♥♥♥ รัก...ที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต (Re-written Version)
CHAPTER 12 ✦ ทิวเป็นอะไร
ใจหนึ่งทิวก็รู้สึกดีใจลึกๆ ที่เพื่อนเลิกกับแฟน แม้จะรู้ว่าเป็นการคิดที่นิสัยไม่ดีไปหน่อย แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารเพื่อนที่คบกับแฟนได้ไม่นานก็ต้องมาเลิกกัน แต่ไม่รู้สิ ทำไมทิวถึงรู้สึกว่าบูมไม่ได้แสดงอาการเสียใจมากอย่างที่คนทั่วๆ ไปน่าจะเป็นเวลาที่อกหักเลย
ก่อนจะคุยกันยาว ทิวพาบูมมานั่งที่โต๊ะนั่งเล่นหน้าบ้าน แล้วบูมจึงค่อยๆ เล่าให้ทิวฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจนเป็นสาเหตุให้ทั้งคู่ต้องเลิกกันอย่างคาดไม่ถึง
ทิวได้ฟังแล้วก็ถึงบางอ้อ ตอนแรกคิดว่าบูมคงโมโหแล้วก็เลยขอเลิก แต่กลับกลายเป็นแป๋มที่ขอเลิกกับบูมเสียก่อนเพราะบูมทำให้เธอขายหน้าในที่สาธารณะนั่นเอง
"นายเสียใจหรือเปล่าที่...มันเป็นแบบนี้"
ทิวถามพลางคอยลอบสังเกตอาการของเพื่อน ก็ดูเหมือนจะไม่เสียใจอะไรมากเท่าไหร่ น่าแปลกจริงๆ ด้วย
บูมถอนหายใจ สีหน้าเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
"เราไม่รู้...ก็คงเสียใจมั้ง"
แปลก...ก็คงเสียใจมั้ง แสดงว่าบูมไม่แน่ใจอย่างนั้นหรือว่าเสียใจหรือเปล่า
"อืม...แล้วนายอยากจะไปปรับความเข้าใจกับน้องเค้าหรือเปล่าล่ะ"
แม้จะบอกไปอย่างนั้น แต่แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ทิวจะบอกให้คนที่ตัวเองแอบรักไปคืนดีกับแฟน
"นายคิดว่ายังไง"
"นายรักเขาหรือเปล่าล่ะ"
คำถามนี้ทำให้บูมสะดุดคิด รักน่ะหรือ...แล้วรักมันคืออะไรล่ะ ห่วงใย คิดถึงและคอยดูแลกัน หวังดีต่อกัน จริงใจให้กันหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้น...คนที่บูมควรจะรู้สึกแบบนั้นด้วยคงไม่ใช่แป๋มแล้วล่ะ
"คง...ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง เรากับแป๋มคบกันได้แค่ไม่กี่เดือนเอง คงยังไม่ถึงกับรักกันมากหรอก ว่าแต่...นายกำลังจะบอกอะไรเราหรือเปล่าล่ะทิว"
"ก็ถ้านายยังรักแป๋มอยู่ นายก็น่าจะไปขอโทษแป๋ม แล้วก็...คืนดีกัน"
ทิวพยายามพูดให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด เหมือนกับไม่รู้สึกอะไรเลยทั้งที่ในใจนั้นเจ็บอยู่ลึกๆ การแอบรักเพื่อนนั้นช่างทรมานเหลือเกิน บางครั้งก็อยากจะพูดความในใจให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่อีกใจก็กลัวว่าเพื่อนจะรับไม่ได้
ใช่...ไม่มีใครรู้เลยว่าทิวเป็นอะไร นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เรื่องทุกอย่างดูยิ่งยากเข้าไปใหญ่
"นายอยากให้เราทำแบบนั้นหรือเปล่า" บูมถามกลับ
ทิวนิ่งเงียบไปสักพัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่เข้าใจคำถามหรือเป็นเพราะไม่กล้าตอบตามความเป็นจริง
