♥♥♥ รัก...ที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต (Re-written Version)
CHAPTER 21 ✦ รักต้องห้าม
แม้ว่าแสงอาทิตย์ยังไม่ทอแสงโผล่พ้นขึ้นมาจากขอบฟ้า แต่ทิวก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้าครึ่งตามเวลาปกติโดยที่ไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก กำลังจะลุกออกไปจากเตียงเพื่อทำธุระส่วนตัวเหมือนเช่นเคยก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาพาดที่หน้าอก พอนึกได้ว่ามีใครบางคนนอนอยู่ข้างๆ ทิวก็หันไปมองดูคนที่ยังนอนหลับไหลอยู่อย่างเป็นสุข มือข้างหนึ่งยังพาดทับหน้าอกคล้ายกับจะกอดทิวไว้
ทิวค่อยๆ ดึงมือข้างนั้นมาแนบแก้มของตัวเอง ชีวิตที่เคยอ้างว้างเดียวดายของทิวหมดไปแล้วเมื่อมีบูมอยู่ข้างๆ ทำให้ทิวมีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไปอย่างมากทีเดียว
ทิวค่อยๆ วางมือของบูมลงข้างตัว ว่าจะลงจากเตียงอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้บูมตื่นแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว บูมเริ่มรู้สึกตัวและลืมตาขึ้น ถามทิวด้วยอาการงัวเงียว่า
"ทิวจะไปไหน"
ทิวหยุดหันมามองแล้วก็ยิ้ม
"ไปอาบน้ำ เราต้องไปทำงานแต่เช้า"
"เดี๋ยวก่อนสิ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ กี่โมงแล้วเนี่ย" แล้วบูมก็หันไปดูนาฬิกาที่หัวเตียง "ตีห้าครึ่งเอง ทำไมต้องรีบไปล่ะ"
"เราต้องเข้างานเจ็ดโมงเช้าไง" ทิวบอกพลางแอบขำที่บูมทำงัวเงียเหมือนเด็ก
บูมลุกขึ้นนั่งแล้วก็สวมกอดทิวไว้เบาๆ จากข้างหลัง
"อยู่กับเราก่อนนะทิว ตั้งสี่ปีกว่ากว่าจะได้มาเจอกัน เราคิดถึงนายมากรู้หรือเปล่า ที่ทำงานอยู่แค่นี้เอง ไปตอนเจ็ดโมงครึ่งก็ยังทันเลย"
ทิวได้แต่ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร บทรักที่แสนหวานเมื่อคืนนี้ทำให้ความห่างเหินที่เกิดจากการจากกันไปไกลถึงสี่ปีเศษหายไปแทบหมดสิ้น แต่ถึงกระนั้นทิวก็ยังรู้สึกว่าคนที่กอดทิวไว้อยู่ตอนนี้ต่างไปจากเดิมที่ทิวเคยเห็นมากทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าบูมจะกล้ามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับทิวถึงขนาดนี้ในวันแรกที่ได้กลับมาเจอกัน
"ทิว..." บูมเรียกเสียงเบา ใบหน้ายิ้มละไม
"หืม"
"เมื่อคืน... นายมีความสุขหรือเปล่า"
ทิวก้มหน้าด้วยความเขินอาย
"ว่าไงล่ะทิว ชอบหรือเปล่า" บูมถามย้ำเหมือนกับจะต้องได้คำตอบนี้ให้ได้ จ้องมองดูอาการเขินของทิวแล้วก็ยิ้มอย่างชอบใจ
ทิวพยักหน้าน้อยๆ
"จริงเหรอ..." บูมยิ้มดีใจ
"เราดีใจที่นายมีความสุขนะ"
บูมกอดกระชับอ้อมแขนให้ทิวแนบกับตัวมากขึ้น "แล้วนาย...อยากมีความสุขแบบเมื่อคืนอีกไหม"
พูดไม่พูดเปล่า มือของบูมก็เริ่มอยู่ไม่สุข สะเปะสะปะลูบไล้ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทิวตั้งแต่บนลงไปข้างล่าง
"บูม เดี๋ยวนี้นาย..." จะบอกว่าไงดีล่ะ บ้ากามหรือหื่นดี แล้วมันจะแรงไปหรือเปล่า
"เฉพาะกับนายเท่านั้นแหละ" ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ด้วยสิว่าทิวคิดอะไร
"ก็ใครใช้ให้นายน่ารักแบบนี้ล่ะ นะทิวนะ นะๆๆ"
ทิวหัวเราะขบขันกับการอ้อนเหมือนเด็กของบูม แต่มันก็ทำให้หัวใจที่เคยแห้งผากชุ่มชื้นพองโตขึ้นมากทีเดียว ทิวหมุนตัวแล้วหันหน้าไปหาบูม
