มาแล้วค่ะ ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ
17
บรรยากาศงานสังสรรค์ในเทศกาลปีใหม่ของชาวอินเดียที่โรงแรมแห่งนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานคึกคักจากผู้คนที่มาร่วมงานทั้งคนหนุ่มสาวและเด็กๆ ที่เป็นลูกของพนักงาน ที่แต่คนดูสดใสสวยงามด้วยชุดโดที กูรตะ,ซัลวาร์ กูรตะ และส่าหรีสีสันสดใส ใบหน้าทุกคนยิ้มแย้มมีความสุขโดยต่างก็กินดื่มเต้นรำกันไปพอประมาณ นิธินและเพื่อนๆ ก็เช่นกัน ที่งานนี้เอเจมากับภรรยาที่กำลังตังครรภ์ และวิษณุก็พาแฟนสาวมาร่วมงานด้วย แทนไทเห็นอย่างนั้นจึงแกล้งบ่นน้อยใจตัวเอง
"เฮ้อ งานนี้มีแต่คนมากับแฟนกันทั้งนั้น ชั้นก็เป็นหมาหัวเน่าเลยสิเนี่ย"
"เออ แล้วคุณหมูล่ะ มาแน่ใช่มั๊ย" วิษณุถาม
"มาสิ นี่คงกำลังเดินทาง"
ภรรยาของเอเจได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า
"แฟนคุณนิธินจะมาแน่นะคะ อยากเจอจังเลย เห็นเอเจบอกว่าผิวขาวจั๊วะ"
"ใช่ค่ะ เมย์ก็อยากเห็นเหมือนกัน เพราะวิษณุเล่าให้ฟังว่าพวกคุณเหมาะสมกันมากถึงมากที่สุด"
นิธินจึงหันไปมองเพื่อนๆ นี่แสดงว่าไปโม้ให้ที่บ้านฟังหมดเลยใช่ไหม เขาหันไปมองแทนไท เพราะคิดว่าคงไม่โม้ให้ใครฟังเหมือนสองคนนี้
"เออ เนี่ยความจริงไอ้บอสบอกว่าจะมาด้วยนะ แต่พอชั้นบอกว่าคือคุณหมู มันก็เก็ทล่ะ"
เขามองหน้าทุกคนขำเฝื่อนๆ แสดงว่าเพื่อนๆ ต่างก็ติดตามและรอลุ้นกับความรักของเขาจริงๆ สิเนี่ย
แต่นิธินก็สะดุ้งเมื่อมีโทรศัพท์เข้า เมื่อเห็นว่าเป็นอธิปพงศ์จึงกดรับทันที
"ครับคุณหมู มาถึงรึยัง"
"ตอนนี้อยู่หน้างานแล้วครับ ออกมารับผมหน่อย"
"ครับ"
เมื่อนิธินวางสายวิษณุก็ถามทันที
"ว่าไงวะ"
"ตอนนี้อยู่หน้างานแล้ว เดี๋ยวชั้นไปรับแฟนก่อนนะ"
"เออๆ รีบไป อิอิอิ"
นิธินเดินออกไปรับอธิปพงศ์ที่หน้างาน แต่พอเขาเห็นอธิปพงศ์ในเสื้อผ้าแบบอินเดีย ทำให้ชายหนุ่มตาค้างด้วยความประหลาดใจ
"ว้าวว!" เขามองดูคนรักที่ตอนนี้อยู่ในชุดกูรตะ เสื้อตัวยาวสีขาวและกางเกงผ้าเข้ารูปแบบอินเดียสีกรมท่า ถึงแม้จะเป็นแค่แบบธรรมดาที่ไร้รายละเอียดใดๆ แต่ก็ดูดีมากในสายตาของเขา
"โซ คูล"