"ก็...ถ้านายยังรักหรือชอบแป๋มอยู่ นายก็ควรจะทำนะ" ทิวพูดเสียงเบาลง ชักไม่มั่นใจว่าสีหน้าและน้ำเสียงแสดงพิรุธบ้างหรือไม่
"อันนี้เรารู้แล้ว เราได้คำตอบแล้วล่ะว่าเราจะทำยังไง แต่ที่เราถามนายเมื่อกี้น่ะ เราไม่ได้ถามว่าเราควรทำยังไง แต่เราถามความรู้สึกของนายว่านายน่ะ...อยากให้เราคืนดีกับแป๋มหรือเปล่า"
ดูเหมือนทิวงงๆ กับคำถามอยู่ บูมจึงต้องถามย้ำอีกครั้ง
"คือว่า...นายจะรู้สึกโอเคไหมถ้าเราจะไปขอคืนดีกับแป๋ม ถ้าเราทำอย่างงั้น นายโอเคไหม นายอยากให้เราทำอย่างนั้นหรือเปล่าทิว"
"นายหมายความว่าไง"
ทิวถามเสียงแหบพร่า หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ นี่บูมกำลังสงสัยอะไรอยู่หรือเปล่าถึงได้ถามแปลกๆ หรือว่าทิวฟังคำถามผิดกันแน่
"ทำไมต้องถามเราล่ะ ถ้านายยังรักเขาอยู่ นายก็..."
ทิวหยุดไว้แค่นั้นเพราะไม่แน่ใจว่ามันเป็นคำตอบของสิ่งที่ถูกถามหรือเปล่า
"ทิว...เอาเป็นว่า...เราจะไปขอโทษน้องแป๋มละกัน แต่...เราไม่รู้ว่าเราจะกลับมาคืนดีกันได้หรือเปล่านะ เราบอกตรงๆ ว่าเราก็เสียความรู้สึกดีๆ ไปเยอะเหมือนกัน"
บูมหยุดเว้นจังหวะ มองหน้าเพื่อนด้วยแววตามีความหมายบางอย่าง เพราะสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้สำคัญทีเดียว
"นายรู้ไหมว่า...จริงๆ แล้วความรักสำหรับเรา ไม่ใช่แค่การเป็นแฟนกัน หรือไปกินข้าวเดินเที่ยวด้วยกัน คนที่เราจะรัก...ต้องดีกับเรา จริงใจกับเรา คอยช่วยเหลือกัน อยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้กำลังใจกัน เป็นห่วงกัน คิดถึงกัน เวลาคุยกันหรืออยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ นายรู้ไหมว่า...คนที่ดีกับเราแบบนั้น มีอยู่ไม่กี่คนหรอกในโลกนี้หรอก"
ระหว่างที่เพื่อนพูด ทิวก็เกิดอาการร้อนวูบวาบที่ใบหน้า นี่บูมกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่นะ บูมกำลังพูดถึงทิวอยู่หรือเปล่าหรือแค่จะบอกว่าความรักทั่วๆ ไปเป็นอย่างนี้ อย่าดีกว่า...อย่าไปตีความเข้าข้างตัวเองแบบนั้นเลย ถ้าไม่ใช่ขึ้นมาก็จะเจ็บหัวใจอีก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมบูมพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำและมองหน้าทิวตลอดเวลาที่พูดเลย
"เราคิดว่า...เราอาจจะได้เจอคนนั้นแล้วนะทิว"
หัวใจทิวแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ บูมได้เจอคนนั้นแล้ว ใคร...คนนั้นเป็นใครกัน
"แต่...เราขอเวลาอีกหน่อย ถ้าเรามั่นใจเมื่อไหร่ เราจะบอกนายเป็นคนแรกเลย...ดีไหมทิว" บูมถามพลางยิ้มมีเลศนัย
ทิวได้แต่พยักหน้ารับรู้เพราะรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าจนเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมาได้ในเวลานี้ ถ้าพูดแล้วน้ำเสียงคงดูไม่เป็นปกติอย่างแน่นอน
"เราหิวข้าวน่ะทิว ที่ปากซอยจะมีอะไรกินไหมตอนนี้"
บูมเปลี่ยนเรื่องทันทีทันใดจนอีกคนแทบตามไม่ทัน สีหน้าของบูมตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เหลือความเศร้าสร้อยใดๆ ปรากฏให้เห็นอยู่เลย
ทิวยังคงนั่งเหม่อเหมือนคิดอะไรบางอย่าง แต่สักพักก็นึกได้ว่าเพื่อนกำลังรอคำตอบอยู่
"อ๋อ...มีสิ มีหลายอย่างเลย ไปตลาดโชคชัยสี่กันไหม มีของกินเยอะเลยนะ"
"ไปสิ เราได้ยินชื่อเสียงมานานละว่ามีแต่ของอร่อยๆ" บูมเห็นดีด้วย
ทิวเดินไปเปิดประตูบ้าน แล้วก็ถอยมอเตอร์ไซค์คันเล็กคันหนึ่งออกมาจากมุมกำแพง มอเตอร์ไซค์คันนี้แม่ซื้อไว้ให้ขี่ออกไปซื้อของที่ปากซอยหรือใกล้ๆ แถวนี้ บูมดูจะตื่นเต้นทีเดียวเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยนั่งรถมอเตอร์ไซค์เลย
"เราไม่เคยนั่งมอไซค์เลยทิว มันจะอันตรายหรือเปล่า เรากลัวตกน่ะ"
"ไม่หรอก ถ้านายกลัวตกก็..."
เอ...จะใช้คำว่าอะไรดี ให้กอดแน่นๆ งั้นเหรอ คงไม่ดีมั้ง ทิวเกาหัวแกรกๆ แล้วก็หัวเราะเหมือนไม่รู้กับจะบอกว่ายังไง
"ก็อะไร" บูมเลิกคิ้ว
"จับเอวเราแน่นๆ ละกัน" ในที่สุดก็เจอคำที่ฟังดีขึ้นมาหน่อย เกือบไปแล้วไหมล่ะทิว
บูมพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ด้วยเมื่อนั่งมอเตอร์ไซค์ออกไปกับทิว บูมไม่ใช่แค่จับแน่นๆ เท่านั้น แต่มันกลายเป็นกอดเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าบูมจงใจที่จะกอดหรือเป็นเพราะกลัว แต่ทิวก็รู้สึกดีชะมัดเลย แล้วก็พาลนึกถึงที่บูมพูดเมื่อสักครู่นี้ บูมหมายถึงใครกันหนอ หมายถึงทิวหรือเปล่า...
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน บูมก็ไม่สบายหนักเพราะเป็นไข้เลือดออก น่าจะเป็นเพราะถูกยุงกัดตอนที่มานั่งรอทิวที่หน้าบ้าน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไข้เลือดออกกำลังระบาดเสียด้วย ช่วงที่เป็นใหม่ๆ นั้นบูมอาการหนักมากจนถึงกับเพ้อ เล่นเอาทิวไม่เป็นอันเรียนหนังสือหรือซ้อมเพลงกับวงเลย เลิกเรียนก็จะออกไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลทันที บางทีเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็ไปด้วย วันเสาร์อาทิตย์ทิวก็อยากจะอยู่เฝ้าเพื่อนบ้าง แต่เห็นสายตาแม่ของบูมแล้วทิวกับเพื่อนๆ ก็รู้สึกหวาดๆ แต่ถึงกระนั้น ความห่วงใยของทิวที่มีให้กับเพื่อน ทำให้บูมเริ่มมั่นใจกับอะไรบางอย่างมากขึ้น
ที่น่าเสียดายก็คือ บูมพลาดโอกาศที่จะได้ไปร่วมแข่งประกวดวงดนตรีชิงแชมป์เยาวชนแห่งประเทศไทยเพราะฟื้นตัวไม่ทัน และไม่ได้ไปซ้อมหลายวัน จึงมีแค่ทิวคนเดียวที่เป็นนักร้องนำ
