บทที่ 4
“สวัสดีครับ มิสเตอร์ฮันโดะ”
ผมโค้งคำนับตามแบบฉบับวัฒนธรรมชาวแดนอาทิตย์อุทัยอย่างนอบน้อม สวย สุภาพ พร้อมทั้งกล่าวสวัสดีเป็นมารยาทด้วยภาษาญี่ปุ่นที่ชัดเจนของ
ผม...การสร้างความประทับใจเมื่อแรกเริ่มรู้จักเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับชาวญี่ปุ่น
พี่มาร์คและพี่เมฆทำตาม แต่กล่าวเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงต้นฉบับโดยแท้ เราฉีกยิ้มกว้างๆบนใบหน้า ซึ่งผมคิดว่าได้ผล เพราะอีกฝ่ายก็ยิ้ม
ตอบกลับมาเช่นกัน
ปกติแล้วนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นจะซีเรียสเรื่องงานมาก เวลาต้องตรงเป๊ะ มารยาทต้องถูกต้อง แต่นี่ที่มิสเตอร์ฮันโดะยิ้มก็ดูท่าว่าน่าจะไปได้สวยไม่น้อย
มิสเตอร์ฮันโดะเป็นชาวญี่ปุ่นที่มีบ้านเกินอยู่จังหวัดโยโกฮาม่า เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปลายๆถึงหกสิบต้นๆ มีบุคลิคของนักธุรกิจ
ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ท่าทีที่เรียบง่ายเป็นกันเอง ยิ้มง่าย ชอบพูดจาช้าๆให้ความรู้สึกของคุณลุงใจดีเสียมากกว่า ทำให้การสนทนาตกลงธุรกิจของเราผ่านพ้นไป
ด้วยดี
เขากล่าวชมผมว่าพูดภาษาญี่ปุ่นเก่ง หุหุ หน้าบานซิครับท่าน>.<!!! ผมเลยต้องโค้งคำนับไปอีกหลายรอบ เล่นเอาไอ้พี่เมฆแอบขำอยู่นิดๆเหมือน
กัน
บริษัทของมิสเตอร์ฮันโดะต้องการขยายกิจการเข้ามาในเมืองไทย มุ่งตลาดไปที่กลุ่มสาวๆตั้งแต่วัยรุ่นตอนปลายจนกระทั่งถึงวัยทำงานทุกรุ่น เครื่อง
สำอางค์ชื่อดังนำเข้าจากญี่ปุ่นต้องการตีตลาดในบ้านเรา หลายๆฝ่ายได้คุยกัน แต่สรุปแล้วบริษัทของเรา(หมายถึงของพี่มาร์คและพี่เมฆ)ก็ได้ตกลงเซ็นท์สัญญาให้เป็นผู้
ดูแลเรื่องการนำเข้ารายใหญ่เพียงเจ้าเดียว
คุยงานเสร็จก็ประมาณเที่ยงๆ ได้เลี้ยงอาหารมิสเตอร์ฮันโดะพอดี พี่มาร์คกับพี่เมฆเลยเสนอตัวเป็นเจ้ามือเลี้ยงเพราะแหงะอยู่แล้ว=_=…จะให้ปล่อย
ปะละเลยลูกค้าคนสำคัญไปได้ไง แต่มิสเตอร์ฮันโดะอยากกลับไปเอาเอกสารที่บริษัทก่อน...คนญี่ปุ่นที่ขยันบ้าทำงานนี่ก็น่าปวดหัวเหมือนกันนะ แม้แต่เวลาจะกินข้าวยัง
อยากใช้เวลาดูเอกสารนู่นนี่ ถ้าเป็นคนอื่นคงหาว่าไร้มารยาทแน่ๆ
“งั้นเดี๋ยวผมขับรถไปที่บริษัทของคุณฮันโดะก่อนก็แล้วกันนะครับ ท่านจะได้หยิบเอกสารอะไรได้ด้วย”
พี่เมฆบึ่งรถไปตามการจราจรที่ติดขัดเป็นช่วงๆ แต่ด้วยความชำนาญแค่ยี่สิบนาทีก็ถึงบริษัทของมิสเตอร์ฮันโดะที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง(สีลม) ผมรอ
อยู่ที่รถส่วนที่เหลือขึ้นไปบนออฟฟิศ...ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะกระจกดังก๊อกๆ...ผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังยืนป้องแดดพร้อมทั้งมองส่องเข้ามา
“ครับ?”
ลดกระจกลง...เอ๊ะ ผู้ชายคนนี้ผมเหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนนะ???
“ขอโทษครับ แต่นี่คือรถที่คุณฮันโดะจะนั่งไปทานอาหารกับคุณมาร์คหรือเปล่า?”
“ใช่ครับ...คุณ?...”
ผมจ้องหน้าเขา...อีกฝ่ายก็จ้องตอบกลับมา สมองของผมพยายามค้นหาข้อมูล...ทบทวนว่าเคยรู้จักกับผู้ชายตรงหน้านี่หรือเปล่า?
