รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 17 จบ] 6 พ.ย. 55 หน้า 15
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 17 จบ] 6 พ.ย. 55 หน้า 15  (อ่าน 329344 ครั้ง)

ออฟไลน์ tarkung

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 997
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 3] 3 ม.ค. 55
«ตอบ #30 เมื่อ03-01-2012 15:41:55 »

จะติดตามต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ ratrirattikan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 3] 3 ม.ค. 55
«ตอบ #31 เมื่อ03-01-2012 17:37:34 »

เนื้อเรื่องน่าสนใจค่ะ... จะตามต่อนะคะ

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 3] 3 ม.ค. 55
«ตอบ #32 เมื่อ03-01-2012 19:20:09 »

อ่านเรื่องนี้แล้วอึดอัดหัวใจหน่วงๆ

สงสารจีจัง ความจริงเป็นยังไงกันแน่ วินก็อย่าพึ่งไปตัดสินสิ ถ้าถามจีง่ายๆว่าน้องตายยังไงมันก็ได้นี่นา

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 3] 3 ม.ค. 55
«ตอบ #33 เมื่อ03-01-2012 19:54:23 »

ถึงจะยังงั้น ยังงี้ แต่พี่วินก็รับมือยากจริงๆนะ
ดูมีเหตุผลยังไงไม่รู้ ไอ้เราจะเกลียด ก็จะยังไงอยู่
เอาเป็นว่าขอเชียร์จีต่อไปดีกว่า... จีสู้ :a2:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 3] 3 ม.ค. 55
«ตอบ #34 เมื่อ03-01-2012 19:55:57 »

พ่อพระเอกใจร้าย ใจจืด ใจดำ :o12:

benzaa602

  • บุคคลทั่วไป
Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 3] 3 ม.ค. 55
«ตอบ #35 เมื่อ03-01-2012 20:43:38 »

สนุกมากเลยคะ มาต่อเร็วๆนะคะ

อิตาพี่ภวัลนี้ก็ไม่รู้เรื่องไรเลย เฮ้ออออ

ยังไม่รู้ดีเลยว่าน้องจีทำอะไรหรือเปล่า นิสัยไม่ดีๆๆ  :z6:

ออฟไลน์ kisssky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 3] 3 ม.ค. 55
«ตอบ #36 เมื่อ03-01-2012 21:20:16 »

ภวิลใจร้ายอ่ะ :o12: หึ

รอติดตามต่อนะคะ

bluebird

  • บุคคลทั่วไป
Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 3] 3 ม.ค. 55
«ตอบ #37 เมื่อ04-01-2012 00:31:59 »

มาตามอ่าน2ตอนรวดเลยค่า >.<
คุณวินนี่โหดจริงนะ หึหึ ตอนนี้เราเลยเห็นอกเห็นใจจิรัฐสุดๆ
เงื่อนงำเรื่องการตายของยูทำให้อ่านไปแล้วสงสัยไปด้วยเบาๆ
แอบอยากรู้ว่าภวิลจะใจอ่อนเมื่อไหร่ แต่คาดว่าอีกพักใหญ่ 55+
อ่านแล้วอยากไปพักที่บ้านนี้บ้างจริงๆเลยค่า บรรยากาศดีมาก
แต่มีผู้บริหารใหม่นี่แหละ มาทำเสียมู้ดไปหมด ฮึ่มๆ !!

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 4

เงาไม้ร่มครึ้มทั่วอาณาบริเวณ เสียงสุนัขที่เลี้ยงไว้เห่ารับกันให้ขรม จิรัฐถอดรองเท้าเดินขึ้นบ้าน รู้สึกราวเรี่ยวแรงจะเหือดหายไปหมด
 
ที่จริงเขามีห้องพักในบ้านพระยาด้วย อยู่ติดกับห้องทำงาน แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเหลืออะไรที่ยังเป็นของตัวเองบ้าง จิรัฐเลือกจะกลับบ้านสวนเมืองนนท์ของพ่อ... กลับมาหาแม่

เมื่อตอนบ่าย หลังจากชมดูข้างนอกจนเป็นที่พอใจแล้วภวิลก็ขึ้นไปใช้ห้องทำงานเขาอ่านรายงานจนถึงเย็น และกลับไปโดยไม่พูดอะไร แต่ความเงียบอย่างนั้นไม่ได้ทำให้น่าวางใจเลยสักนิด ยังสายตาที่อ่านไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่นั่นก็ด้วย... จิรัฐรู้สึกว่าถ้าเผลอหรือพลาดเมื่อใด อีกฝ่ายคงโดดเข้าตะปบแล้วฟัดจนจมเขี้ยวด้วยความปรีดา... เป็นมโนภาพที่ชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วนไม่น้อย

เขาแง้มประตูออกอย่างเบามือ เวลาค่ำเช่นนี้คุณบุณฑริกมักจะอยู่ในห้องนั่งเล่น อ่านหนังสือบ้าง เย็บผ้าบ้าง จิรัฐพยักหน้าให้เด็กในบ้านที่อยู่เป็นเพื่อนแม่ออกไปได้ก่อนทรุดนั่งลงที่พื้น

แม่ยิ้มรับเขาตั้งแต่ประตูแล้ว... จิรัฐเอียงศีรษะพิงตักแม่ มืออุ่นลูบลงอย่างปรานี “วันนี้เหนื่อยหรือลูก...”

วันนี้... ยิ่งกว่าเหนื่อยเสียอีก เพราะถึงแม้ผู้ถือหุ้นเดิมๆ ที่ห่วงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองจะออกไปแล้ว แต่คนเข้ามาแทนรับมือยากยิ่งกว่า... ที่สำคัญ เขาไม่ต้องการให้แม่รู้เรื่องที่ถูกช่วงชิงอำนาจบริหารไปเพราะกลัวจะกระทบกระเทือนจิตใจ เพราะฉะนั้นที่พูดได้จึงมีแค่...

“ยุ่งนิดหน่อยครับ...”

เขานั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น แม่ยังลูบศีรษะลูกชายเบาๆ ผ่านไปพักหนึ่งจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“จีรู้ไหม เมื่อก่อนตอนพ่อไม่อยู่แล้วใหม่ๆ ก็ยุ่งน่าดูเหมือนกัน ทำงานกับดูแลบ้าน... ไม่เท่าไหร่ แต่ปัญหาที่เกิดจากคนนี่สิ ทำเอาแทบแย่ไปหลายครั้ง”

จิรัฐถอนใจเบาๆ เขาก็กำลังมี ‘ปัญหาที่เกิดจากคน’ เหมือนกัน ออกจะสาหัสเสียด้วย

“แล้วแม่ทำยังไง...”

“ก็... ตั้งสติก่อน แม่ใจไม่เย็นเท่าพ่อ พ่อเลยว่า ก่อนทำก่อนพูดอะไร นับถอยหลัง แล้วคิดก่อน...”

เป็นวิธีที่เขาใช้มาตลอดเช่นกัน... จิรัฐหลับตา ฟังแต่เสียงอ่อนโยนของแม่

“ถ้าเรามีเวลาคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน เราจะเห็นเหตุแห่งปัญหา เมื่อเห็นเหตุแล้วก็แก้ที่ต้นเหตุ ถ้ายังแก้ไม่ได้ตอนนี้ ก็ค่อยหาทางบรรเทาไป พ่อบอกแม่ แล้วแม่ก็กำลังบอกลูกอยู่ ว่าไม่มีปัญหาอะไรที่เกินความสามารถของมนุษย์ ขอแค่เราคิดดี ทำดี เป็นที่ตั้ง”

... แม่มักจะพูดให้เขาได้คิดเสมอ จิรัฐรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง เพื่อไม่ให้แม่นึกกังวลมากไปกว่านี้เลยว่า

“แล้วถ้าเป็นพ่อเองล่ะแม่...”

แม่ก้มมองเขาอย่างสงสัย ลูกชายยิ้มให้ “แม่ก็ต้องเคยเห็นไม่ตรงกันกับพ่อบ้างแหละ... ทำยังไงให้ใจเย็น นับเลขอีกหรือเปล่า”

“นับเหมือนกัน... แต่กับพ่อ แม่นับไปข้างหน้า นับว่ารักพ่อมากี่วันแล้ว...” แม่ยิ้มตอบเขา “ถ้าเป็นคนที่เรารัก หนักนิดเบาหน่อย ก็ให้อภัยกันได้ ความจริงพ่อนั่นแหละที่คอยรั้ง ประสาน... สมัยสาวๆ แม่ใจร้อนน่าดู ดีที่พ่อเขาเย็น...”

ทุกครั้งที่แม่พูดถึงพ่อ จิรัฐก็รู้สึกราวกับว่าพ่อไม่ได้ไปไหนไกลเลย ท่านยังมีชีวิตอยู่ในใจของแม่ ของเขา...
 
ถ้าเรารักใคร วันเวลาก็มีแต่จะเดินไปข้างหน้า และไม่หยุดลงเพียงเพราะกายแยกห่างเท่านั้น

ต่างกับคนบางคน ที่เขาได้แต่นับถอยหลัง ถอยหลังจนตัวเลขจะติดลบอยู่แล้ว!


ธรรมนูญนั่งเท้าคางหาวหวอดเพราะถูกพ่อครัวหัวป่าก์ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งมาหมาดๆ เมื่อวานโทรปลุกแต่เช้า อ้อนวอนแกมบังคับให้ช่วยมาดูเมนูให้ เขาไม่แปลกใจที่ทักษ์ทำเมนูสำหรับสัปดาห์หน้าที่ผู้บริหารคนใหม่สั่งเสร็จเร็ว เพราะไอ้ทึกทักบ้าพลังอยู่แล้วแถมยังเคยคิดรายการอาหารของตัวเองเผื่อไว้เป็นกระบุงแม้ไม่เคยได้ใช้ แต่แปลกใจที่ตัวเองถูกเลือกมาตรวจคุณภาพนี่แหละ
 
แล้วพอมาถึงทักษ์กลับอิดๆ ออดๆ ไม่เอาเมนูออกมาให้ดูเสียที จนธรรมนูญชักหงุดหงิด

“ไหนว่าเสร็จแล้ว”

“ก็เสร็จ... แต่... ไม่รู้ว่าดียัง”

“ถึงโทรปลุกตั้งแต่ไก่โห่ให้มาช่วยดูไม่ใช่หรือไง” ธรรมนูญว่า “เร็วๆ ไม่งั้นจะขึ้นไปทำงานละ”

ทักษ์จึงได้กระมิดกระเมี้ยนหยิบกระดาษแข็งเขียนด้วยลายมือตัวโตเอนหน้าเล็กน้อยที่ผู้จัดการฝ่ายการเงินเห็นทีไรก็นึกถึงลายมือเด็กประถมทุกทีออกมา เขาถอนใจ “ถ้าจะเสนอคุณภวิลละก็ต้องพิมพ์แล้วปรินท์มาใหม่ให้มันเรียบร้อยกว่านี้ไม่งั้น...”

“อาร์มช่วยหน่อย... ข้างล่างนี่ไม่มีทั้งคอมทั้งเครื่องปรินท์เลย นะ...”

ธรรมนูญถอนใจอีกเฮือก มองทักษ์ที่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมแล้วสั่นหัว “เออ เดี๋ยวเอาไปให้เลขาฯ ช่วยพิมพ์ข้างบน ตอนนี้ลองนำเสนอมาซิว่ามีอะไรบ้าง”

ทักษ์ก้มมองเมนูในมือตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา ธรรมนูญสำทับ “ก็ต้องพรีเซนต์คุณภวิลไม่ใช่เหรอ... ซ้อมก่อนสิ เอ้า”

รายการของคาวผ่านไปโดยธรรมนูญไม่มีข้อติอะไรมากนัก เป็นอาหารไทยที่ใช้เครื่องปรุงตามฤดูกาลเช่นหมูผัดกระท้อน แกงส้มมะรุม ผัดผักหวาน ประกอบไปกับอาหารจานเดียวและจานหลักอื่นๆ ที่มียืนพื้นอยู่แล้ว ส่วนพวกเรียกน้ำย่อยทักษ์สรรมาแต่ของยาก ซึ่งเขาก็ติงไปว่าให้ระวังเรื่องเวลาในชั่วโมงเร่งด่วนที่มีลูกค้ามาก อาจจะไม่ต้องเอาขึ้นเมนูครั้งเดียวหมดแต่ให้เวียนเป็นรายการพิเศษของแต่ละวันไป

ปัญหามาเกิดตอนเมนูของหวาน ท่าทางเชฟคงกลัวว่าจะธรรมดาไป เลยหาชื่อวิลิศมาหรามา... จัดเต็ม

"ขนมดอกโสนน้อยเรือนงาม"

"โอ๊ย ดอกโสนก็ดอกโสนสิ" ธรรมนูญคว้ากระดาษมาเอาปากกาขีดปรื้ดไม่สนใจคนคิดที่มองตาละห้อย "แขกไปสั่งที่อื่นบอกจะกินโสนน้อยเรือนงาม ได้งงตายกันพอดี"

"ดอกโสนกินที่ไหนก็ได้ โสนน้อยเรือนงามได้ที่ครัวพระยาที่เดียว" เชฟอุบอิบ “เดี๋ยวติดเรือนไทยอันน้อยๆ ให้”

"ทักษ์ เรามั่นใจในฝีมือเรารึเปล่า" เขาถาม ถึงเชฟของหวานจะใช้อีกคนหนึ่งเมื่อลงมือทำจริงแต่ยังไงทักษ์ก็ต้องเป็นคนชิมทุกอย่างรวมทั้งช่วยปรับสูตรถ้ายังไม่ได้มาตรฐาน ไอเดียการนำเสนออาหารก็เป็นของคนตรงหน้านี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นทุกจานที่ออกจากครัวไปก็เหมือนเป็นตัวแทนความคิดสร้างสรรค์และรสนิยมของหัวหน้าเชฟอยู่ดี

ทักษ์นิ่งไปนิดแล้วจึงพยักหน้า ธรรมนูญพูดต่อ “มั่นใจก็ไม่ต้องเอาอะไรรกรุงรังมาบังอาหารของเรา ชื่อหรูหรา แต่งจานสวย มันก็แค่องค์ประกอบ แขกมาสั่งของหวาน เขาก็อยากจะกินขนมอร่อย ไม่ได้อยากกินเรือนไทยของประดับ...”