เขายกนิ้วให้คนรักที่มองเขาด้วยสายตาที่ชื่นชมเช่นกัน ร่างบึกบึนนั้นดูสง่างามเหมือนเจ้าชายในนิทานเมื่ออยู่ในชุดโดทีกูรตะ นิธินสวมเสื้อตัวยาวสีดำและนุ่งผ้าสีน้ำตาลกาแฟแบบอินเดียแท้ๆ โดยมีผ้าสีน้ำตาลคล้องคออีกเช่นกัน อธิปพงศ์คิดว่าคนรักดูหล่อมากจนเขารู้สึกเขินที่ต้องมองอีกรอบ
"คุณหมู เป็นอะไรครับ" นิธินเห็นคนรักหลบหน้าเลยถาม
"ไม่มีอะไรครับ ไปเถอะ"
"ครับ"
นิธินจูงมืออธิปพงศ์เข้างานทันที เมื่อผ่านประตูเข้าไปอธิปพงศ์ก็สัมผัสบรรยากาศสนุกสนานรื่นเริงที่ไม่ต่างจากหนังอินเดียที่เคยดู แต่ความเป็นอินเดียที่เขาสัมผัสได้มากกว่านั้นคือเสียงเพลงอินเดียที่เปิดคลอในงาน กลิ่นเครื่องเทศเตะจมูกจากอาหารที่จัดเลี้ยง เขามองไปรอบๆ สำรวจโลกใบใหม่ที่เพิ่งพบเจอ ก่อนที่นิธินจะพาเขาไปหาเพื่อนๆ ที่รออยู่ในมุมหนึ่งของงาน
เพื่อนๆ นิธินมองดูอธิปพงศ์ที่วันนี้แปลกตาแต่ดูดีในเสื้อผ้าแบบอินเดียอย่างตื่นเต้นทุกคนยิ้มให้คนรักของเพื่อนอย่างเป็นมิตร อธิปพงศ์ก็ยิ้มตอบแบบมีไมตรีเช่นกัน
"สวัสดีครับ" อธิปพงศ์เอ่ยปากทักทายทุกคน
"สวัสดีครับ คุณหมู" วิษณุตอบรับ
"พบกันอีกแล้วนะครับ"
"ครับ ยินดีครับ"
เอเจเลยบอกว่า
"ต่อไปนี้เราคงจะได้พบกันบ่อยขึ้น ใช่มั๊ยนิธิน"
นิธินยิ้มเขินๆ เมื่อถูกเพื่อนแซว แต่มองดูไม่เห็นบรรดาแฟนเพื่อน นิธินจึงหันไปถามเอเจ
"แล้วชะเอมกับเมย์ล่ะไปไหน"
"เห็นว่าไปห้องน้ำหน่ะ แต่ชั้นว่าคงไปหาอะไรกินกันต่อมากกว่าว่ะ ช่วงนี้เค้ากินเก่ง ป่านนี้คงหาที่นั่งกินกันสองคนแล้ว"
"อืม ฮ่ะๆๆ"
นิธินจึงบอกกับคนรักว่า
"คุณหมูครับ ไปหาอะไรทานกันก่อน ดีมั๊ยครับ"
"ครับ"
คนทั้งสองเดินมายังส่วนที่จัดเลี้ยงแบบบุปเฟ่ต์อาหารอินเดียที่มีทั้งของว่างกินเล่นอย่าง ซาโมซ่า ปูรี(แป้งทอดข้างในกลวงๆ กรอบ ๆ กินกับน้ำจิ้ม)และ ปาปัด(แป้งกรอบคล้าย ๆ ข้าวเกรียบ) อาหารจานหลักอย่างโรตีที่มีทั้งเปล่า ๆกับใส้ถั่วกวนรสหวานสไตล์รัฐคุชราช เมนูข้าวอย่างข้าวหมกไก่แบบฮินดูและข้าวสวยที่หุงด้วยยี่หร่า แกงชีส (ปะนีร์),ชีสผัดผักโขม, แกงแพะ, เครื่องเคียงต่าง ๆ จำพวกมันบด ผักสด ผักดองและโยเกริ์ต และอาหารที่อธิปพงศ์เคยกินอย่างนานและแกงถั่ว ทันดูรี โดยจะมีชุดถ้วยเล็ก ๆ พร้อมถาดสำหรับทำเป็นชุดอาหาร (Thali -ถาลี)ไว้ให้ผู้ร่วมงานได้เลือกตักได้ตามใจชอบ รวมทั้งขนมหวานอย่าง กุหลาบยามุนสีเหลืองทองที่แปลกตาคนไทยอย่างเขาเพราะปิดหน้าด้วยแผ่นเงินเปลว ลัดดูก้อนกลมสีเหลืองอ่อน และราสมาลัยที่มองเผิน ๆ ก็คล้ายไวท์ช็อกโกแลต
อธิปพงศ์ตื่นตากับบรรดาอาหารตรงหน้าเป็นอย่างมาก ถึงแม้เขาจะไม่เคยกินมาก่อน แต่เท่าที่สำรวจด้วยตาแล้ว ก็มีอะไรน่าสนใจอยู่หลายเมนูเช่นกัน นิธินหยิบภาชนะสำหรับจัดเป็นถาลีพร้อมกับมองดูคนรักที่กำลังมองดูอาหารตรงหน้าอย่างแปลกใจ
“กินอะไรดีครับ”
อธิปพงศ์หันมาตอบคนรัก “อืม ไม่รู้อ่ะ ยังเลือกไม่ถูกเลย”
“อืม งั้น อย่างแรกก็ต้องโรตี” นิธินหยิบโรตีมาอย่างละสองแผ่นไว้ตรงกลาง
“นี่ ข้าว..” อธิปพงศ์พยักหน้า เห็นด้วย จึงตักมาแค่พอกินโดยวางไว้ข้างๆ โรตี นิธินชี้ไปที่แกงถั่วบ้าง
“อันนี้ คุณเคยกินแล้ว กินมั๊ย” อธิปพงศ์พยักหน้าตอบเช่นเคย เขาจึงตักมาใส่ถ้วย อธิปพงศ์ไม่อยากให้คนรักเลือกแต่ของที่เขาเคยกินจึงบอกว่า
“คุณอยากกินอะไรก็ตักมาเลย ผมกินด้วยทั้งนั้น”
“ครับ”
นิธินยิ้มรับและตักแกงชีส มันบด โยเกิร์ตใส่ในถ้วย เขาไม่ลืมหยิบผ้าร้อนมาด้วย ก่อนจะพาคนรักไปนั่งกินที่มุมหนึ่งของงาน แต่อธิปพงศ์สังเกตว่าทุกคนในงานนั่งขัดสมาธิรับประทานอาหารกับพื้นหมด จึงถามคนรักซื่อ ๆ ว่า
“แล้ว เค้าไม่มีโต๊ะให้เหรอ”
นิธินยิ้มน้อย ๆ และบอกว่า “คือ ปกติแล้วคนอินเดียแล้วคุ้นเคยกับการนั่งพิ้นมากกว่าหน่ะครับ การนั่งกินอาหารบนพื้นนี่คือการกินแบบอินเดียจริง ๆ”
อธิปพงศ์แอบรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พูดอย่างนั้น
“อ่าวเหรอ...ผม ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“แล้ว ซ้อนส้อมล่ะ”
“ผมลืมบอกไปว่าส่วนใหญ่พวกเราใช้มือนะครับ”
“มือเหรอ”
“อ่ะนี่ครับ” นิธินยื่นผ้าร้อนที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ “เช็ดมือนะครับ”
“แล้วใช้มือไหนกินอ่ะ”
“Right hand ครับ”
“อืมครับ”
นิธินเช็ดมือและกินให้ดูเป็นตัวอย่าง เขาค่อยใช้ข้อนิ้วประคองข้าวเข้าปากอย่างช่ำชอง แต่อธิปพงศ์เห็นว่ามันยากไป เลยฉีกแต่โรตีมาจิ้มแกงเฉย ๆ นิธินจึงใช้มือตักข้าวอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาลองป้อนใส่ปากคนรักดูบ้าง
“ลองชิมข้าวดู”
"อืม"
อธิปพงศ์อ้าปากรับการป้อนจากคนรัก และลองชิมทุกอย่างตามที่นิธินตักมา เขาพบว่า นอกจากอาหารที่เขาเคยกินแล้ว เมนูข้าว และแกงชีส ก็ถือว่าไม่เลวสำหรับเขา แต่ที่เขาทำใจลำบากจริง ๆ ก็คงจะเป็นโยเกริ์ตที่เปรี้ยวเกินกว่าที่คาดไว้ นิธินที่ลุกไปหยิบเครื่องดื่มก็มาถึงพร้อมยื่นแก้วชานมให้
“นี่เรียกว่า จัย เป็นชาแบบอินเดีย อร่อยนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
เขารับมาดื่มและค่อย ๆ รับรสชาติของชาอินเดียแท้ ๆ ที่นมข้นหวานใส่เครื่องเทศอ่อน ๆ รสชาติแปลกลิ้นแต่ทว่าไม่สามารถอดใจที่จะดื่มต่อได้
“อร่อยอ่ะ แปลกดี”
“อืม” นิธินยิ้มๆ ดีใจเวลาเห็นอธิปพงศ์ชอบอะไรที่เป็นอินเดีย รวมทั้งคนอินเดียอย่างเขาด้วย
ไม่ทันได้กินต่อ เพื่อน ๆ ทั้งสามและแฟนสาวที่อยากเจอพวกเขามานานก็เข้ามาทักทาย
“นิธิน มาอยู่นี่นี่เอง” วิษณุว่าให้และแนะนำตัวแฟนทันที“คุณหมู ครับ นี่เมย์ ว่าที่เจ้าสาวของผม”
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
เอเจแนะนำบ้าง “และนี่ ชะเอม ภรรยาผมคร๊าบบ”
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
อธิปพงศ์ยิ้มรับบรรดาแฟนเพื่อนของนิธิน รวมทั้งประหลาดใจเล็กน้อย นี่พวกเขามีคู่ชีวิตเป็นคนไทยหมดเลยเหรอเนี่ย
“นี่ที่รัก เค้าเชิญคุณหมูมางานแต่งเราด้วยน้า” วิษณุหันไปบอกแฟน ทำให้อธิปพงศ์ตกใจเมื่อได้ยินสำนวนการอ้อนแบบคนไทยของชาวอินเดียตรงหน้า
“ดีค่ะ” เธอตอบรับและหันมาพูดกับอธิปพงศ์ “มาให้ได้นะคะ”
“ครับ”
พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานสักพัก และเวลาสนุกของคนทั้งงานก็มาถึง เมื่อดีเจเริ่มเปิดเพลงอินเดียจังหวะเต้นรำ ทำให้คนเกือบทั้งงานออกไปรวมตัวกันที่กลางฟอร์พร้อมกันอย่างอัตโนมัติ ทุกคนเต้นเข้าจังหวะกันสวยงามพร้อมเพรียงเหมือนดอกไม้สีสดที่กำลังเริงร่ารับสายลม อธิปพงศ์ที่นั่งอยู่กับนิธินและสองสาวแฟนเพื่อนตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก
“คุณไม่ไปเต้นกับเค้าเหรอ” เขาถามคนรักเพราะนี่คือเวลาสนุกสนานของงานที่ไม่ควรพลาด
“ผมไม่อยากทิ้งคุณให้นั่งคนเดียว”
“โธ่..คิดมากน่า ไปนู่นไป เพื่อน ๆ คุณเรียกแล้ว”
เขามองไปยังกลุ่มเพื่อนที่กำลังเต้นพร้อมกวักมือเรียกให้มาเร็ว ๆ แล้วก็ลังเล
“ไปเถอะ...”
