♥♥♥ รัก...ที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต (Re-written Version)
CHAPTER 24 ✦ สบายวอล์กเวย์
บูมกลับมาคราวนี้ไม่ใช่เพราะต้องกลับมาทำงานที่บริษัทของพ่อเท่านั้น พ่อให้บูมช่วยดูแลโปรเจกต์คอนโดแห่งหนึ่งอยู่เท่านั้น ไม่ต้องเข้าไปทำงานทุกวัน บูมวางแผนว่าจะทำงานหาประสบการณ์อีกสักปีสองปีก่อนจะกลับไปเรียนต่อปริญญาโทตามที่ตั้งใจไว้
บูมเข้าไปช่วยงานที่สมาคมเครื่อข่ายนักบุญไทยรุ่นเยาว์หรือ Thai Young Philanthropist Network ที่มีสมาชิกเป็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ส่วนมากเป็นคนที่มีโอกาสไปเรียนที่ต่างประเทศ มีความรู้ ประสบการณ์และมีใจอยากช่วยสังคม แพรวก็อยู่ในสมาคมนี้เช่นเดียวกัน แน่นอนการที่บูมเข้ามาทำงานในนี้ได้ก็เพราะได้พ่อกับแม่ที่ฝากฝังให้
เมื่อสามเดือนที่แล้วบูมเพิ่งรวมกลุ่มเพื่อนๆ ที่อยู่ในสมาคมเดียวกันห้าหกคนทำโครงการชิ้นหนึ่งที่สมาคมรับมาจากแหล่งทุนใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทย เป็นโครงการระยะเวลาปีครึ่งที่จะพัฒนาต้นแบบทางเท้าในกรุงเทพมหานครให้มีความสวยงามและทุกคนใช้งานร่วมกันได้ ก่อนที่จะนำต้นแบบนี้ไปใช้กับจุดอื่นๆ ของกรุงเทพมหานครต่อไป
พื้นที่ที่จะใช้เป็นต้นแบบในครั้งนี้คือบริเวณโดยรอบสยามสแควร์และสถานที่ใกล้เคียง ทางเท้าที่เป็นต้นแบบจะเป็นทางเท้าที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง มีขนาดความกว้างของช่องทางเดินบนทางเท้าที่กว้างมากพอ เอื้อให้แม่ที่ใช้รถเข็นเด็กหรือแม้กระทั่งคนพิการสามารถใช้งานได้สะดวกโดยการจัดให้มีทางลาด ที่สำคัญต้องมีแผนจัดระเบียบทางเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาบเร่แผงลอยต่างๆ ที่มักจะเอาเปรียบคนสัญจรบนทางเท้าตลอดมา นับว่าเป็นปัญหาโลกแตกของกรุงเทพมหานครอย่างหนึ่งเลยทีเดียว บูมและเพื่อนๆ มีประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ต่างประเทศมาจึงน่าจะนำตัวอย่างที่เคยพบเห็นมาใช้กับโครงการนี้ได้
ในโครงการนี้บูมเป็นผู้จัดการโครงการ มีแพรวเป็นเลขานุการ ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็มาช่วยเรื่องการประชาสัมพันธ์ ระดมทุนและหาเครือข่ายสนับสนุน ออกแบบเว็บไซต์และสื่อสิ่งพิมพ์ของโครงการ ช่วยถ่ายรูปก็มี แต่ยังขาดคนที่จะมาเป็นผู้ประสานงานโครงการ แม้ว่าจะเป็นเพียงตำแหน่งเดียวที่มีเงินเดือนให้ แต่ก็ไม่มีใครว่างพอที่จะมาทำได้อย่างเต็มที่ บูมคิดอยู่ตั้งนานว่าจะหาใครมาช่วย สุดท้ายก็นึกออกแล้วว่าใครที่น่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ช่วงนี้บูมดูเหมือนเงียบๆ ไป ไม่ได้มาหาทิวหลายวันเลย อาจจะเป็นเพราะเหตการณ์วันนั้นที่ทำให้บูมต้องคิดทบทวนหลายสิ่งหลายอย่าง ห่างกันไปบ้างก็อาจจะดีตรงที่ช่ว ทำให้ต่างคนต่างได้ทบทวนให้ตกผลึกก่อน เรื่องอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ
คนที่ทิวนึกถึงอีกคนหนึ่งก็คือต้อง ตั้งแต่วันนั้นต้องก็ดูเงียบๆ ไปเหมือนกัน ทิวยังจำสายตาแปลกๆ ของต้องในวันนั้นได้เป็นอย่างดี ต้องคงน้อยใจเหมือนกันที่ทิวออกรับแทนบูม พอมีเวลาช่วงพักเที่ยง ทิวจึงขอตัวออกมาโทรศัพท์หาต้องที่หลังร้านพร้อมกับขอให้เพื่อนอีกคนช่วยอยู่เฝ้าตรงเคาน์เตอร์สักพัก ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะหลายๆ ครั้งทิวก็จะเฝ้าเคาน์เตอร์ให้เพื่อนร่วมงานเช่นเดียวกัน
