ส่งไฟล์เพลงให้พี่ A-lone เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาเห็นเมื่อไหร่น่ะซิ งุงิ (-.-") ยังไงผมก็ยังคงต้องขอฝากภาคสามไว้ด้วยนะครับ แล้วจะมาตอบเม้นท์รวดเลยแล้วกัน ผมน้อบรับทุกคำวิจารณ์อยู่แล้วขอรับกระผม แฮะๆ เจอกันแน่ครับ
บทส่งท้าย
ผมยืนถอนหายใจเบาๆอยู่คนเดียวที่หน้าบ้าน พลางแหงนหน้ามองทุกสัดส่วนที่จดจำได้ดีขึ้นใจ มองไปตามถนน มองไปตามทุกๆมุมหรือร่มไม้ทุก
ต้นที่ล้วนประกอบเป็นชีวิตของผม…บ้านที่เติบโตมาตั้งแต่ครั้งเริ่มจำความได้ ช่างเปี่ยมไปด้วยความทรงจำ ที่หาค่าใดๆมาเปรียบเทียบไม่ได้เลยจริงๆ
มันเศร้าอยู่ข้างใน แต่ผมก็เลือกที่จะยิ้มออกมา…ขณะนี้กำลังยืนอยู่ข้างๆกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบของผม ในนั้นบรรจุของทุกอย่างซึ่งจำเป็น…
จากนั้นจึงกดล็อคแม่กุญแจกับประตูรั้วบ้าน ประตูใหญ่ที่ผมต้องเดินผ่านทุกวัน…พลางเอานิ้วลูบไปที่เหล็กเย็นๆขึ้นสนิมเล็กน้อย พลันภาพความทรงจำต่างๆก็หลั่งไหลเข้า
มา...พยายามหลับตาจดจำไว้ แล้วลืมตาขึ้นมากวาดมองไปทั่วบ้านที่ว่างเปล่าอีกครั้ง...เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังให้และเดินจากมา…
เรียกแท็กซี่ได้คันหนึ่ง ผมกับคนขับก็ช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นไป เสียงกระโปรงท้ายรถปิดทำให้ผมสะดุ้ง และเกือบจะหันกลับไปมองบ้านหลังเดิมอีก
ครั้ง ทว่าด้วยความที่ต้องอดทนตัดใจ ใช้สมาธิเป็นอย่างมาก...ผมจึงก้มหน้าเดินขึ้นรถได้โดยไม่มีโอกาสเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเสียดื้อๆ
“...อาคารต่างประเทศ สนามบินสุวรรณภูมิครับ”
พี่โซเฟอร์คนขับพยักหน้า รถเคลื่อนตัวออกไป ผมนั่งสบายๆมีแอร์เย็นช่ำเปา มีเพลงคลื่นภาษาอังกฤษให้ฟัง…ในใจคิดทบทวนไปเรื่อยถึงความ
พร้อมที่จะต้องเดินทางในค่ำคืนนี้ ตรวจสอบทุกอย่างว่าครบเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง
ผมไม่ได้บอกใครเลย…หนึ่งคือไม่มีเวลา และสองคือไม่อยากตอบคำถาม มันอาจจะดูเสียมารยาทมากที่ต้องหลบหน้าไปแบบกระทันหันเยี่ยงนี้...แต่
ผมยอม เพราะผมไม่มีทางเลือก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เมืองไทยนี้เปรียบเสมือนจางหายไปจากผมแล้ว เพราะไม่นานทุกคนก็จะลืม เหมือนที่ผมอยากจะลืมความรู้สึกผูกพันต่างๆ
มันทำให้มีความสุขมากก็จริง แต่ในอีกขณะหนึ่งมันก็ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างเช่นเดียวกัน...
