♥♥♥ รัก...ที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต (Re-written Version)
CHAPTER 17 ✦ เสียงเงียบก่อนความตาย
กลับมาถึงบ้านแล้วทิวก็วิ่งขึ้นไปบนห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะอาบน้ำ เขาใช้มือถูปาก ถูแขน ถูขา ถูเนื้อตัวแรงๆ ราวกับว่าจะให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นที่ถูกคุณเชนสัมผัสหลุดออกไปจากร่างกาย ทิวได้บทเรียนแล้ว ต่อไปนี้เขาจะต้องมีสติมากขึ้น
เพราะความเหงาและการขาดที่พึ่งแท้ๆ ที่พาทิวเตลิดไปไกลถึงขนาดนั้น แต่จะไม่ให้ทิวทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ ชีวิตที่ไม่เหลือใคร ไม่มีใครให้รัก มิหนำซ้ำคนที่เคยรักก็จากไปไกลแสนไกล ทำให้ทิวไม่สามารถอยู่ในสภาพชีวิตอย่างนี้ได้ เชนจึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทิวคว้าเอาไว้ก่อนที่ชีวิตจะดำดิ่งไปมากกว่านี้
เมื่อเชนไม่ใช่ฟางเส้นสุดท้ายเสียแล้วทิวจะเหลืออะไรในชีวิตให้ยึดเหนี่ยวอีกล่ะ ก็คงต้องกลับมาที่บูมเหมือนเดิม แต่ความรักระหว่างทิวกับบูมก็อ่อนแรงลงเหลือเกินแล้ว ไม่รู้ว่าจะพอเป็นความหวังสุดท้ายของทิวไปได้อีกนานแค่ไหน ถ้าความรักนั้นหมดแรงแล้ว ทิวก็คงไม่เหลืออะไรอีกเลยบนโลกใบนี้ และนั่นก็อาจจะหมายถึงชีวิตของทิวด้วย
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ทิวตัดสินใจเลิกไปร้องเพลงที่ร้านของเชนในที่สุด คุณพ่อของเชนดูจะเสียดายมากทีเดียว แต่ทิวก็ยืนยันที่จะลาออกโดยให้เหตุผลว่าร้านอาหารนี้ไกลเกินไป ทำให้ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากในการมาร้องเพลงแต่ละครั้ง ส่วนเหตุผลจริงๆ นั้นทิวคงไม่สามารถบอกได้ ทิวไม่สามารถสู้หน้าเชนได้เลย เห็นทีไรทิวก็รู้สึกหวาดผวาทุกครั้ง
พอเลิกร้องเพลงร้านของเชนก็ทำให้ชีวิตของทิวต้องลำบากมากขึ้น ร้านนี้เป็นร้านเดียวที่ทิวได้ค่าจ้างค่อนข้างมากกว่าที่อื่น รายได้ที่เคยได้ในแต่ละสัปดาห์จึงลดลงไปมากพอสมควร แม้จะเสียดายแค่ไหนแต่ทิวก็ไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องตระเวนหาร้านใหม่ๆ แต่ดูเหมือนคราวนี้โชคจะไม่เข้าข้างเสียเลย ตระเวนหาอยู่หลายวัน หมดเงินค่าเดินทางไปก็ไม่ใช่น้อย แต่ทิวก็ยังไม่ได้ที่ร้องเพลงเพิ่มขึ้นแม้แต่ที่เดียว
พอถึงสิ้นเดือนทิวจึงมีเงินเหลือหลังจากใช้หนี้ไปแล้วแค่สองพันกว่าบาท แน่นอนว่าไม่มีทางพอใช้ ทิวจึงลองปรึกษาเพื่อนนักร้องที่เขารู้จักในร้านแห่งหนึ่งที่ทิวไปเล่นดนตรีและร้องเพลงอยู่ เผื่อว่าจะมีร้านอื่นๆ ที่ทิวจะลองไปเทสต์ดูบ้าง
ทิวจึงมานั่งปรับทุกข์กับเพื่อนร่วมอาชีพคนหนึ่งหลังร้านอาหาร เพื่อนคนนี้ชื่อบอย ทิวรู้จักบอยมาระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าพอไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง
"บอย บอยพอจะรู้จักร้านอาหารที่ไหนอีกไหมที่เขาต้องการนักร้องเพิ่ม"