ในวันแข่งขัน บูมกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนหลายคนไปให้กำลังใจด้วย แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงที่บูมไม่สบายทำให้ทิวไม่ค่อยมีสมาธิซ้อม บวกกับที่รู้สึกไม่ดีที่เพื่อนไม่ได้มาร้องเพลงบนเวทีด้วย ทำให้วงซีนิธได้เพียงรางวัลชมเชยมาเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้ทุกคนดีใจมากแล้ว
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
การเรียนในชั้น ม.5 ผ่านไปด้วยดี เกรดเฉลี่ยของบูมตกลงมาเล็กน้อยที่ 3.8 ก็ยังนับว่าน่าพอใจสำหรับพ่อกับแม่อยู่ จริงๆ ก็เกือบจะได้น้อยกว่านั้นแล้วล่ะเพราะว่าช่วงที่บูมมีแฟนไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเลย แถมยังต้องมาป่วยอีก แต่บูมก็มาเร่งทบทวนในช่วงหลังๆ จนตีตื้นขึ้นมาได้ รู้สึกโล่งใจมากทีเดียว ไม่อย่างงั้นก็อาจจะโดนบังคับย้ายโรงเรียนอีก
ความสัมพันธ์ของบูมกับทิวทวีความแน่นแฟ้นมากขึ้น เพราะนอกจากจะเจอกันที่โรงเรียนแล้วก็จะคอยติดต่อกันทางโทรศัพท์ตลอด กลับบ้านก็จะโทรไปถามว่าถึงบ้านหรือยัง วันหยุดหรือปิดเทอมก็จะโทรหาไม่ได้ขาด มีเวลาว่างๆ ก็จะนัดกลุ่มเพื่อนๆ ไปหาอะไรอร่อยๆ กินหรือไม่ก็ทำกิจกรรมด้วยกัน มีเวลาก็นัดเจอกันสองคนบ่อยๆ ที่สำคัญ บูมชอบมาที่บ้านของทิวจนแทบจะกลายเป็นลูกชายคนที่สองของบ้านทิวไปแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เสมอต้นเสมอปลาย จนบูมรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นก็คงจะได้บอกไปแล้วล่ะ
"บูม" เสียงใครคนหนึ่งเรียกดังมาจากข้างหลังเบาๆ ไม่เท่านั้น ยังเอานิ้วมาสะกิดที่หลังด้วย
บูมหันไปมองอย่างสงสัย พอเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้ม "อ้าว จิ๋ว"
จิ๋วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ พร้อมกับวางสมุดกับหนังสือเรียนลงบนโต๊ะ
"บูมกินข้าวหรือยัง"
จิ๋วเป็นนักเรียนชั้น ม.6/2 ที่บูมก็รู้จักคุ้นเคยกันพอสมควรเพราะมักจะเจอกันในโรงเรียนบ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้สนิทกันมาก
"กินแล้ว จิ๋วล่ะ"
จิ๋วพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
"มีอะไรจะให้บูมช่วยหน่อย พอดีเราทำไม่ได้จริงๆ ถามเพื่อนในห้องแล้วมันก็ไม่มีใครรู้ ก็เลยว่าจะมาอาศัยคนเก่งจากห้องหนึ่งซะหน่อย บูมพอจะช่วยอธิบายเราหน่อยได้ปะ วิชาเคมี"
"อ๋อ...ได้สิ จะให้เราช่วยตรงไหน"
บูมอาสาอย่างกระตือรืนร้นเพราะไม่ใช่คนหวงวิชา ถ้าใครถามก็จะช่วยสอนให้เสมอ โดยเฉพาะทิว ตั้งแต่ได้รู้จักบูม คะแนนเฉลี่ยของทิวก็เพิ่มขึ้นมากทีเดียว
จิ๋วเปิดหนังสือให้บูมดูแล้วก็ชี้
"นี่ไง พันธะโควาเลนซ์อะไรสักอย่างเนี่ย จิ๋วไม่รู้ว่าจะดูยังไงถึงจะรู้ว่าอะตอมไหนมีพันธะโควาเลนซ์แบบไหน กี่อัน..."
บูมนั่งฟังจิ๋วอย่างตั้งใจและพยายามอธิบายอย่างสุดความสามารถ ทำให้จิ๋วประทับใจมากทีเดียว บูมไม่รู้ตัวหรอกและไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเข้ามาของจิ๋วจะทำให้เกิดความยุ่งยากกับชีวิตมากขึ้น
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จิ๋วก็คอยมาตีสนิทกับบูมอยู่เรื่อยๆ บางทีก็มากินข้าวกลางวันด้วยทั้งที่อยู่คนละห้อง บางทีก็จะเจอจิ๋วกับบูมอยู่ในห้องสมุด บางวันจิ๋วก็มาชวนไปเที่ยวหลังเลิกเรียน
มีอยู่วันหนึ่งที่ทิวแสดงอาการน้อยใจออกมาอีกครั้งจนได้เมื่อจิ๋วมานั่งกินข้าวกับบูมตอนเที่ยง ทิวลุกหนีโดยไม่บอกไม่กล่าว จนเพื่อนๆ ในห้องสงสัยกันใหญ่ คนที่สงสัยมากกว่าใครนั้นก็คือต้อง นอกจากบูมแล้ว ทิวก็สนิทกับต้องเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ต้องได้คุยสิ่งที่ได้สังเกตเห็นกับอุ้ยและมัสมั่นด้วย ส่วนคนอื่นๆ ต้องยังไม่กล้าคุยด้วยมากนักเพราะกลัวความลับแตก
จนกระทั่งคิดว่ามั่นใจกับสิ่งที่ได้เห็นมากพอแล้ว ต้อง อุ้ยและมัสมั่นจึงนัดทิวให้มาคุยที่หลังโรงเรียนในตอนเที่ยงของวันหนึ่ง
"มีอะไรวะ ทำลับๆ ล่อๆ น่ากลัวเชียวพวกมึง แล้วทำไมต้องมาคุยกันแค่นี้ ทำไมไม่ให้คนอื่นๆ มาคุยด้วยวะ"
ทิวสงสัยไม่น้อยที่จู่ๆ สามคนนี้ก็มากระซิบกระซาบขอคุยกับด้วยราวกับมีลับลมคมในที่สำคัญมาก
"ก็เพราะมันลับน่ะสิวะถึงได้เรียกมึงมาคุยแค่คนเดียว นั่งลงเร็ว อย่าชักช้า"
ต้องบอกพลางฉุดมือทิวให้รีบนั่งลง
"มีอะไรก็ว่ามา เดี๋ยวบ่ายนี้กูต้องไปสอนร้องเพลงที่ชมรม"
ตอนนี้ทิวกับบูมไม่ได้เป็นนักร้องนำของวง Zenith แล้วเพราะต้องการให้น้องใหม่ขึ้นมาทำแทน อีกอย่าง พี่ๆ ที่สนิทกันในวงก็จบกันไปหมดแล้ว ทิวกับบูมจึงปล่อยให้น้องๆ ที่เก่งดนตรีคนอื่นๆ ได้ฟอร์มทีมกันขึ้นมาสานต่องานที่ได้ทำไว้ แต่ก็ยังอยู่ช่วยในชมรมดนตรีอยู่
"เออ ไม่ต้องห่วง กูไม่ทำให้มึงเสียเวลาหรอก แต่มึงเตรียมใจไว้ให้ดีก็แล้วกัน แล้วก็ขอให้มึงพูดความจริงด้วย"
ต้องกำชับ ทำให้ทิวชักหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
"เออ กูเคยโกหกพวกมึงหรือไงวะ" ทิวพูดอย่างมั่นใจ เพราะไม่เคยโกหกเพื่อนเลยจริงๆ
"มึงงอนไอ้บูมอยู่ใช่หรือเปล่า"
เปรี้ยง!!!!
คำถามแรกจากต้องก็เล่นเอาทิวถึงกับสะดุ้งราวกับถูกฟ้าผ่าเลยทีเดียว แสดงว่าพวกนี้มันต้องสงสัยเรื่องนั้นแน่ๆ แต่จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้ทิวก็งอนบูมบ่อยจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ไม่ใช่การงอนอย่างโจ่งแจ้งอะไรหรอก แค่หลบหน้าหลบตาและไม่ค่อยคุยกันเท่านั้นเอง
"อย่าโกหกนะเว้ย สัญญาแล้ว" อุ้ยสำทับ
ทิวถึงกับต้องกลืนน้ำลาย ถูกล้อมไว้เสียขนาดนี้ก็คงต้องจนตรอกเป็นแน่
"อืม" ทิวรับคำสั้นๆ
"ทำไมถึงงอนล่ะ มึงชอบมันหรือเปล่า" ต้องถามต่อ
เปรี้ยง!!! เปรี้ยง!!! เปรี้ยง!!!
ฟ้าผ่าอย่างหนักเลยล่ะคราวนี้ ทิวมองหน้าเพื่อนทั้งสามคนสลับไปมา พอเห็นทุกคนจ้องมองและรอคอยคำตอบอยู่ก็ยิ่งเครียด สักพักทิวก็ก้มหน้าลงพร้อมกับพยักหน้า เอาล่ะสิ น้ำตามันจะไหลอีกแล้ว อย่าเพิ่งมาร้องให้ตอนนี้นะเว้ยไอ้ทิว
"กูว่าแล้ว" ต้องมองหน้าเพื่อนอย่างเห็นใจ
"พวกกูเห็นมึงกับไอ้บูมทำตัวแปลกๆ กันก็เลยสงสัย ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง แล้วไอ้บูมมันรู้หรือยัง"
ทิวส่ายหน้า
"นานหรือยังวะ กูหมายถึง...มึงชอบไอ้บูมมานานหรือยัง"
มัสมั่นถามบ้างหลังจากที่นั่งฟังอยู่นาน
ทิวพยักหน้า "ก็ตั้งแต่รู้จักบูมใหม่ๆ นั่นแหละ"
ทิวเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนๆ น้ำตาเริ่มไหลพราก
"กูเป็นแบบนี้ พวกมึงรังเกียจกูปะวะ"
ดูเหมือนเพื่อนๆ อีกสามคนจะตกใจกันมากทีเดียว ต้องรีบเขยิบมานั่งใกล้ๆ พลางโอบไหล่ทิวไว้
"เฮ้ย คิดอะไรอย่างงั้น พวกกูเป็นเพื่อนมึงมาตั้งแต่อนุบาล จะรังเกียจกันได้ไงวะ มึงจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ มึงก็เป็นเพื่อนพวกกูนะเว้ย อย่าร้องให้ๆ"
ต้องกระชับไหล่ทิวเบาๆ สองสามครั้งพลางปลอบไปด้วย
"คิดมากน่ะไอ้ทิว พวกกูไม่เคยคิดอย่างนั้นหรอก ที่มาถามมึงวันนี้ก็เพราะสงสารมึง อยากช่วยมึง ใช่ไหมไอ้มัสมั่น"
อุ้ยหันไปถามเพื่อนอีกคน
"ใช่ๆๆๆ กูก็ไม่เคยคิดรังเกียจมึงหรอก แต่มึงอย่ามากินพวกกูก็แล้วกัน"
มัสมั่นพูดติดตลกในตอนท้าย
"เดี๋ยวกูเตะกระเด็นไปโน่น ไอ้นี่ มันกำลังเศร้าอยู่ยังจะมีกะจิตกะใจมาล้อเล่นอีก"
ต้องพูดไม่พูดเปล่าแต่ทำท่าจะเตะเพื่อนจริงๆ เสียด้วย มัสมั่นได้แต่หัวเราะแหะๆ และขอโทษ
"แล้วมึงจะทำไง จะบอกไอ้บูมมันหรือเปล่าว่ามึงชอบมัน" ต้องถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทิวรีบส่ายหน้าเกือบจะทันที "ไม่หรอก กูไม่อยากเสียเพื่อนไป"
"เฮ้ย แล้วมึงไม่คิดหรือไงวะว่าบางทีไอ้บูมมันก็อาจจะคิดอย่างเดียวกับมึงก็ได้" อุ้ยพยายามให้กำลังใจ