ใช่ว่าผมอยากจากไป แต่เพราะความจำเป็น…เพราะความจำเป็นจริงๆ
แม้แต่เพื่อนฝูงผมก็ไม่ได้บอกกล่าวอะไร แม้แต่เรื่องเรียนเองก็ตาม ในขณะนี้ผมยังไม่ถือเป็นบัณฑิตเลยเสียด้วยซ้ำ ส่วนเพื่อนบ้านก็แค่บอกว่าจะย้าย
ไม่ได้อาลัยอาวรณ์กันมากมายขนาดไหน เพราะทุกอย่างที่ทำตั้งใจให้เงียบเชียบไร้ร่องรอย...นี่คงเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
รถแล่นไปเรื่อยๆ ขณะนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ไกลค่ำ ท้องฟ้าเป็นสีครามน้ำเงิน เข้มจัด มีเงาดำทาบทับไปทั่วทุกสิ่ง ความมืดโรยตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนคืนนี้ฝนต้องตก…รถผ่านขึ้นสู่ทางด่วน ทำให้ผมมองเห็นภาพวิวกว้างๆได้สะดวก เห็นตึกอาคารสูงๆทั่วย่านใจกลางเมืองกรุงเทพตั้งตระง่านยืนแน่นิ่ง...ล้วนต่างถูก
ประดับด้วยช่องหน้าต่างเล็กๆที่มีแสงไฟน้อยใหญ่ลอดออกมาเต็มไปหมด...รถราวิ่งไปตามถนนที่สว่างด้วยเสาไฟทางหลวง มุ่งสู่สุดปลายตาที่ไกลจนมองไม่เห็นแล้วและ
มืดมิด...เสียงเพลงๆหนึ่งดันดังขึ้นมาตอนที่กำลังใจลอยอย่างนั้น…
All my bags are packed, I'm ready to go,
I'm standing here outside the door
I hate to wake you up to say goodbye.
But the dawn is breakin', it's early morn',
The Taxi's waitin', he's blown his horn.
Already I'm so lonesome I could die.
So kiss me and smile for me,
Tell me that you'll wait for me,
Hold me like you never let me go.
'Cause I'm leaving on a jet plane,
Don't know when I'll be back again.
Oh babe, I hate to go.
There's so many times I've let you down,
So many times I've played around,
I tell you now they don't mean a thing.
Ev'ry place I go I'll think of you
Ev'ry song I sing I sing for you.
When I come back I'll bring your wedding ring….
[/i][/b]
…เสียงเพลงนุ่มๆผ่านเข้าโสตประสาทดูเหมือนได้สะกดผมไว้…ภาพความทรงจำต่างๆหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด ทำให้ผมเก็บกลั้นอารมณ์ต่อไปไว้ไม่
ไหว ร้องไห้ระเบิดความอัดอั้นเหล่านั้นออกมาในที่สุด…มันเป็นความทรมานที่ยากเกินกว่าจะอธิบาย เมื่อได้ลิ้มรสชาติแห่งความขมขื่น...เต็มตื้นขึ้นมาจากลำคอ แผ่ซ่าน
ไปทั่วทั้งสรรพภางค์กาย...ผมเอามือปิดปากไว้ไม่ให้เสียงดังออกมาและก้มตัวลง เพราะน้ำตานองใบหน้าอย่างคนบ้า หลับตาลงก็มีแต่ความอาวรณ์ ความรู้สึกตรงนั้นที่
เราต้องตัดใจซ้ำแล้วซ้ำอีกช่างทำให้เราอยากตายได้ง่ายๆเลยทีเดียว…
ทุกอย่างรอบตัวผมไม่สำคัญอีกต่อไป ตอนนี้ ทุกสิ่งคือความรักที่ผมมีมอบให้…ใครบางคน คนที่ผมรักมากที่สุด รักมาก…และเวลาจะจากกันมันก็ยาก
เย็น ผมเกลียดตัวเองที่ไม่ได้บอกเขา และเกลียดตัวเองที่ทำแบบนี้ แต่ผมจำใจ…จำใจต้องจากมาแม้เป็นการตัดสินใจของตนเองก็ตาม...
เดินเข้ามาที่เคาท์เตอร์เช็คอินด้วยดวงตาช้ำๆ ไม่ต้องพูดถึงสภาพจิตใจของผม…แม่ยืนรออยู่ตรงนั้น สีหน้าของแม่เรียบเฉยผมเองก็บอกไม่ถูกว่าแม่
คิดอะไร ทว่าพอแม่เห็นผมเท่านั้น ท่านก็ดึงผมเข้าไปกอด ลูบหลังผม เกือบทำให้ร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ
“แม่ขอบคุณมากนะแดน…ทุกอย่างมันคือความฝัน สักวันแดนต้องตื่นจากมันให้ได้นะลูก”
เจ็บลึกในอก ก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยออกความคิดเห็นสักครั้ง…แม่เหมือนคนน้ำท่วมปาก เพราะผมเองก็มีเหตุผล แม่เองก็รู้…แต่ในที่สุดแม่ก็พูดออกมา
มันทำให้ผมตายลงไปอีกทีละน้อยๆ…
“แม่เช็คอะไรต่อมิอะไรเรียบร้อยแล้วนะ เดี๋ยวจะเข้าไปรอข้างในเลยแล้วกัน”
แม่ปาดรื้นน้ำตาออกจากขอบตาแดงๆ ผมรู้สึกว่ามันช่างบีบคั้นเสียเหลือเกิน…แต่ก็พยักหน้าไป ดังนั้นผมจึงต้องผ่านเข้าสู่กระบวนการต่างๆจนเกือบ
จะเสร็จแล้ว...เสียงเรียกของใครบางคนทำเอาผมชาหนึบไปทั่วทั้งร่าง
“แดน?”