"มีอะไรทิว อย่าบอกนะว่าไอ้บูมมันทำให้มึงเสียใจอีกแล้ว" นั่นคือประโยคแรกที่ต้องทักมา
"เปล่า...ไม่ใช่เรื่องนั้น ตอนนี้ยังไม่มีอะไรให้กูเสียใจหรอก แต่กูเป็นห่วงมึง เห็นมึงเงียบๆ ไป"
"นึกว่าจะห่วงแต่ไอ้บูมเสียอีก" ต้องแค่นเสียง
"ต้อง...มึงไม่ได้โกรธกูใช่ไหม" ทิวรีบเข้าเรื่องเพราะมีเวลาคุยไม่มากนัก
"กูจะโกรธมึงทำไมวะ กูไม่โกรธมึงหรอก คนที่กูโกรธคือไอ้บูมต่างหากล่ะ แม่งเอ๊ย คนอะไรขี้ขลาดชิบเป๋งเลย โลเลก็ที่หนึ่ง อุตส่าห์ไปเรียนตั้งเมืองนอกเมืองนา ช่วยอะไรบ้างไหมเนี่ยนอกจากความรู้ในตำรา"
สุดท้ายต้องก็อดค่อนแคะบูมอีกไม่ได้
"ต้อง...กูขอมึงเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม อย่าว่าบูมแบบนี้อีกเลยนะต้อง บูมมีปัญหาแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มึงก็รู้ว่าที่บ้านมันเป็นยังไง กูไม่อยากให้มึงซ้ำเติมถากถางบูมเรื่องนี้อีก ขอโอกาสให้บูมได้พิสูจน์ตัวเองบ้างนะต้อง"
ต้องเงียบไปสักพักเหมือนกำลังครุ่นคิด "ก็กูโมโหมันนี่หว่า มันทำมึงเจ็บแค่ไหนมึงจำไม่ได้เหรอ แถมตอนนี้มันยังเห็นแก่ตัวจะทำให้มึงเป็นมือที่สามอีก"
"ต้อง...มันผ่านไปแล้ว กูไม่อยากให้มึงเจ็บแค้นกับเรื่องในอดีตอีกว่ะต้อง มาพูดถึงเรื่องปัจจุบันดีกว่า...จริงๆ กูคุยกับบูมแล้ว เข้าใจกันแล้วล่ะ ทั้งเรื่องที่บูมไม่เคยติดต่อกู แล้วก็เรื่องที่บูมมีคู่หมั้นแล้ว"
"แล้วไงล่ะ เข้าใจของมึงหมายความว่าไง หมายความว่ามึงจะยอมเป็นมือที่สามงั้นเหรอ มึงคิดดีแล้วเหรอทิว"
"กูไม่ได้อยากเป็นมือที่สามของใครหรอกต้อง กูก็ต้องการความชัดเจนเหมือนกัน แต่กูก็ต้องให้โอกาสบูมในการพิสูจน์ตัวเอง กูไม่เชื่อว่าบูมเป็นคนขี้ขลาดหรอกนะต้อง บูมแค่ยังไม่มีความมั่นใจมากพอแค่นั้นแหละ อีกอย่าง บูมคงต้องคิดให้ดีๆ เพราะมีหลายคนที่ต้องเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นคู่หมั้น พ่อกับแม่ของบูม หรือแม้กระทั่ง...ตัวกูเอง มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบูมที่จะทำอะไรผลีผลามอย่างงั้นหรอกต้อง"
"แล้วถ้ามันทำไม่ได้ มึงก็จะยอมเจ็บอีกงั้นเหรอทิว"
คำถามนี้ทำให้ทิวเงียบไปสักพัก "มันคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหรอกกูรู้ แต่กูก็รักบูมไปแล้วนี่หว่าต้อง มึงจะให้กูทำยังไง เจ็บก็ต้องเจ็บแหละวะ คนเรามีความรักก็มีทางเลือกแค่สองอย่าง สมหวังกับผิดหวัง ชีวิตของกู...ไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากกว่าชีวิตที่ผ่านมาหรอกต้อง แค่ผิดหวังจากความรัก...คงไม่ตายหรอก ก็ยังดีกว่าชีวิตที่ไม่เคยมีความรัก ถ้ารักแล้วกลัวผิดหวัง ชาตินี้ก็อย่ารักใครเลยดีกว่า"
"ทิว"
ต้องถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะความรักทำให้ทิวต้องยอมถึงขนาดนี้เลยหรือ ใช่... มันก็ไม่ต่างกันกับตัวต้องเองหรอก เพราะความรักจึงต้องยอมทนดูอยู่อย่างเงียบๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเหมือนกัน ได้แต่รอว่าเมื่อไรทิวจะเปลี่ยนใจแต่ก็ไม่เคยมีวันนั้น จนกระทั่งถึงวันนี้ต้องก็ไม่เห็นแสงแห่งความหวังใดๆ
