ผู้คนมากมายเดินออกจากโรงละครหลังชมการแสดงคอนเสิร์ต หลายคนกำลังพูดถึงการแสดงที่เพิ่งจบไปของนักเปียโนฝีมือฉกาจ ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยอย่าง ซิลเวอร์ อะกิระ ดวงตากลมโตกำลังทอดมองเงาร่างของตัวเองในกระจก ก่อนจะเบือนสายตาไปมองช่อดอกไม้จำนวนหนึ่งที่วางกองราวไร้ค่า ไม่มี.....ไม่มีอีกแล้ว กุหลาบดอกเดี่ยวสีแดงจัดจ้าที่กลีบหนาราวกำมหยี่เนื้อดี และก้านยาวตรง มันเคยถูกมอบให้เขาทุกคอนเสิร์ตที่เขาขึ้นแสดง ที่ก้านยาวนั้นมักผูกริบบิ้นสีขาวครีมกับน้ำตาลแดงร้อยกับการ์ดอ่อนสีขาวสะอาด ที่ไม่เขียนข้อความใด มันเคยมี ทุกครั้งที่แสดงคอนเสิร์ตเสร็จ แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่มันไม่ถูกส่งมา หรือว่าเจ้าของกุหลาบนั่นจะไม่สนใจเขาอีกแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของกุหลาบนั้น หรือเขาจะรู้เรื่องเพลงที่เขาได้มาโดยมิชอบ ได้มันมา...อย่างไม่น่าให้อภัย
“คุณอะกิระ กลับเถอะครับ”
“ดอกไม้....มีเท่านี้หรือ” ดวงตากลมโตทอดมองเงาสะท้อนของชายในชุดสูทสีดำอย่างคาดหวัง ชายหนุ่มเงียบลงครูหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ
“ คุณอะกิระ อย่าคิดมากนะครับ บางทีเจ้าของกุหลาบอาจไม่ว่าง หรือ ครั้งนี้อาจอยากมอบให้คุณด้วยตัวเองก็ได้”ชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมอะกิระถึงยึดติดกับกุหลาบแดงดอกเดี่ยวนี้มากนัก
“ฉันจะเชื่อนาย เรากลับกันเถอะ” อะกิระส่งกระเป๋าให้ชายหนุ่ม ก่อนจะรับเสื้อโค้ตมาถือไว้ เสียงเคาะประตูทำให้คนทั้งคู่ชะงัก อะกิระรีบก้าวเร็วๆไปเปิดประตู ดอกกุหลาบแดงจัดช่อใหญ่ถูกส่งให้ กลิ่นหอมอ่อนๆโชยเข้าจมูกเรียกรอยยิ้มกว้าง ซิลเวอร์ อะกิระมองคนที่นำกุหลาบช่อโตมามอบให้ เมื่อสบตาคู่นั้นเขาถึงกับผงะ
“พ...พิรุณา!!!!!!!” อะกิระตะลึงค้าง ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
‘อย่าตกใจจนกุหลาบช่อสวยหล่นพื้นเสียล่ะ รู้ภาษามือใช่ไหม?’ พิรุณาถามด้วยภาษามือสากล ชายหนุ่มผู้สวมสูทสีดำ ส่งภาษามือตอบรับ
‘ดี คุณอะกิระพอมีเวลาไหม?’ชายหนุ่มแปลภาษามือให้อะกิระเข้าใจ อะกิระเหมือนจะถามอะไร หากแต่ก็ชะงักเพื่อนพิรุณาส่งภาษามืออีกครั้ง
‘เห็นทีเราต้องประชันกันสักตั้ง’ดวงตาคู่สวย สะท้อนแสงไฟเป็นประกายแดง ท้าทาย มีหรือที่ซิลเวอร์ อะกิระจะไม่รับคำท้า!!!