ร่างสูงยืนมองงงๆ…ไอ้แอลมองผมขณะกำลังสะพายเป้ใบโปรดอยู่ที่ข้างหลัง ในมือถือหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบิน…ผมมองมันอึ้งๆ หยุดอยู่กับที่
นั่นทำให้มันเดินเข้ามาประชิดตัวจนได้
“นี่…นี่มึงจะไปไหนเนี้ย?”
มันกวาดตามองทั่วร่าง ซึ่งแต่งชุดลำลองอย่างสุภาพเป็นทางการ ดูรู้ล่ะว่าผมกำลังจะไปไหน
“แล้ว…มึงมาทำอะไรที่นี่?”
“กูมาส่งพี่สาว พี่กูเป็นแอร์ เค้าไปบิน…แล้ว มึงมาทำอะไรที่นี่เนี้ย?”
มันขมวดคิ้ว ส่วนผมอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบยังไง พอรู้ตัวว่าไม่เนียนซะแล้วไอ้แอลก็เลยรู้ทันเสียก่อน
มันเบิกตากว้าง
“นี่มึงอย่าบอกนะว่า…”
ก่อนที่มันจะพูดเสียงดังเป็นคนบ้าไปมากกว่านี้ ผมมองดูเวลา ยังคงพอมีเวลาอธิบายให้มันฟังได้คร่าวๆบ้าง
“หยุด!...ไปนั่งหาที่คุยกันก่อน กูจะเล่าให้มึงฟังเอง…”
ผม…ยังจดจำเหตุการณ์เมื่อช่วงค่ำของวันนั้นได้…วันที่ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง เพราะข้อเสนอแกมบังคับของใครคนหนึ่ง…
แขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวเข้ามาภายในบ้าน ผมไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ต้องต้อนรับ…คุณย่าของชิพเข้ามานั่งคุยกับผมในบ้าน ต่อหน้าแม่ และทนายของ
ท่าน…เราทุกคนต้องมานั่งฟังเรื่องราวชีวิตห่วยแตกของผม...ถึงว่าอึดอัดก็เลือกไม่ได้ นั่นเป็นเพราะ…
‘เธอต้องเลิกยุ่งกับหลานชายฉัน’
ย่าชิพเอ่ยเสียงเรียบ ขณะโยนกระแทกซองเอกสารสีน้ำตาลมาตรงหน้าผมกับแม่…เราสองคนแม่ลูกมองหน้ากันงงๆ ส่วนผมอับอาย…แต่ไม่มากเท่า
ความสงสัย
‘อะไรครับคุณ-‘
‘เรียกฉัน “คุณท่าน” เพราะตระกูลของฉันไม่ชอบนับญาติกับใคร’
สายตาที่คมกริบจับจ้องมาอย่างน่ากลัว และเบือนออกไปเหมือนรังเกียจอะไรสักอย่างตั้งแต่คำว่า “ตระกูลของฉัน…”
แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ท่านก้าวเข้ามาในบ้าน นั่งลง เริ่มสนทนาไม่ถึงสองสามประโยค ผมก็รู้สึกได้ว่าแม่ของผมเองนั้นไม่พอใจกับการกระทำ
และท่าทีของคุณย่าชิพ…ซึ่งไม่แม้แต่จะแนะนำตัวหรือยิ้มทักทายให้แม่ของผม ที่เป็นผู้ใหญ่เช่นกันสักนิด
‘แล้วท่านเป็นใครล่ะคะ?’
