...ดีนี่”
“พี่มาร์คถามเพราะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ฝ่ายนู่นนิ่งเงียบไป...ทำให้ผมฉุกคิดอะไรขึ้นบางอย่าง...
“คือ ตอนนี้พี่ตั้งบริษัทนำเข้ากับเมฆน่ะ มันเลยไม่ค่อยมีคน...”
...แล้ว?...
“คือ...เอ่อ พี่ก็เกรงใจแดนนะที่ว่าตอนนี้กิจการแดนกำลังไปได้ดี พี่ไม่อยากรบกวน แต่มันจำเป็นจริงๆ...”
“ฮื้อ?”
“พี่อยากให้แดนกลับมาช่วยพี่ทำงาน เพราะแดนรู้ภาษาญี่ปุ่น แล้วพี่กับเมฆก็ไว้ใจแดน”
“…”
ผมนิ่งอึ้งไปกับคำพูดของพี่มาร์คชั่วครู่ เหมือนมันพูดไม่ออก...ผมไม่มีคำตอบให้เขาหรอก ทว่าใจหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆไป...
“แดน...แดนยังฟังอยู่หรือเปล่า?”
“ครับ ผมฟังอยู่...”
“พี่ขอโทษนะที่ต้องโทรฯมาถามคำถามน่าอึดอัดใจแบบนี้ พี่ขอโทษจริงๆ...แต่ตอนนี้บริษัทของพี่กำลังจะขยายตลาดไปที่ญี่ปุ่น แล้วลูกค้าญี่ปุ่นก็เป็น
คนสำคัญมากด้วย...พี่ไม่อยากให้ใครที่พี่ไม่ไว้วางใจมากพอมาทำงานนี้ให้ มีแต่แดนคนเดียวเท่านั้นแหละที่พี่นึกถึงและคิดว่ามีฝีมือพอ…”
น้ำเสียงของพี่มาร์คฟังดูอับจนหนทางจริงๆ ผมโน้มตัวไปมองแม่ในครัวที่กำลังหันหลังเข้าเตาผัดอาหารในกระทะ ง่ะ>.<...ไม่รู้จะตอบปลายสาย
ไปยังไงดี(=_=”)
“พี่มาร์คครับ...ผมขอเวลาหน่อยได้มั้ย”
พี่มาร์คเงียบไปนิด
“...ได้ซิ พี่ไม่บังคับแดนอยู่แล้ว แต่แค่ขอร้องเท่านั้น ยังไงถ้าแดนได้คำตอบแล้วก็...ติดต่อพี่ด้วย นี่คือเบอร์ใหม่ของออฟฟิศ...”
คว้ากระดาษมาจด ด้วยนิสัยและทักษะของเลขานุการ(ที่ดี)ตอนเป็นผู้ช่วยครูอยู่ที่ยูฯทำให้ข้อความทุกอย่างที่พี่มาร์คพูดรัวลงมาถูกจดสู่
แผ่นกระดาษครบถ้วน ภายในเวลาไม่กี่วินาที
“ขอบคุณมากนะแดน...พี่ต้องขอโทษที่จู่ๆก็โทรฯมาหาด้วยเรื่องแบบนี้โต้งๆ...แดนคงไม่ว่าอะไรนะ”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมยินดีเสมอ”
“ขอบคุณแดนจริงๆ...”
วางโทรศัพท์...ผมนั่งนิ่งๆจ้องมองข้อความที่จดด้วยลายมือขะยุกขะยิกของผม...พยายามคิดทบทวนถึงข้อเสนอของพี่มาร์ค...ในที่สุดผมก็เข้าไปขอ
คุยกับแม่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะเรามีเพียงกันสองคน ผมจำเป็นต้องให้แม่ตัดสินใจด้วย ท่านเป็นเสมือนอีกครึ่งหนึ่งของผมเช่นกัน
“แดน...นอนได้แล้วลูก”
ภายในบ้านเช่าขนาดเล็กแห่งหนึ่ง...ผมนอนอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัว กำลังอ่านหนังสือภายใต้โคมไฟสีนวลตา ฟังเสียงแม่วุ่นอยู่กับตระกร้าผ้าที่
เตรียมซักพรุ่งนี้เช้า...บ้านเช่าส่วนใหญ่ของชาวอเมริกันในมหานครลอสแองเจิลลิสต่างสร้างจากไม้กระดานนำมาต่อๆกันแล้วพื้นบุด้วยพรมทั้งหลัง ทำให้เวลาเดินมีเสียง
ตึงตัง...ห้องเช่าข้างบนที่เป็นชาวผิวดำก็เช่นกัน นี่ขนาดดึกแล้วเจ้าลูกชายที่ทำงานพิเศษเพิ่งกลับบ้านและกำลังเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอยู่...ผมชอบนั่งอ่านหนังสือพลางฟังเสียง
ต่างๆรอบตัวเช่นนี้เป็นประจำ มันทำให้ไม่เหงาดี...
“แดน ได้ยินที่แม่พูดมั้ย? นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ”
แม่โผล่หน้าเข้ามา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆผม...แม่กุมมือผมไว้
“แดนเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?”
“เสร็จแล้วแม่ ไม่ต้องห่วงเลย”
ผมถอดแว่นตาอ่านหนังสือออก วางหนังสือลงแล้วนั่งขัดสมาธิ...แม่รู้เรื่องที่ผมจะไปช่วยงานบริษัทพี่มาร์คที่เมืองไทยแล้ว เราปรึกษากันซึ่งแม่ก็ไม่
ได้ว่าอะไร ไม่แม้แต่คัดค้านเลยซะด้วยซ้ำ ผมซะอีกที่เป็นห่วงแม่ว่าอยู่ตัวคนเดียวจะเป็นอะไรมั้ย แต่แม่ดันบอกว่า
‘...ถ้าแดนอยากไปช่วยเขา ก็ไปเถอะลูก ไม่ต้องห่วงแม่...เรื่องแค่นี้สบายมาก แดนไปเถอะ ดูแลตัวเองดีๆด้วย...’
จะว่าผมเป็นคนติดแม่ก็ได้ นี่ขนาดอายุสามสิบสองแล้ว...แต่ผมยังชอบนอนตักแม่ มันรู้สึกอบอุ่นไม่เหมือนตักของคนไหน เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่
ผมรักมากที่สุดในชีวิต...เธอเป็นดั่งดวงตะวันที่ทอแสงให้ผมยามที่กำลังท้อแท้หมดหนทาง
“แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนอีก แม่นัดแท็กซี่ไว้แต่เช้ามืดเลยนะ”
“แดนนอนไม่หลับอ่ะแม่...”
“ตื่นเต้นเหรอ?”
“คงงั้นมั้ง…”
เราสองคนนั่งกันเงียบๆ แม่รู้ว่าผมคิดอะไร...ความรู้สึกหวาดกลัวนี่ทำเอาผมกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน มันหลอนอยู่ข้างใน
“...แดนจำคำแม่ไว้นะ...คนทุกคนเขาลิขิตมาไว้หมดแล้ว จะเป็นยังไงเราไม่รู้หรอก ขอแค่เราอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ”
ใช่...ชีวิตของผมตอนนี้ล้วนมีแต่ปัจจุบัน ไม่มีอดีต ไม่มีสิ่งที่วาดฝัน เพราะผมพยายามอยู่แต่กับความจริง...ความฝันบางครั้งมันทำให้เราเจ็บปวด
ฉะนั้นจึงต้องเลิกคิดถึงมัน...มีแต่เพียงความทรงจำเท่านั้นที่ผมเก็บไว้อยู่ส่วนในลึกสุดของหัวใจ
“นอนซะเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าแม่มาปลุก แม่เองก็ง่วงแล้ว”
ก่อนที่แม่จะออกไป ผมคว้าแขนแม่ แล้วคว้าร่างนั้นมากอด...ความรู้สึกอ่อนแอตีตือขึ้นมาในอก...พยายามไม่ร้องไห้ให้แม่เห็น
“แม่...มีอะไรแม่ก็รีบโทรฯหาผมเลยนะ”
แม่พยักหน้ารับคำ ก่อนจะยิ้มๆเพราะเสียงของผมค่อนข้างสั่นเครือ...แม่เองซะเปล่าที่เข้มแข้งแม้ว่าผมกำลังจะจากท่านไปอีกหน แต่แม่ผ่านอะไรมา
มากมายและแข็งแกร่งมากกว่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถ...ใจหายไม่น้อยที่ภาพแม่กำลังยิ้ม...ทำให้ผมคงต้องนอนคิดถึงท่านไปอีกหลายคืนแน่ๆ
เสียงปิดประตูแผ่วเบา...ผมถอนหายใจเสียงดังอยู่คนเดียว...นี่เราคิดดีแล้วหรือเนี้ยที่ตอบตกลงพี่มาร์คไป? แต่เปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว แม่คงได้ด่า
ตาย...แถมยังเสียมารยาทต่อพี่มาร์คด้วย
จู่ๆ...ไม่รู้นึกบ้าอะไรขึ้นมา ทำให้ผมลุกออกจากเตียงไปหยิบไดอารี่ที่เก็บอยู่ในลิ้นชัก...ไขแม่กุญแจออก หยิบไดอารี่เล่มเก่าที่ไม่ได้เอาออกมาเปิด
อ่านนานมากจนฝุ่นเกาะหนา มันเป็นช่วงที่ผมย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่กับแม่ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน...มือสั่นเทาค่อยๆเปิดออกทีละหน้า พลางคิดว่าตอนนั้นเรารู้สึกเจ็บปวดได้มาก
มายขนาดนั้นเชียวหรือ?
ความรู้สึกที่ค่อยหลังไหลเข้ามาทำให้หยาดน้ำตาไหลหยดลงบนหน้ากระดาษโดยไม่รู้ตัว...ความคิดถึงที่พุ่งจู่โจมรุ่นแรงจนมันแทบกลับไปเป็น
เหมือนวันเก่าๆ...การจากมาครั้งนั้นผมไม่มีอะไรของเขาติดตัวไว้เลย...มีเพียงความทรงจำที่ตราประทับแน่นไว้ในหัวใจ ไม่มีวันจางหาย...
คืนนั้นผมนอนตาค้าง กลัวที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจออะไรบ้าง...แต่มันช่างเจ็บปวดเหนือคำบรรยาย...
โปรดติดตามตอนต่อไป