(ตอนพิเศษ น.23)Mujhe apana hatha de-Give me your hands–แบ่งรักให้อุ่นใจ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (ตอนพิเศษ น.23)Mujhe apana hatha de-Give me your hands–แบ่งรักให้อุ่นใจ  (อ่าน 219550 ครั้ง)

ออฟไลน์ น้ำพริกแมงดา

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +272/-0
    • เข้ามาเป็นคุยกันกับ "น้ำพริกแมงดา" ใน facebook page นะคะ
เอาตอนพิเศษที่เขียนเมื่อปี 2015 ที่ลงในเพจ มาลงให้คุณผู้อ่านใหม่ๆ ในเล้า ให้หายคิดถึงกันนะคะ มีพี่แจ๊คจากเรื่องเด็กฝึกงานมาด้วย และมีพี่บอยตัวละครใหม่ที่มีในรูปเล่ม อยู่ในนี้ค่ะ


ตอนพิเศษ สงกรานต์

Porsche Cayenne สีดำกำลังขับเคลื่อนอย่างคล่องตัว หลังจากติดขัดบนถนนสายเอเชียมาสักพัก ก่อนจะเริ่มเบาบางเมื่อเลี้ยวเข้าถนนที่ตัดผ่านอ.ท่าวุ้ง จุดมุ่งหมายของการเดินทางวันหยุดครั้งนี้คือเมืองลพบุรี

"อีกไกลมั้ยวะบอย?" พลกฤษณ์ผู้เป็นเจ้าของรถและขับอยู่ ส่งเสียงถามเพื่อนเจ้าถิ่นที่นั่งข้างๆ เพราะนี่เป็นการขับรถมาลพบุรีครั้งแรกของเขา
"ไม่ไกลมึง อีกสักสิบโลก็ถึงและ" บอยที่เพิ่งตื่นจากจากงีบหลับสะลึมซะลือตอบ ก่อนจะหันไปเบาะหลังดูอธิปพงศ์ที่ขณะนี้กำลังหลับซบไหล่ของนิธินอยู่
"แหวะ! หมั่นไส้ รับไม่ได้ อี๋!!"
บอยแกล้งทำเป็นเดียดฉันท์ภาพที่เห็น ตามประสาคนโสด แม้จะอยู่กับคู่รักคู่นี้มานาน เห็นภาพสวีทหวานบ่อยๆ แต่เขาก็ยังชอบล้อเลียนเรื่องของเพื่อนสร้างความสนุกสนานเสมอ
"ฮ่าๆยังไม่ชินอีกเหรอวะ?" พลกฤษณ์ก็ยังอดขำเหมือนเดิมไม่ได้อยู่ดี
"ไม่ มึงดูสิอีแจ๊ค หวีดหวานตลอด กูอิจ"แต่บอยก็นึกได้
"เออ แล้วน้องพีเค้าไม่ว่าเหรอ มึงมากับพวกกูแบบนี้"
"ไม่นะ กูชวนเค้าแล้ว เค้าบอกกูให้ไปกับเพื่อนดีกว่า"
"เออมาส่งพวกกูก็แค่ไปเช้าเย็นกลับเนอะ เดี๋ยวมึงกับน้องเค้าก็ไปเที่ยวด้วยกันและ"
บอยนึกออกว่าคืนนี้พลกฤษณ์และครอบครัวจะต้องเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างประเทศเช่นกัน
"แล้วนี่เค้าไม่งอนมึง ไม่สิ มึงไม่มีปัญหาอะไรกับน้องเค้าแน่นะ"
"ไม่มี เค้าแค่ไม่คุ้นเคยกับพวกมึงเท่าไหร่ และก็เค้ายังไม่ชอบให้กูเจอกับน้องเขียวอยู่นะ"
"หะ!!" ร่างหนาเอามือทาบอก "ยังไม่เลิกอีกเหรอวะ ตอนนี้น้องเขียวนางท้องลูกใหม่อีกแล้วนะ"
"ใช่ พีร์ไม่เลิกง่ายๆไม่รู้เป็นไร"
"กูว่านางคงหึงน้องเขียวป่ะวะ น้องเขียวมีลูกแล้วก็ยิ่งสวยขึ้น ปังขึ้น"
"เออ คิดอยู่ เพราะเมื่อก่อนน้องเค้าก็อวบๆดูทอมบอยนิดๆพอๆกับพี แต่นี่หลังคลอดเซอร์จิโอแล้วผอมลง ดูดีขึ้น พีร์เองก็อยากผอมมาตลอด แต่ทำไม่ได้ซะที ก็คงตามนั้น และก็หมูอีกคน พีร์นี่อิจฉามาก ถามตลอดหมูใช้อะไรกินอะไร ฮ่ะๆ"
"เออ จริง อันนี้กูก็อิจหมูค่ะ ฮ่ะๆ" บอยขำเบาๆ ก่อนถามต่อ "แล้วมึงยังรักเค้าเหมือนเดิมป่ะวะแจ๊ค"
"เออ เหมือนเดิม กูบอกเค้าตลอดนะว่า กูรักเค้าที่เค้าเป็นแบบนี้ กูไม่อยากให้เค้าผอมลงหรือคิดว่าเค้าไม่น่ารักเค้าดูไม่ดีด้วย สำหรับกูเค้าน่ารักที่สุดแล้ว แต่ไม่รู้จะฟังกูป่ะนะ"
"หูยยย อีดอก กูเปลี่ยนมาอิจฉาเมียมึงแทนดีกว่าและ ฮ่ะๆ พีคมากอ่ะ ถ้ามีคนรักกันแบบนี้"
"อิจฉากูด้วยสิ เมียกูหึงกูด้วยนะ ฮ่ะๆ"
"อ่อยย!! ไม่นะคะ" บอยถอนหางเสียงตอบเพื่อน รถใกล้ถึงสี่แยกไฟแดงใหญ่ พลกฤษณ์เลยต้องถามเจ้าถิ่นอีกครั้ง่
"เออ ไฟแดงหน้าตรงไปใช่ป่ะ"
"ใช่ๆตรงไปอย่างเดียวเลยค่ะ" บอยหันหลังไปมองอธิปพงศ์ ก็พบว่าตอนนี้เพื่อนกับคนรักตื่นกันแล้ว แต่อธิปพงศ์นั้นยังคงซบไหล่นิธินต่างหมอนอยู่เช่นเดิม
"อ่าว ตื่นแล้วเหรอคะ ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยไม่ให้ซุ่มให้เสียง"
"เพิ่งตื่นนี่แหละ" อธิปพงศ์งัวเงียกระชับกอดแขนล่ำของคนรักเหมือนกอดหมอนข้าง
"แหม่ๆ รู้แล้วค่ะว่าได้สุดที่รักคืนมา จะกอดจะอะไรก็ เกรงใจกูบ้างไรบ้างนะคะนะคะ"
บอยหมายถึง เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา นิธินต้องไปทำงานที่อินเดีย3เดือน ทำให้อธิปพงศ์อดหวั่นใจไม่ได้ว่านิธินอาจจะไม่ได้กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ และสิ่งที่กลัวที่สุดคือเขากับนิธินจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ดังนั้นหลังจากทราบเรื่อง อธิปพงศ์จึงตระเวรบนบานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายที่ทั้งในกรุงเทพฯและที่ลพบุรีบ้านเกิด เพื่อความมั่นใจของเขาเอง
และเมื่อพรที่ขอสัมฤทธิ์ผล นิธินกลับมาเมื่อต้นเดือนเมษายน เขาจึงทยอยไปแก้บนให้ครบ เหลือแค่ที่สุดท้ายคือที่ศาลพระกาฬ เมืองลพบุรีเท่านั้น
และจังหวะเหมาะสมกับช่วงสงกรานต์พอดี เขาถึงถือโอกาสกลับบ้านมาแก้บนและอยู่กับครอบครัวเสียทีเดียว
"อ่ะกูล้อเล่นนน" บอยสัพหยอก "กูดีใจด้วยจริงๆนะมึง ลุ้นแทนเหมือนกัน"
แต่คนขับที่เพิ่งมาครั้งแรกถามเพื่อนเมื่อเจอทางแยก
"ข้ามสะพานนี่แล้วเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาวะบอย"
"เลี้ยวขวาค่ะ พอผ่านศาลลูกศรก็ขวาอีกที ทีนี้ก็ตรงไปค่ะ วนศาลพระกาฬรอบนึงนะไปจอดข้างๆ"
"อืม โอเค"

พลกฤษณ์ขับรถตามที่เพื่อนบอกในเวลาไม่นานเพราะมีระยะทางใกล้ๆ เมื่อถึงที่หมาย อธิปพงศ์,นิธิน,พลกฤษณ์และบอยจึงช่วยกันยกของไหว้แก้บนลงมาจากท้ายรถ อันประกอบไปด้วยชุดผลไม้ ส้ม,กล้วยและมะพร้าวอ่อน พวงมาลัยดอกไม้ ไข่ต้ม100ฟอง บอยเห็นเพื่อนบนชุดใหญ่อย่างนี้จึงถามว่า
"มึงอย่าบอกนะ มึงบนละครด้วยอีกอย่าง"
"เออ" อธิปพงศ์รับคำ
"หูยยยย! มึงบนเบอร์เดียวกับพวกขอลูกเลยนะคะหมู"
"ไม่ได้สิ กูกลัวนี่นา" อธิปพงศ์ตอบเสียงอ่อยๆเพราะอายเพื่อนเหมือนกันที่ต้องบนบานในเรื่องความรักแบบนี้
"ไปค่ะ พาคุณแฟนมึงไปกราบท่านเจ้าพ่อกัน เอออีแจ๊คระวังลิงด้วยนะ" บอยไม่ลืมเตือนผู้มาใหม่
"ได้ๆ"
รับคำเสร็จกลุ่มเพื่อนก็มองซ้ายขวาข้ามถนนเพื่อไปยังตัวศาล พลกฤษณ์ที่ถือผลไม้ดูจะระแวดระวังฝูงลิงจ๋อที่ปีนป่ายวิ่งเพ่นผ่านเป็นพิเศษ จนเมื่อขึ้นไปวางของเซ่นไหว้ที่ศาลแล้วถึงจะขอตัวลงมาเพราะเขาเป็นคริสต์ชน
ส่วนอธิปพงศ์ นิธินและบอยนั้นได้จุดธูปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์และถวายของแก้บนตามลำดับ ก่อนจะลงมาหาคณะนางรำเพื่อว่าจ้างให้รำละครแก้บนตามเงื่อนไข เป็นอันเสร็จพิธี
"ไปไหนต่อวะบอย"
"เออ ไหนดีล่ะ ตัวเมืองเราก็มีแค่ที่เที่ยววัดวังโบราณสถาน เอางี้ไปแถวๆนี้ก่อน เดี๋ยวไปกินข้าวที่สระแก้ว แล้วเดี๋ยวมาไหว้แม่กู แล้วค่อยออกไปส่งอีหมู ก็คงทันเย็นพอดี"
"เออได้ๆ" พลกฤษณ์รับคำ บอยจึงเริ่มเสนอไอเดีย
"แล้วไปไหนกันดี โน้นมั้ย พระปรางค์สามยอด แต่กูว่าเรามาถ่ายรูปเช็คอินกันก่อนดีกว่า"
ทุกคนไม่รอช้าที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปทันที บอยเห็นว่าเพื่อนได้ผลตามที่บนบานไว้ที่นี่แล้วจึงเกิดไอเดีย
"เออ หมูมึงถ่ายรูปคู่กับนิธินที่นี่ซิ ไหนๆพรที่ขอก็สัมฤทธิ์ผลอยู่ข้างๆแล้ว ม่ะๆกูถ่ายให้"
อธิปพงศ์กับนิธินมองหน้ากันและกันเขินๆ แต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำของเพื่อนอยู่ดี
นิธินโอบไหล่คนรักแน่น ทำให้ตากล้องอย่างบอยแทบกรี๊ดด้วยความถูกใจ
เมื่อได้ภาพสวยๆตามที่ต้องการแล้ว พวกเขาก็เดินข้ามถนนมาพระปรางค์สามยอด เพื่อเข้าไปชมโบราณสถาน "เออพวกเรามาลิงหลบค่ะ เห็นมั้ย ฮ่าๆๆ" บอยเห็นว่าฝูงลิงไม่ค่อยเข้ามาหาพวกเขาเลยชี้ให้เพื่อนๆดู
"ทำไมวะ?" พลกฤษณ์สงสัย
"ลิงมันกลัวคนตัวใหญ่ๆค่ะ ความจริงมีมึงหรือนิธินมาคนเดียวมันก็ไม่ยุ่งแล้ว นี่มาสองคนเลย มันก็แตกฮือหนีสิคะ ฮ่าๆ"
"เหรอวะ ฮ่ะๆ"

