คือ มัวแค่อ่านนิยายของเจ๊คิง เรื่องนายเงือกปลาทองอ่ะ สนุกมากกกกกกกกกกก ใครรู้จักเจ๊เป็นการส่วนตัวเรียกเจ๊มาลงตอนต่อไปด่วยเลยนะ ขอร้องๆๆๆ!!!
![o7](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/onion069.gif)
อ่ะ เอานิยายมาลง เดี๋ยวอาจจะไม่ว่างเสาร์อาทิตย์อ่ะคับ แฮะๆ
![:oni1:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/3ca8b998.gif)
บทที่ 7
ภายในสวนสาธารณะที่ร่มรื่น บอยนั่งใกล้ๆผม
“แดน บอกผมได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ตาแดงๆของผมทอดออกไปไกลแสนไกล…แสงแดดจ้าส่องเข้ากระทบตา ความรู้สึกเสียใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนก่อตัวขึ้น แรงสะอื้นที่อดกลั้นไว้ทำให้ผมเกือบสำลัก ตาร้อนผ่าว ผมค่อยๆก้มหน้าลงแล้วปล่อยเสียงสะอื้นออกมาในที่สุด
บอยขยับเข้ามากอดผมไว้
“คุณมีเรื่องอะไร…บอกผมได้นะ”
ผมร้องไห้ซบอกบอยอยู่ตรงนั้น…ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกทุกข์ เศร้า จากบอยแล้ว…ผมไม่เคยเสียน้ำตาให้ใครมานานห้าปี ผมดูถูกเรื่องความรัก ความผิดหวัง การอกหักของคนที่เจอเรื่องร้ายๆแบบนี้มาโดยตลอด ไม่อยากเชื่อเลย…ผมเองที่กำลังเผชิญกับมัน และเพิ่งรู้ว่า…’เจ็บ’ ปางตายแค่ไหน
นี่…นี่ผมกำลังฝันร้าย…ฝันร้ายที่ยังไม่ตื่นสักทีใช่มั้ย?
จู่ๆฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนผมมาตลอดห้าปี กลับเป็นจริงขึ้นก็วันเนี้ย…
ทำไมอ่ะ? ทำไมมันต้องเกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมเริ่มทำใจได้แล้ว เกือบจะลืมมันได้แล้วเชียว…
…ทำไม?...
“ตอนนี้ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง…คุณปรับทุกข์กับผมเถอะ”
ไม่น่าเชื่อว่าคนทื่อๆอย่างบอยจะสามารถปลอบผมได้…จนทุกอย่างมันสงบลงในที่สุด ผมถึงรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนที่บอยมอบให้ แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังทั้งหมด
ผมเล่า เล่า เล่า และเล่า…ทุกอย่างๆมันพรั่งพรูออกมาจนรู้สึกตัว ผมหยุดพูดลง ตกใจเล็กน้อยที่กำลังเล่าเรื่องไร้สาระให้บอยฟัง บอย…ชายหนุ่มที่ผมเคยมีสัมพันธ์ทางกายด้วยเพียงเพราะพลั้งเผลอใจ…คนที่ผมรู้จักยังไม่ถึงเดือน ทั้งๆที่แม้แต่แม่ของผมท่านยังไม่เคยรู้ลึกเท่านี้มาก่อน แต่ผมกลับมานั่งเล่าให้เค้าฟัง
“เรา…ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
“นี่คือสาเหตุที่ทำให้คุณเป็นคนรักสนุก หันหลังให้โลกแบบนี้ใช่มั้ย?”