คิ้วเข้มๆข้างหนึ่งถูกยกขึ้นอย่างสงสัย
“หน้าผมมีอะไรติดไว้เหรอครับ?”
วินาทีนั้นที่เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยออกมา...ฟังดูยังแฝงไปด้วยความทะเล้นแย้มหัวดังเดิม...ไอ้หมอนี่พอไม่ได้ดัดฟันแล้วค่อยดูดีขึ้นเยอะ ไม่งั้นดูไม่ได้(
เหอะๆ)...มันสูงขึ้น ตัวก็ผอมลงกว่าเก่าเล็กน้อยต่างจากครั้งล่าสุดที่เห็น ซึ่งนั่นก็คือเมื่อสิบปีก่อน…
“เปล่าหรอก...นี่ มึงจำกูไม่ได้แล้วเหรอ?...”
“จำ?...”
ไอ้กอล์ฟยกมือขึ้นเกาหัว ท่าทางแบบเดิมทำเอาผมอดหัวเราะคิกไม่ได้ มันยิ่งขมวดคิ้ว
“ผมเคยรู้จักคุณด้วยเหรอ?”
“เออซิว่ะ! ก็มึงไงไอ้กอล์ฟ นายกิตติกานต์ลูกเฮียอ้วนขายข้าวต้มหน้าปากซอยบ้านเก่ากู กูแดนไง มึงจำไม่ได้เหรอ!?”
มันค่อยๆเบิ่งตา(ที่ตี๋อยู่แล้ว)แล้วจ้องมองเข้ามาใกล้ๆ...ก่อนจะคลี่ยิ้มออกแล้วร้องอ้อเสียงดังเหมือนนานชาติ(-.-“) มันทำหัวปะหลกๆเป็นการ
ขอโทษ
“เออๆใช่นึกออกแล้วว่ะ...โห เฮ้ยนี่มึงเหรอเนี้ย?”
“ก็เออดิ”
“กูแทบจำไม่ได้เลยว่ะ ไม่อยากเชื่อเลย…”
“’ไมอ่ะ!?”
“ก็...ดูมึงดิ โตขึ้น...เป็นผู้ใหญ่มาก แถมยังแก่ลงด้วย”
“อ้าวไอ้เชี้ยนี่”
ผมทำท่าจะเบิร์ดกะโหลกมัน แต่ด้วยความที่เราเคยรู้จักกันมาก่อนแล้วทำให้ไอ้กอล์ฟไม่โกรธ กลับหัวเราะร่า ผมเองทั้งตื่นเต้นและดีใจชะมัดที่ได้เจอ
เพื่อนเก่าอีกครั้ง
“โห...เฮ้ยนี่มันตั้งกี่ปีแล้วว่ะ? สิบ...สิบปีใช่อ่ะ”
ผมก้าวลงมาจากรถ “อืม สิบปีพอดี”
“ใช่อ่ะดิ แมร่งไม่ติดต่อมาเลย โอโห! นี่ดูทั้งเนื้อทั้งตัวเปลี่ยนไปนะเนี้ย โคตรไฮโซเลย”
มันจับๆลูบๆไปตามเสื้อสูท ส่วนมันใส่แค่ชุดทำงานแบบผู้ชายทั่วไป ทว่าดูดีเข้ากับมันมากกกก ฮ่าๆๆๆ~~~(= =”)…
“เอ่อ เมื่อก่อนกูกระจอกจะตายไป”
“~เดี๋ยวนี้...แมร่ง โคตรเลย...แล้วว่าไง เป็นไงบ้างอ่ะ? หายหัวไปอยู่ไหนมา เพื่อนฝูงไม่ยอมรู้จักติดต่อ รู้มั้ยเขาพยายามติดต่อมึงกันอยู่นานแค่
ไหน”
“ก็...กูยุ่งๆนิดหน่อยอ่ะ ตอนนี้แม่เปิดร้านอาหารไทยอยู่’เมกา เลยไม่ว่างเลย”
“เหรอ?! อืมๆ”
มันจะทำเสียงตื่นเต้นดีใจไปทำหอกไรฟ่ะ O_O”?