"ร้อนเงินเหรอ"
บอยถามโดยไม่หันมามองหน้าแต่กดมือถือเหมือนกำลังแช็ทกับใครอยู่ จากกิริยาท่าทางของบอยนั้น ทิวก็พอดูรู้ว่าบอยน่าจะเป็นเกย์ที่น่าจะออกสาวมากทีเดียว ส่วนทิวนั้นถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้หรอก
"ก็นิดหน่อย พอดีเรายกเลิกไปร้องเพลงอีกที่หนึ่งมา มันไกลมาก เดินทางไม่สะดวก ค่าใช้จ่ายก็เยอะ" ทิวรับไปตามตรง
บอยเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วก็ถาม "แล้วอยากได้แบบเยอะๆ เร็วๆ หรือแบบธรรมดาล่ะ"
"มันมีแบบที่ได้เยอะๆ เร็วๆ ด้วยเหรอ" ทิวถามอย่างสงสัย
"ถ้ามีแบบได้เยอะๆ เร็วๆ ก็เอาแบบนี้ก็ได้ บอยรู้จักร้านนั้นใช่ไหม" ทิวถามอย่างตื่นเต้น
"มีสิ ทำแค่ไม่กี่ครั้ง ขี้คร้านทิวจะได้เงินเป็นหมื่นๆ ไม่เหนื่อยอะไรมากด้วย ว่าแต่ทิวจะใจถึงหรือเปล่าเท่านั้นแหละ"
ชักฟังดูแปลกๆ แต่ด้วยความอยากได้เงินมาใช้จ่ายประทังชีวิต ทิวก็เลยอยากรู้ว่ามันมีร้านอาหารที่จะทำให้เขาได้เงินมากอย่างนั้นจริงหรือเปล่า
"ทำไมเหรอ เพลงมันยากหรือเปล่า ให้เราไปลองก่อนก็ได้"
"โอ๊ย มันไม่มีอะไรยากหรอก" บอยทำเสียงคล้ายรำคาญ จริตจะก้านเริ่มออกชัดมากขึ้น
"เพลงก็ไม่ต้องร้องด้วยซ้ำ ใช้แค่ทักษะประจำตัวบางอย่างเท่านั้นแหละ ทักษะแบบนี้ทิวก็มี ไม่ต้องไปฝึกอะไรเพิ่มด้วย"
ยิ่งฟังก็ยิ่งแปลก นี่มันงานอะไรของบอย ทำไม่กี่ครั้งก็ได้เงินเป็นหมื่น แถมไม่ต้องร้องเพลงและไม่ต้องไปฝึกเพิ่มเติม
"บอย บอยบอกเราตรงๆ ได้ไหมว่ามันเป็นงานอะไรกันแน่ เราไม่เข้าใจ"
บอยเห็นท่าทางไร้เดียงสาของทิวแล้วก็หงุดหงิดเล็กน้อยจึงเขยิบเข้ามาใกล้ๆ แล้วกระซิบกระซาบที่ข้างหูของทิว พอทิวได้ฟังแล้วก็ตกใจ
"อะไรนะ งานแบบนั้นเราทำไม่ได้หรอก"
"ก็ตามใจ แต่ถ้าอยากทำก็บอกแล้วกัน เดี๋ยวจะพาไปฝากให้"
บอยตอบอย่างไม่แยแสมากนัก ทิวต้องคิดหนักทีเดียว ไม่ใช่คิดว่าอยากทำหรือไม่อยากทำ คงไม่อยากทำอยู่แล้วล่ะ แต่เขากลัวว่าสุดท้ายถ้ามันไม่มีทางเลือกจริงๆ เขาก็ต้องทำมันจนได้
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
"ต้อง... สงสัยเดือนนี้กูคงต้องขอรบกวนมึงแล้วว่ะ"
ทิวตัดสินใจโทรไปหาต้องที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้ คนอื่นๆ ทิวไม่กล้ารบกวนเลยจริงๆ ตั้งแต่ที่เขาต้องออกจากมหาวิทยาลัย บางทีก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะไปสู้หน้ากับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่ต่างก็ได้ร่ำเรียนและมีชีวิตที่ดีๆ ไม่ต้องตกระกำลำบากเหมือนทิว
"มีอะไรหรือเปล่าทิว" ต้องถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
"เรื่องเงินน่ะต้อง ตอนนี้กูแย่จริงๆ ว่ะ ถ้าพอช่วยได้ เดือนนี้กูคงต้องขอให้มึงช่วยกูหน่อยแล้วล่ะต้อง"
ทิวบอกไปอย่างลำบากใจ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลยในตอนนี้ จะให้เขาไปทำงานอย่างที่บอยแนะนำก็รู้สึกละอายใจจนเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้
"เออๆ มึงรอกูอยู่ที่บ้านนะทิว เดี๋ยวกูจะไปหามึงเดี๋ยวนี้แหละ"
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่บูมจากไป ทิวก็มีต้องนี่แหละที่คอยอยู่เป็นเพื่อนและคอยช่วยเหลือในยามลำบาก ยิ่งตอนที่แม่เพิ่งเสียไปใหม่ๆ นั้น ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนหลายวันเลยทีเดียว
"ทิว...ทีหลังมีเรื่องอะไรแบบนี้อีกให้รีบบอกกูนะเว้ย นี่มึงไม่ได้อดข้าวใช่ไหม"
มาถึงปุ๊บต้องก็รีบต่อว่าเพื่อนทันทีเพราะรู้ว่าทิวเป็นคนขี้เกรงใจ ถ้าปัญหาไม่หนักก็จะไม่ยอมบอกใคร
"ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ดูท่าทางเดือนนี้กูจะสาหัสหน่อยว่ะเพื่อน พอดีกูไม่ได้ไปเล่นอีกร้านหนึ่ง มันไกลมาก ค่าเดินทางมันเยอะก็เลยเลิกไปเล่น แต่รายได้ก็ลดลงไปด้วย ลดไปเยอะเลยว่ะ"
ทิวถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ต้องเห็นแล้วก็ได้แต่สงสาร หน้าตาของทิวดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากทีเดียว ดูผอมลงและมีแววตาเศร้า ต้องไม่เคยเห็นทิวหัวเราะร่าเริงเลยในช่วงหลังๆ มานี้
"อยากให้กูช่วยแค่ไหนล่ะทิว"
"สักสามพันก็แล้วกัน กูก็ไม่อยากรบกวนมึงหรอกนะต้อง กูรู้ว่ามึงต้องเรียนหนังสือ ใช้เงินเยอะ แต่กูก็ไม่รู้จะไปหาใคร ไม่รู้ว่ากูมีเคราะห์กรรมอะไรนักหนาว่ะต้อง"
ความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาชีวิตทวีขึ้นมาอีกแล้ว ทิวพยายามเข้มแข็งมาตลอด แต่ข้างในนั้นอ่อนล้าและสิ้นหวังจนยากที่จะเยียวยา
"เฮ้ยอย่าคิดมากทิว เข้มแข็งหน่อยสิวะ" ต้องพยายามปลอบใจ
"กูไม่รู้ว่าจะเข้มแข็งไปได้อีกแค่ไหนว่ะต้อง กูเหนื่อยกับชีวิตว่ะ กูไม่เหลือใครเลยนะเว้ย กูจะเหนื่อยไปเพื่อใคร กูจะอยู่ไปเพื่อใครวะ"
แล้วทิวก็ร้องให้จนได้
"ไอ้ทิว มึงอย่าอ่อนแอสิวะ กูก็ยังอยู่นะเว้ย ยังไงกูก็ไม่ทิ้งมึงหรอก ยังไงมึงก็เป็นเพื่อนกูนะทิว เข้มแข็งหน่อยสิวะทิว ชีวิตมันต้องมีความหวังบ้าง มึงเชื่อกูสิ"
ต้องพยายามปลอบใจ เขยิบเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วก็โอบไหล่ทิวไว้ ปล่อยให้ทิวร้องให้เพื่อระบายความเครียดและความอัดอั้นตันใจอย่างเต็มที่ ต้องคงจะต้องเลิกพูดถึงปัญหาหรือใช้คำพูดที่มองโลกในแง่ร้ายไปก่อน เพราะนอกจากจะไม่ช่วยปลอบใจแล้วก็ยิ่งจะทำให้ทิวหมดความหวังและอ่อนแอมากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งเรื่องของบูมต้องก็ต้องเลิกพูดหรือแม้กระทั่งเลิกคิดไปเลย ทิวอยู่ในภาวะชีวิตที่วิกฤติอย่างมาก เปราะบางเกินกว่าจะปล่อยให้กระทบกระเทือนใจไปมากกว่านี้
ต้องรอจนกระทั่งทิวค่อยๆ สงบจิตใจลงแล้วจึงค่อยถาม
"ไปกินข้าวกันไหมทิว มึงกับกูไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้วนะเว้ย อ้อ..ว่าแต่มึงต้องไปร้องเพลงคืนนี้หรือเปล่า"
ทิวส่ายหน้า "วันนี้ไม่มี"
"เออดี ไปกินข้าวกันดีกว่านะทิว เดี๋ยวกูเลี้ยงมึงเองวันนี้ มึงอยากกินไรบอกมาได้เลย วันนี้กูเต็มที่" ต้องบอกพลางยิ้ม
ทิวพยายามยิ้มให้เพื่อนเช่นกัน แม้ว่ามันจะไม่ง่ายเลยก็ตาม แต่เห็นเพื่อนดีขนาดนี้แล้วทิวก็พอมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกอ้างว้างจนเกินไป
"ขอบใจนะต้อง ขอบใจที่มึงไม่ทิ้งกูไปอีกคน"
"เออๆ กูไม่ทิ้งมึงหรอก มึงนั่นแหละ อย่าลืมนึกถึงกูละกันเวลามีปัญหาอะไรก็แล้วกัน ไปกินข้าวกันเหอะ กูหิวแล้ว"
ต้องรีบตัดบทเพื่อที่จะให้ทิวหยุดคิดถึงเรื่องที่บั่นทอนจิตใจ ถ้าชีวิตมีปัญหาแล้วยิ่งคิดถึงหรือจมอยู่กับปัญหาก็จะยิ่งทำให้ชีวิตหดหู่และสิ้นหวังมากขึ้น สู้ไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า จะได้ไม่ต้องคิดมากและเลิกฟุ้งซ่านเพราะอยู่กับตัวเองมากเกินไป
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
สิ้นเดือนอีกแล้ว ทิวใช้หนี้ไปหนึ่งหมื่นบาทและมีเงินเหลือติดตัวแค่สองพันกว่าบาทเช่นเคย ไม่พอใช้อีกแล้ว ทิวจะต้องยืมเพื่อนอีกหรือเปล่า เพิ่งยืมไปเมื่อไม่นาน ยังไม่ทันได้ใช้คืนเลยก็จะยืมอีกแล้ว ทิวคงรบกวนต้องอีกไม่ได้ ต้องเรียนหนังสืออยู่ จะเอาเงินที่ไหนมาให้ยืมนักหนา
พอเป็นแบบนี้แล้วทิวก็นึกถึงบอย ทิวเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคนจนตรอกนั้นทำอะไรก็ได้ แม้จะเป็นสิ่งที่ทิวไม่อยากทำเลยก็ตาม ยิ่งต้องการเงินด่วนมากเท่าไหร่ทางเลือกของทิวก็ยิ่งน้อยลงไปทุกที นั่งทำใจอยู่นานเลยทีเดียวจึงตัดสินใจโทรหาบอย ทันที่ที่บอยรู้ว่าทิวต้องการอะไรบอยก็ไม่รอช้า
"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวบอยจัดให้ มาหาเราแถวๆ สีลมละกัน กี่โมงน่ะเหรอ สักทุ่มหนึ่งก็ได้ เออๆ เดี๋ยวจะรอนะ อย่าเบี้ยวล่ะ"
ทิววางสายแล้วก็ยังต้องนั่งทำใจอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจออกจากบ้านไปตามที่นัดหมายกับบอยไว้ พอไปถึงสถานที่นัดหมาย ทิวก็พบว่ามันเป็นบาร์เกย์นี่เอง บอยพาเขาไปรู้จักกับพี่คนหนึ่งชื่อเจ๊เหมียว เป็นกะเทยที่น่าจะแปลงเพศแล้วและน่าจะเป็นเจ้าของบาร์นี้ เจ๊เหมียวดูเหมือนจะพอใจกับรูปร่างหน้าตาของทิวมากทีเดียว พอคุยตกลงรายละเอียดกันแล้ว เจ๊เหมียวก็ให้ทิวเริ่มทำงานในวันรุ่งขึ้นได้เลย
ทิวไม่รู้ว่าคิดดีแล้วหรือยัง แต่ก็ตั้งใจว่าจะทำแค่ไม่กี่ครั้งพอให้ได้เงินมาใช้จ่ายสักหน่อยแล้วก็จะเลิก ก็ไม่รู้ว่าจะง่ายอย่างที่คิดหรือเปล่า งานอย่างนี้เข้ามาแล้วก็อาจจะเลิกไม่ได้ง่ายๆ ก็ได้
วันต่อมาทิวก็เดินทางมาทำงานตามที่นัดหมาย การทำงานเป็นเด็กขายของทิวในวันแรกยังดูเงียบๆ อยู่เพราะเพิ่งมาใหม่และยังไม่มีชื่อเสียงในกลุ่มลูกค้าขาประจำ จนกระทั่งดึกพอสมควรจึงมีลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งอายุสามสิบเศษๆ หน้าตาดีทีเดียวมาเลือกทิวไปเนื่องจากเด็กขายที่ขึ้นชื่อนั้นถูกออฟไปจนหมด ทิวจึงได้ไปกับแขกคนนี้โดยไม่ตั้งใจ ก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือเปล่าที่ทำงานวันแรกก็ได้แขกเลย แต่นั่นก็เท่ากับว่าขาข้างหนึ่งของทิวก้าวเข้ามาในวงการนี้เสียแล้ว เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจไปทิวก็คงเข้ามาเต็มตัวเหมือนคนอื่นๆ
แขกผู้ชายคนนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อธนาธร เขาพาทิวมาที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งด้วยรถส่วนตัว พอมาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ธนาธรตรงเข้ามากอดจูบเพื่อปลุกอารมณ์ทิวทันที
"รู้ไหมว่าเราน่ะ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ถูกใจพี่มากเลย เห็นเจ๊เหมียวบอกว่ายังไม่เคยใช่ไหม"
น้ำเสียงและท่าทางหื่นกระหายนั้นทำให้ทิวถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ท่าทางคืนนี้เขาคงจะไม่รอดแน่ๆ
"ยังครับ" ทิวตอบด้วยน้ำเสียงประหม่า
"ดีล่ะ โชคดีของพี่จริงๆ ที่จะได้เปิดซิงเราเป็นคนแรก" ธนาธรพูดจบแล้วก็ผลักทิวล้มลงไปบนเตียงพร้อมกับขึ้นมาทาบทับตัวทิวไว้
แต่ไม่ว่าธนาธรจะพยายามมากแค่ไหน ทิวก็ไม่มีอารมณ์ร่วมเลยจริงๆ เพราะทิวเพิ่งบอกกับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ว่าจะไม่ให้ใครเข้ามารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้อีกแล้ว แล้วทำไมวันนี้ทิวถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ก็อาจจะจริงที่มันไม่ใช่ความรักเพราะเป็นเพียงการใช้ร่างกายแลกกับเงิน แต่มันก็ทำให้ทิวรู้สึกผิดบาปในใจอย่างมาก แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อทิวต้องการเงิน ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะถูกคุกคามหรือไม่ก็โดนทำร้ายจากเจ้าหนี้คนนั้น
แล้วทิวอยากได้เงินมากถึงขนาดนี้เลยหรือ ความคิดของทิวตีกันไปมาในหัว จนในที่สุดทิวก็ทนไม่ไหวกับความสับสนนั้น
"พี่" ทิวเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง "หยุดก่อนเถอะครับ"
ธนาธรหยุดชะงักเล็กน้อย "มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่ชอบแบบนี้ ชอบแบบรุนแรงเหรอ"
กลายเป็นเรื่องนั้นไปเสียนี่
"ไม่ใช่ครับ ผมไม่อยากทำแบบนี้แล้ว พี่ปล่อยผมไปเถอะครับ"
"นี่น้อง พี่จ่ายเงินไปแล้วนะ คิดจะมาเบี้ยวกันง่ายๆ แบบนี้เหรอ ไม่มีทางเสียหรอก" ธนาธรเริ่มโมโห เขาลุกขึ้นนั่งอย่างไม่สบอารมณ์
"ผมขอร้องนะพี่ อย่าทำผมเลย ผมไม่อยากทำแบบนี้แล้ว" ทิวยกมือไหว้ขอร้องพร้อมกับร้องไห้
ธนาธรดูจะตกใจมากทีเดียว ตั้งแต่ออฟเด็กมาก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย
"ไม่ได้ พี่จ่ายเงินไปแล้วนะน้อง อย่างนี้มันเอาเปรียบกันนี่นา" ธนาธรเริ่มเสียงแข็ง
ทิวหยิบกางเกงที่หล่นอยู่ข้างๆ เตียงมาควานหากระเป๋าสตางค์ พอเจอแล้วเขาก็หยิบเงินสองพันที่เขามีอยู่ติดตัวส่งให้ธนาธร