พวกเขาเดินชมและถ่ายรูปกันสักพัก ก็ย้ายไปชมวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ โบราณสถานสมัยกรุงศรีอยุธยา และพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศ ก่อนที่จะรับประทานมื้อกลางวันที่ร้านแถวนั้นในเวลาบ่ายโมงกว่าๆ และไปบ้านบอยตามที่ตกลงไว้
"แม่หวัดดี"
"อ่าว มาแล้วเหรอวะบอย ไหนๆมาให้แม่กอดทีสิ อู๊ย!!"
สองแม่ลูกโผเข้ากอดกันแน่นสมกับที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน ร่างอวบที่ด้อยความสูงกว่าลูกแถมหอมแก้มให้ด้วยความชื่นใจอีกสองฟอด บอยเองก็หอมแก้มทั้งสองของแม่เช่นกัน บอยละจากอ้อมกอดแม่มาแนะนำเพื่อนๆให้แม่รู้จัก
"แม่ นี่เพื่อนๆ หนู หมู นิธิน แจ๊ค ที่เคยส่งรูปให้แม่ดูในไลน์อ่ะ"
ทั้งสามยกมือไหว้แม่ของบอยอย่างนอบน้อมคนเป็นแม่รับไหว้อย่างดีใจ
"โหยย หล่อๆทั้งนั้นเลยเนอะ หมูก็หล่อกว่าตอนเด็กๆเยอะเลยนะลูก"
"ขอบคุณครับป้าแดง" อธิปพงศ์ยิ้มน้อยๆตอบรับคำชมนั้น
"ป่ะๆมานั่งข้างในกันก่อนลูก"
ทุกคนตามเข้าไปตามคำเชิญก่อนจะนั่งคุยกับแม่ของบอยนิดหน่อยอย่างสนุกสนาน ก่อนจะขอตัวไปส่งอธิปพงศ์และนิธินต่อ
และเมื่อถึงบ้านอธิปพงศ์แม่กับยายก็ออกมาต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น และพูดคุยกันสักพัก เมื่อหอมปากหอมคอแล้วจึงปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสามคุยกัน
"วันนี้เป็นไงมั่งครับคุณแจ๊ค" นิธินถามพลกฤษณ์ที่เพิ่งเคยมาครั้งแรก
"สนุกดีครับ น่าเสียดายที่ผมต้องรีบกลับ รู้มั้ยนี่เป็นการมาบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดครั้งแรกของผมเลยนะ"
"หือ?!?" คู่รักตกใจเล็กน้อย แต่ก็นึกออกว่าพลกฤษณ์เป็นคนกรุงเทพฯและไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย จึงไม่แปลกที่จะไม่ค่อยหรือไม่มีมีเพื่อนเป็นคนต่างจังหวัด
"เอาไว้ถ้าบอยจัดทริปไปเที่ยวคราวหน้าผมไม่พลาดแน่"
พลกฤษณ์หมายมาด เพราะผู้นำกลุ่มวอลเล่ย์บอลอย่างบอยเคยรวมกลุ่มกับคนอื่นๆในสนามไปเที่ยวต่างจังหวัดกันในวันหยุดยาวอื่นๆมาแล้ว ซึ่งเขาไม่เคยได้ไปด้วยซะที"
"จะดีเหรอ น้องพีร์ไม่ว่าอะไรคุณแน่นะ" อธิปพงศ์ถาม
"เอ่อ ก็ต้องขอเค้าก่อนล่ะ" พลกฤษณ์ให้คำตอบเสียงอ่อย ตามประสาคนเกรงใจแฟน
"อืม ไปเที่ยวกับบอยนี่ฉิ่งฉาบทัวร์เลยนะ รถทัวร์ รถไฟ คุณแน่ใจนะ"
"อย่าดูถูกผมสิครับคุณหมู ผมนั่งมาหมดแล้วนะคร้าบ บอกไว้"
"ครับๆ ฮ่ะๆ"
"อืมม แต่ดูท่าคุณยายจะรักคุณนิธินมากนะครับ"
"ใช่ครับ ยายผมรักมากเลย รักมากกว่าผมด้วยมั้ง" อธิปพงศ์แกล้งมองค้อนคนรัก ทำให้นิธินอดหมั่นเขี้ยวคนช่างค้อนเลยต้องบีบจมูกอีกฝ่ายเบาๆไม่ได้
"ก็จริงนี่ ยายนั่นล่ะบอกให้ผมไปบนศาลพระกาฬเลย"
สองหนุ่มตกใจกับสิ่งที่เพิ่งรู้โดยเฉพาะนิธิน ที่ทั้งตกใจและปลื้มใจไปพร้อมๆกัน
"โอเค ผมเชื่อแล้วล่ะ ฮ่ะๆ"พลกฤษณ์ก็รู้สึกยินดีและอดขันไปเสียไม่ได้
"ยายเค้าก็รักคุณมากที่สุดไง เพราะรู้ว่าคุณอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีคุณนิธิน ใช่มั้ย"
อธิปพงศ์ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มรับ เพราะพลกฤษณ์ไม่ได้พูดอะไรผิดเลย

เมื่อพลกฤษณ์ขอตัวกลับไปแล้ว แม่ของอธิปพงศ์จึงรีบเข้ามาหาลูกก่อนจะขึ้นเรือน
"หมู แม่ย้ายห้องหมูมาไว้ข้างล่างแล้วนะ"
ได้ยินอย่างนั้นอธิปพงศ์ประหลาดใจ
"อ่าว ทำไมล่ะครับแม่!?"
"คือ แม่เห็นว่าอยู่กันสองคน และห้องเก่าก็เล็กไป อีกอย่าง..เอ่อ ยายเค้ากลัวเสียงกระดานลั่นน่ะ"
พอรู้คำตอบจริงๆแบบนั้นอธิปพงศ์ก็อดอายแม่กับยายไม่ได้ ความจริงเขาก็อยากนอนกันเงียบๆนะ แต่เพราะต้องมานอนเบียดกันบนเตียงสามฟุตอย่างนั้น เขาก็อดไม่ได้ทุกที
"ขอบคุณนะครับแม่" อธิปพงศ์ไหว้ขอบคุณและเข้าไปกอดแม่ แม่เองก็กอดตอบลูกชายแน่นเช่นกัน แล้วบอกอธิปพงศ์กับคนรักว่า
"ป่ะ เราสองคนไปดูห้องใหม่กัน เดี๋ยวค่อยกินข้าว"
"ครับแม่"้
แม่เดินนำพวกเขามายังห้องใหม่ที่อยู่ทิศตะวันตกของใต้ถุนบ้าน เป็นห้องนอนติดแอร์ ขนาดใหญ่กว่าห้องเก่าข้างบน เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็มีแค่เตียงนอนใหม่ขนาด5ฟุต โต๊ะเขียนหนังสือตัวเดิมและตู้เสื้อผ้าเท่านั้น
"เป็นไงมั่งลูก"
"ขอบคุณครับแม่" อธิปพงศ์และนิธินยกมือไหว้แม่อีกครั้งด้วยความซาบซึ้ง
"จ้ะ พักผ่อนกันตามสบายนะลูก เดี๋ยวไปกินข้าวกัน"
"ครับ"
พอแม่ปิดประตูห้องออกไป อธิปพงศ์และนิธินก็วางกระเป๋าสัมภาระลงบนโต๊ะและ ก่อนที่อธิปพงศ์จะชวนคนรักออกไปที่ครัว
"อ่าว มาแล้วเหรอลูก" ยายที่กำลังตำน้ำพริกเรียกถามหลานกับคนรัก
"มาแล้ววว..วันนี้ทำอะไรกินมั่งครับ"
"ตำน้ำพริกกะปิ และทอดปลาทับทิม ถ้าว่างนักก็ไปช่วยแม่ทำผักโน่น
"คร้าบบ" อธิปพงศ์รับคำสั่งยายอ้อนๆ
"นี่นิธิน"ยายเริ่มหาเรื่องนินทาหลานให้หลานรักฟัง"ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ ไอ้หมูมันกินอย่างเดียวเลย ไม่ทำไม่เทิมหรอก แต่ตั้งแต่อยู่กับนิธินนี่ดีขึ้นนะ"
"ฮ่ะๆเหรอครับ"
"อื้มม จริงสิ"
แม่ของอธิปพงศ์เลยส่งเสียงมาจากหน้าเตาใกล้ๆ
"ก็แม่บอกหมูมันเองไม่ใช่เหรอว่าให้หัดทำกับข้าวบ้าง จะได้ไปดูแลนิธินได้"
"ก็แหม ไอ้หมูเรามันดีแต่หล่อไปวันๆนี่นา ถ้าไม่รู้จักเอาอกเอาใจนิธิน เดี๋ยวก็แย่สิ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณยายไม่ต้องห่วง ผมต่างหากที่มีหน้าที่ต้องดูแลหมู"
พอได้ยินแค่นั้น ทุกคนก็เงียบลงพร้อมรอยยิ้ม โดยเฉพาะอธิปพงศ์ ที่ก้มหน้าเด็ดชะอมงุดๆเพราะเขินอายมาก กับสายตาและรอยยิ้มสัพยอกจากแม่และยาย แม่เลยเดินมาบอกยายว่า
"หนูว่าน้ำพริกแม่ไม่ต้องใส่น้ำตาลแล้วล่ะ"

เย็นนั้นทุกคนกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างอบอุ่น โดยที่แม่และยายซักถามเรื่องงานที่อินเดียของนิธินด้วยความสนใจเป็นพิเศษ อธิปพงศ์เองก็เพิ่งทราบบางเรื่องพร้อมแม่กับยายเช่นกัน เพราะปกติแล้วเขาไม่ละลาบละล้วงเรื่องงานของนิธิน แม่กับยายเองฟังเรื่องงานของนิธินแล้วก็ยิ่งโล่งใจที่นิธินสามารถกลับมาทำงานต่อที่กรุงเทพฯได้

หลังจากพวกเขาอาบน้ำเสร็จ อธิปพงศ์เดินไปดูเตียงใหม่ซึ่งหอมกรุ่นกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม ที่แม่ตั้งใจเตรียมไว้พร้อมสำหรับเขาทั้งคู่
เขาทิ้งตัวลงนั่งและมองนิธินที่ยืนอยู่ตรงหน้า
นิธินยิ้มอบอุ่นให้คนรักเหมือนเคย อธิปพงศ์คว้าข้อมือแข็งแรงนั้นให้มานั่งด้วยกัน
นิธินเลยนั่งลงและคว้าตัวคนรักมากอดไว้แน่นก่อนจะจูบที่หน้าผากและพาทิ้งตัวลงนอน
ไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากคู่รัก นอกจากแววตาที่มองกันและกันด้วยความรัก ทั้งคู่หลับตาลงเพื่องีบหลับ โดยอาศัยอ้อมกอดของคนรักเพื่อพักผ่อน ้
แต่ก็หลับได้ไม่นานเพราะไลน์จากเพื่อนตัวดีอย่างบอยที่ส่งเสียงขึ้นมา
"ทำไรอยู่ สาดน้ำรักกันหรือยัง"
อธิปพงศ์อดขำกับคำที่เพื่อนสรรหามาแซวไม่ได้ ก่อนจะตอบไป
"ยัง มึงมีไรวะ"
"พรุ่งนี้มีแพลนไปไหนยังมึง"
"ก็คงจะไปทำบุญกับแม่กับยาย หาอะไรกินกัน บ่ายๆไปสรงน้ำพระนั่นล่ะ"
"มึงสงกรานต์แบบผู้ดีมากอ่ะ งั้นกูไม่กวนและ สาดน้ำรักกันตามสบายนะคะ GN"
บอยส่งสติ๊กเกอร์มาราตรีสวัสดิ์ตามประสา อธิปพงศ์ยิ้มขำกับเพื่อนตัวดีก่อนจะวางมือถือและล้มตัวลงนอนที่เดิม
"ใครอ่ะครับ บอยเหรอ?" นิธินเท้าแขนรอถามคนรักที่กลับมานอนในอ้อมแขน
"ครับ ก็ไม่มีอะไรหรอก"
"ขอบคุณนะครับ"
นิธินกระซิบอ่อนโยนแต่อธิปพงศ์ไม่เข้าใจ
"หืมม..ขอบคุณอะไร?!"
"ขอบคุณที่ช่วยให้ผมกลับมาอยู่กับคุณไง"
"อ๋อออ.." อธิปพงศ์เข้าใจพร้อมรอยยิ้ม "มันแน่อยู่แล้วล่ะ ผมไม่ยอมนะที่จะอยู่คนเดียว หรือรอคุณนานๆอ่ะ"
แม้จะฟังดูกระเง้ากระงอดเอาแต่ใจ แต่นิธินก็ชอบนัก เลยมอบจูบที่หน้าผากเป็นรางวัล
นิธินยิ้มให้คนรัก พลางนึกถึงตัวเองที่หมั่นภาวนาขอพรพระผู้เเป็นเจ้าทุกเช้าที่ตื่นมา หรือทุกวันอาทิตย์ที่ไปวิหารเทพ แม้จะกลับมาทำงานที่บ้านเกิด แต่พรที่ขอคือได้ออกไปอยู่กลับคนรักที่ต่างแดน และสุดท้ายเขาได้กลับตามกำหนดเดิมแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ อย่างที่วอนขอจริงๆ นิธินมองตากลมโตนั้นเพื่อบอกว่า
"ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน"

End
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2019 01:47:50 โดย น้ำพริกแมงดา »

ออฟไลน์ น้ำพริกแมงดา

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +272/-0
    • เข้ามาเป็นคุยกันกับ "น้ำพริกแมงดา" ใน facebook page นะคะ
ส่วนอันนี้เป็น เพิ่มเติมสำหรับเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้เขียนเคยลงในเพจนะคะ

ขออนุญาติ Repost โพสนี้ใหม่ที่เคยเขียนเมื่อปี 2017 และแก้ไขบางส่วนให้ตามเวลาในตอนนี้ ในโอกาสที่มีคุณผู้อ่านใหม่เข้ามาติดตามเพจนะคะ คนเขียนเองไม่ได้มีผลงานใหม่หลังจากแบ่งรักให้อุ่นใจ จบไปนะคะ และขอไม่รับปากว่าจะมี เพราะตัวเองมองโลกต่างออกไปจากสมัยก่อนแล้วอ่ะค่ะ(ไม่ดราม่านะคะคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงในบางเรื่องตามกาลเวลา) ต้องกราบขอโทษในเบื้องต้นสำหรับคุณผู้อ่านที่รักกันและติดตามกันมายาวนานตั้งแต่เรื่องแรกและคุณผู้อ่านที่เพิ่งรู้จักกันด้วยนะคะ

เอาล่ะค่ะ มารู้จักนิยายเรื่องนี้ให้มากขึ้นดีกว่า

1.ในปี 2560 นี้ ที่นิยายตีพิมพ์ พี่หมูและพี่นิธิน ก็จะมีอายุ 38 ปี (ปี2555ในนิยายพวกเขาอายุ33ปีค่ะ) ปัจจุบันทั้งคู่อายุ 40 ปีค่ะ

2.พี่นิธินและพี่หมูยังทำงาน ใช้ชีวิตปกติ ตามประสาคู่รักวัย40 ที่ชีวิตค่อนข้างลงตัวแล้วค่ะ

3.กางเกงว่ายน้ำที่พี่หมูใส่ในเรื่องเป็นแบบ Biniki เหมือนที่นักกีฬากระโดดน้ำใส่กัน แต่ถ้าเป็นกางเกงใน คิดว่าคงมีแบบ Jackstrap ติดตู้บ้างค่ะ ตามประสาคนหุ่นดี Lean Body

ขอเคลียร์แทนตัวละครค่ะ เคยเห็นมีผู้อ่านบางคนบอกว่าพี่หมูแรด แค่ใส่กางเกงว่ายน้ำแบบBikini พี่งงเลย เค้าแค่เป็นคนหุ่นดีที่มีความมั่นใจค่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนหุ่นดี หรือคนที่มีความมั่นใจในตัวเองนะพี่ว่า อดทนเพาะกายและควบคุมอาหารมาก็ต้องอยากเห็นตัวเองในมุมที่Sexyต่อหน้าคุณแฟนบ้างสิคะ อีกอย่างพี่หมูซื่อสัตย์กับพี่นิธินคนเดียวนะคะ ไม่เจ้าชู้เหมือนตอนยังมีแฟนสาว ชีวิตคู่ที่ดีต้องสร้างสีสันให้กันและกันค่ะ

4.เป็นคู่รักสายประหยัดค่ะ มีบ้านแต่ไม่ได้มีรถ ขึ้นรถเมล์ บีทีเอส รถตู้ รถไฟตลอด เก็บเงินไว้ไปเที่ยว ลงทุนค่ะ