“เอาล่ะ เอาล่ะ อาร์ม เทศน์ยาวเชียว” ทักษ์ว่าก่อนแย่งกระดาษกลับไปแก้รายการอื่นๆ ธรรมนูญก็ฟังโดยดีจนมาถึงรายการสุดท้ายที่เชฟพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

"กลกามเทพ"

"อะไรของแกเนี่ย"

"... ขนมชั้น"

"มันเกี่ยวกับคิวปิดด้วยเรอะ" เพื่อนร่วมงานออกเพลีย "ขนมชั้นรูปหัวใจ? เดือนนี้ก็ไม่ใช่เดือนกุมภาสักหน่อย"

"ก็แบบ... ชั้นร้าก... เธอ... ไง้"

ธรรมนูญแทบตากลับ ไม่ใช่อะไร กลัวแทนเชฟ ขืนส่งเมนูแบบนี้ให้ผู้บริหารคนใหม่มีหวังถูกไล่ออกเอาจริงๆ

"ที่พูดไปเมื่อกี้เข้าหัวบ้างหรือเปล่าเนี่ย”

“ก็แก้อันอื่นให้หมดแล้ว อุตส่าห์ภูมิใจนำเหนออันนี้... รับไว้หน่อยก็ไม่ได้”

“ถ้ายังอยากทำงานที่นี่ต่อละก็ แก้ เดี๋ยว นี้”

“ก็ได้ๆ” ทักษ์รับไปอย่างกระฟัดกระเฟียดแถมค้อนเขาจนตากลับ ธรรมนูญขมวดคิ้วใส่ ที่เตือนนี่ก็ด้วยความหวังดีล้วนๆ ไม่อยากให้ต้องตกงานทั้งๆ ที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งมาแค่วันเดียวแท้ๆ

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขากดรับ “ครับ...”

เสียงร้อนรนของเลขาฯ ทำเอาต้องขมวดคิ้วอีกหน

“คุณอาร์ม ถึงหรือยังคะ”

ธรรมนูญยกข้อมือดูนาฬิกา หลังทักษ์ดูแลภาพรวมความเรียบร้อยของบุฟเฟต์อาหารเช้าเสร็จตั้งแต่หกโมงและปล่อยที่เหลือให้ซูเชฟทำ ทั้งคู่ก็นั่งแก้เมนู ไปๆ มาๆ จนตอนนี้เก้าโมงจะครึ่งโดยไม่รู้ตัว เขารีบพูด

“มาแล้ว... แต่อยู่ในครัว มีอะไรหรือเปล่า”

“คุณ... เอ้อ... คุณภวิลอยู่ในห้องทำงาน...”

ผู้จัดการฝ่ายการเงินแทบผุดลุกขึ้นยืน ไม่คิดว่าผู้บริหารคนใหม่ที่เขาเชื่อว่าธุรกิจอย่างอื่นคงรัดตัวจะกลับมาเร็วเพียงวันรุ่งขึ้นเท่านั้น “ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจี...”

“มาตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ส่วนคุณจี ยังไม่เห็น...”

“เขาเรียกจะเอาอะไรประหลาดๆ หรือเปล่า”

ธรรมนูญก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองหมายความถึงอะไรเมื่อพูดออกไปอย่างนั้น คิดแต่ว่าจะไม่ยอมผิดพลาดด้วยการประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำไปโดยเด็ดขาด บทเรียนตอนผู้ถือหุ้นรุ่นเดิมงุบงิบกันเทขายเสียหมดหน้าตักก็เกินพอแล้ว

“ก็... อยู่เงียบๆ ในห้องค่ะ แต่ว่า คุณอาร์ม ที่เราเคยคุยกันไว้น่ะ... เลยต้องโทรมากวนก็เพราะอย่างนี้แหละค่ะ...”

ธรรมนูญฉวยกระดาษมาจากทักษ์ บุ้ยใบ้ให้ทำงานต่อไม่ต้องสนใจในขณะที่ตัวเองออกเดินไปส่วนสำนักงาน โล่งใจนิดๆ เมื่อเห็นไกลๆ ว่าจิรัฐกำลังเดินตรงมาที่ตัวตึกเหมือนกัน เขากรอกเสียงลงโทรศัพท์

“เดี๋ยวผมจะพยายามพูดให้ ได้ความยังไงจะรีบบอก.... นี่จีมาแล้วพอดี ครับ... โอเค”

ธรรมนูญโบกมือให้รุ่นน้องเห็นพลางเดินแกมวิ่งไปหา จิรัฐเหลือบตามองชั้นบนแล้วมองเขาเป็นเชิงถาม ธรรมนูญพยักหน้า
“ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ...”

จิรัฐก้าวขึ้นบันไดช้าๆ แต่มั่นคง

บางที ความกล้าก็ไม่ใช่ความไม่กลัว เพียงแต่เขารู้ว่าสิ่งที่ตั้งใจจะปกป้องเอาไว้นั้น สำคัญกว่าตัวเอง...


ภวิลกวาดตามองรอบห้องทำงานที่ถือวิสาสะยึดมาตั้งแต่วันแรก

จิรัฐไม่ว่าอะไร ไม่แม้แต่จะย่างกรายเข้ามาอีกด้วยซ้ำ ตอนแรกเขาเชื่อว่าทำอย่างนี้ดีที่สุด เพราะอีกฝ่ายจะได้ไม่มีโอกาสตั้งตัวเก็บหลักฐานที่เกี่ยวกับน้องออกไปทัน พอขึ้นจากสวนเขาก็ปิดห้องอ้างว่าจะอ่านรายงานที่สั่งให้ผู้จัดการฝ่ายการเงินและบุคคลทำ แต่ส่วนใหญ่แล้วค้นดูเอกสารอื่นๆ หาทุกอย่างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนั้น จนถึงตอนนี้ แทบพูดได้ว่าไม่มีซอกมุมไหนในห้องหรือเอกสารใดในแฟ้มที่หลุดรอดสายตาไปได้ 

แต่เขาก็น่าจะรู้ ถ้ามีเบาะแสพรรค์อย่างนั้นที่นี่จริง จิรัฐคงวางเฉยอย่างที่เป็นอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ประสาทเหล็กเต็มที ก็เพราะแน่ใจว่าไม่มีอะไรที่จะโยงไปถึงความจริงในคืนนั้นหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

... หรือเขาอาจจะแค่ยัง... มองหาไม่ละเอียดพอ

ภวิลปิดแฟ้มเข้าหากันอย่างแรงพร้อมกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาพูดเสียงห้วน “ไม่ได้เรียก...”

เสียงจิรัฐดังขึ้น “คุณภวิล...”

คนอยู่ในห้องเลิกคิ้วกับตัวเองน้อยๆ ไม่คิดว่าคนมาขอพบแต่เช้าจะเป็นคนที่ทำท่าราวแม้แต่หน้าก็ไม่อยากจะมองกันเมื่อวาน เขาเดินไปปลดกลอนประตูแล้วกลับต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นผู้จัดการฝ่ายการเงินและบุคคลยืนอยู่ด้วย

ธรรมนูญรีบก้าวเข้ามาในห้อง “ผมมีเรื่องจะเรียนให้ทราบ...”

ภวิลเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ “แล้วอีกคนมีเรื่องอะไร”

“เรื่องเดียวกันแหละครับ” น้ำเสียงจิรัฐไม่แสดงอารมณ์ใด “ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเข้ามาวันไหนบ้าง ถ้าจะใช้เลขาฯ จากที่บริษัทคุณมาช่วยที่นี่อาจจะทำให้สะดวกขึ้น”

“เมื่อก่อนคุณใช้ใคร ก็ใช้คนนั้นแหละ ไม่เห็นต้องยุ่งยาก”

“คือ... ไม่ไหวแล้วมังครับ เขามีแต่เกษียณก่อนกำหนด นี่ป้าก็หกสิบสองเข้าไปแล้ว" ธรรมนูญบอก "ยิ่งเปลี่ยนผู้บริหารใหม่แบบนี้ ป้าขอ... แกอยากไปเลี้ยงหลาน"

นี่เป็นเรื่องที่เคยพูดกันมานาน เพียงแต่มารดาของจิรัฐไว้ใจเลขาฯ เก่าคนนี้มากและแกเองก็รักจิรัฐเหมือนลูกเหมือนหลานจนทำงานต่อมาเรื่อยๆ รวมทั้งยังหาเลขาฯ ใหม่ที่เหมาะๆ ไม่ได้ด้วย จนเมื่อเปลี่ยนผู้บริหารจึงเป็นโอกาสที่จะเกษียณจริงๆ เสียที ผู้จัดการรีบเสริมต่อ

“ผมพอมีใบสมัครที่คนเคยส่งเข้ามาแล้วบ้าง ถ้าคุณภวิลจะดูเบื้องต้น...”

“ไม่ต้องหรอก ผมหาได้แล้ว”

“คนของคุณเองเหรอครับ” ธรรมนูญถาม

“ก็ไม่รู้เรียกว่าคนของผมได้หรือเปล่า นายเก่าคุณหลุดจากตำแหน่งเดิมแล้วยังว่างอยู่ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมเลยว่าจะให้...”

“ไม่ได้นะครับ” ธรรมนูญขัดอย่างลืมตัว “คุณจะเอาจี เอ่อ คุณจิรัฐมาเป็นเลขาฯ อย่างนั้นหรือ ผมว่าไม่...”

“เจ้าตัวเขายังไม่เห็นว่าอะไรเลยสักคำ” ภวิลบอก ธรรมนูญเหลือบมองรุ่นน้อง ไม่รู้ว่าที่ยังไม่พูดเพราะกำลังคิดหาทางอยู่หรือเพราะอึ้งจนพูดไม่ออก ที่จริงเขาก็หวังเพียงให้จิรัฐช่วยบอกกล่าวเรื่องการเกษียณของเลขาฯ คนเดิมและหาคนใหม่มาทำแทน ไม่นึกว่าเหตุการณ์จะออกมาในรูปนี้

“ถ้าอย่างนั้นผมขอให้เลขาฯ คนเก่ากลับมาทำงานต่อก็ได้ครับ” ธรรมนูญว่า ถ้าขอร้องให้อยู่ช่วยต่ออีกสักปีสองปีจนหาเลขาฯ ใหม่ได้คงไม่เป็นไร

“ผมไม่ได้อยากได้เลขาฯ ช่วยงานเอกสารเฉยๆ แต่ต้องการผู้ช่วยที่รู้เรื่องอื่นดี... ด้วย”

ภวิลมองทายาทคนเดียวผู้เป็นเจ้าของบ้านนิ่งๆ ราวจะท้าให้กล้าปฏิเสธ แวบหนึ่งที่จิรัฐอยากจะพูดออกไปว่าให้เขาไปเป็นผู้ช่วยหัวหน้าคนสวนยังดีกว่าต้องมาเป็นผู้ช่วยของคนตรงหน้า แต่นึกถึงคำพูดเมื่อวานพร้อมสายตาดูแคลน ‘ไม่อยากทำก็โบ้ยให้คนอื่น’ จึงสบตาอีกฝ่ายตรงๆ

“ก็ได้ ผมทำเอง”

ธรรมนูญมองรุ่นน้องอย่างตกใจ ภวิลเพียงพยักหน้ารับรู้ราวเป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้ว
 
พอออกจากห้องธรรมนูญยังไม่ทันพูดอะไรจิรัฐก็ชิงเอ่ยเสียก่อนราวจะเดาใจได้ “ไม่เป็นไรหรอกพี่อาร์ม ไม่เป็นไรจริงๆ”

“แต่ถ้าคุณป้ารู้เข้า...”