แม่ผมถามเสียงฉุน เน้นตรงสรรพนามที่ใช้ แม่พร้อมลุยแล้ว…
‘ฉัน…เป็นคุณย่าของนายนภเกตน์ เป็นย่าของหลานชิพ เขารู้จักกับลูกชายของเธอ…เธอไม่จำเป็นต้องรู้มากไปกว่านั้น พวกเธอสองคนเรียกฉันว่า
คุณท่านไปนั่นแหละ’
สรุปว่าคุณท่านไม่ยอมบอกชื่อ ตอนนั้นผมยังไม่รู้สึกโกรธเท่าไรหรอกครับ จนกระทั่ง…
‘ที่ฉันมาในวันนี้ ขอไม่พูดอ้อมค้อมเลยก็แล้วกัน…ลูกชายของเธอเป็นพวกลักเพศชอบยั่วยุหลานชายของฉันไปในทางที่ผิด ฉะนั้นฉันขอสั่งห้ามไม่
ให้พวกเธอคบหาหรือยุ่งเกี่ยวกันอีกเป็นโดยอันขาด ไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม’
แม่ผมตากระตุกตรงคำที่คุณท่านใช้เรียกความเป็นเกย์ของผม…
‘กรุณาระวังคำพูดของคุณด้วย’
‘ทำไม? ฉันพูดผิดตรงไหน ลูกชายเธอเป็นพวกผิดเพศอย่างที่ฉันพูดจริงๆ’
‘งั้นหลานชายของคุณก็ด้วย! เพราะนอกจากลูกชายของฉันจะไม่เคยตามยั่วยุอะไรหลานชายคุณทั้งนั้น เขานั่นแหละที่เริ่มเรื่องทั้งหมดนี้ก่อนอีกครั้ง’
คุณท่านนั่งหน้าตึง เตรียมขยับริมฝีปากเหมือนจะตอบโต้ ส่วนแม่ก็จ้องท้าตอบไม่แพ้กัน แต่ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะบานปลายไปมากกว่านี้
‘แม่ครับ พอเถอะ…แค่นี้ผมก็อายมากพอแล้ว…’
‘ไม่เห็นต้องอาย แดนก็คือคน เป็นมนุษย์คนหนึ่งไม่ใช่พวกตัวประหลาดที่ไหน แม่เลี้ยงลูกมาแม่รู้ว่าแดนเป็นคนยังไง แดนมีความเป็นคนครบถ้วน
ทุกอย่าง บางที...อาจจะมีความเป็นคนมากกว่าใครแถวนี้ซะด้วย’
เหลือบมองปฏิกิริยาของย่าชิพ…ท่านทำตาลุกวาว…ท้ายที่สุดแล้วท่านก็เก็บอารมณ์อยู่ และเริ่มกลับมาพูดจริงๆจังๆอีกครั้ง
‘ฉัน…มีอะไรจะแลกเปลี่ยนกับเธอ หากแต่เธอต้องยอมสัญญา ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับหลานชายของฉันอีก’
‘อะ อะไรนะครับ?’
‘เปิดซองเอกสารตรงหน้านั้นซิ’
ไม่รอช้า ผมรีบเปิดซองเอกสาร และเทสิ่งที่อยู่ในนั้น…แต่มันกลับกลายเป็นกระดาษบางๆสีขาวแผ่นเล็กแผ่นเดียวเท่านั้น ผมหยิบมันขึ้นมาดูงงๆ
‘จำนวนเงินในนั้นคงมากพอทำให้เธอยอมตกลงซินะ?”
น้ำเสียงเชิญชวนแกมบังคับลอดผ่านหูของผมไป เพราะตอนนี้ในหัวมีแต่ความโกรธ…โกรธที่ศักดิ์ศรีของผมโดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จะต้องอีก
สักกี่ครั้งกันที่ใครต่างมองว่าผมสามารถ ‘ซื้อ’ ได้…ไม่ว่าอะไรผมจะเป็นฝ่ายยอม แต่เรื่องนี้ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
‘คุณท่าน!’
ผมลุกขึ้นยืน ขึ้นเสียงดังแบบโมโหมากๆ ถ้าไม่ใช่คุณย่าของชิพผมคงขยำเช็คเงินจำนวนหลายล้านบาทนั่นปาใส่หน้าเข้าให้แล้ว…ทว่านี่ดูเหมือนคน
ตรงหน้าไม่มีอาการสะทกสะท้านเลยสักนิด หน่ำซ้ำยังกลับยิ้มเยื่อนสบายอารมณ์อีกซะด้วย
‘ผม…ผมมีศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีที่ซื้อไม่ได้! ไม่ว่าคุณท่านจะเติมตัวเลขให้ดูอลังการมากมายอีกแค่ไหนก็ตาม ผมก็ไม่มีวันรับเงินสกปรกๆนี่แน่!’
‘ฮึ! แต่ศักดิ์ศรีน่ะ มันกินไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถรักษาพ่อเธอที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งอยู่ แล้วก็ไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินไปพบหน้ากันที่นู่นด้วยนะ!’
ผมอึ้ง ช็อค นี่…นี่ย่าชิพรู้ได้ยังไง?
‘นี่ท่าน…’
‘ฉันต้องรู้ในสิ่งที่อยากรู้’
ความอ่อนล้าเหนื่อยแรงทำให้ผมจำต้องทรุดตัวลงนั่งต่อ ขาแข้งหมดเรี่ยวแรง นี่ผมแพ้แล้วเหรอ? ผมไม่มีทางเลือกแล้วใช่มั้ยนอกจากทำตามข้อ
เสนอของท่าน?
ในใจของผมมีความหวัง มีความเชื่อมั่นและกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรค์ทุกอย่างตลอดเวลา นั่นก็เพราะเพื่อคนที่ผมรัก นั่นก็เพราะชิพ…
‘ไงล่ะ ศักดิ์ศรีของเธอมันมีค่ามากพอเท่านี้มั้ย? หรือเธอจะยอมปล่อยให้พ่อเธอนอนรอความตายอยู่ที่นู่นคนเดียว ฮื้อ? ว่าไงล่ะ!’
...นั่งเหม่อลอยน้ำตาคลอเบ้าอยู่ตรงนั้น แม่ลุกหนีไปไหนแล้วไม่รู้…ตอนนั้นได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองเต้นตุบๆอย่างเจ็บปวดดังก้องอยู่ในกกหู…
ผมต้องตัดสินใจ ต้องตัดสินใจ…เวลาอันแสนสั้นนี้ทำให้มันยิ่งยากกว่าสิ่งใดทั้งปวง
‘…แต่ฉันขอแนะนำเธอ คิดดูดีๆซิ เธอสามารถไปมีชีวิตใหม่ที่ดีกับครอบครัวเธอ ที่พร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนฉันก็ขอให้หลานชายได้เริ่มต้นใหม่ดีๆ
เหมือนกัน…ถ้า…ถ้าเธอรักและหวังดีกับเขาจริงๆล่ะก็ เธอต้องปล่อยเขาไป ปล่อยให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากฉัน’
ใช่ ถ้าผมรักชิพ ผมต้องให้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา…
แต่ผมอยากอยู่กับชิพ
‘ถ้าเธอยังยื้อเขาอยู่ เขาคงไม่ได้เจอคนที่ดี ชีวิตที่ดี เหมือนใครคนอื่นเขาแน่ เธอคิดบ้างมั้ยว่าความรักระหว่างเธอ…กับเขาแบบนี้จะไปกันรอด ฉะนั้น
ให้เขาไปซะ อยู่ไปเธอก็ไม่สามารถให้สิ่งดีๆแก่เขาได้เหมือนที่ฉันทำ’
ผมหลับตาลง…คิดคำนึงถึงความเป็นไปได้ต่างๆ…
ผมพร้อมแล้วเหรอที่จะปล่อยชิพไป?
ผมพร้อมแล้วเหรอที่จะลืมความทรงจำอันยาวนานระหว่างเราสองคน…
ผมพร้อม&#
และนี่คือตอนจบที่สมบูรณ์นะครับ ขอโทษอีกครั้งเลยจริงๆ เบลอมาก งงด้วย เอามาลงแล้วนะงับ..
...... ![Shocked :o](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/shocked.gif)
ผมหลับตาลง…คิดคำนึงถึงความเป็นไปได้ต่างๆ…
ผมพร้อมแล้วเหรอที่จะปล่อยชิพไป?
ผมพร้อมแล้วเหรอที่จะลืมความทรงจำอันยาวนานระหว่างเราสองคน…
ผมพร้อมแล้วเหรอ…ที่จะลืมภาพเหล่านั้น
‘ถือว่าฉันขอร้องก็ได้…อย่าให้ฉันต้องผิดหวังกับชิพ เหมือนที่ฉันผิดหวังคราวที่ลูกชายฉันแต่งงานกับคนผิด…แค่นี้ฉันก็อับอายมามากพอแล้ว’
นั่นซินะ…ย่าชิพอับอาย แลกกับ…ความทุกข์ของผม
แต่ผมก็ไม่มีอะไรจะให้ชิพได้จริงๆนั่นแหละ…และความรักแบบนี้…แบบที่สังคมไม่ยอมรับกัน มันคงเป็นไปไม่ได้แน่ในอนาคต
ความรู้สึกผิด…ครอบครัว…การป่วยของพ่อ ทำให้ผมต้องคิด…
สูดหายใจ และสาบานกับตัวเองว่าจะโลเลใจเป็นครั้งสุดท้าย
‘ผม…ผมตอบตกลง’
สีหน้าของคุณท่านมีแววโล่งอก ยิ้มดีใจเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทำทีเรียบเฉยเช่นเดิม ท่านสั่งทนายข้างๆตัวเบาๆว่าให้โอนเงินให้ผมทันที…ผมนั่งนิ่ง
อยู่ตรงนั้น มองร่างระหงลุกขึ้นจะเดินออกไป…ก่อนหน้านี้ผมเพิ่งคุยกับแม่เรื่องที่พ่อป่วย และคงเหลือเวลาอีกไม่มาก ถ้าเรายังอยากเห็นหน้าท่านก่อนตายคงต้องไปในเร็ว
วัน…ตอนนั้นรู้สึกโหว่งๆ…ไม่รู้ว่าตัวเองตกลงอะไรไป จนเมื่อแม่มานั่งข้างๆผม ค่อยๆกอดผมไว้ท่ามกลางความเงียบระหว่างกันและกัน…
“แล้วมึงทำแบบเนี้ย…ถูกแล้วเหรอ?”
ไอ้แอลถามเสียงเครียดไม่แพ้สีหน้า ส่วนผมนั่งคอตกตรงหน้ามีกาแฟปั่นแก้วเล็กวางอยู่โดยไม่ได้แตะต้อง
มานั่งเล่าความจริงให้แอลฟังอยู่ที่ร้านคอฟฟี่ช็อปในสนามบิน เพื่อฆ่าเวลาและฝากให้มันทำอะไรให้สักเรื่องหนึ่ง…
“แอล สัญญาได้มั้ยว่าจะไม่บอกความจริงเรื่องนี้กับชิพ”
“ทำไม?”
“กู…ไม่อยากผิดคำพูดที่ให้ไว้กับคุณท่าน แล้วกูก็อยากให้มันลืมกู มันจะได้มีชีวิตใหม่ๆ…อีกอย่างนะ มึงไม่ต้องบอกมันด้วยว่ากูไปไหน”
“แสดงว่ามึงจะลืมมัน หลังจากที่เรื่องทั้งหมดนี่เกิดขึ้นน่ะเหรอ?”
ไอ้แอลกล่าวฉุนๆ ได้ฟังดังนั้นผมจึงต้องสวนกลับไปทันที
“เปล่านะ กูไม่ได้ลืมมัน ไม่เคยลืม…”
“แต่มึงหนีมันออกมาแบบนี้โดยไม่ได้บอกกล่าว มึงทำเหมือนมันไม่มีค่าอะไรสำหรับมึง…คิดเหรอว่าชิพจะมีความสุขเพราะการตัดสินใจของมึง”
อย่า...หยุดเถอะ พอแล้ว...อย่าบีบคั้นกันอีกเลย...แค่นี้...มันก็เจ็บเจียนจะตายอยู่แล้ว...
...ก็เพราะมันเป็นการตัดสินใจของผมน่ะซิ...
ผมส่ายหน้า…เปล่า เปล่าเลย ผมไม่เคยลืมมัน มันคือชีวิตของผม…ทุกวินาทีที่หัวใจเต้นคือมัน…ทุกลมหายใจที่สูดเข้าและผ่อนออกคือมัน…ทุกย่าง
ก้าวที่ผมต้องห่างไกลมันออกไปเรื่อยๆผมคิดถึงมันตลอดเวลา…
ก่อนหน้าที่จะเดินทางมาสนามบินผมแวะคอนโดชิพ เพื่อไปทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง…ซึ่งภายในนั้นแม้มันจะไม่ได้มีข้อความอะไรยาวมากนักแต่ก็
แทนคำพูดในใจของผมออกมาทั้งหมด…
’ถ้ามึงได้รับจดหมายนี้ หมายความว่ากูคงไปเรียบร้อยแล้ว กูมีความสุขมากที่ได้อยู่กับมึง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งแต่กู
ก็รู้สึกว่ามันมีค่ามากกว่าสิ่งใด การจากไปครั้งนี้ไม่ได้ทำเพราะกูต้องการแก้แค้นมึงหรือทำร้ายให้มึงเสียใจ กูอยากให้มึงรู้ไว้ว่ากูรักมึงและจะจดจำมึงตลอดไปชั่วชีวิต แต่
กูขอโทษที่ต้องจากมึงมา แต่กูมีความจำเป็นจริงๆ กูขอร้อง ให้มึงลืมกูแล้วเริ่มต้นใหม่กับคนที่ดีกว่า กูไม่มีอะไรจะให้มึงนอกจากความหวังดี กูผิดเองที่อยู่กับมึงไม่ได้ ลา
ก่อน’
แอลเงียบ ผมก็เงียบ เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ และเครื่องบินมุ่งตรงสู่มหานครลอสแองเจิลลิสก็เตรียมพร้อมกำลังจะออกเดินทางในอีกไม่ช้า
“แอล กูต้องไปแล้วล่ะ…”
“เดี๋ยวก่อน”
แอลจับแขนผม “มึงมีความจำเป็นมากขนาดที่บอกความจริงชิพไม่ได้เชียวเหรอ?”
พยักหน้าช้าๆ…ผมไม่อยากผิดสัญญาคุณย่าชิพ แลกกับเงินจำนวนมากขนาดนั้นแล้ว…แม้ว่าผมไม่อยากทำร้ายจิตใจของมัน แต่มาคิดดูดีๆ หาก
ปล่อยชิพไปเพื่อคนที่ดีกว่า…ผมก็ยอม เพราะผมรักเขา…รักแบบไม่ได้ต้องการยึดเหนี่ยวหรือรั้งเขาไว้ หรือต้องการอะไรตอบแทน...ผมแค่อยากให้มันได้สิ่งที่ดีที่สุดใน
ชีวิตจริงๆ และนั่นคงไม่ใช่ผมแน่
“จำเป็น…กูจำเป็นเพราะพ่อกูป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อีกอย่าง เจ้าของบ้านก็จะเอาบ้านคืนแล้วด้วย”
“เฮ้ย!”
ไอ้แอลปล่อยแขนผมแล้วผงะออกไป มันทำหน้าช็อค พร้อมทั้งจ้องหน้าผม ไม่ปริปาก เราสองคนนั่งอยู่อย่างเงียบงัน…ผมมองหน้ามันเศร้าๆ
“…”
“ทำไม…ทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมา มึงลำบากขนาดนี้…ทำไมมึงไม่บอกกู ให้กูช่วยล่ะ?”
“แอล…กูไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง…กูดูแลตัวเองได้”
ผมมองหน้ามัน แววตาของมันเหมือนมีอะไรบางอย่างอยากบอกผม
“แอล มีเรื่องไรเปล่าว่ะ? เพราะกูต้องไปแล้ว”
กำลังขยับทำท่าจะลุก มันกลับขยับเข้ามานั่งติดกับผม เฮ้ย! นี่มันอะไรกันว่ะ?
“แล้วมึง…จะไปนานมั้ย?”
น้ำเสียงมันแปร่งๆ…นานมั้ยเหรอ? ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…ไม่มีกำหนด ผมอยากไปนานตราบเท่าที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นู่นได้ ไม่มีอดีต ไม่มี
ความฝัน มีแต่ปัจจุบัน…และความรู้สึกดีๆที่ผมหลงเหลือไว้เพื่อชิพ…
“ไม่รู้ซิ…นานมั้ง…”
“แล้ว…มึงจะกลับมามั้ย?”
“คงมา…”
ผมโกหก
“แอล กูไปและนะ อีกครึ่งชั่วโมงเองต้องบอร์ดดิ่งแล้ว”
“เฮ้ย! เดี๋ยวดิ”
คว้ามือผม…ร่างสูงหยุด ค่อยๆมองที่มือ เลื่อนมาที่หน้า แอลจ้องแปลกๆอีก
“ถ้ามึงต้องไปแล้ว…และไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่…กูมีเรื่องจะบอกมึง มันอาจจะฟังดูแปลก…แต่กู....กูคงคิดถึงมึงมาก มึงเป็นใครคนนั้นที่สำคัญ
สำหรับกูจริงๆ”
อึ้งนานนับสามสี่นาที…
ไม่อยากจะเชื่อ…ว่าแต่มึงกำลังพูดอะไรอยู่เนี้ย รู้ตัวบ้างเปล่า?
“เอ่อ...”
….
“...”
“เฮ้ย พูดอะไรบ้างดิ”
มันคงทนเห็นสีหน้าผมไม่ไหว เลยหลุดกลั้นหัวเราะออกมา
หัวเราะเจื่อนๆแบบที่ผมไม่หัวเราะร่วม
ฮื้อ? นี่ผมหูฝาดไปหรือเปล่า…
ไม่รู้จะพูดอะไร อึ้ง นั่งฟังมันพล่ามต่อไป
“...กู…ขอบคุณมากนะแอล”
ผมกุมมือแอลเบาๆ
“กูจะไม่ลืมมึงเลยแอล มึงคือเพื่อนที่ดีที่สุดของกูคนหนึ่ง…”
เราค่อยๆกอดกัน มันคือการบอกลา…แอลกระซิบด้วย และมันทำให้ผมใจหายวูบไม่ใช่น้อย
“โชคดีนะแดน…”
มองออกไปนอกหน้าต่าง อีกครั้งที่ผมรู้สึกเหงาจนอยากจะร้องตะโกนออกมา ผ่านไปห้าปี เหมือนครั้งที่แล้ว…นั่นคือผมไม่เคยได้อยู่ร่วมกันกับคนที่
ผมรักอย่างมีความสุขเลย
ภายในเครื่องบิน ผมเลือกนั่งติดหน้าต่าง มีแม่นั่งสวดมนต์อยู่ข้างๆ ผมมองออกไปข้างนอกซึ่งมืดสนิทเรียบร้อยแล้ว ฝนตกพร่ำๆ…เครื่องบินค่อยๆ
ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมค่อยๆปล่อยก้อนสะอื้นที่จุกแน่นออกมาทีละน้อย…ภาพต่างๆเบื้องล่างเล็กลงเรื่อยๆ…ไม่มีทางย้อนกลับได้แล้ว
ทุกวินาทีที่ไกลออกจากกันเรื่อยๆ ใจผมตายเหมือนถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับพัน…น้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดทำให้ต้องปาดอยู่ตลอดเวลา ความเจ็บปวด
เหล่านี้กลับมาหลอกหลอนอีกแล้ว…
“แดน ทำไมไม่นอนล่ะลูก…”
“แดนนอนไม่หลับ”
“เอายานอนหลับมั้ย?”
“ก็ดีครับแม่”
กินยานอนหลับไปหนึ่งเม็ด มันก็ยังปวดหัวอยู่…แม่เอ่ยปลอบผมด้วยน้ำเสียงห่วงใย นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอยิ่งขึ้นไปใหญ่
“แดน…แดนยังมีแม่…มีพ่อ เรายังมีกันและกันนะลูก….เรามาเริ่มต้นกันใหม่ แม่จะหางานทำ แล้วสักพัก แดนก็ค่อยหาทางเรียนต่อ ดีมั้ยลูก”
ยิ่งแม่พูด ก็ยิ่งรันทด…ผมรู้ว่าแม่ก็อยากให้ผมมีความสุข หวังดีกับผม อยากเห็นผมมีอนาคตที่ดี ทว่าวินาทีนี้ไม่สำคัญสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว ทางที่
ดีผมควรจะทำใจและก้าวต่อไป เพราะมันคงไม่มีทางเลือกอื่นอีก
แต่มันก็ยาก…ผมหลับตาท่ามกลางความมืดในตัวเครื่อง ทุกคนหลับหมดแล้ว แต่ผมนอนถอนหายใจน้ำตาไหลอยู่เรื่อยๆ เจ็บจนหายใจไม่ออก…
เหมือนตายทั้งเป็น ผมคิดถึงชิพมาก…แค่นี้ก็เหมือนเวลานานนับสิบๆปี ภาพใบหน้าของมันวิ่งวนอยู่ในหัว…ผมกลัว…กลัวว่าจะไม่ได้เจอมันอีก ซึ่งก็คงจริง…มันน่ากลัว
เหลือเกิน
เมื่อใดที่สิ่งเลวร้ายต่างพากันห้อมล้อมและกำลังจะกลืนกิน
ผมนึกถึงสิ่งเดียวเท่านั้น...นึกไว้...
…ผมฝัน ฝันว่ามันกอดผมไว้ ท่ามกลางบ่ายอันแสนอบอุ่น แสงแดดจ้าอ่อนโยน มีเพียงมันกับผม มีความสุข…มันจูบผม และบอกรักผม เราสองคน
อยู่ด้วยกันตลอดไป…
แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่ภาพแห่งความฝัน…
ทว่า...ความรักที่ผมมีให้มันนั้น…คือเรื่องจริง…
และจะยังคงเป็นจริงเช่นเดิมตลอดไป
…ตลอดไป...
จบ ยิ่งรัก…หัวใจก็ยิ่งแค้น