5.ถ้าพี่นิธินมี IG ส่วนใหญ่จะมีแต่รูปพี่หมู พี่นิธินเปลี่ยนมาใช้กล้อง Mirror lessแทนDSLR ตัวใหญ่เพราะพกพาง่าย ถ่ายรูปสวย ปัจจุบันกล้องมือถือซะส่วนใหญ่ค่ะ และก็ไม่มีลงรูป Sexy แน่นอน ขอพี่เก็บตัวจริงไว้ดูคนเดียวนะครับ

6.สำหรับพี่นิธินแล้วพี่หมูเป็นคนรักที่เป็นที่สุดในความประทับใจเท่าที่เคยมีมากับแฟนทุกคน เพราะเข้ากันได้ทุกอย่าง และจังหวะชีวิตลงตัวพอดีค่ะ

7.พี่นิธินเป็นหลานรักของยายพี่หมู และลูกรักของแม่พี่หมูเช่นกันค่ะ เพราะแม่กับยายรู้สึกว่า ตั้งแต่พี่หมูคบกับคุณนิธินแล้วเป็นคนที่ดีขึ้น สมัยก่อนพี่หมูเป็นผู้ชายเกเรค่ะ

8.ถ้าทั้งสองคนมีตัวตนจริง เจอทั้งสองคนได้ตามสนามวอลเล่ย์บอล สนามบาสเก็ตบอล ฟิตเนส โยคะสตูดิโอ ซุปเปอร์มาร์เกตที่ขายอาหารเฮลตี้ได้ค่ะ

9.พี่บอย เพื่อนสนิทพี่หมูในเรื่องเรียกทุกคนว่าอี แม้กระทั้งพี่แจ๊ค สองคนที่พี่บอยไม่กล้าเรียกอี คือพี่นิธิน กับพี่อ๊อฟ ค่ะ

10.พี่นิธินสมัยก่อนเป็นคนไม่นับถือศาสนาใดๆค่ะ แต่พอคบกับพี่หมูแล้วกลับมานับถือฮินดูบ้างเล็กน้อย เป็นที่พึ่งทางใจเรื่องความรักเวลาออฟฟิศส่งไปทำงานสำนักงานอื่นค่ะ ขอให้อยู่ไม่นาน ได้กลับมาไวๆ

11.ถ้ามีตัวตนจริงคู่นี้คงไปลงชื่อแก้กฎหมายสมรส มาตรา 1448 ค่ะ



ในเพจจะมี  ภาพลักษณ์ของพี่นิธิน พี่หมูยังไงที่ใช่ที่สุดของคนเขียนนะคะ มีหลายอันอยู่ค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ น้ำพริกแมงดา

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +272/-0
    • เข้ามาเป็นคุยกันกับ "น้ำพริกแมงดา" ใน facebook page นะคะ
ตอนพิเศษ 2563



เมษายน 2563

“ฮันหนี นอนยังครับ” นิธินโทรไลน์มาถามคนรัก ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่ง เขากลัวว่าอธิปพงศ์จะเข้านอนไปแล้ว
“ยังครับ”
“งั้นเป็นวิดิโอคอลนะ”
“ครับ” อธิปพงศ์รับคำ คุณพรเพ็ญผู้เป็นแม่ที่ล้มตัวนอนไปก่อนลุกขึ้นนั่งข้างๆลูกชาย เพื่อรอคุยทางวิดิโอคอลกับนิธินด้วยกัน
“ยังไม่นอนกับอีกเหรอครับ”
“ก็รอคุณคอลมานี่ล่ะ” อธิปพงศ์ตอบยิ้มๆ โดยมีคุณแม่สมทบให้กับคนที่อยู่ในจอด้วยเสียงสดใส
“ไงลูก เป็นไงมั่ง วันนี้”
“หวัดดีครับแม่ ก็ออกไปออฟฟิศมาอย่างที่บอกอ่ะครับ”
“และได้ไปซื้อของเข้าบ้านมั้ย”
“อืมไปมา” นิธินตอบเซ็งๆ กับบรรยากาศตัวเมืองที่เงียบสงัดเพราะโรคระบาดในเวลานี้ เขาไม่อาจเอางานมาทำที่บ้านต่างจังหวัดของอธิปพงศ์ได้ ด้วยตำแหน่งผู้บริหารระดับจูเนียร์ที่เพิ่งไต่เต้าขึ้นไปได้ มากกว่าโอกาสนี้มีไว้พิสูจน์ตัวเขา ก็คือภาระงานที่รัดตัวยิ่งกว่าช่วงปกติ เพราะโลกนี้จำเป็นต้องใช้ระบบปฎิบัติการแทนมนุษย์เพื่อเลี่ยงการแพร่เชี้อในช่วงโรคระบาด การควบคุมงานและนำเสนอองค์กรให้เป็นที่พอใจของลูกค้าจึงเป็นหน้าที่ของเขา
เขาไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่ไม่ได้ไปท่องเที่ยวหรือพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาวที่มันควรจะเป็น สิ่งเดียวที่เขาหงุดหงิดเล็กน้อย คือไม่สามารถขนภาระงานกลับไปอยู่บ้านสวนกับอธิปพงศ์ได้ แม้เขาจะต้องไปทำงานที่ที่ทำงานแค่สามวันต่อสัปดาห์ และบ้านของอธิปพงศ์มันจะใกล้กรุงเทพฯ แต่ขั้นตอนการคัดกรองผู้คนทำให้เขาและอธิปพงศ์เห็นตรงกันว่านิธินไม่ควรเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ-ลพบุรี ได้
“วันนี้คุณดูเครียดๆนะ”
“อื้อ เซ็งมากกว่า”
“โธ่ลูกเอ๊ย” คุณพรเพ็ญสงสารคนรักของลูกจับใจ เธอไม่อยากจะพูดประโยคเดิมที่เคยพูดถึงว่า นิธินเคยไปอยู่ที่อื่นไกลกว่านี้หลายเดือนมาแล้วผ่านมาได้ แต่เพราะใกล้เพียงร้อยกว่ากิโลเมตรแบบนี้แต่ไปหาไม่ได้นี่สิน่าจะเจ็บปวดกว่ากัน
นิธินรู้ตัวว่าทำให้คุณแม่เป็นห่วงเสียแล้ว เลยเปลี่ยนเรื่องคุย
“แล้ววันนี้ที่สวนละครับ เป็นไงมั่ง สลัดคุณขายดีมั้ย มีคนแอบมาตัดผมกับคุณมั้ยฮันหนี?”
“มีๆ สลัดก็เรื่อยๆ” อธิปพงศ์ตอบยิ้ม ๆ เพราะร้านตัดผมทั่วประเทศจำต้องปิดตามคำสั่งของทางการ เขาจึงเลือกกลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่ลพบุรีแทน
“วันนี้หมูทำอะไรเองโดยที่แม่ไม่ต้องสอนได้แล้วเยอะเลยนะนิธิน เริ่มเป็นชาวสวนครึ่งตัวแล้ว” คุณพรเพ็ญโอบไหล่ลูกชายคนเดียวด้วยความภาคภูมิใจ





พฤศจิกายน 2562

รถกระบะรุ่นใหม่ชะลอความเร็วหลังจากเข้ารั้วบ้านสวน ก่อนจะจอดนิ่งที่เพิงจอดรถข้างตัวบ้าน คุณพรเพ็ญกับอธิปพงศ์ผู้เป็นลูกชายคนเดียวลงมาจาก เธอกดรีโมตเพื่อล๊อกรถก่อนจะพากันลงมา บ่ายนี้เร็วเกินไปที่จะเข้าครัวเตรียมอาหารเย็น เธอบอกกับลูกชายถึงสิ่งที่จะไปทำ
"เดี๋ยวแม่ขอไปดูงานในสวนก่อนนะ"
"ครับ"
อธิปพงศ์รับคำเรียบๆ ร่างสูงแยกตัวเข้าไปเก็บของส่วนตัวในห้องตัวเอง สัมภาระของเขามีแค่ผ้าขนหนูของใช้ส่วนตัวเล็กน้อยในกระเป๋าใบเล็ก ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดขาวกางเกงยีนส์ แม้ไม่มีเส้นคิ้วดกดำและเส้นผมที่จัดแต่งทรง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เค้าหน้าความหล่อเหลาของเขาลดลงไปแม้แต่น้อย อธิปพงศ์เพิ่งลาสิกขาบทจากการบวชอุทิศส่วนกุศลให้คุณยายมาลัยของเขาผู้ล่วงลับ แม้จะใช้เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์ แต่ความรู้สึกของเขาต่อตัวเองในการกลับบ้านครั้งนี้กลับไม่เหมือนเมื่อตอนอุปสมบทครั้งแรก ในบ้านมีแต่ความเงียบเหงา กลิ่นไอความเศร้าโศกจับตัวอยู่ทุกมุมของบ้านที่ตอนนี้ไม่มียาย
   อธิปพงศ์วางสัมภาระทุกอย่างลง ก่อนจะเปิดโทรศัพท์มือถือที่ปิดเครื่องลงตลอดเจ็ดวันในการครองสมณเพศ การบวชคราวนี้เขาตั้งใจเลือกวัดที่เน้นสอนการปฏิบัติธรรม เขาตั้งใจเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณมาลัย ยายผู้เป็นที่รัก ส่วนหนึ่งก็หวังจะใช้โอกาสนี้รักษาจิตใจตัวเองไปในตัวด้วย เขาเพียงแค่เปิดเครื่องวางทิ้งไว้ไม่ได้หยิบมันขึ้นมาดู เพราะยังไม่พร้อมจะออกจากโลกสุขสงบ ที่เขาเพิ่งออกมา อธิปพงศ์เดินออกไปนอกห้อง ปล่อยให้เสียงแจ้งเตือนดังต่อเนื่องอยู่อย่างนั้น
  เขาเดินมาที่เรือนชำต้นไม้หลังบ้าน คุณพรเพ็ญแม่ของเขากำลังตรวจงานลูกน้องอยู่ สำหรับเขาแม่แกร่งและเก่งกว่าเขามากในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่จำความได้เขามีพ่ออยู่แค่นิดเดียว ที่เหลือคือมีแต่แม่กับตายาย จนตาเสียไปในช่วงแรกของวัยทำงาน คนในครอบครัวใกล้ชิดที่เหลืออยู่จึงมีแค่แม่กับยายเท่านั้น จะเจอญาติทางแม่และพ่อบ้างก็ต่อเมื่อหน้าเทศกาล หรืองานสำคัญของชีวิต เช่นงานศพของคุณยายมาลัยที่เพิ่งจัดไป แม่ของเขาเดินไปอีกมุมหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเดินไปดูเธอทำงานอยู่ห่างๆ ทิดสึกใหม่รู้สึกตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เห็นว่างานชาวสวนของแม่ช่วงบ่ายมีอะไรบ้าง บ่ายนี้แดดแรงจ้าเหมือนทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้แม่ของเขาลดพลังในการทำงานลง เธอกำลังสอนงานคนงานกลุ่มหนึ่งกับการทาบกิ่งต้นมะนาวคาเวียร์ ก่อนจะเดินไปตรวจดูการผสมดินปลูกเพื่อเตรียมส่งขาย เขายืนมองแม่อยู่ห่างๆสักพัก ก่อนจะตัดสินใจกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง
 สิ่งแรกที่เขาทำในรอบนี้ก็คือการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แต่ละแอปพลิเคชั่นมีการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวหลักร้อย แต่เขาไม่เลือกเปิดอะไรหรือตอบข้อความจากใคร เพราะเขาอยากอยู่นิ่งๆแบบนี้สักพัก ไม่อยากรับรู้อะไร แม้กระทั่งจากคนที่เขาอยากเจอที่สุด ไม่รู้ว่าได้ส่งข้อความอะไรถึงเขาเลยหรือเปล่าตลอดการอุปสมบทของเขาที่ผ่านมา อธิปพงศ์นอนอยู่สักพักจึงออกไปที่ครัว เพื่อเตรียมอาหารเย็นให้แม่ ตอนที่ยายมีชีวิตอยู่ตรงนี้เป็นอีกที่หนึ่งของยายในบ้าน อาหารในสำรับบนโต๊ะมีอยู่มากเพราะมีแม่ที่ทำกินแค่คนเดียวจึงไม่ต้องทำอะไรใหม่ แค่รอเวลาที่แม่เข้ามาในตัวบ้านแค่นั้น
บางทีชีวิตคนเราก็ว่างเกินไป อธิปพงศ์คิด และนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้าจะมารอเวลาที่บ้านแบบนี้ ตอนที่ยายเริ่มเจ็บป่วย เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆด้วยอาการป่วยตามวัยชรา อาการป่วยของยายแม้ไม่ใช่โรคร้ายแรงและยายก็ยังสามารถเดินได้แต่ก็ไม่ใช่อาการป่วยที่สามารถรักษาได้หายขาดอย่างวัยหนุ่มสาว ยายจึงขอร้องเขากับนิธินให้กลับบ้านมาดูแลบ่อยขึ้น อธิปพงศ์จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ร้านพี่กุ้ง เปลี่ยนมาเป็นช่างทำผมอิสระ เพื่อรายได้ที่มากขึ้นและการจัดสรรเวลาให้ลงตัวกับการมาเยี่ยมยายพร้อมนิธินที่ลพบุรีได้ทุกสัปดาห์ จากช่างตัดผม ที่ถนัดเรื่องการตัดแต่งทรงผม ต้องเปลี่ยนสายมาเป็นช่างทำผม เขาต้องไปเรียนรู้ใหม่จากเพื่อนร่วมอาชีพอย่างป๊อกกี้และอาจารย์ท่านอื่นที่พี่กุ้งแนะนำ รวมทั้งการแต่งหน้าที่เขาไม่เคยคิดจะทำด้วย จากตอนแรกที่เขารับงานโดยคู่กับช่างแต่งหน้าอีกคนที่บอยแนะนำให้รู้จัก แต่พอทำไปสักพักเขาพบว่ามีลูกค้าหลายคนถามถึงว่าเขาสามารถแต่งหน้าและทำผมได้ในคนเดียวหรือเปล่า ดังนั้นเพื่อโอกาสของตัวเอง เขาจึงต้องไปเรียนการแต่งหน้าสำหรับออกงานเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ช่วงนั้นเขาทั้งทำงานและเรียนรู้งานใหม่ทุกวันจนไม่มีเวลาให้กับตัวเอง นิธินที่ว่าทำงานหนักแล้วกลับมีเวลาลงตัวในชีวิตมากขึ้นถึงกับออกปากว่าเหนื่อยแทน เพราะอธิปพงศ์ต้องทำงานหนักกว่าทีร้านพี่กุ้งทุกวันตั้งแต่เช้าจะกลับเข้าบ้านพาสภาพอิดโรยมาอีกทีตอนดึก บางวันอธิปพงศ์ออกจากบ้านตั้งแต่ตีหนึ่งเพื่อไปแต่งหน้าและทำผมลูกค้าคู่บ่าวสาว ซึ่งถ้านิธินไม่ติดขัดอะไรก็จะไปด้วยกันเสมอ แม้อธิปพงศ์จะบอกว่าให้อีกฝ่ายพักผ่อนก็ตาม แต่นิธินก็ยังอยากไปกับเขาอยู่ดี
ตอนที่ยายป่วยเข้าโรงพยาบาล อธิปพงศ์นึกเสียดายเงินและเวลาที่ไม่ได้เก็บออมลงทุนไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆจนถึงก่อนมาพบกับนิธิน ตั้งแต่เขามีนิธินในชีวิต เขาเป็นคนมีวินัยและแรงจูงใจทางการเงินไปในทางที่ดี ไม่ว่าจะการออมหรือลงทุน เพราะนิธินเป็นตัวอย่างที่ดีใกล้ตัวและพร้อมจะสอนเขาในเรื่องพวกนี้อยู่เสมอ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะเสียดายเงินหรือเสียดายเวลาที่เจอกับนิธินช้าไปดี
“แต่ตอนนี้คุณก็เจอผมแล้ว ผมอยู่นี่ นี่ไง” นิธินบอกกับเขา ตอนที่เขาเคยพูดแบบนั้นให้ฟัง เขานึกขอบคุณนิธินที่ยังดูแลเขาเหมือนเดิมและอดทนในช่วงเวลาอันแสนวุ่นวายไม่หยุดนิ่งที่ผ่านมาของเขา ในวันที่พวกเขามาหายายที่นี่ บางสัปดาห์อธิปพงศ์เองก็ไม่ได้อยู่ติดบ้าน เพราะเขารับงานแต่งหน้าทำผมที่ลพบุรีไว้ด้วยเช่นกัน จึงมีแต่นิธินที่อยู่ดูแลยายกับแม่ในวันหยุดที่พวกเขากลับบ้านมาด้วยกัน
เมื่อนึกถึงความวุ่นวายของช่วงชีวิตที่ผ่านได้มาอธิปพงศ์ก็ยิ้มอ่อนให้ตัวเอง เหมือนเขาได้ทำทุกอย่างดีที่สุดตามความสามารถของเขาแล้ว
อธิปพงศ์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้น ถึงเวลาที่ต้องไปเตรียมสำรับกับข้าวอาหารเย็น เขาก็เข้าครัวไปทำหน้าที่ ชายหนุ่มพยายามไม่คิดถึงยาย แต่ก็อดไม่ได้ เขาคิดว่าวิญญาณของยายคงกำลังยืนมองเขาอยู่ในครัวนี้ บางทีอาจจะพากย์ให้เขาทำสิ่งต่างๆ ให้ถูกใจเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ เขากับแม่กินอาหารเย็นที่คือต้มกับแกงที่ทำตั้งแต่เช้าอุ่นใหม่กันเงียบๆ อธิปพงศ์กับแม่มีนิสัยเหมือนกันหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือเป็นคนพูดน้อยเหมือนกัน แต่แม่ก็ขอถามลูกชายกับสิ่งที่เธออยากรู้ เพราะตอนที่นั่งมาด้วยกันในรถ อธิปพงศ์ยังมีความเยือกเย็นกว่าตอนนี้
“เป็นไงมั่งลูก ไปบวชมารอบนี้”
“ดีครับแม่”
เขาตอบแม่แค่นั้น แต่แม่ก็อดสงสัยในคำว่าดีครับของลูกชายไม่ได้
“ยังไงลูก ดีของหมูเนี่ย?”
“ก็ทางวัดเน้นให้ปฎิบัติธรรมอ่ะครับ ทุกวันมีกิจกรรมทั้งวันเลย ไม่ได้นั่งๆนอนๆ ก็นอกจากทำวัตรเช้าเย็น ให้ไปฝึกนับลมหายใจของตัวเอง เรียนปฎิบัติธรรมหัวข้อต่าง ๆ เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ครับ”
“อ๋อ ดีนะลูก” แม่ยิ้มปลื้ม “เฮ้อ ป่านนี้ยายคงดีใจนะที่หมูตั้งใจทำให้เขาได้ขนาดนี้”
“ครับ”
แม่ลูกยิ้มให้กันแค่นั้นเป็นการจบบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร อธิปพงศ์เศร้าใจลึกๆ ว่าเจ็ดวันที่ผ่านมา แม่ของเขาต้องกินข้าวเย็นเงียบๆคนเดียวแบบนี้หรือ เขาเหลือบมองแม่ ในหัวมีเรื่องที่ต้องกลุ้มใจเรื่องใหม่เข้ามาแล้ว