ห้องพักผู้ป่วยพิเศษบัดนี้มีชายสี่คนกำลังพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด ดอกกุหลาบเยี่ยมไข้กลีบดอกสีแดงเข้มราวโลหิตเบ่งบานตัดกับใบเขียวเข้มของมันเมื่อแสงที่ลอดผ่านมู่ลี่เข้ามาในห้องตกกระทบยิ่งน่ามอง มือขาวค่อยๆจับใส่แจกันอย่างถนอม ก่อนจะนำไปวางที่โต๊ะหัวเตียงคนไข้ สีแดงจัดของกุหลาบดอกใหญ่ช่อนี้ไม่อาจช่วยทำให้ร่างโปร่งบางที่หลับสนิทบนเตียงนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลย ดวงตาสีเขียวอมเทาทอดมองด้วยแววตาสั่นไหวสะเทือนใจ ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะเอื้อมมือไปกอบกุมมือของคนที่หลับสนิทราวไร้ชีวิตไว้ราวให้กำลังใจ
“คุณปองจะเป็นอะไรมากไหม ดูหลับลึกมากเลย” โดลเชพูดแล้วแหงนเงยถามเคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา มืออบอุ่นนั้นลูบแขนคนรักอย่างปลอบใจ
“ร่างกายคงต้องการพักผ่อนมากๆน่ะ หลังจากฟื้นมีอะไรผิดปรกติไหมครับ?” เคนถามนายแพทย์หนุ่ม ที่คอยเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ชนิดที่แพทย์เจ้าของไข้ อยากให้เขาเป็นเจ้าของไข้เสียเอง
“ คุณปองสภาพร่างกายโดยรวมนับว่าฟื้นตัวไวครับ ส่วนแขนขาที่หักคงยังต้องเข้าเฝือกอีกนาน แต่....คุณปองมีอาการสับสนระหว่างอดีตกับปัจจุบัน”
“หือ?”ธีรธรที่มองชายทั้งสามสนทนากันนึกแปลกใจ
“สับสนระหว่างอดีตกับปัจจุบัน หมายความว่า...? เขาก็ยังจำผมได้นะ จำพิรุณาได้ด้วย”
“ครับ เป็นเฉพาะบางคนเท่านั้นครับ เช่น....เช่น ผม”เสียงที่ตอบกลับมานั้นแผ่วเบา เคนและโดลเชลอบมองตากัน
“หมายความว่ายังไงครับคุณหมอ?”ธีรธรยังซักถามต่อไป ทุกอาการของปอง เขาต้องบอกเล่าให้พิรุณาทราบ
“ปองจำผมสลับกับใครอีกคนน่ะครับ” ธีรธรนึกตกใจอยู่เงียบๆ ใครอีกคนที่จำสัลบกันนั้นคงเป็นพี่ชายของนายแพทย์ผู้นี้แน่นอน! เสียงเคาะกระจกหน้าห้อง ก่อนบุรุษพยาบาลจะยื่นหน้าเข้ามา พยักหน้าให้นายแพทย์หนุ่มเป็นเชิงเรียก
“ขอตัวก่อนนะครับ”พีทก้าวยาวๆออกจากห้องไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของเคนและโดลเช
“หมายความว่ายังไงที่ว่าจำสับกับอีกคน”
“พี่ชายฝาแฝดของคุณหมอพีทนั่นแหล่ะ ปองเคยเป็นคนรักของพี่ชายคุณหมอ”
“แล้วพี่ชายเขาล่ะครับ?...”โดลเชถามเบาๆ รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือที่ตนกอบกุมไว้ โดลเชหันไปมอง โดยไม่มีใครอื่นสังเกตเห็น ปองลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงหน้าซีดขาวนั้นส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจและหลับตาลงอีกครั้ง
“พี่ชายของคุณหมอ เสียแล้วล่ะ” มือที่โดลเชกุมกระชับนั้นกระตุกเบาๆ
“เราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลยครับ”โดลเชพูดเสียงเบา มือขาวๆนั้นปัดเส้นผมที่ตกระใบหน้าปอง ก่อนจะห่มผ้าให้อย่างเบามือท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด
“กุหลาบสวยดีนะ เข้าใจเลือก ไว้จะหาให้พิรุณาบ้าง”ธีรธรพูดอย่างเก้อๆ เขาไม่ต้องการให้ทุกคนอยู่ในบรรยากาศชวนอึดอัดอีกต่อไป เคนหัวเราะเบาๆ
“แย่จริง กุหลาบนี่คุณไม่ต้องซื้อหรอก พิรุณามีเยอะแล้ว มีเป็นไร่เลยด้วยซ้ำ พิรุณาไม่ได้บอกหรอกหรือ?” ธีรธรงงกับคำตอบที่ได้รับ
“พิรุณาไม่ได้บอกหรือว่า เขากับผมหุ้นกันทำไร่กุหลาบน่ะ คบกันภาษาอะไร”เคนส่ายหน้าระอาใจ พิรุณาก็อย่างนี้ล่ะ ไม่ค่อยบอกข้อมูลของตัวเองให้ใครรู้มากนัก ถ้าไม่ถาม ไม่มีทางได้รู้ ขนาดถามยังไม่รู้เลย
“เอาเถอะ โดลเช เราไปกันเถอะ เอาไว้ก่อนกลับ เรามาเยี่ยมกันอีกรอบ”โดลเชพยักหน้ารับ โน้มกายลงแนบแก้ม กระซิบแผ่วเบา ก่อนจะหัวเราะให้กันแผ่วเบา
“แล้วพบกันนะครับ”โดลเชบอกลาแล้วเดินตามเคนออกไป ธีรธรได้ยินเสียงเคนถามโดลเชอยู่ไกลๆว่า หัวเราะอะไร ธีรธรเบือนสายตากลับมาที่คนป่วย ปองลุกขึ้นนั่งเอนๆ พลางยิ้มน้อยๆ
“ตื่นตั้งแต่เมิ่อไหร่?”
“สักพักแล้วครับ”
“ได้เวลาแล้วเดี๋ยวคุณลีจะอกแตกตายเสียก่อน ผมต้องไปแล้วล่ะ อยู่คนเดียวได้นะ ?”
“ครับ รีบไปเถอะครับเดี๋ยวจะสาย” ธีรธรหยิบโค้ตของตัวเอง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วส่งหนังสือให้ปองเล่มหนึ่ง
“พิรุณาฝากไว้ให้” ธีรธรยิ้มให้กำลังใจก่อนจะก้าวยาวๆไปที่ประตู
“บอสครับ คุณพิรุณา เหมาะกับจงกลนี*มากกว่ากุหลาบนะครับ”ธีรธรหัวเราะชื่นบาน(*ดอกบัวชนิดหนึ่ง สีออกแดง)
“นั่นสิ”ปองมองส่งบอสหนุ่ม ก่อนจะก้มลงมองหนังสือในมือ
เวทีใหญ่ที่เปิดไฟเพียงดวงเดี่ยวส่องลำแสงสู่แกรนด์เปียโนสีดำสนิทที่สะท้อนแสงไฟนั้นเป็นประกาย ร่างชายชาวเอเซียสองคนโดนเด่นกลางเวที คนหนึ่งกำลังพรมนิ้วลงบนคีย์อย่างตั้งใจ ท่วงทำนองรวดเร็วรุนแรงนั้นกระแทกกระทั้นสลับหนักเบาอย่างชำนาญ นิ้วเร็วพรมลงบนคีย์ราวกระสุน หากต่อมาก็อ่อนหวาน กระฉับกระเฉง ก่อนจะกลับไปรวดเร็วราวสม่ำเสมอดังเก่า พิรุณานิ่งทึ่งในความสามารถของนักดนตรีรุ่นน้องอย่างอะกิระ พิรุณานั่งลงข้างๆอะกิระ แล้วเริ่มบรรเลงท่วงทำนองอ่อนหวานหากแฝงความโศกไว้บางเบาChopinสองบทเพลงที่แตกต่างกันราวสีดำและขาว นิ้วเรียวยาวไล้ไปตามคีย์อย่างคล่องแคล่ว ถ่ายทอดอารมณ์เพลงอย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ท่วงทำนองอ่อนๆนั้นแปลเปลี่ยนเป็นกระโดดขึ้นลงระหว่างคีย์สูงต่ำ คอร์ตเปลี่ยนไปด้วยการเพิ่มเสียงคอร์ตพิเศษที่อะกิระเองไม่อาจแยกยะได้ในทันที บัดนี้เพลงคลาสสิคของโชแปงถูกเปลี่ยนเป็นเพลงแจ๊สอันเริงรื่นโดยสมบูรณ์แล้ว โดยเนื้อเมโลดี้แทบไม่ต้องเปลี่ยนแปลง อะกิระตกใจกับการเปลี่ยนสไตล์อย่ารวดเร็วนี้ ความประหลาดใจนั้นไม่อาจห้ามความท้าทายได้เลย
“แจ๊สหรือ?”