"มึงเข้าใจใช่ไหมต้อง"
"อือ..." ต้องพูดสั้นๆ แค่นั้น
"แค่นี้ก่อนนะต้อง เดี๋ยวกูต้องไปทำงานแล้ว"
"อือ" น้ำเสียงเหมือนไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว
ทิววางโทรศัพท์แล้วก็เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะรีบวิ่งมาทำงานต่อ เมื่อเข้ามาในร้านแล้วก็ต้องวางเรื่องอื่นๆ ในตอนนี้ไว้ก่อ งานที่เซเว่นค่อนข้างหนักจนไม่มีเวลาให้คิดฟุ้งซ่าน มีเวลาพักเพียงเล็กน้อยเพราะลูกค้าเข้ามาในร้านแทบตลอดเวลา
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
พอทิวกลับมาถึงบ้านก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นบูมมายืนรออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ต่างคนต่างยิ้มให้กัน จะว่าไปแล้วทิวก็คิดถึงบูมมากไม่ใช่น้อยเลย หายไปหลายวันไม่บอกไม่กล่าวอย่างนี้ก็ชักจะงอนแล้วเหมือนกัน แต่แปลกนะ ทำไมบูมทำเหมือนมีระยะห่างกับทิวอย่างนั้น ไม่เข้ามาใกล้ ไม่เข้ามาคลอเคลียเหมือนเคย
ทิวพาบูมเข้ามานั่งในบ้านแล้วก็ไปหาน้ำมาให้ บูมหยิบเอกสารปึกหนึ่งมาด้วย พอทิวนั่งลงแล้วบูมก็เอาเอกสารออกมาจากแฟ้มเอกสารใสๆ วางลงบนโต๊ะ
"ทิว...เรามีบางอย่างมาให้นายทำ ไม่รู้นายจะสนใจหรือเปล่า" ในที่สุดบูมก็พูดออกมาหลังจากที่ดูยิ้มๆ และเงียบๆ มาสักพัก
"อะไร" ทิวถามอย่างอารมณ์ดี
"พอดีเรากำลังจะทำโครงการสบายวอล์กเวย์ เป็นโครงการปรับปรุงทางเท้าแถวๆ สยาม เราจะทำต้นแบบทางเท้าสวยๆ แล้วก็เดินสบายๆ เหมือนประเทศอื่นๆ ในกรุงเทพบ้าง ตอนนี้โครงการผ่านการอนุมัติแล้ว เรากำลังหาคนมาเป็นผู้ประสานงานโครงการพอดี ก็เลยจะถามนายว่านายสนใจไหม เป็นโครงการปีครึ่ง เรามีเงินเดือนให้คนประสานงานด้วยนะ เดือนละสองหมื่น"
ได้ฟังแล้วทิวก็สนใจไม่น้อย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า "สนใจสิ แล้วต้องทำอะไรบ้างล่ะ นายเล่าให้เราฟังหน่อยสิว่าโครงการมันเป็นยังไง"
บูมยิ้มหวานแล้วก็เล่าภาพรวมของโครงการให้ทิวฟัง
"เราก็จะสร้างต้นแบบทางเท้าที่น่าเดิน เดินสบาย ทุกคนใช้ร่วมกันได้ นายเคยเห็นไหมทางเท้าแบบนี้"
บูมพูดแล้วก็เปิดภาพทางเท้าในเมืองที่เจริญแล้วของโลกให้ทิวดูในไอแพดของตัวเอง
"นายเห็นไหมว่ามันสะอาด น่าเดิน คนที่เมืองนอกนะ ถ้าระยะทางไม่ไกลมากซัก 1-2 กิโลเขาก็จะเดินกัน แต่บ้านเราเดินไม่ได้เพราะทางเท้าไม่ดี ไม่น่าเดิน แถมร้อนด้วย เราก็เลยคิดว่าถ้าเรามีทางเท้าตัวอย่างแบบนี้ในกรุงเทพบ้างก็น่าจะดี พอทำเสร็จแล้วก็อาจจะขยายไปทำพื้นที่อื่นๆ ต่อไป อันนี้เป็นแผนการทำงาน"
บูมบอกแล้วก็หยิบเอกสารที่เป็นแกนท์ชาร์ทมาให้ทิวดู
"สามเดือนแรกเราจะหาเครือข่ายก่อน ก็คงจะเป็น กทม. ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ทั้งหลายที่ชอบเอา street furniture มาติดตั้งเกะกะบนทางเท้า ชุมชนที่อยู่แถวๆ นั้น พ่อค้าแม่ขาย แล้วก็หน่วยงานอื่นๆ ที่อยากสนับสนุน จากนั้นเราก็จะประกวดแบบทางเท้า ให้คนส่งประกวดแบบทางเท้าตามโจทย์ที่เราให้ไป ก็น่าจะใช้เวลาสักหกเดือน ในช่วงระหว่างนี้เราว่าจะจัดงาน auction อ๋อ...งานประมูลด้วย เราว่าจะไปขอข้าวของเครื่องใช้ของดาราหรือคนดังๆ แล้วก็เอามาประมูล หาเงินมาสมทบการปรับปรุงทางเท้า ตอนนี้เงินที่เราได้รับสนับสนุนมายังไม่พอเลย"