"ผมมีอยู่แค่นี้พี่ ไม่รู้ว่าพอหรือเปล่า แต่พี่ปล่อยผมไปเถอะครับ นึกว่าสงสารผมเถอะ ผมไม่อยากทำแบบนี้แล้ว" ทิวพูดพลางสะอื้น
ธนาธรรับเงินไปอย่างอารมณ์เสียนิดๆ อาจจะได้คืนไม่เท่ากับที่จ่ายไปหรอก แต่พอเห็นทิวร้องไห้อย่างนี้ก็คงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้วล่ะ
"เออ ไม่ทำอะไรก็ได้ แล้วนี่มีค่ารถกลับบ้านหรือเปล่า"
ทิวพยักหน้า ยังพอมีเงินติดในกระเป๋าอีกประมาณสองร้อย คงพอกลับบ้านได้อยู่
"เอ้า จะไปก็ไปสิ พี่ไม่ทำอะไรแล้ว ซวยจริงๆ เลย อุตส่าห์อดไว้ตั้งหลายวันนึกว่าจะได้มีความสุขซะหน่อย"
ทิวรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็เดินแกมวิ่งออกไปอย่างร้อนรน นั่งมอเตอร์ไซค์ออกไปสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน จากนั้นก็มาลงที่สถานีลาดพร้าวแล้วก็ขึ้นรถเมล์ไปต่ออีกนิด จบท้ายด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาในซอยบ้านที่เขาอยู่
พอเข้ามาในบ้านแล้วทิวก็แหงนมองดูรูปของแม่ที่ติดไว้ข้างฝาบ้าน จากนั้นก็หันไปดูรูปของบูมที่อยู่ตรงมุมคีย์บอร์ด ทิวทรุดตัวลงนั่งแล้วก็ร้องให้ รู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ชีวิตที่ไม่มีใครเลยสักคน ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อใครหรือเพื่ออะไร ทิวไม่เคยคิดถึงความตายเลยจนกระทั่งวันนี้ เมื่อก่อนเขาคิดว่าคนที่ฆ่าตัวตายนั้นเป็นคนโง่และขี้ขลาด แต่วันนี้ ทิวรู้แล้วว่าทำไมคนเหล่านั้นถึงได้คิดสั้น
"แม่...ยกโทษให้ทิวด้วยนะครับที่ทิวไม่เชื่อที่แม่สอน ทิวไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย แต่ทิวไม่ไหวแล้ว ทิวไม่ไหวแล้วครับแม่ ให้ทิวไปอยู่กับแม่นะครับ"
ทิวร้องให้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ วันนี้เขาอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว แต่มันก็คงจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตที่จะอ่อนแออย่างนี้ อีกไม่นานก็คงจะหมดทุกข์โศกและไม่ต้องรับรู้ความเจ็บปวดอีกต่อไป
ทิวค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นเดินแล้วก็ขึ้นไปบนห้อง หยิบน้ำยาล้างห้องน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ นั่งลงแล้วก็เขียนจดหมายร่ำลาถึงใครสักคน เป็นจดหมายถึงบูมนั่นเอง แม้ว่าจะจากโลกนี้ไปแล้วแต่ทิวก็ยังอยากบอกความในใจให้เพื่อนได้รับรู้ นี่คือสิ่งๆ เดียวที่ทำให้ทิวยังมีชีวิตหยัดยืนอยู่ได้จนถึงวันนี้ แต่ทิวก็คงไปต่อไม่ไหวแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่น่าโหยหาและน่าหลงใหลเท่ากับความตายแล้วตอนนี้ ทิวเขียนไปก็ร้องไห้ไป เขียนเสร็จแล้วก็เอาจดหมายใส่ซองไว้ จากนั้นก็เขียนข้อความไว้ที่หน้าซองว่า
"ใครก็ตามที่พบจดหมายฉบับนี้ ขอให้ช่วยนำไปส่งให้นายกรกฤต เทพสถิตย์พิทักษา ที่บ้านเลขที่..."
แล้วทิวก็ฟุบหน้าลงร้องให้กับโต๊ะอย่างหนัก ยิ่งรู้ว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอและบอกความในใจด้วยตัวเองก็ยิ่งเสียใจมากขึ้น
"ขอโทษนะบูมที่เราคงไม่ได้บอกนายด้วยตัวเอง เราไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้กลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้งนะบูม"
ทิวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ตัดสินใจแน่แล้วที่จะลาจากโลกนี้ไป โลกที่เขาไม่เหลือใครเลย ชีวิตอยู่ไปก็คงไม่มีประโยชน์ มีแต่ความทุกข์ทรมานใจ มีแต่ปัญหา มีแต่เคราะห์กรรมที่ไม่จบไม่สิ้น ไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่มากพอแล้วในตอนนี้ที่จะทำให้ทิวเปลี่ยนใจ ทิวเปิดฝาน้ำยาล้างห้องน้ำแล้วก็เทมันลงไปในแก้วจนเกือบเต็ม
ความรักและความหวังเดียวที่ทิวพอจะมีเหลืออยู่ในโลกนี้ก็คือบูม แต่ความรักเมื่อสามปีที่แล้วนั้นก็อยู่ในสภาพรวยรินไม่ต่างจากเจ้าของหัวใจในตอนนี้เพราะขาดคนดูแล ความรักกำลังหมดแรงและคงจะตายไปพร้อมๆ กับทิวอีกไม่ช้านี้แล้วล่ะ คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เราเกิดมาเพื่อรักใครสักคนหรือเป็นที่รักของใครสักคน เมื่อไม่ได้เป็นหนึ่งในสองอย่างนี้แล้วชีวิตก็ไม่มีความหมายใดๆ อีกต่อไป
ทิวยกแก้วมฤตยูขึ้นมาเตรียมจะดื่ม สายตาจับจ้องน้ำสีชมพูที่ดูไร้เดียงสาแต่ทว่าสามารถปลิดชีวิตของใครก็ได้ที่ดื่มมันเข้าไป ทำใจอยู่สักพักทิวก็ค่อยๆ เคลื่อนแก้วใบนั้นเข้ามาใกล้ๆ ปากอย่างช้าๆ ก่อนที่หยดแรกของน้ำมฤตยูนั้นจะเข้าไปในปาก เสียงโทรศัพท์บ้านก็แว่วมาให้ได้ยิน มันคงดังอยู่พักหนึ่งแล้วล่ะ ทิวตัดสินใจวางแก้วนั้นลง คิดอยู่สักพักจึงเดินลงมารับโทรศัพท์ที่ชั้นล่าง
พอมาถึงมันก็เงียบเสียงไปแล้ว แต่สักพักมันก็ดังขึ้นอีก ใครกันหนอที่โทรมาหาทิวตอนนี้ ปกติทิวไม่ได้ให้เบอร์บ้านใครเลย ให้แต่เบอร์โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นคนละเบอร์กับสมัยที่ทิวใช้ตอนเรียนมัธยม เบอร์นั้นทิวไม่ได้ใช้แล้วเพราะเปลี่ยนมาใช้โปรโมชั่นของอีกค่ายที่ถูกกว่า
ทิวรับโทรศัพท์แล้วก็กรอกเสียงลงไป "สวัสดีครับ ทิวพูดครับ"
ถ้าหากทิวมีตาวิเศษที่สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ไกลคนละซีกโลกได้ ก็คงจะได้เห็นแล้วว่าคนที่โทรมานั้น ทันทีที่ได้ยินเสียงของทิว น้ำตาของคนโทรก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่อาจจะเป็นสายสัมพันธ์บางอย่างที่ยังคงส่งถึงกันอยู่เสมอจึงทำให้รับรู้ถึงความไม่ปกติของกันและกันได้ อยู่ดีๆ ก็มีลางสังหรณ์ที่ทำให้รู้สึกระวนกระวายใจจนต้องตัดสินใจโทรมาหา ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง
"..................."
"ฮัลโหล ใครโทรมาครับ จะพูดสายกับใครครับ"
ทิวถามอยู่สองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบใดๆ กลับมา แต่คนที่โทรมาก็ยังไม่ยอมวางสาย ทิวได้ยินเสียงพื้นหลังเป็นเสียงคนคุยกันไกลออกไป อะไรบางอย่างทำให้ทิวคิดไปว่า...
"บูม!!! ใช่บูมหรือเปล่า ใช่นายหรือเปล่าบูม บูม ใช่นายหรือเปล่า นายยังคิดถึงเราอยู่ใช่ไหมบูม ใช่นายหรือเปล่า"
ทิวตะโกนถามซ้ำไปซ้ำมา แต่ก็ไม่เสียงตอบรับอีกเช่นเคย แล้วสายนั้นก็หลุดไปในที่สุด
ทิวทรุดตัวลงนั่งร้องให้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ทิวค่อนข้างมั่นใจว่าบูมโทรมาแน่ๆ เพื่อนคนอื่นๆ ที่มีเบอร์มือถือของทิวคงไม่โทรเข้าเบอร์บ้าน แล้วก็คงไม่เงียบแบบนี้ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีเบอร์บ้านของทิว หนึ่งในนั้นก็คือบูม ต้องใช่บูมแน่ๆ เลย
"บูม...เราคิดถึงนาย นายอยู่ที่ไหน เมื่อไรนายจะกลับมาหาเราซะที..."
ทิวคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร แม้ว่าจะไม่ได้คุยกันแต่อย่างน้อยก็ทำให้ทิวเปลี่ยนใจและล้มเลิกที่จะฆ่าตัวตายไปแล้ว ไม่ว่าชีวิตมันจะยากลำบากสักแค่ไหน ทิวก็ยินดีที่จะเผชิญกับมันเพื่อที่จะได้เจอกับคนที่รอคอยอีกสักครั้ง
เหมือนต้นรักที่กำลังจะตายแล้วก็ได้น้ำที่ชุ่มฉ่ำรดลงไป แม้เพียงไม่กี่หยดก็เพียงพอที่จะให้มันเติบโตและต่อชีวิตไปได้อีกเล็กน้อย ความรักและความหวังสุดท้ายที่กำลังจะหลุดลอยไปคืนกลับมาหาทิวอีกครั้ง การรอคอยเพื่อบอกความในใจกับใครสักคนที่ทิวเคยรักเป็นเพียงแรงจูงใจเดียวที่เหลืออยู่ของทิว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วโลกนี้ก็คงไม่มีความหมายอีกต่อไป แม้จะเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ที่แทบจะไม่เห็นความเป็นไปได้ใดๆ ทิวก็จะขอคว้ามันไว้อีกสักเฮือก
เมื่อยังมีความรัก ทิวก็ยังคงพอมีความหวังอยู่บ้าง
"เราจะรอนายนะบูม ขอแค่ให้เราได้เจอนายสักครั้ง ได้บอกสิ่งที่ค้างคาในหัวใจ หลังจากนั้น...เราก็จะไปจากชีวิตนาย"
TBC