อธิปพงศ์ขึ้นมาบนบ้าน ผนังบ้านแบบฝาปะกนมีรูปภาพต่างๆที่ใส่กรอบแขวนติดไว้ แต่รูปที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้คงจะเป็นรูปในงานรับปริญญาโทใบที่สองของนิธิน ที่มีทุกคนในครอบครัวของเขาและนิธินพร้อมหน้ากัน ทำให้ชายหนุ่มคิดถึงวันนั้น จนหยิบอัลบั้มรูปถ่ายที่อยู่ในชั้นใกล้ๆออกมาดู ด้วยความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นิธินคิดว่าตัวเองต้องมีปริญญาโทอีกใบในด้านการจัดการองค์กร เขาจึงสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย อธิปพงศ์จำชีวิตช่วงนั้นได้ดี จากที่นิธินเคยมารอรับกลับบ้านหรือไปใช้เวลาในสนามกีฬาด้วยกัน กลายเป็นว่าเขาต้องไปรอนิธินกลับบ้านเสียเอง ดีว่ามหาวิทยาลัยของนิธินใกล้ที่ทำงานเขามาก จึงไม่มีอะไรทำให้พวกเขาไกลห่างมากนัก นอกเสียจากความเหน็ดเหนื่อย และการออกไปทำงานกลุ่มของนิธินในบางครั้ง แต่เขาก็เข้าใจและอดภูมิในในตัวคนรักไปเสียไม่ได้ อีกรูปที่เล็กลงมา เป็นรูปของพวกเขากับแม่และยายเมื่อครั้งไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันเมื่อสองปีก่อน เขาจำได้ดีว่าทริปนั้นยายไม่บ่นสักคำ แม้จะต้องนั่งเครื่องบิน ต่อรถ ขึ้นดอยไกลๆ
“หมูทำอะไรน่ะลูก”
“ดูรูปตอนนิธินรับปริญญาอยู่อ่ะแม่”
“เหรอ” คุณพรเพ็ญยิ้มสุขใจ และดูรูปในอัลบั้มไปพร้อมกับลูกชาย
“ผมไม่เคยเห็นยายมีความสุขอะไรขนาดนี้เลยนะแม่” อธิปพงศ์มองดูรูปต่างๆ ที่ทุกคนในครอบครัวแต่งตัวสวยงามเป็นพิเศษ คุณแม่เอกตราของนิธินโดดเด่นในชุดส่าหรีอย่างดีโดยมีคุณพ่อและพี่ชายพี่สะใภ้กับหลานๆ ยืนอยู่ไม่ห่าง แม่พรเพ็ญกับยายมาลัยดูสวยแปลกตาในชุดผ้าไหมมัดหมี่ที่ไปตัดใหม่สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ นิธินดูสง่างามในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม คลุมด้วยชุดครุยวิทยะฐานะผ้าโปร่งที่มีแถบตราของมหาวิทยาลัย เขาพอจะรู้ดีว่าทำไมแม่และยายของเขาดูมีความสุขเป็นพิเศษ รูปส่วนใหญ่จะมีแต่ภาพคุณยายยืนยิ้มเกาะแขนมหาบัณฑิตอย่างปลาบปลื้ม อธิปพงศ์เคยเห็นความสุขของยายกับแม่แบบนี้จากเขาครั้งหนึ่งเมื่อตอนวันที่เขาอุปสมบทแค่นั้นแต่มันก็ไม่เอ่ออ้นทรงพลังเท่านั้น และนิธินก็เป็นคนที่ทำให้พลังความสุขล้นพ้นแบบนี้กลับมาให้เห็นอีกครั้ง
"ไปงานรับปริญญาหลานเขยทั้งทีนี่ลูก” แม่ลูบหัวเขาและตอบแค่นั้น แต่ความหมายรวมถึงความรู้สึกของเธอเองด้วย แม่อย่างเธอก็มีความฝันที่จะเป็นภาพนี้ของลูกชายเช่นกัน เมื่ออธิปพงศ์ไม่มีโอกาสแบบนี้ในชีวิตเธอก็ไม่ได้โกรธอะไรลูกชาย แต่เมื่ออธิปพงศ์มีคนรักที่พาชีวิตเขาไปในทางที่ดี และยังให้เธอและยายมาลัยผู้เป็นแม่ได้สัมผัสความรู้สึกที่เคยฝันมาทั้งชีวิตแบบนี้ ความสุขมันจึงฉายออกมาอาบเอิบอย่างที่ปิดบังไม่ได้ อธิปพงศ์ชี้ไปยังรูปนึงที่ยายคว้านิธินมาหอมแก้มอย่างชื่นใจ
“ยายหอมนิธินบ่อยมากวันนั้น แม่นิธินงงเลย แม่จำได้มั้ย หึหึ”
“อื้อ” แม่ยิ้มรับ วันนั้นเป็นการพบกันครั้งแรกของเธอกับครอบครัวนิธิน แม้ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าทางโน้นก็ดีใจที่ได้เจอเธอและแม่เช่นกัน อย่างที่อธิปพงศ์เคยเล่าให้เธอฟังว่า นี่ก็เป็นครั้งแรกที่บ้านนิธินมางานรับปริญญาของนิธินเช่นกัน เพราะเมื่อตอนปริญญาโทใบแรก มากกว่ายังมึนตึงกันก็คือพวกเขาไม่สามารถเดินทางไปอังกฤษได้ทั้งครอบครัวแบบนี้ได้
“นี่รูปนี้” แม่ชี้ให้ดู ในรูปมีเขากับนิธินหอมแก้มยายคนละข้าง “แม่ชอบ น่ารักดี”
อธิปพงศ์มองตามและยิ้มเศร้าๆ คิดถึงคนในรูป เขาหันไปมองแม่และคิดถึงชีวิตของแม่ต่อจากนี้ไปด้วย
“แม่ครับ ผมไม่อยากให้แม่อยู่ที่นี่คนเดียวเลย”
คุณพรเพ็ญนิ่งเงียบไป มันคือความจริงที่ครอบครัวเธอต้องเผชิญ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาบ้านหลังนี้มีแค่เธอกับแม่อาศัยอยู่เท่านั้น เจ็ดวันที่ผ่านไป เธอพยายามใช้ชีวิตให้ปกติที่สุด แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น ความรู้สึกเงียบเหงามันได้ยึดครองบ้านหลังนี้แล้ว
“แม่ให้คนอื่นเช่าทำมั้ย แล้วไปอยู่กับผมที่กรุงเทพฯ อย่างน้อยก็มีผม มีนิธินอยู่กับแม่นะครับ” อธิปพงศ์พูดแล้วน้ำตาไหล ทำเอาคนเป็นแม่ก็หลั่งน้ำตาตามไปด้วย เธอกอดลูกชายคนเดียวไว้แน่น แม้ไม่มีการสะอื้น แต่น้ำใสๆก็ยังไหลออกมาไม่หยุด ยังไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับเรื่องนี้ในตอนนี้
คืนนั้น เป็นคืนแรกที่แม่กับลูกชายนอนห้องเดียวกันหลังจากแยกห้องนอนตามวัยเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว คืนนี้อธิปพงศ์ไปนอนแทนที่นอนของยาย สองแม่ลูกนอนมองเพดานคิดไม่ตกกับชีวิตที่ต้องไปต่อ แต่แม่ก็คือแม่ที่หาเรื่องคุยกับลูกชายคนเดียวที่ยังนอนไม่หลับเช่นกันจนได้
“แล้วบอกนิธินหรือยังลูกว่าสึกแล้ว”
“บอกแล้วครับ พรุ่งนี้เค้ามา”
“อ่อ” แม่รับทราบ “แล้วนี่นิธินกับลูกใครขี้หึงกว่ากัน” แม่ถือโอกาสถามเรื่องที่อยากรู้
“แม่คิดว่าใครล่ะ”
“ลูก”
“นิธินสิแม่” อธิปพงศ์ตอบยิ้มๆ
“หะ จริงเหรอเนี่ย” แม่แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “แม่นึกว่าหมูซะอีก ยังไง?”
“ก็เขาไม่ชอบให้ผมไปเล่นบาสอ่ะ ตอนแรกก็ไม่ได้บอกหรอกแต่อาการมันฟ้อง”
“หะ?” แม่เริ่มสนใจหันมานอนฟัง
“ก็แบบ ตอนที่ไปรอเค้าเรียนป.โทแหละ บางวันเค้าเลิกดึกผมก็เลยไปเล่นบาสกับกลุ่มเพื่อนแจ๊ค บางวันก็ยังเล่นไม่จบเกมส์ เขามายืนดูหน้าบึ้งรอผม ไม่พูดอะไรตอนกลับบ้าน”
“โห นิธินก็งอนเป็นเหมือนกันนะเนี่ย”
“ก็ นั่นล่ะ เขาจะไม่ชอบเลยเวลาเห็นผมไปเล่นบาสกับเด็กๆ บางคนตัวสูงใหญ่กว่าผมมาก เคยถามอยู่เค้าบอกไม่อยากเห็นผมเล่นเกมส์สไตล์ปะทะกับใคร”
“หรือเห็นว่าอยู่กับหนุ่มๆกว่าหรือเปล่า” แม่ถาม
“คงงั้นด้วยมั้งครับ คือเล่นกับพวกบอย แจ๊ค อ่ะได้ แต่กับทีมที่เค้าไม่รู้จักนี่เค้าไม่ค่อยชอบอ่ะ”
“แล้วไงต่อ พวกนั้นรู้มั้ยว่าแฟนหมูไม่ชอบ”
“ก็ไม่นะครับ อ่อ มีวันนึง ผมโดนชนจนล้ม แล้วนิธินที่รออยู่เห็นพอดี นิธินวิ่งฝ่าเด็กๆเข้ามาหาผมกลางสนาม น้องคนที่ชนพยายามจะช่วยผม เลยถูกนิธินพูดว่า “Don’t touch him!” ใส่ น้องคนนั้นหน้าเสียเลย”
 อธิปพงศ์เขินอายเกินจะเล่าต่อว่า หลังจากดุนักบาสเก็ตบอลคนนั้นแล้วเขาได้ช้อนตัวอธิปพงศ์ขึ้นมาอุ้มออกไปจากกลางสนามหน้าตาเฉย ท่ามกลางสายตาตกตะลึงและสะพรึงกับพละกำลังของผู้ชายในชุดทำงานคนนี้ ที่สามารถอุ้มคนรักตัวสูงลีนได้อย่างหน้าตาเฉย ในสนามมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเกมส์จึงดำเนินต่อ  แต่ข้างสนาม อธิปพงศ์กำลังถูกคนรักและคนที่มีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลซักถามถึงอาการบาดเจ็บ เมื่อพบว่าไม่มีอะไรแตกหัก อธิปพงศ์จึงขอตัวไปคลายกล้ามเนื้อ วันนี้เขาคงไม่ต้องลงสนามได้อีกแล้ว
“ผมขอโทษนะครับพี่หมู” หนุ่มร่างใหญ่คู่กรณีมาไหว้ขอโทษทั้งคู่หลังเกมส์จบอีกครั้ง “พี่ด้วยนะครับ”
นิธินที่ใจเย็นลงแล้วยกมือรับไหว้เด็กหนุ่ม “พี่ก็ขอโทษด้วยเหมือนกันที่ดุเมื่อกี๊” เขารู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็ละอายใจเหมือนกันที่ความไม่พอใจของเขามันถูกระเบิดออกกับคนที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนอย่างนี้ วันนั้นนิธินเองก็กลับบ้านไปแบบรู้สึกผิดเช่นกัน อธิปพงศ์เข้าใจดี จึงกลายเป็นต้องปลอบใจคนรักกันเสียนาน ก่อนจะเปิดใจคุยกัน อธิปพงศ์ได้ฟังคำถามและเหตุผลของคนรักแล้วก็ชวนหัวในบางเรื่องไม่ได้ นิธินถามอธิปพงศ์ว่าได้คุยกับเด็กๆพวกนั้นมากกว่าเล่นบาสด้วยกันมั้ย เพราะเห็นหลายคนก็สูงใหญ่และหน้าตาดี และเหตุผลจริงๆคือเขาไม่อยากให้ใครถึงเนื้อถึงตัวอธิปพงศ์ เวลานักบาสเก็ตบอลเล่นกันมีบางจังหวะที่ต้องประกบอีกฝ่าย
“โอ๊ย ตอนนั้นตัวเหม็นกันทุกคนแล้ว ใครจะมาคิดแบบคุณเนี่ย” อธิปพงศ์ถอนใจ
“ผมงี่เง่าเนอะ” นิธินสรุปแบบนั้น โดยที่อธิปพงศ์ได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ แต่ก็ลูบแขนซบไหล่ปลอบใจคนงี่เง่าไปด้วย

มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ น้ำพริกแมงดา

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +272/-0
    • เข้ามาเป็นคุยกันกับ "น้ำพริกแมงดา" ใน facebook page นะคะ
“แล้วต่อมาหมูได้เล่นบาสอีกมั้ย”
“ก็ได้อ่ะแม่ แต่ไม่ได้ไปเล่นทุกวันแล้ว บางวันไปหาตอนเค้าเลิกเรียนพอดี”
“อืม แล้วหมูว่ายังไง ลูกเองรู้สึกแบบนี้กับนิธินหรือเปล่าเวลาเค้าต้องไปเจอคนอื่น”
“ก็..มีบางล่ะครับ” อธิปพงศ์ตอบเสียงเบาๆ “นิธินไม่ค่อยเจอใครหรอกแม่ แม่สบายใจได้นะครับ”
“จ้ะ” แม่ยิ้มรับ ก่อนจะหันกลับมาเพื่อพยายามนอนให้หลับ แม้จะมีความสุขที่ได้ยินเรื่องราวน่ารักๆของลูกชายกับแฟนหนุ่มแล้ว แต่ปัญหาก็คือปัญหา ที่เธอกับลูกชายต้องหาทางออกไปด้วยกันให้ได้ คุณพรเพ็ญมั่นใจว่าสามารถอยู่บ้านนี้คนเดียวได้แต่เห็นจากแววตาเจ็บปวดของลูกชายแล้ว เธอเองไม่อยากเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ใจของลูกที่ก็เป็นห่วงเธอมากเช่นกันเลย

เช้าวันใหม่ของลองแม่ลูกเริ่มต้นอย่างเรียบง่าย เพียงแต่เช้านี้ของคุณพรเพ็ญมีอธิปพงศ์มาใส่บาตรด้วยกันต่างจากทุกวันที่ผ่านมา เธอไม่อยากคิดมากกับเรื่องที่ค้างคาในหัว เมื่อกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเสร็จแล้ว เธอก็ถามลูกชายถึงนิธิน
“แล้วนี่นิธินจะมากี่โมงลูก”
“ผมว่าเดี๋ยวช่วงเที่ยงๆคงถึงบ้านเรา เพราะว่าเค้ามากับแจ๊คกับบอยอ่ะครับ นี่เค้าบอกว่าออกมาแล้ว”
“อืม” แม่รับคำแค่นั้น ก่อนจะแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวของตัวเองแล้วมานั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน

Mercedes Benz G-Class สีดำกำลังมุ่งหน้าสู่เมืองลพบุรี ขณะนี้เก้าโมงเช้า นิธินเหม่อมองข้างทาง เขาไม่อาจงีบหลับลงได้
“เป็นไรอ่ะ ตื่นเต้นเหรอนิธิน” บอยหันมาถามคนข้างๆ พลกฤษณ์เจ้าของรถที่ขับอยู่เงี่ยหูฟังว่าเพื่อนจะพูดอะไรกัน เบาะหน้าของวันนี้เป็นที่นั่งของพีร์ บอยจึงต้องมานั่งข้างหลังกับนิธิน
“อืม” นิธินพยักหน้า รอยยิ้มน้อยๆซ่อนไม่มิดเพราะเขินที่เพื่อนก็รู้ว่าเขารู้สึกอะไรในตอนนี้
“โหย อะไรวะ ไม่เบื่อกันมั่งเหรอพวกแก”
“หึ” นิธินปฏิเสธ
“ยังไงวะคะ? พวกมึ..เอ่อ พวกแกอยู่ด้วยกันทุกวัน นี่ไม่เจอกันเจ็ดวันเองป่ะ” ถึงแม้บอยจะสนิทสนมกับนิธินมากขึ้นตามกาลเวลาแต่นิธินก็ยังเป็นคนที่บอยรู้สึกเกรงใจอยู่เสมอ

“ก็ ผมไม่เคยห่างกับหมูแบบนี้เลย ต่อให้ไปทำงานที่ออฟฟิศอื่น เราก็วิดิโอคอลคุยกันทุกวัน แค่รู้เวลาเมืองไทย แล้วรู้ว่าตอนนั้นหมูทำอะไรอยู่ แต่เนี่ยเป็นเจ็ดวันที่ผมไม่ได้คุยกับเขา ไม่ได้เห็นหน้าเขาเลยไง” ชายหนุ่มนึกถึงเจ็ดวันที่ผ่านมา ที่เขาพยายามข่มใจไม่พิมพ์อะไรไปในไลน์ของอธิปพงศ์ สิ่งที่เขาทำได้ มีเพียงแต่ดูรูปอีกฝ่ายแก้คิดถึงเท่านั้น แม้อยู่ด้วยกันมาใกล้จะสิบปีแล้ว แต่มันก็เป็นแค่เวลาที่ผ่านไป เพราะเขาไม่เคยรู้สึกเคยชินกับการไม่ได้อยู่กับอธิปพงศ์มากขนาดนี้เลย

“อูววว” บอยทาบอกเมื่อได้ฟัง “แต่หมูแม่งเนาะ มันตั้งใจบวชให้ยายมันจริงๆ” บอยนึกถึงวันอุปสมบทของเพื่อนที่คราวนี้พวกเขาทุกคนได้มาร่วมงาน เป็นงานบวชเล็กๆไม่มีเครื่องแห่งานเลี้ยงรื่นเริง แค่มีขั้นตอนที่ถูกต้องตามหลักการอุปสมบท เขายังจำได้ดีตอนเห็นเพื่อนเป็นพระใหม่ออกมาจากพระอุโบสถ อธิปพงศ์ดูสงบนิ่งจนเขาไม่กล้าเอ่ยปากใดๆนอกจากยกมือไหว้อนุโมทนา และเห็นแฟนเพื่อนนิ่งลงเพราะต้องทำใจให้ได้กับชีวิตอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ต้องอยู่คนเดียว ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาได้เจอกับนิธินที่สนามวอลเล่ย์บอลแล้วแค่ครั้งหนึ่ง ก็พอรู้ได้ว่าคนรักของเพื่อนดูหงอยเหงาลงอย่างเห็นได้ชัด
“เออ ตอนงานศพยายอ่ะ นิธิน รู้มะว่าแฟนเก่าหมูมางานกี่คน” บอยนึกอะไรสนุก ๆ ออกจึงลองถามแบบนั้นแกล้งคนตัวใหญ่
“เท่าที่ผมรู้ ผมเห็นแค่คนที่เป็นหมอแค่คนเดียวนะ”
“เชรดด รู้จักจิ๊บด้วย”
“อื้อ ก็รู้จักตอนพายายไปหาหมอนี่ล่ะ ผมเคยเจอที่โรงพยาบาล เค้าเป็นคนนึงที่รักษายาย”
“หูยยย ยังไงอีก หมูมันเล่าอะไรให้ฟังมั้ย”
“ก็บอกแค่ว่าเคยคบกันตอน High school เป็นแฟนคนแรกคนเดียวที่แม่กับยายรู้จัก”
“มันเล่ามะทำไมถึงเลิกกัน”
“อืม เค้าบอกตอนนั้นเกเรมาก เจ้าชู้มาก มีคนอื่น..เยอะ”
“เออ คนจริงว่ะ แฉตัวเองให้ผัวฟังได้ด้วย”
พลกฤษณ์ที่ขับรถอยู่ถึงกับนั่งเงียบไม่กล้าหันไปมองพีร์ที่มองเขาอยู่ เพราะเรื่องสมัยวัยรุ่นของอธิปพงศ์ไม่ต่างอะไรจากเขาเลย ไม่รวมที่ว่าเคยคบกับเด็กเรียนผู้มุ่งมั่นเป็นหมอเหมือนกันอีกด้วย ส่วนนิธินก็ถามบอยต่อ
“ทำไมเหรอ วันนั้นมีใครมาอีกเหรอ”
“ไม่มีหรอก ถึงมีก็ไม่สำคัญล่ะตอนนี้”
“มึงเริ่มเองนะบอย มึงจบให้ดีๆ” พลกฤษณ์ส่งเสียงมา
“อย่าใส่ใจเลย อีพวกนั้นมีลูกมีผัวกันไปกี่คนแล้ว หมอจิ๊บเองก็เถอะ”
“ใช่ๆ เค้ามีลูกสองคนล่ะ” นิธินพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้
“แล้วตอนหมอจิ๊บรู้ว่านักเยในตำนานอย่างหมูมันเป็นแฟนกับนิธินนี่นางไม่ตกใจเหรอนิธิน”
“ก็ตกใจ เค้าก็ถามเหมือนที่บอยเคยถามตอนเจอกับหมูนั่นล่ะ”
“เออ ตลกว่ะ ทุกคนคงไม่คิด คิดว่าอย่างหมูมันน่าจะมีเมียชะนีเผ็ดๆมากกว่า” บอยเปลี่ยนเรื่องคุย
“มึงล่ะอีแจ๊ค ส่งพวกกูแล้วไปแค้มปิ้งวังก้านเหลืองเลยใช่มะ”
“ใช่ๆ” พลกฤษณ์สมทบ “กูเห็นรีวิวว่าใกล้ๆ แล้วมันที่เดียวกับบ้านหมูกูเลยอยากมา มึงอ่ะไม่ไปกับพวกกูแน่นะ”
“ไม่อ่ะค่ะ เป็นทริปคู่รักละกัน ไว้ทริปเพื่อนฝูงค่อยว่ากันนะคะ”
“เออได้” พลกฤษณ์รับคำก่อนจะนึกออก “เออ วันคริสมาตร์นี่มึงอย่าลืมปาร์ตี้ที่บ้านกูล่ะ นิธินกับหมูด้วย มาให้ได้นะ”
“โหย ไม่ลืมอยู่แล้วค่ะ กูดีใจจะตายที่มะม้ามึงชวนกูเนี่ย”
บทสนทนาในรถขับเคลื่อนโดยพลกฤษณ์กับบอยโดยมีพีร์เออออด้วยเป็นระยะ ๆ ส่วนมากจะเป็นเรื่องอื่นและเกมส์ออนไลน์ที่นิธินไม่ได้สนใจ รถยังอยู่บนถนน แต่จิตใจของเขาอยู่ที่บ้านสวนของแม่อธิปพงศ์แล้ว
“แม่ ดินปลูกนี่ผสมยังไงนะครับ” อธิปพงศ์ลองมาช่วยงานในสวนกับแม่ ถึงเขากับแม่จะมีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง แต่ก็มีสิ่งที่ต่างกันหลายอย่าง รวมถึงความชอบ ความสนใจด้วย อธิปพงศ์ชอบความสวยงามจึงเป็นช่างผม ต่างกับแม่ที่รักธรรมชาติจึงเป็นเกษตรกร
“ดินปลูกอะไรล่ะลูก ปลูกผักหรือปลูกไม้ดอก ไม้ยืนต้น”
“อ่าวมันไม่ใช่ดินตัวเดียวกันเหรอแม่”
“หึ” คุณพรเพ็ญส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ไม่ใช่จ้ะ”
อธิปพงศ์หน้าเสียเล็กน้อย เขาเห็นแม่ทำงานนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่รู้อะไรมากเลยกับสิ่งที่อยู่ในบ้าน การตั้งใจจะมาช่วยนี้ดูเหมือนจะเพิ่มงานให้แม่ไปอีก 
“มาสิ เดี๋ยวแม่สอนให้ ทำสูตรไม้ประดับไม้กระถางก่อนละกันนะ มันพร่องอยู่พอดี” เธอบอกกับลูกชายอย่างใจดี “หมูเทดินทรายลงไปถังนึงนะ” อธิปพงศ์ใช้ถังสิบลิตรตักดินทรายมาจากกองลงอ่างผสมปูนที่ใช้เป็นภาชนะสำหรับผสมดินปลูกในสวนนี้
“แล้วก็เอาแกลบดินกับแกลบเผาถ่านเทลงไปอย่างกระสอบ”
ชายหนุ่มทำตามคำแม่ ก่อนจะหยิบจอบผสม แม่ก็ทักท้วงขึ้นมา
“ยัง เหลือขี้ควายกับน้ำหมักนะ”
อธิปพงศ์มองหน้าแม่อึ้งๆ เขาเอารถเข็นไปขนกระสอบขี้ควายที่กองไว้อีกมุม ก่อนจะเทลงไปผสมพร้อมกับน้ำหมักจุลินทรีย์ที่แม่เขาทำเอง เขาใช้จอบคนผสมให้เข้ากัน ก่อนที่แม่จะบอกให้เขาตักลงถุงเพาะชำปริมาณครึ่งถุง ที่เหลือในกระบะบางส่วนเธอเรียกคนงานมาช่วยกันเอาดินที่ผสมเสร็จนี้ไปพึ่งแดดเป็นเวลาสองวัน
“เป็นไงลูกงานชาวสวน” คุณพรเพ็ญมองหน้าลูกชายคนเดียวที่มีความท้อในแววตา
“แม่ต้องจำสูตรดินสูตรทุกอย่างในนี้หมดเลยเหรอครับ”
“จ้ะ” คุณพรเพ็ญตอบแค่นั้น มือหยาบกร้านชุ่มเหงื่อของเธอลูบแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามของลูกชาย ผิวพรรณขาวเนียนอย่างชาวกรุงยังไม่ถูกแดดทำร้ายมากนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงผิดหวังที่เห็นแบบนี้ แต่กับตอนนี้เธอไม่ถือสาอะไร เพราะลูกชายของเธอรักและถนัดงานอื่นที่เธอเองก็ทำไม่ได้เลยเช่นกัน ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าบางเดือนเงินหมุนในสวนนี้ก็เป็นเงินที่ลูกชายหาส่งมาให้ทั้งนั้น รวมถึงรถกระบะคันใหม่ที่เขาซื้อให้ด้วย
“ไม่เป็นไรนะลูก ค่อยๆทำไป แม่เชื่อว่าหมูทำได้ เดี๋ยวไปดูแม่เอากล้ามะม่วงลงดินดีกว่า”
“ครับแม่” อธิพงศ์รับคำแม่ เขานึกไม่ออกเลยว่าถ้ากลับมาอยู่กับแม่จริง ๆ เขาจะช่วยหรือสร้างงานให้แม่เพิ่มกันแน่