"ทีนี้เราก็จะประกาศผลแบบทางเท้าที่ได้รับรางวัล มีเงินรางวัลให้ด้วยนะ ที่หนึ่งได้ 1 แสนบาท ที่สองได้ 5 หมื่นบาท ที่สามได้ 2 หมื่นบาท แล้วก็รางวัลชมเชย 2 รางวัลๆ ละ 1 หมื่นบาท พอเสร็จแล้วก็จะเอาแบบที่ได้ที่หนึ่งมาสร้างจริง ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนก็น่าจะเสร็จ ใช้เงินหลายล้านอยู่ นอกจาก auction แล้วก็จะมีวิธีการระดมทุนอื่นๆ ด้วย แต่อันนี้เรามีเพื่อนๆ มาช่วยทำ พอทางเท้าเสร็จแล้วเราก็จะทำพิธีเปิดแล้วก็ส่งมอบให้ กทม. เอาไปดูแลต่อไป ก็ประมาณนี้แหละ นายคิดว่ายังไง"
"โห...น่าสนใจมากเลยบูม ทางเท้าบ้านเรามันก็แย่จริงๆ แหละ ถ้ามีทางเท้าแบบในรูปที่นายให้ดูเมื่อกี้คงจะดีมากๆ เลย กว้างน่าเดินดี อืม...แล้วเราต้องทำอะไรบ้างล่ะ" ทิวถามอีกครั้ง
"นายก็จะต้องช่วยเราประสานงานกับหน่วยงานที่เราว่ามาเมื่อกี้นี้นี่แหละ แล้วก็คนที่ส่งแบบมาประกวด คนที่จะมางาน auction บริษัทรับเหมาที่จะมาปรับปรุงทางเท้า คนที่จะมาเป็นออร์กาไนเซอร์ช่วยจัดงานเปิดตัวทางเท้า ประมาณนี้แหละ แล้วเวลามีประชุม นายก็จะต้องไปประชุมกับเรา แต่เรามีเลขาฯ ที่จะมาช่วยจดบันทึกการประชุมแล้วล่ะ นายไม่ต้องทำอันนี้ก็ได้ ยกเว้นว่าเลขาฯ ไม่ว่างเราก็อาจจะขอให้นายช่วยทำให้เราหน่อย แบบนี้พอไหวไหม"
"อืม...ก็ท้าทายดีนะ น่าสนุกดี ว่าแต่นายไปได้โครงการอย่างนี้มาจากไหนเหรอ"
"อ๋อ...พอดีเราจบนอกมา พ่อกับแม่ก็เลยให้เราไปเป็นสมาชิกของเครือข่ายนักบุญรุ่นเยาว์ บังเอิญที่สมาคมได้โครงการนี้มาพอดีเราก็เลยอาสาช่วยรวมกลุ่มเพื่อนๆ มาทำ"
ทิวพยักหน้าเข้าใจ "แล้วเราต้องทำยังไงบ้างล่ะบูม"
"เดือนหน้านี้ ถ้านายสนใจ เราจะพาไปรู้จักกลุ่มเพื่อนๆ ของเราที่สมาคมก่อน ส่วนมากก็วัยเดียวกับพวกเรานี่แหละ มีฝรั่งมาช่วยด้วย เป็นเพื่อนๆ ที่รู้จักกัน เดี๋ยวเราดูก่อนนะว่าจะประชุมวันได้วันไหน แต่น่าจะเป็นก่อนเริ่มโครงการ เดี๋ยวเราจะโทรมาบอกนะถ้าได้วันแล้ว"
"ได้ๆ เราอยากทำ ขอบใจนะบูมที่นายให้โอกาสเราได้ทำงานแบบนี้" ทิวบอกพลางยิ้ม
เงินเดือนสองหมื่นคงพอช่วยให้ทิวไม่ต้องดิ้นรนลำบากมากจนเกินไป ไม่ต้องยืนขาแข็งทั้งวันแล้วก็ไม่ต้องไปร้องเพลงดึกๆ ดื่นๆ แต่ก็แอบแปลกใจอยู่เหมือนกันที่บูมยังคงรักษาระยะห่างกับทิวไว้เช่นเดิม
"ไม่เป็นไร..." เหมือนบูมมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูด แต่แล้วก็พูดเสจากสิ่งที่คิดในใจ
"นายมีคำถามอะไรเกี่ยวกับโครงการนี้อีกไหม เราจะทิ้งเอกสารให้นายไว้อ่านนะ ถ้าเกิดตอนนี้นายยังนึกคำถามไม่ออกก็ไม่เป็นไร ถ้าอ่านรายละเอียดแล้วมีคำถามก็โทรไปหาเราได้"
"เดี๋ยวเราขออ่านก่อนละกันนะบูม ถ้าจะให้ถามตอนนี้ก็คงมีคำถามเยอะเลยล่ะ ถ้าอ่านแล้วอาจจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น จะได้ไม่ต้องถามนายเยอะเกินไปไง" ทิวบอกพลางขำ
"อืม...ดีแล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราขอตัวกลับก่อนนะทิว"