“นี่ถามจริง ตอนแรกมึงจำกูไม่ได้จริงๆเหรอ”
ผมยิ้มๆ ส่วนมันน่าแดง อื้อ? หน้าแดง..คนอย่างกอล์ฟเนี้ยนะน่าแดง ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกมาก...มันอายๆแล้วตอบอ้อมแอ้ม
“เฮ้ย~~~ ใช่ที่ไหนเล่า กูอำมึงเล่น ความจริงรู้อยู่แล้วว่าเป็นมึง…”
มันเก๊กหน้าหล่อ ยกมือขึ้นมาเกาหัว ยักคิ้วให้แต่ไม่เหมือนเดิมตรงที่มันกำลังทำท่าเขินอายนี่แหละ 555+ ผมว่าน่ารักดีออก(แบบแปลกไปอีกรุ่น
ไง)
“มึงนี่กวนส้นตีนไม่เลิกเลยนะ”
“แล้ว’ไม กูเป็นแบบนี้อ่ะ”
“เออๆ ว่าแต่ ทำไมกูถึงมาเจอมึงได้ที่นี่เนี้ย? ไหนว่ามาดิ”
มันกำลังจะเอ่ยปากเล่า แต่ทั้งพี่มาร์ค พี่เมฆ และมิสเตอร์ฮันโดะก็เดินคุยกันอย่างออกรสลงมาจากตึก หยุดเราทั้งสองคนไว้พอดิบพอดี
“เอางี้ ไว้แล้วมึงค่อยเล่า เดี๋ยวกูพาไปแดกเหล้ากัน กูเลี้ยงเอง”
ไอ้กอล์ฟทำตาโต โธ่...ไอ้มนุษย์เงินเดือน(แต่กรูก็ด้วยไม่ใช่เหรอ? แฮะๆ <<<(-_-“))
“เออๆ จะได้คุยเรื่องอื่นด้วย แมร่ง...เพื่อนๆมึงโคตรโกรธเลยที่มึงหายตัวไป คราวนี้มึงกลับมาแล้วไปตามขอโทษพวกมันด้วยนะ เออ! ไอ้แอล
เดี๋ยวนี้เขาแต่งงานมีลูกมีเมียแล้วนะโว้ย มีแต่มึงกะกูนี่แหละ เฮ้อ...ท่าทางจะได้แก่ตายเฉยๆซะแล้วว่ะงานเนี้ย”
ไอ้กอล์ฟกล่าวเซ็งๆ ส่วนผมยิ้มแหย่ๆ...
พี่เมฆเห็นผมคุยอยู่กับไอ้กอล์ฟ
“อ้าว แดนรู้จักคุณกิตติกานต์ด้วยเหรอ?”
“ครับพี่เมฆ...มันเป็นเพื่อนผมตอนสมัยมหาลัย’”
“เหรอ…”
ไอ้พี่เมฆยิ้มหวานเชื่อมพร้อมทั้งส่งสายตาแปลกๆมาที่ผม ไอ้บ้า! ไม่รู้จักเวลาไหนแซวเล่นได้เวลาไหนไม่ได้...คอยดูนะกลับบ้านไปจะฟ้องพี่
มาร์คให้จัดการๆซะให้เข็ด o(>_<)o
“ครับ...สิบปีแล้วที่ไม่ได้เจอหน้ามัน”
“ผมกับมาร์คก็เป็นรุ่นพี่แดนมันที่โรงเรียนเก่าน่ะครับ เผอิญเรียกตัวมันกลับมาช่วยงาน เลยได้เจอกันพร้อมหน้าหน่อย”
“งั้นเชิญคุณกิตติกานต์ขึ้นรถเลยครับ ผมกำลังจะพามิสเตอร์ฮันโดะไปทานอาหารอยู่พอดี”
“ครับ...เรียกผมว่ากอล์ฟเถอะครับ”
พี่มาร์คชวนพร้อมทั้งเปิดประตูผายมือให้มิสเตอร์ฮันโดะ มิสเตอร์ฮันโดะจ้องมองคนไทยพูดตาแป๋ว ผมเลยต้องแปลให้ท่านฟัง พอรู้เรื่องเขาก็พยัก
หน้ายิ้มหัวเราะใหญ่ ท่าทางดีใจไปด้วยซะงั้น?...ท่านเป็นคนอารมณ์ดี อัธยาศัยดี น่ารัก ผมคิดว่าพี่มาร์คกับพี่เมฆโชคดีมากที่ได้ทำงานร่วมกับเขา เพราะปกติแล้วคน
ญี่ปุ่นเรื่องมาก เคี้ยวลากสุดๆจะตายไป...
มิสเตอร์ฮันโดะเก็บแฟ้มใส่กระเป๋าเอกสารที่แกหิ้วมาก่อนจะหันไปถามไอ้กอล์ฟซึ่งเป็นลูกน้องส่วนตัวโดยตรงเป็นภาษาอังกฤษ(แบบกลิ่นอาย
ญี่ปุ่น-_-“)...เรื่องราวมันเป็นยังไงนั้นไว้ผมจะค่อยเล่าให้ฟังก็แล้วกัน ตอนนี้เราทั้งหมดห้าคนมุ่งตรงสู่ร้านอาหารไทยขึ้นชื่อ มีพี่มาร์คเป็นเจ้ามือ ผมนั่งคุยกับไอ้กอล์ฟ
เรื่องเก่าๆสนุกมาก มันเล่าให้ฟังหลายเรื่อง...ทำให้ผมเริ่มคิดถึงเจ้าพวกเพื่อนปากหมาทุกตัวขึ้นมาตะหงิดๆแล้วซิ อิอิ
โปรดติดตามตอนต่อไป