นิ้วมือนั้นพรมลงบนคีย์ ยื้อแย่งท่วงทำนองจากพิรุณา เลียนแบบท่วงทำนองและการให้คอร์ตมาอย่างยอดเยี่ยมไม่มีตกหล่น ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนท่วงทำนองนั้นเป็นเพลงแจ๊สที่แฝงกลิ่นอายความยวนเย้าของเพลงละติน ทำนองที่บางคราวก็เร่งเร้า บางคราวก็อ่อนไหวนั้นทำให้พิรุณามองตามตาไม่กระพริบ นึกชมอะกิระที่สามารถดึงเอาเสน่ห์ของเปียโนที่เครื่องดนตรีอื่นไม่มีออกมาได้อย่างเหมาะเจาะ เปียโนแตกต่างจากเครื่องดนตรีอื่นที่ไดนามิก(ความหนักเบาในการให้เสียง) อะกิระหยิบมาใช้ได้ดีมาก สมแล้วกับการเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยนัก พิรุณาลงมือแก้ทางเพลงของอะกิระอย่างรวดเร็ว จังหวะที่เต้นพริ้วไปตามการเคลื่อนไหวของมือ ว่องไวและพิศดารขึ้น เมโลดี้หลักจากมือขวาย้ายไปมือซ้าย มือขวาจับคอร์ตเสียงประหลาดที่จะแจ๊สก็ไม่ใช่ คลาสสิคยิ่งไม่ใช่ใหญ่ พริบตาเดียว มือขวานั้นก็ไขว้กับมือซ้าย เพื่อนไปเล่นคีย์ต่ำกว่า แล้วให้มือซ้ายเล่นคีย์สูงกว่า เสียงคอร์ตไม่คุ้นเคยทำให้อะกิระชักหวั่นใจแต่หูอันยอดเยี่ยมของเขายังพอจับเสียงได้ จีงแก้ทางเมโลดี้ได้ แม้จะชักหืดขึ้นคอเต็มที อะกิระพยายามแก้ทางเมโลดี้เสียงประหลาดนั้นได้จนสำเร็จ จังหวะเมโลดีกระชับกระชั้นขึ้น รู้สึกถึงเหงื่อของตัวเองที่กำลังจะหยาดหยดจากปลายจมูก นี่เป็นการดวลที่สนุกที่สุดเท่าท่เขาเคยมา อะกิระให้คอร์ตสูงต่ำ แกล้งทำทีว่าให้คอร์ตผ่านหน้าพิรุณาไปอย่างเฉียดฉิว พิรุณายิ้ม ดวงตาเป็นประกายจัดจ้า
มือขาวนั้นเอื้อมลึกเข้าไปใต้ฝาเปียโนที่เปิดและค้ำไว้ด้วยไม้ยาว นิ้วมือเรียวนั้น ดีดสายเสียงที่อยู่ภายใน เป็นจังหวะเสริมแทรกขึ้น อะกิระตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น หากไม่มีใครบอกเขา เขาคงไม่เชื่อแน่ว่า ชายคนนี้ ที่เป็นคู่แข่งของเขามายาวนานนั้นหูผิดปรกติ เกือบไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว พิรุณากระแทกเมโลดี้ล้อเลียนอะกิระท่วงทำนองร้อนแรงนั้น กลับค่อยๆสงบลงเหลือเพียงเสียงราวคลื่นน้ำระลอกน้อยเข้ากระทบสระ ไม่ถึงอึดใจ ทำนองเข้มแข็งสง่างาม ที่อะกิระไม่คุ้นเคยทำให้เขานึกประหลาดใจอีกครั้ง ทั้งที่เมโลดีไม่มีอะไรซับซ้อนแต่มีลีลาเฉพาะตัว หากถ้อยทำนองของเพลงกลับให้ความรู้สึกสง่างามห้าวหาญ เหมือนเพลงมาร์ช ที่ไม่เพียงเข้มแข็ง หากแฝงความงามสง่าน่าเกรงขามและอ่อนโยนไปในเวลาเดียวกัน ใครจะรู้ว่าเป็นเพลงไทยโบราณที่ผ่านการเวลามายาวนาน อะกิระตกตะลึงกับความสามารถของพิรุณา เมื่ออะริกะไม่อาจต่อกรได้อีกต่อไป เมโลดี้นั้นก็ค่อยสงบลงบรรเลงเป็นเพลงที่คุ้นหูอะกิระเป็นอย่างยิ่ง เพลงที่เขาให้เปิดอัลบัมใหม่ เพลงที่เขาบังเอิญไปได้ยินแล้วจำมาเป็นของตัวเอง ดวงหน้าขาวๆนั้นแดงซ่านด้วยความละอายใจ ในใจย่อมรู้ ร้อยเนื้อหนึ่งทำนองอาจปรับเปลี่ยนไปเพียงไหน ดั้งเดิมแต่ไรมาย่อมมีคงเสน่ห์ของเพลงนั้นอย่างเหนียวแน่นยิ่งกว่า เสียงโน้ตตัวสุดท้ายค่อยจางหายไปในอากาศ น้ำตาก็ไหลรินจากดวงตากลมโตนั้น
‘คิดว่าฉันไม่รู้หรือ ว่าถูกคนอื่นลอกมา ดอกกุหลาบนั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าฉันอยู่และรู้เห็นความเคลื่อนไหวของคุณทุกฝีก้าว’พิรุณาพยักหน้าหายในสูทดำแปล ไม่ใส่ใจหรอกว่าถ้อยคำที่ชายคนนั้นแปลจะตรงตามที่เขาต้องการสื่อหรือไม่
‘คุณเป็นคนมีพรสวรรค์ มีสิ่งที่คนอื่นไม่มี คุณช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลยที่ลอกเลี่ยนคนอื่นมาอย่างนี้ คุณมีสิ่งที่คนอื่
นไม่มีแล้ว อย่าคิดไม่ซื่อย์แบบนี้เลย’
“ผมไม่ได้ตั้งใจ” อะกิระเงยหน้าขึ้นน้ำตายังปรอย พิรุณายิ้มให้อ่อนจาง มือนวลๆนั้นลูบหัวคนอายุน้อยกว่าเบาๆ
‘หูของคุณดีมาก ใช้มันให้ดี อย่างน้อยคิดเสียว่า คุณมีสิ่งที่ผมไม่มี อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าที่ไหนหรือกับใคร เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราตกลงไหม?’ พิรุณายื่นนิ้วก้อยให้เหมือนเด็กๆ ซิลเวอร์ อะกิระ ยิ้มขันทั้งน้ำตา ก่อนจะยอมเกี่ยวก้อยแต่โดยดี
“ผมขอโทษ ที่ทำร้ายๆกับคุณ”
‘ไม่เป็นไร แต่อย่าให้มีครั้งต่อไป เพราะเรื่องมันจะไม่จบแบบนี้แน่ๆ ฉันกลับล่ะ’
“จะรีบไปไหนล่ะครับ อยู่ทานมื้อค่ำกันสักมื้อ”
‘ยังมีอีกหลายคน รอให้ผมรีบกลับไปหา’พิรุณายิ้มจางๆ
“ถ้าอย่างนั้นขอถามสักข้อได้ไหม?” พิรุณาพยักหน้าเมื่อชายหนุ่มในสูทสีดำแปลให้
“ทำไมถึงใช้คอร์ตแปลกๆแบบนั้นได้ มันน่าทึ่งมากเลยที่เสียงพวกนั้นที่ดูเหมือนไม่เข้ากันเลย มันมารวมกันได้น่าฟังถึงขนาดนี้” พิรุณาหัวเราะ
‘พรสวรรค์จากการไม่ได้ยินไงล่ะ’ อะกิระเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง ว่าพิรุณามีพรสวรรรค์ที่ความพิการไม่อาจปิดกั้น....นั่นคือความอิสระทางความคิด และความกล้าที่จะผ่ากฎเกณฑ์ใดๆนั่นเอง
ธีรธรทิ้งกายลงนั่งบนโซฟาสีแดงตัวโปรดของเจ้าของบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน หลังการประชุมยาวนาน และความเครียดต่างๆที่ถาโถม เจ้าหมาวิ่งส่ายหางกระโดดขึ้นนั่งโซฟาเดียวกัน ธีรธรมองหน้าเจ้าหมาที่เอียงคอมองเขาเหมือนสงสัย ริมฝีปากหยักสวยเผยรอยยิ้มน้อยๆ นึกถึงพิรุณาที่เคยบอกเขาว่า เจ้าหมาหน้ามันซื่อๆงงๆ ดูแล้วคลายเครียดดี ธีรธรนึกขันมือแข็งแรงนั้นเอื้อมไปบีบปากเจ้าหมา มันหันหนีไปอีกทาง ธีรธรจึงหัวเราะขบขัน
“คิดถึงเจ้าของไหม? ป่านนี้ไปวิ่งเล่นอยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้” เจ้าหมายังเอียงคอสงสัย
“รู้เรื่องไหมเนี่ย?”ธีรธรหัวเราะ เจ้าหมากระดิกหางรี่ พลางเอานิ้วจิ้มพุงเจ้าหมา เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังขึ้น เจ้าหมาจึงรอดจากการถูกแกล้ง แล้ววิ่งหายเข้าไปในครัว ชายหนุ่มรับโทรศัพท์นั้น
“ว่าไงครับคุณลี”
“ไปทำอะไรมาคะ เสียงใสเชียว อย่าบอกนะคะว่าแกล้งเจ้าหมา”
“แหะๆ เปล่าคร๊าบบ ยังไม่ทันได้แกล้ง...จริงๆจังๆ”
“อย่าแกล้งเจ้าหมานะคะ อย่าลืมอาบน้ำให้ทุกสัปดาห์ด้วย เวลาแปรงขน แปรงลงไปทางเดียวกันนะคะ ระวังที่เป็นสังกะตังด้วยนะคะ”
“เอาแปรงขัดห้องน้ำขัดได้ไหม”บอสหนุ่มขำกับความคิดตัวเอง
“คุณธีรธร!” เลขาสาวเสียงแข็ง
“โอเคครับไม่ล้อเล่นแล้ว”
“ลีจะโทรมาเตือนเรื่องปิดงบ กับงานเลี้ยงคืนนี้ อย่าลืมนะคะ”
“โอเคครับ ถ้าไม่โทรมาเตือน สงสัยเข้านอนเลย”
“ให้ลีไปช่วยเลือกไหมคะ?” ธีรธรยิ้มขัน บางทีเพราะเขาเหนื่อยมาก งานเลี้ยงตอนกลางคืนเลยเบลอๆหยิบอะไรก็ได้ใกล้มือใส่ไปเลย เป็นที่ระอาใจของเลขาสาว เลยคล้ายๆจะเป็นหน้าที่ของลีแอนที่ต้องช่วยเลือกให้
“ไม่ต้องหรอครับ เดี๋ยวลองหยิบๆเอาแถวนี้”
“อย่าเอาเสื้อคุณพิรุณามาใส่นะคะ คุณพิรุณาตัวนิดเดียวคนละไซส์กับบอส” ธีรธรหัวเราะแห้งๆ ลีแอนไม่เพียงเป็นเลขา แต่เหมือนพี่สาวของเขาด้วย
“ครับๆ เดี๋ยวให้อาหารเจ้าหมาแล้วจะไปเตรียมตัวล่ะครับ”ธีรธรวางสาย ยิ้มบางให้เจ้าของบ้านที่ยังไม่กลับ
งานเลี้ยงขอบคุณขององค์กรการกุศลจัดขึ้นในคฤหาสน์ของเศรษฐีเจ้าขององค์กรการกุศล ผู้คนมากมาย ในชุดเต็มพิธีการที่งดงามหรูหรา กล่าวทักทายกัน บ้างจิบเครื่องดื่มสนทนากันออกรส ธีรธรในทักซิโด้สีดำ เสยผมด้านหน้าขึ้น ดวงตายาวและนัยน์ตาสีม่านราตรีกวาดมองผู้คนในงานพลางส่งยิ้มตามมารยาท เข้าไปทักทายเจ้าภาพของงานอย่างสง่างาม เสียงเพลงบรรเลงควอเทตดังคลอบรรยากาศอยู่แผ่วเบา ธีรธรเลือกจะจีบเครื่องดื่มเบาๆเล็กน้อย ชายคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเขา ส่งยิ้มให้ ดวงตาสีเทานั้นมองเขาอย่างสำรวจ
“สวัสดีครับ” ธีรธรเลือกจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน ชายคนนั้นโค้งกายน้อยๆแล้วทักทายตอบเช่นกัน ก่อนจะจับมือทักทายอย่างสากล
“ไม่ทราบว่าคุณคือ...”
“เอ็ดมันต์ วิทเนอร์ ครับ ผมเป็นตัวแทน จากสังกัด วิทเนอร์” ธีรธรกระพริบตาถี่ๆรวบรวมความทรงจำ
“ต้นสังกัดพิรุณา....”เขาพึมพำเบาๆ
“ใช่ครับ คุณว่า วงควอเทตนี่ เล่นเพราะดีนะครับ”
“อ่อ ครับ”
“คุณรู้จักพิรุณาเป็นการส่วนตัวหรือครับ?”
“อ่อ ก็..เอ่อครับ”
“พิรุณา น่ารักใช่ไหม?”น้ำเสียงนั้นทำให้ธีรธรรู้สึกผิดปรกติ ดวงตาสีม่านราตรีนั้นมองคู่สนทนาอย่างคาดเดา ดวงตาสีเทานั้นมองเขาอย่างคาดเดาเช่นกัน
“ครับ”ธีรธรเลือกจะรับคำอย่างสั้นๆ เขาไม่แน่ใจนักว่าคู่สนทนาคนนี้ต้องการอะไร
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับพิรุณาบ้าง?”
“คุณพิรุณา เป็นนักดนตรีที่เก่งมากครับ”เอ็ดมันต์หัวเราะเสียงดังจนคนรอบข้างหันมองอย่างสนใจ ดวงหน้าคมและดวงตาสีเทาฮาเซลนั้นยิ่งชวนมอง
“เรื่องนั้นใครๆก็รู้คุณนี่ตลกชะมัด”
“แล้วคุณรู้อะไรเป็นพิเศษหรือครับ” เอ็ดมันต์หัวเราะเบาๆ พลางเอียงกายมาใกล้พูดเสียงเบาๆ
“ก็รู้ว่า หยาดฝนเมื่อร้อนรุ่มน่ะ หอมหวานถึงขนาดไหนยังไงเล่า ขอตัวนะครับ”เอ็ดมันต์โค้งให้น้อยๆ ดวงตาสีเทานั้นมีเค้าสนุกสนานฉายชัด ตรงข้ามกับธีรธรที่นอกจากงงแล้วยังรู้สึกโกรธอย่างไร้สาเหตุอีกด้วย
ปองลืมตาขึ้นในความมืดสลัว นาฬิกแขวนผนังบอกเวลาเลยเที่ยงคืนมาไกลโข ปองขยับตัวอย่างอึดอัด เบื่อแล้วที่จะอยู่ในห้องนี้คนเดียว เขาพลิกตัวอย่างลำบาก เพราะแขนขาที่เข้าเฝือก ตกใจกับดวงหน้าที่อยู่ใกล้ชนิดลมหายใจต้องผิวแก้ม ขนตายาวทาบทับแก้ม เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสงบทำให้ปองยิ้ม คนไม่เจ็บมาแย่งที่นอนคนเจ็บ แสดงว่าแอบเข้ามาตอนพยาบาลที่เนิร์ซสเตชั่นไม่เห็น ไม่อย่างนั้นจะขึ้นมานอนเตียงเดียวกันได้หรือ เสียงประตูเปิดเบาๆไม่ทันตั้งตัว ทำให้ปองตกใจทำอะไรไม่ถูกรีบคลุมผ้าหลับตาเหมือนหลับ เงาร่างสูงๆเดินเข้ามาใกล้แทบไร้ซึ่งเสียงฝีเท้า นายแพทย์หนุ่มมองอย่างสงสัย ปองทำไมตัวดูใหญ่ขึ้น มือแข็งแรงนั้นเอื้อมไปเลิกผ้าห่มขึ้น แล้วหัวเราะเบาๆไร้เสียง เมื่อคนเจ็บบนเตียงมีคนอยากได้ที่นอนคนเจ็บมาอาศัยนอนด้วย
“คุณพิรุณาครับ”พีทสะกิดพิรุณาเบาๆ
“อย่ากวนคุณพิรุณาเลยครับ..เอ่อ..วิล”เสียงของปองทำให้พีทชะงัก หันไปมองคนเจ็บจริง แววตาขบขันหายไปจากดวงตาคู่นั้น
“ปอง ให้คุณพิรุณากลับบ้านเถอะ เดี๋ยวคุณพยาบาลจะว่าเอานะ”ปองส่ายหน้าเร็วๆ
“ไม่เอา ไม่อยากอยู่คนเดียว”
“อยู่กับผมไง ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนนะ” ปองนิ่งคิด
“แล้วแต่วิลครับ บางทีอาจจะดีก็ได้” คำท้ายนั้นเหมือนปองพูดกับตัวเอง
“ปองนอนต่อเถอะ ฝันดีนะครับ”พีทก้มลงมอบจูบราตรีสวัสดิ์ให้
“เช่นกันครับวิล”ปองยิ้มหวาน ยิ้มที่บาดลึกเข้าไปในใจ เมื่อยิ้มนั้นไม่ใช่สำหรับเขา แต่มันเป็นของคนในอดีตที่ผ่านพ้น และจะไม่หวนกลับมา แพทย์หนุ่มก้าวยาวๆออกจากห้องไปเพื่อโทรศัพท์ เมื่อปองหันกลับมา ตั้งใจจะปลุกคนที่นอนหลับ กลับพบว่าตื่นแล้ว และกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาคู่นั้น สายตาที่ราวกับมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
‘คุณปองเป็นยังไงบ้าง?’ พิรุณาลุกขึ้นนั่งแล้วส่งภาษามือให้ปอง ปองใช้มือข้างที่ไม่เจ็บ ทำภาษามือ
‘ดีขึ้นแล้วครับ’
‘ปอง คุณไม่ได้ความจำเสื่อม เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะแยกพีทกับพี่ชายเขาไม่ออก อย่าปั่นหัวคุณหมอพีทอีกเลย....ได้ไหม?’ ปองเสมองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตา
เขาอาจหลอกตาคนอื่นได้มากมาย แต่ไม่ใช่กับพิรุณา คนที่มองเขาขาดอย่างทะลุปรุโปร่ง
------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 16 แล้วครับ