“แม่จะไม่รู้เรื่องนี้” รุ่นน้องพูดอย่างหนักแน่น

ธรรมนูญถอนใจ ความจริงถึงตอนนี้ พนักงานก็รู้เพียงว่าหุ้นบางส่วนถูกขายให้กับบริษัทวินเนอร์พร็อพเพอร์ตี้ และแม้ผู้จัดการแผนกอื่นๆ จะรู้จักภวิลในฐานะผู้บริหารคนใหม่ ก็ไม่จำเป็นจะต้องสรุปว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บริหารเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นเรื่องที่จิรัฐถูกลิดรอนอำนาจก็ไม่น่าจะถึงหูคุณบุณฑริกได้... อย่างน้อยก็จนกว่ารุ่นน้องจะค่อยหาทางบอกเอง

หลังจากฟังการพรีเซนต์เมนูใหม่ซึ่งผ่านไปอย่างราบรื่นจนธรรมนูญไม่อยากจะเชื่อแล้ว เจ้าของหุ้นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เข้ามาอีกหลายวัน... คงไปดูแลธุรกิจหลักของตัวเอง และกลับเป็นเรื่องดี เพราะจิรัฐได้ทำงานอย่างปกติเหมือนที่เคยทำ เรื่องรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ แบบที่ต้องตัดสินใจในการบริหารวันต่อวันภวิลก็ไม่ได้ยุ่ง จนเขาเกือบคิดว่าบางที เรื่องราวอาจจะยังไม่เลวร้ายนัก...

จนโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่จิรัฐกำลังขับรถกลับบ้านสวน เสียงละล่ำละลักของเด็กในบ้านรัวเร็วจนฟังไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อบอกให้พูดช้าลงเขาก็ตัวเย็นเฉียบ

“คุณผู้หญิงเป็นลม... เข้าโรงพยาบาลค่ะ”

“โรงพยาบาลไหน แม่เป็นอย่างนี้ได้ยังไง” จิรัฐหักรถจอดข้างทาง ขืนขับไปตอนนี้คงเสยต้นไม้หรืออะไรเข้าสักอย่างด้วยเขายังควบคุมสติไม่อยู่จริงๆ

เด็กบอกชื่อโรงพยาบาล แล้วจึงบอกสิ่งที่ทำให้เขาชาดิกไปถึงหัวใจ

“ตอนบ่ายมีแขกมาหาที่บ้าน เป็นผู้ชายตัวสูงๆ หน้าตาดี คุณผู้หญิงก็รู้จักเห็นเรียกหลาน... คุยกันแป๊บเดียวคุณผู้หญิงก็...”

จิรัฐกำมือแน่น เหงื่อเย็นเยียบไหลซึม

... ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย!


เขาพุ่งไปที่ห้องฉุกเฉินก่อน แต่ได้รับคำตอบว่าคนไข้ชื่อบุณฑริกออกจากห้องฉุกเฉินไปพักฟื้นเรียบร้อยแล้ว จิรัฐเปิดประตูเข้าไป เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองมือสั่น อาจจะสั่นไปทั้งตัว เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน... แม่ยังหลับอยู่ สีหน้าดีกว่าที่นึกกลัวเอาไว้ เขาเดินไปที่ข้างเตียงช้าๆ เอ่ยปากเรียกแผ่วเบา “แม่...”

ตั้งแต่พ่อเสียไปจิรัฐก็มีแต่แม่เท่านั้น และนึกไม่ออกเอาจริงๆ ว่าถ้าไม่มีแล้วจะเป็นอย่างไร แม่เป็นความเข้มแข็งของเขา เป็นแรงใจ... ที่ทำให้ทำอย่างทุกวันนี้ได้ เขาค่อยๆ แตะนิ้วลงบนมือแม่

เสียงเปิดประตูทำให้สะดุ้งเหลียวไป และปะเข้ากับคนที่ไม่อยากเห็นหน้าที่สุดในเวลานี้

“คุณมาทำไม!” จิรัฐไม่กล้าเสียงดังกลัวจะรบกวนแม่ ได้แต่เดินไปที่ประตูเอาตัวขวางไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาได้

“ผมก็แค่จะ...” ภวิลมองคนตรงหน้าที่ตาแดงก่ำ

“ผมทำตามที่คุณบอก ให้อยู่ตรงไหน ผมก็อยู่... บอกให้เป็นอะไร ผมก็เป็นตามนั้น... ผมต้องทำยังไงอีก คุณภวิล” ท้ายประโยคขาดหายราวคนพูดจุกแน่นอยู่ในอก ทั้งโกรธทั้งเสียใจ “แม่ผม ท่านไม่เกี่ยว...”

จิรัฐยกมือขึ้นกดกระบอกตาแล้วถูแรงๆ จนคนยังยืนอยู่นอกห้องเกือบเผลอรวบจับไว้ด้วยกลัวจะขยี้จนบอดไปเสียก่อน พอดีกับที่เสียงในห้องดังขึ้น

“จี...”

“แม่” เขารีบเดินกลับไปหา แม่จับมือเขาไว้ ยิ้มอ่อนบาง

“ทำไมทำหน้ายังงั้น แม่ไม่เป็นไรแล้ว” คุณบุณฑริกเหลือบเห็นชายหนุ่มอีกคนยังยืนอยู่หน้าห้องจึงพยักหน้าเรียก “วินเข้ามาสิลูก ขอบใจนะ... ไม่ได้วินคงแย่”

จิรัฐมองแม่กับคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องสลับกันอย่างงุนงง

“ครับ” ภวิลก็ตอบอย่างเรียบร้อย

“พี่เขาไปหาแม่ที่บ้าน คุยกันยังไม่ได้เท่าไหร่เลยแม่ดันลมจับ อาการเดิมกำเริบน่ะลูก... ตาแสงแกลาวันนี้พอดี” แม่หมายถึงคนดูแลสวนที่ทำหน้าที่ขับรถให้ด้วยในบางคราเวลาจะไปไหน “ในบ้านมีแต่ผู้หญิง พอดีได้พี่เขาช่วย”

จิรัฐแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากเป็น ‘พี่’ คงไม่อยากเป็นอะไรด้วยทั้งนั้น เขาเหลือบมองคนช่วยอย่างอดระแวงนิดๆ ไม่ได้ พอดีหมอและพยาบาลเข้ามาเช็คอาการ หลังจากสอบถามจนแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้ว จิรัฐจึงเลี่ยงออกมานอกห้องปล่อยให้นางพยาบาลเช็ดตัวแม่ 

ภวิลเดินตามออกมา สองคนยืนพิงผนังกันอยู่คนละฝั่งประตูเงียบๆ จนจิรัฐเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“คุณ... ไปบ้านผม”

ภวิลรู้ว่าคนพูดคงอยากถามว่าไปทำไม และเหตุผลที่แท้จริงนั้นบอกออกมาง่ายๆ ไม่ได้ ก็เหมือนกับที่เขาถามจิรัฐง่ายๆ ไม่ได้เรื่องน้องชาย จึงเพียงแต่พยักหน้า

จิรัฐเอ่ยเบาๆ

“คุณยังไม่ได้บอก...”

“เปล่า...”

ระหว่างคุยกับคุณบุณฑริกเขาหวังว่าอาจจะได้เงื่อนงำอะไรบางอย่างบ้างในเมื่อคว้าน้ำเหลวจากห้องทำงานมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจะถึงไหนเธอก็บ่นว่าหน้ามืด จะเป็นลม เขารู้ว่าคุณบุณฑริกมีอาการโรคหัวใจเลยรีบพาส่งโรงพยาบาล ความจริงภวิลไม่เห็นประโยชน์ที่จะบอกเรื่องซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบ้านพระยา เพราะรังแต่จะทำให้มารดาของจิรัฐรู้สึกไม่สนิทใจพอที่จะเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังเหมือนอย่างตอนนี้

ที่สำคัญ... เมื่อคำนึงถึงโรคประจำตัวของคุณบุณฑริกแล้ว ภวิลก็ไม่อยากจะทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง

ขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเขา... กับจิรัฐเท่านั้นก็พอ

“ขอโทษที่... เข้าใจผิด” คนยืนอยู่อีกฟากประตูพูดเบาๆ โดยไม่ได้หันมามอง “แล้วก็ขอบคุณที่... ช่วยแม่ผม”

ในสถานการณ์อื่นจิรัฐคงไม่คิดจะพูดคำนี้ แต่ตอนนี้เขาก็แค่โล่งใจ... ที่แม่ไม่เป็นอะไร และที่ไม่เป็นอะไร ก็เพราะภวิลไปอยู่ที่นั่น... ในเวลานั้น ไม่ว่าจะไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

ภวิลเพียงแต่พยักหน้าอีกครั้ง ถ้าเอาเรื่องที่เขาเคยพูดดักไว้มาผสมกับการที่เขาเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับแม่ของจิรัฐตอนเกิดเรื่อง ใครๆ ก็คงคิดอย่างนี้ ด่วนสรุป... อาจจะใช่ แต่ด้วยสถานการณ์แวดล้อมแล้วก็ไม่เอื้อให้เห็นเป็นอย่างอื่น

พลันนึกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันคล้ายคลึงกันอย่างประหลาด ต่างฝ่ายต่างเป็นคนส่งญาติสนิทของอีกฝ่ายไปโรงพยาบาล

... เพียงแต่น้องชายของเขา ไม่อาจฟื้นมายืนยันความบริสุทธิ์ของคนพามาส่งได้เหมือนแม่ของจิรัฐ

ภวิลทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจเสมอมา ทุกอย่างคิดมาดีแล้ว ตรึกตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องธุรกิจหรือเรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน ที่เข้ามาครั้งนี้ก็เพราะแน่ใจว่าจิรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้อง เขาไม่เคยสงสัยการตัดสินใจของตัวเองมาก่อน

แต่ตอนนี้เขากำลังคิด... หรือตัวเองอาจ... ด่วนสรุปเช่นกัน?

ธรรมนูญสาวเท้าอย่างรีบเร่งมาตามทางเดินในโรงพยาบาล เห็นรุ่นน้องก็ตรงเข้าไปหา “คุณน้าเป็นไงบ้างจี”

จิรัฐพึมพำตอบว่าดีขึ้นแล้ว ธรรมนูญเพิ่งจะเห็นผู้บริหารคนใหม่ และชะงักไปอย่างประหลาดใจด้วยไม่คาดว่าจะเจอในที่นี้

... ภวิลหันหลังจากมาโดยไม่พูดอะไรอีก


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คุณ samsoon@doll ถูก คำถามนี้เลย ใครกันนะ อิอิ
คุณ jeaby@_@ ขอบคุณมากๆ สำหรับการติดตามค่ะ ฝากต่อด้วยน้า คุณพระเอกก็คง... ไม่เย็นอย่างนี้ไปตลอดหรอก 55
คุณ yeyong แอร์ไทม์ เอ้ย ออกเยอะขนาดนี้ก็คงต้องเป็นคู่เอกแล้วล่ะค่ะสองคนนั้น ปมแรกจวนคลายแล้วค่ะ
คุณ Little Diamond เออบางทีเราก็อยากพูดคำนี้เหมือนกัน ถูกใจ 55 แต่เค้าก็ไม่รู้จริงๆ นี่ อีกไม่นานล่ะ...
คุณ BBChin JungBB ความรู้สึกเนี้ยแหละ ต่อยหมอนข้าง ประมาณนั้น
คุณ sang som เป็นบุคลิกนึงของเค้า... แต่ต้องรอดูกันต่อไป...
คุณ tarkung ขอบคุณมากค่ะ ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ
คุณ ratrirattikan ขอบคุณค่า ฝากด้วยนะคะ
คุณ berlyn สวัสดีค่า ความจริงจวนเปิด (จวนจริงๆ นะเดี๋ยวจะบอก พูดมาหลายตอนละ) ถ้าถามบางทีจีอาจจะไม่ตอบง่ายๆ เหอๆ ขนาดพี่อาร์มที่สนิทๆ กันยังไม่บอกเลย
คุณ pattybluet จริง เป็นคนรับมือยาก แกมีเหตุผลของตัวเอง (ที่คนเขียนคิดหัวแทบแตกเลย ฮา) อย่าเพิ่งเกลียดแกเลยค่ะ เชียร์จีต่อๆ
คุณ bulldog17 แอร๊ยยย สามบทแล้วมีแต่คนก่นด่าคุณพระเอก 555 ตอนสี่แกไม่ใจร้ายนะ หรือไง
คุณ benzaa602 จะพยายามอย่างยิ่งที่จะมาต่อให้เร็วนะคะ ก็คุณพระเอกแกไม่รู้เรื่องแกก็ต้องมาหาความจริงนี่แหละ 55
คุณ kisssky คุณภวิลโดนอีกแล้ว เหอๆ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
คุณ bluebird คุณภวิลเค้าไม่ได้โหดแบบ จำเลยรักอะไรอย่างนั้นนะแต่หลังจากนี้ไม่นานเงื่อนงำก็จะเฉลยแล้วค่ะ

แหะๆ มาต่อช้าอีกแล้ว เพราะคนเขียนงานเข้า (งานยุ่งนั่นเอง) แต่จะเขียนไปเรื่อยๆ ค่ะไม่ทิ้งแน่ๆ ยังไงฝากด้วยนะคะ
ปล. ใครแอบด่าคุณภวิลตอนแม่จีเข้าโรงพยาบาลไปแล้วบ้าง 555 
ขอบคุณคนอ่านทุกท่านมากๆ ค่ะ
  :กอด1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2012 13:43:48 โดย เดหลี »

ออฟไลน์ chompoonut139

  • สุดท้ายก็ไม่เหลือใคร
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
อ่านแล้ว มันซับซ้อนไปหมดทุกอย่าง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 4] 17 ม.ค. 55
« ตอบ #39 เมื่อ: 17-01-2012 14:15:23 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
ตกใจ นึกว่าวินจะใจร้าย แต่ก็ยังใจร้ายอยู่ดีนั้นหละ ก็เข้าใจว่าน้องตัวเองตายทั้งคน แต่ก็นะ ไม่มีวิธีอื่นที่จะสืบเรื่องให้รู้ที่มันดีกว่านี้หรือยังไง ใจร้ายยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
เขากำลังคิด... หรือตัวเองอาจ... ด่วนสรุปเช่นกัน?