“แล้ว คุณไม่ลองไปเต้นกับผมบ้างเหรอ”
“จะดีเหรอ ผมเต้นไม่เป็นนะ นั่งดูดีกว่า”
ชะเอมเลยบอกกับนิธินว่า “ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวเอมกับเมย์ดูแลให้”
“ขอบคุณครับ”
นิธินรับคำและเดินไปหากลุ่มเพื่อนที่กำลังเต้นรำอยู่กลางงาน เขามองตามคนรักยิ้ม ๆ ถึงแม้ในงานนี้จะมีคนมากมาย แต่อธิปพงศ์ก็รู้สึกว่า เขาเห็นแค่คนรักที่โดดเด่นอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น ยิ่งเห็นตอนที่นิธินเต้นรำตามจังหวะเพลงอินเดียอย่างนี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่าชายหนุ่มดูดีตามแบบฉบับคนอินเดียจริง ๆ เข้าไปใหญ่
เมย์และชะเอมชวนอธิปพงศ์พูดคุยอย่างเป็นมิตร และคิดว่าแฟนนิธินคนนี้ช่างเหมาะสมดูดีเข้ากันกับนิธินเป็นอย่างมากอย่างที่วิษณุและเอเจเลยเล่า แต่ก็คุยกันได้ไม่นาน ๆ บรรดาคนรักก็วิ่งมาจากฟอร์เต้นรำเพื่อชักจูงไปเต้นรำด้วย เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่คนทั้งหมดขอมอบเวทีให้คนมีคู่มาเต้นกัน
อธิปพงศ์ที่ไม่ค่อยสันทัดกับการเต้นรำสังเกตดูคนรอบข้างว่าออกสเต็ปกันอย่างไร แต่ก็เห็นว่าเป็นแนวตามสบายจึงพยายามเต้นตามจังหวะ เขาพลางมองคนรักที่ส่งสายตาให้กำลังใจมายังเขาแล้วก็มั่นใจขึ้น นิธินจับมือเข้าเต้นไปด้วยกันตามจังหวะเพลง พร้อมจับอธิปพงศ์หมุนตัวก่อนที่จะมาพักไว้ที่อก ก่อนจะเต้นกันต่ออย่างสนุกสนาน อธิปพงที่เขินอายในตอนแรก ก็กล้าออกสเต็ปมากขึ้นด้วยความสนุกสนาน นิธินเองเห็นคนรักสนุกกับงานเลี้ยงในคืนนี้ก็ดีใจ และพวกเขาก็เต้นกันต่อไปอีกสักพักและอยู่ร่วมงานนี้ถึงเวลาเลิกรา
“โอ๊ยย...เต้นแบบนี้เหนื่อยไม่น้อยนะเนี่ย” อธิปพงศ์ทิ้งตัวลงนั่งกับที่นอนทันทีที่ถึงห้องพักของคนรัก
“สนุกมั๊ยล่ะ”
“สนุกสิ” เขายิ้มรับ ขณะที่นิธินก็อมยิ้มปลื้ม ๆ และถอดเสื้อตัวบนออก เหลือแค่ช่วงล่างที่นุ่งคล้ายโจงกระเบนแต่มีทิ้งลอยชายข้างหน้า อธิปพงศ์คิดว่าคนรักดูเซ็กซี่มากเมื่ออยู่ในผ้านุ่งแบบนี้ เขารีบบอกกับนิธินที่กำลังจะปลดเปลื้องช่วงล่างว่า
“อย่าเพิ่งถอดได้มั๊ย”
นิธินหันมามองคนรักที่ส่งสายตาพึงใจให้ จึงเข้ามาหา
“ทำไมล่ะ”
“ไว้อย่างนี้แหล่ะ เซ็กซี่ดี”
“หึหึ” นิธินหัวเราะในลำคออย่างพึงใจ ก่อนจะบอกว่า
“งั้นก็ถอดให้ผมหน่อยสิ”
อธิปพงศ์ยิ้มซุกซนรับคำ มันแน่อยู่แล้วที่เขาจะต้องถอดให้ เขาค่อย ๆ เปลื้องผ้านุ่งร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าช้า ๆ เมื่อผ้านุ่งสีกาแฟลงไปกองกับพิ้นก็พบแต่ปราการด่านสุดท้ายที่รออยู่ นิธินจึงปราดเข้าไปประชิดใบหน้าคนรักที่นั่งบนเตียง และถามล้อ ๆ ว่า
“ไหนว่าเหนื่อยไง”