รถของพลกฤษณ์เลี้ยวเข้าบ้านสวนของอธิปพงศ์ ทันทีที่เครื่องยนต์ดับลง ร่างสูงใหญ่ของนิธินก็เปิดประตูลงมาให้คนงานอยู่แถวนั้นเห็นก่อนเป็นคนแรก นิธินเข้าไปถามคนงานชายที่กำลังเข็นกระสอบดินปลูกออกมากองหน้าสวน
“หมูอยู่ไหนครับ?”
“อ่อ อยู่ตรงผักสลัดกับป้าแมวน่ะ”
ได้ยินดังนั้นเขาก็ยิ้มให้คนงานเป็นการขอบคุณ ก่อนจะวิ่งไปยังแปลงผักสลัดที่อยู่ทางทิศตะวันออกของสวน อธิปพงศ์ได้ยินเสียงรถก็รู้ว่านิธินมาแล้วก็เดินออกมาหารอคนรักที่ด้านนอกของแปลงผัก

เพียงแค่ทั้งคู่เห็นหน้ากันและกัน ความรู้สึกต่างๆ ก็ทำให้ทั้งคู่คว้ามือของอีกฝ่ายมาจับไว้ แม้จะอยากกอดกันแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังรู้ว่ามีสายตามากมายจับจ้องดูอยู่

"แม่สวัสดีครับ"
เสียงทักทายของเพื่อนข้างหลังทำให้อธิปพงศ์ปล่อยมือจากคนรัก
"อ่าวมากันหมดเลย หวัดดีลูก" คุณพรเพ็ญรับไหว้พลกฤษณ์ที่พาแฟนของเขามาด้วยในครั้งนี้อย่างเอ็นดู
"แล้วบอยล่ะลูก?"
"ส่งมันที่บ้านแล้วครับ แต่บอยฝากบอกเย็นๆมาหา"
"จ้า"
"งั้นเดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ"
"อ่าวไม่อยู่คุยกับหมูก่อนเหรอลูก"
"อ่อ คือเดี๋ยวผมไปน้ำตกวังก้านเหลืองต่ออ่ะครับ ไปแค้มปิ้งกัน"
"อ่อจ้า ขอบใจมากๆนะแจ๊ค"

พลกฤษณ์กับพีร์ยกมือไหว้คุณพรเพ็ญ นิธินกล่าวขอบคุณพลกฤษณ์ที่มีน้ำใจมาส่ง โดยเจ้าตัวตบไหล่นิธินเบาๆรับคำขอบคุณ เขาหันไปมองพีร์ที่มองอธิปพงศ์ด้วยความหลงใหลแม้เก็บอาการแล้ว จริงอยู่เพื่อนของเขาดูดีแม้ไม่มีคิ้วและเส้นผมในตอนอุปสมบท หรือกระทั่งตอนนี้ในชุดชาวสวนที่มีหมวกและเสื้อแขนยาวคลุมตัว แต่เขาก็ไม่ชอบให้พีร์มองใครแบบนี้อยู่ดี จึงกระแอมเบาๆให้พีร์รู้ตัวก่อนจะพากันเดินออกไป

"ทำอะไรอยู่ครับฮันหนี?"
"ช่วยแม่ตากดินของแปลงนี้อยู่" อธิปพงศ์ตอบยิ้มๆ
"งั้นเดี๋ยวผมมาช่วยนะ"
"ครับ"
คุณพรเพ็ญมองลูกชายที่ตอนนี้อยู่กับคนรักอย่างปลาบปลื้ม เธอมองตามหลังนิธินที่เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในบ้าน ทุกวันหยุดที่ผ่านมาถ้าทั้งคู่กลับมาบ้านนิธินมักจะอยู่ช่วยเธอทำงานในสวนนี้ เพราะอธิปพงศ์เป็นคนไปเฝ้ายายที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล
เธอยังจำครั้งแรกที่เจอคนรักของลูกได้ดี นิธินหล่อเหลาและอบอุ่นเหมือนพระเอกในหนังบอลลีวูดอย่างที่แม่ของเธอว่าไว้ เมื่อเธอเข้าไปหาลูกชายก็ไม่ได้กลิ่นบุหรี่ตามตัวหรือผ่านลมหายใจเหมือนทุกครั้งที่เคยเจอ เธอประหลาดใจและดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นลูกชายคนเดียวทำในสิ่งที่เธอปรารถนานั่นก็คือการเลิกสูบบุหรี่ได้เสียที และเมื่อเจอกันครั้งต่อๆมาอธิปพงศ์ก็ดูดีขึ้น มีความคิด ความรับผิดชอบที่ดีขึ้นสมวัย
คงเป็นเพราะนิธินที่เปลี่ยนลูกชายของเธอ จริงอยู่ที่เธอเคยเป็นห่วงว่าความเป็นชาวต่างชาติ และความแตกต่างทางการศึกษาจะเป็นปัญหากับชีวิตคู่ของลูกหรือไม่ แต่เวลาที่ผ่านมานั้นก็พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เธอเคยบอกกับอธิปพงศ์ก่อนที่จะตกลงปลงใจกับนิธินเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
นิธินออกมาในชุดชาวสวนพร้อมทำงานเหมือนทุกคนในสวน ตอนนี้เป็นเวลาใกล้จะสิบเอ็ดโมงเช้า งานช่วงเช้าส่วนใหญ่เป็นงานกลางแดดอย่างเช่นปรับหน้าดินแปลงผักสลัดที่เพิ่งเก็บส่งขายไป นิธินช่วยอธิปพงศ์กับคุณพรเพ็ญตากดินที่แปลงผักสักพักก็เสร็จ พวกเขาทำงานส่วนอื่นต่ออีกหน่อยก่อนจะพักเที่ยง และเริ่มงานช่วงบ่ายที่เป็นงานในร่มอย่างบรรจุดินปลูกลงกระสอบ และปลูกชำต้นไม้ ที่ลูกชาวสวนอย่างอธิปพงศ์ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ต่างกับนิธินที่ดูคล่องแคล่วกว่าอย่างเห็นได้ชัด คนงานสองสามคนกลับบ้านเมื่อเมื่อถึงเวลาเลิกงาน เย็นนี้มีบอยแวะมาพูดคุยกับคุณพรเพ็ญและสมาชิกในครอบครัว บอยชวนครอบครัวเพื่อนออกไปกินหมูกระทะด้วยกันแต่อธิปพงศ์กับแม่ปฏิเสธ พวกเขาอยากให้เวลาอยู่ด้วยกันในบ้านสวนอันแสนสงบ กับกับข้าวธรรมดาที่ทำกันเองมากกว่า แม้กินข้าวกันแล้วแต่ทั้งสามคนก็ยังนั่งอยู่ด้วยกันบนโถงของบ้านที่ชั้นสอง โทรทัศน์ที่เปิดอยู่ทำให้ตัวบ้านพอมีเสียง คุณพรเพ็ญมองลูกชายกับคนรักอย่างอิ่มเอม หลายครั้งที่เธอเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันสองคนตามลำพัง แม้ทั้งคู่จะใช้ชีวิตด้วยกันนานแล้ว แต่ดูเหมือนชีวิตคู่ของพวกเขาจะยังไม่จืดจางลงไปเลย แม้กระทั่งตอนนี้ที่พวกเขาไม่ได้แสดงออกซึ่งความคิดถึงกันเพราะอยู่ต่อหน้าเธอก็ตาม
“แม่ไม่รู้จะดูอะไรแล้วอ่ะ” คุณพรเพ็ญบอกกับลูกๆ ทันทีที่รายการข่าวจบ เธอลุกขึ้นเพื่อจะไปห้องนอนตัวเอง
“หมูมาเอาเครื่องนอนของลูกด้วยสิ”
อธิปพงศ์ได้ยินอย่างนั้นก็อึกอัก เขาไม่อยากให้แม่ต้องนอนคนเดียว คุณพรเพ็ญรีบพูดอะไรก่อนที่ลูกชายจะพูด
“แม่นอนได้ลูก คืนนี้นิธินกลับมาแล้วลูกอยู่กับนิธินเถอะ”
อธิปพงศ์จึงเดินตามแม่ไปหยิบหมอนกับผ้าห่มของตัวเอง เขารู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่ต้องนอนตามลำพัง หรือถ้าเขาเลือกอยู่กับแม่ ก็นึกถึงนิธินที่ตั้งใจรอเจอหน้า เขาสัมผัสได้ถึงความคิดถึงของคนรักที่รอการแสดงออก เขาหยิบของตัวเองและขอเข้าไปกอดแม่ เธอตกใจเล็กน้อยแต่ก็ดีใจที่ลูกชายแสดงความรัก
“มันก็ต้องเป็นแบบนี้ล่ะหมู ลูกก็มีหน้าที่ที่ต้องดูแลนิธินให้ดีนะ” เธอกระซิบบอกลูกชายที่กอดกันแน่น ก่อนจะคลายกอดและละจากกันเมื่อความรู้สึกทั้งหมดได้ผ่านการถ่ายทอด เยียวยากันและกันอย่างสมบูรณ์แล้ว
นิธินที่นั่งรออยู่ที่เดิมยิ้มให้คนรักผู้เดินออกมาจากห้องนอนของแม่ บนบ้านเงียบสงัดทันทีที่พวกเขาปิดโทรทัศน์และปิดไฟ แต่ในห้องนอนของพวกเขาที่ชั้นล่าง ทันทีที่ประตูปิดลง ความรู้สึกคิดถึงกันและกันของคนทั้งคู่ก็เปิดเผยขึ้นมาทันที นิธินรวบตัวอธิปพงศ์เขามากอดโดยที่อธิปพงศ์ก็กอดรัดเขาตอบจนแน่น ก่อนที่จะก้มมองคนรักที่ไม่มีเส้นผมและขนคิ้วหนวดเครา เขาค่อยๆไล้มือสัมผัสใบหน้าที่คิดถึง อธิปพงศ์ในตอนนี้ที่มีแต่ใบหน้าโล้นๆดูสะอาด บริสุทธิ์ แต่ก็ยังน่าเย้ายวนใจสำหรับเขาเสมอ ชายหนุ่มทั้งสองไม่อาจห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ความคิดถึงได้เปลียนเป็นความต้องการโอบกอดคนตรงหน้า แม้ว่าวันนี้จะทำงานกลางแดดมาค่อนวัน แต่ความเหนื่อยล้านั้นก็หายไปทันทีเพียงแค่พวกเขาได้สูดกลิ่นกายฟิโรโมนของคนรัก ความต้องการของพวกเขาในตอนนี้มีแค่กันในกันในอ้อมกอดยามนอนหลับเท่านั้น ....

