♥♥♥ รัก...ที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต (Re-written Version)
CHAPTER 11 ✦ คนเจ้าปัญหา
ช่วงนี้บูมกับแป๋มต้องห่างๆ กันไปบ้างเพราะบูมต้องซ้อมกับวงก่อนไปแข่งชิงรางวัลวงดนตรีเยาวชนยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทยในเร็วๆ นี้ แต่ความสัมพันธ์ก็ยังคงดำเนินไปตามเดิม เวลาว่างหลังเลิกเรียนก็ยังออกไปกินข้าว เดินเล่นหรือซื้อของด้วยกันตามประสาหนุ่มสาวกันอยู่
ช่วงนี้ทิวดูเงียบๆ ไปจนผิดสังเกต แม้ว่าจะซ้อมดนตรีด้วยกันบ่อยๆ แต่ความสนิทสนมกับบูมก็ดูน้อยลงไปจนรู้สึกได้ ไม่ใช่แต่บูมเท่านั้นที่รู้สึกถึงความผิดปกตินี้ เพื่อนๆ คนอื่นๆ ในห้องก็เริ่มรับรู้และสงสัยถึงพฤติกรรมที่แปลกไปของทิวเช่นกัน หลายคนเกิดคำถามในใจว่า
"เป็นไรของมันวะ"
วันนี้ก็เช่นกัน พอซ้อมเพลงเสร็จแล้ว ทิวก็เก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านทันที ปกติชอบเล่นเตะบอลก็ไม่ค่อยเล่นเหมือนเมื่อก่อน
"ทิว วันนี้ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันไหม" บูมชวนเพื่อนพลางยิ้ม เขารู้สึกคิดถึงทิวอย่างบอกไม่ถูก แต่คำตอบของทิวก็ทำให้บูมถึงกับหน้าเสีย
"ไม่ดีกว่า เราจะกลับบ้าน วันนี้แป๋มไม่ชวนนายไปไหนเหรอ" น้ำเสียงเหมือนแฝงความน้อยใจอยู่ในที
"ทิว..."
บูมพูดเสียงเบา ออกอาการผิดหวังที่ถูกทิวปฏิเสธ ปกติทิวไม่เคยปฏิเสธบูมอย่างนี้เลยนี่นา
"พอดีวันนี้น้องแป๋มเขาต้องไปธุระกับครอบครัว เขาก็เลยขอกลับก่อน"
"อ๋อ..." ทิวสะพายกระเป๋าเป้ เตรียมตัวเดินออกไป "เราไปก่อนนะ วันนี้เราไม่สะดวกจริงๆ"
พูดจบทิวก็เดินออกไปทันที บูมตัดสินใจคว้ามือเพื่อนไว้ก่อนที่เจ้าของร่างจะเดินตัวปลิวหนีไปเสียก่อน
"เดี๋ยวก่อนสิทิว"
"มีอะไรหรือเปล่าบูม" ทิวหยุดและหันมามอง
ทิวไม่รู้ว่ามันเป็นคำถามที่ดีที่เขาควรจะถามเพื่อนไหม มันฟังดูห่างเหินหมางเมินชอบกล บูมค่อยๆ ปล่อยมือเพื่อนเพราะคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มมองด้วยสายตาแปลกๆ
"นายโกรธอะไรเราหรือเปล่า"
คำถามนั้นเหมือนจะไม่ค่อยมั่นใจนัก ที่ผ่านมาบูมกับทิวสนิทกันและเข้ากันได้ดีกว่าใครๆ ยังไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันเลย นอกจากเรื่องที่บูมมีแฟนแล้ว ความรู้สึกทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้ทิวไม่พอใจได้
"เปล่า...นายไม่ต้องคิดมากหรอก เราไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้โกรธอะไรนายเลย"