         คนอ่านก็คิดแบบนี้แหละพี่วิน

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
เริ่มคิดได้แล้วใช่มั้ย....พ่อพระเอก :o10:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
การด่วนสรุป เป็นความอัตโนมัติของมนุษย์ที่ไวกว่าแสง หุหุ
แต่ดูเหมือนเริ่มจะมีลางดีนะ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงบรรยายกาศที่อึมครึม อึดอัด และกดดันเลยค่ะ
การตายของยูและการไม่ยอมปริปากบอกอะไรเลยของจี เป็นปริศนาที่น่าสงสัย
แล้วความสัมพันธ์ของคุณภวิลกับจีจะดำเนินไปในรูปแบบไหน? น่าสนใจจริง ๆ

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
ปวดใจ  สงสารจิรัฐ  สาธุขอให่คุณวิลหูตาสว่างบ้างอะไรบ้าง
แต่เรื่องมันแค่ตอนแรกๆคนอ่านก็ด่วนสรุปไม่ได้เผื่อหักมุม
น่าติดตามๆๆ

ออฟไลน์ fox

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตกลงน้องของวินตายเพราะอะไรกันแน่ อยากรู้จัง
มาเฉลยไวๆ นะคะ ^___^

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
วิล...คุ้นๆแล้วใช่ไหมเหตุการณ์แบบนี้น่ะ จีไม่ใช่ฆาตกรหรอก ??

รอปมเฉลย เพราะคนอ่านก็อยากรู้เหมือนกัน

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
น่าติดตามมากครับ  ขอติดตามด้วยคนนะ

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
ตามมาจากเรื่องสมาคมขนสั้นค่ะ มาเจอเรื่องนี้คนละอารมณ์กันเลยอ่ะ  o22
อ่านแล้วสงสารจิรัฐมากมาย ก็พอเข้าใจอารมณ์ของภวิลนะ แต่มันก็ ..  :o12:
+1+เป็ดเป็นกำลังใจให้นะคะ รออ่านตอนต่อไปเน้อ  :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 4] 17 ม.ค. 55
« ตอบ #49 เมื่อ: 05-02-2012 15:17:50 »





ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
อ่านแล้วลุ้น อยากรู้ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง มาต่อเร็วๆนะครับ  o13

atblueann

  • บุคคลทั่วไป
พึ่งเข้้ามาอ่านสนุกดี เมื่อไรจะมาต่อน้า อยากอ่านต่อ อีกนานไหมกว่าปมจะคลาย อยากรู้มาก

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
เป็นนิยายดีๆ...ที่นานๆจะมีสักที ภาษาสวยมากเลยครับ เนื้อเรื่องก็สนุก...รอให้มาต่อเร็วๆ สนุกมากอ่า

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
เป็นนิยายดีๆ...ที่นานๆจะมีสักที ภาษาสวยมากเลยครับ เนื้อเรื่องก็สนุก...รอให้มาต่อเร็วๆ สนุกมากอ่า

ออฟไลน์ prettypearl

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
สนุกชวนติดตามมากเลย  บีบหัวใจมาก ไม่รู้ว่าพี่วินจะมั่นใจความบริสุทธิ์ (ใช่มั้ย?) ของจีรึเปล่า 

จีเองก้โทษตัวเองเรื่องยู แถมยังกดดันเรื่องแม่และโรงแรมอีก เฮ้ออออ

สู้ๆนะจี 

รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อนะค้า

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 5

จากวันที่ภวิลได้รับโทรศัพท์ให้กลับด่วน... กลับมาพบกับข่าวร้ายที่รออยู่นั้นผ่านไปครบหนึ่งปีแล้ว
 
ญาติพี่น้องในวิรัชภาคย์พร้อมกันที่สุสานตามคำขอของคุณรงรองผู้เป็นมารดากฤตวัต ศาสนาที่แตกต่างไม่ใช่อุปสรรค ไม่มีใครปฏิเสธการมารวมกันเพื่อระลึกถึงน้องชายเขา หลังจากร่วมทำบุญที่วัดในช่วงเช้า

ภวิลฟังบทเทศน์ผ่านหู เขาเหลือบมองอาหญิง ใบหน้าเธอสงบ... พิธีมิสซาอุทิศให้ทั้งผู้ยังมีชีวิตอยู่และผู้จากไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าแท้จริงสองโลก... ไม่ได้ไกลกัน เขารู้ว่านี่เป็นเครื่องปลอบประโลมความรู้สึกของคนที่ยังอยู่ข้างหลัง คนที่เชื่อและศรัทธา ว่าวันหนึ่งทั้งสองโลกจะเป็นโลกเดียว คนตายจะกลับฟื้นคืน และเมื่อนั้น... ก็จะได้พบหน้าผู้เป็นที่รักอีกครั้ง

ภวิลถอนใจ เขาอยากเชื่ออะไร ศรัทธาใครเต็มหัวใจได้อย่างนั้นบ้าง บางที... อาจจะไม่ต้องวิ่งวนอยู่กับเป้าหมายที่ยังมองไม่เห็นทาง

‘เครื่องปลอบประโลมใจ’ ของเขา... ถ้าจะมี ภวิลก็ตั้งมั่นตลอดมาว่าต้องเป็นความจริง ถ้ารู้แน่ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น เขาคงทำใจยอมรับได้ในที่สุด แต่ที่เป็นอยู่... การตามล่าหาหลักฐานยึดโยงคนที่เขา ‘คิด’ ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของน้องก็ดูจะไกลห่างจากความสำเร็จมากขึ้นทุกทีจนเขาอดถามตัวเองไม่ได้ว่าการทำแบบนี้ยังจะมีประโยชน์อยู่หรือเปล่า

... หรือประโยชน์นั้น จะต้องยกให้แก่จำเลยไป 

โพล้เพล้แล้ว สมาชิกในตระกูลพากันจุดเทียนวางและทยอยกลับ ภวิลเดินไปส่งคุณย่าที่รถ เขาเองเสียแม่แต่ยังเด็ก คุณย่าเป็นผู้หญิงเข้มแข็งที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จัก หลังเสียหลานชายคนเล็กท่านดูรับมือได้ดีกว่าใคร... มีแต่คนใกล้ชิดที่ดูออก ท่านสะเทือนใจมากขนาดไหน

เขาโน้มตัวพูดกับประมุขของตระกูลที่นั่งด้านหลังรถ “คุณย่าครับ... งานปีนี้...”

“งดไปเถอะลูก...” คุณย่าตอบ ท่านเอนตัวพิงพนักอย่างเหนื่อยๆ

ภวิลเหลือบมองพ่อที่สั่นศีรษะ ‘งาน’ ที่ว่าคืองานวันคล้ายวันเกิดของคุณย่าเอง ปีที่แล้วงดไปด้วยอุบัติเหตุของน้องที่ประจวบเหมาะกันพอดี ลำพังตัวเขาไม่มีแก่ใจจะจัดงานรื่นเริง คุณย่าก็คงรู้สึกเหมือนกัน แต่พ่อเพิ่งกำชับเรื่องนี้เมื่อไม่นาน งานวันเกิดประมุขของตระกูลวิรัชภาคย์ ไม่ใช่เพียงงานรวมญาติ ไม่ใช่เพียงตัดเค้กอวยพร หากแต่เป็นการขอบคุณลูกค้ารายสำคัญๆ ด้วย

ถ้าปีนี้... งดอีก คงไม่เป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าเท่าใด

“ผมว่า... ควรจัด... น่ะครับ คุณย่าครบเจ็ดรอบ แล้วเราก็มีคู่ค้ารายใหม่เพิ่มมามาก...” ยังไม่รวมถึงเรื่องที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของเขาเพิ่งจะขยายไปพ่วงหุ้นโรงแรมริมแม่น้ำมาเกินครึ่งอีก

คุณย่านิ่ง ภวิลรู้ว่าท่านกำลังนึกถึงอะไร ก็ทุกปีคนเป็นโต้โผจัดงานวันเกิดให้คุณย่าคือกฤตวัต เวลานี้ของทุกปีควรเป็นเวลาแห่งการยินดี ทั้งบ้านมีชีวิตชีวาด้วยพลังล้นเหลือของน้อง เพียงแต่ว่าตอนนี้...

“ถึงยูไม่อยู่ แต่คงอยากเห็น...”

คุณย่ามองเขา ก่อนพยักหน้าน้อยๆ ราวตัดสินใจได้ “... แล้วแต่วินแล้วกัน”

“เดี๋ยวผมตามไปครับ...” เขาบอกพลางปิดประตูให้ ทันเห็นพ่อส่งยิ้มนิด เหมือนคิดไม่ผิดที่ให้เขาเป็นคนพูดเรื่องนี้กับคุณย่า

ภวิลเดินเรื่อยๆ กลับไปทางเดิม แต่ไม่ได้ขึ้นรถตัวเองทันที เมื่อครู่ผู้คนวุ่นวาย ตอนนี้พิธีเสร็จสิ้น ทั้งบาทหลวงก็ประพรมน้ำเสกหมดแล้ว คงมีเวลาอยู่สงบๆ กับน้องสักพัก

เขาหวนคิดถึงวันก่อนวันนี้ของปีที่แล้ว... ก่อนเดินทาง ภวิลไปเจอน้องอยู่ในห้องหนังสือกำลังรื้อค้นของให้วุ่น ถามได้ความว่าจะหาหนังสือสถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกสในสมัยรัชกาลที่ห้า... เห็นผ่านตาไปแต่ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน พูดเท่านี้ภวิลก็รู้ว่ากฤตวัตจะเอาไปทำไม หรือพูดให้ถูก จะเอาไปช่วยงานใคร

ลงเอยด้วยการที่เขาถูกดึงไปร่วมหาจนพบ เห็นน้องทิ้งตัวลงนั่งอมยิ้มมองหนังสือก็อดปากไม่ได้

‘ทำยังกับเจอสมบัติพระศุลี ถามจริงทำงานนี่ได้ตังค์หรือเปล่า’

‘พี่วินก็คิดถึงแต่เรื่องได้ตังค์ไม่ได้ตังค์’ น้องชายพูดเสียงยานคาง ‘อ้อ ว่าไม่ได้ ไม่งั้นก็ไม่ใช่นักธุรกิจหญ่าย... ไม่ต้องห่วงหรอก จีเขาให้ตามสมควร’

‘แล้วเรื่องจะเอาเงินไปลงทุนกับเขานี่อีก คิดดีแล้วเหรอ’

กฤตวัตมองเขายิ้มๆ พูดซ้ำ ‘พี่ไม่ต้องห่วง คิดดีที่สุดในชีวิต’

แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

‘ผมรู้พี่เป็นห่วง ห่วงมาตลอด... แต่ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ผมมีความสุขมากจริงๆ’ กฤตวัตมองเขาตาใส ‘มีความสุขแบบ... ให้ตายตอนนี้เลยยังได้’

‘ถ้าคุณย่าได้ยินคงโดนสวดไปสามวันแปดวัน คนแก่เขาถือ พูดเรื่องตาย ไม่เป็นมงคล’ ภวิลเอ็ดไม่จริงจังนัก

น้องชายทำตาโตราวกลัวเสียเต็มประดา หันเคาะฝาไม้กระดานดังโป๊ก ก่อนเอ่ยพลางหัวเราะอีก
 
