สวัสดีศุกร์สุดท้ายของเดือนครับ
All I want # 13
เกร็ดหิมะร่วงหล่นลงมาจากฝืนฟ้าสีเทาหม่นไม่ขาดสายและย้อมสรรพสิ่งบนพื้นดินเบื้องล่างให้กลายเป็นสีขาวโพลน ในมหานครแห่งนี้หิมะไม่ค่อยตกหนักนัก เมื่อนาน ๆ จะตกสักครั้งทิวทัศน์ตรงหน้าจึงดูแปลกตา ว่ากันว่านี่อาจจะเป็นหิมะสุดท้ายของปี
โทโมกินั่งอยู่บนเตียงในห้องพักผู้ป่วยแผนกจิตเวช ทอดสายตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างที่มีลูกกรงเหล็กกั้นไว้ แผลที่สะบักหายดีแล้วและสภาพร่างกายของเขาก็ฟื้นตัวเรียบร้อยแล้ว มีเพียงจิตใจที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางดีนัก แต่ก็นับว่าดีขึ้นมาเมื่อดูจากวันแรกที่ถูกพาตัวมาโรงพยาบาล
คำอธิบายที่หมอคาไซค่อย ๆ บอกกลับทำให้เด็กหนุ่มปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ เหมือนกับเหตุการณ์และเรื่องราวบางอย่างมันหายไป หมอบอกว่าอาจเป็นเพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนจากฤทธิ์ยากล่อมประสาทที่ได้รับมาเป็นเวลานานก็ได้ แต่รูกลวงโบ๋ในหัวใจนั้นกลับถูกถมเต็มทันทีที่โอโนเสะเป็นคนเล่าทุกอย่างให้ฟัง
“เธอถูกผู้ชายคนหนึ่งลักพาตัวไปเกือบสองเดือน จำได้มั้ย?” โอโนเสะเริ่มเรื่องมาอย่างนั้น เล่นเอาหมอคาไซสะดุ้ง
โทโมกิพยักหน้า จิกเล็บลงกับแขนตัวเองแน่น
“เขาลักพาตัวเธอไปกักขัง...และทารุณกรรม...” ประธานแห่งลูนาติก ลัสท์นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดให้ชัดๆ “...เขาข่มขืนเธอ”
“โอโนเสะซัง!?” คนเป็นหมอร้อง
“คุณอยู่เฉย ๆ เถอะ” โอโนเสะปรามพลางสังเกตอาการของโทโมกิ
เด็กหนุ่มตัวสั่นเทากอดตัวเองแน่น ดวงตาเบิกกว้าง หมอคาไซก็มองโทโมกิอย่างหวั่นกลัวว่าเด็กหนุ่มอาจจะกรีดร้องขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นการรักษาอาจจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่จากศูนย์...โอโนเสะเสี่ยงเหลือเกิน
แต่เมื่อผ่านไปหลายนาทีแล้วโทโมกิไม่ได้แสดงอาการคุ้มคลั่งออกมา โอโนเสะก็พูดต่อ
“ไม่ใช่แค่ข่มขืน เขายังใช้ยากล่อมประสาทกับเธอด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงจำเรื่องราวอะไรไม่ค่อยได้ และไม่มีสติในบางครั้ง”
โทโมกิพยักหน้า รูปร่างของอะไรบางอย่างค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในสมอง ความทรงจำหลากหลายค่อย ๆ หวนคืนมา แม้จะยังผสมปนเปกันชวนสับสนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ว่างเปล่าเสียทีเดียว
“และที่ร้ายแรงที่สุด...” โอโนเสะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เขาสลักชื่อของตัวเองไว้บนหลังของเธอ”
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปจับสะบักซ้ายของตนทันที...นั่นเองหรือ สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานมาตลอด...มันคือรอยแผลที่ถูกกรีดลงบนร่างของเขางั้นหรือ
ภาพของใครบางคนค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นในความทรงจำ เรือนผมสีทองยาวประบ่า จมูกโด่งเป็นสัน เรือนร่างสูงใหญ่และรูปหน้าที่ไม่อาจบอกชาติพันธุ์ได้ชัดเจนนั้น...รวมไปถึงกลิ่นอายกรุ่นหอมที่เจือมากับกลิ่นบุหรี่...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะลืมคนคนนั้นไปได้...
...คนโหดร้ายคนนั้น...
“เธอจำเขาได้มั้ย?”
คำถามของโอโนเสะเหมือนสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงลงกลางหัวใจ...มีหรือ ที่โทโมกิจะจำไม่ได้...
“รู้จักชื่อของเขามั้ย?”
...ไม่เพียงแต่รู้จัก หากนั่นคือชื่อเพียงชื่อเดียวที่เด็กหนุ่มเรียกมาตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนั้น...
โทโมกิพยักหน้า
“...ชุน”
จากวันนั้นที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด โทโมกิมักจะนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเตียงแล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง และจะนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง ๆ แม้หมอคาไซกับพยาบาลออกจะเป็นห่วงว่าเด็กหนุ่มจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าแทรกซ้อน แต่จากการพูดคุยหลายครั้งก็พบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพียงแต่โทโมกิดูจะสับสนกับอะไรบางอย่างในใจที่ยังไม่สามารถบอกกับใครได้
“ไง ไอ้ตัวเล็ก กินข้าวหรือยัง?” โอโนเสะซึ่งมาเยี่ยมโทโมกิแทบทุกวันเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับทักทายทันที
“กินแล้วครับ” เด็กหนุ่มตอบเบา ๆ เขาคุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่สติสตังของเขาเริ่มเข้าที่เข้าทางดีขึ้น โอโนเสะมาเยี่ยมเขาบ่อยกว่าพ่อตัวเองล้านเท่า
“คืนนี้ฉันมีงาน เลยมาแต่วันหน่อย” โอโนเสะนั่งลงข้างเตียง “ดูหิมะอยู่เหรอ?”
โทโมกิพยักหน้าแล้วทอดสายตามองหิมะอีกครั้ง “ผม...เคยคิดว่า...จะไม่ได้เห็นอีกแล้ว”
“ตอนที่อยู่กับวายะน่ะเหรอ?” โอโนเสะถามราบเรียบราวกับมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
หนุ่มน้อยผู้เคราะห์ร้ายยกมือขึ้นแตะรอยแผลที่สะบักซ้ายด้วยอาการสะดุ้ง กอดตัวเองไว้สั่นไปทั้งร่าง แต่ก็ยังพยักหน้าตอบคำถามของโอโนเสะ
“ถูกขังไว้นาน ก็คงจะคิดแบบนั้นบ้างละนะ” มือใหญ่วางลงบนเรือนผมสีดำนุ่มมือเบา ๆ
“ไม่ใช่...” โทโมกิเค้นเสียงออกมา หากแทบจะไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ “ผมคิด...ตอนที่...”
มือเล็กเลื่อนมาแตะลำคอของตน ที่นั่นยังมีรอยช้ำสีม่วงจาง ๆ มองเห็นได้ชัด โอโนเสะมองอาการนั้นแล้วก็เข้าใจ โทโมกิจดจำตอนที่ถูกวายะบีบคอได้และหวาดกลัวเกินจะเอ่ยออกมา...เด็กคนนี้เฉียดใกล้ความตายนิดเดียว ถ้าเพียงแต่เขาจะเข้าไปช้ากว่านั้นอีกแค่นาทีเดียวเท่านั้น
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว เธอเข้มแข็งออกอย่างนี้ หมอนั่นทำอะไรเธอไม่ได้แล้วละ”
เด็กหนุ่มระบายใจอย่างติดขัดแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ทั้งที่ตัวยังสั่น คำพูดของโอโนเสะทำให้ใจเขาสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
“เอาละ เธอพักสักหน่อยดีกว่า อากาศหนาว ๆ แบบนี้เหมาะที่จะขดอยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ แล้วหลับให้สบาย รู้มั้ย? ขนาดฉันเองยังอยากนอนเลย” โอโนเสะบอกพลางตบหมอนให้
“ก็นอนสิครับ” โทโมกิพูดออกไปอย่างที่ใจคิด
“ยังมีงานรอฉันอยู่อีกเยอะน่ะ เธอนอนเผื่อฉันด้วยแล้วกันนะ ไอ้ตัวเล็ก”
“ไม่ใช่ไอ้ตัวเล็กนะฮะ” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมเอนตัวลงนอนโดยดี
“หึ...ถ้าไม่อยากให้เรียกแบบนี้ก็กินเยอะ ๆ นอนเยอะ ๆ โตเร็ว ๆ แล้วฉันจะไม่เรียก” ท่านประธานของลูนาติก ลัสท์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างเล็กให้ “เอาละ ฉันไปก่อนนะ ถ้าว่างจะมาเยี่ยมอีก”
“ครับ” โทโมกิตอบแล้วหลับตาลง หูเงี่ยฟังเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปและตามด้วยเสียงปิดประตู
ทันทีที่ออกมาจากห้องพักผู้ป่วย โอโนเสะก็เจอหมอเข้าของไข้ของโทโมกิที่ยืนรออยู่แล้ว
“พูดเรื่องน่ากลัวกับเด็กได้หน้าตาเฉยเลยนะครับ โอโนเสะซังเนี่ย” หมอคาไซส่ายหน้าหากมีรอยยิ้ม คำพูดและการกระทำของโอโนเสะทำเขาใจหายใจคว่ำมาหลายหนแล้ว แต่นั่นดูจะเป็นผลดีกับโทโมกิ
“ถ้าเด็กมันรับเรื่องร้ายแรงที่สุดได้ เดี๋ยวมันก็หายเอง ประหยัดเวลาดีด้วยน่ะครับ” โอโนเสะตอบยิ้ม ๆ
“แต่น่าตกใจไปหน่อยนะครับ”
“ก็นะ ว่าแต่ อาการแบบนี้นี่ถือว่าดีหรือเปล่าครับ?”
“สุดยอดเลยละครับ ถือว่าฟื้นตัวเร็วมาก โดยเฉพาะในด้านจิตใจ...บางทีวิธีการของโอโนเสะซังอาจจะดีกว่าที่ผมร่ำเรียนมาก็ได้นะครับ”
“อย่าเอาวิธีห่าม ๆ แบบนี้ไปใช้กับใครเลยครับ กรณีของเจ้าเด็กนั่นมันเข้มแข็งด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่งั้นตอนรู้เรื่องทั้งหมดคงคลั่งไปแล้วละครับ ผมแค่ลองดูเผื่อฟลุ๊คแล้วมันก็ดันได้ผล” โอโนเสะพูดทีเล่นทีจริงจนหมอคาไซไม่อยากจะเชื่อถือ “แล้ว...แบบนี้พอจะออกจากโรงพยาบาลได้หรือยังครับ?”
“จะว่าได้ก็ได้แล้วนะครับ เพียงแต่ต้องคอยระวังไม่ให้ไปอยู่ในจุดที่กระตุ้นแผลในใจเข้า ถ้าไม่เจอคนที่ทำร้ายเขาไปเลยตลอดชีวิตได้ก็จะดีละครับ ส่วนเรื่องแผลนั่น...อีกไม่นานก็จะคุ้นชินแล้วลืม ๆ มันไปได้เอง”
“ก็คงจะไม่ได้เจอแล้วละ”
โอโนเสะไม่เคยนึกห่วงเรื่องวายะแม้แต่น้อย ตราบใดที่อีกฝ่ายเป็นวายะ เขาเชื่อว่าเขาสามารถจัดการควบคุมทุกอย่างได้ วายะทำอะไรโหดร้ายอย่างนั้นลงไปก็จริงแต่ก็ไม่ใช่คนบ้าคลั่งไร้เหตุผล ดูจากที่ยอมรับโทษแต่โดยดีนี่ก็ได้ มันแปลว่าโฮสต์หนุ่มรู้ดีถึงความผิดของตน...แต่นั่นอาจเพราะวายะทำใจเอาไว้แล้วก็ได้ ว่าสักวันจะต้องถูกแยกจากโทโมกิไปตลอดกาล และเพราะทำใจไว้อย่างนั้นถึงได้สลักชื่อของตนลงไปบนร่างของเด็กหนุ่ม...เมื่อตีตราความเป็นเจ้าของไว้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องดิ้นรนให้ได้ครอบครองโทโมกิอีก
ที่โอโนะเสะเป็นห่วงจริง ๆ คือสภาพครอบครัวของโทโมกิต่างหาก เท่าที่ดูด้วยตาและได้ยินจากหมอกับพยาบาลแล้ว...พูดได้คำเดียวว่าย่อยยับ สำหรับเขาแล้วนั่นไม่เรียกว่าครอบครัวเสียด้วยซ้ำ แล้วจะต้องส่งโทโมกิที่สภาพจิตใจยังไม่สมบูรณ์พร้อมกับไปอยู่กับพ่อแม่แบบนั้น...บางทีให้อยู่กับวายะเสียยังจะดีกว่า...แต่ก็ไม่มีทางเลือก โทโมกิยังไม่บรรลุนิติภาวะ จำเป็นจะต้องอยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง แต่ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย ให้ตายสิ...
เอาเถอะ...อะไรที่เขาทำได้และควรจะทำ เขาก็ได้ทำไปหมดแล้ว กังวลใจกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงไปก็เปล่าประโยชน์...โอโนเสะกล่าวลาแพทย์ผู้ดูแลโทโมกิแล้วมุ่งหน้าไปจัดการกับงานของตนเองต่อ
...
ประตูห้องพักหรูหราของแมนชั่นชั้นสูงในย่านที่อยู่อาศัยราคาแพงถูกเปิดออก ห้องชุดนั้นสะอาดเอี่ยมและเรียบร้อยราวกับเป็นห้องตัวอย่างไม่ใช่ห้องที่มีคนอาศัยอยู่จริง
“เอ้า เข้าไปสิ จะรอให้ใครเชิญหรือไง” เสียงแหลม ๆ แหวขึ้นที่หน้าประตู
ร่างเล็ก ๆ ที่มีผมดำยาวเลยบ่าจึงก้าวช้า ๆ เข้ามาในห้องด้วยท่าทางลังเล เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ ห้อง เขาไม่ได้เห็นที่นี่มานานเหลือเกิน ในความรู้สึกแล้วมันยาวนานกว่าระยะเวลาที่เขาจากไปหลายเท่า...ทั้งที่อาศัยอยู่ที่นี่มาตลอด แต่เขาไม่เคยรู้สึกหรือสังเกตเลยว่ามีแจกันดอกไม้ตั้งอยู่บนโต๊ะกินข้าว ทั้งห้องนั้นก็กว้างใหญ่จนรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก...เขาไม่คุ้นเคยกับห้องนี้เลย
กระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเขื่องถูกโยนโครมลงบนพื้นห้อง ตามด้วยเสียงปิดประตูที่ค่อนข้างจะดังเกินจำเป็น
“สะอาดดีนี่ แม่บ้านบริษัทนี้นี่ดีแฮะ ขนาดไม่มีคนอยู่ยังดูแลได้เยี่ยม” เสียงห้าว ๆ ของชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยความพึงพอใจ
“เหอะ! ถ้าไม่มีของหายเลยละก็นะ” ผู้หญิงที่เข้ามาก่อนกระแทกเสียงอย่างประชดประชัน
“ไม่เคยมีอะไรหายไม่ใช่เรอะ”
“ที่มันไม่หายเพราะโทโมกิอยู่บ้าน”
“คุณก็รู้ว่ามันไม่เคยอยู่บ้าน” ฝ่ายชายทำเสียงเย้ย ๆ “ออกไปแรดอยู่นอกบ้านจนเป็นเรื่องนี่ไง ใช่มั้ย โทโมกิ?”
เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะเหลือบตากลับไปมองสองคนที่ทุ่มเถียงและประชดประชันกัน เขาล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตแล้วลูบไล้กระดาษแข็งแผ่นหนึ่งเบา ๆ ราวกับจะขอความเชื่อมั่นจากมัน
“อย่ามาพูดอย่างนี้นะ คุณหมอบอกไว้แล้วไม่ใช่หรือไง?” คนเป็นแม่เริ่มขึ้นเสียง
“แล้วยังไง? มันก็รู้ตัวดีอยู่แล้วนี่ว่ามันทำอะไรลงไป”
โทโมกิยืนนิ่ง ใช่...เขารู้ว่าทำอะไรลงไป และมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของเขาเลย
“เหอะ! เถียงไม่ออกละสิว่าแกสร้างความเดือดร้อนแค่ไหน แกมันก็เหมือนแม่แกนั่นแหละ”
“อย่ามาว่าฉันนะ!!”
“ก็ถ้าคุณอยู่กับมัน เรื่องพรรค์นี้ก็ไม่เกิดขึ้นหรอก แล้วนี่นะ...ยังมีเรื่องยุ่ง ๆ ที่ผมต้องจัดการอีกเยอะเลย อย่างน้อยก็เรื่องโรงเรียน...แต่ที่จริงเขาก็คงอยากเฉดหัวมันออกมาเต็มทีแล้วละมั้ง ครูฝ่ายปกครองของแกคงจะสบายใจขึ้นแล้วละ โทโมกิ อย่างน้อยก็หมดตัวปัญหาไปอีกคน”
“จะให้ย้ายโรงเรียนเหรอ?” หัวข้อสนทนาเปลี่ยนมาที่เรื่องนี้ทันที
“แหงละ หรือคุณจะเป็นคนไปตอบคำถามว่าไอ้ลูกชายตัวดีของคุณมันไปทำอะไรถึงได้หายหัวไปเป็นเดือน”
“แต่เข้าโรงเรียนใหม่มันต้องใช้เงินไม่น้อยเลยนะ”
“อ้อ แปลว่าคุณจะไปบอกเขางั้นสิ”
“มันเป็นเหตุจำเป็นที่อธิบายได้นะ”
“งั้นคุณก็ไปอธิบายเลยสิว่า ลูกชายคุณออกไปแรดนอกบ้านจนถูกไอ้หน้าไหนก็ไม่รู้ลักพาตัวไปกักขังน่ะ”
“คุณ!?”