ทิวพยายามยิ้มอย่างเต็มที่เพื่อให้บูมสบายใจว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร
"แต่นายดูไม่เหมือนเดิมเลยนะทิว" บูมยังไม่วายสงสัยอยู่ดี
"เฮ้ยจริงเหรอ...ไม่หรอก เราก็เหมือนเดิมแหละ สงสัยนายจะคิดมากไปเอง"
ทิวพยายามกลบเกลื่อน มันอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาตินัก แต่เมื่อเพื่อนยืนยันขนาดนี้ บูมก็ควรจะเลิกสงสัย
"ถ้างั้น...เราไปบ้านนายด้วยได้ไหม" บูมไม่เลิกความพยายาม ยังไงวันนี้เขาก็ต้องใช้เวลากับทิวบ้างให้ได้
"ไม่มีอะไรหรอก เราแค่อยากคุยกับนาย" บูมชี้แจงเมื่อเห็นทิวเลิกคิ้วสงสัย
ทิวพยักหน้าตกลง จริงๆ เขาก็ไม่ควรจะท่ามากจนเกินไป ยิ่งทำอย่างนั้นก็จะยิ่งทำให้คนอื่นสงสัย เป็นผู้ชายต้องน้อยๆ เข้าไว้ คิดมาก เรื่องเยอะมันดูจะผิดวิสัยของผู้ชายมากไป
ก็เป็นอันว่าบูมได้มาเที่ยวบ้านทิวอีกครั้ง ไปถึงเขาก็ช่วยทิวรดน้ำต้นไม้ที่มีอยู่มากมายหน้าบ้าน แม่ของทิวกลับมาพอดี วันนี้บูมก็เลยโชคดีที่จะได้กินอาหารฝีมือคุณแม่ของทิวไปด้วย
"นายกับแป๋มเป็นไงมั่ง" อยู่ดีๆ ทิวก็ถามขึ้น
บูมหันไปมองหน้าเพื่อน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของทิวหายไปทันทีที่ถามคำถามนั้น จะว่าไปก็ดูเศร้าๆ อยู่ไม่น้อย
"ก็ดี แล้วนายล่ะทิว นายไม่คิดอยากจะมีแฟนกับเขามั่งเหรอ นายหล่อมากเลยนะ รู้ตัวหรือเปล่า" คนถามถามไปยิ้มไป
"ยังหรอก เรายังไม่อยากรักใครตอนนี้"
"แน่ใจนะว่านายไม่ได้แอบรักใครอยู่" บูมถามเล่นๆ แต่ก็เล่นเอาคนฟังนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
"ไม่มีหรอก ไปร้องเพลงกันดีกว่า"
ทิวปฏิเสธแล้วก็รีบตัดบท เขาไม่อยากสนทนาเรื่องนี้นานนัก คุยไปคุยมาอาจจะเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปได้
"อืม...ก็ดีเหมือนกัน"
บูมพยักหน้าพร้อมกับยิ้มดีใจ
จากนั้นสองหนุ่มก็หยุดกิจกรรมรดน้ำต้นไม้แล้วย้ายมุมมาที่ห้องนั่งเล่นที่มีคีย์บอร์ดตัวเดิมของทิวตั้งอยู่ ก็ร้องเพลงกันอยู่ดีๆ นั่นแหละ จนกระทั่งบูมร้องเพลง "ฉันดีใจที่มีเธอ" พร้อมกับมีทิวคอยเล่นคอร์ดและร้องประสานเสียงในบางช่วงให้ พอร้องท่อนฮุกแรกจบไป บูมก็ต้องตกใจเมื่อสังเกตเห็นว่าทิวน้ำตาไหล
"ทิว เป็นไร"
ทิวหยุดเล่นคีย์บอร์ด พยายามคิดหาคำตอบที่เขาควรจะตอบเพื่อน บางทีเขาก็นึกโมโหตัวเองจริงๆ ที่แสดงอาการอย่างนี้ให้เพื่อนเห็น จะว่าไปแล้วถ้าไม่นับเรื่องที่บูมมีแฟนจนต้องแบ่งเวลาบางส่วนไปให้แฟนใหม่ที่เพิ่งคบกัน บูมก็ยังคงปฏิบัติตัวเหมือนเดิมกับทิวทุกอย่าง ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมเลย ทิวไม่ดีใจเลยหรือที่มีบูมเป็นเพื่อนที่สนิทสนมขนาดนี้ ทิวกำลังจะเรียกร้องเอาอะไรจากเพื่อนกันแน่ ที่ได้มาจากบูมในตอนนี้ยังไม่พออีกหรือไง