‘เคาะทิ้งไปละ ไม่เป็นไรละ ก็แค่... ผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองดีน่ะ... มีพี่ คุณแม่ คุณยาย คุณลุงที่รักผมเหมือนพ่ออีกคนหนึ่ง ได้ทำงานที่รักกับเพื่อนดีๆ จะมีสักกี่คนที่ได้หมดอย่างผม แบบถ้าตายก็ไม่มีอะไรจะเสียใจ อย่างนั้นล่ะ’

‘พูดว่าตายอีกแล้ว เอ้า เคาะทิ้งซะอีกที’ ภวิลจำได้ว่าบอกแล้วก็หัวเราะไปกับน้อง


... แต่ความเชื่อเก่าแก่นั่นก็ปกป้องคนพูดไว้ไม่ได้
 
ช่วงนั้น เช้าจรดเย็น กฤตวัตไปขลุกอยู่บ้านเพื่อนคนนี้ทั้งวัน ดูจากท่าทางแล้ว ให้ทำงานฟรี บุกน้ำลุยไฟอย่างไรก็คงเอา กฤตวัตเป็นคนรักเพื่อน ไม่แปลกที่จะทุ่มสุดตัวหากเพื่อนให้ช่วยอะไร แต่กับจิรัฐแล้วเรียกว่าทุ่มสุดตัวยังน้อยไป สู้ตายถวายชีวิตจะเหมาะกว่า

ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่คนที่มีส่วนทำให้น้อง ‘มีความสุข’ นอกจากครอบครัวและงานอย่างที่บอกแล้ว ก็คงเป็นเพื่อนคนนี้เอง
   
ขนาดที่ว่าถ้าตายก็ไม่มีอะไรจะเสียใจ

ปกติยูอาจจะชอบพูดเล่น แต่ตอนนั้น... ตอนที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือด้วยกัน ภวิลรู้สึกว่าน้องพูดจริงทุกคำ
 
คำอธิบายที่เขาหวังจะได้ ก็เหลือที่ยูจะรับรู้แล้ว มันคงเป็นความเห็นแก่ตัวของคนเป็นพี่ชายอย่างเขาเอง ที่อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นมีเหตุผลเพียงพอจะทำความเข้าใจได้บ้าง สักนิดก็ยังดี
 
เขาเคยคิดว่าคนไว้ใจเพื่อนอย่างยู อาจจะถูก ‘ใช้’ ได้ง่ายๆ พยายามเตือนตัวเองว่าน้องไม่ใช่คนไม่เฉลียวอย่างนั้น ถ้า ‘ยอม’ ก็เพราะ... เต็มใจ
 
เมื่อเหตุการณ์ถึงขั้นนี้แล้ว เขาตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า จะดีกว่าไหมถ้ายูไม่ต้องรู้จักเพื่อนคนนี้ มีความสุขน้อยลงอีกหน่อย แต่อาจจะ... ยังมีชีวิตอยู่ ได้แต่คิด เพราะภวิลรู้ว่าถ้าจะมีอย่างหนึ่งที่เขากับกฤตวัตเหมือนกัน ก็คือทุกเรื่อง... ต้องตัดสินใจเอง และยอมรับผลที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
 
ภวิลถอนใจอีกครั้ง ลมเย็นพัดกรูเกรียวมาปะทะหน้า เขาสูดหายใจลึก แล้วชะงัก
 
แสงเทียนจับเสี้ยวหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงป้ายจารึกเป็นสีส้มนวลรางๆ ความจริงเขาไม่ควรจะประหลาดใจที่พบจิรัฐในที่นี้ ถ้าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนดีได้เพียงครึ่งหนึ่งของที่กฤตวัตชอบพูดถึง ก็ไม่ควรจะลืมวันครบรอบวันตายของเพื่อน ภวิลยืนมองเพื่อนรักของน้องวางดอกไม้ มือเรียวแตะลงนิดที่ป้ายราวหวังให้สื่อสารถึงคนข้างใน ไหล่สะท้านขึ้นน้อยๆ คล้ายจะถอนสะอื้น
 
จิรัฐยังไม่เห็นเขา ความจริงตรงนั้นไม่มีใครเลย

ไม่จำเป็นจะต้องแสร้งอาลัย ไม่จำเป็นจะต้องแกล้งทำเป็นเสียใจ
 
ทุกอย่าง... คงจะออกมาจากความรู้สึกข้างในจริงๆ
 
แวบหนึ่งที่ภวิลนึก... สงสาร คิดกลับกัน ถ้าเป็นตัวเขา เพื่อนสนิทหรือคนใกล้ชิดตายแต่แม้จะไปร่วมพิธีระลึกถึงก็ยังลำบาก ได้เพียงเอาดอกไม้ไปวางให้ตอนทุกคนกลับแล้ว หาเศษเทียนจุดต่อจากเทียนของคนอื่น... ในใจคงไม่รู้จะรู้สึกเช่นไร

เขาขยับตัว เสียงกิ่งไม้ที่เหยียบอยู่ดังกรอบแกรบขึ้น คนข้างหน้าสะดุ้งหันมองจนสบตากัน ภวิลตัดสินใจเดินเข้าไปช้าๆ เอ่ยถาม
 
“ไม่เข้าไปในพิธีด้วยล่ะ”

จิรัฐกระพริบตาอย่างงุนงง ที่เขาเคยไปร่วมพิธีฝังศพ ผลเป็นอย่างไรภวิลก็น่าจะรู้อยู่แล้ว

“คุณย่าท่านไม่ว่าหรอก”

คนก้าวเข้ามายืนเกือบเคียงกัน เยื้องหลังไปหน่อยเอามือไพล่หลัง จิรัฐไม่รู้สึกถึงการคุกคามอย่างเคย เขาผ่อนลมหายใจออกนิดหนึ่ง

“ญาติคนอื่นของคุณจะไม่สบายใจเอาน่ะสิ”

ภวิลมองเขาเหมือนกับจะบอก... สนใจอะไรคนอื่นมาก... จิรัฐพูดต่อ

“เขามาหายู มาระลึกถึงยู ก็ให้เขาคิดถึงแต่ความดีของยูเถอะ อย่าให้เห็นผมแล้วพาลต้องคิดถึงเรื่องที่จะพาให้ขุ่นข้องหมองใจเลย”

เงียบกันไปพักหนึ่ง มีแต่เสียงลมกระพือ เสียงใบไม้ไหว จนภวิลเอ่ยขึ้น

“คุณรู้ไหมเขาจุดเทียนกันทำไม”

จิรัฐเหลือบมองคนพูด ประเมินแล้วว่าอาจจะต้องการคำตอบจริงๆ เพราะไม่คิดว่าเป็นวิสัยที่อีกฝ่ายจะชวนคุยจึงได้ตอบ

“ก็เพื่อให้พบความสว่าง เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง...”

ภวิลยิ้มนิด “คุณก็หวังอย่างนี้หรือ”

จิรัฐย่อมรู้ว่า ‘อย่างนี้’ คืออย่างไหน เขาเอ่ยเบา

“ถึงผมไม่หวังจะได้เจอเขาอีก แต่ผมก็หวังให้เขามีความสุข มีความสุขไปตลอด...”

ภวิลหันมองคนข้างๆ แต่สายตาจิรัฐจับนิ่งที่ป้ายจารึก วินาทีนั้นเขาคิดจริงๆ ว่าจิรัฐหมายความอย่างที่พูด
 
“ไม่มีอะไรแน่นอนจีรังหรอก... ผมเคยบอกว่าคุณเข้าครอบครองได้ แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของ ความจริง... ผมก็เป็นเจ้าของตลอดไปไม่ได้ด้วยเหมือนกัน" จิรัฐเอ่ยเรื่อยๆ “แต่มีบางอย่างที่คงทนกว่านั้น ยืนยาวกว่านั้น บางอย่างที่ใช้คำว่าตลอดไปได้”

รอยยิ้มคลี่ระบายออกนุ่มนวล “เหมือนตอนที่ยูบอกผมว่าเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

ตลอดไป... นิรันดร...

ภวิลพลันตระหนักว่าสิ่งสำคัญพอกับการค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น คือการรู้ว่าน้องได้มีความสุขจริงๆ ได้อยู่กับเพื่อน ‘ดีๆ’ แบบที่เคยบอก ได้ทำในสิ่งที่ชอบ จนถึงวันสุดท้าย... ก็ยังมีความสุข

และถ้าเขาจนวิธีที่จะตามหาความจริงของเรื่องในวันนั้นแล้ว จะด้วยทางตันหรือด้วยเบาะแสสุดท้ายอย่างจิรัฐไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย การรู้แน่ชัดว่าน้องมีความสุข... ก็จะเป็นเครื่องปลอบประโลมเขา เหมือนกับที่การเชื่อมั่นในศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคุณอาหญิงเหมือนกัน

“ถ้าผมถามคุณตรงๆ ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น คุณจะบอกผมได้ไหม"

ภวิลรู้สึกว่าอีกฝ่ายเกร็งขึ้นเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างระมัดระวัง “ผมพายูไปส่งโรงพยาบาล... แต่สายไป ผมเสียใจ”

“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ... คุณเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับยู บอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลยหรือ”
 
จิรัฐเม้มปากสนิท แล้วค่อยเอ่ย “คุณภวิล... คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมเองก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่มากไปกว่าคุณ”

ถ้ายูเจ็บตัวมาก่อนขึ้นรถ อาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นตอนที่จิรัฐไม่เห็น... ไม่มีประโยชน์ที่จะคาดคั้นต่อในเมื่อเขาเองก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่จะกล่าวหาอีกฝ่ายให้มากไปกว่านี้ได้ ภวิลถอนใจก่อนพูดช้าๆ
 
“คุณรู้ไหม... น้องผมเขารักคุณมาก”

คำว่า ‘รักมาก’ ในครั้งนี้ไม่มีร่องรอยประชดอย่างครั้งแรกๆ ที่เจอกัน ภวิลคิดเรื่องนี้แล้ว... โดยปกติเขาก็ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของน้อง แต่ไม่ว่าจะรักแบบไหน กฤตวัตก็ยึดถือเพื่อนสนิทคนนี้เป็นคนสำคัญยิ่งยวดเสมอมา
 
จิรัฐพยักหน้า ยิ้มเศร้าราวจะนึกถึงคนที่จากไป “ยูเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม”

ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดว่า ‘รัก’ ออกจากปาก แต่ภวิลแน่ใจว่า... ใกล้เคียง
 
“ตอนแรกผมคิดว่าคุณรักบ้านคุณที่สุด อะไรคงไม่สำคัญไปกว่านี้แล้ว”

“คุณจะเอาของมาเทียบกับคนได้ยังไง” จิรัฐขมวดคิ้ว

“ก็ดี... คุณควรจะรักอะไรที่รักตอบคุณได้"

ภวิลพูดแค่นั้นแล้วก็บอก “จะให้ไปส่งไหม”

จิรัฐยืนอึ้งอยู่เกือบครึ่งนาที จนอีกฝ่ายถามซ้ำจึงได้ตอบ “ไม่เป็นไรครับ... ผมเอารถมา”

ภวิลพยักหน้ารับรู้ก่อนเดินจากไปเงียบๆ จิรัฐบอกลาเพื่อนในใจอีกครั้ง แล้วออกเดินในทิศทางตรงกันข้าม คำถามสุดท้ายนั้นทำเอางงอยู่ไม่น้อย

เขาสตาร์ทรถ ในใจคิดถึงที่เคยคุยกับกฤตวัต น่าแปลกที่รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน

‘พี่วินเหมือนคุณยาย...’
 
‘เหมือนคุณย่าตัวเอง... ไม่แปลกนี่” จิรัฐคิดถึงลักษณะท่าทางภายนอก สง่า... น่าเกรง... เหมือนกัน แต่เพื่อนกลับบอก
 
‘อืม... ดูตอนแรกเหมือนดุนะ แต่จริงๆ ใจดี'


เขาไม่อาจตอบได้ว่าภวิล ‘ใจดี’ จริงๆ หรือเปล่า แต่เมื่อสักครู่ก็ไม่รู้สึกถึงอะไรแอบแฝง พักนี้ภวิลไม่ค่อยเข้ามาที่บ้านพระยาสักเท่าไร เหมือนจะถอยกลับไปทบทวนเรื่องบางอย่าง หรือรอจังหวะทำอะไรต่อไป ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจเพียงแค่งานอื่นล้นมือเท่านั้นก็ได้

อีกเรื่องหนึ่งที่ปฏิเสธได้ยาก คือความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อีกฝ่ายสั่งในฐานะผู้บริหารจากการดูรายงานที่ธรรมนูญเตรียมให้นั้นก่อให้เกิดผลดีไม่มากก็น้อย จริงอยู่จิรัฐพยายามปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างไม่ให้หักหาญเกินไปเมื่อนำมาปฏิบัติ แต่ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว ก็ราวกับภวิลคอยเตือนตัวเองว่าบ้านนี้เป็นของที่น้องชายรักและร่วมลงทุนลงแรงมา ไม่ใช่ของที่จะทำลายให้สิ้นซากไปกับมือเพื่อความสะใจ แม้จะรู้ว่าถ้าทำอย่างนั้นคงทำร้ายเขาได้มากกว่าอะไรทั้งหมด

ถ้าคิดเพียงเท่านี้... ก็อาจนับได้ว่า ‘ใจดี’ กระมัง...