"ไม่รู้สิ แต่กูคิดว่าไม่ ถ้าบูมคิดอย่างนั้นกับกูจริงๆ คงไม่ไปเกาะแกะกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้อยู่เรื่อยๆ หรอก กูไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ถ้าเกิดมันไม่ใช่ กูก็จะยิ่งแย่นะเว้ย"
ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่ทิวก็ไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่พูดนัก
"เฮ้ย กูดูออกนะเว้ยว่าไอ้บูมมันไม่ได้ชอบจิ๋วหรอก จิ๋วมันเข้ามาหาไอ้บูมเอง มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอ" มัสมั่นรีบบอก
"กูไม่รู้ ถ้ามันเป็นความรักหญิงชายทั่วไปกูก็คงเดาได้ไม่ยากหรอก แต่พอมันเป็นแบบนี้ กูบอกตามตรงว่ากูกลัวว่ะ ถ้าบูมไม่ได้คิดอย่างกู กูอาจจะต้องเสียเพื่อนไปเลยนะเว้ย กูไม่อยากเสี่ยง"
ได้ยินอย่างนั้นแล้วเพื่อนอีกสามคนก็ได้แต่มองหน้ากันเพราะไม่รู้จะเถียงทิวว่าอย่างไร ก็อาจจะจริงของทิวก็ได้ คนที่จะต้องเจ็บมากกว่าใครก็คือทิว ถ้ายังไม่มั่นใจขนาดนั้นก็ไม่ควรไปกดดันทิวให้ต้องรีบร้อนบอกบูมไป
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
บูมรู้สึกหงุดหงิดมากทีเดียวที่ช่วงนี้ทิวทำตัวห่างเหินอีกแลัว คุยด้วยก็เหมือนไม่ค่อยอยากคุย โทรไปหาก็ไม่ค่อยรับ ไม่แน่ใจว่าไม่ว่างหรือเป็นเพราะจงใจที่จะไม่รับกันแน่ แต่ไม่ว่าจะยังไง มันก็ทำให้บูมรู้สึกขัดใจมากพอสมควร
วันนี้ก็เช่นกัน เลิกเรียนแล้วทิวก็หายตัวไปเลย ทั้งๆ ที่นัดกับเพื่อนๆ ในห้องไว้แล้วว่าจะเดินเล่นที่สยามกัน แต่ทิวก็หายไปและไม่ยอมรับโทรศัพท์ ที่ทิวเป็นแบบนี้ก็เพราะตอนหลังจิ๋วขอไปด้วยนั่นเอง พอทิวรู้เข้าก็เลยแอบหนีกลับบ้านไปคนเดียว บูมโทรหาอยู่หลายครั้งก็ไม่ยอมรับสาย พอโทรไปล่าสุดอีกครั้งก็ปิดเครื่องไปแล้ว
พอแยกย้ายกันแล้ว บูมจึงตรงดิ่งไปบ้านทิวทันที ยังไงๆ วันนี้ก็คงต้องคุยกับทิวให้รู้เรื่อง
มาถึงบ้านทิวก็สามทุ่มกว่าแล้ว วันนี้บูมคงต้องยอมกลับบ้านดึก แม้ว่าจะถูกแม่ตำหนิก็คงต้องยอม บูมกดกริ่งหน้าบ้านสองสามครั้ง นานพอสมควรทีเดียวกว่าทิวจะลงมาเปิดประตูให้ในสภาพก้มหน้าก้มตา
"แม่อยู่หรือเปล่า" บูมถาม พยายามจับสีหน้าและความรู้สึกของเพื่อนด้วยความสงสัยปนไม่พอใจ
ทิวพยักหน้า "อาบน้ำอยู่"
"เราขอคุยกับนายหน่อยได้ไหม ไม่นานหรอก"
ทิวพยักหน้า แล้วก็พาบูมขึ้นไปที่ห้องบนชั้นสาม
"นายเป็นอะไรหรือเปล่าทิว ทำไมไม่ไปกับเพื่อนๆ ล่ะวันนี้ ทุกคนถามหานายกันใหญ่เลยรู้ไหม" บูมเริ่มซัก
"พอดีเราไม่ค่อยสบาย" ทิวตอบเสียงเบา พยายามข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
"ไม่สบายเหรอ เป็นอะไร" น้ำเสียงของบูมไม่ได้ฟังดูเป็นห่วงนัก แต่ฟังดูเหมือนสงสัยมากกว่า
"ปวดหัวนิดหน่อย"
บูมถอนหายใจ เห็นอาการของทิวแล้วก็หนักใจเหลือเกิน
"บอกเราตรงๆ ได้ไหมทิวว่านายเป็นอะไร นอกจากปวดหัวแล้วนายยังเป็นอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ทำไมชอบหลบหน้าเรา นายเป็นอะไรกันแน่ทิว"
บูมเดินเข้ามาจับไหล่ทิวทั้งสองข้างไว้เพื่อให้ทิวมองหน้าตรงๆ เพราะทิวคอยแต่หลบตา ทิวดูมีสีหน้าประหม่ามากทีเดียวเมื่อถูกบังคับให้ต้องมองหน้าเพื่อนตรงๆ อย่างนั้น
"มีอะไรหรือเปล่าทิว บอกเราได้หรือเปล่า รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงนาย รู้ไหมว่าเราไม่มีความสุขเลยที่เห็นนายเป็นแบบนี้"
ทิวค่อยๆ สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเพื่อน พอหลุดออกมาได้แล้วก็พูดตอบกลับไปบ้างหลังจากที่เงียบอยู่นาน
"นายเป็นเพื่อนกับเรามาตั้งสามปี แค่นี้นายยังไม่รู้อีกเหรอว่าเราเป็นอะไร"
บูมถึงกับหน้าชาและอึ้งไปกับคำถามนั้น ทิวไม่ชอบการถูกกดดันบีบคั้นแบบนี้เลย เหมือนกับกำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุมอย่างคนไม่มีทางสู้และจะต้องแพ้ แต่ทิวยังไม่อยากแพ้ในตอนนี้ ทิวจะไม่ยอมแพ้และต้องสูญเสียคนที่รักไปอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ทิวกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะยอมแพ้และความอดทนก็จะหมดลงไป
"นายไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเราเป็นอะไร" ทิวถามซ้ำอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มรินไหล
บูมได้แต่นิ่งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ทุกอย่างดูเงียบ เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของบูมก็ดังขึ้น แม่โทรมาตามนั่นเอง
"ครับแม่ ผมกำลังจะกลับครับ"
บูมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหันไปมองหน้าเพื่อนที่ยังคงเงียบงันอยู่เช่นเดิม
"เรากลับก่อนนะ" บอกแล้วบูมก็เดินออกไปจากห้องเสียอย่างนั้น
พอเพื่อนลับตาไปแล้วทิวก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนพร้อมกับร้องให้ นี่บูมไม่รู้จริงๆ หรือนี่ว่าทิวเป็นอะไร ทิวคิดว่าบูมน่าจะรู้บ้าง เรื่องที่บูมพูดในวันนั้นก็ดูเหมือนว่าบูมมีใจให้หรือคิดตรงกัน แต่วันนี้บูมกลับถามเหมือนว่าว่าไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จริงๆ หรือ นี่ดีนะที่ทิวไม่เผลอใจบอกความจริงบางอย่างไป ไม่งั้นทิวอาจจะต้องเสียใจมากกว่านี้ก็เป็นได้
TBC