"เปล่า...เพลงมันเพราะดีนะ ความหมายก็ดี ตรงกับความรู้สึกของเราตอนนี้เลย"
ทิวกำลังจะเช็ดน้ำตา แต่บูมดูเหมือนจะมือไวกว่ารีบคว้าผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วซับน้ำตาให้เพื่อน นั่นยิ่งทำให้ทิวร้องให้ด้วยความซาบซึ้งใจมากขึ้น ทิวเลยต้องรับผ้าเช็ดหน้ามาจากมือของบูมแล้วซับน้ำตาของตัวเอง ตั้งแต่มีเพื่อนมาก็หลายคน ทิวก็ไม่เคยมีความรู้สึกน้อยใจหรือต้องมานั่งร้องให้แบบนี้กับเพื่อนเลย นี่ถ้าพวกนั้นมันมาเห็นเข้าคงสงสัยเขาน่าดู
ไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ แม่ก็เรียกกินข้าวเสียแล้ว เด็กๆ จึงต้องละจากการร้องเพลงแล้วไปกินข้าวกับแม่ในห้องครัวที่มีโต๊ะสำหรับกินข้าวของคนในครอบครัวจัดไว้อยู่ ความจริงก็มีแค่ทิวกับแม่เท่านั้นที่กินข้าวด้วยกันสองคนอย่างนี้มานานแล้ว
บูมดูจะชอบอาหารที่แม่ของทิวทำมาก เขาชมไม่ขาดปากและกินข้าวไปตั้งสามจาน เยอะที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลยล่ะ เล่นเอาคนทำอาหารยิ้มอย่างมีความสุขที่เห็นคนกินชอบมากขนาดนั้น
บูมกับทิวมาเดินเล่นดูต้นไม้ด้วยกันหน้าบ้านอีกครั้งหลังจากที่กินข้าวเย็นเสร็จแล้ว
"ถ้าวันหนึ่งอยู่ดีๆ มีคนที่นายเคยรู้จักมาบอกว่าชอบนาย นายจะทำยังไงน่ะบูม"
ท่าทางก็แปลกไป คำถามก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจะเอะใจสงสัยแต่บูมก็ยังไม่ได้คิดอะไรมากนัก
"ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง เรายังไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้เลย แล้วนายล่ะทิว ถ้าเป็นนายนายจะทำยังไง"
"เราเหรอ...ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง" ทิวหัวเราะแหะๆ "ก็เหมือนนายนั่นแหละ เรายังไม่เคยรักใครเลย"
บูมเอียงคอสงสัย
"เราว่านายดูแปลกๆ ไปนะทิว ชอบถามคำถามแปลกๆ ด้วย นายมีอะไรหรือเปล่า บอกเราได้นะ นายเคยช่วยเราตั้งหลายอย่าง ถ้านายมีอะไรนายก็บอกเราได้นะ เราอยากช่วย ถึงช่วยเองไม่ได้เราก็จะหาคนมาช่วย"
บูมพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูจริงจังขึ้น
"ไม่มีไรหรอก เราก็แค่ถามไปอย่างงั้นแหละ" ทิวแก้ตัว แต่สีหน้าก็ยังดูครุ่นคิดจนทำให้อีกฝ่ายยากที่จะคลายความสงสัยไปได้