คำพูดที่บอยใช้อธิบายผม มันช่างตรงเผงอะไรเช่นนี้ ใช่…ผมมันเป็นพวกประชดโลก ซาดิสต์ =_=” แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร? เพราะอะไร? เหมือนกัน…
เหมือนความเชื่อในเรื่องความดีงามแห่งความรักในความคิดของผมนั้น มันป่นสลายลงไปหมดแล้ว
“…”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี”
ผมนั่งสงบสติอารมณ์ เอามือปาดน้ำตา บอยยังอุตสาห์ส่งผ้าเช็ดหน้าของเขามาให้ ผมมองด้วยสายตาขอบคุณ แล้วจัดการทำความสะอาดตัวเองให้ดูเหมือนผู้เหมือนคนขึ้น ไม่ใช่คนบ้า
“ขอบคุณนะ…”
“ไม่เป็นไร ผมแค่กำลังจะขับรถไปทำงาน แต่บังเอิญผ่านมาเห็นคุณพอดี ท่าทางไม่ปกติ…ผมเลยจอดแวะดูเผื่อคุณต้องการอะไร”
ผมลอบมองบอย ที่บัดนี้ดูสุขุม เป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ไม่น่าเชื่อ…
สงสัยคงต้องเปิดตามองบอยเสียใหม่แล้ว
“นี่คือตัวตนจริงๆของนายหรือว่าเราคิดไปเองกันแน่”
“แบบไหน?” บอยทำหน้างุนงง
“แบบนี้…เป็นผู้ใหญ่ และ…ทำให้เราอุ่นใจได้”
บอยหัวเราะเบาๆ เสียงทุ้มใหญ่ของเขาดังก้อง
“ผมก็เป็นผม เพียงแต่คุณยังไม่รู้จักดีเท่านั้นเอง”
ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ลุกขึ้น
“เราไปนะ”
“คุณจะไปไหน?” บอยลุกตาม แววตาฉายแววห่วงใย…ทำไมไอ้สันดานขี้แงเก่าๆของผมมันถึงได้ตามติดตัวไม่เลิกหายสักที…ประมาณว่า ยิ่งบอยดีกับผมมากแค่ไหน ผมยิ่งรู้สึกย่ำแย่ลงมากแค่นั้น
“ไม่รู้เหมือนกัน…”
แต่ผมไม่อยากกลับไปทำงานแล้ว ยิ่งต้องอยู่ใกล้มัน…ผมยิ่งปวดใจ
“คุณกลัวเขาเหรอ?”
“…”
“งั้นคุณก็…พยายามลืมเขาซิ”
ไอ้พูดน่ะ มันง่าย แต่ถ้าจะให้ทำน่ะ มันยาก (ไม่งั้นกรูไม่นั่งเสียใจมาตั้งห้าปีหรอก\(-_-*))
“เอางี้มั้ย? คุณไปทำงานกับผม คุณจะได้ไม่ต้องคิดมากไง”
ผมมองหน้าบอย ดูเหมือนเขาจะเต็มใจจริงๆ…หลังจากใช้สมองไตร่ตรองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผมยอมไปกับบอยดีกว่าต้องนั่งฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้ o_O*
“ก็ได้”
บอยพากลับมาที่รถ ก่อนถึงที่ทำงานของเขายังมีน้ำใจเลี้ยงน้ำปั่นแก่ผมแก้วหนึ่ง พออะไรเย็นๆเข้าปากดูเหมือนจะช่วยให้ผมทำใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
“บอย แล้วนายทำงานอะไรอ่ะ?”
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง”
รถเบนซ์ของบอยแล่นมาตามถนนวิภาวดี ในที่สุดก็เลี้ยวเข้าถนนภายในตลาดประจำย่านประชานิเวศน์ รถเคลื่อนตัวเข้าจอดในโรงส่วนตัวของร้านสัตว์แพทย์แห่งหนึ่ง ผมอึ้ง
“นายเป็นสัตว์แพทย์เหรอเนี้ย?”
“ครับ นี่ร้านของคุณลุงผมเอง”
ร้านคลินิกรักษาสัตว์เลี้ยงแห่งนี้ดูสวยหรู ตกแต่งเกินกว่าจะเป็นคลินิกหมาได้…ตอนแรกนึกว่าเป็นสำนักงานอะไรซักอย่าง บอยเดินนำหน้าเข้าไปในนั้น ตามด้วยผม โห! ข้างในยิ่งเว่อร์กว่าข้างนอก ทุกๆอย่างในชีวิตของบอยต้องเป็นเช่นนี้หมดเลยเหรอ พูดแล้วยิ่งอิจฉาจังโว้ย o(>_<)o
บอยเข้าไปคุยกับพนักงานต้อนรับผู้หญิงสองคน ผมเลยมีโอกาสมองไปโดยรอบ…ลูกค้าเยอะตั้งแต่ยังไม่สายแบบนี้เลยเหรอ? แสดงว่าต้องมีแต่พวกมีกะตังแน่ๆที่พักอยู่แถวนี้
“ร้านของคุณลุงผม ท่านคิดราคาไม่แพงหรอก บางครั้งก็รักษาฟรี”
บอยเอ่ยขึ้นลอยๆ…คงจริงอย่างบอยว่า เพราะนอกจากใบประกาศอนุญาตจัดตั้งคลินิกที่แปะไว้ข้างฝาแล้ว ยังมีรูปลุงของบอย รับโล่กับรางวัลทำประโยชน์เพื่อสังคมอีกมากมายรวมอยู่ด้วย
“อีกอย่าง พื้นที่ตรงนี้ก็เป็นบ้านเก่าของคุณป้า ข้างตลาด อยู่ใจกลางชุมชนดี ชาวบ้านเลยรู้จักปากต่อปาก มารักษากันเยอะพอสมควรครับ”
บอยเริ่มงานคุณหมอ(หมา)ของเขา ท่าทางคุณลุงหมอของบอยจะยังมาไม่ถึง และบอยก็ดูคล่องแคล่วกับการรักษาสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเสียเหลือเกิน จนไม่แปลกใจเลยว่าทายาทเจ้าของคลินิกสัตว์แห่งนี้คงเป็นบอยอย่างไม่ต้องสงสัย
พักเที่ยง บอยดูท่าทางเหนื่อยมาก ผมยื่นแก้วน้ำชาดำเย็นที่แว๊บออกไปซื้อมาให้ในตลาด
“นายเก่งมากเลยนะ”
บอยยิ้ม พลางดูดน้ำสีชาอย่างกระหาย
“เรานั่งดูนายในห้องแบบนี้ เกะกะหรือเปล่า”
“ไม่เลย เชิญเถอะ”
สรุปแล้ววันนี้คุณลุงของบอยไม่เข้าทำงาน บอยเลยยุ่งกว่าปกติ คุณลุงเค้าวางใจมากขนาดนี้เลยเน๊อะ…o_+”
“นายทำงานมานานแล้วเหรอ?”
“อืม ประมาณสามสี่เดือนน่ะ ตอนแรกๆก็เงอะงะนะ” บอยหยุดหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “แต่คุณลุงท่านสอนผมดี จนตอนนี้ต้องขอบคุณท่านที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้”
แววตาที่บอยพูดถึงคุณลุง ดูชื่นชมมาก
“คุณลุงของนายคงมอบร้านนี้ให้”
“ฮื้อ ไม่หรอก ผมไม่อยากแย่งร้านท่าน ผมคงกูเงินซักก้อน เปิดร้านหากินเองสักวันแหละ”
แนวคิดเป็นผู้ใหญ่ของบอยทำให้ผมแอบประทับใจในตัวเขาลึกๆ…
เขาชวนผมหลบไปกินข้าวเที่ยงที่หลังร้าน ซึ่งพี่ๆภายในร้านก็เป็นคนไปหาซื้อมาให้ ผมมองบอยรีบกินข้าวเพราะมีแม่สุนัขใกล้คลอดถูกส่งเข้ามา เขารีบจนเม็ดข้าวติดปาก
ผมเอื้อมมือไปหยิบออก
บอยหน้าแดง (เฮ้ย! ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ(-_-“))
“นายน่ารักมากนะเมื่อรักษาสัตว์พวกนั้น เราแอบมองนายอยู่ตั้งนาน ดูตั้งใจดี”
ผมกล่าวล้อๆ
เป็นความจริง ทุกๆวินาทีที่บอยรักษาสัตว์เหล่านั้นอยู่ บอยปฏิบัติด้วยความตั้งใจและอ่อนโยนกับสัตว์ทุกๆตัว
เขานั่งกินข้าวเงียบๆ ผมล่ะขำกับท่าทีอายๆของเขา จนเมื่อได้อยู่คนเดียว…ความรู้สึกช็อคเมื่อตอนเช้าก็เข้าครอบงำผมอีกครั้ง และมีบางช่วงที่ผมเผลอคิดถึงเรื่องเก่าๆนาน ปวดมวลท้อง…เกร็งเขม็งจนลืมหายใจ<<<\(-_-*)…เฮ้อ…ทำไมเรื่องร้ายๆถึงต้องวนกลับมาหาผมอีกครั้งด้วยนะ ไม่เข้าใจจริงๆ…
แต่ครั้งนี้ผมจะเข้มแข็ง ผมจะแข็งแกร่ง และไม่ยอมตกอยู่ใต้ความทุกข์ระทมแบบนั้นอีกแล้ว…
ไม่มีทาง
โปรดติดตามตอนต่อไป