“แต่ตอนนี้ไม่ล่ะ” อธิปพงศ์ตอบยั่วยิ้ม และครางออกมาอยากพึงใจเมื่อคนรักลูบไล้เม็ดถันผ่านเสื้อเนื้อบางเบา เขาทิ้งตัวลงกับเตียงนอนและรอรับความสุขที่นิธินมอบให้โดยไม่รู้หน่าย
และวันที่นิธินรอคอยก็มาถึง เมื่อพ่อกับแม่และพี่ชายเดินทางจากมุมไบเพื่อมาเยี่ยม เขานึกดีใจที่จะได้เจอพ่อกับแม่ แต่ก็หวั่นใจว่าจะเข้ากันได้หรือไม่ มีเรื่องราวมากมายที่เขาอยากเล่าให้พวกท่านฟัง แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกท่านจะสนใจลูกอย่างเขาหรือเปล่า เขานึกหวั่นใจว่าพ่อแม่จะเย็นชาใส่เขาเหมือนทุกคราวที่เจอกัน
ชายหนุ่มนั่งรอครอบครัวที่ผู้โดยสารขาเข้าสักพัก ก็เห็นคนทั้งสามเดินมา เขาเห็นว่าคนที่แจ่มใสกว่าใครทั้งหมดคือดารามดัสที่หวังว่านิธินและพ่อกับแม่จะเข้าใจกันมากขึ้นเสียที
“นิธินน” พี่ชายเขายิ้มร่ามาก่อน ตามมาด้วยพ่อกับแม่ที่พยายามเก็บอาการดีใจที่ได้เห็นลูกชายคนเล็ก
นิธินยิ้มบาง ๆ ให้ครอบครัว และเข้าไปหา เขาก้มลงไปสัมผัสเท้าพ่อกับแม่ด้วยความคิดถึงและลุกขึ้นมามองหน้าคนทั้งสองที่เหมือนจะมีน้ำตาที่เจอหน้าลูก เขานิ่งอึ้งมองพ่อกับแม่ตัวเองสักพัก ก่อนที่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองจะรวบตัวลูกชายเข้ามาสวมกอดทันทีด้วยความคิดถึง
“ฮือ ๆๆ ลูกแม่...” คนเป็นแม่ร้องไห้หนักเมื่อได้กอดลูก เธอดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นลูกชายคนเล็กดูมีความสุขอย่างนี้ ส่วนคนเป็นพ่อได้แต่กอดลูกไว้เพื่อจะบอกว่าเขารักนิธินมากเพียงใด และอยากจะขอโทษลูกกับความเย็นชาที่ผ่านมา
ดารามดัสมองภาพที่เห็นตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นานแล้วที่เขาไม่เห็นพ่อกับแม่กอดนิธินอย่างนี้ เขาดีใจที่พ่อกับแม่ตัวเองจะกล้ายอมรับสิ่งที่ลูกเป็นด้วยความรักของผู้ให้กำเนิดอย่างแท้จริง
นิธินพาครอบครัวไปเช็กอินในโรงแรมแถวที่พักของเขา และเมื่อไปส่งพ่อกับแม่ที่ห้องพักเขาก็ขอตัวเพื่อกลับไปทำงานต่อ ถึงแม้พ่อกับแม่จะมีท่าที่ที่อ่อนลงกว่าแต่ก่อนแล้ว แต่นิธินกับพ่อแม่ก็ยังอยู่ในสภาวะสุญญากาศดั่งเดิม แต่คนเป็นแม่เรียกเอาไว้
“เดี๋ยว ลูก...”
“ลูก เอ่อ..ลูกเลิกงานกี่โมง”
“ประมาณ ห้าโมงครึ่งครับ”
“เอ่อ..เย็นนี้พาพ่อกับแม่ไปเที่ยวนะลูก”
“ครับ”
“เอ่อ แล้ว พาแฟนลูกมาให้พ่อกับแม่รู้จักด้วยนะจ๊ะ”
“ครับ”
นิธินรับคำยิ้ม ๆ และเดินไป ส่วนพ่อกับแม่ก็ได้แต่ถอนใจอย่างโล่งอกให้ความกล้าที่จะละลายกำแพงในใจของตัวเองมากขึ้น เพราะคนทั้งคู่ตระหนักดีแล้วว่าลูกคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต พวกเขาจะพยายามทำใจยอมรับสิ่งที่นิธินเป็นให้ได้
โปรดติดตามตอนต่อไปจ้ะ