"แน่ใจนะทิว หรือว่า...นายแอบชอบใครอยู่หรือเปล่าถึงได้ถามอย่างนี้ แอบชอบสาวในห้องเหรอ" บูมยิ้มและทำเสียงล้อเลียน
"เปล่า...ไม่ได้ชอบใคร" ทิวปฏิเสธเป็นพัลวัน
"เอาเหอะ ถ้านายยังไม่อยากบอกตอนนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก เรารอได้ แต่นายรู้ไว้นะทิว เราน่ะ...มีชีวิตอย่างนี้ได้ก็เพราะนาย เรายินดีจะช่วยนายนะ พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกเรานะ"
ทิวพยักหน้า แล้วก็ตั้งใจว่าต่อไปจะไม่ถามคำถามที่เสี่ยงกับการย้อนเข้าหาตัวเองอย่างนี้อีกแล้ว
เดินเล่นและคุยกันอยู่สักพัก บูมก็ขอตัวกลับบ้าน ทิวโทรเรียกแท็กซี่ให้มารับเพราะบ้านเขาอยู่ในซอยลึกพอสมควร พอบูมขึ้นแท็กซี่ไปแล้ว ทิวก็โบกไม้โบกมือให้จนรถเคลื่อนออกไปจนลับตา ทิวมองตามแล้วก็ถอนหายใจ ไม่รู้เลยว่าต่อไปอารมณ์จะแปรปรวนมากแค่ไหน เขาจะพยายามเตือนตัวเองก็แล้วกันว่าบูมไม่ได้ทำอะไรผิด ยังไงๆ บูมก็ยังเป็นเพื่อนเหมือนเดิม ความรู้สึกดีๆ ที่ได้จากเพื่อนก็ได้มามากพอแล้ว เวลาที่เพื่อนให้มาก็เพียงพอแล้ว ใช่ไหมทิว มันพอแล้วใช่ไหม นายไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้ใช่ไหม
กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นแบบนี้ มันก็ผ่านมาจนเขาอายุ 17 ปีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าที่ผ่านมาจะไม่มีอะไรแปลกๆ ให้ทิวสงสัยตัวเอง ก็มีเหมือนกัน ตั้งแต่พ่อจากไป ทิวก็รู้ว่าในใจลึกๆ โหยหาความอบอุ่นนี้จากพ่อ เป็นความอบอุ่นในแบบที่แม่ไม่สามารถทดแทนให้ได้
หลายครั้งทิวรู้สึกชอบเวลาที่เห็นผู้ชายวัยกลางคนที่หน้าตาท่าทางใจดี ทิวชอบเข้าไปคุยด้วยหรือชอบเข้าไปอยู่ใกล้ๆ บางครั้งก็เผลอคิดไปว่าถ้าเขาได้กอดผู้ชายคนนั้นคงจะอบอุ่นมาก แต่เขาก็ไม่เคยได้ทำอย่างนั้นหรอก กับเพื่อนๆ ก็ไม่เคยได้กอดอย่างนั้น อย่างมากก็กอดคอ
จนกระทั่งได้รู้จักกับบูม แล้วบูมก็กลายเป็นผู้ชายคนแรกที่มอบความอบอุ่นในแบบที่ทิวเรียกร้องหามาตลอดชีวิตให้ มันเหมือนการเสพติดเสียแล้ว พอได้มาแล้วเขาก็อยากจะได้สิ่งนั้นต่อไป
แต่ทิวก็รู้ว่ามันยังมีอะไรที่มากกว่าการเสพติด ความใกล้ชิดและความผูกพันมันทำให้เขาคิดไปไกลกว่านั้นแล้ว นั่นแหละคือเหตุผลที่ทิวไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าสิ่งที่ได้จากเพื่อนในตอนนี้มันเพียงพอแล้ว มันไม่พอไม่ใช่เพราะว่าบูมให้มาน้อยไป แต่มันไม่พอเพราะบูมไม่ได้ให้ในสิ่งที่เขาอยากได้ต่างหากล่ะ
มาถึงตรงนี้ทิวก็เริ่มจะยอมรับกับตัวเองได้แล้วว่าเขาเป็นเกย์!!!
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดูเหมือนบูมจะเริ่มให้เวลากับทิวมากขึ้น ถึงทิวจะไม่พูดอะไร แต่บูมก็เดาเอาเองว่าทิวน่าจะน้อยใจที่เขาไม่ค่อยมาหา แต่กลับไปให้เวลากับแป๋มมากเกินไป จะว่าไปแล้ว บูมก็มีความสุขดีเวลาอยู่กับทิว เวลาอยู่กับแฟน บูมรู้สึกว่าเขาถูกคาดหวังให้ต้องทำอะไรหลายอย่าง ต้องเสียสละ ต้องอดทน ต้องยอมแม้จะไม่เห็นด้วย ต้องคอยเอาใจ ต้องคอยทำให้ประทับใจ บางทีมันก็เยอะไปเหมือนกันที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องถูกคาดหวังมากขนาดนี้จากคนที่เป็นแฟน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้บูมรู้สึกอย่างนั้น คนเป็นแฟนกัน มีความรักให้กัน การเอาอกเอาใจหรือคอยดูแลย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ยกเว้นว่าไม่รักกันจริงหรืออีกฝ่ายเรียกร้องมากไปจนเกินรับได้นั่นแหละ บูมยังไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใดกันแน่
แต่เพราะแบบนี้นี่แหละที่ทำให้บูมกับแป๋มต้องทะเลาะกันอีกแล้ว
"พี่บูมยังเห็นแป๋มเป็นแฟนพี่บูมอยู่หรือเปล่าคะ ถ้าอย่างงั้น...ก็ควรจะมีเวลาให้แป๋มบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ซ้อมดนตรีแล้วก็เรียนๆๆๆๆ"
"แป๋ม ช่วงนี้พี่ต้องซ้อมเยอะเพราะว่าอาทิตย์หน้าพี่ต้องไปแข่งแล้ว อีกอย่าง มันก็ใกล้สอบแล้วด้วย พี่ก็ต้องอ่านหนังสือบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่แคร์แป๋มนะ"
"พี่แคร์แป๋มจริงๆ เหรอคะ แล้วที่สัญญาแป๋มไว้พี่บูมก็ทำไม่ค่อยได้ นอกจากจะซ้อมเพลง อ่านหนังสือจนไม่มีเวลาให้แป๋มแล้ว พี่ก็ยังเป็นลูกแหง่เหมือนเดิม ไม่เห็นจะ..."
"น้องแป๋ม!!!" บู
มพูดเสียงดังด้วยความไม่พอใจจนแป๋มต้องหยุดชะงัก เธอดูตกตะลึงทีเดียวที่เห็นบูมทำเสียงและสีหน้าไม่พอใจอย่างนั้น เท่านั้นยังไม่พอ คนที่อยู่ในร้านอาหารเดียวกับพวกเขาสองคนต่างก็หันมามองด้วยความสงสัย
คำว่า "ลูกแหง่" เสียดแทงใจบูมเหลือเกิน เขาเกลียดคำนี้ เขาไม่ได้อยากได้ยินมันอีกแล้ว
"ถ้าน้องแป๋มยังอยากเป็นแฟนกับพี่อยู่ น้องแป๋มต้องเลิกเรียกพี่แบบนี้เข้าใจไหม" บูมยื่นคำขาดด้วยเสียงและมือไม้ที่สั่นเทา
"พี่บูม"
ดูเหมือนแป๋มจะตกใจและผิดหวังกับการกระทำของบูมมาก บูมไม่ควรจะเสียงดังกับเธอในร้านอาหารอย่างนี้ บูมควรจะให้เกียรติเธอบ้าง นี่เล่นพูดเสียงดังจนเธอรู้สึกอับอายไปหมดแล้ว
"งั้นก็เลิกกันวันนี้ซะเลย แป๋มก็เบื่อที่จะอยู่กับคนเจ้าปัญหาอย่างพี่แล้ว คนอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็ปัญหานั่น เดี๋ยวก็ปัญหานี่"
แป๋มพูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาค่อยๆ ไหลลงอาบแก้มใสนั้น
"แป๋ม" บูมเรียกเสียงสั่นเครือ แต่ละเรื่องที่แป๋มพูดมานั้นล้วนแต่เสียดแทงใจบูม ใครล่ะจะมาอยู่กับคนเจ้าปัญหาอย่างบูมได้
"แป๋มไปแล้วนะคะ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ามาเจอกันอีก"
แป๋มหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วก็เดินลิ่วออกไปจากร้านทันที แต่แปลกที่บูมไม่คิดจะวิ่งตามไป ใช่...เขาผิดเอง เขามัวแต่โมโหจนลืมดูไปว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหน
เหมือนบูมจะได้สติคืนกลับมาแต่มันก็คงสายไปเสียแล้ว เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นพร้อมกับมองดูภาพสาวน้อยที่เพิ่งเป็นแฟนกันได้ไม่นานเดินหนีไปด้วยอารมณ์โกรธกรุ่น
น่าแปลกที่บูมก็ไม่รู้สึกอยากวิ่งตามแป๋มไป ถ้าบูมทำอย่างนั้นแป๋มอาจจะยอมใจอ่อนบ้างก็ได้ แต่คำพูดนั้นของแป๋มก็ทำให้บูมต้องคิดเสียใหม่
"งั้นก็เลิกกันวันนี้ซะเลย แป๋มก็เบื่อที่จะอยู่กับคนเจ้าปัญหาอย่างพี่แล้ว คนอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็ปัญหานั่น เดี๋ยวก็ปัญหานี่"
คนเจ้าปัญหาอย่างบูมจะมีใครอยากคบล่ะ นอกจาก...
"ทิว" บูมพึมพำเรียกชื่อเพื่อนที่เขาสนิทด้วยมากที่สุดในตอนนี้ขึ้นมา
"เช็คบิลล์ด้วยครับ" บูมร้องบอกพนักงาน พอจ่ายเงินแล้วบูมก็รีบวิ่งออกไปเรียกแท็กซี่ทันที
"ไปลาดพร้าวครับ" บูมบอกเมื่อได้รถแท็กซี่แล้ว
พอมาถึงบ้านของทิวก็เห็นว่าบ้านปิดไว้ ไม่เปิดไฟ แสดงว่าคงไม่มีใครอยู่ในบ้านตอนนี้ บูมพยายามโทรหาทิวเท่าไหร่ก็ไม่ติด ไม่รู้ว่าแบ็ตหมดหรือปิดเครื่อง แต่ยังไงวันนี้เขาก็ต้องคุยกับทิวให้ได้
ลืมไป...บูมยังไม่ได้โทรบอกที่บ้านเลย ว่าแล้วบูมก็โทรศัพท์หาแม่ทันที
"แม่ครับ วันนี้ผมจะนอนค้างบ้านเพื่อนนะครับ พอดีมีงานที่ต้องทำด้วยกัน บูมกลัวทำเสร็จไม่ทันครับ"
"จะทำอะไรก็ทำไป"
แม้ว่าคุณทิพย์นภาจะพูดด้วยเสียงเบาเพราะเธอยังอยู่ในห้องประชุมอยู่ แต่บูมก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงนั้น
"ครับแม่ สวัสดีครับ"
บูมวางสายลงด้วยความไม่ค่อยเข้าใจแม่นัก ไม่รู้เหมือนกันว่าที่บ้านจะโกรธอะไรเขากันนักกันหนา พี่ชายก็พลอยเป็นไปด้วยอีกคนหนึ่ง
เมื่อติดต่อทิวไม่ได้ บูมจึงทำได้เพียงยืนรออยู่หน้าบ้าน พอเมื่อยขาก็นั่งพิงประตู ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหนเขาก็จะรอ แปลกนะ บูมน่าจะรู้สึกเสียใจมากกว่านี้ที่เพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันได้ไม่ถึงสองเดือน แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เสียใจมากขนาดนั้น แล้วที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือการที่บูมมาหาทิวที่บ้านทันทีหลังจากเลิกกับแฟนนี่แหละ เขาอยากจะหาคนปลอบใจหรือก็คงเปล่า บูมไม่ได้รู้สึกเศร้าจนต้องการการปลอบใจขนาดนั้นหรอก
ราวๆ สี่ทุ่ม ก็มีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านทิว บูมพยายามเพ่งมองแต่ไฟหน้ารถก็แยงตาจนมองไม่เห็นอะไร บูมรีบลุกขึ้นยืนใช้มือบังแสงไฟ พอรถดับไฟหน้าลงจึงเห็นทิวกับแม่เปิดประตูลงมาจากรถ
"บูม" ทิวร้องเรียกเพื่อนเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
"ทิว" บูมร้องเรียกเพื่อนด้วยความดีใจเช่นกัน
ทันทีที่ทิวก้าวเดินมาหา บูมก็เดินแกมวิ่งไปกอดเพื่อนไว้ แม้ว่าทิวจะตั้งตัวไม่ทันแต่ก็กอดเพื่อนตอบแต่โดยดี รู้สึกสับสนว้าวุ่นในใจไปกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้มากทีเดียว
"บูม...ทำไมนายชอบทำอย่างนี้กับเรา รู้ไหมว่าเราจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว" ทิวคิดในใจ
แม่ของทิวมองดูเพื่อนสองคนที่ยืนกอดกันแล้วก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู
"คิดถึงขนาดนั้นเลยหรือบูม" คุณทิษณาสัพยอกกับเพื่อนของลูกชาย
นั่นแหละบูมจึงรู้ตัวว่าลืมทำความเคารพแม่ของเพื่อนไป เขารีบปล่อยแขนออกจากเพื่อนแล้วก็หันไปสวัสดีคุณทิษณา
"สวัสดีครับแม่"
"มานั่งรอทิวตั้งแต่เมื่อไรจ๊ะ" ถามพลางรับไหว้และยิ้มอยู่ในที
"ตั้งแต่ทุ่มกว่าแล้วครับ"
"ตายแล้ว แล้วทำไมไม่โทรหาทิวล่ะลูก" คุณทิษณาทำน้ำเสียงตกใจ
"โทรแล้วครับ แต่ไม่ติด" บูมบอก
ทิวจึงรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาดูก็พบว่าแบ็ตหมดแล้ว ไม่รู้ว่าหมดไปตั้งแต่ตอนไหน
"แบ็ตหมดแล้วแม่ ถึงว่าไม่เห็นมีใครโทรหาทิวเลย" ทิวหันไปพูดกับแม่แล้วก็หัวเราะเบาๆ
"บูมกินอะไรมาหรือยังลูก"
บูมพยักหน้า จริงๆ ก็กินไปได้นิดเดียวแต่เกิดเรื่องเสียก่อน ไม่เป็นไรหรอก ค่อยหาอะไรในครัวกินทีหลังก็ได้
"แม่ล่ะครับ"
"กินแล้วจ้ะ พอดีทิวเขาอยากไปกินข้าวนอกบ้านกับแม่ ก็เลยพาเขาไปเสียหน่อย นานๆ ที"
คุณทิษณายิ้มด้วยแววตาแฝงไปด้วยความเมตตา บูมชอบแม่ของทิวก็เพราะอย่างนี้แหละ
"เข้าไปในบ้านกันเถอะ" คุณทิษณาบอกเด็กๆ
"ครับ" ทิวกับบูมรับคำพร้อมกัน
คุณทิษณาพอจะเดาได้ว่าบูมคงมีเรื่องอะไรบางอย่างจึงได้มานั่งรอทิวอยู่ตั้งนาน เธอจึงขอตัวขึ้นไปอาบน้ำข้างบน ปล่อยให้เด็กๆ นั่งคุยกันตามลำพัง จะได้คุยกันได้สะดวกใจ
"มีอะไรหรือเปล่าบูม มานั่งรอเราตั้งนานแบบนี้" ทิวถามเมื่อเห็นว่าแม่ขึ้นไปบนบ้านแล้ว
สีหน้าของบูมดูเศร้าลง แม้ไม่ถึงกับเศร้ามากแต่ก็พอสังเกตเห็นได้
"เรากับแป๋มเลิกกันแล้วนะทิว"
!!!???
TBC