"เรื่องอะไร"
แล้วก็ทำท่าจะลุกหนี แต่มีหรือที่จะรอดพ้นเงื้อมือของบูมไปได้ "จะหนีไปไหน"
บูมคว้าตัวทิวไว้แล้วก็เล่นกอดปล้ำกันไปมาอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะหยอกล้อค่อยๆ เงียบลงเมื่อบูมขึ้นมาทาบทับอยู่บนตัวทิว
"เราไม่ได้เป็นคนหื่นนะทิว แต่พออยู่ใกล้ๆ กับนายแล้วเราอดใจไม่ไหว เราอยากจะปลอบให้นายหายเศร้า เราอยากจะทำให้นายมีความสุข ทำยังไงก็ได้ให้นายลืมความเจ็บปวดทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น"
แต่พอเห็นทิวทำเป็นเงียบๆ บูมก็เริ่มน้อยใจ "แต่ถ้านายไม่ชอบก็ไม่เป็นไร"
พูดจบแล้วบูมก็พลิกตัวกลับไปนอนที่เดิมของตัวเอง ทำทีว่าน้อยใจมากทีเดียว นานเท่าไหร่แล้วที่บูมไม่ได้เล่นแบบนี้กับทิวเลย
"ได้ไงล่ะ มาทำให้เราตื่นแบบนี้แล้วต้องรับผิดชอบสิ"
ได้ยินอย่างนั้นแล้วบูมก็หัวเราะชอบใจ พลิกตัวมากอดทิวไว้อีกครั้ง ส่งสายตาซึ้งๆ เป็นประกายให้อีกคนได้รับรู้ความรู้สึกที่อยู่ข้างในดวงตาคู่นั้น
"เรารักนายนะทิว ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้นายจำไว้นะว่าเรา...รักนายคนเดียว"
ทิวพยักหน้ารับคำแล้วก็ยิ้ม สรุปว่าเช้านี้ทิวก็ถูกพายุความต้องการพัดโหมกระหน่ำอีกรอบ เล่นเอาแทบจะไม่มีแรงไปทำงานเลย ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กินตั้งแต่เมื่อคืน ว่าจะออกไปกินแต่ก็เหนื่อยจนเกินไปจึงนอนหลับเอาแรงแทน
บางคนอาจจะมองว่าบูมเป็นคนบ้ากาม แต่บูมไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอก ที่เลือกมีสัมพันธ์ทางกายกับทิวนั้นเพราะต้องการที่จะผูดมัดตัวเองไว้ให้แน่นขึ้น ความสัมพันธ์ทางใจอย่างเดียวอาจไม่ทำให้สายใยแห่งความรักนั้นเหนียวแน่นมากพอ โดยเฉพาะเมื่อจะต้องเผชิญกับอุปสรรคในวันข้างหน้าที่บูมเองก็คงรู้ดีว่าจะหนักหนาสาหัสสากรรจ์แค่ไหน เพราะฉะนั้น ตอนนี้บูมทำยังไงก็ได้เพื่อให้ความรักของทิวกับบูมกลับคืนมาเร็วที่สุดและมีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ที่รออยู่ได้
บูมรู้ว่าตัดสินใจไม่ผิดหลังจากที่ความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้น ความรู้สึกหวงแหนและอยากปกป้องคนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยก็ยิ่งมากขึ้น ความรู้สึกโหยหา คิดถึง อยากอยู่ใกล้ อยากสัมผัสก็มีมากขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะความรู้สึกของการเป็นเจ้าของทั้งใจและกายได้เกิดขึ้นตามกลไกธรรมชาติเมื่อมีความสัมพันธ์ทางกายนั่นเอง
ก่อนออกจากบ้าน บูมเห็นทิวใส่ชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อแล้วก็อดที่จะน้ำตาไหลด้วยความสงสารไม่ได้ ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับทิวบ้าง แต่บูมก็พอเดาได้ว่าชีวิตของทิวคงลำบากมากทีเดียว เห็นทีไรก็ยังอดที่จะตำหนิตัวเองไม่ได้ที่เคยหนีหายไปจากชีวิตคนๆ นี้เสียหลายปี ถ้าบูมยังอยู่ ทิวก็อาจจะไม่ต้องลำบากถึงขนาดนี้ก็ได้
บูมขับรถมาส่งทิวที่หน้าร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย พี่พงษ์ดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่เห็นทิวมาทำงานด้วยรถยนต์ยี่ห้อหรูหราราคาแพง
"ตอนเย็นเรามารับนะทิว"