เมษายน 2563
“แล้วเมื่อไหร่จะมีวิดิโอคอลครอบครัวอีกล่ะลูก” คุณพรเพ็ญถามนิธิน เธอชอบบรรยากาศเวลามีครอบครัวของนิธินที่มุมไบในการพูดคุยทางวิดิโอคอลด้วย แม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ต่างฝ่ายต่างก็ดีใจที่ได้พบหน้ากัน ยังเห็นว่าทุกคนยังสบายดี ไม่มีใครติดโรคระบาด
“พรุ่งนี้ก็ได้ครับแม่” นิธินนึกขึ้นได้กับผลงานของตัวเองในวันที่ไม่ได้ออกไปที่ทำงาน “นี่ๆ ผมมีอะไรให้หมูกับแม่ดู”
เขาหยิบกระปุกที่ใส่น้ำมันสีเหลืองขึ้นมาอวดในกล้องอย่างภูมิใจ “ผมนำ Ghee homemade เองได้แล้วนะ”
“มันคืออะไรเหรอลูก น้ำมันจากอะไร”
“น้ำมันจากนมครับแม่ปกติใส่ในอาหารอินเดีย ราคาแพงกว่าน้ำมันทั่วไป ผมเลยลองทำเอง ตามยูทูปนี่แหละครับ”
“เก่งมากลูก นิธินเก่งเนอะลูกเนอะ” คุณพรเพ็ญพยักเพยิดกับลูกชายคนเดียวที่มองคนรักยิ้ม ๆ
“สัญญานะว่าจะถ้าเลิกล๊อกดาวน์มาทำแกงไก่อินเดียกับนานให้ผมกับแม่กิน”
“ครับๆ สัญญา อยากไปใจจะขาดอยู่แล้วเนี่ย ฮันหนี”
“อดทนนะลูก เบื่อก็คอลมาหาหมู หาแม่เมื่อไหร่ก็ได้” คุณพรเพ็ญรู้สึกเบื่อเหมือนกันที่ต้องพูดคำนี้ทุกครั้งเวลาคุยกับนิธิน แต่เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้กำลังใจลูกชายอีกคนได้ดีไปกว่านี้แล้ว
“ครับแม่” นิธินแบ่งรับแบ่งสู้ตามเดิม เขาไม่อยากให้ใครเป็นห่วงก็จริง แต่ก็รู้สึกเซ็งเกินกว่าจะเข้มแข็งบอกกับทุกคนว่าเขาไม่เป็นไรในเวลานี้ได้
“คุยอะไรต่อกับหมูมั้ยลูก”
“ไม่ครับ” อธิปพงศ์เองก็ส่ายหน้าเช่นกัน พวกเขารู้สึกอิ่มใจ พอใจกับบทสนทนาในวิดิโอคอลวันนี้ เหมือนแบตเตอร์รี่ของพวกเขาได้รับการชาร์ทพลังงานจนเต็มแล้ว พวกเขาล่ำลากันสักพักก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน ต่างฝ่ายต่างหวังว่า ชีวิตในวันไปจะมีสถานการณ์โรคระบาดที่ขึ้น จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าเสียที

มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ น้ำพริกแมงดา

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +272/-0
    • เข้ามาเป็นคุยกันกับ "น้ำพริกแมงดา" ใน facebook page นะคะ
มิถุนายน 2563

อธิปพงศ์เปิดประตูเข้าบ้านตอนสี่ทุ่มครึ่งเหมือนอย่างทุกวันในช่วงนี้ นิธินที่คืนนี้ยังไม่เข้านอนนั่งรอเขาอยู่โดยดูซีรี่ส์อยู่กลางห้องในชุดนอน หันไปตามเสียงแล้วยิ้มให้คนรักที่ยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปอาบน้ำ วันนี้เป็นอีกวันที่เหน็ดเหนื่อยของเขา จากการคลายล๊อกดาวน์ทำให้มีผู้มาใช้บริการที่ร้านมากขึ้น ซึ่งคราวนี้เขาไม่ได้ทำงานที่ร้านพี่กุ้งในฐานะช่างตัดผมอีกต่อไปแม้จะกลับมาทำงานประจำกับพี่กุ้งตามคำขอร้องของนิธินแล้วก็ตาม แต่พี่กุ้งกลับมอบภาระงานที่ท้าทายกว่าให้อธิปพงศ์ ในช่วงโควิดที่ผ่านมา พี่กุ้งได้ไปเริ่มฟื้นฟูร้านเดิมของเซนเซที่ชุมชนญี่ปุ่นย่านสุขุมวิทที่เซนเซตั้งใจยกให้เขาทำกิจการ เขาได้เล็งเห็นโอกาสในช่วงนี้ที่จะเปิดร้านใหม่ นำเสนอบริการในรูปแบบซาลอนและสปาเส้นผมกับผิวหน้า แม้ตอนนั้นใครๆจะหาว่าเขาเสี่ยงแต่เขาก็มั่นใจว่าหลังคลายล๊อกดาวน์จะมีลูกค้ากลับมาใช้บริการธุรกิจร้านตัดผมเยอะขึ้น เมื่อเดือนพฤษภาคม อธิปพงศ์เองต้องกลับมากรุงเทพฯเพื่อเรียนรู้งานใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เนื้องาน แต่เป็นการบริหารร้านในฐานะผู้จัดการและหุ้นส่วน

น้ำอุ่นจากฝักบัวทำให้ชายหนุ่มสบายตัวขึ้น แม้จริงๆเขาอยากจะแช่น้ำในอ่างอาบน้ำที่นิธินซื้อมาติดตั้ง แต่เขาก็ไม่มีเวลาละเลียดฟองสบู่เพราะเหนื่อยล้าจากการทำงานเป็นทุน งานใหม่ของเขามีแต่ความท้าทาย การแต่งหน้าและทำผมสำหรับงานต่างๆว่าท้าทายแล้ว งานคุมคน งานตรวจงานที่ลูกน้องทำถือว่าท้าทายยิ่งกว่าสำหรับเขา ที่ผ่านมาแม้เขาจะไม่ค่อยถูกพี่กุ้งตำหนิเรื่องการทำงาน แต่กับช่างที่ยังไม่ชำนาญเขาเองต้องรับบทพี่เลี้ยงคอยสอนคอยจี้ เพราะงานบริการผลงานคือความพอใจที่ลูกค้าได้รับโดยตรง ไหนจะต้องทำบัญชีเรียนรู้ระบบเอกสารที่เจ้าของร้านต้องทำ ต้องรู้ต้นทุนกำไรอีก เขานับถือพี่กุ้งจริงๆ ที่เป็นเจ้าของกิจการมาตั้งแต่อายุน้อย และบริหารมันมาได้ในหลายสิบปี เขาว่าตัวเองคิดถูกมาก ๆ ที่ไม่ริเริ่มหาทำร้านของตัวเองตอนอายุน้อยกว่านี้ อธิปพงศ์ในวัย 41 คิดว่าเวลานี้คือลงตัวที่สุดสำหรับเขา

เขาใส่เสื้อคลุมอาบน้ำออกจากห้องน้ำมาเจอคนรักที่ย้ายมานอนดูซีรี่ส์เรื่องเดิมอยู่บนเตียง เขาเบาเสียงเพื่อจะเริ่มสนทนากับคนรัก
“เป็นไงมั่งครับวันนี้”
อธิปพงศ์ที่เช็ดผมอย่างเบามืออยู่ยิ้มยู่ปากให้กับคนที่ถามประโยคเดิม ๆ ทุกวันตั้งแต่เขามีตำแหน่งงานใหม่ ภาระงานใหม่
“ก็ยังงงๆ กับทำบิล ลงข้อมูลอยู่อ่ะครับ วันหลังคงต้องให้คุณช่วยติวเอ็กเซลล์ให้แล้วล่ะ” อธิปพงศ์นึกถึงตัวเองที่เคยกลัวตอนแรกกับความแตกต่างทางการศึกษาของเขากับนิธิน แต่ตอนนี้เขายิ่งคิดว่าตัวเองคิดถูกสุดๆ
“วันไหนดีล่ะ วันหยุดผมมั้ย ผมไปหาคุณที่ร้าน”
“ได้ๆ ดีเลย” เขาละจากการเช็ดมือมาหอมแก้มคนใจดี “ขอบคุณนะครับ” ก่อนจะเดินไปเป่าผมให้แห้ง นิธินยิ้มพอใจกับสิ่งที่ได้รับ อธิปพงศ์ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จภารกิจทั้งผมและการบำรุงผิวหน้า
“เอ๊ะ ฮันหนี คุณทาชุดสกินแคร์ที่ผมจัดให้หลังอาบน้ำรึยังนะ” อธิปพงศ์เข้ามาดูหน้าคนรักที่ดูเหมือนจะลืมการบำรุงผิวหน้า เพราะเจ้าตัวเองนั่นแหละที่ชอบบอกว่าอธิปพงศ์ที่อายุเท่ากันทำไมผิวหน้าดีขึ้นทุกวัน ต่างกับเขาที่ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ จึงถูกอธิปพงศ์จับมาเป็นผู้ได้รับการทดลองคอสสปาผิวหน้า และทรีตเม้นต์ของทางร้านอยู่บ่อยครั้ง ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่เขามีว่าสามารถฟื้นฟู บำรุงผิวผู้ชายที่ละเลยการดูแลมานานได้ดีแค่ไหน แต่ก็ต้องบำรุงและทาครีมกันแดดควบคู่ไปด้วย อธิปพงศ์จึงจัดชุดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าผิวกายให้คนรักใช้ด้วย แต่ดูเหมือนนิธินจะชอบลืมอยู่บ้าง
“เอ่อ ผมลืมอ่ะครับ” นิธินตอบเสียงอ่อยๆ อธิปพงศ์ถอนหายใจ และไปหยิบขวดโทนเนอร์กับสำลีมาเช็ดหน้าให้คนรักที่นั่งรออยู่บนเตียง นิธินนั่งนิ่งยิ้มกริ่มเพราะชอบให้คนรักทำแบบนี้ให้อยู่แล้ว อธิปพงศ์แอบหมั่นไส้ท่าทีของเขา เลยหัวเราะพรืดออกมา ก่อนจะเช็ดหน้าต่อให้เสร็จแล้วลงผลิตภัณฑ์เนื้อครีมที่ต้องวอร์มถูในนิ้วมือแล้วค่อยๆ ทาก่อนกดเบาๆลงบนผิวหน้าและลำคอ และไม่ลืมลงอายครีมรอบดวงตาที่เริ่มมีริ้วรอยให้คนรัก ทันทีที่ทาเสร็จ เขาหยุดนิ่งเพราะรู้ตัวว่านิธินมองเขาไม่วางตาตลอดการทาครีมให้
“อะไรเนี่ย” อธิปพงศ์เริ่มเขินจึงแก้เก้อไปแบบนั้น แต่ก็ไม่ทันกล้ามแขนล่ำที่โอบเขาอย่างว่องไว ดวงตาคมกล้านั้นมองเจ้าเล่ห์ ก่อนคางสากจะแนบลงข้างแก้มแล้วกระซิบ 
“ที่ไม่ทาครีม ไม่ใช่ลืมหรอก” อธิปพงศ์เริ่มงง แต่นิธินก็สมทบมาว่า “ทาไปก็ต้องล้างหน้า แล้วทาใหม่อยู่ดี” อธิปพงศ์ไม่ทันได้พูดอะไร รู้ตัวอีกทีก็ถูกจู่โจมจูบเข้าเสียแล้ว ร่างลีนแกร่งของชายหนุ่มอ่อนระทวยไปกับรสจูบที่เขาได้รับ ก่อนที่นิธินที่รอคอยจังหวะนี้มานานจะเอ่ยปากทวงถามเหมือนจะงอนเล็ก ๆ
“คุณจำไม่ได้จริงๆเหรอว่าเราไม่ได้มีอะไรกันนานแค่ไหนแล้ว” อธิปพงศ์นิ่งไปเพราะเขายุ่งกับงานใหม่จนลืมไปสนิทจริงๆ ตั้งแต่กลับมาอยู่ด้วยกันพวกเขาเพิ่งมีอะไรกันได้แค่สองครั้ง หนึ่งในสองเป็นแบบรีบๆ ที่เขาก็จำไม่ได้ว่ามันกี่สัปดาห์มาแล้ว
เขาไม่กล้าสบตาคนรัก ก่อนจะถูกช้อนมาจูบ จูบที่ทวงทุกสิ่งที่นิธินคิดถึง มือของอีกฝ่ายแกะกระดุมชุดนอนซาตินอย่างดีที่เขาเองซื้อให้ ก่อนคางสากๆนั้นจะซุกไซร้ซอกคอที่กรุ่นกลิ่นหอมอย่างเอาแต่ใจ อธิปพงศ์ได้แต่นอนนิ่งเหมือนกลับไปไร้เดียงสาอีกครั้ง เสียงครางของเขาทำให้นิธินพอใจ ก่อนจะบอกว่า “รู้มั้ย ผมคิดถึงเสียงคุณเวลาครางที่สุดเลย”...
เช้าวันใหม่ นิธินที่กำลังเตรียมอาหารเช้าและอาหารกลางวันใส่กล่องให้กับอธิปพงศ์ที่ยังไม่ตื่น เพราะเวลาเข้างานของอธิปพงศ์สายกว่าเขาเลยสามารถพักผ่อนได้ เมื่อคืนเขาได้คุยกันหลังเสร็จกิจโดยที่อธิปพงศ์ได้ขอโทษเขาที่ลืมไป เขาไม่ได้โกรธอะไรอธิปพงศ์ เพียงแต่อยากจะออดอ้อน ขอเวลาของคู่รักบ้าง อีกใจของนิธินไม่อยากให้อธิปพงศ์ออกไปทำงานข้างนอกเท่าไหร่ ด้วยตำแหน่งหน้าที่ของเขาที่โตขึ้นเขาคิดว่าเขาสามารถเลี้ยงดูอธิปพงศ์ได้เหมือนที่พ่อเป็นคนเลี้ยงดูแม่และพี่ชายกับตัวเขา แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ชีวิตมันสอนเขาว่าความฝันต้องใช้เงิน และอธิปพงศ์ก็มีความฝันที่จะดูแลครอบครัวของตัวเองเช่นกัน เขาจึงได้แค่ขอให้อธิปพงศ์ทำงานที่เหนื่อยน้อยลงกว่าเมื่อตอนออกมารับจ้างอิสระ และงานใหม่นี้ก็เป็นโอกาสที่ดีของตัวอธิปพงศ์เอง เขาจึงค่อนข้างพอใจ และทำใจได้บ้างถ้ามันจะขโมยเวลาของอธิปพงศ์ไปบ้างในช่วงแรกนี้ แต่เจ้าตัวก็เย้ายวนจริงๆ เขาไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของคนรักตัวเองได้ แม้จะอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้วก็ตาม
 นิธินนึกถึงตัวเองตอนที่ต้องล๊อกดาวน์อยู่คนเดียวในห้องนี้ เสื้อยืด เสื้อนอนของอธิปพงศ์ทุกตัวได้ถูกเขาเอามากอดนอนให้หายว้าเหว่ หนึ่งเดือนกว่าๆที่ห่างกันแค่ร้อยกว่ากิโลเมตร ได้เห็นหน้ากันแค่ผ่านวิดิโอคอล มันรู้สึกเหงายิ่งกว่าตอนที่ยังสามารถออกนอกประเทศไปทำงานที่อื่นเสียอีก นิธินพรูลมหายใจก่อนจะเข้าไปหาคนรักที่ยังนอนอยู่ เขานั่งลงบนเตียงก่อนจะจูบที่หน้าผาก อธิปพงศ์ลืมตามองใบหน้าหล่อเหลาในชุดทำงานภูมิฐาน กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอย่างดีอ่อนๆ ที่นิธินใส่ทำให้เขาเริ่มมีสติหลังลืมตา
“ฮันหนีครับ เบรกฟัส ลันช์บ๊อกซ์ของคุณอยู่บนโต๊ะนะครับ”
อธิปพงศ์พยักหน้ารับ “ครับ ขอบคุณนะครับ”
“นอนต่อเถอะ” นิธินลูบผมนุ่มๆนั้น แต่อธิปพงศ์ก็คว้ามือของคนรักมาไว้ที่แก้ม ก่อนจะจูบที่ฝ่ามือ
“แค่นี้ก่อน ผมไม่อยากไปทำงานสาย” นิธินเอ่ยปากห้าม กับกริยาเย้ายวนของคนรัก
“อื้อ โชคดีครับ” ก่อนจะจูบเร็วๆที่มือใหญ่ของนิธินอีกหนึ่งครั้ง นิธินได้แต่เขิน อธิปพงศ์พูดไล่หลังตามไปว่า
“ล้างมือด้วยนะครับ”
นิธินหัวเราะน้อย ๆ กับสิ่งที่อธิปพงศ์รู้ว่าเขาอยากหรือไม่อยากทำอะไร เพราะจำเป็นต้องล้างมือและสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านในยุคนี้ แต่ก็เสียดายรอยประทับรักจากอธิปพงศ์ อย่างไรก็ตามเขาก็ล้างมือ ทาเจลแอลกอฮอล์ ก่อนจะสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านเหมือนทุกครั้ง
หนึ่งวันของพวกเขาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนทุกวัน วันนี้เป็นวันศุกร์ นิธินที่อธิปพงศ์บอกว่าไม่ต้องไปรอรับเขาเพื่อกลับบ้านด้วยกันถึงบ้านก่อนในเวลาหกโมงเย็น เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงไปฟิตเนสส่วนกลางคอนโด วันนี้เขาลงไปว่ายน้ำในสระที่เพิ่งเปิดให้ลงไปว่ายน้ำได้ เมื่อออกกำลังกายครบแล้วก็ขึ้นมากินอาหารเย็นที่เป็นเวย์โปรตีนปั่นกับผักต่างๆ ก่อนจะทำธุระส่วนตัว เขียนแพลนเนอร์ หรือดูซี่รี่ส์แนวธุรกิจที่เขาคิดว่ามันช่วยสร้างพลังในการทำงานให้เขาเป็นอย่างดี หลายวันมานี้เขามักจะเข้านอนก่อนเวลาที่อธิปพงศ์กลับบ้าน
ตอนแรกเขาไม่ค่อยอยากจะทำตามที่อธิปพงศ์สั่ง แต่ก็จริงอย่างที่เจ้าตัวว่า นิธินอุตส่าห์มีเวลาให้ตัวเองเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้วก็ควรจะใช้เวลาของตัวเองให้คุ้มค่ากับสิ่งที่เขาชอบ
 วันนี้อธิปพงศ์กลับบ้านมาเร็วกว่าเวลา เขาอุตส่าห์ดีใจที่คนรักกลับบ้านเร็วในคืนก่อนวันหยุดของเขา แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายบอกว่า เพราะพรุ่งนี้มีงานแต่งหน้าเจ้าสาว เขาถึงต้องกลับมาพักผ่อนเร็ว
“พรุ่งนี้ผมไปด้วยนะ”
นิธินบอกกับอธิปพงศ์ก่อนเข้านอนแบบนั้น
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เบื่อหรอ ไปรอผมแต่งหน้าเจ้าสาวเนี่ย งานนี้ผมต้องอยู่ถึงบ่ายเลยนะ”
“ไม่หรอก” นิธินส่ายหน้า “ผมว่างานนี้ผมต้องไป”

