มาค่ะ มาสะใจกันต่อเลย
บทที่ 11 ตัดขาด
ทันทีที่รถหยุดนิ่ง ประตูด้านข้างเปิดออกแทบจะในทันที ผู้โดยการที่เหลือต่างกรูกันออกมาข้างนอก ทิ้งไว้เพียงรัฐกรณ์ที่ยังอยู่บนนั้น โดยมีการุณที่ดึงแขนของคนตัวซีดให้หนีออกมา แน่นอนว่ารัฐกรณ์ย่อมสู้แรงไม่ได้จึงต้องตามออกมาเสียก่อน
“เป็นไปไม่ได้” เสียงของสรรพวุฒิพูดแบบไม่เชื่อว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
“วิทย์……..ไม่จริง” กรรณิกากรีดร้องอย่างสุดเสียงในอ้อมกาอดของภคดลที่ใบหน้าไร้ซึ่งสีของเลือด เขาเองช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิด
“มันเกิดอะไรขึ้น” การุณเองก็ดูเหมือนไม่เข้าใจ เขาจำได้ว่านั่งอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงดังของอะไรบ้างอย่างจากข้างหลัง ตามด้วยเสียงของตกที่พื้นรถ และความรู้สึกถึงน้ำเลือดอุ่นๆที่พุ่งมาโดนเขา
“คุณสาวิตรีไม่เป็นไรนะครับ” วสันรีบถามอาการเมื่อเห็นสาวิตรีที่สลบนั่งพิงกับขอบทาง ยังดีที่มีรัฐกรณ์ช่วยดูอาการให้แล้ว
“ไม่เป็นไรครับ พักสักหน่อย จะมีปัญหาก็แต่……” รัฐการณ์พุ่งความสนใจไปในรถอีกครั้งที่ตำแหน่งของชายผู้โชคร้ายที่รีบจากไปก่อนวัยอันควร เขาลังเลที่จะขึ้นไปสำรวจอีกครั้ง ถึงเขาเองจะคุ้นเคยกับความตาย แต่ไอ้การตายแบบผิดธรรมชาติแบบนั้นก็พึ่งเคยพบเจอ และมันก็ทำให้เขาขาสั่นไปเสียไม่น้อย
“เป็นไปไม่ได้”วสันเดินกัดเล็บเดินวนไปมา “ทำไงดี”
“แจ้งตำรวจก่อนครับ” รัฐกรณ์ ที่ดูจะมีสติกว่าใครล้วงเอามือถือออกมาก่อนจะคิดได้ว่าในบริเวณนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
“แกใช่ไหม แกฆ่าวิทย์” อยู่ๆกรรณิกาก็หวีดเสียงสูง เธอชี้นิ้วตรงมายังรัฐกรณ์
“จะบ้าหรือไง” รัฐกรณ์เถียงกลับด้วยเสียงที่แหบพร่า
“แกอยากจะแก้แค้นให้ อาญาสินะ แกเลยจะฆ่าพวกเรา” หญิงสาวเสียสติเธอกรีดร้องอย่างคนบ้า น้ำตาที่ยังเอ่อนองอาบไปทั่วหน้า ผสมกับรอยเลือดของเพื่อนที่พุ่งกระเด็นมาติดไหลย้อยลงอาบเสื้อให้เป็นรอยสีแดงจางๆ
“ทำไมผมต้องฆ่าพวกคุณ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาญา”
“แกเป็นแฟนมันไง นี่คงมาแก้แค้นสินะ เอาสิชั้นอยู่นี่แล้วไง มาเลย จะรออะไรอีก” เธอก้าวเท้าออกจากอ้อมกอดของภคดล พุ่งเข้าหารัฐกรณ์
“ณิ ใจเย็น” การุณตกใจในการกระทำของเพื่อน เขารวบตัวกรรณิกาไว้ ด้วยกลัวว่าเพื่อนของตนจะทำอะไรรุนแรง
“กาน ปล่อยนะ” เธอทั้งดิ้นและกรีดร้อง คำต่อว่าและสาปแช่งที่ส่งไปยังครรักของอาญา
ผิดกับภคดลที่ยืนนิ่ง ถึงแม้เขาจะไม่ได้โวยวายอะไรแต่น้ำตาที่นองใบหน้านั้นคงพอจะบอกอะไรได้บ้าง เขากำลังกลัว การมาเที่ยวครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นการที่ตัดสินใจที่ผิด เขาน่าจะเชื่อกรรณิกายอมกลับบ้านมาเสีย หาดเป็นอย่างนั้นวรวิทย์ก็คงจะไม่ต้องเป็นแบบนี้
“กลับกันเถอะ” ภคดลพูดออกมาอย่างยากลำบาก ด้วยเรี่ยวแรงที่จะหายไปเสียดื้อๆ
“ไม่เป็นไรนะครับ” รัฐกรณ์เห็นท่าไม่ดีจึงเข้าไปดูอาการด้วยความหวังดี ทันทีที่มือถูกตัวภคดล ชายหนุ่มตกใจตาเปิดกว้าง ปัดมือของนักศึกษาแพทย์ออกไป
“อย่ามายุ่ง แกจะฆ่าฉันอีกคนล่ะสิ” ภคดลถอยหลังด้วยใบหน้าซีดไร้สีสัน จะไม่ให้เขาคิดแบบนี้ก็ไม่ได้ในเมื่อทุกอย่างตั้งแต่เริ่ม เรื่องราวมันโยงไปหา อาญา นักศึกษาแพทย์ผู้เสียชีวิต และในเมื่อรูปถ่ายที่พบในกระเป๋าของรัฐกรณ์ก็เป็นสิ่งยืนยันว่าทั้งสองรู้จก และคงคบหากันมากกว่าแค่คนรู้จัก
“โถ่ ผมจะทำแบบนั้นทำไม”
“แก้แค้น แกจะแก้แค้นแทนแฟนแก”
“ทำไมผมต้องแก้แค้น…….หรือพวกคุณเคยไปทำอะไรให้ พี่อาญากันล่ะครับ” รัฐกรณ์พูดเสียงนิ่ง เสียงแหบนั้นทำเอาภคดลหยุดนิ่งไป
“แล้วอีกอย่าง ผมจะทำได้ยังไง ในเมื่อผมนั่งอยู่ด้านหน้า แต่วรวิทย์นั่งหลังสุด”
ภคดลถึงกับนิ่งเมื่อคิดถึงความเป็นจริงในข้อนี้ วรวิทย์ตายอย่างแปลกประหลาด ด้วยศีรษะที่หลุดออกจากต้นคอ ทั้งๆที่ไม่ได้มีใครนั่งอยู่ข้างๆพอที่จะลงมือได้ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมากระชากหัวของเขาให้หลุดลงไป ถึงตรงนี้ ภคดลรู้สึกหวิวอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เคยได้ยินถึง ชายหัวขาดที่ออกตามหาหัวของตนเองยามค่ำคืน
ถึงแม้ว่าทุกคนจะยังขวัญเสีย แต่การยืนอยู่กลางถนนมืดๆแบบนี้คงไม่เป็นทางเลือกที่ดีนัก สรรพวุติพยุงภรรยาที่ได้สติขึ้นยืน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐกรณ์ การุณ และวสันที่จัดแจงกับศพของวรวิทย์ให้เรียบร้อย
“พยายามอย่าแตะต้องอะไรนะ” รัฐกรณ์บอกกับอีกสองคน เขากับการุณใช้ผ้าห่มของวสันที่อยู่หลังรถคลุมเข้ากับศพของวรวิทย์ แต่ยังไม่ทันที่จะทำอะไร การุณต้องเอามือปิดปากแล้วเผ่นลงรถออกมาเสียก่อนจะปล่อยของที่อยู่ในกระเพาะออกมาเสียจนไม่เหลือ
รัฐกรณ์ส่ายหัวให้กับความขี้กลัวของชายหนุ่ม แต่จะต่อว่าก็ไม่ได้ เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังใจเสียไม่น้อยที่ได้พบเจอกับศพหัวขาดแบบนี้ ในที่สุดเขาก็จัดแจงใช้ผ้าคลุมจนเรียบร้อย แต่รอยเลือดที่เลอะเต็มด้านหลังรถนั้นคงทำอะไรไม่ได้มาก เขาได้เพียงมองรอบเลือดที่เปรอะไปทั่ว จนบางส่วนไหลออกไปด้านนอกหน้าต่างรถที่เปิดแง้มไว้ เป็นรอยไหลอาบลงข้างรถ สีแดงสดของมันช่างตัดกันดีกับรถสีขาวแบบนี้
วสันใช้ผ้าเช็ดตัวของเขาห่อส่วนของศีรษะของวรวิทย์ไว้ ถึงรัฐกรณ์จะบอกว่าพยายามอย่าแตะต้องอะไรมากแต่จะปล่อยให้หัวกลิ้งไปมาแบบนี้ พวกเขาคงเดินทางไปไม่ได้แน่นอน
ทุกคนตกลงกันที่จะเดินทางกลับในทันที โดยที่ภคดลและกรรณิกาถูกจับตัวมานั่งด้านหน้าสุดของรถคู่กับคนขับวสัน และในห้องผู้โดยสารก็จะมีแค่ด้านหน้าสุดเท่านั้นที่มีคนนั่ง โดยที่สรรวุติและสาวิตรีนั่งอยู่ด้านใน ถัดมาเป็นรัฐกรณ์และตบท้ายด้วยการุณ ที่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมนั่งที่เดิมของตัวเองเด็ดขาด
รัฐกรณ์นั่งอย่างลำบาก เนื่องจากการุณเองก็ค่อนข้างที่จะตัวใหญ่ ครั้นจะเบียดไปทางสองสามีภรรยา คงไม่ดีนัก สาวิตรีเองก็ยังดูอ่อนเพลีย จะไล่ให้เจ้าตัวซวยไปนั่งข้างหลังก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย แค่เห็นการุณวิ่งออกไปอาเจียรข้างนอกก็รู้สึกผิดมากที่รู้ว่าเจ้าตัวซวยมันขี้กลัวแต่ก็ยังใช้ให้ทำเรื่องน่ากลัวอีก
ตรงข้ามกับภคดลกับกรรณิกา ที่ทั้งคู่ได้เพียงนั่งวิตกปนเปกับความกังวลไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น กรรณิกายังไม่หยุดร้องไห้ เธอย้อนความคิดไปยังเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนหน้า
วสันขับรถอย่างระวัง จนเลยที่พักไป ทุกคนลงความเห็นว่าควรรีบเดินทางออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด จนถึงที่พอจะมีสัญญาณโทรศัพท์ที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ แต่กว่าจะถึงตรงนั้นก็ต้องผ่านสะพานไปอีกสัก 10 กิโลเมตรได้ถึงจะมีสัญญาณโทรศัพท์
แต่พวกเขาก็ต้องเปลี่ยนแผนอีกครั้ง เมื่อวสันเหยียบเบรกเสียจนตัวโก่ง เสียงล้อบดกับถนนส่งเสียงดัง กรรณิการ้องเสียงหลง จนรถหยุดลง
“เกิดอะไรขึ้น” ทุกคนต่างตกใจ รีบลงจากรถอีกครั้งแล้วต้องตกใจเมื่อวสันชี้ให้ดูต้นเหตุ
เบื้องหน้าที่เห็นเป็นถนนที่ตรงไปสู่หุบเขาที่มีแม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่ สะพานไม้ที่เคยมีมันหายไป เหลือเพียงความมืดมิดของราตรี หากวสันช้าไปอีกสักนิดพวกเขาคงได้ลงไปนอนอยู่ที่ก้นแม่น้ำกันทั้งหมด
รัฐกรณ์ควักเอามือถือออกมาอีกครั้ง และก็ต้องผิดหวังที่ยังไม่พบสัญญาณใดๆ ทางด้านภคดลและกรรณิกาเองยิ่งกังวล “มีทางอื่นไหมครับ”
“ไม่มีแล้วครับ ทางอื่นต้องเดินเท้าไป แล้วมันก็อันตรายมากด้วย” วสันส่ายหัวบอกให้เลิกคิดที่จะเดินทางในป่ามืดๆ ทั้งที่พวกเขาเองก็ไม่ได้คุ้นเคยมากนัก
“แล้วจะทำไงกันดี” กรรณิกากระวนกระวาย เธอไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานกว่านี้แม้วินาที
“คงต้องรอพรุ่งนี้เช้า ผมจ้างชาวบ้านใกล้ให้มาส่งอาหารเช้า เขาคงพอจะแจ้งข่าวให้เราได้” วสันบอก แต่นั่นก็หมายความว่าพวกเขาต้องค้างที่นี่อีก 1 คืน
เมื่อไม่มีทางเลือกหลังจากที่ภคดล และการุณช่วยกันตะโกนขอความช่วยเหลือเป็นเวลา 10 นาที จนทั้งสองเสียงแหบไปตามๆกัน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครได้ยินเสียงของพวกเขาได้เลย ทั้งหมดก็ต้องยอมรับในตัวเลือกสุดท้าย วสันขับรถพาทุกคนมายังที่พักอีกครั้ง
“ผมว่าคืนนี้ทุกคนมารวมตัวกันที่โถงดีกว่านะครับ” สรรพวุติ แนะเมื่อเห็นภคดลถือกุญแจห้องสีแดงหมายจะขึ้นไปอยู่บนห้อง
“ผมเห็นด้วย…..ดล อยู่รวมกันดีกว่า” การุณ ดึงเพื่อนของตนไว้อย่างเป็นห่วง
ภคดลเองก็เห็นด้วย เขารู้สึกทำอะไรไม่ค่อยจะถูกนักในเวลานี้ ดูเหมือนสติเขาไม่เต็มร้อย จะทำเรื่องนั้นแต่ใจกลับคิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น
คืนนี้ ทุกคนต่างพากันจับจองที่นั่งในโถงรับแขก แน่นอนว่ารัฐกรณืเลือกนั่งให้ห่างจาก ภคดลและกรรณิกาให้มากที่สุด ถึงกระนั้นเขาก็รู้ถึงสายตาขอทั้งคู่ที่จับจ้องเขาอยู่เป็นพักๆอย่างระแวง
“ถามจริงเถอะ พวกเธอมีเรื่องอะไรกัน” สรรพวุติที่ทนเห็นทั้งสองฝ่ายจ้องกันไปมา ทำเอาภคดลสะอึก
“เรื่องพี่อาญาหรอครับ” รัฐกรณ์เริ่มเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูด
“มันไม่มีอะไร” ภคดลเลี่ยงไม่อยากพูดถึง
“แต่คุณเป็นคนพูดขึ้นเองนะ เมื่อกี้ แล้วผมก็อยากรู้ด้วยว่ามันเกิดอะไร” รัฐกรณ์สวนกลับจนการุณเองยังตกใจถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนตัวซีด
ภคดลและกรรณิกานั่งมองหน้ากันไปมา เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นที่หน้าผากชายหนุ่ม
“ถ้ามันไม่มีอะไรก็เล่ามาสิครับ”
แต่ทางภคดลก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไร แม้ว่าทางรัฐกรณ์จะรุกอย่าไร ทั้งสองคนก็เงียบเฉย ความเครียดค่อยๆคุกคามพวกเขาอีกครั้ง คนที่เหลือเหมือนเป็นคนกลางที่อยู่ในสงครามเย็นของสองขั้วอำนาจ ที่นั่งมองเชิงกันไปมา
“เดี๋ยวพี่ไปชงกาแฟให้ดีกว่านะคะ จะได้เย็นลงกัน” สาวิตรีรีบเสนอตัว โดยมีการุณอาสาไปช่วย พ่วงด้วยสรรพวุติตามไปเผื่อมีอันตรายเขาจะช่วยได้ทัน
กาแฟร้อนๆส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่วห้อง ค่อยผ่อนอารมณ์ขุ่นมัวให้คลายลงเล็กน้อย รัฐกรณ์จิบกาแฟ ด้วยต้องการดับความง่วง ในยามนี้คงไม่ดีนักหากต้องมาหลับไม่รู้เรื่องไป ทางที่ดีทุกคนควรจะตื่นตัวไว้ ทุกคนที่เหลือก็เห็นเหมือนกัน จึงพากันจัดการกาแฟเสียจนหมดแก้ว
พวกผู้ชายพากันจัดเวรยามเฝ้าดูแลความปลอดภัย และช่วยกันปิดประตูหน้าต่างทุกบานให้แน่นหนา หญิงสาวที่เหลือนั่งจับกลุ่มกันอยู่กลาห้อง โดยที่สาวิตรีได้ช่วยปลอบโยนคนที่เด็กกว่าที่ยังดูวิตก เธอกอดเด็กสาวไว้เบาๆ จนเสียงสะอื้นของกรรณิกาเงียบลง
“หนู………. หนูจ๊ะ” และไม่ว่าสาวิตรีจะเรียกและเขย่าตัวกรรณิกาเท่าไร กรรณิกายังคงนิ่งไม่ไหวติง เธอนอนเงียบอยู่ในอ้อมกอดของสาวิตรี เสียงลมหายใจอ่อนๆ ที่ผ่านเข้าออกนั้นแผ่วเบา สาวิตรีช่วยเอนตัวเด็กสาวลงไปตรงโซฟาตัวยาวที่นั่งอยู่
หากคนอื่นๆเดินเข้ามาในโถงตอนนี้คงจะเห็นภาพของหญิงสาวที่ปล่อยให้เด็กสาวนอนหนุนตักอยู่หลับอย่างเป็นสุข มือเรียวยาวนั้นลูบไล้ไปตามเส้นผมละเอียดนุ่ม เธอส่งเสียงเอื้อนเป็นทำนองเพลงขับกล่อม ที่ฟังดูให้ความไพเราะและรู้สึกเหงาไปพร้อมกัน