ทิวพยักหน้าและยิ้มให้กับคนที่มองออกมาจากหน้าต่างประตูหน้าของรถยนต์ นานเหลือเกินที่ทิวไม่เคยรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นใจอย่างนี้ ตั้งแต่แม่จากไปแล้วชีวิตของทิวก็อ้างว้างมาตลอด แม้จะมีต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนและให้กำลังใจ แต่ต้องก็ไม่สามารถตอบสนองสิ่งที่ทิวต้องการอยู่ลึกๆ ในใจได้
"ขับรถดีๆ นะบูม แล้วเจอกันเย็นนี้"
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ตอนเย็นๆ บูมมารับทิวที่ร้านตรงเวลาเป๊ะ วันนี้บูมขอให้ทิวยกเลิกเล่นดนตรีเพราะอยากฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงสี่ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องราวบางอย่างที่ทิวอาจไม่รู้และเป็นต้นเหตุให้บูมต้องไปจากทิวทั้งที่ยังรักกัน เมื่อเคลียร์เรื่องคาใจกันหมดแล้วก็คงจะหมดเรื่องกินแหนงแคลงใจกันเสียที
บูมซื้ออาหารอร่อยๆ มาด้วยหลายอย่าง กะว่าจะขุนให้ทิวอ้วนท้วนสมบูรณ์ในวันเดียวเลย มาถึงบ้านก็ช่วยกันจัดอาหารใส่จานแล้วก็นั่งกินด้วยกันในห้องครัวที่คุ้นเคย เมื่อก่อนบูมเคยมานั่งกินข้าวด้วยกันกับทิวและแม่อยู่บ่อยๆ
"วันไหนว่างๆ เราไปวัดกันนะทิว เราอยากไปทำบุญให้แม่ของนาย"
บูมเอ่ยขึ้นขณะมองคนตรงหน้ากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ทิวคงไม่ได้กินอาหารดีๆ อย่างนี้มานานแล้วจึงกินใหญ่เลย ทิวพยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็กินข้าวต่อ
"กินเยอะๆ นะทิว วันหลังเราไปกินด้วยกันข้างนอกนะ นายอยากกินอะไรบอกเรานะ"
คนพูดน้ำตาไหลด้วยความสะท้อนใจ หน้าตาผิวพรรณของทิวดูซีดเซียวไปมาก คงเป็นเพราะทำงานหนักและกินน้อย การหาเงินบีบบังคับให้ชีวิตของทิวต้องเก็บเงินมากกว่าใช้ การดูแลสุขภาพของตัวเองจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย
"อร่อยดี ไม่ได้กินอย่างนี้นานแล้ว"
ทิวเงยหน้าขึ้นมาจากการกินอาหารแล้วก็ตกใจเล็กน้อยที่เห็นบูมร้องไห้
"เป็นไรน่ะบูม"
"เปล่า..." บูมพยายามยิ้มทั้งน้ำตา
"เราดีใจที่เห็นนายชอบอาหารที่เราซื้อมาให้นายไง"
"อ้อ..." ทิวยิ้มอายๆ สงสัยว่าตัวเองคงแสดงอาการ "ตะกละ" ออกมามากไปหน่อย
"กินเหอะ กินอย่างที่นายอยากกินนั่นแหละ" บูมบอกพลางขำเบาๆ
กินข้าวเสร็จแล้วบูมกับทิวก็มานั่งคุยกันตรงที่นั่งเล่นหน้าบ้าน ทิวเห็นบูมปิดโทรศัพท์มือถือก็เลยปิดของตัวเองบ้าง การคุยกันครั้งนี้คงยาวนานและบูมคงไม่ต้องการให้ใครรบกวนนั่นเอง
"ทิว... เล่าให้เราฟังเท่าที่นายจะเล่าได้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายอย่าหยุด เราจะฟังจนกว่านายจะเล่าจบ หลังจากนั้น เราก็จะเล่าอะไรบางอย่างให้นายฟังด้วย ตกลงไหม"
ทิวพยักหน้าเห็นด้วย "ได้ เราจะเล่าให้นายฟังทุกอย่าง"
บูมยิ้มอย่างพอใจ เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าช่วงเวลาหลังจากนี้คงต้องร้องไห้อีกเป็นแน่
"พร้อมหรือยัง"
ทิวพยักหน้า รวบรวมพลังใจและกายแล้วก็เริ่มเล่าก่อนเป็นคนแรก
"วันสุดท้ายที่โรงเรียน เราพยายามมองหานายแต่ก็ไม่เจอ ตอนนั้นเราน้อยใจมากว่าทำไมนายถึงไม่อยากเขียนอะไรให้เราบ้าง เราเจอต้อง ต้องมาบอกว่านายกำลังจะกลับบ้าน เราก็รีบวิ่งไปหานายใหญ่เลย แต่ก็ไม่ทัน เราเห็นรถเก๋งของแม่นายวิ่งออกไปแล้ว เราก็วิ่งตาม แต่..."
ทิวหยุดพูดด้วยความสะเทือนใจ แต่เมื่อตกลงกับบูมไว้แล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องเล่าต่อให้จบ บูมเองก็รู้สึกสะเทือนใจไม่ต่างกัน น้ำตาเริ่มไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว แต่พอรู้ตัวแล้วก็ปล่อยให้มันไหลอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ต้องฝืน
"ช่วงปีแรก เราเสียใจมาก แต่ก็พยายามคิดว่า...นายคงมีเหตุผลบางอย่างที่เราคงไม่รู้ มันคงสำคัญมากจนทำให้นายต้องจากไปโดยที่ไม่ได้บอกอะไรเราเลย บางครั้งเราก็สงสัยนะว่า...เราทำอะไรผิดหรือเปล่า ทำไมนายไม่เคยติดต่อเรามาเลย นายลืมเราไปหรือเปล่า บางครั้งก็สงสัยว่านายเคยคิดถึงเราบ้างไหม มันทรมานมาก ทรมานมากๆ พอแม่เห็นเรากินไม่ได้นอนไม่หลับ เห็นเราร้องไห้บ่อยๆ แม่ก็เลยถาม เราก็เลยต้องเล่าให้แม่ฟัง พอแม่ฟังจบก็ถามเราว่า เราเป็นเกย์หรือเปล่า เราก็ตอบว่าใช่ แต่แม่...ก็ไม่ได้รังเกียจเรา แม่ไม่เคยว่าเราเลยซักคำ เราดีใจนะที่แม่ยอมรับสิ่งที่เราเป็นได้ จนกระทั่งเราเรียนมหาลัยปีสอง เราก็เริ่มทำใจได้มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะเราต้องเรียนหนักเลยไม่ค่อยมีเวลาฟุ้งซ่าน แต่ก็ไม่ได้ลืมนะ เพื่อนเก่าๆ ของเราอย่างไอ้ต้อง ไอ้อุ้ยก็เคยมาถามเราว่าได้เจอกับนายหรือได้ข่าวคราวของนายบ้างหรือเปล่า หลายๆ คนก็ยังนึกถึงนายอยู่นะบูม แต่พวกมันก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่รู้ว่านายไม่เคยติดต่อมาหาเราเลย"
"แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แม่ของเรา...หัวใจวายเฉียบพลันเพราะความเครียด แล้วแม่ก็จากไป ตอนนั้นต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเราอยู่หลายวันเพราะกลัวว่าเราจะคิดสั้น ชีวิตตอนนั้นเราแย่มาก เราแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เลย"
ทิวหยุดอีกครั้งเพราะพูดถึงแม่ทีไรก็อดจะใจหายและสะท้อนใจไม่ได้
"เราเพิ่งมารู้ตอนหลังว่า... ที่แม่เครียดเป็นเพราะว่าแม่ต้องคอยหาเงินมาใช้หนี้ แม่ไปกู้เงินนอกระบบมาให้เราเรียนหนังสือ เราเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย พอแม่เสียไปแล้ว เจ้าหนี้ของแม่ก็มาหาแล้วบอกให้เราหาเงินที่เหลือมาใช้หนี้ที่แม่กู้มาสามแสนกว่าบาท รวมดอกเบี้ยแล้วก็เกือบๆ สี่แสน ตอนแรก...เราต้องขายรถของแม่ ได้เงินมาประมาณแสนหนึ่งเราก็ให้เขาไป หลังจากนั้นเราก็ต้องจ่ายเงินเดือนละหมื่นตามข้อตกลงในสัญญา เพราะอย่างนี้แหละ เราก็เลยต้องออกจากมหาลัยมาทำงานใช้หนี้"