ทั้งคู่ตื่นนอนในเวลาตีหนึ่งครึ่งก่อนจะรีบแต่งตัว โดยมีช่างอีกคนที่ตกลงเป็นทีมงานกันมารับเพื่อไปตามเวลานัดหมายตอนตีสามเพื่อไปถึงโรงแรมที่นัดหมายกับลูกค้า เมื่อถึงห้องพักที่เป็นห้องแต่งตัว เจ้าสาวก็รีบลุกมาทักทายทั้งสองคนทันที
“สวัสดีค่ะพี่หมู สวัสดีค่ะพี่นิธิน”
ทั้งสองคนรับไหว้ปิ่นปักเจ้าสาวของงานนี้ หญิงสาวยิ้มดีใจปนตื่นเต้นที่จะได้แต่งหน้าทำผมกับอธิปพงศ์ในวันสำคัญของชีวิต เจ้าบ่าววัยไล่เลี่ยกันที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็เข้ามาหาทั้งสองคนและยกมือไหว้ตามมารยาท
“ป่ะ แต่งหน้ากัน วันนี้พี่ต้องแต่งหน้าทำผมให้ใครบ้างเนี่ยปิ่น”
“ก็มีปิ่น แล้วก็เดี๋ยวแม่ปิ่น เพื่อนเจ้าสาวแบ่งกับพี่อีกคนคนละ4 และก็ญาติๆปิ่นอีกสามคนอ่ะค่ะ”
“อืม” อธิปพงศ์รับคำโดยที่นิธินกำลังเซ็ทอัพไฟและวางกระเป๋าอุปกรณ์แต่งหน้าทำผมบนโต๊ะหน้ากระจกที่เตรียมไว้อย่างรู้งาน ปิ่นปักมองคนรักของแฟนเก่าที่ช่วยเขาทำงานอย่างตกใจปนชื่นชม
อธิปพงศ์เริ่มแบ่งผมและจัดการทำทรงตามชั้นตอน ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการแต่งหน้า หญิงสาวสังเกตและรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่อธิปพงศ์แต่งหน้าทำผมให้เธอนั้น มีสายตาของนิธินจับจ้องอยู่
“เอ่อ พี่เขาตามไปเฝ้าพี่หมูแบบนี้ทุกงานเลยเหรอคะ”
“ก็ ไม่ทุกงานหรอก พรุ่งนี้เขาหยุดน่ะเลยมาได้”
“อ๋อ” ปิ่นปักนึกถึงวันเก่าๆแล้วพูดออกมา
“นึกถึงปิ่นตอนนั้นเนอะ ปิ่นเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ ตอนนี้เข้าใจลูกค้าพี่หมูที่ปิ่นเคยไปยืนจ้องเลย”
อธิปพงศ์ยิ้มๆ รับฟังแม้กำลังใช้สมาธิลงรองพื้นบนหน้าของหญิงสาว ด้วยความที่เจ้าสาวนั่งใกล้กันกับช่างแต่งหน้ามาก เธออดหลุดปากชื่นชมสิ่งที่เห็นจากคนตรงหน้าไม่ได้
“พี่หมูหล่อขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยนะคะ ผิวดีมากกว่าตอนนั้นอีก”
“ขอบใจนะ ปิ่นก็เหมือนกัน” เขาตอบตามความเป็นจริงแค่นั้น ก่อนจะออกคำสั่งให้เจ้าสาวขอความร่วมมือในการตกแต่งดวงตา และก็สำเร็จออกมาสวยงามถูกใจทั้งเจ้าสาวและเป็นที่พอใจของช่าง
“เดี๋ยวพี่ขอถ่ายรูปนะปิ่น”
“ค่ะ” หญิงสาวยิ้มดีใจ ก่อนจะนั่งนิ่งๆให้เขาถ่ายรูปเพื่อเป็นผลงานของตัวเอง อันที่จริงงานเขาตั้งใจว่าจะเลิกรับแต่งหน้าทำผมบ่าวสาวเพราะมันแบ่งเวลายากจากงานประจำ แต่พอดีว่าเป็นปิ่นปักที่ตั้งใจมาจ้างเขาให้แต่งหน้าเธอในวันสำคัญของชีวิตนี้ และเพื่อยังมีลูกค้าที่สนใจในวันที่เขามีเวลาว่างจากงานที่ร้านตรงกัน เลยยังไม่หยุดลงภาพผลงานของตัวเอง ในช่วงแรกที่ลงรูปผลงานช่างอีกคนที่เป็นเพื่อนร่วมงานของเขาบอกว่าให้ลงรูปแต่งหน้านิธินเป็นตัวอย่างแต่งหน้าเจ้าบ่าว แต่อธิปพงศ์ไม่เห็นด้วย เขาไม่ชอบเวลามีคอมเม้นต์มาถามหาว่านายแบบเป็นใครเพื่อจะกดติดตาม เลยได้แต่ลงรูปเจ้าบ่าวที่เป็นลูกค้าจริง ๆ แทนงานสาธิต
 เธอขอตัวไปแต่งตัวโดยเปลี่ยนที่ให้คุณแม่เข้ามาแต่งหน้าทำผมกับอธิปพงศ์ ก่อนจะเป็นเพื่อนๆของเจ้าสาว และญาติๆตามลำดับ เมื่อเธอแต่งตัวเสร็จก็ต้องออกไปที่งาน พวกเขาทีมช่างแต่งหน้าทำผมเริ่มเก็บกวาดของตัวเองบางส่วน เพราะต้องแต่งหน้าอีกรอบช่วงเสร็จพิธิเข้า งานนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองสมรสตอนกลางวัน พวกเขาจึงมีเวลาไม่นานสำหรับการแต่งหน้าทำผมในรอบสอง ในการเข้ามาแต่งหน้าทำผมรอบที่สอง ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่เคยเป็นคนรักของเขาในชุดเจ้าสาว มากกว่ารับรู้พลังของความสุขเหมือนที่เคยสัมผัสมาทุกงานแต่งงานที่พวกเขาเคยไปเนรมิตรความงามให้บ่าวสาวมา สำหรับอธิปพงศ์วันนี้ปิ่นปักดูเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว จนเขานึกภาพวัยรุ่นเอาแต่ใจคนเดิมแทบไม่ออก เธอเติบโตขึ้นมากจนเขาแทบไม่เชื่อว่าจะได้เห็นเธอในภาพนี้
ปิ่นปักหมุนตัวหน้ากระจกอย่างพอใจในตัวเอง โดยมีความยินดีปนโล่งใจของทีมช่างแต่งหน้าทำผม
“ขอบคุณพี่หมูนะคะ” เธอไม่ลืมขอบคุณคนรักเก่าที่วันนี้เขาเองก็เติบโตและสงบนิ่งขึ้นเยอะเช่นกันในสายตาของเธอ
“จ้ะ ปิ่นสวยมากๆเลยนะ” เธออยากกอดเขาเป็นการขอบคุณ แต่ก็รู้ว่านิธินยังจับจ้องเธออยู่ และเกรงใจว่าที่สามีที่ยืนอยู่ข้างๆด้วย เลยได้แต่ยิ้มตอบ ก่อนที่ทีมออแกไนซ์จะมาพาบ่าวสาวออกไปสแตนบายรอรับแขกหน้างาน นิธินเก็บของที่ห้องแต่งตัวนี้ โดยที่เขากับช่างแต่งหน้าอีกคนตามไปดูแลความเรียบร้อยของบ่าวสาวจนจบงาน

กรกฎาคม 2563
 เครื่องเทศอินเดียจากหม้อแกงบนเตาส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วครัวของบ้านสวน โดยที่เตาข้าง ๆ มีกระทะก้นแบนที่กำลังมีแป้งนานที่เป็นโฮลวีตจี่พลิกไปมาโดยนิธิน คุณพรเพ็ญมองดูคนรักของลูกชายประกอบอาหารอย่างสนใจใครรู้แม้จะเคยเห็นมาบ้างแต่เวลาเห็นเจ้าของสูตรอาหารต่างชาติทำให้เธอกินก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี สักพักแกงชีสและถั่วลูกไก่แบบอินเดียก็งวดได้ที่ โดยมีแป้งนานร้อนๆที่นิธินทำเอง รับประทานแทนข้าวสวยเปลี่ยนบรรยากาศมื้อกลางวันในวันหยุดยาวนี้
 อธิปพงศ์ที่เพิ่งมาจากสวนเข้ามาในครัว
“ตามกลิ่นมาใช่มั้ยลูก”
“ใช่ครับ” เขาตอบแม่ก่อนจะหันไปอ้อนพ่อครัว “ผมหิวจังครับฮันหนี”
“เสร็จแล้วครับ มากินกันดีกว่า”
“เดี๋ยวแม่ตักแกงกับแป้งนานไปแบ่งให้บ้านป้าไพกับน้าๆคนงานก่อนนะลูก” เธอตักแกงในหม้อใส่ชามและแผ่นนานจำนวนหนึ่งใส่จาน แกงสองชุดยกใส่ถาดออกไปไปบ้านข้างๆ ที่คอยดูแลกันตอนที่พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วย อีกชุดกับให้คนงานสองคนที่มาทำงานในวันหยุดราชการนี้ พวกเขาเองก็เพิ่งพักจากการขายต้นไม้และดินปลูกหน้าสวนเช่นกัน “ครับ” นิธินรับคำก่อนจะนั่งลงข้างๆอธิปพงศ์ที่กำลังใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปอาหาร เขารีบปิดหน้าจอ นิธินฉีกแผ่นนานเหนียวนุ่มที่ทำเองจิ้มลงบนแกงให้ได้เนื้อชีสหั่นเต๋ากับถั่วลูกไก่ก่อนจะป้อนใส่ปากคนรักที่อมยิ้มรออยู่
“เป็นไงอร่อยมั้ยครับ”
อธิปพงศ์ส่ายหัวแบบเวลาที่เคยเห็นนิธินกับเพื่อนร่วมชาติคนอื่นชื่นชมอะไรมากๆ แทนคำว่ามันดีมาก เจ้าตัวหัวเราะกับภาพตรงหน้า
“หมูเป็นไงมั่งลูก อร่อยเหมือนเดิมมั้ย” คุณแม่ที่เพิ่งเข้ามาถามลูกชายที่ได้ชิมไปหนึ่งคำแล้ว
“ครับ”
“นิธินเก่งจังลูก มันทำยากนะแม่นั่งๆดูเนี่ย”
“ก็ครับ ผมก็ถามแม่บ้าง ดูในยูทูปบ้างตอนที่ล๊อกดาวน์อยู่บ้านอ่ะครับ”
“เก่งลูก เนอะ” คุณพรเพ็ญพยักเพยิดไปทางลูกชายคนเดียว
“ที่ห้องยังมีแผ่นนานโฮลวีตที่นิธินฟรีชไว้อีกครับแม่”
“แต่หมูก็ต้องทำอะไรให้นิธินเค้าบ้างนะลูก”
“ครับ คร้าบ” อธิปพงศ์รับคำแม่ยิ้มๆ มื้ออาหารของครอบครัวเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุข นิธินบอกกับคุณพรเพ็ญในสิ่งที่เขากับอธิปพงศ์วางแพลนไว้
“แม่ครับ ถ้าบินออกนอกประเทศได้แล้ว แม่ไปทานแกงฝีมือแม่ผมที่มุมไบกันนะครับ”
คุณพรเพ็ญชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบมาพร้อมรอยยิ้มปลื้มใจ
“จ้ะ แม่ไปแน่นอน”


End.

ขอขอบพระคุณสำหรับการติดตามนะคะ นิยายฉบับตีพิมพ์ EBook ยังมีวางจำหน่ายที่ https://fictionlog.co/eb/5d0a6f7ee0a4c7a07b70c265 นะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด