All I want # 8
วายะลูบไล้เรือนผมสีดำนุ่มมือของคนที่กำลังซบหลับสบายอยู่บนอกของตน พลางนึกอิจฉานิด ๆ อยู่ในใจ เด็กนี่กำลังหลับสบายในขณะที่เขาไม่สามารถข่มตาลงได้แม้จะเลยเวลานอนของตนมานานแล้ว...นอนไม่หลับ...คืออาการที่กำลังคุกคามวายะอยู่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ แม้จะไม่ถึงกับง่วงงุนจนทำงานไม่ได้ก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่าอาการอดนอนจะแสดงออกจนใครต่อใครก็สังเกตเห็นได้ชัด
โฮสต์หนุ่มรู้สาเหตุที่ตนนอนไม่หลับดี เพียงแต่ยังไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร...เขากำลังเป็นกังวลเรื่องโทโมกิ รู้สึกว่ามือของโลกภายนอกกำลังเอื้อมมาใกล้พวกเขามากขึ้นทุกที และอีกไม่นานคงจะคว้าตัวโทโมกิแล้วพากลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้...จะต้องสูญเสียคนที่ต้องการไปอีกครั้งงั้นหรือ...
ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น...แต่จะต้องทำอย่างไร โทโมกิถึงจะเป็นของเขาไปตลอดกาลได้
...คิดไม่ออก...และเพราะคิดไม่ออกถึงได้นอนไม่หลับ...
...
“อรุณสวัสดิ์ครับ ผู้จัดการ”
“อ้าว อรุณสวัสดิ์ วายะคุง” ผู้จัดการลูนาติก คลับเอ่ยทักโฮสต์หนุ่มที่เปิดประตูเข้ามา “นี่...เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย สีหน้าแย่มากเลยนะ”
“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” นั่นไง...ทักอีกคนแล้ว
“อื้ม ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าติดหวัดจากโทคิโตะคุงจริง ๆ” ผู้มากวัยกว่าแสดงอาการเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่หรอก แค่นอนไม่ค่อยหลับน่ะ” ถึงขนาดนี้จะกลบเกลื่อนว่าไม่เป็นอะไรคงไม่ได้แล้วละนะ
“งั้นเหรอ แล้ว...ไหวมั้ยเนี่ย วันก่อนก็ขอลากลับก่อนไม่ใช่เหรอ”
“ไหวน่า แค่อาจจะเฆี่ยนได้ไม่หนักเท่านั้นแหละ” วายะยิ้มน้อย ๆ
“อืม...กลับไปพักดีมั้ย? วันนี้ยังไม่มีลูกค้าติดต่อจองตัวมาเป็นพิเศษด้วย”
“ยอดขายก็ตกหมดน่ะสิ”
“ขาดงานวันเดียวคงไม่ทำให้หลุดอันดับหรอกมั้ง”
“ก็นะ...” กลับไปได้ก็ใช่ว่าจะนอนหลับนี่นา...บางที เขาก็น่าจะกินยากล่อมประสาทที่ให้โทโมกิกินบ้างแล้วละมั้ง
“เอาน่า...กลับไปพักเถอะ ฝืนไปก็ไม่ดีต่อร่างกายเปล่า ๆ ไหนจะต้องรับแขก ไหนจะต้องดื่มเหล้าด้วย กลับไปนอนไป” ผู้จัดการคะยั้นคะยอแถมยังออกจากเคาน์เตอร์มารุนหลังให้ชายหนุ่มออกจากร้านเสียด้วย
“เอ้อ...ถ้าพูดถึงขนาดนั้นก็ได้”
แต่ยังไม่ทันที่วายะจะเดินไปถึงประตู ก็มีคนสวนเข้ามาเสียก่อน
“อรุณสวัสดิ์ครับ ผู้จัดการ...โอ๊ะ วายะ เจอพอดีเลย” ผู้ที่เข้ามาใหม่คือโทคิโตะ
“มีอะไรเหรอ?” ไม่เห็นต้องทำหน้าตาแตกตื่นแบบนั้นนี่นา
“มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย มานี่ซิ” ไม่พูดเปล่า โทคิโตะยังดึงแขนวายะไปที่ประตูด้วย
“เฮ้ย มีอะไรพูดกันตรงนี้ก็ได้”
“ไม่ดีหรอก ไปข้างนอกดีกว่า”
“อะไรของแก...”
“ไปเถอะ วายะคุง แล้วก็พักผ่อนซะด้วยล่ะ ส่วนโทคิโตะคุงเสร็จธุระแล้วก็รีบลงมาเตรียมตัวเร็ว ๆ นะ” ผู้จัดการร้านบอกกับทั้งสองคน
“งั้น...แล้วเจอกันนะครับ” วายะบอกได้แค่นั้นแล้วก็ถูกโทคิโตะลากตัวออกไป
ตรอกหลังร้านมืด ๆ คือที่ที่โทคิโตะลากวายะออกมา
“อะไรของแก ทำไมจะต้องมาคุยกันที่หนาว ๆ แบบนี้ด้วยวะ” วายะถามพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ
“คือ...ไอ้ประกาศหาคนหายที่แปะอยู่ที่บอร์ดนั่นน่ะ” โทคิโตะเข้าเรื่องทันที ไม่ทันสังเกตว่าเพื่อนร่วมงานชะงักมือที่กำลังจุดไฟแช็กไปนิดหนึ่ง
“แล้วยังไง?” วายะปรับเสียงตัวเองให้ราบเรียบ
“นายจำไอ้เด็กนั่นได้มั้ย?”
ลมหายใจของวายะสะดุดขาดห้วง...มีหรือจะจำไม่ได้
“ไม่หนิ” คำตอบสั้นห้วน
“จำไม่ได้เหรอ ไอ้เด็กเปรตนั่นไง ที่ล้วงกระเป๋าตังค์ฉันน่ะ” โทคิโตะพยายามฟื้นความทรงจำให้
ไม่ต้องย้ำวายะก็นึกออกอยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากให้โทคิโตะนึกอะไรออกมากไปกว่านี้...หากความปรารถนาของวายะไม่เป็นจริง
“ที่วันนั้นมันวิ่งมาชนนาย นายก็เลยช่วยจับไว้ให้ไง จำไม่ได้จริง ๆ น่ะเหรอ?”
อย่ามาเร้าหรือให้รำคาญใจได้ไหม...
“นึกออกละ แล้วไง?”
“ก็นั่นน่ะ คนเดียวกับที่เขาปิดประกาศอยู่นั่นไง”
“ป่านนี้โดนเอาไปขายซ่องที่ไหนแล้วมั้ง” โฮสต์หนุ่มทำเป็นปัดเรื่องนี้ให้พ้นตัว
“ฉันก็คิดแบบนั้น...แต่...อย่าพูดแบบนั้นสิ วายะ เจ้าเด็กนั่นมันหายตัวไปช่วงที่ได้เจอกับพวกเราเลยนะ” ดูจากวันที่เขียนไว้บนประกาศ โทคิโตะแน่ใจว่าตัวเองจำไม่ผิดแน่
“งั้นเหรอ?”
ท่าทีเฉยชาของวายะทำให้โทคิโตะอึดอัดใจ
“นี่...วายะ วันนั้นหลังจากที่ฉันกลับเข้าร้านไปแล้ว นายยังอยู่ที่นี่ต่อ...แล้ว...ไอ้เด็กนั่นล่ะ...มันไปไหน นายเห็นหรือเปล่า?”
คำถามของโทคิโตะบีบรัดหัวใจ...เห็นสิ เห็นมาตั้งแต่วันนั้น...
“นายจะสนใจทำไมนัก?”
“ถ้าเราพอรู้อะไรบ้างก็น่าจะบอก ๆ ตำรวจไปนะ”
“บอกทำไม?” ถึงจะเคยเห็นหน้าหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กที่หายตัวไปก็เถอะ แต่วายะก็ไม่เข้าใจว่าทำไมโทคิโตะถึงอยากหาเรื่องใส่ตัวแบบนั้น
“ป่านนี้พ่อแม่เขาเป็นห่วงแย่แล้ว เป็นเดือนแล้วนะที่ลูกหายตัวไปน่ะ เด็กนั่นดูยังไงก็เด็ก ม. ต้นไม่ใช่เหรอ” โทคิโตะทำสีหน้าราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติที่วายะก็ควรจะรู้สึกได้เอง
“เรื่องแค่นั้นน่ะนะ”
“ไม่แค่นั้นหรอก นี่เรื่องใหญ่นะ นี่ถ้าหลานฉันมันหายตัวไปแบบนี้บ้าง ฉันก็คงเป็นห่วงแทบบ้าเหมือนกันแหละ”
“หลาน?”
“...ฉัน...มีหลานอายุพอ ๆ กับเจ้าเด็กนั่นอยู่ที่บ้านเกิดสองคนน่ะ” โทคิโตะถอนใจเฮือกใหญ่
วายะนิ่งเงียบ...ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าโฮสต์สักคนจะมีครอบครัวและญาติมิตรที่สนิทกัน ถึงโทคิโตะจะเป็นโฮสต์สาย S แต่ดูจากภายนอกแล้วก็เหมือนชายหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ต่างจากวายะซึ่งดูยังไงก็เป็นคนอันตรายที่ไม่น่าเข้าใกล้ แต่ที่วายะไม่เข้าใจก็คือ...ความรู้สึกที่มีต่อครอบครัว สามารถทำให้คิดถึงคนอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องด้วยได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ชายหนุ่มจ้องมองเพื่อนร่วมงาน โทคิโตะกำลังเอาภาพหลาน ๆ ของตัวเองไปทับซ้อนกับโทโมกิ และเอาความรู้สึกของตัวเองไปคิดแทนครอบครัวของโทโมกิ...ความกังวลใจนั้นแสดงออกทางสีหน้า บางที...พ่อแม่ของโทโมกิก็คงกำลังร้อนรนแบบนี้ และอาจจะมากกว่านี้อีกหลายเท่า...
วายะทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นแล้วเหยียบให้ดับ หมุนตัวเดินออกไปทางปากซอย
“ฉันกลับละ”
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ วายะ! นายไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเด็กนั่นไปไหนน่ะ” โทคิโตะพยายามรั้งไว้
โฮสต์หนุ่มทำเป็นไม่ได้ยินเสียงที่ตะโกนไล่หลังมา ก้าวยาว ๆ ออกจากที่นั่นไปอย่างรวดเร็ว
...แปลก...โทคิโตะคิดอยู่ในใจเมื่อถูกทิ้งไว้ตามลำพังคนเดียว ปกติวายะเป็นคนเย็นชาก็จริง แต่ก็ไม่ได้เฉยเมยถึงขนาดนี้ ปกติแล้วถ้าเป็นเรื่องพวกนี้ วายะอาจจะหัวเราะแล้วพูดทำนองว่าเด็กนั่นอาจจะถูกพาไปขายแถวตะวันออกกลางแล้วก็ได้ พอพูดเสร็จก็จะแบ่งรับแบ่งสู้ว่าถ้ารู้อะไรก็จะบอกผู้จัดการแล้วกัน...แต่วายะไม่เคยทำท่าทีแบบนี้ มันต้องมีเรื่องอะไรแน่...
เอาเถอะ...ถึงวายะจะไม่อยากบอกอะไร แต่เขาจะบอกละ...อย่างน้อยผู้จัดการหรือตำรวจก็ควรได้รู้ว่าพวกเขาเคยเจอเด็กคนนั้นมาก่อน เคยมีเรื่องกันมาด้วย...และบางที...พวกเขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่พบเห็นเด็กคนนั้นก็ได้
...
ไม่ได้การแล้ว...วายะคิดขณะที่ก้าวยาว ๆ ไปตามถนนยามค่ำคืน โทคิโตะจะต้องบอกผู้จัดการหรือไม่ก็ตำรวจแน่ เร็วเกินไปแล้ว...ถ้าไม่มีโทคิโตะมายุ่งด้วยเขาจะมีเวลาคิดหาวิธีการทำให้โทโมกิเป็นของเขามากกว่านี้อีกนิด แต่ถ้าเป็นแบบนี้ละก็...
โฮสต์หนุ่มถอนใจหนัก ๆ เดินช้าลงราวกับขาทั้งสองถ่วงด้วยตะกั่วหนักอึ้ง ความจริงแล้วเขาคิดออกอยู่วิธีหนึ่ง แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่อยากใช้เท่าไรนัก...ถ้ายังไม่ได้หัวใจมา ให้ได้ตัวก่อนก็ยังดี...ไอ้วิธีการแบบนั้นมันเหมือนคนขี้แพ้ เขาไม่อยากทำ แต่...สถานการณ์ในตอนนี้...ไม่มีทางเลือกไม่ใช่หรือ...
แค่ตีตราว่าโทโมกิเป็นของเขา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเมื่อไรก็เป็นของเขาเสมอ...แค่ทำสัญลักษณ์ที่ไม่มีวันลบเลือนได้ทั้งชีวิตไว้บนตัวโทโมกิก็พอ
เป็นวิธีง่าย ๆ...แต่ก็ไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายนัก เขาต้องการเครื่องมือและเวลาอีกนิดหน่อย
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาหมายเลขที่ต้องการแล้วรอสัญญาณจากอีกฟากของสาย ไม่นานนักอีกฝ่ายก็รับสาย
“ฉันเอง หมอ...ว่างหรือเปล่า? มีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อยน่ะ...งั้นเดี๋ยวฉันจะไปหา...โอเค แล้วเจอกัน”
วายะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ สถานที่ที่เขาต้องการไปอยู่ไกลจากที่นี่สักหน่อย แต่ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึง
...
“มีดเซรามิกซ์?” ชายร่างค่อนข้างท้วมในชุดเสื้อกาวน์สีขาวแบบแพทย์เลิกคิ้วขึ้นทวนคำของอีกฝ่าย
“เออ” โฮสต์หนุ่มตอบแค่สั้น ๆ เขาเพิ่งมาถึงที่นี่และเริ่มคุยธุระกับเจ้าของสถานที่เมื่อสักครู่นี้เอง
แม้สถานที่แห่งนี้จะเรียกได้ว่าโรงพยาบาล แต่ก็เป็นเพียงโรงพยาบาลเถื่อนที่รับดูแลรักษาพวกคนในโลกมืดที่สังคมไม่ต้องการเท่านั้น สภาพภายนอกเป็นตึกเก่า ๆ ทรุดโทรมผิดจากห้องที่วายะนั่งอยู่ลิบลับ ภายในของโรงพยาบาลเถื่อนแห่งนี้สะอาดสะอ้าน กรุ่นไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ มีเครื่องไม้เครื่องมือครบครันชนิดที่สามารถทำการผ่าตัดใหญ่ได้ ข้าวของในโรงพยาบาลได้มาจากการจัดหาของเจ้าของคนก่อนที่เกษียณตัวเองไปแล้ว เงินที่ได้มาจากการเก็บค่ารักษาที่แพงหูฉี่รวมไปถึงการทำผิดกฎหมายอย่างการลักลอบค้าอวัยวะจะถูกนำมาซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เตรียมไว้สำหรับเจ้าพวกเดนมนุษย์ที่มีเรื่องเจ็บตัวกันได้ทุกวัน
หมอคนที่โฮสต์หนุ่มนั่งคุยด้วยอยู่นี้ชื่อ โทชิ เป็นผู้ช่วยเจ้าของโรงพยาบาลรุ่นก่อนมาตั้งแต่ยังหนุ่ม เขาเคยเป็นนักเรียนแพทย์ที่บังเอิญเกิดปัญหาชีวิตปัจจุบันทันด่วนจึงเผลอทำเรื่องผิดกฎหมายถึงขั้นถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย และได้เจ้าของโรงพยาบาลเถื่อนแห่งนี้รับไว้เป็นผู้ช่วย ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่นั้นมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้ได้ขึ้นเป็นหมอและเป็นเจ้าของที่นี่ไปโดยปริยาย
วายะได้รู้จักกับโทชิเมื่อตอนที่ถูกคิริฮาระเล่นงานด้วยความลืมตัวถึงขั้นกระดูกแตก ตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าลูนาติก ลัสท์เรียกใช้บริการหมอเถื่อนคนนี้เสมอ และดูท่าจะใช้บริการมาตั้งแต่รุ่นก่อนแล้ว ด้วยความที่พักรักษาตัวอยู่นานทำให้วายะคุ้นเคยกับโทชิเป็นอย่างดี และขอคำปรึกษาหารือบ้างในบางครั้ง
ยากล่อมประสาทที่ใช้กับโทโมกิก็ได้โทชินี่แหละช่วยหาให้
“จะเอามีดผ่าตัดแบบนั้นไปทำอะไร?” โทชิยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ เวลาที่โฮสต์หนุ่มมาหาจะต้องมีเรื่องขอร้องแปลก ๆ มาทุกทีสิน่า
“ก็เอาไปทำอะไร SM นิดหน่อย”
“จะเอาไปฆ่าหั่นศพลูกค้าปากบอนเรอะ?”
“ถ้าจะฆ่าหั่นศพน่ะ ส่งให้หมอทำง่ายกว่าน่า ก็แค่จะเอาไปทำรอยแผลน่ะ” วายะยักไหล่ราวกับสิ่งที่พูดเป็นเรื่องปกติในชีวิต
“แผล...อ้อ ไอ้ที่เรียกว่าสการ์น่ะเหรอ? เบื่อรอยสักแล้วหรือไง?” คนเป็นหมอเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่วายะพูดถึงคือการทำตำหนิบนร่างกายแทนการสัก ด้วยการสร้างบาดแผลที่เป็นลวดลายตามต้องการ วิธีนี้จะทำให้ตำหนินั้นคงทนถาวรไม่ลบเลือน แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก เพราะแลกกับความเจ็บตัวแล้วดูจะไม่ค่อยคุ้มค่า
“นั่นแหละ พอดีเพื่อนที่คลับมันอยากทำ” โฮสต์หนุ่มโกหกคำโต
“หาลายมาสิ จะทำให้สวยเลย” โทชิบอกพลางยิ้มธุรกิจ