พอทิวพูดมาถึงตรงนี้บูมก็กำมือแน่นพร้อมกับสะอื้น มองดูทิวด้วยสายตาเจ็บปวดและสงสาร มิน่าล่ะ ทิวถึงต้องมาทำงานแบบนี้ ทิวสบตากับบูมเหมือนกับจะถามว่าไหวไหม บูมพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ทิวเล่าต่อไป
"เราไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับเพราะเรายังเรียนไม่จบ โชคดีที่เพื่อนที่มหาลัยพาไปฝากงานที่ร้านอาหารที่หนึ่ง เราก็เลยหันมายึดอาชีพร้องเพลงในร้านอาหาร ก็ทำอยู่หลายที่ บางคืนก็ทำสองที่ แต่มากกว่านั้นก็ไม่ไหวเพราะบางที่ก็อยู่ไกลกันมาก เราไม่มีรถขับไปเอง ต้องใช้แท็กซี่ตลอดเพราะต้องหอบกีตาร์ไปด้วย บางวันเราต้องกลับดึกมาก ก็ได้เงินมาพอใช้หนี้แล้วก็ใช้ส่วนตัวบ้าง แต่ก็ไม่มีเหลือเก็บเลย ตอนกลางวันเราก็ฝึกเล่นกีตาร์ที่บ้านให้เก่งขึ้น บางร้านเราก็ทั้งร้องทั้งเล่นเอง แต่บางร้านเราก็ไปร้องอย่างเดียว แล้วเราก็ได้รู้จักกับคุณเชน ลูกชายเจ้าของร้านอาหารที่หนึ่งที่เราไปร้องเพลง คุณเชนมาชอบเรา ตอนนั้นเราอ่อนไหวมาก พอมีคนมาทำดีด้วยเราก็เผลอใจ แต่เราไม่ได้รักเขาหรอก เราแค่อยากมีใครสักคนบ้างเพราะตอนนั้นเราไม่มีใครเลย แม่ก็ไม่อยู่เราก็ยิ่งเหงา ตอนนั้นก็เหลือต้องแค่คนเดียวที่ยังคบเป็นเพื่อนกับเราอยู่ แต่ต้องก็ไม่ได้มาหาเราบ่อยๆ หรอกเพราะต้องเรียนหนัก แต่สุดท้ายเราก็เลิกคบกับคุณเชนไปเพราะมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นพวก...ซาดิสม์ แล้วเราก็เลิกไปร้องเพลงที่ร้านนั้นด้วย"
"พอเลิกแล้วเราก็ได้รายได้น้อยลง แทบไม่พอใช้หนี้เลย ไม่พอกินด้วย ตอนแรกเราก็ยืมต้อง แต่เดือนต่อมามันก็ไม่พอใช้อีก เรากฌไม่รู้จะทำยังไง พอดีมีเพื่อนที่รู้จักคนหนึ่ง เขารู้จักพี่เจ้าของบาร์เกย์ ตอนแรกเราก็ไม่คิดจะทำงานอย่างนี้หรอก แต่ตอนนั้นเราไม่มีทางเลือก เราก็เลยต้องไป"
ทิวสะอื้นด้วยความสะเทือนใจเมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำตาแห่งความเศร้าสะเทือนใจของบูมมันไหลทะลักมาอีกแล้ว รู้สึกตกใจมากเพราะไม่คาดคิดว่าชะตาชีวิตของทิวจะเข้าตาจนถึงขนาดนั้น ถ้าเขาอยู่ ทิวคงไม่ต้องทำอย่างนี้อย่างแน่นอน คิดๆ ไปแล้วก็เกลียดตัวเองเหลือเกินที่ทิ้งทิวไปในเวลานั้น
"วันแรกที่เราไปทำงานนี้ ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่เพราะเรายังหน้าใหม่อยู่ แต่สุดท้ายเราก็ได้แขกคนหนึ่ง เราออกไปกับเขา แต่พอจะมีอะไรกันจริงๆ เราก็รับไม่ได้ ก็เลยบอกให้เขาหยุด ตอนแรกเขาไม่ยอมเพราะจ่ายเงินแล้ว เราก็เลยต้องยกมือไหว้อ้อนวอนขอพี่เขาว่าอย่าทำอะไรเราเลย แล้วก็เอาเงินในกระเป๋าที่เรามีสองพันให้เขาไป เราไม่รู้ว่าพอหรือเปล่า แต่เขาก็ยอม แล้วเราก็กลับมาบ้าน มีเงินเหลือติดตัวแค่สองร้อย วันนั้นเรารู้สึกว่าสภาพจิตใจย่ำแย่มาก จนเราคิดจะฆ่าตัวตาย เรากำลังจะกินน้ำยาล้างห้องน้ำฆ่าตัวตายไปแล้วล่ะ แต่เราได้ยินเสียงโทรศัพท์ เราสงสัยว่าใครโทรมาก็เลยลงมารับ แต่ก็ไม่มีเสียงคนพูด เราคิดว่าเป็นนายโทรมา ก็เลยถามว่า ใช่บูมหรือเปล่า ก็ไม่มีเสียงตอบ แต่มันก็ทำให้เราเลิกคิดฆ่าตัวตาย เรารู้ว่าเป็นนาย แค่เรารู้ว่านายยังนึกถึงเราอยู่ เราก็มีความหวัง เราก็เลยคิดในใจว่า ต่อให้ลำบากอีกสักแค่ไหน เราก็จะยอมลำบากทุกอย่าง ขอให้เราได้เจอนายอีกครั้งแล้วก็ได้บอกความในในที่เราตั้งใจจะบอกนายให้ได้"
"เราขอโทษทิว"
บูมพูดด้วยเสียงเบาหวิวกับตัวเองเพื่อไม่ให้รบกวนการพูดของทิว แต่ละเรื่องที่ได้ฟังนั้นช่างน่ารันทดสลดใจจนบูมแทบไม่อยากเชื่อว่าทิวจะต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากถึงขนาดนั้น ลำบากจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว บูมยังจำวันนั้นได้ว่าโทรมาหาทิวเพราะรู้สึกใจคอไม่ดี ถึงจะเสียใจที่ไม่ได้มาอยู่กับทิวในช่วงเวลานั้นแต่ก็ยังนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ดลใจให้บูมโทรมาหาทิววันนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วก็อาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ากันอีกเลย
"ตอนนั้นเราก็ลำบากมากจริงๆ เพราะหลังจากจ่ายค่ารถไป เราก็มีเงินเหลือแค่ไม่กี่บาท เช้าวันต่อมาพี่บีมก็มาหาเรา เราเดาเอาว่านายคงบอกให้พี่บีมมา พี่บีมบอกว่านายยังคิดถึงเราอยู่ นายไม่ลืมเรา เราดีใจมากที่ได้รู้อย่างนั้น มันทำให้เรามีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป พอพี่บีมไปแล้วเราก็ไปขอให้พี่ๆ วินมอไซค์ช่วยให้เราได้ขับวินมอร์ไซค์ในซอยเพื่อหารายได้เสริม เราก็ทำอยู่พักหนึ่ง ก็ได้รู้จักกับพี่พงษ์ที่เป็นผู้จัดการที่เซเว่น พี่พงษ์ชวนเรามาทำงานที่นี่ เราก็เลยมา ก็ช่วยเราได้เยอะเลยเพราะทำให้เรามีรายได้หลัก แล้วก็ร้องเพลงเป็นรายได้เสริม จนกระทั่ง วันนั้นเราก็ได้เจอกับนายโดยบังเอิญ..."
พูดมาถึงตรงนี้แล้วก็ทำให้ทิวเพิ่งนึกได้อีกครั้งว่า...บูมมีแฟนแล้วนี่นา...
"แล้วทำไมนายต้องขายบ้านล่ะทิว" บูมถือโอกาสถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเรื่องมาถึงปัจจุบันแล้ว ถ้าดูจากอาการแล้วบูมก็พอจะเดาได้ว่าทิวน่าจะนึกเรื่องแฟนของบูมได้แล้ว แต่บูมจะยังไม่พูดเรื่องนั้นในตอนนี้
"เจ้าหนี้ของเราเขาขอให้เราจ่ายเงินที่เหลืออีกเจ็ดหมื่นบาท เพราะว่าเขาต้องใช้ด่วนภายในสิ้นเดือนนี้ แต่เราไม่มีให้ เราก็เลยจะขายบ้าน ใช้หนี้หมดแล้วก็คงพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง เราก็ว่าจะไปซื้อคอนโดอยู่"
"โธ่ทิว"
บูมสะเทือนใจอีกแล้ว ลุกขึ้นแล้วก็เดินมาหาทิว ทิวเหมือนจะรู้ว่าบูมต้องการอะไรจึงลุกขึ้นแล้วก็กอดกับบูมไว้
"เราขอโทษ... เราขอโทษจริงๆ"
ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่บูมเอ่ยขอโทษ แม้จะรู้ว่ามันจะชดเชยสิ่งที่ทิวสูญเสียไปไม่ได้เลยก็ตาม
"ทิว...เรามันขี้ขลาด เรามันเห็นแก่ตัว ปล่อยให้นายลำบากอยู่คนเดียว เราเสียใจนะทิวที่เราไม่ได้มาอยู่กับนายเวลาที่นายต้องการใครสักคน ทั้งๆ ที่นายก็ดีกับเรามาก นายเป็นเพื่อนคนแรกที่ดีกับเรามาก เราตกบันไดขาเจ็บนายก็มาช่วยทั้งๆ ที่เราก็ทำไม่ดีกับนาย เราอยากเข้าชมรมดนตรีนายก็มาสอนร้องเพลงให้เราทุกวันจนเราได้เป็นนักร้องนำของวง เจ็บป่วยมีปัญหาอะไรก็มีนายที่คอยช่วย นายดีกับเรามากแค่ไหนแต่เรากลับทิ้งนายไป เราเกลียดตัวเองเหลือเกินทิว เราเกลียดตัวเอง... เราเกลียดตัวเองที่ขี้ขลาดแบบนั้น"
บูมร้องไห้ฟูมฟาย
"ช่างมันเถอะบูม มันผ่านไปแล้ว เรารู้ว่านายมีเหตุผลของนายที่เราไม่เคยรู้มาก่อน นายเล่าให้เราฟังได้ไหมบูม"
บูมค่อยๆ ปล่อยทิวออกจากอ้อมแขนแล้วพยักหน้าตกลง พอกลับไปนั่งที่เดิมและสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง
"เรื่องมันเกิดในวันเกิดของเราเอง นายคงจำได้ที่เราเชิญเพื่อนๆ มางานวันเกิดของเราที่บ้าน ตอนก่อนจะกลับ เราตั้งใจไว้แล้วว่าเราจะบอกนายว่าเราคิดยังไงกับนาย แต่แม่ก็มาเรียกเราซะก่อน พอทุกคนกลับไป เราก็ถูกแม่เรียกขึ้นไปถามว่า... เรากับนายสนิทกันมากแค่ไหน เราก็ตอบไปว่าสนิทกันมาก แล้วอยู่ดีๆ แม่ก็ขอให้เราเลิกคบกับนายอย่างเด็ดขาด เพราะแม่ไปรู้มาว่า...นายเป็นเกย์ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่รู้ได้ยังไง ตอนแรกเราก็เถียง แต่แม่ก็ยื่นคำขาดมาว่าถ้าเรายังคบกับนายอยู่ก็ไม่ต้องเรียกแม่ว่าแม่"
บูมหยุดเว้นจังหวะพร้อมกับกะพริบตาไล่น้ำตาที่กำลังจะไหลลงมาอีกครั้ง
"วันต่อมา นายคงจำได้ใช่ไหมทิวที่เราบอกกับนายว่าให้เราเลิกคบกัน เราเสียใจมากนะทิว แต่เราก็ขี้ขลาดเกินไป เรามัวแต่กลัวจนลืมไปว่าเราควรทำอะไรบางอย่าง ที่สำคัญ...เราไม่อยากให้นายต้องมาปวดหัวกับครอบครัวของเราที่ไม่เหมือนคนอื่น นายก็คงรู้ว่าพ่อกับแม่ของเราคาดหวังกับเรามากแค่ไหน เราไม่อยากให้ใครต้องมาเจอชีวิตที่กดดันเหมือนที่เราเจอ แล้ว...วันสุดท้ายที่โรงเรียน ตอนแรกเรายอมรับว่าเราหลบหน้านายเพราะเราละอายใจตัวเอง แต่พอรู้ว่าจะต้องจากไปเราก็วิ่งตามหานาย เราเจอต้อง เราบอกให้ต้องช่วยตามหา แต่แม่ก็มาเสียก่อน เราก็เลยต้องไป ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร่ำลากับนายแม้แต่คำเดียว หน้าก็ไม่ได้เห็น เราเสียใจนะทิว เสียใจมาก..."