ธรรมนูญยืนมองสองคนที่เดินอยู่ในสวนจากหน้าต่างห้องทำงาน บางคราจิรัฐก็จดลงสมุดที่ติดไปด้วย ส่วนคนเดินนำชี้โน่นนี่ สั่งงานไปเรื่อยๆ

ภวิลตกลงใจจะใช้บ้านพระยาเป็นที่จัดงานวันคล้ายวันเกิดของคุณหญิงไพจิตรผู้เป็นย่า ผนวกงานขอบคุณลูกค้าประจำปีของบริษัทในเครือ ไม่มีใครมีเหตุผลจะค้าน และตอนนี้จิรัฐก็ถูกลากลงไป ‘ทำหน้าที่ผู้ช่วย’ เพื่อเตรียมงานเรียบร้อย

ทักษ์โอดกับเขาตามปกติ เพราะนี่เป็นงานใหญ่งานแรกที่จะต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเชฟ แต่เขาไม่ค่อยห่วง ธรรมนูญมีความรู้สึกว่ารุ่นน้องน่าห่วงกว่า จนถึงตอนนี้เขาก็ยังอ่านภวิลไม่ค่อยจะออก เมื่อเจอกันเข้าที่โรงพยาบาลสองสัปดาห์ที่แล้วก่อนจิรัฐจะบอกว่าภวิลเป็นคนช่วยเหลือแม่นั้น เขาก็เกือบสรุปไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุการล้มหมอนนอนเสื่อครั้งนี้ของคุณบุณฑริก ได้แต่ขอบใจตัวเองที่ไม่ปากสว่างตอนเข้าไปเยี่ยมเพราะนึกว่ามารดาของจิรัฐรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
 
ได้แต่จับตามองเท่าที่ทำได้เผื่อเกิดอะไรขึ้นอีก
 
จิรัฐยกมือเช็ดเหงื่อที่ขมับ ถึงแดดจะไม่ร้อนเพราะต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเอาไว้แต่วันนี้อากาศอบอ้าวไม่น้อย เขาปวดหัวมาตั้งแต่เมื่อคืนและเรื่อยมาจนถึงเช้า เรื่องต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้นอนไม่ได้เต็มตาเลย

ก่อนหน้านี้ภวิลพูดกับเขาเรื่องสระ จิรัฐเตรียมใจเต็มที่ คิดว่าจะขอเวลาย้ายบัวบางส่วนไปไว้ในกระถาง... อย่างน้อยก็เป็นที่ระลึกถึงคุณตาทวดกับพ่อ แต่ภวิลกลับบอกให้เขาหาบริษัทที่ทำสระว่ายน้ำแบบธรรมชาติมาแทน

เห็นผู้ช่วยยังยืนงงภวิลก็ว่า

“คุณคงไม่คิดว่าผมจะให้ทำสระปูกระเบื้องฟ้าแปร๋นนะ ขัดตาตายอยู่หน้าบ้านเก่าแบบนี้”

“ก็ตอนแรกคุณบอกว่า...”

“ให้ทำสระว่ายน้ำ” ภวิลต่อ “ก็ปรับเป็นสระที่ว่ายน้ำได้ เมืองนอกกำลังนิยมมาก... ใช้พืชน้ำทำหน้าที่แทนคลอรีน ถูกกว่าสระปกติอีก ดูกลมกลืนไปกับสวนรอบข้างดีด้วย”

จิรัฐค่อนข้างแน่ใจว่าตอนแรกภวิลไม่ได้คิดจะทำสระแนวนี้ หรืออย่างน้อยก็ไม่คิดจะให้ยังมีดอกบัวอยู่ในสระด้วย มาถึงบางอ้อเมื่ออีกฝ่ายพูด

“แม่คุณเล่าให้ฟัง... สระนี่คุณตาทวดคุณทำให้คุณยายทวด... ลูกค้าคงชอบ เรื่องโรแมนติกโบราณๆ มักจะขายดี ยิ่งลงไปว่ายได้ยิ่งได้บรรยากาศ ทำป้ายบอกประวัติย่อๆ เสียหน่อยเป็นอันเสร็จ”

จิรัฐยืนถือดินสอสมุดค้าง ดีใจนั้นดีใจอยู่หรอกที่ยังรักษาสระที่พ่อทำใหม่ให้แม่ไว้ได้ ถ้าภวิลให้เขาเป็นคนคุยกับบริษัทเอง ก็หมายความว่าบอกได้... ว่าให้กันบัวเอาไว้แค่ไหน ปลูกอย่างอื่นเพิ่มแค่ไหนให้สมดุล แต่ยังรู้สึกว่ามันทะแม่งไม่ใช่น้อยที่ความตั้งใจของคุณตาทวดกับพ่อกลายเป็น ‘เรื่องโรแมนติกโบราณๆ’ เอาไว้ ‘ขาย’

เอาเถอะ หวังให้ภวิลนึกถึงเหตุผลด้านอื่นนอกจากเรื่องเงินๆ ทองๆ อาจจะยาก ได้เท่านี้ก็ดีถมไป
 
“ผมว่าคงต้องปล่อยแบบนี้เอาไว้ก่อน งานคุณย่าคุณใกล้เข้ามามากแล้วเดี๋ยวจะเสร็จไม่ทัน”

“ก็ตามใจคุณ” ภวิลตอบสั้นๆ

“ต้องแจ้งแขกที่มาพักว่าจะมีงานข้างนอก...”

“จัดการตามที่เห็นสมควรแล้วกัน”
 
จิรัฐบันทึกลงสมุด คิดว่าคราวนี้ง่ายและราบรื่นจนน่าประหลาดใจ งานที่ภวิลจะให้จัดเขาทำเต็มที่ เพราะอย่างไรจิรัฐก็นับถือคุณหญิงไพจิตรเป็นคุณยายไม่เปลี่ยน มีอะไรที่พอจะทำให้ได้ก็ยินดีทั้งนั้น เขากะดูทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วหลบออกไปเงียบๆ นึกรู้ว่างานนี้คงรวมคนในวงสังคมเอาไว้ไม่น้อย

ภวิลอาจจะใช้วันนั้นเพื่อย้ำเตือนถึงความยิ่งใหญ่ของวิรัชภาคย์... ไม่ว่าจะเกิดมรสุมอะไรขึ้น ก็ไม่อาจกระทบกระเทือนถึงสถานะผู้นำอันมั่นคงในแวดวงธุรกิจได้ มีข่าวลือเรื่องที่คนในตระกูลเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำพัวพันกับโรงแรมที่เคยทำงานด้วย... ก็เทคโอเวอร์กิจการนั้นเสียเลย ใครจะกล้าพูดอะไรให้เข้าหูอีก

พี่ชายของกฤตวัตเก่ง... ฉลาด... แต่ ‘ใจดี’ น่ะหรือ

ความใจดีคงไม่ใช่คุณสมบัติที่พึงประสงค์ของนักธุรกิจชั้นแนวหน้าเป็นแน่

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 5 (ต่อ)

วันงานมาถึงโดยไม่มีอุปสรรคอะไร ภวิลยืนมองห่างจากบริเวณงานมานิด จิรัฐทำทุกอย่างได้เรียบร้อย แต่พอเริ่มงานก็ไม่รู้หายไปไหน ตอนเกิดเรื่องก็เห็นทนให้คนว่าแท้ๆ แต่กับงานที่พอจะได้หน้าบ้างด้วยอย่างไรก็ยังถือหุ้นร่วมกันกลับหลบไปเสียนี่ เขากวาดตาดูรอบงานครั้งหนึ่ง

รู้สึกว่ามีมือมาแตะที่แขนเบาๆ ภวิลเหลียวไปแล้วต้องชะงักด้วยความแปลกใจระคนดีใจ

“... หมัด กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าส่งยิ้มให้อย่างยินดีไม่แพ้กัน มทนาเป็นบุตรสาวเพื่อนกึ่งหุ้นส่วนทางธุรกิจของพ่อ รู้จักกับเขาตั้งแต่เด็กๆ โตมาแล้วก็ยังเจอกันบ่อยด้วยครอบครัวทั้งสองฝ่ายลงทุนร่วมกันหลายอย่าง ตระกูลของมทนาเป็นเจ้าของเครือโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ โชคดีที่เจ้าตัวไม่ใช่ประเภทคุณหนูเอาแต่ใจแต่งตัวสวยไปวันๆ ถึงยังคบกันมาได้

คนที่ดูจะไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากงานอย่างภวิลมีเพื่อนหญิงคนเดียวที่ไปไหนมาไหนด้วยบ่อยที่สุด ก็เป็นธรรมดาที่คนรอบข้างจะสรุปเอาว่าคงเป็น ‘คู่หมาย’ ความจริง... เขากับมทนาก็เกือบถึงขั้นนั้น แต่สุดท้ายก็ยั้งอยู่เพียงแค่ ‘เพื่อนสนิท’
 
ภวิลมีเพื่อนไม่มาก เห็นตรงกับมทนาว่าถ้าต้องแต่งงานกันโดยมีแต่ความเหมาะสมเป็นปัจจัยหลักก็รักษาความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไว้ดีกว่า เสียแต่ว่าพอญาติๆ เห็นเขากับมทนาด้วยกันเมื่อไร ก็ยังคิดจะจับคู่ให้อยู่ร่ำไป มาเพลาลงบ้างตอนอีกฝ่ายไปเรียนต่อที่อเมริกา

“หมัดเพิ่งกลับมาได้สองสามวันนี้เอง คุณพ่อบอกให้มางานคุณย่าด้วย” มทนาเรียกคุณหญิงไพจิตรว่าคุณย่าตามเขา “เข้ามาก็มองหาวินก่อน... ขี้เกียจให้คุณพ่อลากไปสวัสดีคนโน้นคนนี้ คนเดิมๆ นี่แหละ... สวัสดีกันมาทุกงาน“

“เจอเรา เราก็ลากไปสวัสดีคุณย่า” ภวิลว่า ยิ้มน้อยๆ
 
“ถ้าเป็นคุณย่าไม่ต้องลาก... หมัดยินดี” หญิงสาวหัวเราะ “แล้วนี่น้องยูอยู่ไหน... หมัดไม่เห็น”

รอยยิ้มของภวิลคลายลงจนมทนาสังเกตได้ เธอเอ่ยเบา “เกิดอะไรขึ้นหรือวิน”

เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวที่สุด ละส่วนที่เกี่ยวกับจิรัฐเกือบหมด เอ่ยถึงไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ในเมื่อเขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่สงสัยจะมีมูลหรือเปล่า

“หมัดไม่รู้เลย... ไม่มีใครบอก ถ้าอยู่คงได้ช่วยกันบ้าง งานศพน้องหมัดก็ไม่ได้ไป” มทนามีท่าทางเสียใจจริงๆ

ภวิลรู้ว่าคนเป็นหมออย่างมทนาคงเสียใจมากเป็นพิเศษที่ไม่ได้มีโอกาสพยายามช่วยชีวิตน้องชายของเพื่อนที่เธอเองก็รู้จักเป็นอย่างดี เขาได้แต่เอ่ยขอบคุณเท่านั้น

“วินไม่ได้ใช้โรงพยาบาลหมัดใช่ไหม...”
 