ทิวอึ้งไปพอสมควรที่บูมมาคุยแค่เรื่องงานแล้วก็จะกลับ ทำไมถึงต้องทำตัวห่างเหินกันอย่างนี้ บูมไม่รู้หรือไงว่าทิวคิดถึงมากแค่ไหนที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน
"อ้อ..."
บูมเห็นสีหน้าอึ้งๆ และสายตาละห้อยของทิวแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้ แต่ช่วงนี้บูมต้องหักห้ามใจตัวเองไว้บ้าง ในเมื่อยังทำให้เกิดความชัดเจนไม่ได้ก็ไม่ควรเอาเปรียบทิวเหมือนที่ผ่านมาอีก
ทิวหน้าม่อยตอนเดินออกมาส่งบูมที่หน้าบ้าน ดูเหมือนบูมจะยังไว้ท่าทีอยู่จนทิวอดสงสัยไม่ได้
"นายจะกลับแล้วจริงๆ เหรอ มาแป๊บเดียวเอง" ทิวทำหน้าเสียดาย
บูมพยักหน้า "อืม"
ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเศร้า บูมเป็นไปอะไรไปทำไมไม่อยากอยู่คุยกับทิวเลย
"ไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน" บูมบอกเสร็จแล้วก็เดินไปเปิดประตูรถที่จอดไว้หน้าบ้านทิว พอเข้าไปนั่งแล้วก็สตาร์ทรถ ทิวก็ได้แต่ยืนมองตาละห้อยอยู่อย่างนั้น
ติดเครื่องแล้วบูมก็ยังไม่ขับออกไปทันที เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ สุดท้ายก็ดับเครื่องแล้วลงมาจากรถ บูมเดินมาจูงมือทิวแล้วก็พาเข้ามาในบริเวณบ้าน พอลับตาคนแล้วก็ดึงทิวเข้ามากอด สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจริงๆ ด้วย
"คิดถึงทิว ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน" เสียงบูมที่พูดพร้อมกับเสียงลมหายใจบ่งบอกว่าคิดถึงคนที่กอดอยู่มากแค่ไหน
"เราก็คิดถึงบูม เราอยู่เหงาๆ คนเดียวมาหลายวันแล้วเหมือนกัน"
อ้อมกอดของบูมก็ยังคงอบอุ่นสำหรับทิวเสมอ เมื่ออยู่ในอ้อมกอดนี้แล้วทิวรู้สึกปลอดภัย ทำให้ชีวิตที่อ้างว้างเดียวดายแห้งแล้งชุ่มฉ่ำขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี้ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ทิวก็ไม่อาจห้ามใจที่จะเรียกร้องหาสิ่งนี้ได้
สองหนุ่มสบตากันแล้วยิ้มอย่างมีความสุข ชีวิตไม่ได้ยืนยาวนัก ความทุกข์ของชีวิตก็ยังคงมีอยู่ แต่ลืมๆ มันไปบ้างก็ดี หาความสุขให้กับชีวิตบ้าง มีอะไรที่อยากทำแล้วก็ต้องรีบทำก่อนจะหมดช่วงเวลาที่เหมาะสมของมัน
"คืนนี้เราจะอยู่เป็นเพื่อนนายนะ นายจะได้ไม่เหงา"
ทิวพยักหน้า ถ้าบูมไม่กลับมา ถ้าชีวิตนี้ไม่ได้มีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้าง ชีวิตของทิวก็คงแห้งแล้งเหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุด เหมือนกับที่เคยเกือบตายมาแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ในโลกที่ทิวรู้จัก ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดาหรือเป็นแค่เพื่อน แต่เป็นผู้ชายที่นำความรักและความอบอุ่นมาให้
ที่สำคัญ ทิวรักผู้ชายคนนี้มากเสียด้วยสิ แม้ว่าบูมอาจจะยังไม่เข้มแข็งมากนัก แต่ทิวก็จะคอยให้กำลังใจและเอาใจช่วยบูมต่อไป ความจริงทิวกับบูมก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอก ต่างคนต่างก็ต้องการความรักและกำลังใจจากกันและกัน ไม่อย่างนั้นชีวิตมันก็คงอยู่ลำบาก รักแล้วก็คงต้องยอมแลกกับความเจ็บปวดล่ะนะทิว
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
เย็นวันหนึ่งใกล้ๆ สิ้นเดือน บูมก็จัดประชุมคณะทำงานโครงการที่ที่ทำการของสมาคม คนที่มาประชุมก็อย่างที่บูมบอก แต่ละคนก็อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันกับทิวทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเรายังมีเยาวชนที่ยังคิดดีและอยากทำดีเพื่อสังคมอยู่ ทิวรู้สึกประทับใจมากเลยทีเดียว แถมแต่ละคนยังดูเป็นกันเองมาก ทิวนึกว่านักเรียนนอกพวกนี้จะหยิ่งเสียอีก
สิ่งหนึ่งที่ทิวได้เห็นแล้วก็รู้สึกประทับใจมากก็คือ บูมดูเปลี่ยนไปมากทีเดียวในเรื่องทักษะทางสังคม บูมยิ้มแย้มแจ่มใสและคุยได้กับทุกคน ดูเหมือนได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ในกลุ่มในฐานะที่เป็นหัวเรือใหญ่ของโครงการนี้เป็นอย่างดี เวลาที่คุยกันก็มีทั้งคุยภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพราะมีเพื่อนชาวต่างชาติมาร่วมประชุมด้วยหลายคน แต่สิ่งที่ทำให้ทิวหนักใจก็คือ...คู่หมั้นของบูมที่นั่งประกบบูมอยู่ไม่ห่าง แม้จะเคยเจอกันโดยบังเอิญแล้วแพรวก็คงจำทิวไม่ได้
"เริ่มประชุมกันเลยดีกว่านะครับ Shall we start the meeting now?"
เมื่อเห็นเพื่อนๆ คุยกันออกรสออกชาติอยู่ระยะหนึ่ง บูมจึงขอเริ่มประชุม เสียงคุยกันจึงค่อยๆ เงียบลง
"เดี๋ยวเราจะเริ่มด้วยการแนะนำตัวกันก่อนดีไหมครับ เริ่มจากผมเลยละกัน ผมชื่อบูมนะครับ เป็นผู้จัดการโครงการสบายวอล์กเวย์ครับ Starting from myself, I'm Boom, Sabai Walkway project manager" พอบูมแนะนำตัวเสร็จแล้ว คนต่อไปก็เป็นแพรว
"แพรวนะคะ มาช่วยเป็นเป็นเลขาฯ ให้กับบูมค่ะ I'm Praew, secretary to Boom, our project manager ka"
พอแพรวพูดจบเพื่อนๆ ก็แซวกันใหญ่เพราะรู้ว่าแพรวเป็นอะไรกับบูมมากกว่านั้น จากนั้นคนต่อไปก็แนะนำตัว
"ผมเอิร์ธนะครับ มาช่วยทำเว็บไซต์แล้วก็ออกแบบกราฟฟิคแล้วก็พวกสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ I'm Earth. I'll be in charge of the website, graphic design and publication" และนี่ก็คือเอิร์ธ หนุ่มน้อยมาดเซอร์ตามสไตล์นักออกแบบ
"I'm Leena, helping with the fundraising" และนี่ก็คือลีน่า สาวต่างชาติที่จะมาช่วยเรื่องการระดมทุน
"I'm Anderson, photographer" ส่วนนี่ก็คือแอนเดอร์สันที่จะมาช่วยถ่ายภาพ
"สรวิชญ์ครับ เรียกวาวิทก็ได้ครับ จะมาช่วยคุณลีน่าระดมทุนแล้วก็ช่วยเรื่องประชาสัมพันธ์ของโครงการด้วยครับ I'm Wit. I'll be working closely with Khun Leena on the fundraising and I will also help with the PR of the project"
นี่ก็คือวิท หนุ่มหน้าตี๋อีกคนที่หน้าตาดีทีเดียว เขาใส่แว่นสายตาสั้นด้วย แต่งตัวดูดีตามสไตล์หนุ่มออฟฟิศ
พอจะถึงคิวที่ทิวต้องแนะนำตัว บูมก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เพื่อให้กำลังใจ ทิวพอพูดภาษาอังกฤษได้อยู่ ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยสองปีกว่าๆ นั้นเขาก็เรียนภาษาอังกฤษกับอาจารย์ต่างชาติมาตลอด
"ชื่อทิวนะครับ พอดีเป็นเพื่อนกับบูม บูมก็เลยชวนมาให้ช่วยเป็นผู้ประสานงานโครงการครับ I'm Tiew and I'm a friend of Khun Boom. We've known each other for a long time. I'll be the project coordinator. Pleased to meet you all."
ดูเหมือนบูมจะคอยลุ้นมากทีเดียวตอนที่ทิวแนะนำตัว แอบดึงมือทิวข้างหนึ่งมาจับไว้เพื่อให้กำลังใจตลอด Anderson แอบสังเกตเห็นแต่ก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ผู้ชายจะจับมือกัน
"เก่งมากทิว Brilliant" บูมชมเบาๆ แล้วก็หันไปบอกเพื่อนๆ คนอื่นๆ
"ผมรู้จักกับทิวมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้วครับ เมื่อก่อนทิวเขาสอนผมร้องเพลง ผมก็เลยได้เป็นนักร้องนำวง Zenith ที่เป็นวงประจำของโรงเรียนกับทิวด้วย พอดีเห็นทิวอยู่ว่างๆ ก็เลยชวนมาทำโครงการนี้ด้วยกัน Tiew is my really really close friend. I've known him since we were in high school. He taught me to sing and we then became the singers of the school's band called 'Zenith'."
พอบูมพูดถึงตรงนี้เพื่อนๆ ก็ฮือฮากันใหญ่แล้วขอให้เขากับทิวร้องเพลงให้เพื่อนๆ ฟัง ไม่มีใครรู้มาก่อนเลยว่าบูมเคยเป็นนักร้องของวงด้วย
"Not now, later. I'll sing with Tiew on the opening day of the project, ok?" บูมรีบปฏิเสธ แล้วก็เลยบอกไปว่าจะขอร้องเพลงกับทิวในวันเปิดตัวโครงการแทน
บูมหันมายิ้มกับทิว เห็นทิวเข้ากับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดีแล้วก็โล่งใจ ตลอดการประชุม บูมก็มานั่งอยู่ข้างๆ ทิวตลอด ทำให้เพื่อนๆ ได้เห็นถึงความสนิทสนมกันระหว่างบูมกับทิวที่ดูไม่ธรรมดาเลย
"พักกินข้าวกันก่อนไหมครับ อาหารมาแล้ว You guys, shall we break for the dinner? 30-minute intermission"
บูมพูดติดตลกในช่วงท้าย เพื่อนๆ ก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่ แล้วแต่ละคนก็ลุกเดินไปตักอาหารที่สั่งมาจากข้างนอกในลักษณะของบุฟเฟต์ มีอาหารอยู่สามสี่อย่างทั้งไทยและตะวันตก
บูมไปดูแลแพรวเลือกอาหารอยู่พักหนึ่งก็กลับมาหาทิว พาทิวไปเลือกอาหารและคอยแนะนำว่าอันไหนอร่อย
"ทิวกับบูมนี่ดูสนิทกันจังเลยนะครับ" วิทหันมาถามบูมขณะที่ตักอาหารอยู่ใกล้ๆ กัน
"ครับ ก็ตอนเรียนมัธยม ทิวเขาช่วยผมหลายอย่างเลย มาสอนร้องเพลงให้ทุกวัน จากที่ผมร้องเพลงไม่เป็นเลยก็สามารถร้องได้จนได้เป็นนักร้องนำของวง" บูมอวดอย่างภาคภูมิใจ
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าบูมจะเคยเป็นนักร้องนำด้วย" เอิร์ธหันมาคุยด้วยอีกคน
"เดี๋ยวเล่าให้ฟัง นึกทีไรก็ขำตัวเองทุกที ใช่ไหมทิว" บูมถามพลางหันมายิ้มด้วย วันนี้บูมดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
"บูมเขาเก่งครับ หัวไว สอนไม่นานก็ร้องได้แล้วครับ ใครอยากฟังบอกผมได้นะครับ มีคลิปเก็บไว้อยู่" ทิวถือโอกาสแกล้งเสียเลย
"เฮ้ย จะดีเหรอ อายเขา" บูมรีบร้องท้วง
แต่ดูท่าจะห้ามยากเสียแล้ว เพื่อนๆ ของบูมสนใจอยากดูกันมาก เรียกร้องทิวให้เปิดคลิปให้ดูกันใหญ่ ตอนนั่งกินข้าวทิวก็เลยทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว เปิดคลิปวันที่พาบูมไปทดลองร้องเพลงกับวงวันแรกให้เพื่อนๆ ของบูมดู ช่วงบูมร้องเพลงทุกคนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจแต่ก็มีฮือฮาเป็นระยะๆ บูมหลบไปนั่งกินข้าวอีกที่หนึ่งแล้วหันมายิ้มเขิน โดยเฉพาะเวลาที่เพื่อนๆ ทำเสียงฮือฮา บูมจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นอย่างดีเพราะมันทำให้บูมรู้ว่าเพื่อนคนนี้รักและหวังดีกับบูมมากแค่ไหน ที่สำคัญ บูมก็รักทิวมากเช่นกัน
"โห...ทิวเก่งมาก สอนบูมร้องเพลงได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย วันหลังสอนแพรวมั่งดิ" แพรวพูดขึ้นหลังจากที่ดูคลิปไปได้ระยะหนึ่ง ทิวได้แต่ยิ้มๆ
"ก็ให้บูมสอนสิแพรว เห็นไหมบูมร้องเพลงเก่งจะตาย" เอิร์ธบอก
"จริงด้วย" แล้วแพรวก็หันไปยิ้มกับบูม
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ประชุมเสร็จแล้วบูมให้ทิวติดรถไปกับด้วย ตามแผนก็คือบูมจะไปส่งแพรวที่บ้านก่อนแล้วจึงค่อยไปส่งทิว แพรวกับบูมนั่งข้างหน้า ส่วนทิวนั่งข้างหลัง ระหว่างที่นั่งไปนั้นทิวก็มีหลายความรู้สึกเกิดขึ้น
อย่างแรก ทิวรู้สึกละอายใจที่แพรวเองก็คุยดีด้วย ถ้าวันหนึ่งแพรวเกิดรู้ว่าทิวกับบูมมีความสัมพันธ์กันมากกว่านั้น แพรวจะรู้สึกยังไงหนอ ทำให้ทิวเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมบูมถึงหนักใจ การที่จะทำร้ายจิตใจผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนหนึ่งมันเป็นเรื่องโหดร้ายทีเดียว
อย่างที่สอง ทิวเริ่มนึกถึงอนาคตของบูม ถ้าบูมเลือกทิว ที่ยืนในสังคมของบูมคงจะน้อยลง พ่อแม่ก็รับไม่ได้ งานของบูมจะเป็นยังไง บูมอาจจะหมดอนาคตเพราะความรัก ทิวไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย บางทีก็อาจจะต้องเลือกระหว่างความรักกับความจริงของชีวิต ดูแพรวกับบูมก็เหมาะสมกันดี ถ้าได้แต่งงานกัน พ่อแม่ของทั้งคู่คงชื่นใจ อนาคตของบูมก็คงจะสดใสมากกว่าที่จะอยู่กับคนที่เป็นเกย์อย่างทิว คนที่สังคมยังคงรังเกียจอยู่
อย่างที่สาม ทิวรู้สึกว่าบูมทำตัวแปลกๆ ในห้องประชุมเพราะบูมมาอยู่กับทิวตลอด แทบจะไม่อยู่กับแพรวเลย อยู่เฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น บูมกำลังทำอะไรหรือเปล่า หรือว่าคนแรกที่จะต้องเจ็บจากความรักครั้งนี้ก็คือแพรว ทิวรู้สึกไม่สบายใจเสียเองถ้าหากสิ่งนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ แพรวไม่ผิดอะไรเลยนี่นา แล้วมันเป็นความผิดของใครกัน ทิวผิดหรือเปล่าที่รักบูม บูมผิดไหมที่รักทิว แล้วบูมผิดไหมที่ถูกจับคู่กับแพรวและรู้สึกผูกพันกัน แล้วแพรวผิดไหมที่รักบูม ความรักครั้งนี้ซับซ้อนจนเกินกว่าที่จะหาทางออกได้ง่ายๆ เสียแล้ว
TBCขอรณรงค์ให้คนอ่านสละเวลา 1 วินาทีบวกเป็ดเป็นกำลังใจให้ 'นักเขียนทุกคน' ทุกเรื่อง ทุกตอนนะครับ สร้างสรรค์ชุมชนแห่งการแลกเปลี่ยนแบ่งปัน