บูมหยุดร้องไห้สักพักแล้วก็เล่าต่อ
"เราแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนเลยในปีแรกที่ไปเรียนที่อเมริกา ผลการเรียนก็ย่ำแย่มาก ใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะผ่านมาได้ เราอยากติดต่อนายนะทิว แต่เราก็ละอายใจที่เราเป็นคนขี้ขลาด เราคิดว่าเราไม่คู่ควรกับนาย นายควรจะได้เจอคนอื่นๆ ที่ดีกว่าเรา พอคิดแบบนั้น มันทำให้เราไม่กล้าติดต่อมาหานายเลย แม้กระทั่งเวลาที่เรากลับบ้าน เราก็ไม่ได้มาหาหรือโทรมาหานาย แต่ถ้าถามว่าคิดถึงนายไหม เราก็บอกได้ว่าเราคิดถึงนายมาก เราไม่เคยลืมนายเลยนะทิว บางวันที่คิดถึงมากก็ได้แต่เอารูปมาดู ฟังเพลงที่เราเคยร้องด้วยกัน แล้วก็...ฟังเพลงนั้นที่นายให้เป็นของขวัญวันเกิดเรา เราฟังบ่อยมากเวลาที่นึกถึงนายขึ้นมา"
บูมหยุดสังเกตสีหน้าของทิวแล้วก็พูดต่อ
"พออยู่ที่นั่นเราก็มีอิสระมากขึ้น หลังๆ พ่อแม่ก็เริ่มเข้มงวดกับเราน้อยลง แต่เรื่อง...ผู้หญิงคนนั้นที่นายได้เจอเมื่อวานก่อน เขาเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อ อายุเท่าๆ กับเรา ไปเรียนเมืองนอกพร้อมๆ กับเรา เรียนที่เดียวกัน พ่ออยากให้เราเป็นแฟนกันก็เลย...ทำให้เรากับแพรวคบกันมาจนถึงทุกวันนี้ เราหมั้นกันแล้วล่ะ แล้วครอบครัวของเราก็อยากให้เราแต่งงานกันภายในปีสองปีนี้"
บูมสบตากับทิว เห็นสายตาที่มีคำถามของทิวแล้วบูมก็พูดอะไรไม่ออก จุดเริ่มต้นของความยุ่งยากคงจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่ตัดสินใจกลับมาหาทิวและมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
ทิวได้ฟังแล้วก็อดจะตกใจไม่ได้ นี่ทิวมีความสัมพันธ์กับคนที่มีเจ้าของไปแล้วหรือ แค่คิดก็รู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวงที่ทิวกำลังทำผิดบาปกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่
"บูม...นี่เราสองคนกำลัง...กำลังทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยอยู่หรือเปล่า"
บูมดูจะไม่ตกใจมากนักที่ได้ยินคำถามนี้เพราะรู้ว่าทิวคงจะถามอย่างแน่นอน ใช่...ทิวได้เดินเข้ามาสู่ดินแดนรักต้องห้ามกับบูมแล้ว
"เราสองคนรักกันใช่ไหมทิว" ไม่ตอบแต่กลับถามกลับไป
ทิวครุ่นคิด มันก็ใช่อยู่หรอกที่ทิวกับบูมรักกัน แต่มันไม่ถูกต้องเลยที่ต้องทำอย่างนี้
"ทิว...ชีวิตเราถูกบังคับมาตลอด มีเส้นทางให้เดิน แม้กระทั่งหัวใจของเราก็มีเส้นทางที่คนขีดไว้ให้เดิน เรามีแค่สองทางเลือกเท่านั้นนะทิวตอนนี้ ทางเลือกแรก...เดินไปตามเส้นทางที่พ่อกับแม่ขีดไว้ให้ จะรักหรือไม่รักก็ต้องทำตาม ส่วนทางเลือกที่สอง...เดินไปตามหัวใจตัวเอง เราแค่อยากจะถามนาย...ถ้าเราสองคนรักกัน...นายพร้อมจะเดินไปตามหัวใจของเราสองคนหรือเปล่าทิว มันไม่ถูกหรอก มันอาจจะทำให้ใครบางคนที่ไม่รู้เรื่องต้องมาเสียใจ แต่เราก็ต้องทำไม่ใช่เหรอทิว...ถ้าเราสองคนรักกัน อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พอเรากลับมาหานายอีกครั้ง เราก็ได้คำตอบกับตัวเองแล้วนะทิวว่าเรา...อยากเดินตามหัวใจตัวเองบ้าง ถ้ามันจะผิดเราก็คงต้องยอมให้มันผิด แต่เราก็จะพยายามแก้ปัญหาอย่างดีที่สุด อุปสรรคมันเยอะนะทิว ถ้านายกลัว...เราก็ไม่ว่าอะไรถ้านายจะไม่ไปกับเรา เราเข้าใจนายนะทิว นายคงจำได้ว่าชีวิตเราเคยมีปัญหามากขนาดไหนตอนที่เรียนอยู่ มีไม่กี่คนหรอกที่จะยอมเป็นเพื่อนหรือแฟนกับคนเจ้าปัญหาอย่างเรา ตอนนั้นก็มีแต่นายเท่านั้นที่ยอมคบเป็นเพื่อนกับคนเจ้าปัญหาอย่างเรา ตอนนี้ล่ะทิว นายคิดจะเดินทางตามหัวใจไปกับคนเจ้าปัญหาอย่างเราหรือเปล่า นายจะไปกับเราหรือเปล่าทิว"
!!!???
TBC