ภวิลส่ายหน้า คนนำส่งไม่ได้พาไปที่โรงพยาบาลในเครือที่ครอบครัวของมทนาเป็นเจ้าของ มทนาคงอยากจะดูประวัติหรือรายงานของห้องฉุกเฉิน ซึ่งเขาขอดูมาแล้ว... และไม่ได้ความกระจ่างมากขึ้นแต่อย่างใด
 
“หมอบอกกระทบกระเทือนทางศีรษะมา ถึงโรงพยาบาลก็... โคม่า แล้วก็ไป ไม่นาน” นี่เป็นครั้งแรกที่ภวิลพูดถึงสาเหตุการตายของน้องเท่าที่รู้ให้คนนอกครอบครัวฟัง สำหรับเขาแล้ว คำอธิบายเพียงเท่านี้มันไม่พอจริงๆ

“แล้วเรื่องชันสูตรล่ะ”

“คุณอาไม่เห็นด้วย” ภวิลว่า
 
ความจริงตอนนั้นมีเขาอยู่คนเดียวที่ยืนยันจะให้ชันสูตร แต่ใครเล่าจะค้านคนเป็นแม่ที่กำลังโศกเศร้าและไม่ต้องการให้ใครยุ่งกับร่างของลูกชายได้

“หมัดว่าไม่น่าใช่เพราะเรื่องศาสนา” มทนาบอก “ไม่ได้ห้ามเรื่องนี้ไว้เฉพาะเจาะจง... อาจจะเป็นความเชื่อส่วนตัวมากกว่า”

ภวิลพยักหน้าอย่างครุ่นคิด เขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พอดีกับที่มทนาเอ่ย
 
“ใครจะรู้... น้องยูอาจจะสบายกว่าพวกเราๆ เป็นไหนๆ น้องยูเป็นคนดี ต้องได้ไปที่ดีๆ แน่”

ทั้งคู่ต่างไม่มีใครพูดอะไรกันราวจะระลึกถึงน้องชายผู้จากไป... ผ่านไปครู่หนึ่งมทนาจึงขมวดคิ้วน้อยๆ “วินอย่าเพิ่งหันไปนะ แต่คุณป้าหมัดจ้องมาทางนี้เป๋งเลย ขืนอยู่ต่อโดนเม้าชัวร์ หมัดไปสวัสดีคุณย่าเลยดีกว่า”

ภวิลเลยเดินไปเป็นเพื่อนหญิงสาว เก้าอี้ข้างคุณย่าว่างพอดี เขาเรียนให้ท่านทราบ “หมัดครับคุณย่า”

มทนาก้มลงไหว้คุณหญิงไพจิตรอย่างนอบน้อม “ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยดลบันดาลให้คุณย่ามีสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลานไปนานๆ นะคะ”
 
“พ่อหนูบอกเหมือนกันว่าเพิ่งกลับมา... ขอบใจที่มางานคนแก่อย่างย่านะลูก” ท่านยิ้มรับ “จบหมอแล้วยังไปต่อเฉพาะทางอีก เก่งจริงๆ”

ภวิลฟังคุณย่าคุยกับเพื่อนผ่านๆ จนท่านพูดถึงที่จัดงาน แล้วก็เลยเอ่ยถึงจิรัฐ
   
คุณย่าก็ยังเป็นคุณย่า ท่านไม่โทษจิรัฐแม้สักนิด... สำหรับคุณย่าแล้ว จิรัฐคือเพื่อนคนสำคัญของหลานชายคนเล็กอยู่นั่นเอง เขานึกรู้ว่าคุณย่าคงอยากจะเจอ บางทีการได้คุยเรื่องเก่าๆ กับเพื่อนสนิทหลานอาจช่วยให้ท่านสบายใจขึ้นได้บ้าง
 
“ผมตามให้เองครับ” ภวิลลุกขึ้น ทิ้งมทนาไว้กับคุณย่า

เขาคิดว่าจิรัฐคงไม่อยู่ในที่ที่คนเยอะๆ แต่ก็คงอยู่ไม่ไกลมากนัก พอที่จะเห็นว่างานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดีหรือไม่ ถ้าจะมีอะไรที่เขารู้เกี่ยวกับจิรัฐเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาตั้งแต่เข้าถือหุ้นใหญ่เป็นต้นมา ก็คือชายหนุ่มไม่ทิ้งงาน จิรัฐมีความรับผิดชอบมากกว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรก นี่ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ตรงกันกับน้อง

ภวิลเห็นเงาตะคุ่มอยู่ตรงต้น... ต้นอะไรนะที่เขาเคยถามจิรัฐ... สายลมกลางคืนหอบเอากลิ่นหอมคล้ายใบเตยผสมข้าวใหม่มาเข้าจมูก

... ต้นชมนาด
 
เขาสืบเท้าเข้าใกล้ เอ่ยเรียก “...จิร...”

คนที่หันมากลับเป็นหัวหน้าคนสวนที่เขาเคยได้เจอเพียงไม่กี่ครั้ง ชงคมค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย

ภวิลกำลังจะถามว่าอีกฝ่ายเห็นจิรัฐบ้างหรือไม่ แต่ต้องชะงักอย่างประหลาดใจเมื่อเงาร่างอีกหนึ่งก้าวออกจากมุมสลัวเข้ามาสู่แสงไฟจากสนามหญ้า

“คุณอา...”

“อาจะมาเข้าห้องน้ำแต่ไปไม่ถูก... พอดีปะคุณคนนี้เข้า” อาหญิงบอก “วินหาใครหรือ”

“หุ้นส่วนน่ะครับ” ภวิลตอบส่งๆ “ห้องน้ำอยู่ทางนี้ เชิญคุณอาตามสบาย”

เขาก้าวจากมาโดยไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรอีก


จิรัฐนั่งอยู่ในมุมริมสระบัวส่วนที่ไกลที่สุด ตรงนี้ไม่ได้ตั้งโต๊ะ มีเพียงแต่ม้านั่งไม้สลักลวดลายที่วางไว้ในสวนอยู่แล้ว

เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งของการที่ภวิลให้เขาจัดผัง เพราะจิรัฐย่อมรู้ว่าเมื่อถึงเวลาแล้วจะหลบไปอยู่ตรงไหนให้ไกลสายตาผู้คน ชายหนุ่มชาชินเสียแล้วกับการที่จะมีคนซุบซิบตามหลัง เรื่องราวแล้วแต่จะปั้นแต่งตามจินตนาการขึ้นมา แต่มันคนละเรื่องกับการที่เขาต้องเสนอหน้าไปรับแขกเหมือนเป็นเจ้าภาพร่วมกันกับภวิล

เขายังปวดหัวอยู่แต่คิดว่าฝืนทนได้จนกว่างานจะจบ ธรรมนูญที่ลงคุมพนักงานเองแวะมาพยายามเอาของให้กิน เขาก็ชิมไปพอที่จะรู้ว่าทักษ์ทำหน้าที่พ่อครัวใหญ่ของงานจัดเลี้ยงแรกได้อย่างไม่มีที่ติ อารามปวดหัวทำให้กินอะไรไม่ค่อยลงนัก
 
ความจริงคนที่ยกหน้าที่หัวหน้าพ่อครัวให้ทักษ์ตั้งแต่ต้นก็คือภวิลอีกนั่นแหละ คิดดูแล้วถ้าตำแหน่งนี้ยังเป็นของหัวหน้าพ่อครัวคนเก่าธรรมนูญคงเป็นอีกคนที่มานั่งปวดหัวเป็นเพื่อนเขา เพราะมีโอกาสที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หยุดงานโดยไม่บอกล่วงหน้า ต้องยอมรับว่าบางเรื่องภวิลก็ตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่า
 
พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วจิรัฐเลยนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อสักครู่เห็นยืนคุยอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง แม้จะไกลแต่ก็จำได้เนื่องจากกฤตวัตเคยชี้ให้ดูในงานที่เผอิญต้องไปร่วมกัน พูดทีเล่นทีจริง ‘ว่าที่พี่สะใภ้’

ดูแต่ภายนอกก็สมกันอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเพื่อนรับรองแสดงว่าน่าจะเป็นคนนิสัยดีใช้ได้ ไม่สิ... ยิ่งกว่าใช้ได้อีก

จิรัฐเท้าคางเหม่อดูบึงข้างหน้า คิดถึงพ่อกับแม่... เขาไม่เคยสงสัยในความรักของท่านทั้งสอง เพราะตั้งแต่จำความได้ก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด เหมือนพ่อกับแม่รักกันมาก่อนหน้านี้เนิ่นนาน และรักนั้นคงยืนยาวไปจนกว่าจะถึงกัลปาวสาน มีแค่ตอนนี้เท่านั้นที่เขาคิด... ความรักมีจุดกำเนิดมาจากไหน รักอย่างที่พ่อรักแม่ ไม่ใช่อย่างที่เขารักยู รักพนักงาน หรือว่ารักบ้าน...

ภวิลพบคนที่ตามหานั่งอยู่ลำพังห่างไกลผู้คนอย่างที่คาดไว้ ความรู้สึกแรกที่แวบเข้ามาจนตกใจคือเขาอยากร้องออกไปว่า ‘เจอแล้ว’ เหมือนตอนเล่นซ่อนหากับน้องเมื่อครั้งยังเด็ก เล่นกันทีไรกฤตวัตมักจะหาที่ซ่อนง่ายๆ แบบที่เขาหาเจอภายในเวลาไม่กี่นาที ไม่อย่างนั้นก็ยุกยิกจนเกิดเสียงแบบที่ภวิลเคยบ่นว่าเจอเร็วจนไม่สนุก แต่น้องกลับบอก

‘ก็อยากให้พี่มาเจอนี่... ซ่อนอยู่คนเดียวเงียบๆ เหงาออก’

เขาคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็คงเพราะ...  คนที่เห็นอยู่นั้นดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน

ภวิลกระแอมกระไอจนอีกฝ่ายหันมา “คุณย่าให้หา... ท่านอยากพบ”

จิรัฐมีสีหน้าลังเล แต่เพราะเป็นคุณยายน้อยของตัวเอง ก็เลยยอมลุกขึ้นมาอย่างว่าง่าย “มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับการจัดงานหรือเปล่าครับ”

“ถ้าจะมีก็คงเป็นคำชมนั่นแหละ” ภวิลว่า “ความจริง งานนี้ก็เชิญคุณแม่คุณด้วย...”

“... หมอบอกให้พักผ่อนอยู่กับบ้านอีกสักหน่อยน่ะครับ”

“แล้วอาการทั่วไปล่ะ”

“ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง...”

ภวิลสังเกตว่าอีกฝ่ายเดินเซเล็กน้อย เขาขมวดคิ้ว ก่อนเหลือบเห็นโต๊ะใกล้ๆ

“อ้าวตรงนั้นอาหารพร่องเยอะแล้วแน่ะ สงสัยพนักงานไม่ค่อยเดินมาถึง”

“ไหนครับ...”

จิรัฐเหลียวมาโดยเร็ว ความกะทันหันทำให้ปวดหัวจี๊ดขึ้นจนตาพร่า

ภวิลเดินอยู่ข้างที่ใกล้สระบัวมากกว่า เห็นจะเสียหลักก็จับแขนไว้โดยอัตโนมัติ แต่แรงปะทะมีไม่น้อยบวกกับดินลื่นตรงขอบสระทำให้ทรงตัวไม่อยู่ไถลลงน้ำกันไปทั้งคู่ เขารีบคว้าหัวไหล่คนตรงหน้าไว้กลัวจะจม จิรัฐสำลักกระอักกระไอ ยกมือลูบหน้าท่าทางตกใจ

เสียงน้ำแตกกระจายดังตูมใหญ่ทำให้แขกพากันเหลียวมอง ธรรมนูญวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตรงเข้าพยุงจิรัฐขึ้นจากสระโดยไม่ไยดีที่ตัวเองเปียกมะลอกมะแลกไปด้วย

“ปวดหัว...” ได้ยินอีกฝ่ายพูดเบาๆ
 
“จีไมเกรนขึ้นเหรอ...”

“นี่เป็นอะไรทำไมไม่บอก” ขึ้นมายืนบนบกได้ภวิลก็ควันออกหู แต่ไม่แน่ใจว่าจะลงที่ใครหรืออะไรดี

ธรรมนูญมองเขาราวจะกล่าวหาแต่ไม่พูดอะไร ได้แต่พาจิรัฐออกจากที่นั้น ภวิลเดินดุ่มๆ ขึ้นตึก ดูเหมือนผู้จัดการการเงินจะคิดว่าเขาใจไม้ไส้ระกำขนาดใช้คนจนตาย ส่วนอีกคนก็บ้าพอกัน เสียชีพดีกว่าเสียงาน ป่วยแต่ไม่รู้จักเจียมสังขาร นิสัยแบบนี้คล้ายยูจนน่าโมโห

เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องที่ติดกับห้องทำงานโดยใช้เสื้อผ้าชุดเดิมที่ใส่มาก่อนเปลี่ยนเป็นชุดไปร่วมงานที่นี่ เสร็จก็ลงไปมองหาคนป่วย สงสัยว่ารุ่นพี่คงโอ๋อยู่นั่นแหละ

ภวิลพบจิรัฐนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้องหนังสือ เปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งแล้วแต่ไม่เห็นธรรมนูญ เขามองอีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นแม้ในยามหลับ เหมือนยังมีเรื่องกังวลไม่คลาย

ภวิลนั่งลงที่เก้าอี้นวมใกล้ๆ เพ่งดูสีหน้าซีดเซียวนั้น ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคิด... ถ้าเจอกันในสถานการณ์อื่น จะเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้เขารู้จักจิรัฐเพียงผิวเผิน รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของน้อง รู้ว่าคุณยายจิรัฐเป็นญาติกับคุณย่าของเขา และรู้ว่าคุณตาจิรัฐเป็นเพื่อนกับคุณปู่ตัวเอง แต่ก็แค่นั้น เพราะถึงยูจะพาไปบ้านบ้าง ไปทานข้าวกับคุณย่าบ้าง แต่ภวิลมักยุ่งเกินกว่าที่จะร่วมโต๊ะด้วย ถ้าเขามีเวลา... ถ้ายูยังอยู่ ถ้าไม่มีเรื่องราวระหว่างกันเช่นนี้ จิรัฐจะเหมือนน้องของเขาอีกคนหนึ่งหรือเปล่านะ...

เสียงเปิดประตูดังขึ้น ภวิลถอนสายตาจากคนตรงหน้าแล้วลุกขึ้นยืน เห็นธรรมนูญถือชามใบเล็กควันกรุ่นเข้ามา ผู้จัดการขมวดคิ้วมองเขา เหมือนระแวงว่าจะกวนคนป่วย

“อะไรน่ะ” ภวิลเดินไปดูสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่าย

“ยาสมุนไพร... ทุกครั้งที่เป็นก็ตำรับนี้แหละครับ ได้ผลดี”

“แล้วยาแก้ไมเกรนทั่วไปล่ะ” ภวิลว่า “ผมมีเพื่อนเป็นหมออยู่ข้างนอก ให้เขามาดู...”

“ถ้าเป็นแบบนี้ต้องนอน” ธรรมนูญบอก “ปลุกมาตอนนี้มีแต่จะเป็นหนัก ยาแผนปัจจุบันเคยลองหมดแล้วไม่ได้ผลเท่า”

เขาวางชามลงโต๊ะเล็กข้างๆ “เดี๋ยวก็ตื่นมาทานเอง ปล่อยให้นอนไปสักพักคงดีขึ้น”

ภวิลพยักหน้ารับรู้ ความจริงเขาก็ไม่เคยใช้ยาแผนโบราณ คุณย่ารับอยู่บางครั้งแต่ไม่ได้ใช้เป็นยารักษาโรค เป็นพวกเสริมบำรุงมากกว่า ท่าจะต้องลองปรึกษามทนา แต่คนที่รู้จักจิรัฐมานานรับรองแข็งขันว่าคนปวดหัวหายด้วยยานี้ทุกครั้งก็คงเป็นเฉพาะบุคคลด้วย

อีกฝ่ายยังมองมาราวกับจิรัฐตกน้ำเพราะเขาจนภวิลโมโหกรุ่นขึ้นมาครามครัน “คุณธรรมนูญ คุณไม่มีอะไรจะไปทำหรือ งานข้างล่างตอนนี้ไม่มีคนดูนะ”

ผู้จัดการฝ่ายการเงินและบุคคลมอง ‘นายใหม่’ สลับกับคนที่นอนอยู่อย่างลังเล

“ผมไม่ทำอะไรเขาหรอก” ภวิลบอกอย่างรำคาญเต็มที “เดี๋ยวก็ออกไปแล้ว รับรองเห็นผมข้างนอกภายในห้านาที มีแขกต้องไปดูเหมือนกัน แต่ตอนนี้ขออยู่สงบๆ แป๊บหนึ่งก่อน”

ธรรมนูญจึงได้ล่าถอยไปอย่างไม่เต็มใจนัก ภวิลเห็นจิรัฐยังนอนนิ่งอยู่ก็เดินดูหนังสือไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีหนังสือนำเที่ยวไทยอยู่บ้าง เขาสนใจอยู่เล่มหนึ่ง คิดว่าอาจจะคุยกับทักษ์ว่าจะจำลองบรรยากาศตลาดน้ำในห้องอาหารอย่างไร หรือจะให้เมนูมีแรงบันดาลใจมาจากอาหารที่ขายกันในเรือก็คงน่าสนใจดี... เลยหยิบมาดู

ภวิลย่นหัวคิ้วเมื่อหนังสือเล่มที่ต้องการนั้นติดกึกกักอยู่ข้างในราวกับมีอะไรขัดคาอยู่ เขาออกแรงดึงมากขึ้นจนหนังสือเรื่องตลาดน้ำหลุดออกมา ร่วงลงพื้นพร้อมกับหนังสือปกแข็งอีกเล่มหนึ่ง

... หน้าปกอาคารสถาปัตยกรรมผสมจีน-ยุโรปเด่นชัด หนังสือเล่มที่ยูเคยให้เขาช่วยหานั่นเอง คงเอามาไว้ในห้องหนังสือที่นี่เผื่อจะใช้อ้างอิงอีก อาจจะให้จิรัฐยืม หรือไม่... ก็อาจจะยกให้เพื่อนไปแล้วก็ได้

ภวิลหยิบมาพลิกดู ในใจก็นึกถึงน้อง... ความจริงกฤตวัตเอกสถาปัตยกรรมปกติ กับสนใจสถาปัตยกรรมภายในด้วยนิดหน่อย แต่พักหลังถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน ภวิลคงนึกว่าน้องเอกสถาปัตยกรรมไทย ไทยเฉพาะเจาะจงแค่แบบที่ผสมกับจีน-ยุโรปในสมัยรัชกาลที่ห้าด้วย

เขายิ้มขันแต่พลันชะงักค้าง กระดาษยับยู่แผ่นหนึ่งร่วงหล่นลงมาพร้อมรูปถ่าย เขียนหวัดด้วยลายมือที่เขาจำได้ว่าเป็นของจิรัฐ

‘นัดไปดูบ้านกับยู’

ต่อจากนั้นเป็นวันที่และเวลา... เขาก้มลงหยิบรูปถ่ายขึ้นจากพื้น เป็นรูปบ้านตึกแบบเก่าหลังหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

... ไม่เคยเห็น? เคยสิ เห็นที่ไหน ที่ไหนนะ...

‘หลักฐาน’ ที่เขาตามหา... แท้จริงแล้วก็ทนโท่อยู่ แต่ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่ามันสำคัญอย่างไร ภวิลจำได้ว่ารูปบ้านหลังนี้มีสำเนาอยู่ในแฟ้มแฟ้มหนึ่งจากตู้เอกสารในห้องทำงานของจิรัฐ มีรายละเอียดและที่อยู่พร้อม

เมื่อแรกเห็นเขาคิดเพียงว่าคงเป็นหนึ่งในหลายหลังที่เคยอยู่ในรายชื่อที่อาจได้รับการลงทุนพัฒนา หรือถ้าจิรัฐคิดจะสร้างเรือนรับรองเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อเพิ่มจำนวนห้องที่ขายได้ก็คงไปตระเวนดูตัวอย่างเพื่อจำลองมา เป็นเรื่องปกติ คนที่อยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์อย่างเขาย่อมเข้าใจ

แต่นี่... ไม่เหมือนกัน ภวิลถือกระดาษโน้ตแผ่นนั้นแน่น มือเขาสั่นนิดๆ

เขาไม่อยากเชื่อว่าจิรัฐทนทำเฉยอยู่ได้อย่างไร ทำเหมือนไม่มีอะไรจะพูด ทำเหมือนไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย ทั้งๆ ที่เขาถามตรงๆ ถามต่อหน้าหลุมศพน้องด้วยซ้ำไป คิดว่าถ้าจิรัฐจะปิดบังเรื่องที่เขาควรรู้ในฐานะพี่ชาย อย่างน้อยคงไม่กล้าโกหกเมื่อเพิ่งจะวางดอกไม้ไว้อาลัยน้องเขาไปหยกๆ

เขาเกือบปล่อยเรื่องนี้ไป เกือบไว้ใจท่าทางซื่อๆ เกือบจะยอมเชื่อว่าจิรัฐเพียงส่งน้องเขาที่อาการเกินจะเยียวยาแล้วไปโรงพยาบาล

เกือบจะสงสารคนที่ไม่น่าสงสารเลย
 
เพราะเขาไม่รู้ว่าก่อนกฤตวัตจะขึ้นรถเพื่อนนั้น น้องไปอยู่ไหน ไปทำอะไรมา อาจจะเพิ่งแค่มาเจอจิรัฐทีหลังก็ได้

แต่ตอนนี้เขาแน่ใจแล้ว... ไม่ใช่

ภวิลก้มมองกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง วันที่ลง... วันตายของยู

เวลาที่ ‘นัด’ เพียง... สามชั่วโมงก่อนหน้าที่เขาจะเสียน้องไปอย่างไม่มีวันได้คืน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2012 13:06:37 โดย เดหลี »

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
คุณ chompoonut139 บทหน้าคลายแล้วค่ะ แหะๆ (แต่อาจมีปมต่อไป?)
คุณ samsoon@doll อ่านบทนี้แล้วต้องว่าใจร้ายอีกแล้วแน่เลย แต่จริงๆ บทนี้ใจดีนะ บทหน้า... ไม่แน่ 55 นี่เขาก็พยายามทุกวิถีทางแล้วนะ
คุณ Little Diamond บทนี้แล้วยังด่วนสรุปอยู่อีกมั้ยยย ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ
คุณ bulldog17 คิดได้... ว่าอะไรดี เอิ๊ก
คุณ yeyong จริงๆ ค่ะมนุษย์เรา "โดดเข้าสู่บทสรุป" (แปลตรงตัวมาจากสำนวนฝรั่ง 55) ได้ง่ายดายมาก จบบทนี้คงว่ามีลางร้ายอะ (สำหรับจี)
คุณ Cherry Red ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ คนเขียนจะพยายามให้มันสว่างกว่านี้ในเร็ววันค่ะ   
คุณ janamanza ขอบคุณที่อ่านค่า หักมุมเป็นไรดี...
คุณ fox จวนแล้วๆ ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ
คุณ berlyn คุ้นสิ 555 เดี๋ยวก็เฉลยแล้วค่า
คุณ j4c9y ขอบคุณค่ะ ฝากต่อด้วยนะคะ
คุณ @Iriz ขอบคุณที่อ่านพวกแมวๆ ด้วยค่า คนเขียนก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าอะไรทำให้บึ่งจาก romantic comedy มาเป็น romantic suspense (ที่ยังไม่ค่อยโรแมนติก) ขอบคุณสำหรับเป็ดและบวกนะคะ
คุณ G-NaF ต่อแล้วนะคะ ฝากต่อด้วยน้า ไม่กั๊กปมไว้นานค่ะ อิอิ
คุณ atblueann ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ ไม่นานเกินรอค่ะคลายแน่ ฝากต่อด้วยนะคะ
คุณ uknowvry ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่า ดีใจที่ชอบน้า ฝากต่อด้วยนะคะ
คุณ prettypearl จีบริสุทธิ์ไหม... คงต้องอ่านกันต่อไป เดี๋ยวก็รู้ ขอบคุณที่เชียร์จีค่า

ขอคุยยาวหน่อยเพราะหายไปนานกรี๊ด ขอโทษอย่างแรงๆ นี่คือผลเสียของการเขียนนิยายแบบไร้สต็อค... ตอนแรกกะมีสต็อคแต่ด้วยความยากของแนวนี้ทำให้เขียนได้ช้าอย่างยิ่ง... อีกอย่างนอกจากคนเขียนงานจะรุมแล้วยังย้ายที่อยู่อีกด้วย... ชีวิต ตอนนี้ของยังระเกะระกะอยู่แอบอัพนิยายก่อน 

ตอนต่อไปจีงานเข้าหนัก คนอ่านบอกมันเข้ามาทุกตอน... แต่ปมแรกของเราก็จะคลายในตอนหน้านี้แล้วนะจ๊ะ อย่าหาว่าเค้ากั๊กนะ มันต้องเป็นไปตามโครงเรื่องค่ะโครงเรื่อง... ถ้าข้ามขั้นมันจะกระทบพล็อตได้ เชียร์จีกันต่อเน้อ (แล้วไม่มีใครเห็นใจคุณพระเอกบ้างเหรอ... เหมือนความรู้สึกดีขึ้นแล้วแต่โดนกระชากให้ดิ่งลงเหวตอนจบบท)

ปล. หมอหมัดเธอสำคัญกับพล็อตนะ... คนเขียนเปล่าใส่มาเพื่อให้เธอชิงรักหักสวาทกับจี (ตกลงนี่มันยังเป็นนิยายรัก?) ว่าไปตัวละครทุกตัวก็สำคัญกับพล็อตหมดแหละ 55

ต้องขอบคุณคนอ่านทุกท่านมากๆๆ เช่นเคยนะคะ การเข้ามาอ่านและเมนท์ของท่านทำให้มีกำลังใจมากๆ ถึงจะมาไม่ค่อยถี่แต่พยายามยาวให้ชดเชยแล้วน้า ไว้พบกันตอนหน้านะคะ ฝากด้วยค่า
  :กอด1:

clubza

  • บุคคลทั่วไป
ดีขึ้นหน่อยที่พระเอกไม่ได้ทำอะไรเเม่คุณจี

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนจีไปไหว้หลุมศพยู เค้าสะเทือนใจอ่ะ :monkeysad:
ถึงยังไงก็ยังคิดว่าจีไม่ผิดอยู่ดี แต่พี่วินเริ่มจะเอิ่ม... ด่วนสรุปอีกแล้วนะ (เอ๊ะ รึว่าคนอ่านด่วนสรุปเอง)
รอตอนหน้าค่ะ ถือป้ายไฟเชียร์จี :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด