พิมพ์หน้านี้ - INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: snowblack ที่ 13-11-2007 22:11:27

หัวข้อ: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 13-11-2007 22:11:27
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ



.::.กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ .::. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)






หลังจากเป็นสัมพเวสี(แอบอ่านนิยายคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย)มาสักพักนึง(ประมาณสองอาทิตย์)

ก็แอบคันไม้คันมืออยากเอานิยายมาให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆมาให้อ่านกัน(ทำอย่างกับจะแต่งเอง)

เลยไปขอนิยายที่คุณน้องเมศเขียนไว้ในเว็ป Dek-D มาให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ

เพราะอ่านเรื่องนี้แล้วชอบครับ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของดนตรีเยอะดีและก็สนุกด้วยครับ o13

งั้นเรามาเริ่มกันเลยนะครับ......(เป็นกำลังใจให้กับเด็กใหม่อย่างผมและน้องเมศด้วยนะครับ :m13:)

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

INTERMEZZO   chapter# 1

      

       ชายหนุ่มร่างสูงปิดแฟ้มตรงหน้าเขาลงหลังจากลงนามรับรองเอกสารชิ้นนั้นเสร็จเรียบร้อย พลางเงยหน้าขึ้นเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องทำงานที่อยู่ชั้นสูงสุดของโรงแรมระดับห้าดาวกลางมหานครที่ขึ้นชื่อว่าเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทิวทศน์ของมหานครที่ตกอยู่ภายใต้แสงจากหลอดไฟหลากสีหากเป็นในยามอื่นเขาอาจเห็นว่ามันดูสวยงามดี แต่สำหรับวันนี้มันไม่ใช่  เพราะเขาเครียดกับงาน วันทั้งวันวุ่นวายจนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะชื่นชมสิ่งใดได้อีก ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นหยิบของสองสามชิ้นก่อนจะกลับบ้าน

      ลิฟท์เคลื่อนตัวลงจากชั้นสูงสุดของโรงแรมพลางหยุดตามชั้นต่างๆที่มีคนกดเรียก  ลูกค้าชาวต่างชาติของโรงแรมคุยกันเสียงดังก่อนจะออกจากลิฟท์ไปที่ชั้น33 ซึ่งเป็นที่ตั้งของภัตาคาร ระดับห้าดาว อันลือชื่อด้านอาหารนานาชาติ ก่อนจะไปหยุดอีกครั้งที่ชั้น9 ชั้นที่ดังที่สุดในโรงแรมก็ว่าได้  เนื่องจากชั้นนี้เป็นที่ตั้งของโฮสต์คลับระดับท๊อปคลาสของโลก  เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกเขาได้พบหน้าโฮสต์คนหนึ่งหน้าตาคุ้นเคยกับแขกคนหนึ่งของโรงแรม

“อ๊ะ!บอส”โฮสต์คนนั้นอุทาน ท่าทางรีๆรอๆอย่างเกรงใจ
“เชิญ”ชายหนุ่มออกปากด้วยสีหน้าที่คิดว่าดูเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แม้ว่าสิ่งที่คนอื่นๆเห็นจะไม่เป็นอย่างนั้นเลยก็ตาม

“วันนี้เหนื่อยแย่เลยนะครับบอส”โฮสต์หนุ่มเริ่มพูดคุยเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัด แต่บอสดูไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่  เพราะดูจะพยักหน้าเพียงอย่างเดียว

“ได้ข่าวว่ามีนักดนตรีคนที่ดังๆมาพักด้วยนี่คะ?”แขกที่ดูยังไงก็เป็นสาวน้อยแม้จะไม่น่ารักเท่าไหร่แต่ก็พอไปวัดไปวาได้ถามโฮสต์ลูกน้องเขา โดยพยายามชำเลืองมาลอบมองบอสหนุ่ม.

“ครับ” โฮสต์หนุ่มตอบรับอย่างสุภาพ  ก็เพราะซุปเปอร์วีไอพีคนนี้แหล่ะทำให้นายเขาหัวปั่น
“อ๊ะถึงแล้วครับ”ชายหนุ่มผายมือให้สาวน้อยคนนั้นออกจากไปลิฟท์ ก่อนจะหันมาก้มศีรษะให้น้อยๆ แล้วประตูลิฟท์ก็ปิดลง


      ซุปเปอร์วีไอพีที่ว่า เป็นนักเปียโนชื่อก้องคนหนึ่ง โด่งดังมาตั้งแต่อายุเพียงสิบสองปีด้วยการเป็น นักเปียโนอันดับสองของโลกของสถาบันดนตรีมีชื่อของอังกฤษซึ่งมีสาขาอยู่มากมายทั่วโลก  ไม่ค่อยมีใครได้พบเห็นตัวจริงๆมากนัก มีเพียงข่าวลือที่ลอยมาตามลมเท่านั้นว่า หยิ่ง....แต่ที่แน่ๆ วันนี้แขกคนพิเศษทำให้เขาปวดหัวด้วยการจัดแถลงข่าวสายฟ้าแลบ ไล่ผู้ช่วยของตัวเองออกด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าถูกผู้ช่วยโกงเงินไปร่วมล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเดือดร้อนต้องส่งเลขาของเขาลงไปทำหน้าที่โฆษกเฉพาะกิจอีกด้วยเนื่องจากเจ้าตัวไม่ประสงค์จะออกสื่อด้วยตัวเอง ว่างๆต้องไปทักทายซะหน่อย  ทำเรื่องยุ่งดีนัก ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

      ประตูลิฟท์เปิดอีกครั้งที่ชั้น7 ชายร่างสูงโปร่งสวมโค้ดสีน้ำตาลทับเสื้อเชิ้ตขาวก้าวเข้ามา  คิ้วเรียวขมวดอย่างอารมณ์เสีย สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นด้วยเสียงที่ดังมาก มันทิ่มแทงโสตประสาทของบอสหนุ่มเข้าอย่างจัง  แต่ดูเหมือนเจ้าของมันจะไม่ได้รับรู้เลยสักนิด  และในที่สุดความอดทนของบอสหนุ่มก็หมดลง

“คุณ โทรศัพท์” ชายร่างสูงโปร่งนั่นก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยิน
“คุณ!”บอสหนุ่มเพิ่มความดังของเสียงขึ้นอีก  ซึ่งฟังดูเหมือนตวาดมากกว่าการเรียกอย่างสุภาพ แต่ผลก็เหมือนเดิม  จนในที่สุดลิฟท์ก็เลื่อนตัวจนถึงชั้นหนึ่ง  ชายร่างบางในโค้ตสีน้ำตาลเดินออกจากลิฟท์ไปอย่างไม่สะทกสะท้าน  บอสหนุ่มเสยผมอย่างหัวเสีย คนบ้าไรวะ!!


      สภาพการจราจรที่ติดขัดแต่เช้าสร้างความหงุดหงิดให้บอสหนุ่มของโรงแรมระดับห้าดาวได้ตั้งแต่ไก่โห่  ชายหนุ่มเปิดกระจกออกไปพลางพยายามมองหาสาเหตุที่ทำให้รถติดเป็นอัมพาตอย่างนี้ตั้งแต่เช้าเต่ก็ไม่พบ นั่นยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดเป็นเท่าทวี  บอสหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ข้างหน้าคือสี่แยกในย่านที่พักอาศัยที่ค่อนข้างเงียบสงบ ด้วยความรีบร้อนที่จะไปให้ถึงก่อนเวลาประชุมทำให้เหยียบคันเร่งไม่ยั้ง  โดยลืมมองไปว่าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลืองและกำลังจะเปลี่ยนไปเป็นแดง  ร่างสูงโปร่งเดินลงมาบนถนนตามสัญญาณไฟเขียวสำหรับคนเดินเท้า โดยปรกติการข้ามถนนในแต่ละครั้งเมื่อสัญญาณปรากฏแล้วชายหนุ่มจะไม่รีบข้ามไปในทันที แต่จะรอให้มีคนก้าวนำหน้าไปก่อนสักสองสามคนแล้วจึงจะก้าวตาม  แต่ถนนในระแวกนี้เงียบสงบจนแทบจะเรียกได้ว่าร้างผู้คนทำให้ไม่มีเพื่อนข้ามถนนกับเขา  เสียงแตรรถยนต์ดังสนั่นหวั่นไหวตามด้วยเสียงเบรคสนั่นไม่แพ้เสียงแตรทำให้คนในระแวกนั้นนึกถึงเสียงโครมตามมา

“เดินดูทางด้วยสิวะ!!”บอสหนุ่มหัวเสียตะโกนแทบจะพร้อมกับร่างโปร่งๆนั้นใช้ทั้งสองมือทุบลงที่กระโปรงหน้าของรถยนต์ราคาหลายล้านอย่างไม่ปรานีแม้แต่น้อย

“เฮ้ย!!” บอสหนุ่มอุทาน เขาทั้งรักทั้งหวงรถขันนี้นักหนา แต่ไอ้หนุ่มหน้าสวยนี่มันทุบแบบไม่ปรานี  

      ชายหนุ่มร่างโปร่งทำมือทำไม้อะไรให้วุ่น พร้อมกับแสดงสีหน้าว่าไม่พอใจมาก  นิ้วเรียวนั้นชี้ที่ไฟสัญญาณที่ขึ้นสีเขียวและมีสัญลักษณ์คนเดินอยู่หรา  บอสหนุ่มหน้าชาเขาผิดเองแบบเต็มๆ เขาไม่รู้ว่าคู่กรณีของเขาต้องการสื่ออะไรเพราะเขาไม่มีทักษะด้านภาษามือเอาเสียเลยต่อให้มันเข้าใจง่ายแค่ไหนก็เถอะ   เสียงแตรจากรถคันหลังเริ่มดังระงมไฟเขียวสำหรับรถทางตรงปรากฏขึ้นได้อึดใจหนึ่งแล้ว บอสหนุ่มจึงต้องรีบขับออกไปหาที่จอด แล้วค่อยกลับมาจัดการกับคู่กรณี  แต่หลังจากที่เขาหาที่จอดได้แล้วรีบวิ่งกระหืดกระหอบมายังที่เกิดเหตุก็ไม่พบคู่กรณีเสียแล้ว  บอสหนุ่มนิ่วหน้า เริ่มหัวเสียอีกแล้ว

      การประชุมในตอนเช้าผ่านไปได้ด้วยดี ถึงแม้ว่าประธานของการประชุมจะเกือบมาสายก็ตาม  แต่ผลของการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ  ธีรธรบอสหนุ่มแห่งโรงแรมในเครือพาณิชยกิจวิโรจน์ .เขารับตำแหน่งประธานต่อจากผู้เป็นบิดาเมื่อราวๆสามปีก่อน  ปัจจุบันเขาเป็นผู้บริหารหนุ่มที่เป็นที่จับตามองมากที่สุดในวงการธุรกิจ รวมทั้งสาวๆด้วย  ด้วยดวงหน้าคมเข้มดวงตายาวเรียวที่ประกอบด้วยนัยน์ตาคมกล้าดำจัดราวห้องน้ำอันลึกสุดหยั่ง  ร่างสูงสง่างามด้วยความสูงที่สูสีกับชาวตะวันตก บุคลิกโดดเด่นดูเป็นผู้นำทำให้ดูสมชาย รวมทั้งทักษะด้านต่างๆที่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะจับงานใดก็ประสบความสำเร็จไปเสียหมดยิ่งทำให้เป็นที่ฮือฮา

“บอสคะ..เอ่อ...คุณพิรุณา ขอเข้าพบค่ะ” ชายหนุ่มหมุนเก้าอี้กกลับมาจากหน้าต่างหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด

“ให้เข้ามา คุณลีเรียกคุณปองมาพบผมด้วย” เลขาสาวเดินออกไปครู่หนึ่ง  ชายร่างสูงโปร่งในโค้ตสีน้ำตาลเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ  

“เชิญครับ”บอสหนุ่มลุกขึ้นผายมือไปที่เก้าอี้ตรงข้ามเขาแต่สายตากำลังเหลือบมองเอกสารบางอย่างในแฟ้มจึงไม่ทันได้มองเห็นหน้าผู้ที่เดินเข้ามา  แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความเงียบที่ผิดปรกติจึงเงยหน้าขึ้น  

“คุณ!!!”



*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-11-2007 22:48:37
หุหุ คนแรก  :m11:  :m11:  :m11:  :m11:
เรื่องนี้อ่านรอบแรกแล้วงงนิดหน่อย ต้องกลับไปอ่านดี ๆ รอบสอง ถึงจะรู้เรื่อง
ช่วงที่บอสเลิกงานแล้วแยกกับชายหนุ่มคิดว่าเป็นตอนกลางคืน พอตัดมาอีกทีอ้าวเช้าซะแล้ว อ่านแบบข้าม ๆ เลยงงนิดหน่อย

เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 13-11-2007 23:02:26
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มีคนมา reply แล้ว (ตื่นเต้นๆ) ขอบคุณนะครับที่มาติดตามผลงานของน้องเมศ

แล้วก็ขอบคุณสำหรับคำติชมงับ แล้วจะบอกน้องเมศเค้าให้น้า...(จริงๆบอกไปแล้ว  :laugh:)
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 13-11-2007 23:24:12
ภาณุเมศพลัง say; เมศว่าสั้นไป แปะให้หมดเลยก็ได้มั๊ง 9 หน้าเอง

Snowblack say; - -

ภาณุเมศพลัง say; ตอนนี้สั้นสุดแล้วนะ ตอนอื่นๆ 10+

Snowblack say; - -

ภาณุเมศพลัง say; ไว้ตอนหลังๆขยักไว้เพราะเขียนไม่ทัน (ชั่วร้าย)

Snowblack say; แกจะแข่งเป็นเจ้าแม่ดองเข็มกับเจ๊ว่างหรือไง (ว่างวน รักนาย my boyfriend )

ภาณุเมศพลัง say; อิอิ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

ก็จัดให้ตามน้องเค้าแล้วกันนะครับ   :m26:

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

“คุณ!!!” ธีรธรร้องอย่างตกใจ เช่นเดียวกับแขกของเขาที่ท่าทางตกใจไม่แพ้กัน   แขกของเขาเริ่มทำไม้ทำมืออีกครั้ง แต่เขาก็ไม่อาจรู้ได้ถึงสิ่งที่ ‘ไอ้หนุ่มหน้าสวย’ ต้องการจะสื่อ

“เดี๋ยวผมไม่เข้าใจ”ธีรธรพยายามร้องทัดทาน  แขกตรงหน้าชูนิ้วขึ้นมานิ้วหนุ่มก่อนจะควานหาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวสีน้ำตาล  มันคือสมุดเล่มเล็กๆ และดินสอ เขาเขียนบางอย่างลงในนั้นก่อนจะยื่นให้

เมื่อเช้าคุณขับรถได้แย่มาก
      เหมือนไม้หน้าสามฟาดเปรี้ยวเข้าแสกหน้า  บอสหนุ่มคิดจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ออก  มือขาวๆนั่นตวัดเขียนตัวอักษรเพิ่มลงไปอีกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะยื่นมันมาข้างหน้า

คุณไม่คิดจะขอโทษสักหน่อยหรือ?

      ธีรธรที่หน้าชาไปแถบหนึ่งท่าทางอึกอัก เขารู้สึกว่าคำว่าคำว่าขอโทษหลุดจากปากเขาได้ยากเหลือเกิน ราวกับต้องพยายามสะกดมันทีละตัวๆอยู่ในใจ เสียงพูดคำว่าขอโทษจึงค่อยหลุดออกมาทีละหน่อย  เสียงเคาะประตูหน้าห้องและเลขาของเขาเปิดเข้ามาทำให้ความพยายามดังกล่าวหายวับไปกับตา  ผู้ที่เดินยิ้มน้อยๆเข้ามาในห้องคือคนที่เขาใช้เลขาที่เรียกขึ้นมา ทันทีที่เหลือบเห็นว่ามีแขกอยู่ก่อนหน้าก็อุทาน พร้อมกับตั้งท่าว่าจะถอยออกไป
 
“เข้ามาเถอะ” บอสหนุ่มสั่ง พร้อมกับเอามือลูบหน้าผาก ดีเหมือนกันมีคนมาสับรางเสียก่อนที่จะระเบิด  บอสหนุ่มรู้ตัวเองดีแหล่ะว่าเป็นพวกอารมณ์ร้อน ความอดทนต่ำ

      ชายหนุ่มที่ดูจะเหมาะกับคำว่าหนุ่มน้อยเสียมากกว่าเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับยิ้มเหย  เขามองผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามบอสแล้วลอบพิจารณา  ดวงหน้าขาวนวลเนียนรีสวยได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงล้อมด้วยขนตายาวสีค่อนข้างอ่อนเช่นเดียวเส้นผมที่ซอยสั้นอย่างมีระเบียบทำให้ดูสะอาดสะอ้านและแลดูน่าทะนุถนอม  รับกับจมูกโด่งได้รูปและปากอิ่มสีแดงจัด เขายอมรับว่าถ้าชายตรงหน้านี่มาสมัครเป็นโฮสต์ละก็ ผ่านร้อยเปอร์เซ็นต์  พิรุณาเองก็มองหนุ่มน้อยคนนี้แล้วนึกเอ็นดูว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ดูบริสุทธิ์ใสซื่อดีแท้

“คุณปองผมได้เรื่องร้องเรียนของคุณแล้วนะ ผมคิดว่า...”

“เอ่อ  บอสครับผมคิดว่าเราอย่าคุยกันต่อหน้าแขกเลยครับไว้โอกาสหน้าเถอะ”หนุ่มน้อยเอ่ยแทรกขึ้น พลางส่งสายตาเกรงใจให้แขกอีกคนในห้อง

“เออ..นี่คือสเปเชียลวีไอพีของเราคุณคงรู้จักแล้ว คุณพิรุณา”บอสหนุ่มแนะนำแขกที่นั่งตรงข้ามเขา ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงในคอว่า “ดูเหมือนเขาจะมีปัญหาด้านการได้ยินล่ะนะ”

พิรุณาเมื่อรู้ตัวว่าถูกแนะนำให้รู้จักจึงยืนขึ้นแล้วเริ่มส่งภาษามืออีกครั้ง  ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกคนอาจไม่รู้เรื่องจึงหยิบกระดาษเละดินสอขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมว่าไม่ดูเหมือนแล้วนะครับบอส”ปองกล่าวยิ้มๆ แล้วเริ่มส่งภาษามือแนะนำตัวแก่พิรุณา บอสหนุ่มได้แต่ยืนมองคนสองคนคุยกันด้วยภาษามือ พลันพิรุณาก็เหลือบมองเห็นสายตามีคำถามของบอสหนุ่มจึงบุ้ยใบ้ให้หนุ่มน้อยหันไป

“ผมเคยมีญาติที่เป็นใบ้น่ะครับ ก็เลยพอได้เรียนมาบ้าง” พิรุณาสะกิดปองให้ช่วยแปลบางอย่างให้ธีรธรรู้ หลังจากพยายามอยู่ระยะหนึ่ง โดยที่ปองต้องบอกให้พิรุณาทำมือช้าๆลงหน่อยอยู่หลายครั้งในที่สุดก็ได้เรื่อง

“บอสครับ คุณพิรุณาอยากขอให้ทางโรงแรมเราช่วยจัดการนักข่าวที่อยู่หน้าโรงแรมน่ะครับ”บอสหนุ่มหัวเราะขึ้นจมูก

“ก็คุณเป็นคนทำให้นักข่าวกรูกันมาที่นี่เองนะครับ  แล้วจะให้เราทำยังไง”

“โธ่ บอส”ปองรำพันออกมา ก่อนจะหันไปส่งภาษามือให้พิรุณาอีกครั้ง  แน่นอนดวงหน้าขาวนวลนั้นเชิดขึ้นด้วยโทสะในทันที นัยน์ตาสีสวยวาววับ

“ใครใช้ให้คุณไล่ผู้ช่วยออกกลางอากาศแบบนี้ล่ะ”บอสหนุ่มค่อน ยังไม่ทันที่ปองจะแปล พิรุณาก็พุ่งตัวเข้ามาตรงหน้าบอสที่แค่ความสูงก็เทียบกันไม่ค่อยจะติดแล้ว

“ทำไม คุณจะทำอะไรผม”ธีรธรส่งเสียงที่ฟังแล้วยียวนใส่ไอ้หนุ่มหน้าสวยตรงหน้า  โดยที่ลืมไปว่าพิรุณาไม่ได้ยินหรอก  ปองเห็นท่าทางจะไม่ดีจึงออกไปเรียกคุณลีเลขาของบอสมาช่วยแยกมวยคู่นี้ก่อนจะมีเรื่องกันจริงๆ


      พิรุณาหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในห้องพักจนค่ำหลังจากได้รับคำตอบจากทนายประจำตัวเรื่องการฟ้องร้อง สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดคือการจะออกไปข้างนอกแบบเมื่อเช้าทำได้ยากเย็นนัก  นักข่าวดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ไม่เพียงแค่นักข่าวภายในประเทศเท่านั้น สื่อจากต่างชาติเองเกาะติดข่าวนี้อยู่เช่นกัน หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับพาดหัวข่าวเกี่ยวกับการปลดผู้ช่วยของนักดนตรีชื่อก้องออกชนิดที่เรียกว่ากลางอากาศ  โดยขณะนี้ผู้ช่วยที่เขาเพิ่งปลดไป เที่ยวให้สัมภาษณ์ไปเรื่อยว่าตนบริสุทธิ์  ทั้งที่เขาอุตส่าห์ไว้เนื้อเชื่อใจมาเป็นเกือบสิบปีให้ดูแลเรื่องเงินดูคนเราทำกันได้  พิรุณาอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้เพราะการไล่ผู้ช่วยของเขา ก็เท่ากับไล่คนคุ้นเคยที่แทบจะไม่มีอยู่เลยออก

     เขาเป็นเด็กกำพร้าเคยอยู่ในบ้านสงเคราะห์ทางตอนใต้ของอังกฤษแต่เพราะเป็นชาวเอเชียเพียงคนเดียวในบ้านอุปถัมภ์  และพิการทางหูจึงไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก   พออายุได้7ขวบก็มีครอบครัวอุปถัมภ์มารับตัวไปเลี้ยง  แต่สุดท้ายครอบครัวอุปถัมภ์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจึงต้องไปอยู่ในบ้านสงเคราะห์อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นโบสถ์เล็กๆในเยอรมัน สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเด็กน้อยคือเปียโน  จนวันหนึ่งในฤดูร้อนซิสเตอร์คนหนึ่งยื่นจดหมายบางอย่างให้แก่เขา เขารับมันมาแล้วเปิดออกดูมันคือใบสมัครของสถาบันดนตรีแห่งหนึ่งในออสเตรีย นั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวเดินมาตามเส้นทางสายดนตรีอย่างเต็มตัว

   

ธีรธรกำลังจอดรถติดไฟแดงอยู่ ณ สี่แยกใจกลางเมือง  แต่วันนี้ไม่ใช่รถคันเก่งเช่นที่ใช้ทุกวัน  มันจะเพราะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่รอยบุบที่ประโปรงหน้ารถ  ไอ้หนุ่มหน้าสวยนั่นมันน่านัก เห็นตัวนิดเดียวแต่แรงเยอะขนาดทุบกระโปรงหน้ารถยุโรปบุบได้ บอสหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยว  จะเรียกค่าเสียหายซักเท่าไหร่ดี  สิบล้านเสียดีไหมนะ  พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น ป้ายโฆษณากลางสี่แยก รูปชายหนุ่มดวงหน้าขาวกระจ่างใส ยืนยิ้มกว้างนัยน์ตาพราวอย่างน่าเอ็นดู  โฆษณาคอนเสิร์ตการกุศลที่จัดร่วมกับวงออเครสตาชื่อดังของประเทศ  ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นจมูกอย่างหมั่นไส้หน่อย ๆไม่เห็นมันจะยิ้มได้อย่างงี้เลย มีแต่กวนเบื้องล่างละไม่ว่า

RRRR~R

“ว่าไงคุณลี”ธีรธรกดรับสายพลางขยับรถตามคันหน้าไป
“บอสคะ  ตัวแทนต้นสังกัดของคุณพิรุณาส่งบัตรเชิญไปงานคอนเสิร์ตมาวันพุธนี้มาให้ค่ะ  ไม่ทราบว่าบอสจะให้ดิฉันเก็บไว้ไหมคะ”

“เขาให้มากี่ใบ”
“สองใบค่ะ”ชายหนุ่มเคาะพวงมาลัยอย่างใช้ความคิด  เอ....ถ้าไปยั่วโมโหก่อนไอ้คุณหน้าสวยมันขึ้นคอนเสิร์ตก็ท่าจะดี

“คุณลีไปกับผมแล้วกัน”เลขาสาวเงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยขึ้นอึกอัก
“เอ่อ....คือว่าบอสคะ  ลีคิดว่าคงไปด้วยไม่ได้หรอกคะ วันพุธนี้สามีลีไม่อยู่ไม่มีใครดูลูก”
“ไม่เป็นไรคุณลี ตามสบายเถอะครับผมไปคนเดียวก็ได้” ธีรธรสนทนากับปลายสายอีกครู่หนึ่งก็กดวางสาย  สายตาเหลือบไปมองป้ายโฆษณาอีกครั้ง ดวงหน้าในโฆษณายังคงแย้มยิ้ม 

RRR….RRR~R

“พี่ธีคะ รันได้ข่าวจากพี่ลีว่าพี่ธีได้บัตรคอนเสิร์ตจากต้นสังกัดคุณพิรุณาหรอคะ”รันดาลูกพี่ลูกน้องสาวส่งเสียงเจื้อยแจ้วผ่านทางโทรศัพท์ จนชายหนุ่มต้องเอื้อมมือไปลดระดับเสียงลง

“ครับๆ”เสียงใสหัวเราะร่วนฟังดูมีเลศนัย
“หัวเราะแบบนี้มีแผนอะไรครับคุณรันดา”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกคะ  แค่รันรู้ว่าพี่ธีมีบัตรสองใบ  แต่คุณลีไม่ว่าง รันเลยขออาสาไปด้วย”
“เราอยู่เมืองไทยไม่ใช่หรอ แล้วเราจะมายังไง?” เสียงใสๆหัวเราะที่ปลายสายอีกครั้ง คราวนี้ด้วยเสียงสูงปรี๊ด
“รันอยู่หน้าบ้านพี่ธีแล้วค่ะ”บอสหนุ่มเกาหัวแกรก  อยากบ้าว่ะ.....

      


      พิรุณาถูกเชิญมายังห้องรับรองของคณะผู้บริหาร  โดยคาดหวังไว้ในใจว่าคงจะเจอธีรธรแน่ พร้อมกับพยายามคิดหาทางแก้เผ็ดไว้ต่างๆนานา  แต่กลายเป็นว่าคนที่เขาไปพบกลับกลายเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักน่าชังคนหนึ่งยืนยิ้มหวานในชุดสีชมพูดจางๆดูเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ภายในห้อง  พิรุณารับไหว้เด็กสาวคนนั้นอย่างเก้อๆ  เขาไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร  และไม่รู้ด้วยว่าจะสื่อสารกันอย่างไร  พอดีกับที่ใครบางคนเดินเข้ามา เขาคือปองนั่นเอง พิรุณาค่อนข้างดีใจที่ได้เจอปอง  เขารีบส่งภาษามือทักทายปอง  ปองเองก็เช่นกัน ก่อนจะแนะนำให้พิรุณารู้จักเด็กสาวตรงหน้าว่าชื่อรัน  รันดา เป็นน้องสาวของบอส  พิรุณาหยิบกระดาษกับดินสอออกมาจากเสื้อตัวนอกสีน้ำตาลเตรียมไว้ในมือ

“พี่ปองคะบอกคุณพิรุณาให้หน่อยสิคะว่ารันปลื้มเขามากเลย เพราะรันก็เรียนดนตรีมาเหมือนกัน”ปองแปลเป็นภาษามือให้  ก่อนพิรุณาจะตอบกลับมา

“คุณพิรุณาบอกว่าขอบคุณที่ติดตามผลงานครับ แล้วก็ถามด้วยว่าเล่นเครื่องดนตรีอะไร”
“เปียโนเหมือนกันค่ะ แต่ว่าไม่เก่งสักเท่าไหร่หรอกค่ะ” หลังจากปองแปลให้แล้วพิรุณาก็ยิ้ม  ทั้งสองคนในห้องเห็นว่ามันเป็นยิ้มที่ดูดีมาก ก่อนจะเริ่มส่งภาษามืออีกครั้ง

“เล่นมานานเท่าไหร่แล้วครับคุณรัน”ปองถาม
“สิบสองสิบสามปีได้แล้วค่ะ จะรังเกียจไหมคะถ้าอยากให้คุณพิรุณาเซนต์ให้รันหน่อย” พิรุณาพยักหน้าให้ ก่อนจะรับสมุดบรรทัดห้าเส้นสีขาว  ที่หน้าปกมีรูปตัวคาเบตหนึ่งชั้นตวัดหางสวยมาจากรันดา

“เซนต์ที่หน้าปกเลยนะคะ”สาวน้อยยิ้มให้อย่างสดใส พิรุณาจึงยิ้มตอบ ก่อนจะลงมือเซนต์ชื่อให้ตามที่ขอ ก่อนแล้วส่งคืนให้

“คุณพิรุณาคิดจะรับทำงานโฆษณาไหมคะ เห็นข่าวออกกันเยอะเลยค่ะว่ามีบริษัทติดต่อขอให้เป็นพรีเซนเตอร์ให้เยอะแยะเชียว” ปองส่งภาษามือให้ตามที่รันดาบอก พิรุณานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า แล้วทำมือตอบ

“คุณพิรุณาว่าไม่รับครับ  เพราะว่า แค่งานปัจจุบันก็ยุ่งจะแย่แล้วครับ”

   
      เสียงเคาะประตูขัดจังหวะขึ้นก่อนที่รันดาจะถามอะไรต่อไป ร่างสูงใหญ่ของบอสหนุ่มเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้อง  พิรุณามองด้วยสายตาไม่ถูกใจก่อนจะเมินไปเสียทางอื่น ปองยิ้มน้อยๆอย่างเห็นเป็นเรื่องขำขัน  ในขณะที่รันดาเห็นแล้วไม่ค่อยสบายใจ  พี่ธีนะพี่ธีไปทำอะไรให้คุณพิรุณาไม่พอใจ เดี๋ยวต้องสอบปากคำ  พิรุณายังเมินหน้า พลางกัดกระพุ้งแก้มไปด้วยอย่างที่ทำทุกครั้งที่เกิดอาการเซ็งๆ

“เป็นไงยัยรัน พอใจได้หรือยัง”น้องสาวทำแก้มป่อง บอสหนุ่มมองน้องสาวแล้วหันไปมองอีกคนที่ท่าทาง’งอนป่อง’ เหมือนกัน

“เป็นอะไรไปอีกล่ะคุณ” พิรุณาแค่ปรายตามองก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาข้อมือแล้วตะลึงตาค้าง  สาย!!! สายโด่งเลย  เขาต้องนั่งรถข้ามไปอีกฟากของเมืองเพื่อซ้อม คอนเสิร์ต เวรกรรมๆๆ  พิรุณารีบเก็บข้าวเก็บของโดยเร็วก่อนจะลุกขึ้นแล้วส่งภาษามือให้ปอง

“เอ่อ... คุณพิรุณาบอกว่า ขอตัวไปทำงานก่อนครับ สายมากแล้ว” รันดาถึงกับร้องอ้าวอย่างเสียดาย  พลันแปรสายตาเป็นเจ้าเล่ห์

“พี่ธีคะ  ไหนๆคุณพิรุณาก็ไปสายเพราะรันแล้ว ‘เรา’ก็ไปส่งคุณพิรุณากันเถอะค่ะ” สายตาหวานมีประกายวาบๆ อย่าได้ปฎิเสธเชียวนะพี่ธี  บอสหนุ่มเห็นท่าคราวนี้เขาคงหนีไม่พ้นจึงยอมถอนใจแล้วพยักหน้า  ในขณะที่ปองส่งภาษามืออีกครั้ง ก่อนพิรุณาจะรีบตอบกลับมา

“คุณพิรุณาว่าไม่เป็นไรครับจะไปเอง”
“ไม่ได้นะคะ คุณพิรุณาก็เพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน  เดี๋ยวไปหลงจะยิ่งเสียเวลา”รันดาคว้าแขนเสื้อของพิรุณาไว้ข้างหนึ่ง  ส่วนมืออีกข้างจับข้อมือธีรธร ด้วยแรงที่แรงกว่าปรกติ ก่อนจะพาออกจากห้องรับรองลงลิฟท์ไปยังที่จอดรถ


      ตลอดทางรันดาเห็นว่ามีการโต้ตอบกันค่อนข้างรุนแรงระหว่างพิรุณาและธีรธร  พี่ชายจิกกัดคนนั่งเบาะหลังกับคุณปองบ่อยครั้งเท่าที่จะทำได้  ในขณะเดียวกัน พิรุณาแม้จะพูดไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะไร้พิษสง รันดาค่อนข้างแน่ใจว่า  ถ้าหากคุณพิรุณาของเธอพูดได้ละก็ ไอ้ที่เขาว่าหยิ่งคงไม่มีแน่  แต่อาจจะเป็นปากร้าย เพราะด่าคนได้ผู้ดีมาก ชนิดที่เรียกได้ว่าฟังที่คุณปองแปลแล้วต้องคิดก่อนถึงจะรู้ว่าพี่ชายโดนไปหลายดอก แถมบางครั้งสองเด้งด้วยเอ๊า!  คุณปองก็เหลือเกิน แปลตรงตัวเป๊ะแบบไม่กลัวเจ้านายโกรธเลย

“เลี้ยวขวาข้างหน้าก็ถึงแล้วครับบอส”ปองบอกเส้นทางกันบอสหนุ่มผู้รับบทสารถีจำเป็น ก่อนจะส่งภาษามือให้พิรุณา 

“ถึงแล้ว”เสียงห้วนๆของธีรธรทำให้รันดาตวัดตามองอย่างเข่นเขี้ยว  พิรุณาลงจากรถคันหรูก่อนจะหันกลับมาทำท่าไขกระจกให้รันดาดู  เธอทำตามแต่โดยดี มือขาวๆของพิรุณายื่นเข้ามารันดาจึงส่งมือให้จับ ก่อนพิรุณาจะไปจับมือกับปอง  แล้วก้มศีรษะให้น้อยๆ แล้วเดินหายเข้าไปในสตูดิโอ ซึ่งเป็นอาคารสามชั้น ในย่านการค้าที่ค่อนข้างจะสงบอยู่สักหน่อย

“คุณพิรุณาน่ารักดีนะคะ”รันดากล่าวพลางมองจนคล้อยหลังอย่างปราบปลื้ม
”ครับ” ปองรับคำเบาๆ
“ชิ....ชมกันเข้าไปน่ะ  คุณปองก็เหมือนกัน แปลซะตรงไม่กลัวผมจะไล่คุณออกหรือไง”บอสหนุ่มผู้เกาะพวงมาลัยรถหรูเบ้ปากให้กระจกมองหลัง  ปองหัวเราะเบาๆ

“ไม่หรอกครับ ผู้แปล ก็ต้องเป็นผู้ถ่ายทอดสารที่ถูกต้องจริงไหมครับ แต่ถึงบอสจะไล่ผมออก  ผมก็คงได้งานใหม่เลยล่ะครับ”ปองโบกกระดาษใบน้อยสีเหลืองนวลๆในมือไปมาช้าๆ  สองคนพี่น้องมองหน้ากันอย่างงงๆก่อนจะเอี้ยวตัวมาดูคนข้างหลัง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนแรกแล้วครับ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนและคนโพสด้วยนะครับ :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: MoD_els ที่ 14-11-2007 00:26:38
อ่าเรื่องใหม่มาอีกแล้ว น่าติดตามจริงๆ อยากรู้จังว่าจะเป็นความรักระหว่างคู่ไหน
แต่ตอนแรกที่อ่านแอบงงๆ นิดนึง ว่าแต่คนเขียนชอบเล่นดนตรีแน่เลย อิอิ
ปล. แต่ว่ามีพิมพ์ผิดแล้วก็วางตำแหน่งคำสลับกันอยู่บ้าง ไงก็เป็นกำลังใจให้ครับ o22
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 14-11-2007 00:45:09
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 14-11-2007 02:19:08
มาเป็นกำลังใจนะจ๊ะ   :a9: 

อืม...เคยอ่านนะเรื่องนี้

แต่ตอนนั้นอ่านไม่จบ  :m23:

ความนี้จะได้ตามอ่านจนจบซะที
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 14-11-2007 03:17:51
มาเป็นกำลังใจนะจ๊ะ   :a9: 

อืม...เคยอ่านนะเรื่องนี้

แต่ตอนนั้นอ่านไม่จบ  :m23:

ความนี้จะได้ตามอ่านจนจบซะที

ผมก็หวังเช่นนั้นเหมือนกันครับ  :amen:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-11-2007 19:23:09
อืม ก็ยังงงๆ เหมือนเดิม  ต้องอ่านซ้ำรอบสอง (อีกแล้ว  :a6:  :a6:)  ฉากก็ตัดไปตัดมา เหมือนกับไม่จบในตัวเอง
พอขึ้นย่อหน้าใหม่ เอ้าตัดไปอีกฉากหนึ่งแล้ว
บางตอนก็ไม่ค่อยสมจริง เช่น บอสรู้ว่าพิรุณาจะมาขอพบ กลับบอกให้เลขาตามปองกับลีมาด้วย เราก็เลยนึกว่าสองคนนี้จะมีอะไรมาเกี่ยวข้องกับแขกซูเปอร์วีไอพีคนนี้รึเปล่า แต่กลับเป็นว่าเรียกมาอีกเรื่องหนึ่ง แถมยังเข้ามาตอนที่บอสมีแขกอีก   :m28:   :m28:

ขอโทษนะ อ่านแล้วรู้สึกอย่างนี้จริง ๆ  :m17:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 14-11-2007 19:52:06
ดีแล้วคร้าบบบบบ...น้องมันจะได้ไปปรับปรุง อิอิ

ไว้จะมาโพสเรื่อยๆผิดถูกไงเพื่อนๆช่วยติมาด้วยนะคร้าบบบ ^^ :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 14-11-2007 19:54:06
นี่ขนาดด่ากันผ่านล่าม ยังไฟแล่บ
ถ้าพูดได้ มีหวังหูชา
คิกคิก
 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: →Yakuza★ ที่ 14-11-2007 21:41:20
มาแว้วววววว >w< เค้ามาอ่านแล้วนา

รีบมาอัพนะค๊าบ~~~
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowman ที่ 14-11-2007 21:54:57
ยังไม่ได้อ่านนะครับ

แต่ขอคอมเม้นท์ไว้ก่อน


ชื่อเรื่อง Intermezzo ทำให้นึกถึงนิยายเรื่องเก่า ที่เคยอ่านเมื่อยังเด็ก


"Intermezzo เพลงรักของแม่"  .... นิยายที่ผมว่าเศร้าที่สุดสำหรับผมในวัยเด็กเลย


มีใครเคยอ่าน หรือ คุ้นๆ ผ่านตากันบ้างไหมครับ ?

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 15-11-2007 12:31:25
นี่ขนาดด่ากันผ่านล่าม ยังไฟแล่บ
ถ้าพูดได้ มีหวังหูชา
คิกคิก
 :laugh: :laugh: :laugh:

 :o8: :o8: :o8:

มาแว้วววววว >w< เค้ามาอ่านแล้วนา

รีบมาอัพนะค๊าบ~~~

ขอบคุณคร้าบบบ.... :m1:

ยังไม่ได้อ่านนะครับ

แต่ขอคอมเม้นท์ไว้ก่อน


ชื่อเรื่อง Intermezzo ทำให้นึกถึงนิยายเรื่องเก่า ที่เคยอ่านเมื่อยังเด็ก


"Intermezzo เพลงรักของแม่"  .... นิยายที่ผมว่าเศร้าที่สุดสำหรับผมในวัยเด็กเลย


มีใครเคยอ่าน หรือ คุ้นๆ ผ่านตากันบ้างไหมครับ ?



แค่นี้ก็เป็นปลื้มแล้วล่คร้าบบบบ.. :m1: :m3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 15-11-2007 12:52:05
มาต่อตอนสองกันเลยนะคร้าบบบบบ.... :a9:

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

INTERMEZZO   chapter# 2



“คุณรู้ไหมว่าคุณปองค่าตัวเท่าไหร่ คุณนึกอยากจะเอาตัวคุณปองก็เอาง่ายๆอย่างนี้นะหรอ” บอสหนุ่มกล่าวเสียงเข้ม ขณะที่พิรุณาผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำหน้าแบบทองไม่รู้ร้อน นั่นยิ่งกระตุ้นความโมโหของธีรธรขึ้นไปอีก

“ยังจะทำไม่รู้ไม่ชี้อีก!” ปองยิ้มขำกับคำพูดของบอสหนุ่มที่ดูจะทำตัวเป็นเด็กชายธีรธรซะแล้ว  ในขณะที่พิรุณาเองยิ่งทำลอยหน้าลอยตาเข้าไปใหญ่

“คุณปองเป็นโฮสต์อันดับต้นๆของเรา  เราคงยอมให้คุณปองไปทำงานกับคุณง่ายๆไม่ได้”ธีรธรกล่าวก่อนจะกระแทกตัวพิงพนักเก้าอี้  พิรุณาหยิบกระดาษสีนวลๆขึ้นมาเขียนบางอย่างก่อนจะยื่นให้

คุณจะเรียกเท่าไหร่?

“คุณปองคุณค่าตัวเท่าไหร่?”
“80เหรียญต่อชั่วโมงครับ” ปองตอบ บอสหนุ่มรีบชี้ให้บอกคนที่นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้นั่น  พิรุณาหยักหน้ารับทราบ แล้วเริ่มเขียนบางอย่างลงในกระดาษโน้ตอีกครั้ง

ผมจะจ่ายให้ตามราคาค่าตัวคุณปอง และจะจ่ายค่าผิดสัญญาชดเชยให้คุณด้วย พอใจหรือยัง?

“เอาอย่างนี้ไหมครับ  ในเมื่อคุณพิรุณาบอกว่างานส่วนใหญ่ที่จะให้ผมทำคือช่วงกลางวัน  แต่งานที่นี่ของผมทำช่วงกลางคืน ถ้าอย่างนั้นผมจะรับงานคุณพิรุณาเป็นกรณีเสริม จะได้ไม่ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับบริษัท แล้วคุณพิรุณาก็ไม่ต้องจ่ายเยอะด้วย” ปองเสนอขึ้นในที่สุด พลางส่งภาษามือให้พิรุณาทราบด้วย ธีรธรยักไหล่

“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าจะทำงานให้ผมได้เต็มที่”
“ผมมั่นใจว่าจะทำงานได้เต็มที่ ทั้งต่อคุณพิรุณาและบอสครับ”พิรุณาส่งภาษามือมาอีกครั้งคราวนี้มีท่าทางกังวล ก่อนจะเขียนใส่กระดาษอย่างหวัดๆ

ผมไม่เห็นด้วย ผมต้องการผู้ช่วยที่ติดตามไปไหนด้วยกันได้ คุณปองควรจะตัดสินใจใหม่ให้ดี จะดีกว่า

      ธีรธรพยักหน้าเห็นด้วย  ผู้ว่าจ้างทุกคนย่อมอยากได้คนที่สามารถรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานของตัวเองได้อย่างเต็มที่ทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาเองหรือพิรุณาก็เถอะ  

“คุณปองค่อยๆตัดสินใจจะดีกว่า ทั้งผมทั้งคุณพิรุณาจะไม่เร่งรัดอะไรคุณ”ปองพยักหน้าให้น้อยๆ ก่อนจะขอตัวออกไป  

   
      พิรุณามองหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาอย่างพิจารณา  ดวงตาสีสวยมองเข้าไปในดวงตาสีม่านราตรีกาล ราวกับคิดอะไรอยู่ในหัว  ขณะที่ธีรธรพยายามหาสาเหตุของการจ้องมองนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็กรีดร้องขึ้นในความเงียบมันเป็นเสียงเดียวกับที่เขาเคยได้ยินในลิฟท์   บอสหนุ่มเบิกตากว้าง....วันนั้นเป็นไอ้หน้าสวยนี่เอง  มิน่าถึงได้กวนประสาทนัก   พิรุณารู้สึกถึงความสั่นสะเทือนภายในกระเป๋าเสื้อจึงควานหามันก่อนจะเปิดดูข้อความ เขาอ่านมันอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเก็บมือถือลงไปแล้วเริ่มเขียนบางอย่างใส่กระดาษโน้ตสีนวลๆนั้น

เร็วๆนี้ผมจะต้องจัดแถลงข่าวอีกครั้ง  ต้องรบกวนคุณแล้วนะครับ  ในระหว่างนี้ผมจำเป็นต้องขอยืมตัวคุณปอง แล้วผมจะจ่ายเงินให้ตามอัตราค่าตัวคุณปอง  ผมต้องไปแล้ว ทนายของผมกำลังมา

“คุณลี ส่งคุณพิรุณาด้วย”บอสหนุ่มกรอกเสียงใส่อินเตอร์คอมถึงเลขาประจำตัว
“ค่ะบอส” หญิงสาวตอบรับที่ปลายเสียงนั้นติดจะหัวเราะๆอย่างขันๆ .....ตะกี๊ยังตีกันเหมือนเด็กๆนี่ญาติดีกันเสียแล้ว....เอ...แต่ก็แปลกนะ ไม่เคยเห็นบอสเทคแคร์แขกคนไหนดีขนาดนี้เลย ต่อให้เป็นซูปเปอร์วีไอพีก็เหอะ  อย่าว่าแต่จะให้ขึ้นมาเจรจาถึงห้องทำงานเลย  แม้แต่หน้าก็ไม่เคยจะลงไปให้เห็น....เลขาสาวนึกก่อนจะเดินตามร่างสูงโปร่งที่เดินลิ่วๆไปรอลิฟท์


ณ สนามบินนานาชาติ

      ชายหนุ่มร่างสูงก้าวออกจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้า ร่างสูงสง่าในชุดสูทเดินทางสีเทาและกางเกงสีขาวยืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางสายตาจากผู้คนที่มองอย่างสนใจ  มือใหญ่เสยเส้นผมสีทองที่ตกลงมาปรกหน้า ในขณะที่ดวงตาสีเขียวมรกตเบื้องหลังแว่นกันแดดยี่ห้อดังกวาดตามองผู้คนรอบข้างอย่างไม่แยแส  ชายหนุ่มร่างสูงก้าวเดินอย่างมั่นใจ พลางกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างลืมตัวซึ่งทำให้สาวน้อยสาวใหญ่แถวนั้นมองตามกันเหลียวหลัง

รอก่อนนะพิรุณา....เคนคนนี้มาแล้ว


      

    หอประชุมขนาดใหญ่จุคนได้มากกว่าสามร้อยคน ขณะนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คนผู้มาชมคอนเสิร์ตการกุศลครั้งยิ่งใหญ่นี้  ไฟภายในหอประชุมหรี่ลงจะมืดสนิท เหลือเพียงแสงไฟจากกลางเวทีเพียงสลัวๆเท่านั้น  ร่างบางในชุดเต็มพิธีการด้วยเสื้อตัวนอกสีดำมีชายด้านหลังยาวเป็นสองแฉก ด้านหน้าติดกระดุมทองสี่เม็ด  เสื้ออกแข็งตัวในสีขาว มีหูกระต่ายสีดำผูก เดินออกมาโดยมีสปอตไลท์ฉายตามทุกย่างก้าว  เสียงปรบมือเกรียวกร้าวดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ภาพดวงหน้าขาวกระจ่างใสปรากฏขึ้นบนจอภาพ  หนุ่มน้อยนัยน์ตาพราวยิ้มกว้าง โค้งให้ผู้ชมทุกคนอย่างสง่างาม  ก่อนจะผายมือไปยังวาทยากรผู้กำลังโค้งให้ผู้ชม  เบื้องหลังเป็นวงออเครสตร้าซึ่งม่านบางๆกำลังค่อยๆเลื่อนขึ้นช้าๆ  


      สองหนุ่มสาวพี่น้องวิ่งกระหืดกระหอบมาจากลานจอดรถ ไรผมของสาวน้อยดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ในชุดสีชมพูกลีบบัวเริ่มมีเหงื่อซึม  ในขณะที่พี่ชายตัวใหญ่ในชุดสูทสีเทาควันบุหรี่ก็มีสภาพไม่ต่างกัน  ภายนอกหอประชุมนั้นแทบจะเรียกได้ว่าร้างผู้คน มีเพียงพนักงานด้านหน้าเท่านั้นที่ยืนยิ้มรอคนทั้งคู่อยู่  ผู้เป็นน้องสาวบ่นไม่ได้หยุดเลยตั้งแต่ขึ้นรถมาจนถึงขณะนี้

“พี่ธีนะพี่ธี ชักช้า  ดูซิชาวบ้านเขาเข้าไปข้างในกันหมดแล้ว  ป่านนี้เริ่มเล่นไปรึยังก็ไม่รู้”รันดายังคงบ่นต่อไปแม้ว่าเธอกำลังรั้งชายกระโปรงตัวสวยขึ้นเล็กน้อยพลางวิ่งขึ้นบันได

“โธ่ พี่ขอโทษน่ายัยรัน อย่าบ่นเป็นยายแก่หน่อยเลย” ธีรธรเองก็พยายามกระโดดข้ามขั้นบันไดไปทีละสองสามขั้นให้ไปถึงเร็วขึ้น

“ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีซูเปอร์วีไอพีโผล่มาอีกคน คนของพี่ก็ไม่อยู่ซักคนไปสัมมนากันหมด แล้วจะให้พี่ทำยังไง”

“โอ้ย  อย่าเร็วนักสิพี่ธี” พี่ชายแบมือให้น้องส่งมือมาให้ก่อนจะเริ่มออกแรงช่วยดึง


      เสียงปรบมือดังสนั่นอีกครั้งหลังจากเพลงแรกจบลง  ในที่สุดสองพี่น้องเพิ่งก็ได้นั่งลงที่เก้าอี้นวมตัวนุ่มในชั้นพิเศษ พลางหอบหายใจน้อยๆ   ที่เวทีนักร้องรับเชิญปรากฏกายในชุดราตรียาวสีเขียว  เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้นเบาๆ  ทำนองเพลงแบบเพลงไทยลอยมากระทบโสต ท่วงทำนองพริ้วไหวแม้จะถูกดัดแปลงไปจากต้นแบบไปบ้างแต่ก็สร้างความไพเราะได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน  เสียงเครื่องสายเล่นโดดเด่นออกมาก่อนจะค่อยจมหายไปกับเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ  น้ำเสียงหวานสนิทของผู้ขับร้องเริ่มขับกล่อมขึ้น  


แสง จันทร์วันนี้นวล ใครชวนให้น้อง เที่ยว
จะให้ เหลียวไป แห่ง ไหน
ชล ใสดูในน้ำ เงาดำนั้นเงา ใด อ๋อ ไม้ ริม ฝั่ง ชล
สวยแจ่ม แสง เดือน หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล
สวย แจ่ม แสง เดือน
หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล
**(เพลง: เงาไม้  ,ท่านผู้หญิงพวงร้อย (สนิทวงศ์) อภัยวงศ์)


      ธีรธรหลับตาลงฟังเสียงที่ลอยเข้ามาในหูและพิจารณาอย่างละเมียดละไม  เขาไม่ใช่คนชอบฟังเพลงแบบนี้  แต่ครั้งนี้แผกออกไป ในชีวิตประจำวันของเขาล้วนเร่งรีบเฉกเช่นวิถีคนเมืองทั่วไป  น้อยครั้งที่จะชื่นชมธรรมชาติหรือแม้แต่เงยหน้ามองท้องฟ้า  คนโบราณก็ช่างแปลก อะไรหนอทำให้คนพวกนั้นช่างสังเกตได้ถึงเพียงนี้   ธีรธรลืมตาขึ้นอีกครั้งพิศมองไปที่เวที พิรุณาผู้อยู่บนเวทีช่างแตกต่างจากพิรุณาคนที่เขาพบมากนัก ใบหน้าขาวๆนั้นแย้มยิ้มละไมอย่างมีความสุข  มือบางๆนั้นขยับไปตามคีย์อย่างแม่นยำแล้วพริ้วไหว  ดูช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน ราวกับเข้าไปยังอีกโลกหนึ่งโลกที่มีเพียงเสียงดนตรี  ก่อนจะนึกอย่างขำขันเรียกร้อยยิ้มที่มุมปาก

นี่ล่ะอำนาจแห่งเสียงดนตรี...ลองพิศดูพระพิรุณา  ทรงพิณพาทย์กลางสระดังจ๋อมแจ๋ม
      



    คอนเสิร์ตจบสิ้นลงด้วยเสียงปรบมือเกรียวกร้าว  ร่างโปร่งบางนั้นลุกจากที่นั่งของตน ก่อนจะยืนตรงแล้วโค้งให้ผู้ชม จอภาพแสดงดวงหน้าขาวเนียนที่มีรอยยิ้มกว้างนัยน์ตาพราวอยู่อีกครั้ง  พิรุณาผายมือให้วงออเครสตาและวาทยากรอีกครั้ง เสียงปรบมือยังคงดังอย่างต่อเนื่องยาวนานต่อไปอีก ทั้งๆที่นักดนตรีลงจากเวทีแล้ว  และไฟบนเวทีหรี่ลงจนเกือบมืดสนิทแต่ก็ยังไม่มีใครออกจากหอประชุมนี้ไป  ทันใดนั้นไฟบนเวทีก็สว่าง ร่างโปร่งบางก็กลับปรากฏบนเวทีอีกครั้ง  ก่อนจะนั่งลงหน้าเปียโนอีกครั้ง  พร้อมกับกลุ่มเครื่องสายขนาดเล็กที่นั่งประจำที่เรียบร้อย เสียงปรบมือของผู้ชมซาลงก่อนจะเงียบกริบอย่างรอคอยให้ผู้บรรเลงเพลงเริ่ม เสียงเมโลดีพริ้วไหวเป็นอินโทรดังขึ้นอย่างนุ่มนวล รันดาหันมาถามพี่ชาย

“เพลงอะไรคะ?”ธีรธรมองตาน้องสาวอย่างใช้ความคิด  เมื่อโมโลดีของเพลงเริ่มขึ้นพี่ชายก็แย้มรีมฝีปาก
“บัวขาวจ๊ะ  จำได้ไหมว่าเป็นเพลงโปรดคุณปู่” ทันทีที่ได้คำตอบน้องสาวก็แย้มยิ้ม

      แม้เพลงนี้จะไม่มีใครมาขับร้อง แต่เสียงเปียโนที่ขับกล่อมอย่างนุ่มนวลอ่อนหวานกล่อมให้ผู้ชมตกอยู่ในห้วงภวังค์ นิ้วเรียวไล้ไปตามคีย์ต่างๆอย่างตั้งใจ แม่นยำ และสอดประสานกับเครื่องสายต่างๆได้อย่างกลมกลืนยิ่ง สร้างเสียงเพลงที่ไพเราะตรึงใจผู้ฟังยิ่งนัก   ร่างของผู้บรรเลงโยกไหวตามอารมณ์ของเพลงโดยไม่มีอาการเสียสมาธิแม้แต่น้อย จวบจนเพลงอันไพเราะดำเนินมาถึงท่อนสุดท้ายและจบลงอย่างนุ่มนวล มือขาวบางๆนั้นข้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางลง ร่างโปร่งบางยืนขึ้น ผายมือให้เกียรติผู้บรรเลงเครื่องสาย ก่อนจะโค้งลงอีกหลายครั้งแล้วโบกมือให้ผู้ชม  เสียงปรบมือดังราวห่าฝนก่อนไฟจะหรี่จนดับไป


“ประทับใจจังเลยนะคะพี่ธี” ธีรธรยิ้มให้สาวน้อยข้างกายขณะยืนอยู่ด้านหน้าทางออกที่มีคนส่งเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊ก รันดายิ้มแก้มบาน คอนเสิร์ตวันนี้คงทำให้เธอฟุ้งเรื่องคุณพิรุณาไปอีกหลายสัปดาห์

“รันเอาดอกไม้ไปให้คุณพิรุณาที่หลังเวทีก่อนค่ะ”
“ไหนล่ะดอกไม้” รันดายิ้มกว้าง  เมื่อเห็นเด็กส่งดอกไม้พยายามด้อมๆมองๆมาทางฝูงชนอย่างไม่รู้จุดหมาย
“นั่นไง  พี่ธีเดินไปรับดอกไม้มาสิคะ” คนเป็นพี่มองน้องสาวอย่างนึกหมั่นไส้  น้องสาวยิ้มประจบ เขาจึงเดินเข้าไปหาเด็กส่งดอกไม้คนนั้นก่อนจะยืนธนบัตรให้แล้วรับดอกไม้มา  ดอกลิลลี่ขาวส่งกลิ่นหอมๆอยู่ในมือเขาก่อนจะส่งให้น้องสาวที่ยืนแบมือรับอยู่แล้ว

“หลอกให้พี่ไปเสียตังค์นี่นา”
“น่านะ” น้องสาวกล่าวเสียงอ่อนเสียงหวานทำให้พี่ชายได้แต่อ่อนใจ  ก่อนข้อมือใหญ่จะถูกมือน้องสาวตะปบแล้วลาก

      หลังเวทีแม้คนจะซาลง แต่ก็พลุกพล่านกว่าที่คิด เพราะนอกจากจะมีแค่เจ้าหน้าที่แล้วยังมีผู้ชมอีกหลายคนที่เข้ามามอบดอกไม้ให้นักดนตรี  ธีรธรเห็นเด็กชายผมทองวัยกำลังน่ารักส่งดอกกุหลายช่อโตให้นักไวโอลินหญิงผมทองคนหนึ่ง เธอรับมาอย่างยินดีก่อนจะหอมเด็กน้อยฟอดใหญ่  เป็นคู่แม่ลูกที่น่ารักดี  บอสหนุ่มคิดพลางอมยิ้มในใจซึ่งไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย  รันดาแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังห้องล้อมพิรุณาได้อย่างคล่องแคล้ว เธอรอจนคนกลุ่มนั้นล่าถ้อยก่อนจะเข้าไปสวัสดีพิรุณา แล้วส่งดอกไม้ให้ เธอเหลือบมองข้างกายพิรุณา คือปองนั่นเอง เขาเป็นล่ามภาษามือให้ทุกคนที่เข้ามาแสดงความยินดีกับพิรุณา รวมทั้งติดต่อประสานงานให้ด้วย  รันดาสวัสดีปอง ปองรับไหว้แล้วยิ้มนึกเอ็นดูสาวน้อย พลางเหลือบไปเห็นคนยืนข้างหลังรันดาบอสของเขาเอง ดวงหน้าคมคายหากเฉยสนิท ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อปองสวัสดีเขา

“คอนเสิร์ตประทับใจรันมากค่ะ”ปองส่งภาษามือให้พิรุณาอย่างคล่องแคล่ว เขาเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองใช้ภาษามือได้คล่องขึ้นมากหลังจากได้ร่วมงานกับพิรุณาอยู่หลายโอกาสเมื่อเร็วๆนี้ แต่ก็ยังไม่ดีนักหรอก บางอย่างเขายังส่งผิดพิรุณาจะคอยแก้ไขให้เท่าที่โอกาสจะอำนวย

“คุณพิรุณาบอกว่า ขอบคุณแล้วก็ยินดีมากที่คุณรันมาชม”
“รันอยากเก่งเหมือนคุณพิรุณาบ้างจัง”สาวน้อยยิ้มกว้างสดใส ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาสะสวยแม้จะเป็นเพียงเด็กสาววัยแรกแย้มแต่ก็เรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินผ่านได้มาก จนพี่ชายชักเกรงๆ

“ยัยรันอย่าคุยนานยังมีคนอื่นๆอีก”พี่ชายกระซิบเบาๆเป็นการเตือน รันดาพยักหน้า
“คุณพิรุณายังมีแขกอีกมาก รันกับพี่ธีขอตัวนะคะ” รันดายกมือขึ้นสวัสดีอีกครั้ง พิรุณายกมือรับไหว้ ก่อนจะหันมาสบตาธีรธรดวงตาพราวระยับเมื่อครู่นั้นแทบจะหายวับ  แต่เมื่อพิรุณาเหลือบไปเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ยิ้มกว้างในทันที

      ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างหลังธีรธรก้าวเข้ามาใกล้พิรุณา  ก่อนจะสวมกอด ร่างบางๆนั้นแทบจะกลืนหายไปกับอกคนที่เข้ามากอด ธีรธรเบะปากรู้สึกคันๆขึ้นมาตะหงิดๆ  เขายังเห็นร่างบางๆนั้นดูจะดีใจมาก สองมือบางๆนั้นแตะหน้าชายร่างสูงนั้นเพื่อมองให้ถนัดตา ก่อนจะเริ่มส่งภาษามือให้ชายร่างสูงผมทองนั้น ธีรธรสังเกตเห็นว่าพิรุณาไม่จำเป็นต้องสื่อสารผ่านปองแต่อย่างใด  ทั้งคู่ส่งภาษามือกันอยู่ครู่นึง ก่อนพิรุณาจะส่งภาษามือให้ปอง ปองพยักหน้ารับก่อนจะส่งกลับไปแล้วเดินออกมา  บอสหนุ่มมองปองที่กำลังเดินมาทางเขาและรันอย่างสงสัย

“คุณพิรุณาให้ผมพักครับ” ปองดูเหมือนจะอ่านสายตาเขาออก
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”บอสหนุ่มบอกเสียงเข้มก่อนจะหันกลับมามองน้องสาว โดยไม่ทันเห็นรอยยิ้มบางๆที่มุมปากปอง


หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 15-11-2007 13:13:34
น้องโน้ตเท่ร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เด่วพี่แปะชื่อทิ้งไว้ก่องนะ แล้วเด่ซจาตามอ่านอีกที อิอิ


 :m3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 15-11-2007 13:18:48
 :m11:น่ารักดีนะครับผม
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 15-11-2007 13:19:58
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 15-11-2007 13:54:15
น้องโน้ตเท่ร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เด่วพี่แปะชื่อทิ้งไว้ก่องนะ แล้วเด่ซจาตามอ่านอีกที อิอิ


 :m3:

จ้า........ :o8: :m1:

:m11:น่ารักดีนะครับผม

เขิลนะครับเนี่ยะ ... (กล้าเน๊าะเรา)

มาเป็นกำลังใจให้ครับ

ขอบคุณคร้าบบบบบ o15
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-11-2007 14:00:37
อ่ะ ธีรธรมีคุ่แข่งตัวยงซะแล้ว
แถมทำไม่ดีไว้อีก งานนี้ท่าทางจะยากสสสสสสสสสส
 o21
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 15-11-2007 14:04:44
อ่านจบแระ ชื่อตัวละครเพราะดีนะ ธีรธร พิรุณา รันดา แต่ออกจะจำยากไปซักหน่อย

อ่านแล้วก็งงๆอย่างที่ทิพย์บอกจริงๆ เหอๆ ตัดไปตัดมาเหมือนบทละครอ่ะ ไม่ค่อยจะเหมือนนิยายซักเท่าไหร่ นี่เรื่องแรกของน้องภาณุเมศพลังป่าวเนี่ย พิมพ์ผิดบ้างมะเปงไร เข้าใจ อาจจะรีบๆพิมพ์เลยตรวจทานอักษรมะละเอียด  พล็อตเรื่องดีนะเกี่ยวกับดนตรี แปลกใหม่ดี

 :m3:  เปงกามลังจายให้ทั้งคนแต่งและคนโพสน๊า จุ๊ฟๆๆๆ







ปล. น้องโน้ตจ๋า อย่าเรียกพี่ชัตเตอร์จิ บอกแย้วงายว่าให้เรียกว่า ว่าที่ ที่ร้ากกกก อิอิ  :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 15-11-2007 14:38:31

อ่านแล้วววววววววววววววว

งง

อิอิ

คงไม่ว่ากัน

ถ้าอยากได้เม้นต์ยาวๆ แรงๆ ก็บอกนะ เด๋วจัดให้

ขอชมว่า โครงเรื่องแปลกใหม่ สด  น่าอ่านมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 15-11-2007 14:46:54
ก็งงเหมือนกัน แต่อ่านซ้ำแล้วก็เข้าใจ

เพราะ ...

เพราะ ... มันตกหล่นด้วยไง
เช่น
อ้างถึง
ด้วยดวงหน้าคมเข้มดวงตายาวเรียวที่ประกอบด้วยนัยน์ตาคมกล้าดำจัดราวห้องน้ำอันลึกสุดหยั่ง

มันต้องเป็น ห้วงน้ำ ใช่ม๊ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 15-11-2007 18:15:16
สวัสดีค่ะทุกคน
 
'เมศ'ขอบคุณทุกคอมเมนต์เลยค่ะ ทั้งที่ติชมเเละกำลังใจอันล้นเหลือ     INTERMEZZOเป็นYเรื่องเเรกที่เมศเขียน เเละเป็นเรื่องยาวเรื่องเเรกที่เขียนจริงจังหลังจากหยุดเขียนทุกอย่างไปกว่า๓ปีไ ม่ใช่หนีหนี้นะคะ หึหึหึหึ   ตอนล่าสุดที่ลงเเล้วไปถึงตอนที่๑๓เเล้วทำให้เมื่อย้อนกลับมาอ่านตอนต้นๆเเทบอยากจะรีไรท์ใหม่หมด ฮาๆฮือๆ   

ส่วนเรื่องที่เมศชอบดนตรีเเน่เลย  ใช่ค๊า...ชอบดนตรีมาก เรียนมาหลายปี เเต่ตอนนี้มันจะไม่เหลือเเล้ว  โดนวิชาตะไบเหล็กเชื่อมเหล็ก เเคลคูลัสกลืนไปหมดเเล้ว เหลือเป็นการเสพย์ความสุนทรีย์ทางหูเเทนการบรรเลงเองเเล้วค่ะ

หวังว่าจะได้รับคำชี้เเนะดีๆจากพี่ๆบอร์ดนี้ต่อไป

ปล.ตอนที่๑๔ยังไม่เสร็จเลย ฮาๆฮือๆ ใจร่มๆนะคะ

ปล๒.กระต่ายตาตี่น่ารักจัง :เตะ1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-11-2007 18:25:05
ตอนนี้ค่อยยังชั่ว อ่านรอบเดียว แต่ต้องอ่านช้า ๆ  :try2: เริ่มจะสนุกแล้วล่ะ โอเช สู้เค้า  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 15-11-2007 19:38:55
อ่อ ถึงว่าจิ เรื่องยางงงๆอยู่ ขาดอารมณ์ไปนิสนุงน๊า คือใช้คำสวยอ่ะ แต่ขาดอารมณ์ พอจะเข้าใจป่าว แหะๆ   :m23:  แต่พล็อตดีจ้า ว่าแต่มะไหร่มานจามีฉากอัศจรรย์ซะทีอ่ะ อิอิ








ปล.คุณน้องเมศเปงปู้หญิงหรือผู้ฉิงอ่ะ  :m26:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 16-11-2007 04:22:15
อ่านจบแระ ชื่อตัวละครเพราะดีนะ ธีรธร พิรุณา รันดา แต่ออกจะจำยากไปซักหน่อย

อ่านแล้วก็งงๆอย่างที่ทิพย์บอกจริงๆ เหอๆ ตัดไปตัดมาเหมือนบทละครอ่ะ ไม่ค่อยจะเหมือนนิยายซักเท่าไหร่ นี่เรื่องแรกของน้องภาณุเมศพลังป่าวเนี่ย พิมพ์ผิดบ้างมะเปงไร เข้าใจ อาจจะรีบๆพิมพ์เลยตรวจทานอักษรมะละเอียด  พล็อตเรื่องดีนะเกี่ยวกับดนตรี แปลกใหม่ดี

 :m3:  เปงกามลังจายให้ทั้งคนแต่งและคนโพสน๊า จุ๊ฟๆๆๆ







ปล. น้องโน้ตจ๋า อย่าเรียกพี่ชัตเตอร์จิ บอกแย้วงายว่าให้เรียกว่า ว่าที่ ที่ร้ากกกก อิอิ  :o8:

โอเคครับ พีชัตเตอร์ที่ร๊ากกกกกกกกกกกกกกส์ (อ่ะเคย์ไหมครับ :m23:)


อ่านแล้วววววววววววววววว

งง

อิอิ

คงไม่ว่ากัน

ถ้าอยากได้เม้นต์ยาวๆ แรงๆ ก็บอกนะ เด๋วจัดให้

ขอชมว่า โครงเรื่องแปลกใหม่ สด  น่าอ่านมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ได้ข่าวว่าเมศมันชอบอยู่นะแต่คนโพสกลัวหัวใจวายเสียก่อนอ่ะ :m8:

ก็งงเหมือนกัน แต่อ่านซ้ำแล้วก็เข้าใจ

เพราะ ...

เพราะ ... มันตกหล่นด้วยไง
เช่น
อ้างถึง
ด้วยดวงหน้าคมเข้มดวงตายาวเรียวที่ประกอบด้วยนัยน์ตาคมกล้าดำจัดราวห้องน้ำอันลึกสุดหยั่ง

มันต้องเป็น ห้วงน้ำ ใช่ม๊ะ

"ห้องน้ำอันลึกสุดหยั่ง"  :o8: คราวหน้าผมจะพิสูจน์อักษรดีๆครับ :m5:

อ่อ ถึงว่าจิ เรื่องยางงงๆอยู่ ขาดอารมณ์ไปนิสนุงน๊า คือใช้คำสวยอ่ะ แต่ขาดอารมณ์ พอจะเข้าใจป่าว แหะๆ   :m23:  แต่พล็อตดีจ้า ว่าแต่มะไหร่มานจามีฉากอัศจรรย์ซะทีอ่ะ อิอิ








ปล.คุณน้องเมศเปงปู้หญิงหรือผู้ฉิงอ่ะ  :m26:

คุณน้องเมศให้สิทธิในการตอบมาล่ะพี่ชัตเตอร์ที่ร๊ากก คำตอบคือ...สังกัดสาว Y หรือสังกัดเดียวกับพี่โย ครับ(มีกล่าวถึงบุคคลที่สาม)
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-11-2007 13:22:16
ตามมาอ่านแว้ววววว  :a2:

คนที่มาใหม่ คือ เคนเหรอ  เคนเป็นใครหว่า  เหมือนมีความสำคัญกับพิรุณามาก
เชียร์บอสอ่า  อิอิ 

คนแต่งชอบพรรณาโวหารอะจิ  เราว่าที่จริงสำนวนดีนะ  เพียงแต่ว่าลำดับเรื่องราวต้องให้แม่นแล้วก็มีเหตุการณ์ดึงดูดมากกว่านี้อีกหน่อย
เรื่องนี้นายเอกพูดไม่ได้  บทสนทนาคงลดน้อยลงไป  ถ้าเพิ่มการบรรยายอารมณ์ ความคิดของนายเอกให้มากขึ้น  บรรยายเป็นคำพูดออกมาก็ได้  ใส่ว่านายเอกคิดอะไร  เพิ่มอารมณ์ของตัวละครลงไปด้วยก็น่าจะดีนะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับดนตรี  เปียโนซะด้วย  ชอบมากเลย  แสดงว่าภานุเมศพลังต้องเล่นเปียโนเป็นแหงๆ
เราก็ชอบเปียโน  ชอบมากๆๆๆ เรียนตอนเด็กจนถึงม สาม  แล้วก็ไม่ได้เรียนต่ออีก  แต่ก็ยังคงชอบเสียงชอบฟังเพลงบรรเลงอยู่ดี  ดีใจจังได้เจอคนที่ชอบ  เย้ๆ

รออ่านต่ออยู่นะ  เป็นกำลังใจให้คนแต่งแล้วก็น้องโน๊ตด้วยจ้า  สู้ๆ  :m3:  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 16-11-2007 17:32:17
ขอบคุณครับ พี่ มูมู่น้อย   :give2:

โน้ตขออนุญาตต่อเลยแล้วกันนะคร้าบบบบ.. :m11:

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
      พิรุณากลับเข้าที่พักของตัวเอง เขาใช้การ์ดเสียบลงไปครู่หนึ่ง รอให้ไฟสีเขียวที่ประตูกระพริบครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดประตู มือบางๆนั้นพยายามแกะเครื่องช่วยฟังออกจากหู เขาไม่ชอบใส่มัน  มันทำให้เวลาเดินไปไหนมาไหนคนมักมองเสมอ เขาอยากเป็นเหมือนกันอื่นที่ปรกติ ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขามีนิสัยอีกอย่างหนึ่งคือ ชอบเดินกลืนหายไปกับฝูงชน การโดนกลืนหายเข้าไปในฝูงชนแบบนั้นทำให้เขารู้สึกตัวเองก็เหมือนคนอื่นๆทั่วๆไปที่เดินกันขวักไขว่ตามท้องถนน  พิรุณาเสียบคีย์การ์ดลงหลังจากปิดประตูห้องแล้วทำให้ไฟภายในห้องสว่าง ห้องนี้เป็นห้องพิเศษเพราะเป็นห้องเดียวที่ใช้คีย์การ์ด ห้องพักอื่นๆนั้นใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียงทั้งหมด ซึ่งการเปล่งเสียงเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้

      หูของเขายังคงได้ยินอยู่บ้างโดยอาศัยอุปกรณ์บางอย่าง หากแต่ก็น้อยเต็มทีเมื่อเทียบกับคนปรกติ แต่สาเหตุของการณ์สูญเสียการได้ยินที่น้อยคนนักจะรู้คือ การรักษาผิดพลาด เมื่อตอนเด็กๆเขามีไข้ขึ้นสูง โลกทั้งโลกดูจะหมุนขว้างและว่างเปล่า ขณะนั้นเขาอยู่ในเมืองเล็กๆซึ่งห่างไกลจากความเจริญมากนัก ผู้ดูแลของเขาจึงพาไปสถานพยาบาลเล็กๆแห่งหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งพิรุณาก็พบว่าเขาไม่อาจได้ยินเสียงใดๆได้อีก โลก..ช่างเงียบสงัดราวกับโลกทั้งใบมีเขาอยู่เพียงผู้เดียว จนเมื่อเขาอายุได้9ขวบ หลังจากสูญเสียครอบครัวอุปถัมภ์ไปในอุบัติเหตุ มีเพียงเขาคนเดียวที่รอดมาได้ เขาจึงถูกส่งต่อไปอีกหลายบ้านอุปถัมภ์จนหยุดลงที่โบสถ์เล็กๆแห่งหนึ่งในเยอรมัน ที่นั่นเองทำให้เขาได้พบกับซิสเตอร์อลิซ เธอเป็นคนไทย ซึ่งเขาไม่ทราบด้วยเหตุใดเธอถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ดวงตาที่ทอดมองเขาช่างอ่อนโยนและอบอุ่น เธอสอนภาษาไทยให้กับเขา และสนับสนุนให้เขาได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กอื่นๆ รวมทั้งสนับสนุนในพรสวรรค์ของเขาด้วย

      พิรุณาทิ้งกายลงนอนบนเตียงทั้งๆที่ยังไม่ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเลย ความเหน็ดเหนื่อยของทั้งสัปดาห์ถาโถมอย่างไม่ปราณี ในไม่กี่อึดใจต่อมาลมหายใจของเขาก็ทอดยาวสม่ำเสมอเข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะในทันทีโดยไม่อาจ รับรู้ถึงการมาของใครบางคน  ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผมสีทองผู้มีนามว่า  ‘เคน’  โผล่หน้าเข้ามาในห้อง พิรุณาเป็นคนให้คีย์การ์ดเขาไว้เอง บอกว่ามีอะไรให้มาหา  เขาไม่ได้มีอะไรหรอกแค่อยากมาหาเท่านั้น
เมื่อเขาเข้าไปถึงห้องด้านในจึงพบว่าพิรุณากำลังหลับ ร่างบางๆนั้นนอนนิ่งทั้งที่ไม่ถอดเสื้อตัวนอกออกด้วยซ้ำ ไหนจะรองเท้าอีก  เคนเดินเข้าไปใกล้ร่างที่หายใจสม่ำเสมอนั้นก่อนจะค่อยๆจับที่ขาแล้วถอดรองเท้าให้อย่างเบามือเกรงว่าร่างบางๆนั้นจะตื่น  ปรกติพิรุณาเป็นคนตื่นง่ายเมื่อตื่นแล้วก็จะไม่หลับอีก แต่สำหรับวันนี้คงจะเหนื่อยมาก  ไหนจะคอนเสิร์ตไหนจะเรื่องฟ้องร้อง  แต่เรื่องหลังคงไม่ต้องห่วงเพราะทนายของพิรุณาเป็นญาติของเขาเอง ท่านเป็นทนายฝีมือฉกาจท่านบอกว่าเรื่องฟ้องร้องไม่ต้องห่วงท่านจะจัดการให้ ป่านนี้หมายศาลคงร่อนไปแปะหน้าบ้านมันแล้ว สมน้ำหน้า คนชั่วๆมันต้องโดนแบบนี้

*********************************************

      ธีรธรปิดประตูห้องตัวเองเบาๆก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะทำงานแล้วลูบหน้าผากอย่างเหนื่อยๆ  วันนี้หลังจากกลับจากคอนเสิร์ตเขาต้องเอารันดามาหย่อนไว้หน้าบ้านก่อนจะรีบกลับไปที่ทำงาน คุณลีโทรมาแจ้งว่ามีเอกสารสำคัญที่เขาต้องลงชื่อ และซูเปอร์วีไอพีอีกคนอยากขอเข้าพบเขา ซูเปอร์วีไอพีคนนี้คือ คริสติน่า มิลเลอร์ ทายาทสาวสวยของกลุ่มบริษัทใหญ่ในอเมริกา การทำให้หล่อนขัดใจไม่น่าจะส่งผลดี เพราะเขาเพิ่งเจรจาธุรกิจกันไปกับมิลเลอร์ผู้พ่อ  ผู้ที่ขึ้นชื่อว่ารักลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนนั้นอย่างกับอะไรดี  เขายอมรับว่ามิลเลอร์ผู้พ่อเป็นคนที่มีความสามารถทางธุรกิจสูงและน่าเคารพยกย่อง  แต่สำหรับลูกสาวเขายังออกความเห็นไม่ได้ เพราะยังไม่เจอตัวจริงด้วยตัวเอง แต่ได้ข่าวว่าหล่อนก็ ‘ฉาว’ พอดู อย่างสาวสังคม

‘บอสคะ สั่งการผ่านลีดีกว่าค่ะ วันนี้บอสยุ่งๆ กลับบ้านพักผ่อนเถอะนะคะ’เขาพยักหน้าทำตามที่คุณลีบอกทั้งที่ยังงงอยู่ว่าทำไมเลขาสาวถึงได้คะยั้นคะยอนัก คือสั่งการตามที่สมควรก่อนจะกลับ ระหว่างลงลิฟท์พร้อมกับคุณลี ลิฟท์ก็หยุดลงที่ชั้น37 ร่างบางระหงในชุดที่เรียกได้ว่าหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่นก็ก้าวเข้ามา

‘อ้าว คุณลีแอน นี่คงเป็นเจ้านายคุณสินะคะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ’ มือเรียวขาวที่ไว้เล็บยาวสีแดงเข้ากับชุดยื่นตรงมาข้างหน้าให้เขา ดวงหน้าสวยที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางยิ้มให้ ดวงตาแพรวพราว ราวกับจะบอกให้รู้ว่า
ฉันสนนายอยู่นะ รีบๆรับไมตรีซะ

‘ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ’ ธีรธรเองก็ดูเหมือนจะรู้ถึงความนัยน์ของสายตานั้น  จึงแย้มริมฝีปากยิ้มบ้าง  อย่างที่น้องๆที่บ้านเรียกว่ายิ้มพิมพ์ใจ ก็ทีไอ้หน้าสวยมันยังทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้  ดวงหน้าเรียวของฝ่ายถูกจับมือซับสีเลือดขึ้นจางๆแต่เพราะเมคอัพทำให้แทบมองไม่เห็น

โธ่...บอส  ลีพยายามเตือนแล้วแท้ๆนะคะ  คราวหลังอย่ามาให้ลีเป็นไม้กันสุนัข หรือพนักงานรถไฟเชียวนะ

      
      ธีรธรนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วนึกขันสีหน้าของเลขาสาว เขารู้ว่าหล่อนคิดอะไร เพราะถ้าลองเขาทอดไมตรีให้สาวใดล่ะไม่เคยพลาด  ก็ได้คุณลีนี่แหล่ะที่คอยเป็น  ไม้กันหมา พนักงานรถไฟสับรางให้ทุกทีไป ลองเป็นแบบนี้ล่ะก็ไม่แคล้วคุณลีก็เดือดร้อน  พรุ่งนี้จะหาอะไรไปขอโทษหล่อน หรือจะลองหาเป็นเพลงเพราะๆให้สักเพลงท่าจะดีนะ  บอสหนุ่มคิดได้อย่างนั้นจึงเปิดคอมพิวเตอร์ตรงหน้าก่อนจะเปิดเวบเซิร์ชเอนจิ้นชื่อดังขึ้นมาแล้วพิมพ์

“บัวขาว”

******************************************


      พิรุณาเพิ่งบินกลับมาจากการกลับไปจัดการเรื่องคดีฟ้องร้อง  ทันทีที่เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องก็พบเคนรออยู่แล้ว เคนไม่ได้พักที่โรงแรมแห่งนี้ แต่พักอยู่โรงแรมใกล้ๆกันนี่เอง พอเขารู้ว่าวันนี้พิรุณาจะกลับจึงเข้ามานั่งรอในห้อง  วันนี้เขามีข่าวดีมาบอกพิรุณาด้วย  บ้านที่พิรุณาซื้อไว้เป็นสตูดิโอตอนนี้ตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ของทุกอย่างจากบ้านเดิมกำลังส่งมาทางแอร์เมลล์ รวมทั้งของพิเศษบางอย่างด้วย  เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพิรุณาถึงชอบเมืองนี้นัก ถึงขนาดยอมย้ายมาจากที่เก่าซึ่งเขาเองเห็นว่ามันก็ดีอยู่แล้ว

‘กลับมาแล้ว เคนมารอตั้งแต่เมื่อไหร่’พิรุณาส่งภาษามือให้ก่อนจะหยิบเอกสารสำคัญที่ใช้ในการเดินทางไปเก็บ

‘มารอตั้งแต่บ่าย’

‘ทำไมรีบมานัก กว่าเครื่องจะลงก็ตั้งห้าโมง นี่มันทุ่มสิบห้าแล้วไม่เบื่อหรือ’

‘ไม่เบื่อหรอก วันนี้มีไอ้นี่มาด้วย’ เคนชูสิ่งที่อยู่ในมือให้พิรุณาดู  จริงๆแล้วเคนเป็นนักดนตรีเหมือนๆกันกับพิรุณา หากแต่เขาเล่นเชลโล เมื่อหลายปีก่อนก็เคยออกอัลบัมของตัวเอง แต่ต่อมาด้วยธุรกิจของทางบ้านเขาจึงไม่อาจเล่นดนตรีเป็นงานหลักได้อีก

‘ฉันมีข่าวดีกับข่าวร้าย อยากฟังอย่างไหนก่อนล่ะ’ เคนส่งภาษามือให้พิรุณา  พิรุณายิ้มแล้วชูนิ้วชี้และนิ้วโป้งทั้งสองข้าง แล้วส่งภาษามือกลับ

‘ข่าวดีแหง๋อยู่แล้ว’ เคนหัวเราะ

‘บ้านนายที่ทำสตูดิโอน่ะ แต่งเสร็จพร้อมอยู่แล้ว  พรุ่งนี้ของๆนายจากบ้านเก่าคงส่งมาถึงแล้วล่ะ’

‘เยี่ยม  ฉันจะได้โบกมือลาห้องนี้เสียที’

‘ไหงงั้น  ทุกทีนายบอกว่าห้องโรงแรมดีกว่าบ้านตัวเองไง’

‘ห้องนี้มันก็ดีวิวก็สวย  แต่ชั้นเบื่อบอสของที่นี่น่ะ เจอหน้ากันทีไรต้องได้เรื่องทุกที’

‘นายตามเกี้ยวขอคนเขาอยู่ไม่ใช่หรือไง’

‘มันก็ใช่แหล่ะนะ แต่คุณปองน่ะยังไม่ยืนยันว่าจะมาทำงานให้ฉันหรือเปล่า  ตอนนี้ก็เลยต้องรอคุณปองตัดสินใจได้ก่อน’

‘แล้วถ้าไม่ได้ตัวคุณปองล่ะ?’

‘ก็ต้องหาคนใหม่น่ะสิถามได้’พิรุณาทำหน้าเซ็งๆก่อนจะนั่งลงบนเตียงนุ่ม เคนมองคู่สนทนาอย่างเอ็นดู

‘แล้วข่าวร้ายล่ะ?’ เคนสบตาคนถามอยู่ครู่หนึ่ง

‘พรุ่งนี้ฉันต้องกลับแล้ว’

‘ถามอย่างได้ไหม  รองประธานบริษัทอย่างนาย ต้องยื่นหนังสือขอลางานหรือเปล่า?’ เคนยิ้มขำกับคำถามของเพื่อนตัวเล็ก

‘ไม่ต้องยื่นเอง แต่ต้องบอกเลขา กับขออนุญาตท่านประธาน แต่ต้องดูช่วงเวลาด้วย ถ้ายุ่งมากก็หนีเที่ยวไม่ได้หรอก’

‘อายุปูนนี้แล้ว ยังจะต้องขออนุญาตพ่ออีกหรือเนี่ย’

‘นายเองถ้าเบื่อวงการนี้แล้วก็บอกนะ ฉันจะให้ดูแลเรื่องกฎหมายให้บริษัทน่ะ’

‘ใครเขาจะรับผู้พิการทางหูอย่างฉันไม่ทราบ’เคนตบหัวที่มีเส้นผมสีดำประกายน้ำตาลแดงอย่างเอ็นดู
‘นายก็เรียนนิติมาแถมพ่วงท้ายด้วยเกียรตินิยม บริษัทก็ของที่บ้านฉันยังไงก็ต้องรับล่ะนา’ เคนยิ้มอย่างเอื้อเอ็นดูให้พิรุณา เขาพบพิรุณาครั้งแรกที่หอสมุดของมหาวิทยาลัย ระหว่างเขากำลังเดินเลือกหนังสือ เขาเห็นใบหน้าเล็กๆขาวๆที่ผลุบโผล่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วนึกสนใจ  ตอนแรกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ 

‘ถ้าไม่ได้นายฉันก็ไม่จบ’

‘หิวข้าวแล้วไปหาอะไรกินกันเถอะ’  เคนส่งภาษามือให้พิรุณา

‘ ดี  วันนี้นักดนตรีไส้แห้งจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง’ ทั้งคู่หัวเราะ ก่อนจะพอกันลงไปหาอะไรทาน

******************************************

‘บอสคะ คุณพิรุณาแจ้งว่าจะขอยกเลิกสัญญาเช่าห้องพักแล้วนะคะ เห็นว่าบ้านที่ซื้อไว้เสร็จแล้วก็เลยจะย้ายออกน่ะค่ะ’ธีรธรฟังเลขาสาวคุณแม่ลูกหนึ่งพูด บางอย่างในใจมันหวิวๆ

‘อือ...ก็จัดการตามที่เขาขอสิคุณลี อ้อ บอกคุณปองด้วย’

‘ค่ะ’เลขาสาวรับคำก่อนจะกลับออกไป ธีรธรเอนกายพิงพนักเก้าอี้ พลางนิ่งคิดบางอย่าง



“บอสคะคุณมิลเลอร์ขอพบค่ะ”เสียงจากอินเตอร์คอมเรียกให้เขาตื่นจากภวังค์ความคิด

“ครับ” ครู่หนึ่งร่างเพรียวในชุดรัดรูปและดูจะคว้านลึกไปสักนิดก้าวเข้ามาในห้องทำงานด้วยดวงหน้าสวยที่แต่งแต้มด้วยเมคอัพยี่ห้อดังอย่างประณีต หล่อนสวยเสมอทุกเวลาไม่ว่ามันจะแดดร่มลมตกขนาดไหนก็ตาม   ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนรอรับหล่อนด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่แย้มยิ้มน้อยๆ 

“ดูเหนื่อยนะคะวันนี้”สาวสวยเอ่ยทัก พลางเดินอ้อมโต๊ะมาดันชายหนุ่มให้นั่งลงกับเก้าอี้

“ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ใช่ซูเปอร์วีไอพีคนเดียวของที่นี่นะคะ”

“ครับ  มีอีกคน กำลังจะเช็คเอาท์น่ะครับ”

“ใครกันคะ?” เธอถามขณะที่กึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่โต๊ะ ส่งสายตาหวานเชื่อมให้ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพึงใจ

“คุณพิรุณา”เสียงที่เรียกชื่อใครบางคนห้วนลงอย่างไม่ตั้งใจ หญิงสาวยิ้ม

“น่ารักดีนะคะ วันก่อนเห็นออกไปกินข้าวกับใครก็ไม่ทราบ หล่อทีเดียว”นิ้วเรียวยาวสัมผัสที่ใบหน้าชายหนุ่มอย่างย่ามใจก่อนจะโน้มหน้าลงไปใกล้

“ครับ”
“แหม เย็นชาจังทำไมไม่ชวนคริสตี้คุยบ้างละคะ  หรือว่าอยากทำอย่างอื่นมากกว่า”ชายหนุ่มยกริมฝีปากยิ้มน้อยๆที่มุมปาก  เป็นภาพที่ตรึงใจหญิงสาวตรงหน้าน่าดู  เธอโน้มหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีกจนสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกัน เธอมองริมฝีปากน่าจูบของฝ่ายตรงข้ามอย่างสุดจะห้ามใจ  ทันใดนั้นประตูก็เปิด  เด็กหนุ่มสองคนยืนตะลึงกับภาพตรงหน้า คนหนึ่งคือปอง ส่วนอีกคนคือพิรุณา ปองรีบใช้มือควานหาลูกบิดประตูอย่างสะเปะสะปะอยู่พักหนึ่งก่อนจะคว้าได้แล้วพยายามจะปิด

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ฉันจะไปแล้ว”คริสติน่า ยิ้มให้หนุ่มน้อยทั้งสอง ก่อนจะลอบหอมแก้วชายหนุ่มเบาๆทีหนึ่ง

“ฉันไปนะคะ” แล้วร่างงามนั้นก็กรายออกประตูไป

“เข้ามาสิ”บอสหนุ่มสั่ง พิรุณาและปองมองหน้ากันเหมือนพยายามเรียกสติให้เข้าร่าง ธีรธรมองภาพนั้นอย่างขำๆ

“มีอะไรหรือ?” นานกว่าธีรธรจะได้คำตอบเพราะทั้งสองพยายามตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพิรุณาจะส่งภาษามือ

“คุณพิรุณาว่า คุณคงทราบแล้วว่าผมขอเลิกสัญญาเช่าห้องที่ทำไว้สามเดือน”บอสหนุ่มพยักหน้ารับทราบ

“เราจะคืนเงินให้”

“แล้วก็เรื่องผม  บอสคงเห็นเรื่องที่ผมเขียนมาร้องเรียนครั้งที่สามนี้แล้วนะครับ  ผมโดนลูกค้าบางรายตามรังควาญถึงบอสจะห้ามเขาเข้าโฮสต์คลับ    แต่เขาก็ยังตามผมอยู่ผมคิดว่าเขาอันตรายเกินกว่าจะปล่อยไปอย่างนี้  อย่างน้อยก็ต่อน้องสาวผม”ธีรธรฟังแล้วพยักหน้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น  มันเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยนั่นแหล่ะ  หลายครั้งที่เขาเสียงโฮสต์ดีๆไปเพราะคนพวกนี้

“คุณปองคิดว่าจะทำยังไง?”

“ผม...จะไปทำงานให้คุณพิรุณาสักพัก”ปองส่งภาษามือให้พิรุณา  ทันทีที่พิรุณาทราบก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจแล้วกอดคนนั่งข้างๆแน่น ไม่ทันเห็นสีหน้าคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะว่าหน้างอเป็นม้าหมากรุก

“จะไปเมื่อไหร่ล่ะ?”

“สัปดาห์หน้าครับ ยังไงก็ต้องไปเรียนภาษามือก่อนอีกสองสัปดาห์ ถึงจะไปทำงานให้คุณพิรุณาได้”

“อือ ตกลงกับนายจ้างเขาให้ดีล่ะ”

“ครับ” ปองยิ้มกว้างไม่แพ้พิรุณา  จริงๆแล้วเขาเองถูกใจพิรุณาอยู่ไม่น้อยเนื่องจากคุยถูกคอ และดูจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้

“แต่เย็นนี้อย่าลืม ว่าเธอต้องรับแขก เขาจองตัวเธอมาสามเดือนแล้ว”

“ครับ”

“ไปเตรียมตัวเถอะ” ปองลุกขึ้นอย่างสุภาพก่อนจะส่งภาษามือให้พิรุณา แล้วออกไป พิรุณาก็ลุกขึ้นบ้าง

“จะไปไหน”เสียงขวางของธีรธรทำให้พิรุณาหยุดแม้หูจะไม่อาจได้ยิน  ดวงตาเรียวสวยด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลออกแดงปะทะกับนัยน์ตาสีม่านราตรีอย่างมีคำถาม  ไม่มีรอยยิ้มแตะแต้มที่ริมฝีปากอย่างที่ส่งให้ปองเลยแม้แต่น้อย

“นั่งก่อนเถอะ” บอสหนุ่มผายมือไปที่เก้าอี้ พิรุณาจึงนั่งลงตามเดิม  ธีรธรหยิบกระดาษขาวธรรมดาแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วใช้ดินสอเขียนข้อความลงไป

ผมทราบว่าคุณมีเพื่อนมาพักด้วยบ่อยๆ
      
    พิรุณามองตัวหนังสือในกระดาษอย่างสงสัย  มีเพื่อนมาพักด้วย...เพื่อนก็ เคน แล้วยังไง....พิรุณาหยิบกระดาษโน้ตสีนวลๆที่ใช้ประจำขึ้นมาแล้วเริ่มเขียนบ้าง

ใช่ครับเพื่อนของผมมาเยี่ยมบ่อยๆ แต่ไม่ได้พักด้วยกัน ทางบริษัทเขาจองที่พักไว้ให้อีกที่หนึ่งแล้ว

      นัยน์ตาสีม่านราตรียังคงจับจ้องทุกกริยาของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างพิจารณา เหมือนไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่พิรุณาบอก

ดูคุณไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอกเลยนะ

ผมไม่ต้องการให้โรงแรมของผมเป็นแหล่งที่มาของข่าวฉาวๆ คาวๆ อย่างที่พวกศิลปินเขาทำๆกัน

      แทบจะทันทีที่รับกระดาษมาอ่านข้อความ พิรุณารู้สึกตัวว่าโกรธมากจนมือสั่นไปหมด นัยน์ตาคู่สวยวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะที่ร้ายกาจ  ในหัวใจตะโกนก้องว่าสิ่งที่ผู้ชายตรงหน้านี่ทำ เป็นการดูถูกเขาอย่างมาก  หยาบคาย หยาบคายที่สุด!! พิรุณาผุดลุกขึ้นอย่างหมดสิ้นซึ่งความอดทนใดๆ ต่อให้เรื่องถึงโรงถึงศาลก็ช่าง  แต่เขาจะไม่ยอมให้ทำแบบนี้กับเขา  ธีรธรเห็นพิรุณาโกรธจนตัวสั่นก็ยิ้ม มุมปากเหยียดเยาะ นั่นยิ่งทำให้เพลิงสุมในอกพิรุณายิ่งแรงกล้าขึ้น  บอสหนุ่มลุกขึ้นบ้างอย่างไม่รีบร้อนเดินอ้อมโต๊ะทำงานตัวใหญ่มาทางร่างบางๆที่กำลังสั่นด้วยโทสะแรงกล้า  มือบางที่สั่นอย่างน่ากลัวเขียนข้อความบางอย่างในกระดาษ

แล้วทีคุณล่ะ  ผู้หญิงคนเมื่อกี้ที่แทบจะเอาตัวใส่พานถวายคุณล่ะ อย่างนั้นไม่เรียกว่าฉาว อย่างนั้นหรือ?

      มือบางๆขยำกระดาษใบเล็กปาใส่หน้าธีรธร  บอสหนุ่มเริ่มมีโทสะพลุ่งพล่าน  ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าทำอย่างนี้กับเขา  นัยน์ตาดำสนิทคมกล้าวาววับด้วยโทสะที่ไม่แพ้ร่างโปร่งๆบางๆตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย  เมื่อเขาอ่านข้อความก็ยิ่งโมโห  พิรุณาชูกระดาษอีกใบขึ้นให้เขาอ่าน

ผมไม่ใช่ญาติคุณ  หรือคนในบังคับของคุณ  ผมจะทำอะไรก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ

      พิรุณาทิ้งกระดาษใบนั้นลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี  จ้องนัยน์ตาของคู่สนทนาอย่างแรงกล้าท้าทายไม่แพ้กัน  พอเห็นว่าเรื่องควรจะจบลงตรงนี้  อย่างน้อยๆก็ควรจะรักษาน้ำใจรันดา  เด็กสาวคนนั้นไว้ เธอคงรู้สึกไม่ดีถ้ามีข่าวเขาไม่ถูกกับพี่ชายของเธอ  พิรุณาหันกลับเตรียมจะออกจากห้องทำงานไปเสียให้สิ้นเรื่อง  ทันใดนั้นมือใหญ่ที่แข็งแรงราวกับคีบเหล็กก็จับต้นแขนแล้วดึงอย่างแรงให้หันกลับไป  พิรุณาเม้มริมฝีผากบางด้วยความโกรธแค้น  ยังไม่ทันที่เขาจะทำอะไรไปได้มากกว่านั้น ริมฝีปากอุ่นก็กดลงบนกลีบปากบางของพิรุณา  เขาพยายามเบี่ยงกายหลบ ทั้งผลักทั้งทุบ แต่ก็ดูเหมือนว่า แขนที่โอบอยู่รอบกายนั้นจะแข็งแรงเกินไป  พิรุณาถูกดันให้กึ่งนั่งกึ่งยืนพิงโต๊ะทำงานตัวใหญ่  มือใหญ่อีกข้างจิกดึงให้ดวงหน้าสวยเงยหน้าขึ้นรับริมฝีปากร้อนๆได้ถนัดยิ่งขึ้น  พิรุณาพยายามหลบเลี่ยงแต่ก็ไม่สามารถหลบไปไหนได้ เขารู้สึกตัวเองหายใจไม่ทันจึงเผยอปากขึ้นเพื่อช่วยให้หายใจได้ ทันใดนั้นลิ้นอุ่นร้อนก็แทรกเข้ามาตักตวงความหอมหวานอย่างหิวกระหาย  ร่างบอบบางในวงแขนแกร่งดูจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงลงในทันที  ธีรธรยิ้มอย่างได้ใจ  มือควานหาบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง  มันคือมือถือยี่ห้อดังเขากดไปที่โหมดถ่ายภาพทันที   เสียงแชะ!เบาๆดังขึ้นโดยที่พิรุณาไม่รู้ตัว

     ระหว่างที่บอสหนุ่มกำลังถ่ายรูปต่อไปนั้น โดยไม่ทันระวังตัว หมัดๆหนึ่งจากคนที่คิดว่าสิ้นฤทธิ์ไปแล้วต่อยเข้าอย่างจัง  เขารู้สึกถึงรสเลือดที่ในปาก  เจ้าของหมัดยืนหอบน้อยๆ  นัยน์ตาสีน้ำตาลออกแดงนั้นแทบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดจ้องมองมาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ พลางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดริมฝีปากนั้นแรงๆ จนแดงช้ำหนักกว่าเดิม  ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องทำงาน ผ่านหน้าคุณลีไปอย่างรวดเร็วราวลมพัด  เลขาสาวเอียงคอมองภาพที่เพิ่งเห็นเมื่อครู่อย่างสงสัย  ก่อนจะลุกไปเคาะห้องเจ้านายแล้วเปิดเข้าไป 

“มีอะไรหรือเปล่าคะบอส  ดิฉันเห็นคุณพิรุณาหัวเสียออกไป”เธอมองบอสของตัวเองที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง  แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นที่ลอดมู่ลี่เข้ามาทำให้ห้องแลดูเป็นสีส้มไปหมด

“ไม่มีอะไรหรอกคุณลี  เย็นแล้วคุณกลับไปก่อนเถอะ “ เสียงบอสหนุ่มเรียบเฉย ตรงข้ามกลับท่าทางหุนหันของพิรุณาโดยสิ้นเชิญ  เธอจึงรับคำก่อนจะถอยออกไปแล้วปิดประตูให้เรียบร้อยดังเดิม

“นี่สิถึงจะฉาว” ธีรธรพึมพำ พลางเปิดดูรูปที่ถ่ายไว้หลายชอต  เกือบทุกชอตที่เห็นหน้าพิรุณาชัดเจน แต่มีเพียงบางชอตเท่านั้นที่เห็นหน้าเขาด้วย  แล้วคิดไปว่า ถ้าส่งภาพเหล่านี้ให้สำนักพิมพ์ละก็พรุ่งนี้คงได้เห็นพาดหัวข่าวหราทุกฉบับแน่  แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บแปรบขึ้นมาตรงที่โดนต่อย

“เห็นตัวเล็กๆหมัดหนักเหมือนกันนะเนี่ย”ชายหนุ่มลูบหน้าตัวเองป้อยๆ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนสองแล้วหวังว่าคงชอบกันนะคร้าบบ.. :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 16-11-2007 18:34:46
เม้นต์หละนะ  เอาแบบไม่เกรงใจนะ

เม้นต์ไปแล้ว  ก็จะรีบมาลบออกทันทีเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยกะเม้นต์

ก. เขาจึงถูกส่งต่อไปอีกหลายบ้านอุปถัมภ์ = He was passing to any บ้านอุปถัมภ์.  สำนวนฝรั่งจ๋ามากกกกกก 

คนไทยส่วนใหญ่มักพูดว่า "เขาถูกส่งต่อไปยังบ้านอุปถัมถ์อีกหลายต่อหลายแห่ง" อะไรเทือกนั้น  แต่ก็ยังเป้นสำนวนฝรั่งอยู่ดี 

ไทยแท้มักพูดว่า "เขาก้าวผ่านบ้านอุปถัมภ์อีกหลายแห่ง  จนหยุดลงที่โบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งในเยอรมัน"

ข. ความเหน็ดเหนื่อยของทั้งสัปดาห์ถาโถมอย่างไม่ปราณี  = ความเหน็ดเหนื่อยของทั้งสัปดาห์ หมายความว่าไง?

ค.  ไม่เห็นใจในความคิดและการกระทำของพระเอก  ที่จู่ๆ ก็ ว่าต่อมานายเอกด้วยเรื่อง "เรื่องคาวๆ"  เป็นเหตุการณ์ ที่ไม่มีที่มาที่ไปเลย

งง  ไม่คิดจะปูพื้นให้ดีกว่านี้หน่อยหรือเคอะน้อง  จู่โจมแบบนี้  เจ้งง!

นี่เป็นแค่การเสนอแนะนะ  ไม่ได้บังคับว่าให้ทำตาม 

ยังไงก็ลองคิดดูเองก็แล้วกัน    หรือไม่  ก็ลองไปอ่านเม้นต์ของกระต๊อบดูได้นะ  อิอิ

ปล.  ที่เขียนมาเนี้ย  แรงไปไหมเคอะ  อิอิ

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-11-2007 18:58:56
โอ๊ะโอ  แอบถ่ายรูปไว้ซะด้วย  บอสหนุ่มคนนี้คิดอะไรอยู่เนี่ย  อิอิ

รออ่านต่ออยู่ค้าบบบบ  เอาคำแนะนำไปปรับเท่าที่ปรับได้แล้วกันน้า  สู้ๆ เป็นกำลังใจให้จ้า  :a2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-11-2007 20:40:36
ถ่ายรูปกะแบล็คเมล์ละซี  :m14:  :m14:  :m14:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-11-2007 21:04:00
เร่าร้อนจริงๆคู่นี้
แก้เผ็ดไม่ได้เลยต้องจูบให้เผ็ดร้อนกว่าเดิม
 :m11: :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowman ที่ 17-11-2007 00:41:03

เม้นต์หละนะ  เอาแบบไม่เกรงใจนะ

เม้นต์ไปแล้ว  ก็จะรีบมาลบออกทันทีเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยกะเม้นต์

ก. เขาจึงถูกส่งต่อไปอีกหลายบ้านอุปถัมภ์ = He was passing to any บ้านอุปถัมภ์.  สำนวนฝรั่งจ๋ามากกกกกก 

คนไทยส่วนใหญ่มักพูดว่า "เขาถูกส่งต่อไปยังบ้านอุปถัมถ์อีกหลายต่อหลายแห่ง" อะไรเทือกนั้น  แต่ก็ยังเป้นสำนวนฝรั่งอยู่ดี 

ไทยแท้มักพูดว่า "เขาก้าวผ่านบ้านอุปถัมภ์อีกหลายแห่ง  จนหยุดลงที่โบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งในเยอรมัน"

ข. ความเหน็ดเหนื่อยของทั้งสัปดาห์ถาโถมอย่างไม่ปราณี  = ความเหน็ดเหนื่อยของทั้งสัปดาห์ หมายความว่าไง?

ค.  ไม่เห็นใจในความคิดและการกระทำของพระเอก  ที่จู่ๆ ก็ ว่าต่อมานายเอกด้วยเรื่อง "เรื่องคาวๆ"  เป็นเหตุการณ์ ที่ไม่มีที่มาที่ไปเลย

งง  ไม่คิดจะปูพื้นให้ดีกว่านี้หน่อยหรือเคอะน้อง  จู่โจมแบบนี้  เจ้งง!

นี่เป็นแค่การเสนอแนะนะ  ไม่ได้บังคับว่าให้ทำตาม 

ยังไงก็ลองคิดดูเองก็แล้วกัน    หรือไม่  ก็ลองไปอ่านเม้นต์ของกระต๊อบดูได้นะ  อิอิ

ปล.  ที่เขียนมาเนี้ย  แรงไปไหมเคอะ  อิอิ





แรงไปครับ


ผมว่าแรงไปหน่อยครับ


แต่ผมชอบครับ


+1 ให้ครับ ^_^


ปล. รู้สึกคิดถึงคุณกิติยาวดีแห่งบอร์ดปาล์มขึ้นมาตะหงิดๆ อย่างไรไม่ทราบได้



หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 18-11-2007 11:16:44
สืบเนื่องจากคอมเมนต์ของคุณ oaw_eang 

จุดประสงค์ในการเขียนงานเขียนของเมศ มีขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะด้านการเขียนของตนขึ้นไปอีก ดังนั้นด้วยจรรยาของการเป็นนักเขียนจึงเป็นเรื่องเห็นสมควรที่จะน้อมรับคำติชมไปเเก้ไข เพื่อปรับปรุงพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นตามลำดับ เเละเเน่นอนว่าก่อนการลงมือเขียนทุกถ้อยประโยคความต้องรอให้ตกตะกอนทางความคิดเสียก่อนเป็นอันดับเเรกตามวิถีของการเขียนที่ดี 

เเต่ด้วยความด้อยประสบการณ์ทำให้เมศบกพร่องไปบ้างไม่มากก็น้อย เเละอาจเพราะด้วยเหตุนี้เองทำให้เมศตีความ คำว่า 'วิจารณ์เเรง'หมายถึง'วิจารณ์ตรง'  ซึ่งด้วยพื้นความรู้ที่มีเเล้ว การวิจารณ์ตรง หมายถึง การวิจารณ์ให้คำชี้เเนะต่องานเขียนอย่างตรงไปตรงมาเเละเป็นกลางโดยมิได้พาดพิงถึงบุคคลอื่น เพื่อให้เจ้าของผลงานนำไปบูรณาการเเก้ไขข้อบกพร่องต่อไป

เรื่องที่น่าตลกเเละน่าเสียดายสำหรับเมศคือสมัยเรียน วิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่เมศเบื่อมากที่สุด จึงอาศัยการเรียนอย่างหลับบ้างตื่นบ้าง จุดบกพร่องในงานเขียนจึงอาจเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้(ขำ) เเละหวังว่าพี่ๆในบอร์ดเเห่งนี้จะช่วยถ่ายทอดความรู้ ชี้เเนะจุดผิดพลาดต่อไปเช่นคอมเมนต์ที่ผ่านมา

น้อมรับคำวิจารณ์ด้วยหัวใจ เเละพิจารณาเพื่อปฎิบัติเเก้ไข
ภาณุเมศพลัง(จาตุรันต์รัศมี)









ขอบคุณทุกคอมเมนต์เลยนะคะ  คาดว่าจะมีการรีไรท์ตอนที่1 2 (เเละอาจจะ3)ใหม่หลังจากเปิดเรื่องได้เรียบร้อยเเล้ว
ถ้าอ่านเรื่องนี้เเล้ว เซ็ง เครียด กินข้าว เเวะไปอ่านอีกเรื่องของเมศก็ได้ค่ะ(55+ อยากขายของขึ้นมาทันที)

รักไม่รู้ชื่อ (ทำ)ซื่อไม่รู้รัก
  thai Y Studio # 2     Yใสๆไร้สารพิษ เรื่องราวภายในรั้วอุดมศึกษาของสองอนาคตวิศวกร  ด้วยสโลเเกน สานYไทยสู่Yโลก


ปล.รักคอมเมนต์ตรงอย่างท่อนบนของคุณoaw_eang   :m3:
ปล2. จ. จานเป็นอักษรกลาง
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-11-2007 11:30:07
เพื่อนๆกันทั้งนั้นนะครับ
อิอิ
สองเขาก็มีเจตนาดีนะครับ
ดีใจที่คนเขียนเข้าใจ
 :m5:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 18-11-2007 11:34:59
 :a2: :a2: :a2:

กำลังจะแปะตอนสาม.....

อ้างถึง
คาดว่าจะมีการรีไรท์ตอนที่1 2 (เเละอาจจะ3)ใหม่หลังจากเปิดเรื่องได้เรียบร้อยเเล้ว

:a5:  เลยรอก่อนล่ะกานนะ >.<
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: satan666 ที่ 18-11-2007 11:43:18
เคยเห็นเรื่องนี้ในเด็กดี เล็งเอาไว้ว่าจะอ่าน แต่ยังไม่ได้อ่านสักที :try2:

พอดีเห็นลงในนี้ เลยมาตามอ่านในนี้ก็แล้วกัน

บอกตรงๆว่า เรื่องนี้ต้องอ่านช้าๆ ถึงจะเข้าใจ ฉากที่ตัดไปตัดมาทำให้นึกถึงเวลาในขณะนั้นไม่ออก

เห็นเจ๊สองแห่งบอร์ดวิจารณ์แล้วหนาวเหน็บ o21 แต่ชอบอ่ะ ตรงๆดี :m4:

เป็นกำลังใจให้ละกันค่ะคุณเมศ :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 18-11-2007 11:43:50
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 18-11-2007 12:35:38
เจ๊สองอธิบายได้ตรงใจมากเลยอ่ะ  o13  เราอ่านแล้วแค่รู้สึกแปลกๆแต่บอกไม่ได้ว่าอะไรหรือตรงไหนที่แปลก คนแต่งก็สู้สู้น๊า อย่าคิดมาก อย่าท้อถอยและอย่าถอดใจ เปงกำลังใจให้จ้า
 :a2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 18-11-2007 22:17:58
มาต่อตอนสามกันเลยดีกว่าเน๊าะ  :m26::a1:
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


INTERMEZZO   chapter# 3

      

    พิรุณาย้ายเข้าบ้านใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน  เคนช่างรู้ใจแต่งบ้านได้ถูกใจเขามาก แต่เดิมบ้านนี้เป็นบ้านเก่า  เขานั่งรถผ่านแล้วเกิดชอบใจจึงซื้อไว้เพราะชีวิตของเขาต้องมาทำงานที่นี่บ่อยครั้ง  เคนให้ตกแต่งบ้านนี้ด้วยศิลปะจีนประยุกต์ทำให้บ้านนี้มีโทนสีแดงส้มและขาว ห้องรับแขกขนาดเล็กทำให้รู้สึกอบอุ่นมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันออกจะเกินๆด้วยซ้ำ  ทั้งๆที่เขาไม่อาจได้ยิน แต่ในบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายดันมีวิทยุมาด้วย  พิรุณาส่ายหน้านึกขำกับเพื่อน....มันจะให้มาทำไมวะเนี่ย...     กล่องกระดาษบรรจุข้าวของจากบ้านเก่าถูกเก็บออกไปแล้ว  ข้าวของต่างๆจัดเข้าที่เข้าทางอย่างเป็นระเบียบ เหลือของอย่างสุดท้ายที่ยังมาไม่ถึง ระหว่างรอนี้เขาอารมณ์ดีเกินกว่าจะนั่งดูทีวี  พิรุณาเดินไปที่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น   เปียโนหลังเล็กสีแดงเข้มตั้งอยู่ติดกับหน้าต่าง  ใกล้ๆนั้นมีประตูเปิดออกสู่ระเบียง พิรุณาเปิดประตูออกไปรับลมเย็นจากข้างนอกบ้าง ก่อนจะนั่งลงแล้วพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดอย่างรื่นรมย์

**************************************

   ธีรธรเดินขึ้นบันไดหินเตี้ยๆไม่กี่ขั้นพลางล้วงกุญแจออกมาไขเปิด พลันได้ยินเสียงบางอย่างมากระทบหู  เขากวาดตามองหาแหล่งที่มาในความมืด ไฟบ้านข้างๆที่เคยมืดมิดมาหลายปีนับตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่บ้านนี้กลับสว่างขึ้นอย่างน่าประหลาด  เขาไม่เคยพบเจ้าของบ้านคนใหม่และแต่เดิมก็ไม่เคยนึกอยากรู้จัก แต่วันนี้เขากลับสนใจเจ้าของเสียงบรรเลงเปียโนแว่วหวานนั้น  ธีรธรพยายามเพ่งมองแต่ก็ไม่อาจเห็นตัว  เห็นเพียงระเบียงที่มีบานประตูกระจกใสที่เลื่อนเปิดออก  บอสหนุ่มเสยผมสีเข้มที่ยุ่งๆของตัวเองพลางยิ้มน้อยๆ  ไม่แน่คนข้างบ้านอาจจะเป็นพิรุณาก็ได้   รูปพวกนั้นยังคงอยู่ในโทรศัพท์มือถือของเขา  เขายังไม่ได้ส่งให้สำนักพิมพ์ใด  แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นดูเหมือนพิรุณาจะยิ่งรู้สึกขัดเคืองในตัวเขามากขึ้น  แม้แต่วันที่พิรุณาเชคเอาท์ออกไปหน้ายังไม่โผล่มาให้เห็นด้วยซ้ำ  ป่านนี้ขึ้นเครื่องร้องไห้แงๆกลับบ้านไปแล้วมั้ง   บอสหนุ่มแทรกตัวเข้าไปหลังประตูไม้บานสีเขียว ก่อนจะปิดประตูลงเขาเห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดลงที่บ้านหลังนั้น ประตูถูกเปิดออก  ก่อนก้อนขนปุกปุยสีน้ำตาลอ่อนจะกระโดดลงมาและวิ่งหายไปทันที เขาปิดประตูลงพลางเงี่ยหูฟังอีกครั้ง  ไม่มีเสียงเปียโนแว่วหวานนั้นแล้ว

**************************************

ปองยิ้มตอบเมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านยืนยิ้มร่าให้อยู่ที่ประตูโดยมีสุนัขพันธุ์โกลเดนรีทีฟเวอร์ร่างปุกปุยนัวเนียอยู่ใกล้ๆอย่างรักใคร่ ร่างสูงโปร่งนั้นยิ้มหวานพลางชวนเขาเข้าบ้าน  เมื่อเขาก้าวเข้าไปในบ้านเขาก็พบว่าบ้านนี้ตกแต่งอย่างน่าอยู่มากทีเดียว มองลึกเข้าไปเป็นครัวขนาดย่อมๆที่มีเคาเตอร์เหมาะสำหรับทำอาหาร  ห้องนั่งเล่นเล็กๆมีโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ตรงหน้ามีโซฟาท่าทางน่าสบายอยู่หน้าทีวี  ที่ตู้ใต้ทีวีมีเครื่องเพลย์สเตชั่นอยู่รวมทั้งสารพัดแผ่นเกมส์  แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือกำแพงด้านหลังมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่มากสองชั้นหนังสือทุกรูปแบบจัดเรียงตามตัวอักษรทำให้สีของหนังสือปะปนกันเป็นที่น่าดู  ที่ชั้นล่างๆของตู้มีกล่องอะไรบางอย่างเรียงเป็นตับ  ปองเดินเข้าไปเพ่งมองตัวหนังสือที่ข้างกล่องอย่างสนใจ มันคือหนังจีนกำลังภายในทั้งชุดมากมายหลายเรื่องเสียจนน่าปวดหัว  พิรุณาทันสังเกตเห็นท่าทางของปองก็หัวเราะแล้วส่งภาษามือให้

‘พอดีว่าชอบน่ะ  โม้ดี’ ปองหัวเราะ
‘ต้องสั่งทางเน็ตสินะครับ” พิรุณาพยักหน้าให้
‘เรียนเป็นอย่างไรบ้าง  สอนดีหรือเปล่า’ พิรุณาถามปอง  วันนี้เขาไปเรียนภาษามือ เรียกว่าเป็นการติวท่าจะดีกว่า  เพราะเขาเองก็พอมีพื้นฐานมาบ้าง

‘ดีครับ  สอนสนุกทีเดียว เรียนแล้วรู้สึกจำแม่นขึ้น’
‘เหลืออีกสามวันก็จบแล้วนี่  แล้วคุณปองจะมาพักกับผมไหม  ผมมีห้องพักว่างอีกสักสองห้องได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน’
 
‘อย่าดีกว่าครับผมเกรงใจ อีกอย่างผมมีน้องสาวอีกคน จะปล่อยเธออยู่คนเดียวคงไม่ดี’ พิรุณาพยักหน้าเข้าใจ
‘ไม่เป็นไร  แต่ถ้าจะมาพักเมื่อไหร่ก็มาได้ทุกเมื่อนะ  ว่าแต่ชอบชอปปิ้งหรือเปล่า?’ ปองงง
‘หิวแล้วล่ะ  แต่ว่ายังไม่มีของสดในตู้เลย ก็เลยคิดว่าจะไปซื้อแต่ไปคนเดียวคงถือไม่ไหว เลยจะหาคนไปเป็นเพื่อน’ พิรุณายิ้มหวานให้ปอง จนใจอ่อนยอมไปด้วย

**************************************

      ซูปเปอร์มาร์เกตแหล่งที่ใกล้ที่สุดบัดนี้คนบางตาลงไปมากแล้ว  พิรุณาและปองเดินเลือกของกันอย่างเพลิดเพลิน  ปองทึ่งกับสิ่งที่พิรุณาหยิบใส่ตะกร้าแบบไม่ต้องคิดซ้ำ  เห็นตัวนิดเดียวแต่เท่าที่เห็นพิรุณาซื้อของกินเยอะมาก  ทั้งของสดของแห้งโดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่า ผมมันพวกอดอยาก  มีกินต้องรีบกิน  ในขณะเดียวกันพิรุณาก็ทึ่งในความสามารถในการเลือกของๆปองที่เลือกของดีๆทั้งนั้น

‘เหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่างนะ’ พิรุณาส่งภาษามือให้ปอง
‘ไม่ขาดแล้วมั้งครับ  เยอะขนาดนี้’ ปองพูดพลางเปลี่ยนขอจากตะกร้าใส่รถเข็นแทน
‘มันต้องขาดสิรู้สึกเหมือนยังไม่ครบน่ะ  รอเดี๋ยว’ พิรุณาหยิบสมุดจดเล่มเล็กที่มักพกติดตัวเสมอขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวสีน้ำตาลที่ใส่ประจำ แล้วพลิกไปสองสามหน้า  ก่อนจะเช็คของตามรายการที่เขาจดไว้

‘ขาดน้ำตาลน่ะ’
‘ผมเห็นอยู่มุมโน้น เดินเลยมาสองลอคน่ะครับ’
‘งั้นผมไปเอาเอง’ ปองมองตามร่างโปร่งบางนั้น ก่อนจะก้มลงหยิบตะกร้าอีกใบที่พิรุณาใส่ของไว้เต็มมาถ่ายของใส่รถเข็น


      พิรุณากำลังพยายามเลือกน้ำตาลแต่หลังจากพยายามอยู่นานก็ยังไม่สำเร็จ  เขาไม่แน่ใจนักว่าควรจะเอาอันไหนดี  น้ำตาลทรายธรรมดา  หรือว่าน้ำตาลทรายแดง   แต่จะว่าไปแล้วเขาก็ชอบน้ำตาลกรวดนะ   ระหว่างตัดสินใจนั้นพิรุณาไม่รู้เลยว่ากำลังทำตัวเกะกะคนอื่น   ร่างสูงใหญ่ที่สูงกว่าเขาตั้งเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ พึมพำขอโทษจากด้านหลังก่อนจะเอื้อมมือใหญ่ไปหยิบถุงน้ำตาลที่อยู่สูงสุดของชั้น พิรุณาตกใจสะดุ้งแทบสุดตัวก่อนจะหันไปนึกสบถอยู่ในใจยาวเหยียด แต่ทันทีที่เห็นหน้าคนที่เขานึกแช่งชักหักกระดูกในใจ เขาก็ต้องกลืนถ้อยคำเหล่านั้นดังเอื๊อกลงคอ  ใบหน้าคมสันของธีรธร ที่คุ้นตาที่สุดปรากฏแก่สายตา  คิ้วเข้มๆคู่นั้นขมวดเข้าหากันแทบจะผูกเป็นโบว์  ริมฝีปากนั้นขยับเหมือนจะพูดบางอย่าง เส้นผมที่เคยเสยขึ้นเวลาไปทำงานนั้น บัดนี้กลับลงมาปรกที่ใบหน้าโดยเจ้าตัวพยายามปัดไปข้างๆทำให้ดูดีไปอีกแบบ  พิรุณากระพริบตาถี่ๆพยายามไล่เรียงความคิดใหม่ ก่อนจะได้สติรีบทิ้งทุกอย่างแล้วพยายามจะเดินหนีไป แต่มือใหญ่ๆนั่นก็คว้าตัวไว้

“เดี๋ยว  จะรีบไปไหนล่ะ”นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงของคนตัวเล็กกว่าวาวโรจน์พลางพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม  ธีรธรยิ่งจับข้อมือบางนั้นแรงขึ้น แล้วสาวเท้าต้อนไปยังมุมติดกับลอควางน้ำตาล ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างกันคนตัวเล็กไว้ไม่ให้หนี  พิรุณาอึกอักพยายามหาทางหนี

“อย่าหนีเลยน่า  ไม่มีทางซะหรอก” ธีรธรเห็นท่าทางตื่นๆของพิรุณาแล้วนึกอยากแกล้ง
“บอสครับ” ปองผู้ช่วยชีวิตเรียกบอสของเขา 

    หลังจากสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแสดงตัว เพราะเขารับรองได้ว่าถ้ามาช้ากว่านี้ล่ะก็พิรุณาสู้ยิบตาแน่ และแน่นอนเขาจำรอยช้ำขนาดใหญ่ที่หน้าบอสหนุ่มเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนได้  แต่ดูเหมือนว่าการเรียกบอสของเขาเป็นการให้สัญญาณหนีแก่พิรุณา  หน้าผากเนียนใสของคนตัวเล็กกว่ากระแทกเข้าใส่หน้าธีรธรแบบเต็มรัก ทั้งสองต่างยกมือขึ้นกุมส่วนที่เจ็บแทบจะพร้อมๆกัน  ปองไม่อาจทำอะไรได้อีกนอกจาก.....ขำ

“หัวเราะอะไรคุณปอง!” บอสหนุ่มแทบจะตวาดแห้วใส่อดีตโฮสต์หนุ่มที่ขณะนี้ หัวเราะจนแทบลงไปกองกับพื้น
“ชามู   ชามูชัดๆ!” 
“ฮ๊ะ  ว่าอะไรนะ?”ธีรธรได้ยินสิ่งที่ปองพึมพำ พยายามนึกทบทวนว่าเจ้าของชื่อชามูนี้คืออะไร (*ปลาวาฬเพชรฆาต ดาวเด่นของซีเวิร์ล ที่ออแลนโด้  ฟลอริด้า  สหรัฐอเมริกา)

“ปลาวาฬงั้นหรอ” ธีรธรกลั้นหัวเราะไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง  อย่างที่น้อยคนนักจะเคยได้ยิน ในขณะที่พิรุณายังคงเอามือถูตรงที่โหม่งเข้าเต็มๆ มองคนทั้งสองที่หัวเราะงอหายด้วยตาเขียวปั๊ด

‘หัวเราะกันเข้าไป  ไว้เป็นตัวเองบ้างเหอะแล้วจะรู้สึก’ พิรุณาส่งภาษามืออย่างฉุนจัดก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไป  ปองบุ้ยใบ้ให้ธีรธร

“รีบตามไปสิครับ  เดี๋ยวก็งอนป่องกลับซีเวิลด์หรอก”ธีรธรได้ฟังก็ยิ้มก่อนจะรีบตาม ‘ชามูพิรุณา’ ออกไป

**************************************

      ‘ชามูพิรุณา’ ทำหน้ากระเง้ากระงอดนั่งอยู่เบาะหน้าคู่กับธีรธรจนถึงบ้าน เขาอาสาไปส่งปองและพิรุณา  ด้วยข้ออ้างว่า ของเยอะ...ถือกันไม่ไหวหรอก  ปองเองก็ทำท่าเป็นคนอ่อนแรงถือนั่นก็ไม่ไหวถือนี่ก็ไม่ไหวขึ้นมาทันที  พอพิรุณาใจอ่อนมาขึ้นรถคันหรู พอจะไปนั่งเบาะหลังปองก็ขัดขึ้น  เดี๋ยวผมนั่งดูของให้ครับ  ไปนั่งเบาะหน้าสบายๆดีกว่า พอพิรุณาเถียงว่าของเอาไว้ท้ายรถก็ได้  ปองก็รีบโต้ทันทีว่า เดี๋ยวไข่มันจะแตกเลอะรถบอสนะครับ  ผมเกรงใจไม่อยากจ่ายค่าทำความสะอาด  รถยุโรปคันหรูจอดสนิทริมทางเท้า ธีรธรมองบ้านของพิรุณาอย่างทึ่งๆ ไม่ใช่เพราะมันสวย แต่เพราะมันติดกับบ้านเขานี่เอง!

“ที่แท้ก็อยู่ข้างบ้านนี่เอง”ธีรธรพึมพำ แต่ก็ดังพอให้ปองได้ยิน
“บอสว่าอะไรนะครับ”  ธีรธรไม่ตอบ  สายตาเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนกดออดอยู่บ้านเขา  เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเปิดรับจึงเดินลงบันไดหินขั้นเตี้ยๆลงมา พลางกดโทรศัพท์มือถือ  มือถือของบอสหนุ่มสั่นจนพิรุณารู้สึกได้  มือบางๆตบบนบ่าคนตัวใหญ่กว่าค่อนข้างแรงแล้วชี้ไปที่โทรศัพท์ ธีรธรหยิบโทรศัพท์กดรับ

“บอสคะ  ลีเอาเอกสารมาให้ค่ะ  เเต่บอสไม่อยู่บ้านจะให้ลีเอากลับไปก่อนๆไหมคะ?”
“ผมอยู่หน้าบ้านคุณรอหยุดเดินก่อน   หยุดๆๆ”ผู้หญิงคนที่เดินคุยโทรศัพท์หยุดเดินทันทีด้วยท่าทางงง ธีรธรก้าวลงจากรถ โบกมือน้อยๆให้เลขาสาว  ก่อนจะเปิดประตูหลังช่วยถือของที่ค่อนข้างหนัก  ขณะเดียวกันทั้งปองและพิรุณาก็ต่างลงจากรถแล้วช่วยกันถือข้าวของ เตรียมขนเข้าบ้าน

“อ้าวคุณลี”ปองร้องทักทันทีที่เห็นผู้หญิงคนเมื่อครู่ชัดๆ
“คุณปอง  มาทำอะไรแถวนี้คะ  หรือว่ามาหาบอส อ้าว!นั่นคุณพิรุณา”พิรุณารับการทักทายจากเลขาสาวอย่างงงๆ
“เปล่าครับ  บอสมาส่งผมกับคุณพิรุณาต่างหาก”ปองและลีแอนต่างมองกันงงๆ 
“ผมว่าขนของเข้าบ้านก่อนเถอะ  หนัก” ธีรธรบอกพลางส่งสายตาไปให้พิรุณา  พิรุณาทำได้แต่เพียงพยักหน้าน้อยๆเหมือนจำใจ ก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน


“บ้านสวยจังนะคะ”ทันทีที่ลีแอนเข้ามาในบ้านของพิรุณาเธอก็ถึงกับต้องอุทานออกมา ปองแปลให้พลางยิ้มน้อยๆ

“คุณพิรุณาบอกว่า ขอบคุณครับ  แต่ว่าไม่ได้เป็นคนแต่งบ้านเอง ให้เพื่อนมาจัดการให้” ธีรธรคิดตาม เพื่อน....ใคร?     พิรุณาส่งภาษามือให้ปองก่อนปองจะพยักหน้าแล้วแปลให้

“คุณพิรุณาอยากเชิญคุณลีอยู่ทานข้าวด้วยกันจะได้ไหมครับ?” ลีแอนยิ้มกว้าง ตกปากรับคำแต่ก็นึกขึ้นได้
“แล้วบอสล่ะคะ”ปองรีบทวงถามกับพิรุณา คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ขำ
“คุณพิรุณาบอกว่า ก็ให้เขากลับไปกินข้าวบ้านเขาสิ”ธีรธรได้ฟังก็ถึงกับฉุน
“คุณทำร้ายร่างกายผมนะ  ไม่คิดจะจ่ายค่าเสียหายหรือไง” พิรุณาจำใจต้องยอม เพราะรอยแดงๆบนหน้าผากของคนตัวโตกว่าแม้จะจางลงแล้วแต่ก็ยังแดงอยู่ จึงต้องยอมตกลง แล้วส่งภาษามือให้ปอง ก่อนจะหายตัวไปอยู่ในครัวเริ่มลงมือทำอาหารเย็นสำหรับสี่ที่

“จะให้ฉันช่วยไหมคะ?” ลีแอนเสนอตัว เธอไม่ค่อยเชื่อใจนักว่าผู้ชายจะทำอาหารให้ทานได้ ดูอย่างสามีเธอที่บ้านสิ

“ไม่ต้องหรอกครับแค่ผมกับคุณพิรุณาก็พอ  คุณลีกับบอสคุยงานกันดีกว่านะครับ” ปองกล่าวก่อนจะหายไปอยู่ในครัวเสียอีกคน  ธีรธรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ชมห้องนั่งเล่นนั้นอย่างสบายอารมณ์ 

“บอสคะ  ลีเอาเอกสารที่บอสโทรไปทวงว่าให้เอามาให้ ‘ด่วน’ มาให้แล้วค่ะ” เลขาสาวบอกด้วยเสียงที่ฟังดูโหดกว่าปรกติ  รู้สึกว่าตั้งแต่บอสรู้จักกับคุณพิรุณาก็เปลี่ยนไป  จากที่เคยมีแต่งาน งาน และงาน  วินัยการทำงานเป็นเยี่ยม  เขร่งขรึม  ยิ้มยาก  ตอนนี้กลายเป็นทำตัวเป็นเด็กๆไปเสียแล้ว


      ธีรธรยอมนั่งลงคุยงานกับเลขาสาวแต่โดยดี หลังจากถูกขู่ไปก็หลายหน  เขากำลังเซนต์เอกสารบางอย่างอยู่ที่ชุดรับแขกที่แสนจะสบายกับคุณลี  เลขาสาวอธิบายข้อข้องใจให้บอสของเธอพลางลูบหัวลูบหางสุนัขพันธุ์โกเด้นรีทีฟเวอร์ที่เอาคางวางบนเข่าเธออย่างเอ็นดู  เสียงสัญญาณบางอย่างร้องอยู่ไกลๆทำให้มันผงกหัวขึ้นก่อนจะไปหายเข้าไปในครัว  และกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพิรุณาในชุดผ้ากันเปื้อนที่ถูกมันคาบที่ข้อมือ ธีรธรมองสีหน้ายุ่งๆของพิรุณาก่อนจะมองเจ้าหมาที่ดูจะมีความพยายามดีเหลือเกินในการพาเจ้านายของมันไปไหนสักแห่งในบ้าน  แล้วพิรุณาเดินหายครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมกับแฟกซ์ที่ยาวเป็นหางว่าว  ธีรธรมองภาพที่เกิดขึ้นแล้วเอ่ยกับเลขาสาว

“เขาว่าหมากับเจ้าของมีอะไรคล้ายๆกัน” ลีแอนมองตามหลังพิรุณาเข้าไปในครัวอีกครั้ง
“เหมือนๆกันกับโซลเมตละมังคะที่คนเขาว่ามักหน้าตาคล้ายๆกัน”
.
.
.
.
“อาหารเสร็จแล้วครับ”ปองเยี่ยมหน้าออกมาจากในครัว รอให้คนทั้งคู่เดินตามมา

      อาหารท่าทางน่าทานถูกจัดวางบนโต๊ะทานอาหารที่ค่อนข้างเล็กที่ละอย่างๆ  กลิ่นหอมชวนน้ำลายหกโชยมาแตะจมูกเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ร้องครวญคราง ไม่ใช่แค่ธีรธรและลีแอนเท่านั้น ยังมีอีกชีวิตที่ดูจะทนไม่ไหวกันกลิ่นอันรัญจวนใจนี้  เจ้าหมากระดิกหางฟาดทุกอย่างที่ขวางหน้า พลางส่งสายตาเชื่อมหวานให้พิรุณาและปองทุกครั้งที่เดินผ่านมัน ลิ้นสีชมพูเลียปากอยู่หลายครั้งจนลีแอนนึกสงสาร และธีรธรอดขันไม่ได้กับท่าทางนั้น

“น้ำลายหกแล้วเจ้าหมา”ธีรธรพึมพำ ก่อนจะแอบหยิบหมูชิ้นเล็กๆจากจานอาหารโยนให้เจ้าหมาที่รับได้อย่างแม่นยำราวกับเป็นแคชเชอร์มือดี  เขาแอบหัวเราะชอบใจ

“อีกชิ้นๆ”มือใหญ่แอบหยิบหมูชิ้นเล็กตั้งท่าเตรียมโยนอีก เจ้าหมาหูตั้งเลียปากรอรับเต็มที่  แต่ยังไม่ทันได้โยนเสียงเพียะ!! ก็ดังขึ้น  ทุกคนหยุดกิจกรรมต่างๆที่ทำหันมามองพิรุณาและธีรธรเป็นตาเดียว  พิรุณาส่งภาษามือใส่ธีรธรเป็นชุด

“คุณพิรุณาบอกว่า อย่าแอบให้ของกินเดี๋ยวมันจะเสียนิสัยนะครับ  แล้วก็จะอ้วนด้วย ” ปองอธิบายยิ้มๆ  พิรุณานั่งลงประจำที่พลางส่งสายตาหงุดหงิดใส่ธีรธร

“ทานกันเถอะครับ” ลีแอนและปองเริ่มสวดภาวนาก่อนจะรับประทานอาหาร  ธีรธรและพิรุณาได้แต่นั่งมองหน้ากันรอคนทั้งสอง

“คุณไม่ได้นับถือคริสต์หรอกหรอ?”ธีรธรถามโดยมีปองเป็นล่ามแปลให้หลังจากที่ปองเสร็จกิจกรรมดังกล่าวแล้ว
“จริงๆแล้วควรจะเรียกได้ว่าไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งน่าจะถูกกว่า สรุปง่ายๆก็คือนับถือครับ  แต่นับถือหลายศาสนาพร้อมๆกัน” 

“เดี๋ยวนี้คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็ไม่นับถือศาสนากันแล้วนะคะ  อาจเป็นเพราะสภาพสังคมในปัจจุบันก็ได้ก็เลยไม่ค่อยศรัทธาในศาสนาอะไรอีก”ลีแอนเสนอความคิดเห็นพลางตักกับข้าวใส่จาน

“ของผมกับคุณพิรุณาเหมือนกันครับ  เป็นเพราะสภาพการเลี้ยงดูตอนเด็กๆก็เลยเป็นแบบนี้”
.
.
.
.
.

“อาหารอร่อยจังค่ะ  ไม่น่าเชื่อนะคะว่าผู้ชายจะทำอาหารได้อร่อยถึงขนาดนี้”
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ”ปองถามยิ้มๆอย่างที่มักทำเสมอ เลขาสาวยิ้มตอบอย่างมีความสุขกับอาหารตรงหน้า

“ก็ดูอย่างสามีลีที่บ้านสิคะ  ทำอะไรถ้าทานได้ละก็เป็นของแปลกเลยล่ะค่ะ”เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นประสานกัน  และยังคงดังต่อเนื่องต่อไปอีกนานกว่าชั่วโมงก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันกลับโดยธีรธรอาสาขับรถไปส่งเลขาสาวและปอง

**************************************


      ปองเดินขึ้นบันไดแฟลตของตัวเองอย่างเลื่อนลอย  ความสุขสนุกสนานเมื่อหัวค่ำพลันมลายหายไปสิ้นหลังจากรับโทรศัพท์สายหนึ่งจากโรงพยาบาล  พลางหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าตัวเอง  เสียงกรุ๊งกริ๊งของลูกกุญแจกระทบกันดังไปตลอดทางเดินที่สลัวๆด้วยแสงไฟไม่กี่ดวงจนถึงหน้าห้อง  บัดนี้แฟลตทั้งชั้นเงียบสงบราวกับไม่มีคนอยู่  ปองไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป  ทันทีที่เขาจะปิดประตูมือใหญ่ของใครบางคนก็จับประตูไว้พลางออกแรงดันไม่ให้ปิด  ปองตกใจพยายามกระแทกประตูให้ปิดด้วยแรงทั้งหมดที่มี  แต่ก็ดูเหมือนว่าแรงของเขาจะไม่อาจสู้แรงที่ดันประตูอยู่อีกฟากได้

“ปอง! เราต้องคุยกันนะ”เสียงห้าวๆของคนที่อยู่อีกฟากประตูร้องบอก ปองส่ายศีรษะแรงๆน้ำตารื้นขึ้นในทันที
“ยังจะต้องคุยอะไรอีก! คุณออกไปจากชีวิตผมแล้วนี่!”
“ปองฟังก่อน”เสียงนั้นบอกอย่างนุ่มนวล หวังเพียงว่าปองจะใจอ่อนเลิกดึงดันเสียที
“คุณคิดว่าผมฟังมาไม่มากพอหรือไง  พอเสียที! ผมไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว  ผมเสียอะไรๆไปมากมายแล้ว และกำลังจะเสียน้องสาวผมไปอีกคน ก็เพราะการฟังคำบ้าๆของคุณไงล่ะ” ปองปล่อยประตูอย่างหมดเรี่ยวแรง ในขณะเดียวกันคนที่อยู่ข้างนอกนั่นก็หยุดออกแรงใดๆเช่นกัน

“ปองว่าอะไรนะ?”เสียงห้าวที่ฟังแหบระโหยถามแต่ ไม่มีเสียงตอบจากคนที่ถูกถามจน  คนข้างนอกตัดสินใจผลักประตูให้เปิดก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง  เขาเห็นคนที่เขาอยากพบหน้าที่สุดยืนอยู่ตรงหน้า ห่อไหล่ลงราวหนาวจัด  น้ำตาไหลอาบแก้มเนียนทั้งสอง

“ปองว่าอะไรนะ?”ชายร่างสูงผมสีน้ำตาลทองในสูทเรียบสนิทสีกรมท่าก้าวเข้าใกล้ปอง  นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมองร่างบางๆที่กำลังสั่นด้วยอาการสะอื้น

“หมอกำลังจะลงความเห็นว่าน้องของผมสมองตาย”เสียงตอบของปองที่เบาราวกับกระซิบหากแทงเข้าไปในหัวใจคนฟัง 

“สมองตาย...เพราะผมสินะ”ชายร่างสูงได้แต่พึมพำกับตนเอง  ปองเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า ดวงตาฉายแววแห่งความรวดร้าว

“ใช่  คุณกลับไปเสียเถอะ”ปองพูดพลางปาดน้ำตาทิ้งไปแล้วเปิดประตูให้ชายคนนั้นออกไป  ก่อนจะปิดประตูลงอีกครั้งเขาพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่ากระซิบ

“อย่าให้ผมรู้อีกว่าคุณออกค่ารักษาพยาบาลน้องผม เงินส่วนที่จ่ายไปแล้วผมจะโอนคืนให้”ประตูปิดลงแล้วโดยที่ชายร่างสูงคนนั้นยังคงยืนจ้องมองประตูบานนั้นอย่างเหม่อลอย รู้สึกเสียใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ รอยยิ้มของปองที่มอบให้แก่เขาเริ่มจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ....คงจะตั้งแต่รู้จักเขาเมื่อสี่ปีก่อนสินะ

**************************************

      พิรุณาเปิดประตูรับปองเช่นทุกครั้งที่ปองมาที่บ้านมันเหมือนกับมีประสาทสัมผัสบางอย่างแม้หูของพิรุณาจะไม่ได้ยินเสียงออด  แต่เขามักรู้สึกได้ว่ามีคนมาซึ่งนั่นไม่รวมการมีผู้ช่วยเป็นเจ้าหมาโกลเด้นฯที่ถูกฝึกมาให้ช่วยเหลือผู้พิการทางหูโดยเฉพาะ  พิรุณายิ้มกว้างอย่างที่เคยทุกครั้ง แต่วันนี้ปองแปลกไปไม่ได้แลกยิ้มกันเหมือนเก่า พิรุณาเห็นดวงตาคู่สวยที่มีร่องรอยแห่งความเศร้าหมองอย่างปิดไม่มิด เขาอ้าแขนกว้างรับปองไว้ในอ้อมกอดอย่างปลอบโยนพลางโยกตัวน้อยๆเหมือนปลอบเด็กตัวเล็กๆ  กลิ่นจางๆของน้ำยาฆ่าเชื้อลอยมาแตะจมูกเช่นทุกครั้งที่กอดปอง พิรุณารู้ว่าปองไปโรงพยาบาลมาบ่อยๆเพราะกลิ่นมักติดตามเสื้อผ้าเสมอ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าไปทำไม

‘เข้ามาก่อนสิ’ พิรุณาส่งภาษามือให้ปองก่อนจะปาดน้ำตาที่ร่วงรินให้อย่างเบามือ   แล้วพาเข้าบ้าน.
‘นั่งก่อนเถอะ  อยากดื่มอะไรอุ่นๆหน่อยไหม?’ ปองส่ายหน้าช้าๆ พิรุณาถอนหายใจแล้วนั่งลงข้างๆปอง  จ้องมองดวงหน้าเนียนละเอียดนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

‘รู้ไหมว่าทำไมพระเอกหนังกำลังภายในยิ่งเล่นยิ่งตัวดำ’ ปองมองพิรุณาอย่างงงๆ ก่อนจะส่ายศีรษะช้าๆ
‘ เพราะต้องคอยคิดหาทางหนีทีไล่ไม่ให้รถไฟชนกันไง ผู้ชายคนเดียวคนจ่อคิวจะเป็นนางเอกเพียบ พอยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดหน้าก็เลยหมอง  พอหมองแล้วก็เลยดำ’ ปองแอบยิ้มทั้งที่เพิ่งจะเอามือปาดน้ำตาไปหยกๆ

‘ไม่เห็นจะตลกเลยนี่ครับ’
‘ถึงจะไม่ตลกแต่คุณปองก็แอบยิ้มใช้ไหมล่ะ  มานี่สิ’พิรุณาจูงมือปองเดินเข้าใกล้ชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่เข้าทึ่งทุกครั้งที่ได้เห็น หนังสือบางเล่มดูจะขยับไปจากที่เดิมบ้างเล็กน้อย  พิรุณาเลื่อนตู้ฝั่งขวาออก เผยให้เห็นทางเดินของอีกส่วนหนึ่งของบ้าน ที่แท้ก็เป็นประตูด้วยนี่เองมิน่าถึงว่าบ้านแคบๆ พิรุณาพาปองเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่ทั้งห้องเป็นสีขาวโพลนไปหมดโดยปราศจากเฟอร์นิเจอร์ใดๆอีก  กลางห้องคือแกรนด์เปียโนสีดำมันวับ พิรุณาเดินตรงไปที่เก้าอี้ไม้บุหนังสีดำเข้ากับเปียโน เขาดึงเบาะนั่งขึ้นหยิบบางอย่างออกมาพร้อมกับโน้ตเพลงปึกหนึ่งที่แต่ละเพลงโน้ตแต่ละแผ่นถูกต่อเรียงหน้าแล้วแปะด้วยเทปใสออกมา

‘นั่งสิ’พิรุณาตบลงที่นั่งข้างตัวที่พิรุณานั่งเพียงครึ่งเดียวของเก้าอี้ไม่มีพนักนั้น
‘โชว์พิเศษสำหรับคุณปองนะ ผมจะซ้อมเพลงที่ต้องขึ้นคอนเสิร์ตเร็วๆนี้ให้ฟัง ถ้าจะให้ดีก็เปลี่ยนหน้าให้ด้วย’พิรุณาวางโน้ตลงบนชั้นวาง

‘ผมอ่านโน้ตไม่เป็นหรอกครับ’
‘ไม่เป็นไร หลับตาลงแล้วเป็นกำลังใจให้ก็พอแล้ว’
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 19-11-2007 12:35:11
 :undecided: :undecided: :undecided: :undecided: :undecided:


 :a3: :a3: :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: satan666 ที่ 19-11-2007 19:51:09
มาอ่านแล้วค่า คนโพสอย่าเพิ่งน้อยใจน๊า :m1:

อยากรู้แล้วสิ ว่าอดีตที่แสนเจ็บปวดของปองเป็นยังไง

แต่พิรุณาน่ารักจริงๆอ่ะ สมเป็นนายเอกจริงๆ :m3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-11-2007 00:13:02
น่าสงสารปองจังเลย
แต่จริงๆอาจไม่ใช่ความผิดของเคนหรือปล่าว
 :m15: :m15: :m15:

แล้วสวรรค์ก็ดลบันดาลมาให้บ้านติดกัน
 :m3: :m3: :m3:

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 20-11-2007 00:35:08
อ่านอยู่ในเด็กดีเเล้ว แต่ไม่มาต่ออ่า

รออ่านที่บอร์ดนี้ดีกว่า  :m18:

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 20-11-2007 11:45:32
ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 20-11-2007 20:14:54
อยู่บ้านติดกันซะด้วย  พรหมลิขิตจริงๆ   :m1:
รักแบบชามูๆ  น่ารักจริงๆ 555

ปองมีอดีตอะไรเนี่ย  อืมมม   

รออ่านต่ออยู่น้า  เป็นกำลังใจให้คนโพสแล้วก็คนแต่งจ้า  สู้ๆ รออยู่ๆ  :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 20-11-2007 23:03:41
ขอบคุณทุกคนนะครับที่มาให้กำลังใจและ Reply กัน รักทุกคนจังครับ  :m2:

 :m1: :m1: :m1: :m3: :m3:
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
      พิรุณาใส่อุปกรณ์บางอย่างที่หูทั้งสองข้างก่อนจะหยิบเครื่องบางอย่างลักษณะแปลกๆขึ้นมาไขลาน  ที่หน้าปัดของมันมีเข็มอยู่  ข้างล่างของเข็มเหมือนมีตุ้มน้ำหนักถ่วงอยู่ และถัดขึ้นมาจากจุดที่ยึดเข็มไว้มีอีกอันหนึ่งที่สามารถเลื่อนไปตามเลขต่างๆที่บอกไว้ที่หน้าปัด เมื่อพิรุณาวางมันลงที่พื้นที่วางด้านขวามือมันก็เริ่มกระดิกพร้อมกับส่งเสียงติ๊กๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอ   นิ้วเรียวที่ปลายนิ้วค่อนข้างป้านโดยเล็บถูกตัดสั้นดูสะอาดสะอ้านกดลงบนคีย์อย่างนุ่มนวลทำให้เสียงที่ดังขึ้นจากการที่ค้อนไม้เล็กๆดีดตัวนุ่มนวลไปด้วย  บทเพลงบรรเลงแว่วหวานอันเป็นแนวเพลงที่พิรุณาชอบบรรเลงดังขึ้นอย่างแผ่วเบาราวเสียงกระซิบก่อนจะดังขึ้นและเบาลงสลับกัน  ปองหลับตาเริ่มพาอารมณ์ตนเองให้คล้อยตามเสียงเพลงไปจวบจนเพลงนั้นบรรเลงจบ เสียงติ๊กๆของเครื่องรูปทรงแปลกๆหยุดไปแล้วแสดงถึงว่าลานที่ไขไว้หมดลงไปตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจทราบ   เสียงเพลงอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นทำนองอ้อยอิ่ง ฟังแล้วเศร้าสร้อย และยังคงรักษาท่วงทำนองนั้นไว้จนจะขึ้นท่อนถัดไป  เสียงเบสต่ำๆทำนองสั้นๆครางอย่างแผ่วเบา ก่อนเมโลดีจากมือขวาที่กระชั้นไม่แพ้กันดังขึ้น และยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆจนถึงที่สุดจึงค่อยผ่อนคลายลง ก่อนจะเปลี่ยนกลับมายังเมโลดีแบบเดิม หากแต่ครั้งนี้ฟังดูพริ้วไหวกว่าเดิมมาก  และแฝงความหวานซึ้งเอาไว้แต่ก็ไม่ลืมท่วงทำนองกระชั้นอย่างท่อนกลางของเพลงก่อนจะจบลงด้วยเสียงโน้ตสูงๆที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆจนหรี่ดับลง

      ตลอดเวลาที่ปองฟังเพลงเหล่านั้นเขานึกหวนถึงอดีตเรื่องที่แล้วๆมาตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนจนถึงปัจจุบันน่าแปลกที่บทเพลงเหล่านั้นช่างตรงกับความทรงจำของเขามาก ความทุกข์ในใจก็ดูเหมือนจะค่อยๆละลายลงช้าๆ ความอึดอัดคับแน่นในอกก็ค่อยๆจางหายไปเช่นกัน และรู้สึก ‘พร้อม’ ต่อบางสิ่งมากขึ้น   ปองลืมตาขึ้นช้าๆหลังจากเพลงจบเขาหันไปมองผู้บรรเลงเพลง ดวงหน้าขาวนวลนั้นมีเม็ดเหงื่อผุดพรายโดยที่ปลายจมูกมีเหงื่อที่พร้อมจะหยดลงได้ทุกเมื่อ  พิรุณาไม่ได้รู้สึกเลยว่าขณะนี้เขามีสภาพเช่นนี้มือขาวๆนั้นยังคงไล้ไปตามคีย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดวงตาคู่สวยนั้นแสดงอาการว่าขณะนี้ได้เข้าถึงสมาธิที่แน่วนิ่งที่สุดแล้ว ปองมองคนที่นั่งข้างๆอย่างชื่นชม และรอจนบรรเลงจบจึงจับมือขาวนั้นไว้

‘พอก่อนดีไหมครับ?’ ปองส่งภาษามือให้ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนขาวสะอาดตาขึ้นซับหน้าให้อย่างเบามือ
‘สบายใจขึ้นหรือยัง?’ ปองพยักหน้าให้น้อยๆพลางยิ้มนิดๆ   
‘ขอบคุณมากครับ  ตอนนี้ผมสบายใจขึ้นมากแล้ว ผมอยากเล่าให้คุณพิรุณาฟัง’ พิรุณาพยักหน้ารับรู้  ดวงตาคู่สวยฉายแววแห่งความมั่นคงแห่งจิตใจ  ปองสบตาคู่นั้นแล้วรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจอยู่ลึกๆว่าพิรุณาจะเป็นหลักให้เขาพักพิงได้ในยามนี้...ยามที่หัวใจนั้นอ่อนแอยิ่งนัก 

**************************************

      เมื่อสี่ปีก่อนปองเป็นโฮสต์ที่เริ่มมีชื่อเสียงแล้ว  วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกโปรยปรายทั้งๆที่เมื่อเช้าอากาศยังแจ่มใสราวกับฤดูร้อน  ปองวิ่งมาหลบฝนอยู่ใต้ชายคาของร้านแห่งหนึ่งในย่านเมืองเก่า ที่นั่นมีคนอีกคนหนึ่งที่หลบฝนอยู่ก่อนแล้ว  ชายร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าจางๆเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนๆมีละอองน้ำจับพราว  ชายคนนั้นมองมาที่ปองแล้วส่งยิ้มน้อยๆเพียงที่มุมปากเท่านั้น  ปองจึงยิ้มตอบเช่นทุกครั้งที่มีคนส่งยิ้มให้  ชายคนนั้นเปิดกระเป๋าเอกสารของตนออกดูว่าเอกสารภายในเปียกหรือไม่ เมื่อเห็นว่าเอกสารทุกชิ้นปลอดภัยดีจึงเก็บและรูดซิบไปไว้ตามเดิม ปองล้วงมือถือขึ้นมาโทรหาน้องสาวที่ป่านนี้คงรออยู่ที่บ้าน

“พี่กลับช้านะ  ติดฝนน่ะ  เราจะกินข้าวเที่ยงไปก่อนเลยก็ได้ไม่ต้องหิ้วท้องรอหรอก”ปองบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนนัก จนชายอีกคนหันมามองอย่างสนใจ

“ได้  จะเอาขนมไหมล่ะ เดี๋ยวผ่านจะได้ซื้อฝาก” ปองส่งเสียงอืออออีกครู่หนึ่งก่อนจะวางสาย  แล้วรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมอง จึงหันไปช้าๆแล้วฉาบยิ้มบางๆที่มุมปาก  ชายคนนั้นรู้สึกตัวว่าตนเสียมารยาทจึงรีบเอ่ยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเป็นการแก้เก้อ

“เมื่อเช้าอากาศดีมากเลยนะครับ  ไม่นึกว่าฝนจะตก” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวเรื่องดินฟ้าอากาศพลางเกาแก้มอย่างเขินๆทำให้ปองรู้สึกดี

“นั่นสิครับ  เมื่อเช้าฟ้ายังใสอยู่แท้ๆ”
“ตกอย่างนี้ คงอีกนานกว่าจะหยุดละมั้งครับ  ผมพอรู้จักร้านที่พอนั่งได้แถวนี้ ไปหลบฝนที่นั่นกันดีกว่าครับ  ผมกลัวงานจะเปียก”ปองพยักหน้า แล้วส่งยิ้มให้เช่นเคย แล้วออกเดินลัดเลาะชายคาตามชายร่างสูงๆคนนั้นไป


      ปองได้ทราบว่าเพื่อนใหม่คนนี้ชื่อวิลเลียม  ทีวซ์  เขาขอให้ปองเรียกเขาแค่สั้นๆว่า ‘วิล’ วิลเป็นคนอังกฤษ  นิสัยคุยสนุกน่าคบ เพราะคนทั้งคู่มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายๆกัน  ไม่ว่าเป็นรสนิยม หรือแม้แต่นิสัยใจคอบางอย่าง  ปองจึงยินดีที่ได้พบเขา  และยังคงติดต่อเรื่อยมา วิลเป็นสถาปนิกหนุ่มของบริษัทแห่งหนึ่งเขาเป็นคนใจคอกว้าง ปองจำได้ว่าครั้งนั้นที่เล่าถึงอาชีพของตน เขากลัววิลจะรังเกียจจึงอึกอักอยู่พักใหญ่  จนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าควรจะบอกให้ทราบ คิดเสียว่าเตือนเขาเสียก่อนจะ ‘ถลำ’ไปกว่านี้  ถ้าเขาไม่พอใจก็ปล่อยเขาไปเสีย  แต่ถ้าไม่ว่าอะไรก็คบหากันได้ต่อไป  ภาพวิลวันนั้นยังตราตรึง เขาเพียงทำตาโตแล้วหยอกล้อเท่านั้นว่าปองดูเหมือนเป็นคุณหนูบ้านไหนเสียมากกว่าโฮสต์ 


      วิลไม่เคยเล่าให้ปองฟังเลยว่ามีน้องชายฝาแฝดที่เหมือนกันมาก  จนวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผล หลังจากที่ปองเริ่มคบหากับวิลลึกซึ้งเกินกว่าเพื่อนธรรมดา น้องชายฝาแฝดของเขาก็โผล่เข้ามาในชีวิต  ดวงหน้าที่เหมือนกันนั้นแม้หลายคนจะแยกไม่ออกว่าคนไหนเป็นพี่คนไหนเป็นน้อง  แต่ปองแยกออกได้เสมอรู้เพียงแต่ว่า คนที่มีสายตาอบอุ่นนั้นเป็นวิล  ส่วนอีกคนนั้นแทบไม่อยู่ในสายตาปองเสียด้วยซ้ำ  แต่ปองเองก็รู้สึกอยู่แก่ใจว่า ‘พีท’ ออกจะขัดตาปอง มันเป็นเพียงความรู้สึกเพียงเล็กน้อยที่ส่งเสียงเตือนภัยแก่เขาเบาๆโดยไม่ได้รับความสนใจอะไรเป็นพิเศษ   ในค่ำวันหนึ่งที่ปองอยู่กับวิลเพียงลำพังในบ้าน มันเป็นวันหยุดของปอง  ปองมีสิ่งติดค้างในใจอยากจะพูดกับวิล

“วิล ผมควรจะลาออกจากการเป็นโฮสต์ไหม?” ปองที่กึ่งนั่งกึ่งนอนเอาศีรษะซึ่งปกคลุมไปด้วยผมสีดำสนิทดกหนาวางบนท่อนแขนแข็งแรงของวิล

“มันก็แล้วแต่ปองนะ ผมยังไงก็ได้  เพราะผมรู้ว่าปองยังไม่ถูกใครแตะต้อง บอสของคุณวางกฎไว้ว่าโฮสต์ทุกคนถ้าไม่เต็มใจใครก็ละเมิดไม่ได้ไม่ใช่หรอ?” วิลถามพลางใช้จมูกโด่งเป็นสันนั้นดมกลิ่นแชมพูหอมจางๆที่เส้นผมสีเข้มนั้น ปองพยักหน้ารับช้าๆ

“แต่มีกฎอยู่อีกข้อ  โฮสต์คนไหนที่มีความรัก หรือมีคนที่พึงใจแล้วไม่ควรจะทำงานที่นั่นต่อไป  ผมเองกำลังคิดจะลาออก”ปองพูดเสียงเบา 

“ไม่ว่าปองจะทำอะไรขอแค่บอกผม  ผมก็ยินดีจะสนับสนุน” ปองจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลนั้นอย่างค้นหา  สิ่งที่ได้กลับมาจากดวงตาคู่นั้นคือความมั่นคงทำให้ปองอุ่นใจ

“ผมจะลาออก” 



      การลาออกจากการเป็นโฮสต์ของปอง ทำให้ทุกคนต่างตะลึงงัน  เพราะปองเป็นโฮสต์อันดับต้นๆของที่นี่  น้องสาวของเขาเองก็พลอยตกใจไปด้วย เธอพูดปนล้อๆว่า ตกล่องปล่องชิ้นไปเสียแล้วพี่เรา  ปองเพียงแค่แย้มยิ้มรับอย่างเขินอาย  น้องสาวของเขารู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่  เพราะระหว่างพี่น้องคู่นี้ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับต่อกัน  เธออวยพรให้ปองและวิลมีความสุขมากๆ    แต่ดูเหมือนคำอวยพรจะไม่สัมฤทธิ์ผล  พีทน้องชายของวิลเคยมาโวยวายที่บ้านปองครั้งหนึ่ง  แน่นอนว่าเรื่องนี้จะไม่ถึงหูวิลเป็นแน่แท้  เขามาโวยวายใส่ปองว่าล่อลวงพี่ชายตนให้หลงมัวเมา แทบจะเรียกได้ว่าด่าทอให้เสียหาย  แม้ปองจะไม่ถือสาแต่น้ำคำเหล่านั้นเปรียบเสมือนมีดนับร้อยเสียดแทงเข้าไปในใจปอง เขาคือคนจุดฉนวนปัญหาขึ้นมาเอง แต่ถึงกระนั้นปองก็ยังพยายามจะมีความสุขกับคนที่รักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

      ประมาณสองปีหลังจากนั้น  ปองและวิลยังมีความสุขดีแม้จะมีปัญหากับครอบครัวของวิลบ้าง  น้องสาวของปองสอบเข้าเรียนโรงเรียนศิลปะได้อย่างที่ปรารถนา    สร้างความยินดีให้แก่ปองเป็นอันมาก  วันนั้นปองเดินทางมาที่บ้านพักของวิลเพื่อจะบอกข่าวดีนี้ให้แก่วิลได้ทราบ  แต่สิ่งที่เขาได้พบและได้ยินมานั้นเหมือนมีค้อนใหญ่ทุบลงบนมีดคมๆเหล่านั้นให้ยิ่งแทงลึกเข้าไปอีก  วิลกำลังทะเลาะกับพีท  เขาตะโกนเสียงดังโต้ตอบน้ำคำเผ็ดร้อนของน้องชาย ปองมั่นใจว่าเรื่องที่ทั้งสองกำลังทะเลาะกันนั้นคือเรื่องของเขาเอง  คุณแม่ของวิลเมื่อทราบความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวิลก็ล้มป่วยลง  ข่าวลือที่ใส่สีตีไข่ลงไปมากมายทำให้คุณแม่ท่านทนไม่ได้  จึงให้พีทมาตามวิลกลับไปบ้าน วิลมีนิสัยอย่างหนึ่งคือดื้อแพ่ง  เขาไม่ยอมกลับจึงได้ทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้  ปองยืนหลบมุมอยู่ เขาไม่มีเจตนาจะแอบฟังธุระของคนทั้งสอง แต่สิ่งที่ได้รับฟังนั้นมันเหมือนชี้มาที่เขาว่า เขาเป็นผู้ที่ก่อปัญหาสารพัดเหล่านี้ขึ้น  สมควรแล้วที่เขาจะเป็นผู้แก้ปัญหาเหล่านี้ ญาติกันต่อให้โกรธกันถึงเพียงไหนก็สายเลือด  แล้วน้ำจะข้นกว่าเลือดได้อย่างไร?   ในคืนนั้นหลังจากพีทกลับไปนานแล้วปองจึงถามขึ้นท่ามกลางความเงียบแห่งราตรีกาลว่า

“วิลเราแยกกันสักพักดีไหม?” ปองจำสีหน้าของคนตรงหน้าได้ดี  เขาตกตะลึง งงงัน อึดใจต่อมาเขาก็ขบกรามแน่น

“ทำไม?” เสียงทุ้มๆนั่นกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังไปกว่ากระซิบเลย
“เราต่างมีปัญหา เราควรกลับไปแก้ไขมันก่อนจะดีกว่าไหม?” นาน...กว่าปองจะเอ่ยออกมาได้  นัยน์ตาสีน้ำตาลของบุคคลอันเป็นที่รักฉายประกายตระหนก  และเจ็บปวดขึ้นมาในทันที

“ปัญหาอะไร  เราไม่เคยมีปัญหากันนะปอง!!” วิลตะโกนเสียงดังเหมือนๆกันที่เขาให้โต้ตอบน้องชายของเขา  ทำให้ปองตะเบ็งเสียงไม่แพ้กัน

“มีสิ  เรามีแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็นมัน  จนตอนนี้มันลุกลามเรื้อรังไปแล้วไม่อย่างนั้นคุณจะทะเลาะกับพีทไปทำไม!!!!”ปองยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจเพราะนึกขึ้นได้ว่าเผลอไผลพูดสิ่งที่เห็นออกไปแล้ว

“คุณเห็น!!” สองแขนของปองถูกมือใหญ่หนาจับเข้าที่แขนบอบบางทั้งสองข้างของปอง  มันบีบแน่นราวกับจะให้แตกสลาย

“วิลคุณกลับบ้านเถอะ  คุณแม่ของคุณกำลังป่วยไม่ใช่หรือ กลับไปให้ท่านพบหน้าเถอะนะ  ไว้เรื่องสงบเราค่อยกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”ปองพูดด้วยเสียงที่สงบลงแล้ว  นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องในดวงตาสีน้ำตาลใสนั้นอย่างจริงจัง  พลางบังคับตัวเองให้กลั้นน้ำตาไว้มิให้ร่วงหล่น

“ปองผมรักคุณนะ  รักมากกว่าอะไรทั้งหมด  ดังนั้นผมอยากอยู่กับคุณนานๆให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” อ้อมแขนแกร่งโอบรวบตัวปองไว้  ปองลูบลงบนเส้นผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน  รู้สึกถึงร้องชื้นที่ไหล่ตังเอง  วิลกำลังร้องไห้   

“ผมก็รักคุณเช่นกัน  รักเท่าๆกับที่คุณรัก” ปองพูดพลางใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง



      วิลกลับไปที่บ้านสามเดือนได้แล้ว  นั่นเป็นช่วงเวลาที่ทรมานและยาวนานกว่าที่ปองคาดไว้มาก  ทั้งคู่ติดต่อกันบ้างทางโทรศัพท์เท่านั้น ในที่สุดปองก็ได้ข่าวดี  วิลกำลังจะกลับมาหาเขา  เมื่อปองได้ยินดังนั้นก็ละล้ำละลักรับปากวิลว่าจะไปรับที่สนามบิน  พอได้เจอหน้ากันแล้วปองจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้ไปหนักหนาขนาดไหน  รู้แต่เพียงว่าตัวเองร้องไม่ยอมหยุด มืออบอุ่นนั้นเพียรปาดน้ำตาให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ชีวิตของปองกลับมาสดชื่นเช่นที่เคยเป็น....โดยไม่อาจรู้ถึงความผิดปรกติใดๆเลย     กิจกรรมที่ปองและวิลทำเป็นประจำคือการออกไปเดินเล่นในคืนวันศุกร์  ซื้อของเข้าบ้านบ้าง  หรืออาจจะดินเนอร์กันบ้าง  โดยไม่รู้เลยว่ามีคนเฝ้ามองพฤติกรรมอยู่  คืนวันเสาร์พีทมาที่บ้านพี่ชายโดยที่รู้อยู่แล้วว่าปองคงต้องอยู่ด้วยแน่  เขาขออาศัยอยู่ด้วยสองคืนโดยอ้างว่าทะเลาะกับที่บ้านมา วิลก็อนุญาตให้พักได้ตามสบายโดยที่ปองออกจะขัดใจอยู่เล็กๆแต่ก็ไม่ได้ออกปากห้ามอะไร   คืนนั้นสองพี่น้องจึงนอนคุยกันที่โซฟา  และนี่เป็นอีกครั้งที่ปองแอบได้ยินพี่น้องสนทนากันโดยไม่ตั้งใจ

“นายไม่ได้มีปัญหากับที่บ้านหรอกใช่ไหม”วิลถามพลางสอดมุมเข้าไปใต้หมอนใบใหญ่ที่ปองหยิบมาให้
“อือ  มีปัญหากับ....”
“แฟน”ชายแทรกขึ้น
“อดีตตะหาก”น้องชายหันมามองพี่แวบหนึ่งแล้วหันกลับไป
“เธอก่อกวนน่ะ  ฉันรู้สึกว่าคนที่เข้าใกล้ฉันในรัศมีสามเมตร เป็นต้องเดือดร้อนเสียทุกทีไป  ก็เลยพยายามจะหนีๆหล่อน”

“ทำไมไม่เคลียร์กับหล่อนให้ดีๆล่ะ บอกหล่อนซะว่ามันจบแล้ว  ต่างคนต่างเดินเสียที”
“บอกแล้ว  แต่เธอฟังที่ไหน  ยังยึดติดกับตัวฉันอย่างกะอะไร ถึงจะไม่เข้ามาแสดงตัวให้เห็นก็เถอะ”
“เรื่องนี้ฉันช่วยไม่ได้มากหรอกนะ  ที่ทำได้ก็แค่แนะนำ  นายไปแจ้งความเสียเถอะ  ก่อนหล่อนจะทำเรื่องอะไรใหญ่โตไปกว่านี้” น้องชายฝาแฝดพยักหน้ารับฟัง

“นายยังอยู่ดีกับปองใช่ไหม?”พี่ชายส่งเสียงรับในคอพลางแย้มริมฝีปากน้อยๆ
“อือ ฉันรักปองมากน่ะ อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป” ปองหน้าร้อนวาบอยู่ในความมืด
“แล้วตัวนายล่ะ?”
“ฉันหรือ....ก็ดี ฉันจะพยายามมีความสุขให้มากที่สุด”วิลรู้ว่าการพูดคุยครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เขาและพีท  ยังมีคนตัวเล็กที่แอบฟังอยู่ในมุมหนึ่งของโถงทางเดินด้วย

“ดึกแล้วนายนอนเถอะ”วิลพูดพลางลุกขึ้นยืน
“อ้าวจะไปไหน?”
“เข้าไปนอนกอดที่รักน่ะสิถามได้เจ้าโง่!!” ปองรีบจ้ำอ้าวกลับห้องแล้วรีบซุกตัวลงในเตียงอุ่นนั่นพลางหลับตาปี๋  จนรู้สึกว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาในห้องแล้วตามด้วยรู้สึกเตียงยวบลงแสดงว่ามีคนมานอนข้างๆ แค่นั้นยังไม่พอยังส่งมือมาแปะป่ายไปเรื่อยอีกต่างหาก  ปองแกล้งส่งเสียงครางในคออย่างรำคาญ

“รู้น่าว่ายังไม่หลับ  แถมยังแอบฟังคนเขาคุยกันด้วย” ปองยิ่งหลับตาปี๋
“อย่างนี้ต้องลงโทษ”



      วันเวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครบอกปองเลยว่ามีสิ่งผิดปรกติกับวิลผู้เป็นที่รัก  และตัวปองเองก็ไม่นึกเอะใจกับสิ่งใด  ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของวิลที่ล่าช้ากว่ากำหนดเกือบสามเดือน  หรือแม้แต่บางครั้งที่ปองแอบเห็นวิลซุกบางอย่างลงในกระเป๋าในช่วงที่คิดว่าเขาเผลอ  ค่ำวันศุกร์ในฤดูหนาว ระหว่างที่ปองเดินเคียงกับวิลไปตามถนนในย่านการค้าที่คนค่อนข้างน้อยเนื่องจากอากาศเริ่มเย็นจัด  แสงไฟที่ตกแต่งต้นสนแข่งกันส่องแสงสว่างอยู่นับล้านดวง ปองกำลังคุยกับวิลอยู่ว่าช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้จะไปเที่ยวที่ไหนกันดี

“คุณอยากไปที่ไหนล่ะ?”วิลถามขึ้นหลังจากเถียงกันไม่จบไม่สิ้น
“ไม่รู้สิ   ถ้าไม่รู้จะไปไหนนอนอยู่บ้านซักปีก็เป็นความคิดที่ดีนะครับ”
“รับน้องคุณมาด้วยสิ  ช่วงปีใหม่ทิ้งแกอยู่คนเดียวเหงาแย่”ปองมองหน้าวิล  เขาเห็นวันนี้มันซีดผิดปรกติ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า  หน้าซีดมากเลยนะปวดหัวอีกแล้วหรอ?”
“อือ นิดหน่อยนะ ได้ ‘ยา’ ก็หาย”
“แล้วจะไปหาจากที่ไหนล่ะ  แถวนี้ไม่เห็นมีร้านขายยาซักร้าน”
“นี่ไง!” วิลพูดแล้วขโมยหอมแก้มเนียนนุ่ม นั้นทีหนึ่ง
“หายแล้ว”วิลยิ้มเผล่
“ทำอะไรอย่างนั้น กลางถนน!”ปองหน้าแดงพลางลูบแก้มตัวเอง
“ปองถ้าคิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่มนุษยชาติจะดำรงอยู่ คิดว่าตัวเองจะทำอะไร?”
“ถามแปลกๆ  ดูหนังมากไปหรือเปล่าเนี่ย   ก็ต้องอยู่กับคนที่รักสิ ให้มองหน้าเขาไว้ พอไปอยู่โลกโน้นแล้วจะได้จำกันได้”ปองพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆตัว

“แล้ววิลล่ะ?” ไม่มีเสียงตอบจากวิล ปองกวาดสายตามองหาวิลเขาทรุดลงไปกองกับพื้นพลางใช้มือทั้งสองกุมหัวไว้

“วิลเป็นอะไร!!  หัว!? หัวเป็นอะไร!!” 



      วิลถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ปองนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดที่ไป ไม่เคยมีใครบอกเขาเลยว่าวิลเป็นมะเร็งสมอง! พีทตามมาที่โรงพยาบาลเขาหอบหายใจแรงๆก่อนจะนั่งลงคุกเข่ากับพื้นตรงหน้าปองโดยยังปราศจากคำพูด ขณะนั้นปองกำลังซ่อนใบหน้าของตนไว้หลังมือคู่นั้น  น้ำตาหยดลงบนเสื้อตัวที่เขาใส่  พีทมองปองอย่างเจ็บปวด เขาอยากบอกปองเหลือเกินว่าตรงหน้านี่ยังมีเขาอยู่อีกคน ปองจะช่วยหันมามองสักหน่อยจะได้ไหม?

“ปองคุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” พีทถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ปองที่ใช้ทั้งสองมือปิดหน้าส่ายศีรษะช้าๆ
“ดื่มน้ำสักหน่อยไหม?”ปองส่ายศีรษะอีกครั้ง
“ทำไมคุณถึงไม่บอกผมว่าวิลไม่สบาย  ทำไมถึงปิดบังเรื่องนี้” เสียงอู้อี้ของปองถามทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้น พีทสูดหายใจช้าๆ

“วิลไม่อยากให้คุณห่วง เลยห้ามผมไว้”
“เรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมไม่บอก  แล้วคิดว่าที่ทำแบบนี้แล้วผมจะไม่เสียใจหรอ?  ยิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งเสียใจ  ถ้าวันนี้เราไม่ออกมาข้างนอกกัน วิลคงไม่...”

“ปองอย่าโทษตัวเอง!”พีทโอบปองไว้นอ้อมแขนพลางนึกแปลกใจว่าทำไมปองถึงได้ตัวเล็กขนาดนี้  ยิ่งปองตัวสั่นเขายิ่งรู้สึกว่าปองช่างน่าสงสารเหลือเกิน

“ปอง  อย่าร้องไห้ไปเลยนะ  ผมอยู่ตรงนี้แล้ว  ปอง....ปอง!” พีทเขย่าร่างบอบบางในวงแขนซึ่งไร้เรี่ยวแรงทิ้งน้ำหนักลงบนตัวเขา  ปองหมดสติ...ไปทั้งที่น้ำตายังนองหน้า





‘อย่าเล่าอีกเลยคุณปอง’ พิรุณาพยายามจะเช็ดน้ำตาให้โดยใช้แขนเสื้อเชิ้ตตัวเองเพียรซับให้ ปองยิ้มให้ทั้งน้ำตากับท่าทางจริงจังในการซับน้ำตานั้นของพิรุณา

‘เรื่องราวหลังจากนั้นคุณคงพอเดาได้  ส่วนเรื่องน้องสาวของผมนั้นคุณคงทราบจากคุณลีแล้ว’ พิรุณาพยักหน้ารับน้อยๆ  เขาเคยถามคุณลีว่าทำไมตัวปองถึงมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อติดมาด้วยเสมอ คำตอบที่พิรุณาได้รับทำเอาเขาตกใจ

      น้องสาวของปองถูกรถชนสมองถูกกระทบกระเทือนอย่างแรงทำให้อยู่ในอาการโคม่าตลอดมา คนที่ขับรถคนนั้นก็ไม่ใช่ใครเธอคือดีตแฟนสาวของพีท หล่อนเข้าใจผิดว่าพีททิ้งเธอไปเพราะปอง นักสืบที่หล่อนจ้างแยกไม่ออกว่าคนไหนคือพีทและคนไหนคือวิล เพราะหล่อนเองก็ไม่ทราบว่าพีทมีพี่ชายฝาแฝด  ในวันนั้นห่างจากเหตุการณ์การเสียชีวิตของวิลราวๆครึ่งปีได้ และในรถคันนั้นไม่ได้มีเพียงคนขับคนนั้นเท่านั้น  หากแต่พีทก็โดยสารไปด้วย ทำให้พีทรู้สึกผิดต่อปองมากขึ้น 

‘พรุ่งนี้เราไปเยี่ยมน้องสาวของคุณกันนะ’พิรุณาจับมือปองกุมไว้แล้วบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
‘ผมจะมารับคุณตอนเช้านะครับ’
‘ค้างเสียด้วยกันดีกว่าไหม?’
‘อย่าเลยครับ  ผมต้องเอาเอกสารบางอย่าง’พิรุณาพยักหน้าเข้าใจ แล้วส่งปองขึ้นรถกลับบ้าน

**************************************


      ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดวงหน้าที่คล้ายพี่ชายซูบซีดจนแทบจะจมหายลงไปในเตียง  สายระโยงระยางเต็มตัวไปหมด  หน้าอกสะท้อนขึ้นลงตามที่เครื่องทำงาน  พิรุณามองเธออย่างสงสารและนึกเสียดาย ถ้าเธอไม่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเด็กสาวที่งดงามทีเดียว  ปองกำลังคุยกับแพทย์ผู้ดูแลอาการของน้องสาวอยู่ข้างๆเขา  ก่อนจะรับเอกสารบางอย่างจากแพทย์มาอ่าน แล้วลงชื่อก่อนจะส่งคืนให้แพทย์คนนั้นพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ

‘หมอรับรองแล้วครับว่าน้องผมสมองตายแน่นอน ผมก็เลยตัดสินใจบริจาคอวัยวะ’
‘ดีแล้วล่ะ จะได้เป็นกุศลแก่ตัวเธอด้วย’ พิรุณายิ้มบางให้ปองและสาวน้อยที่นอนทอดกายเหยียดยาวบนเตียง
‘กลับกันเถอะครับ’ พิรุณาพยักหน้า ก่อนเขาจะออกไป พิรุณาส่งภาษามือให้สาวน้อยคนนั้นทั้งที่รู้ว่าเธอไม่อาจรับรู้

‘คุณปองอยู่กับฉันแล้วฉันจะดูแลเขาอย่างที่เธอเคยทำ’ 
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนสามแล้วนะครับหวังว่าเพื่อนๆคงชอบกันน้า.. :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 21-11-2007 00:03:08
จะมีปาฏิหารย์มั๊ยนี่

นิดนึงนะ ... ดูเรื่องชักจะมีน้ำหนัก และอารมณ์ของเรื่ิองเริ่มหนัก ๆ แล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-11-2007 17:57:05
เยี่ยมเลย  o13

พิรุณา บางครั้งก็มีความเป็นเด็ก  บางครั้งก็อบอุ่นเป็นที่พักพิงได้
ชอบบุคลิกแบบนี้จัง 

แปลกดี  ระดับพิรุณาใช้เครื่องจับจังหวะเวลาเล่นเปียโนด้วยเหรอ 
ยิ่งเป็นเพลงมีหลายจังหวะนี่นา 

รออ่านต่อ  สงสารปองมากๆ เขียนตอนที่ผ่านมาได้ดีเลย   :m15:  :m15:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 23-11-2007 00:42:59
เรื่องนี้ชอบมากๆเลย ไม่น่าเชื่อว่าเป็นมือใหม่ เห็นหลายคนมาคอมเม็นต์

ยังไงๆก็เขียนเยอะๆน่ะคับ จะได้ฝึกไปในตัว ผมจะรออ่านนะค้าบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-11-2007 13:49:14

เข้ามาตามอ่าน

รู้สึกว่าตอนนี้เขียนได้ดีนะในเชิงพรรณา

แต่ว่า  เยอะ  ไปนิดส์

ย้อนเรื่องราวของปองไปไกลเกินไป  มันเลยไม่ต่อเนื่องกับอารมณ์ของคู่แรก

ปล. สงสัยเหมือนกะพิมเหมือนกัน อิอิ

ปลล.   สู้ๆ  เจ้จับตาดูอยู่อย่างละเอียด
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 23-11-2007 20:17:11
ชอบเรื่องนี้มากเหมือนกันครับ
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 23-11-2007 23:23:01
ขอบคุณสำหรับกำลังใจเเละคำติชมนะคะ

เรื่องนี้เขียนหนึ่งตอนค่อนข้างเยอะ  เพราะ   เอ่อ....อ....เอ่อ..../กระซิบ  ดองนานน่ะค่ะ

เรื่องเครื่องจับจังหวะ(เมเทอนอร์ม ชื่อเขียนยังไงเนี่ย)  ยิ่งโปรก็ยิ่งต้องใช้อยู่นะคะ  เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเเม่นยำทางจังหวะ  เเต่เวลาเเสดงจริง มันเเล้วเเต่อารมณ์จะพาไป  จังหวะอาจยืดหดไปจากนี้บ้าง  เเต่ยังต้อองยึดจังหวะที่ถูกระบุไว้ในเเต่ละเพลงไว้อยู่ค่ะ(ในกรณี ไม่อิมโพรไวซ์น่ะนะ)

ปล.เปื่อย o2
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 24-11-2007 00:04:47

เข้ามาตามอ่าน

รู้สึกว่าตอนนี้เขียนได้ดีนะในเชิงพรรณา

แต่ว่า  เยอะ  ไปนิดส์

ย้อนเรื่องราวของปองไปไกลเกินไป  มันเลยไม่ต่อเนื่องกับอารมณ์ของคู่แรก

ปล. สงสัยเหมือนกะพิมเหมือนกัน อิอิ

ปลล.   สู้ๆ  เจ้จับตาดูอยู่อย่างละเอียด

เจ๊สองง่ะ แอบโหด :m8: o21
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 24-11-2007 03:09:02
INTERMEZZO   chapter# 4

      พิรุณาลุกออกจากหน้าเปียโนเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำซักแก้วดื่ม เมื่อเหลือบมองจานอาหารของเจ้าหมาโกลเด้นที่ใส่อาหารเม็ดสำหรับสุนัขไว้พูนซึ่งบัดนี้ไม่ได้พร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย  คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยพลางเดินตามหา  พิรุณาเดินหาในครัวก็ไม่พบ ห้องนั่งเล่นก็ไม่มี ชั้นบนก็คงไม่ใช่เพราะเจ้าหมากลัวการลงบันไดแล้วมันจะขึ้นไปข้างบนทำไม  พิรุณาเดินกลับไปที่ครัวอีกครั้งหยิบเครื่องบางอย่างมาจากตู้ใต้ซิงค์ที่ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์เกี่ยวกับสุนัขรวมไว้  พลางถือมันไปด้วยแล้วกดไปจังหวะ เจ้าหมาก็ยังไม่วิ่งมา

นี่มันผิดปรกติแล้วล่ะ


   พิรุณาเลื่อนชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่แบ่งบ้านออกเป็นสองส่วนออก แล้วเดินไปตามทางเดินภายในบ้านแล้วยื่นหน้าเมียงมองไปตามห้องต่างๆ แต่ก็ยังไร้เงาเจ้าหมาอ้วนอยู่ดี  จนในที่สุดเขาตัดสินใจผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง   มั่นใจว่าเจ้าหมาต้องอยู่ห้องนี้  พิรุณากดเครื่องที่อยู่ในมือเป็นจังหวะ เจ้าหมาจึงวิ่งรี่มาล้อมหน้าล้อมหลังพิรุณา  เมื่อพิรุณาเงยหน้าขึ้นมองไปที่เตียงเขาก็แทบช๊อค  ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตสีโอรสจางๆนั่งยิ้มอยู่บนเตียงของเขา  ผมสีดำสนิทที่มักเสยขึ้นเวลาไปทำงานตอนนี้มันตกลงมาปรกหน้าโดยเจ้าตัวพยายามปัดไปข้างๆนั้นแสดงให้พิรุณาเห็นว่าวันนี้ไม่ได้ไปทำงาน  ชายคนนั้นไม่ใช่ใครเลยธีรธรนั่นเอง

“สวัสดี ตามหาเจ้าหมาหรอ?” บอสหนุ่มถามด้วยเสียงกวนประสาท  แม้พิรุณาจะไม่ได้ยินแต่พิรุณาก็พอเข้าใจ  มันจะอะไรเสียอีก  ถ้าไม่ใช่ไอ้บอสบ้านี่มาเพื่อกวนประสาท ดูจากสภาพการแล้วคงจะปืนระเบียงเข้าทางหน้าต่างแน่

‘งานการไม่มีทำหรือไง’ พิรุณาส่งภาษามือใส่ธีรธรพลางทำหน้าเอือมระอาเต็มทีใส่  พิรุณากดเครื่องในมืออีกครั้งเจ้าหมาหูตั้งในทันทีก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง

   เมื่อพิรุณาเห็นว่าเจ้าหมาไปแล้ว จึงย่างสามขุมเข้าไปหาธีรธร  บอสหนุ่มทำท่างงๆ แปลกใจกับปฎิกิริยาของพิรุณา ซึ่งปรกติจะต้องหาทางหนีสิ แต่วันนี้มาแปลก ดวงหน้าขาวใส่นั้นแตะแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม  นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงแปรเป็นสีแดงจัดอย่างวันที่อยู่ในห้องทำงานของเขา ธีรธรมั่นใจว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองกว่า เขาทำท่าจะลุกขึ้นแต่มือนวลขาวบางๆนั้นกดลงบนไหล่แกร่งนั้นแรงๆให้นั่งลง  เครื่องที่อยู่ในมือถูกยืนมาตรงหน้าธีรธร  เขาจ้องมองมันเห็นด้านหน้ามีตาข่ายบางอย่างเหมือนลำโพง  โดยไม่ทันระวังตัว  พิรุณาเลื่อนอุปกรณ์นั้นเข้าใกล้หูบอสหนุ่ม แล้วกดปุ่มเครื่องในมือ เสียงปี๊ด~ยาวๆ แม้เสียงจะแผ่วเบาแต่ก็แหลมเล็กจนรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว  พิรุณาถอยออกจากธีรธรด้วยดวงหน้าที่แสดงความสะใจถึงที่สุด ก่อนจะส่งภาษามือให้

‘รีบออกไปซะ ก่อนจะเรียกตำรวจมาจับฐานบุกรุก ผมไม่อยากให้ใครกวนเวลาซ้อม’พิรุณาเดินออกจากห้องตัวเองกลับไปที่ห้องซ้อมอีกครั้ง   ก่อนจะนั่งลงแล้วเริ่มซ้อมอีกครั้ง

   ปลายนิ้วเรียวสวยกดลงบนเสียงเพลงนุ่มหูหากซ้ำดังขึ้น พิรุณากำลังมีสมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่ แทบจะเรียกได้ว่าหมกมุ่นเลยก็ว่าได้  เขาไม่รับรู้ถึงการมาของธีรธรซึ่งบัดนี้ยืนอยู่พิงกำแพงด้านหลังฟังบทเพลงของพิรุณาอย่างเงียบๆ  ธีรธรยอมรับในฝีมือของพิรุณาว่าเป็นคนเก่งมากทีเดียว แม้หูจะไม่ได้ยิน แต่สามารถเล่นเปียโนได้ไพเราะกว่าพวกที่หูดีๆเสียด้วยซ้ำ  บอสหนุ่มมองร่างโปร่งบางที่กำลังดีดเปียโนพลางคิดไปว่า ทำไมถึงทำหน้าเศร้าอย่างนั้น?

   พิรุณาดีดเปียโนอย่างคล่องแคล่วแม่นยำเช่นทุกรั้ง แต่สมองในยามนี้กำลังไพล่นึกไปถึงเรื่องของปอง  เพลงนี้เป็นเพลงเดียวกับที่เขาเล่นให้ปองฟัง  หลังจากวันนั้นปองดูจะสงบจิตสงบใจลงได้มากแล้ว  พิรุณาเชื่อว่าปองจะรับเหตุการณ์นี้แล้วก้าวผ่านมันไปได้ แม้จะเจ็บปวดบ้างแต่สุดท้ายมันจะดีเอง  เขาพยายามหากิจกรรมให้ปองทำลดเวลาที่ปองจะอยู่คนเดียวให้ลดลงเพื่อให้ปองไม่คิดมากโดยการก่อเรื่องยุ่งกับต้นสังกัดเล็กน้อย ซึ่งก็ได้ผล ปองต้องบินไปรายงานตัวกับต้นสังกัดของเขาและชี้แจงเรื่องคดีฟ้องร้อง ในฐานะที่เป็นตัวแทนของเขา  ก่อนจะไปปองคุยกับพิรุณา

‘คุณพิรุณาก็ใจแข็งเหมือนกันนะครับ’
‘ไม่หรอก  เรื่องเศร้าฟังยังไงก็เป็นเรื่องเศร้าอยู่วันยังค่ำ  เพียงแต่ผมเคยพบสิ่งที่น่าเศร้ากว่านั้น  ความตายก็เช่นกัน ผมเคยพบที่รุนแรงกว่านั้น ด้วยตัวเองก็หลายหน’


ความตายที่ยิ่งกว่านี้อย่างนั้นหรือ?....

   พิรุณานั่งอยู่ในตอนหลังของรถคันหนึ่งที่วิ่งด้วยความเร็วปรกติสำหรับถนนนอกเมืองเช่นนี้  เด็กชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาผู้มีเรือนผมสีดวงหน้าตกกระกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสนใจ ด้านหน้ามีชายหญิงคู่หนึ่งที่ละม้ายกับบุตรชายเพียงคนเดียวกำลังสนทนากันอย่างมีความสุข ผู้เป็นภรรยาป้อนขนมใส่ปากผู้เป็นสามีที่กำลังขับรถพาครอบครัวออกไปพักตากอากาศนอกเมือง  พิรุณาในขณะนั้นเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างฝั่งที่ตนนั่งเช่นกันพลางนึกไปว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่สงบสุขดีแท้   ทันใดนั้นรถก็กระแทกอย่างรุนแรงร่างบางๆของเด็กชายลอยไปกระแทกกับเบาะหน้ารู้สึกโลกหมุนคว้างไปหมด แท่งเหล็กยาวใหญ่จากรถคันหน้าทะลุผ่านกระจกเข้ามาอย่างแรงทำให้เศษกระจกคมกริบบินว่อนไปทั่วราวกับห่าธนู   พิรุณาเหลือบไปมองคนที่นั่งข้างกายเห็นร่างนั้นถูกท่อนเหล็กใหญ่นั้นบีบอัดจนแหลกคาที่  พิรุณาตัวน้อยทำได้เพียงซุกกายเบียดตัวอยู่ที่มุมรถ ก่อนรถตอนหน้าด้านที่เขานั่งจะกระแทกเข้ากับที่กั้นถนนอย่างแรง ก่อนจะพลิกข้ามไปเลนฝั่งตรงข้ามแล้วถูกชนซ้ำด้วยรถขนาดใหญ่  ครอบครัวTacet ผู้รับอุปถัมภ์พิรุณาแหลกสลายในอุบัติเหตุครั้งนั้น  มีเพียงพิรุณาเท่านั้นที่รอดมาได้โดยมีเพียงแผลขีดข่วนเป็นริ้วยาวจากกระจกที่แตก และศีรษะแตกจากการกระแทกเท่านั้น


   นิ้วเรียวสวยที่กดลงบนคีย์กดพลาด ทำให้เสียงเพลงขาดหายไปในทันที  พิรุณาลูบหน้าตัวเองพบว่าใบหน้าของตัวเองนั้นชื้นไปด้วยเหงื่ออย่างน่ากลัวราวกับออกกำลังกายมาอย่างหนัก ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลแดงซบลงกับเปียโนก่อนจะแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นยาวนานมีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกเบาๆส่งสัญญาณว่าร่างบอบบางที่หน้าเปียโนนั้นยังหายใจอยู่  มือขาวบางจับสายสร้อยเส้นหนึ่งที่อยู่บนอกเสื้อ พลางลูบมันเบามืออย่างถนอม ก่อนจะไล้มือลงมาจับยังตัวจี้เงินรูปสามเหลี่ยม  สร้อยเส้นนี้ไม่เคยถูกถอดออกจากคอเลยนับตั้งเต่เขาเกิดเขาเดาว่าอย่างนั้น  เพราะว่าตั้งแต่จำความได้สร้อยเส้นนี้ก็ห้อยอยู่ที่คอเขาแล้ว  และมีคนจากสถานสงเคราะห์บอกกับเขาว่าสร้อยนี้ถูกคล้องอยู่ที่คอเขาตั้งแต่วันแรกที่ไปอยู่ที่นั่น หมู่นี้เขามักฝันถึงเรื่องราวร้ายๆที่เกิดขึ้นกับอดีตของเขา  ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น  แต่ครั้งสุดท้ายที่เกิดก็เมื่อหลายปีมากแล้ว เพราะเรื่องของปองรึเปล่านะ....อยากคุยกับเคนจัง



   พิรุณาลุกเดินไปตามโถงทางเดินตรงไปที่เครื่องแฟกซ์แล้วควานหากระดาษจากกล่องสำหรับใส่กระดาษเขียนแฟกซ์โดยเฉพาะแล้วเริ่มเขียนข้อความถึงเคน  มือเรียวสวยเขียนตัวหนังสือลงในกระดาษเร็วๆด้วยปากกาหมึกซึมสีน้ำเงินเข้ม  ตัวอักษรเส้นคมตวัดหางสวยบ่งบอกถึงนิสัยถูกเขียนขึ้นจนพิรุณาลองอ่านทวนอีกครั้งก่อนจะกดหมายเลขปลายทางเพื่อส่ง   ก่อนจะล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปิดออ่านข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน ดวงตาสีสวยเบิกกว้าง กวาดอ่านตัวหนังสือซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ ก่อนจะวิ่งไปที่คอมพิวเตอร์ส่วนตัวในห้องนอนแล้วเปิดเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต แล้วกวาดตามองรายชื่อที่ออนไลน์ก่อนจะคลิกเม้าซ์ที่ชื่อ KEN_sonata-allegro(=/i\=)

@…Piruna_121…@ says:
เคน ลีอองเมลล์มาบอกว่าเกรซหายตัวไปหลังจากคอนเสิร์ตที่เวียนนาเมื่อ2วันก่อน

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
 อือ  ได้ข่าวเหมือนกัน  แจ้งความแล้วนี่

@…Piruna_121…@ says:
ไม่คิดจะตื่นเต้นสักหน่อยรึไง - -*

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ไม่ เกรซก็อย่างนี้แหล่ะ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่  คงงอนลีอองละมั้ง เดี๋ยวหายโกรธก็กลับเองแหล่ะ

@…Piruna_121…@ says:
นายมันเย็นชาที่สุด - -*

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ป่าวนา  ชั้นเป็นคนอบอุ่นตะหาก  ต่อสายเวบแคมซะ- -+

@…Piruna_121…@ says:
ทามมาย?

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ก็แบบว่า อยากเห็นหน้าอ่ะ

@…Piruna_121…@ says:
ชิ   

   พิรุณาทำตามนั้น  เห็นหน้าดวงหน้าคมเข้มพร้อมกับเส้นผมสีทองจ้องมองกลับมาด้วยนัยน์ตาสีเขียวสวย  ริมฝีปากบางสวยนั้นแย้มยิ้มนิดๆอย่างยินดีที่ได้เห็นหน้าคนที่คิดถึง 

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
นายส่งแฟกซ์มา  จิตตกอะไร?   
   
คนในภาพโบกกระดาษแฟกซ์สีขาวไปมา   ดวงหน้าขาวเนียนของพิรุณาแปรเป็นเขร่งขรึม

@…Piruna_121…@ says:
หมู่นี้ฝันถึงเรื่องเก่าๆน่ะ

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
กี่คืนแล้วล่ะ  นายมักฝันติดๆกันหลายๆคืนนี่

@…Piruna_121…@ says:
เกือบ5แล้ว

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ขอโทษ

@…Piruna_121…@ says:
แกจะขอโทษชั้นทำไมวะ - -“

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ขอโทษที่ช่วยอะไรนายไม่ได้  สัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ชั้นไปไหนไม่ได้เลยน่ะติดงาน  ขอโทษที่ไปหานายไม่ได้

@…Piruna_121…@ says:
ไม่เป็นไร  ชั้นเข้าใจน่า ว่านายงานยุ่งฉันไม่ใช่สาวๆของนายนี่หว่าที่กระเง้ากระงอดงี่เง่า - -*

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
โอ๋ๆ ถึงไม่กระเง้ากระงอดน่ารักแบบพวกหล่อนแต่นายก็เป็นอันดับ1เสมอนะ

@…Piruna_121…@ says:
ตอแหล!
@…Piruna_121…@ says: (/me) ตบเข่าฉาด!!

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
55+  บ้านใหม่เป็นไง สวยถูกใจรึเปล่า?

@…Piruna_121…@ says:
อือ  สวยมาก  ถูกใจสุดๆ  ขอบใจหลายๆ  คราวหลังวิทยุไม่ต้องเอามาด้วยนะ55+               

เคนไม่ตอบอะไรกลับมาพักใหญ่ๆ  โดยพิรุณาที่ขณะนี้อารมณ์ดีขึ้นมากแล้วเริ่มเปิดเวปอื่นๆดูอย่างเพลิดเพลิน

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ข้างหลังนั่นใคร ( =_=?) 

พิรุณาอ่านแล้วอึ้ง  คนลุกเกรียวอย่าบอกนะว่า  ซื้อบ้านแล้วได้  ‘ของแถม’  แต่อยู่มาหลายคืนก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา  ปองก็ไม่ได้บอกว่าบ้านนี้มีอะไรแปลกๆ

@…Piruna_121…@ says:
ใคร?  เคนเห็นอะไร?   
   

เคนไม่ตอบ พิรุณาตัดสินใจหันกลับไปมองข้างหลังช้าๆ  เห็นร่างๆหนึ่งวอบแวบอยู่ที่หางตา  พิรุณาพยายามรวบรวมกำลังใจ หายใจเข้าปอดลึกๆแล้วหันขวับไปมา  ร่างสูงใหญ่ในเสื้อสีโอรสยืนอ่านข้อความที่พิรุณาคุยกับเคนอยู่นานแล้ว  พิรุณาหันมาส่งภาษามือใส่เป็นชุด

‘ยังไม่ไปอีก บุกรุกบ้านคนอื่นมันผิดกฎหมายนะคุณ’ ธีรธรทำลอยหน้าลอยตา ไม่รับรู้ฉวยโอกาสตอนพิรุณาเผลอพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็ว

@…Piruna_121…@ says:
 สวัสดีครับ ผมเป็นแฟนพิรุณา   

พิรุณาจ้องเขม็งไปยังดวงหน้าคมสันที่ชะโงกหน้าข้ามไหล่เขาเข้ามาพิมพ์ข้อความอย่างเคียดแค้น  กำลังคิดว่าจะเล่นงานตรงไหนดี

“มองอะไร  หลงรักฉันล่ะซี๊” โชคดีที่พิรุณาไม่ได้ยิน ได้แต่ตีหน้ายุ่ง  แต่ถ้าได้ยินจริงล่ะก็ป่านนี้ บอสหนุ่มหัวแบะไปแล้ว   เคนส่งสายตามายังธีรธร  แม้ตัวจะอยู่ไกลกันมาก แต่ดูเหมือนว่ารังสีอำมหิตยังสามารถส่งมาตามเวปแคมได้  พิรุณารู้สึกได้ว่าเคนมองธีรธรผ่านภาพในจอด้วยสายตา....น่ากลัวที่สุด จ้องอย่างกะจะให้ลุกเป็นไฟ
 

      ธีรธรใช้โอกาสตอนที่พิรุณากำลังคิดหาทางแก้แค้นอยู่นั้นหอมแก้มพิรุณาฟอดใหญ่  จมูกโด่งสวยนั้นกดลงบนแก้มขาวนวลเข้าเต็มรัก พลางสูดกลิ่นหอมจางๆเข้าเต็มปอด  เคนเห็นเหตุการณ์ก็แทบเต้น!  มันกล้าทำต่อหน้า! พิรุณาไม่ใช่แฟนมันแน่  มันเป็นใคร?   ต้องให้รู้ให้ได้! แล้วตามไปหักคอมัน!!  ระหว่างเคนกำลังหมายมั่นปั้นมืออยู่นั้น  มือใหญ่ๆของธีรธรจับเม้าซ์คลิก sign out ให้พิรุณาอย่างหน้าตาเฉย      พิรุณาส่งภาษามือโวยวายแต่ธีรธรกลับไม่ใส่ใจสักนิด  เจ้าหมาโกลเด้นวิ่งกระดิกหางเข้ามาในห้อง   รีๆรอๆหาจังหวะงับข้อมือเจ้านายเบาๆอย่างที่ทำทุกครั้งที่ต้องการให้เจ้านายไปไหนสักแห่งกับมัน  พิรุณามองเจ้าหมายที่งับข้อมือเบาๆพลางออกแรงดึงนิดๆก็ได้แต่ถอนใจเดินตามมันไป  เจ้าหมาพาไปหยุดที่ประตูบ้านพิรุณาก็เข้าใจทันทีว่ามีคนมา เขาเปิดประตูอย่างเกียจคร้าน  แต่ภาพตรงหน้าทำให้เขาเกือบตาเหลือกค้าง  หญิงสาวผมแดงดวงตาสีฟ้าใสกำลังส่งยิ้มให้เขา  เธอมีสัมภาระอยู่กับตัวสองสามอย่างคือ กระเป๋าผู้หญิงที่เธอสะพายอยู่ กระเป๋าเดินทางและ  กล่องใส่ไวโอลินสีแดงๆแปะสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนไว้ค่อนข้างเลอะที่สะพายอยู่ที่หลัง  พิรุณากระพริบตาถี่ๆ เธอคือเกรซ! คนที่หายตัวไปอย่างลึกลับซึ่งขณะนี้กำลังตามหาตัวกันให้วุ่น!  หญิงสาวโผเข้าหาร่างโปร่งบางแล้วหอมแก้มแรงๆทั้งสองข้าง  ก่อนจะส่งภาษามือแบบผิดๆถูกๆให้

‘คิดถึงนายจัง  ขอพักด้วยซักสองสามคืนนะ’เธอส่งยิ้มให้แล้วเบียดตัวเข้าไปในบ้านพิรุณาทันที พิรุณาได้แต่โครงหัวไปมาแล้วปิดประตูลง

‘บ้านสวยจังเลย  อยู่ซักสองสามเดือนดีไหม?’
‘ไม่ดี! ลีอองจะได้ถลกหนังหัวผมไปทำพรมน่ะสิ’
‘หัวสวยๆอย่างนี้ใครจะกล้า’
‘ก็ลีอองนั่นแหล่ะครับที่จะกล้า  คราวนี้ละผมหัวหลุดแน่’
‘น่านะ ตานั่นไม่รู้หรอก’เกรซทำหน้าตาน่าสงสารจนพิรุณาใจอ่อน
‘ก็ได้ครับ’
“เย้!” หญิงสาวร้องดีใจแล้ว แล้วกระโดดหอมแก้มเขาอีกหลายฟอด  พลันดวงตาสีฟ้าสวยเห็นเจ้าหมาโกลเด้นหน้าตาน่ารักน่าชังเข้า  เธอจึงพละจากพิรุณาไปกอดเจ้าหมาแทน ซึ่งเจ้าหมาก็รับไมตรีอย่างดี เกรซหอมมันบ้าง พิรุณาจับแก้มตัวเองรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเจ้าหมาชอบกล


       เกรซเล่นกับเจ้าหมาอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนเดิน  เธอเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตสีโอสร ดวงหน้าคมคายเด่นด้วยดวงตาสีนิลคมจัดที่ดึงดูดใจ มันรับกับคิ้วเข้มๆนั้นอย่างเหมาะเจาะ เขายืนด้วยท่าสบายๆพิงเข้ากับขอบประตูครัวมองเธออยู่  เกรซพละจากเจ้าหมาตรงเข้าไปแนะนำตัวกับเขา  ธีรธรแนะนำตัวเองงอย่างสุภาพเช่นกัน  เขายิ้มให้นิดหนึ่งซึ่งแท้ที่จริงแล้วมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่านั่นคือยิ้มแล้ว
เกรซหันมาส่งภาษามือให้

‘นายนี่ดีนะ  มีแต่หนุ่มหล่อๆอยู่ข้างกายเต็มไปหมด’ พิรุณาเหลือบไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเกรซ พลางคิด เนี่ยนะหล่อ

‘ไหนผู้ช่วยคนใหม่ของนายล่ะ?’
‘ส่งไปรายงานตัวกะต้นสังกัดแน่ะ’
‘งั้นก็สวนกันน่ะสิ นี่ต้นสังกัดเขาฝากงานให้ฉันเอามาให้นายว่าสนใจจะร่วมโปรเจคนี้ไหม?  แต่ฉันว่านายสนชัวร์ รับประกันด้วยหัวเลยเอ๊า!’

‘งั้นเชียว ไหนเอามาดูซิ’  พิรุณาพาเกรซนั่งที่โซฟาในมุมห้องรับแขก   สักพักธีรธรก็เดินเอาน้ำเปล่าใส่แก้วมาเสิร์ฟให้ราวกับว่าเป็นบ้านเขาเอง  พิรุณามองตาเขียวปั๊ด  ธีรธรเห็นก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้

‘แหม อย่าไปมองเขาอย่างนั้นสิ เขาอุตส่าห์มีน้ำใจนะ  ว่าแต่เขาเป็นอะไรกับเธอ’ เกรซเข้ามากระแซะอย่างสนใจ ดวงสีฟ้าสวยพราวอย่างอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

‘คนข้างบ้านน่ะ’ พิรุณานึกไปถึงหน้าคุณลีที่มายืนกดออดหน้าบ้านเขาเมื่อสองสามวันก่อนเพราะเธอต้องไปทำงานที่ต่างประเทศช่วงสุดสัปดาห์นี้ แล้วฝากฝังบอสหนุ่มของเธอว่าอย่าให้ธีรธรโหมงานหนักเกินไป  ถ้าว่างๆให้พิรุณาแวะเข้าไปดูให้หน่อยว่าบอสของเธอทำงานหนักจนตายอยู่ในบ้านหรือยัง  แต่เท่าที่เห็นไม่เห็น ธีรธรจะทำงานหนักเจียนตายตรงไหน  ไม่อย่างนั้นจะมาก่อกวนเขาอยู่นี่หรอ  คุณลีต้องเข้าใจผิดแน่ๆ   แต่สิ่งที่พิรุณาไม่รู้ก็คือ ปองเองก่อนจะเดินทางไปรายงานตัวกับต้นสังกัดของเขาก็ไปยืนกดออดหน้าบ้านบอสมาเหมือนกัน พลางฝากฝังกับธีรธรว่า ช่วงนี้ใกล้คอนเสิร์ตแล้วคุณพิรุณาจะซ้อมหนักมาก  จะหมกตัวอยู่ในห้องซ้อมอย่างเดียว ข้าวปลาไม่กิน นอนก็ไม่ค่อยจะยอม เพราะฉะนั้นก็เลยต้องฝากบอสให้ช่วยแวะเวียนเข้าไปดูบ้างว่าป่านนี้เป็นลมหน้าเปียโนไปหรือยัง


‘โปรเจคนี้รวบรวมเอาแต่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตา  เป็นเพื่อนๆกันทั้งนั้นล่ะ  นี่คือรายชื่อของคนที่เราคิดว่าจะชวนเขามาร่วมด้วยน่ะนะ  น่าเสียดายที่เคนร่วมด้วยไม่ได้’พิรุณารับกระดาษที่เขียนด้วยลายมือหวัดราวกับอักขระโบราณมาอ่านด้วย ด้วยความยากลำบาก

‘แล้วคอนดักเตอร์ล่ะ?’
‘ลีอองเป็นคอนดักเตอร์ที่2  แต่คอนตักเตอร์ที่1น่ะคนนี้’ เกรซโยนซีดีให้พิรุณาแผ่นหนึ่ง เขาตะครุบมันไว้ได้ทันก่อนจะตกพื้น  พิรุณาดูภาพที่หน้าปกซีดีพลางนึกไปว่า ชายคนที่เป็นวาทยากรที่หน้าปกหน้าตาคุ้นๆ หลังจากทบทวนความทรงจำซักพักก็นึกได้

‘อาจารย์!!!’ เกรซพยักหน้า
‘ท่านมีข้อแม้ว่า ถ้านายเล่นท่านก็จะมาร่วมด้วย’
‘เล่นสิ เล่น’ พิรุณารับคำอย่างกระตือรือร้น เขาเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของอาจารย์  หลังจากเรียนจบแล้วเขาเริ่มมีชื่อเสียงทั้งพิรุณาและอาจารย์ก็ต่างแยกย้าย  นานมากแล้วที่ไม่ได้พบกัน  อาจารย์ท่านเป็นวาทยากรชื่อดังระดับโลก  เป็นที่เคารพนับถือของคนในวงการ แต่ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ต่างต้องบินไปโน่นมานี่ตลอด ไม่ค่อยอยู่เป็นหลักแหล่ง  นี่จึงเป็นโอกาสดีมากที่จะได้เจอกัน

‘แน่ใจนะว่าจะเล่น’ พิรุณาพยักหน้ารับหนักแน่น
‘บอกรายละเอียดมาสิ’
‘ธีมของงานคือ ดนตรีแฟนซีจีนคลาสสิค’ เกรซบอกพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
‘ถ้าให้ทาย เธอคิดเองล้วนๆให้ไหมเนี่ย ไอ้แปลกๆแบบเนี้ย’
‘แม่นแหล่ว  ก็พวกเราเป็นกบฏดนตรีคลาสสิคนี่นา   ต้นสังกัดก็โอเค’
‘เราเร๊อะ?  แล้วไอ้ที่ฉันหากินอยู่ทุกวันมันเรียกว่าอะไร’
‘สไตล์นายมันออกแจ๊สนะจ๊ะ  ถึงจะเล่นคลาสิคแต่กลิ่นแจ๊สมันก็โชย’ เกรซทำจมูกฟุตฟิตอย่างล้อเลียน
‘ทำเป็นรู้ดี’ พิรุณาบอกอย่างหมั่นไส้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริง  เขาชอบเพลงแจ๊สบางครั้งยังเอาเพลงคลาสสิคมาแปลงเป็นแจ๊สเลย

‘ แล้วหาสปอนเซอร์ได้หรือยัง?จ่ายเองหมดตายพอดี’เกรซพยักหน้ารับทันที
‘ บอกแล้วจะหนาว    ฉันยังอึ้งเลย สถานทูตจีนเป็นสปอนเซอร์ให้คู่กับบริษัทอะไรไม่รู้ที่ใหญ่ๆน่ะ รู้สึกจะชื่อ  เครือบริษัท PKV. ซักอย่าง  ทำเกี่ยวกับโรงแรมรีสอร์ตดังๆทั่วโลก เขาว่ามีทายาทหล่อระเบิด อยากเห็นตัวเป็นๆจัง’ เกรซทำท่าปลื้ม พิรุณาได้แต่หัวเราะเหอะ ขึ้นจมูก

‘เดี๋ยวลีอองเก๊อะเอาตาย’
‘ แหม ก็เบื่อขี้หน้าลีอองแล้วนี่นา’
‘ทำพูดไป เดี๋ยวภายใน2คืนก็ร้องไห้กระซิกๆจะกลับไปหาลีออง’ พิรุณาแซว เกรซมองค้อนก่อนจะรีบวกกลับเข้าเรื่อง

‘ทางสถานทูตบอกว่าจะหานักดนตรีมาบรรเลงเครื่องดนตรีจีนให้  มีหลายคนตอบรับกลับมาแล้ว  อีกสักเดือนต้องเรียกหัวโจกมาประชุมซะแล้ว’

‘ไม่รวมฉันใช่ไหม?’
‘รวมย่ะ’ พิรุณาคอตก
‘ฉันว่างานนี้ไม่ใช่งานเล็กๆแล้วล่ะ  ลองมีสปอนเซอร์ใหญ่โต เดี๋ยวได้เป็นเวิร์ลทัวร์ละสนุกเลย’
‘สนุกสิ  จะได้ไปเที่ยวรอบโลก คิดดูสิได้เที่ยวรอบโลกพร้อมกับเพื่อนๆสนุกจะตาย’เกรซบอกด้วยสีหน้ากระตืนรือร้นสุดๆ

‘สนุกจนตายน่ะสิ  ได้เหนื่อยจนกระอักเลือดสิไม่ว่า ไม่รู้ต้นสังกัดจะฝากงานอะไรมากับคุณปองหรือเปล่า’
‘พวกตาแก่เอาแต่ใจก็อย่างนี้ล่ะ’
‘อีกสองวันฉันมีคอนเสิร์ตเล็กๆที่หอประชุมของสถาบันดนตรี’พิรุณาบอกชื่อสถาบันให้เกรซรู้ เธอพยักหน้ารับ
‘ฉันจะอยู่รอนายที่นี่  นายบินเช้าไปเย็นกลับนี่   หลังจากนั้นก็ยังไม่รับงานอะไรอีก  เพราะฉะนั้นมาช่วยฉันซะดีๆ’ พิรุณาอึ้ง อะไรจะลึกขนาดนั้น

‘งงล่ะสิว่ารู้ได้ไง  มีปากก็ถามสิยะ’

      และแล้วพิรุณาก็ตกเป็นเหยื่อของเกรซอย่างไม่ตั้งใจ  เธอตกลงกับเขาว่าจะเรียกประชุมทุกคนภายในเดือนนี้  ระหว่างนี้เขาจะไปทำอะไรก็ไปก่อน  แล้วจะติดต่อมา  แถมทิ้งการบ้านให้เขาหาเพลงจีนเพราะๆอีกต่างหาก  แทนที่เกรซจะพักด้วยกันอย่างที่ตอนแรกอ้อนวอนขอกลายเป็นว่า หนีไปพักห้องพักโรงแรมเสียแล้ว  ด้วยเหตุผลไม่ค่อยเข้าหูพิรุณาเท่าไหร่ ว่า  นายจะได้อยู่กับพ่อหนุ่มคนเมื่อกี้ไง  พิรุณานอนหมดแรงอยู่บนโซฟาหน้าทีวี พลางแกะห่อดีวีดีหนังจีนกำลังภายในที่เพิ่งส่งมาใหม่เมื่อวานไปด้วย เพลงจีน  เพลงจีน เพลงจีน....จะไปหาจากไหนหว่า?พลันมือขาวนวลๆที่แกะห่อพลาสติกออกจากกล่องดีวีดีก็ชะงัก  ดวงตาสีสวยพราวระยับมองดีวีดีในมือ ก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ


      
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 24-11-2007 05:37:28
อยากได้คนข้างบ้านแบบนั้นบ้างจัง
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Andreas ที่ 24-11-2007 07:29:46
This is the first time I am trying to criticize the story using English, since I am afraid I will have no time for my Thai version.

Anyway, most of the time when I decided to write the critiques for an individual story, the reason is primarily based on how good the author originally is......and how good she/he can be in the future. Potential must be seen through the story, plots, and language skills.......

Of course, I never touched the stories written by the "well known" writers, since they maintain their own standards and know how to tell their stories well enough.

Speaking of this story, I remember that both my eyes ‘ve passed its title several times yet never picked it up to reveal. The name of the author actually makes me thought it is a "fantasy story", that is why my intention has never dropped in. Also the name of the story has not been able to induce me reading the paragraph inside.

However, please do not ask me why your story is in my intention right now.... I cannot give you the answer.....

Again when the first chapter is good enough that makes my eyes stay tuned.....the analysis is taken placed inevitably...... My evaluation is mostly based on the plots, the fact, and reality of the story...... so please keep in mind.

Like other readers, confusion and question is raise frequently after reading each sentence. Most of them were from the incompletion of paragraph's order, story' time line, conversation pattern..... and the following two;

Location

“Where is the location of this story?..... I must ask. From my understanding it should not be in Thailand......right? 

“เราอยู่เมืองไทยไม่ใช่หรอ แล้วเราจะมายังไง?”

เสียงใสๆหัวเราะที่ปลายสายอีกครั้ง คราวนี้ด้วยเสียงสูงปรี๊ด

“รันอยู่หน้าบ้านพี่ธีแล้วค่ะ”

บอสหนุ่มเกาหัวแกรก  อยากบ้าว่ะ.....

From above sentences, they helped me confirm the story’s location is somewhere else in the world....... Then why is company’s name still in Thai?

Also, most of the information given about the location is controversial, such as currency, religion, home style, transportation, and a time differences. 

The songs mentioned in the story is by far the big question, especially in the "Non-Thai-Orchestra".....since Thai songs may not be interesting enough to play, though พิรุณา  is influenced by Thai sister.

For some reasons, I am thinking about "Hong Kong"..... but an existence the character using Thai name like "ปอง” is confusing me.

Also in some details, I feel like the author is using "Bangkok" as a location.

Characters

May I say.... the character is lacking of background information?

I always question about the persona of "ธีรธร”…. Is he gay?

I cannot sense the gayness from ธีรธร due to the fact that the character‘s detail directs me to point that he is just an ordinary guy...... But why did he decide to kiss พิรุณา? 

The persona of "ธีรธร” is not yet able to make me believe that he is a CEO of the big enterprise. Beside his สูทสีเทาควันบุหรี่ seemed to be out trend and might be inappropriate for the event.

Again, an existence of "ปอง” without enough background is still brought me the confusion. How can he and his sister be out there in that location?

The big question I have is for พิรุณา about his voice amplifier (เครื่องช่วยฟัง). As far as I read through, he is not deaf by birth. Although the hearing disability came when he was young, but if he has an amplifier he should learn to understand the sounds and should not be completly mute.

If พิรุณา has "post-lingual hearing impairment", where his hearing loss is adventitious after the acquisition of speech and language, usually after the age of six, then he could be treated by hearing aids or learning lip reading. Therefore "พิรุณา” should be able to understand the conversation by any means he has learned.

This confirms me that he is partially deaf; "หูของเขายังคงได้ยินอยู่บ้างโดยอาศัยอุปกรณ์บางอย่าง หากแต่ก็น้อยเต็มทีเมื่อเทียบกับคนปรกติ”. 

On the other hand, if พิรุณา has prelingual hearing impairment, a congenital impairment occurred before the individual has acquired speech and language, then voice amplifier is not the right tool for him.

Prelingual hearing impairment is associated with being mute. But with person having partial hearing disability like พิรุณา, he should at least be able to listen to the conversation and comprehend it. Or he should be able to speak out but with easy words composed into the sentence. It should not be hard for him since he is a professional musician, who has ability to differentiate the sounds perfectly.

I think, I should give you just only two points.... while the other points have already been told or should be addressed by other readers

Best Wishes,

Andreas
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 24-11-2007 16:58:32
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-11-2007 20:21:18
เป็นกำลังใจให้คับ  (เลียนแบบคุณเคน  อิอิ)  :m23:

รออ่านต่ออยู่นะ  :a2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 26-11-2007 15:48:59
เป็นกำลังใจให้นะครับผม :m11:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 27-11-2007 11:19:38
ไม่ต้องตกใจนะครับ
สองกับจ๋อมเขาร้อนวิชา ชอบแสดงอภินิหาร แต่เจตนาดีครับ

แต่งต่อเลยครับ
ตอนนี้ผมบ้า รักแห่งสยามอยู่ ตามอ่านไม่ทัน อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 28-11-2007 13:56:25
เอ้อ พี่ ๆ ครับ

ผมเห็นเม้นพี่จ๋อมแล้วมึนอ่ะ รู้เรื่องเป็นบางท่อน ใครช่วยแปลให้อ่านได้มั๊ยอ่ะ
(มะได้ก็ไม่เป็นไรนะ) :try2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 29-11-2007 00:23:42
      ธีรธรกลับมาบ้านตัวเอง หลังจากเห็นว่าพิรุณามีแขกมาที่บ้าน เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานบิดขี้เกียจสองสามครั้ง ก่อนจะเริ่มหยิบงานมาสะสาง และทำไปเรื่อยๆ เรื่องราวต่างๆที่นำเสนอมาในกระดาษไหลผ่านหัวเขาไปอย่างช้าๆละเอียดรอบคอบจนกลายเป็นว่าเขาอ่านและเซนต์เอกสารเหล่านั้นจนถึงเช้าของอีกวันหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ  เพื่อนของเขาหลายคนบอกเขาว่า เขาเป็นมนุษย์บ้างาน  ทำงานได้อย่างกับหุ่นยนต์คือไม่มีพัก หรือถ้าให้พูดแรงกว่านั้นคือ ทำไปเรื่อยจนกว่าจะตายกันไปข้าง  ไม่งานก็ตัวเขาเอง    มันเป็นนิสัยเสียส่วนตัวของเขาที่คุณลีทราบดี และมักจะพยายามส่งงานทยอยให้เพื่อให้ได้พักบ้าง  แต่เพราะเธอต้องบินไปจีนทำงานบางอย่างให้เขาเกี่ยวกับการเปิดสาขาใหม่ที่เสฉวนซึ่งปัจจุบันพร้อมเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว  ธีรธรอ่านเอกสารเกี่ยวกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์รีสอร์ตแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิดนี้ โดยร่วมกับสถานทูตจีนประจำประเทศจัดคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิคแบบผสมผสาน บราๆๆ บอสหนุ่มพึมพำแล้วกวาดตาอ่านคร่าวๆแล้วเซนต์รับรองเอกสาร ฝ่ายประชาสัมพันธ์คงจัดการได้เรียบร้อยนั่นแหล่ะ

********************************

          ปองรีบขึ้นแท็กซี่จากสนามบินตรงดิ่งมาที่บ้านของพิรุณาโดยด่วน  วันนี้พิรุณาไปเล่นคอนเสิร์ต ด้วยเวลาขนาดนี้คงกลับถึงบ้านแล้ว  ปองคาดหวังว่าเปิดประตูบ้านเข้าไปคงไม่ต้องเก็บซากพิรุณาแทน  เพราะทุกครั้งที่ไปขึ้นคอนเสิร์ตพอกลับมาพิรุณาจะหลับเป็นตาย  เพราะก่อนหน้านั้นจะซ้อมแบบลืมตายแล้วหยุดก่อนเวลาแสดงจริงประมาณหนึ่งวันเต็มๆ ระยะนี้จะเป็นระยะเหงาหลับของพิรุณาคือเซื่องซึมกว่าปรกติ ในหัวจะคิดแต่เพลง เพลงและเพลง แล้วจะไประเบิดเอาเวลาขึ้นคอนเสิร์ต อย่างที่เห็นในรวมภาพประทับใจตามนิตยาสารดนตรีทั้งหลายที่เห็นพิรุณายิ้มหวานนัยน์ตาพราวเล่นเปียโนได้อย่างสุดยอด  ใครจะรู้ว่าก่อนหน้าและหลังจากนั้นพิรุณาอาการหนักขนาดไหน  ปองรีบลงจากแท็กซี่ เขาเห็นแท็กซี่อีกคันเข้ามาจอดต่อท้ายคันที่เขานั่งมา  คุณลีก้าวลงจากรถอย่างรีบร้อนด้วยอาการคล้ายๆกัน  ปองหันไปยิ้มเจื่อนให้คุณลีก่อน แล้วทั้งสอง‘ผู้ดูแล’ ก็รีบเผ่นไปดูนายจ้างตัวเองว่าเป็นซากไปแล้วหรือยัง

   
         พิรุณาหลับสนิทอยู่บนเตียง  ดีหน่อยตรงที่ถอดเสื้อตัวนอกโยนไว้ที่โซฟาหน้าทีวีแล้ว  ถอดรองเท้าเก็บเรียบร้อย ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวลงมาสองสามเม็ดก่อนจะนอนหลับเป็นตาย  ปองถอนหายใจกับสภาพของพิรุณา แล้วห่มผ้าให้อย่างเบามือ  ก่อนจะแอบไปชะโงกหน้าต่างดูบ้านข้างๆ  ลีแอนเองหลังจากไขกุญแจเข้าบ้านบอสของเธอ ซึ่งเธอรับรองได้ว่าเธอเป็นคนส่วนน้อยที่ได้เข้ามาเหยียบบ้านนี้  เธอก็พบว่าบอสของเธอสลบเหมือดไปแล้วเช่นกัน  คาโต๊ะทำงานเลย   เอกสารต่างๆที่เธอขนมาถูกอ่านแล้วลงนามเรียบร้อย  ช่วงวุ่นๆเรื่องสาขาใหม่นี้คงผ่านไปแล้ว  เธอหาผ้าห่มผืนบางๆมาห่มให้บอสหนุ่มอย่างเอ็นดู  เธอเคยมีน้องชายร่างใหญ่แบบนี้ให้ดูแลเหมือนกัน  แต่ตอนนี้แต่งงานย้ายเมืองไปแล้วหน้าที่ดูแลต่างๆจึงตกเป็นของน้องสะใภ้   เธอเดินไปชะโงกหน้าต่างบ้าง เห็นปองรออยู่แล้ว เธอยกหัวแม่มือข้างขวาขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าบอสเธอยังอยู่รอดปลอดภัยดี เช่นเดียวกับปอง  ลีแอนยิ้มให้ปองพลางนึก

บอสกับคุณพิรุณาเนี่ย มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกันจริงๆเลยน๊า~




      เสียงกดออดหน้าบ้านทำให้ปองเดินไปเปิดประตูโดยที่หน้าประตูนั่นมีเจ้าหมานั่งกระดิกหางรออยู่แล้ว  ปองตบหัวมันสองทีก่อนจะเปิดประตู  หญิงสาวผมแดงยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หน้าบ้าน  นัยน์ตาสีฟ้าใสพราวอย่างนึกสนุกทันทีที่เห็นว่าคนมาเปิดประตูไม่ใช่พิรุณา  เธอกล่าวทักทายแล้วขอพบพิรุณาทันทีที่ได้คำตอบว่าพิรุณายังหลับอยู่เธอก็ออกปากขอนั่งรอในบ้าน ปองเปิดประตูให้เธอเข้ามาด้วยความยินดี 

“คุณเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของพิรุณาหรอคะ?” ปองรับคำสั้นๆ ไม่แน่ใจว่าผู้มาใหม่คนนี้เป็นใคร
“ฉันเป็นเพื่อนสนิทเขาน่ะค่ะ  รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน  นี่พิรุณาคงเพิ่งกลับมาถึงได้สลบเหมือดแบบนั้น”ปองรับคำสั้นอีกครั้ง พลางสรุปในใจว่าผู้หญิงคนนี้คงเป็นเพื่อนพิรุณาจริงๆ  เกรซยังคงเล่าเรื่องต่อไปไม่หยุด

“แต่ก่อนเขามีฉายาด้วยนะ  เจ้าชายน้ำแข็ง  หรือไม่ก็ บีโธเฟนผู้น่ารัก โดยเฉพาะอันหลังนี่เป็นที่เลื่องลือเชียวล่ะ ถ้าลองพูดชื่อนี้ละก็รับรองไม่ว่าที่สถาบันไหนก็รู้จัก” เกรซยังคงพูดต่อไปอย่างมีความสุข ขณะที่ปองเริ่มชักจะสนใจฟัง

“รู้จักคอนดักเตอร์ที่ดังๆไหม ที่ชื่อ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น นั่นล่ะอาจารย์ของพิรุณา  หลังจากขึ้นปี2 บีโธเฟนผู้น่ารักของแผนกเปียโนก็โด่งดังมากเลย เพราะเป็นนักเรียนที่อาจารย์ท่านคัดเป็นพิเศษ แข่งที่ไหนก็ชนะที่นั่น  เยี่ยมเลยใช่ไหมล่ะ”

“ต่อมาก็ได้ถูกเชิญให้มาเป็น soloist ให้วงออเครตราของสถาบันในคอนเสิร์ตจบปีการศึกษา  ก็เลยได้เจอกับฉันและก็คนอื่นๆ”

‘นินทาอะไรอยู่หรอ?’ มือขาวบางส่งภาษามือให้เกรซจากด้านหลังโดยทำมือข้ามไหล่เธอ เกรซอุทานเสียงหลง
‘ว่าไงคุณปอง นินทาอะไรผม’ พิรุณาในสภาพสุดโทรมหัวยุ่ง เสื้อยับ นัยน์ตาปรือราวกับพร้อมจะปิดทำให้ปองขำ

‘ไปอาบน้ำก่อนดีไหมคับ? สภาพดูไม่ได้เลย’พิรุณาพยักหน้ารับแล้วเดินหายไป  ปองหันมาให้ความสนใจกับผู้มาเยือนอีกครั้ง

“ในถานะเพื่อนสนิทสุด love love ของพิรุณา  ฉันจะสอนวิธีรับมือเวลาเขางอแงให้” เกรซประกาศกร้าวแล้วยืดอกอย่างภาคภูมิใจ






      เกรซผลักพิรุณาลงจากตอนหลังของรถแท็กซี่หลังจากจอดสนิทอยู่หน้าย่านเริงรมย์ของนักท่องราตรี  หลังจากกึ่งลากกึ่งจูงพิรุณาถูลู่ถูกังข้ามถนนแล้วเข้าไปในซอยมืดๆแห่งหนึ่ง พิรุณาพยายามผลักไสยอดหญิงเกรซแต่เธอแข็งแกร่งเกินไป  จนในที่สุดเธอก็พามองหยุดหน้าคลับแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปแทบสุดซอยป้ายไฟหน้าร้านเขียนเป็นตัวอักษรว่า Cubana โดยที่หลอดไฟรูปตัวบีแตกไปแล้ว  ส่วนตัวเอตัวสุดท้ายหลุดออกมาห้อยอย่างน่าหวาดเสียวว่าจะหล่นใส่หัวใคร  พิรุณาสบตากับปองเป็นเชิงถามว่ารู้จักที่แห่งนี้หรือไม่  ปองส่ายหน้าเบาๆ  เกรซผู้ห้าวหาญพาเขาเปิดประตูพลัวะเข้าไปโดยที่กล่องใส่ไวโอลินสีแดงเลอะๆของเธอที่สะพายอยู่กระแทกกับประตูนิดหน่อย  ข้างในมืดสลัวจนพิรุณาแทบมองหน้าใครไม่เห็น  จุดเดียวที่สว่างของร้านนี้คือบนเวทีที่มีนักดนตรีแจ๊สกำลังบรรเลงเพลงกันไปอย่างไพเราะ

“มิสเตอร์เอบาโต้อยู่ไหมคะ?”เกรซตะโกนถามบาเทนเดอร์หลังบาร์
“โอนเนอร์หรือครับ?  อยู่หลังร้านครับมิส”
“บอกเขาที่ว่าเกรซไวโอลินมาหา” เกรซตะโกนและทำท่าสีไวโอลินให้  บาเทนเดอร์คนดังกล่าวยิ้มน้อยๆแล้วผงกศีรษะให้ทีหนึ่งแล้วหายเข้าประตูหลังร้านไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาใหม่ พร้อมกับชายคนหนึ่งที่ใส่เสื้อลายดอกสีชมพูแปร๋น  หัวล้านเตียนโล่งเป็นมันวับ

“ว่างายยยยเกรซไม่เจอกันนาน  ตำรวจหยุดตามหาตัวเธอรึยัง?”
“โอ้ย หยุดแล้ว วันนี้พาเพื่อนมาด้วยหาโต๊ะวิวดีๆให้สักที่สิคะ”
“โอ้ย  จองไว้ให้แล้วโต๊ะเกาะขอบเวทีเลยล่ะ”
“หน้าห้องน้ำไม่เอานะ”
“อือน่า  ไม่เชื่อใจฉันแล้วจะเชื่อใจใคร”เกรซขยับปากขมุบขมิบอย่างหมั่นไส้เต็มแก่แล้วเดินไปตามเต็มที่เอบาโต้บอก


      นักดนตรีกลุ่มใหม่ขึ้นมาบรรเลงเพลงแจ๊สนุ่มๆ   เกรซกำลังตกลงกับปองว่าจะสั่งเครื่องดื่มอะไรดี  พิรุณาลองลอบสังเกตคนบนเวทีที่กำลังเล่นเปียพลางนึกในใจว่า ฝีมือไม่เลว ก่อนจะสำรวจรอบข้างต่อไป  คนในคลับนี้ส่วนใหญ่เป็นนักดนตรี มืออาชีพบ้าง อย่างตัวเขาเองและเกรซ  ไม่ก็นักดนตรีสมัครเล่นซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันท่ามกลางบรรยากาศแจ๊สนุ่มๆที่เป็นกันเอง  เป็นความรู้สึกที่ดีทีเดียว  เจ้าของร้านก็ดูเป็นมิตรดี แม้ว่าเสื้อตัวที่ใส่จะสีแยงตาไปหน่อย ก็เถอะ  ปองสะกิดพิรุณาให้หันมามองแล้วส่งภาษามือให้

‘จะดื่มอะไรไหมครับ?’ พิรุณาพยักหน้า
‘เอาNocturneกับเตกิลา’ ปองงงๆกับคำตอบที่ได้  ไม่นึกว่าจะ ‘ดื่มเก่ง’ แบบนี้  ซัดขนานนี้แต่ต้นงานเลย  เกรซหัวเราะกับปฏิกริยาของปอง

“ก็อย่างนี้แหล่ะ  นานๆทีจะเที่ยวก็เลยสั่งใหญ่น่ะ  สมัยก่อนใครอาสาเลี้ยงเหล้าละก็จ่ายอาน  แต่ที่สำคัญคือชวนยังไงถึงจะยอมมาต่างหาก” เครื่องดื่มถูกทยอยเสิร์ฟ  ปองและเกรซจิบทีละน้อยผิดกับพิรุณาที่จับซดโฮกรวดเดียวหมด  ปองมองอย่างอึ้งๆ

      นักดนตรีเซ็ตนี้ลงจากเวทีเร็วกว่าวงอื่นๆทำให้เวทีว่าง โอนเนอร์ของร้านในเสื้อสีชมพูสดยืนอยู่กลางเวที เมื่อไฟสาดแสงใส่สีชมพูนั้นยิ่งสะท้อนแสงแยงตามากกว่าเดิมจนผู้ชมด้านล่างต้องรีบเอามือป้องปิดที่ตา  โอนเนอร์เคาะไมค์สองสามครั้งเป็นการเช็คก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้แขกในคืนนี้แล้วเริ่มพูด

“คืนนี้เรามีแขกพิเศษ มาร่วมงานด้วยนะครับทุกคนอยากพบพวกเขาหรือเปล่า?”ชายกลางเวทีทำท่าเงี่ยหูฟัง คนรอบข้างพิรุณาต่างส่งเสียงตอบรับอย่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“เสียงแค่นี้ท่าจะไม่ยอมขึ้นมาละม๊าง  เอาใหม่  ทุกคนอยากพบกันพวกเขาหรือเปล่า?”เสียงตอบรับดังกว่าเดิม เกรซถอดเสื้อตัวนอกออกพับวางแล้วเปิดกล่องไวโอลินขึ้นมา  ไวโอลินตัวสวยถูกหยิบขึ้นมาอย่างถนอมพร้อมกับคันชัก เกรซใช้คันชักในมือสะกิดเรียกพิรุณาที่บัดนี้ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ดวงหน้าเริ่มแดงซ่านดวงตาเริ่มฉ่ำเยิ้มอย่างกรึ่มๆ แต่ยังไม่เมา

‘Show Time’ เกรซป้องปากบอกพิรุณา ซึ่งเขาก็รับแต่โดยดี ยืนขึ้นถอดเสื้อตัวนอกโยนไว้กับพนักเก้าอี้ แล้วเดินตามเกรซขึ้นเวทีไป เหลือเพียงปองที่อยู่เฝ้าโต๊ะ


      ปองมองพิรุณาที่ขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงเกรียวกราวของแขกอื่นในคลับนี้ คนพวกนี้รู้จักพิรุณาและเกรซดี  พิรุณาเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นที่กล่าวขวัญว่าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของ เอ็ดเวิร์ด  ฮอร์น วาทยากรชื่อก้องที่ฝากผลงานเลอค่าไว้มากมาย  นอกจานั้นพิรุณายังเป็นนักดนตรีที่เก่งมากในสายตาเขา เพราะพิรุณาพิเศษกว่าคนอื่น  แม้หูจะไม่ได้ยินแต่ความสามารถของเขาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่นๆที่ได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจนเลย สมแล้วที่เป็นบีโธเฟนผู้น่ารัก  ส่วนเกรซนั้น เขาไม่แน่ใจนักว่าเธอมีชื่อจากอะไรรู้เพียงว่าเธอเป็นหัวหน้าวงของวงออเครซตามีชื่อ เมื่อประมาณสองปีก่อนเคยออกอัลบัมของตัวเอง 

      เกรซพยักหน้าให้พิรุณาที่นั่งประจำที่หลังเปียโนเรียบร้อย ให้พิรุณาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน  พิรุณาพยักหน้ารับน้อยๆ  มือเรียวสวยสีนวลๆนั้นให้เสียงนุ่มหูแบบเพลงแจ๊ส ทันใดนั้นแขกอื่นๆก็เริ่มหันไปสนทนากันเอง เป็นเสียงฮือฮาอย่างทึ่งในความสามารถ  เสียงเพลงคลาสสิคอย่าง  Nocturne ของ Chopin ถูกแปลงเป็นแจ๊สละมุนหูได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ทั้งๆที่ตรงหน้าไม่มีแม้แต่โน้ตสักแผ่นเดียว   เกรซยิ้มก่อนจะตั้งท่าเตรียมเล่นต่อจากพิรุณา  ทันทีที่เมโลดีของพิรุณาเริ่มจางลงเหลือเพียงเสียงคลอประสานเบาๆ  เสียงไวโอลินทรงพลังหากอ่อนหวานในเพลงเดียวกันหากถูกดัดแปลงให้โลดโผนมากกว่าก็ดังขึ้น  ทุกเส้นเสียงที่กรีดเข้ามาในโสตล้วนคมชัดราวกับจะเชือดเฉือดหัวใจคนฟังให้เลือดรินไหล  พิรุณาเหลือบตามองเกรซที่หลับตาพริ้มพลางโยกตัวน้อย ๆ  อันเป็นอาการแสดงให้เห็นว่าเกรซกำลังมันส์ในอารมณ์  พิรุณายิ้มกว้าง เล่นประสานจนเกรซหันมาขยิบตาให้เขาจึงเปลี่ยนจากการประสานมาเป็นโซโล  นิ้วที่พรมลงบนคีย์อย่างรวดเร็วนั้นทำให้เกิดเสียงระรัวราวกับห่ากระสุน แสดงถึงความสามารถของผู้เล่นว่ายอดเยี่ยม  หลังจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าอ่อนหวานอย่างเมโลดีต้นแบบ 

“เล่นกันสองคนเบื่อจัง  ใครอยากเล่นกับเราบาง ลุยเลย!!” เกรซกลอกเสียงใส่ไมโครโฟนสนั่นหวั่นไหว   เสียงฮือฮาอย่างนึกสนุกของผู้ชมดังไป  ทันใดนั้นมีนักดนตรีสมัครเล่นเป่าฟลุตลุกขึ้นแล้วเริ่มเล่นเสียงต่างๆไปพร้อมกับเสียงประสานจากเปียโนที่พิรุณากำลังเล่น  คนที่นึกสนุกอยากร่วมด้วยต่างหยิบเครื่องดนตรีที่ติดมือมาเตรียมไว้  ส่วนคนที่ไม่มีเครื่องดนตรีใดก็ช่วยกันผิวปากบ้างก็ปรบมือ การvariation*(= การแปลงหรือดัดแปลงองค์ประกอบดนตรีบางอย่างในการบรรเลงเที่ยวหลังๆ)  ยังคงดังอย่างต่อเนื่องจนสุดท้ายจบลงด้วยที่ทุกคนต่างกลับไปเล่นตามแบบฉบับดั้งเดิม  เสียงปรบมือดังสนั่นคลับแห่งนั้น ช่างเป็นคืนที่น่าประทับใจจริงๆ
.
.
.
.



       ในคืนนั้นทั้งสามกลับบ้านด้วยอาการทุลักทุเล โดยพิรุณาต้องรับผิดชอบคนเมาทั้งสอง ทั้งที่เขาเป็นคนที่ดื่มไปเยอะที่สุด  หลังจากลงจากเวทีผู้ชมต่างผลัดกันเลี้ยงเครื่องดื่มจนดื่มกันแทบไม่ทัน  เกรซประกาศกร้าวว่าต้องรับเลี้ยงทุกคนไม่อย่างนั้นจะเป็นการผิดมารยาท  ผลสุดท้ายแม้แต่ตัวตายตัวแทนกินแทนเกรซอย่างปองก็น็อคสนิท ไปตามๆกัน  พิรุณาพาทั้งสองคนที่เมาแอ๋ไม่รู้เรื่องกลับมาบ้านได้สำเร็จตอนประมาณตี3 โดยไม่รู้เลยว่าเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ จะมีคนมาทุบประตูช่างเหมือนกันแรงบันดารใจของบีโธเฟนที่แต่งซิมโฟนี หมายเลข5อันลือลั่นนั้นเสียเหลือเกิน   
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนแล้วครับขอโทษที่ดองลงนานไปหน่อยมัวแต่อู้ :m23:
หวังว่าเพื่อนคงชอบกับงานเขียนของน้องเมศนะครับโน้ตว่ากำลังสนุกเลย(รู้สึกเหมือนกันไหม)
ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับรักทุกคนคร้าบ... :give2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 29-11-2007 10:34:20
 :give2:ขอบคุณมากนะครับสู้ๆเป็นกำลังใจให้นะครับผม :m11:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 29-11-2007 10:59:11
อะ ไปเมาเละเทะ ไม่ชวนธีรธรงี้
สงสัยจะได้ฟังเสียงกัมนาทแทนแน่ๆ
 :m26: :m26: :m26:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 29-11-2007 11:43:37
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-11-2007 11:57:37
ไม่น่าเชื่อ  พิรุณาคอแข็งวุ้ย   :m4:
งี้ก็โดนบอสมอมไม่ได้ง่ายๆ อะจิ อิอิ

รออ่านต่อจ้า  ชอบอ่านตอนพิรุณาเจอกับธีรธร  หนุกดี  :m3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 29-11-2007 12:22:47
อ่านไปอ่านมาบรรยากาศเหมือนในหนังฝรั่งเลยอ่ะ  :m3: หนุกดีๆๆ รีบมาต่อน๊า
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 08-12-2007 19:57:44
เย้ๆเว็ปเข้าได้แล้ว

เดี๋ยวแอบหนีไปดูเข็มทิศทองคำก่อนนะครับแล้วจะมาต่อ

หลังจากที่ดองมานาน ขอโทษด้วยนะก๊าบ.. :m5:

(มีคนหรือไม่มีคนรอแอ๊บว่ามีไว้ก่อนแล้วกัน...สร้างภาพ... :o11: :undecided:)
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 08-12-2007 20:48:10
ทำไมทำกันอย่างนี้อ่ะครับ :เฮ้อ:
แต่ไม่เป็นไรดูหนังให้สนุกด้วยนะครับ :m3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 09-12-2007 06:31:37
แหะๆ มาซะเช้าของอีกวันเลย ขอโทษนะก๊าบบบ.. :m23:

มีช้าดีกว่าไม่มาเน๊าะ.... :m12:

แต่แอบดีใจมีคนมา reply ต่อจากเราด้วยแสดงว่ามีคนติดตาม ปลื้มมากครับ(ปลื้มแทนน้องเมศ) :m2:

ว่าแล้วก็เอาสะเลยแล้วกัน :a9:
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

INTERMEZZO   chapter# 5


ปัง ปัง ปัง!!


         เสียงทุบประตูโครมๆเพราะกดออดแล้วไม่ทันใจของผู้มาเยือนยามเช้าแทบจะไม่อาจเรียกวิญญาณของคนสามคนที่เมาหลับไปเมื่อก่อนรุ่งสางไม่กี่ชั่วโมงให้กลับเข้าร่างได้  พิรุณาที่นอนอยู่ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์เครื่องใหญ่ผวาลุกขึ้นเพราะเจ้าหมายเอาหางแข็งๆของมันฟาดโดนขา แล้วใช้จมูกเย็นๆแตะแก้มจนพิรุณาต้องตื่น  มันรีบคาบข้อมือพิรุณาที่ได้จังหวะแล้วออกแรงยื้อนิดๆเช่นทุกครั้ง  พิรุณาพลิกกายเตรียมจะลุกแต่โลกดูเหมือนจะหนักอึ้งและเอียงวูบไปเสียอีกทางหนึ่งจนต้องล้มแพละกลับลงไปนอนใหม่  เจ้าหมายังพยายามยื้อร่างเจ้านายให้ลุกขึ้น  พิรุณาพยายามต่อสู้กับแรงดึงดูระหว่างโซฟากับแผ่นหลังที่พยายามจะแตะกันให้ได้ไปที่ประตูจนสำเร็จ เขาเปิดช่องเล็กตรงประตูออกดูว่าใครมาซึ่งมักไม่ค่อยทำแบบนี้มากนักในเวลาปรกติ  ดวงหน้าคมสันล้อมด้วยเส้นผมสีทอง  และดวงตาสีเขียวมรกตที่ทอประกายไม่พอใจหงุดหงิดทำให้พิรุณารู้ว่าคนๆนั้นคือ เคน  พิรุณาเปิดประตูรับอย่างเสียไม่ได้  แทบจะทันทีที่ประตูเปิด เคนรีบแทรกกายเข้ามาภายในบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วส่งภาษามือให้อย่างเร็วไม่แพ้กัน

‘ไอ้หมอนั่นอยู่ไหน?’ พิรุณาพยายามถ่างตาดูว่าเคนต้องการสื่ออะไรแต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่  เลยได้แต่บอกเคน

‘ครายอ่ะ  ไว้ค่อยถามทีหลังนะ’ พิรุณาเดินขยี้ผมตัวเองแล้วกลับไปนอนบนโซฟาตามเดิม 


       เมื่อไม่มีใครให้ความร่วมมือในการตามหาตัวผู้ต้องสงสัย เคนก็เลยต้องจัดการพลิกศพด้วยตัวเอง  เคนเดินตรงเข้าไปหาร่างอีกสองร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่บนโซฟาในส่วนห้องรับแขก เคนพลิกร่างแรกที่ใกล้ตัวที่สุดพบว่าเป็นเกรซก็พลิกร่างนั้นกลับไปตามเดิม  ก่อนจะย่างสามขุมไปยังอีกร่างที่สภาพแทบไม่ต่างจากร่างเมื่อครู่เลย  เขาพลิกศพขึ้นมาพิจารณา ผู้ชายใช่ แต่หน้าไม่ใช่ คนวันก่อนมันต้องเข้มๆสิ  นี่หน้าอ่อนคล้ายๆพิรุณา  หรือว่าจะใช่  แต่เวบแคมมันไม่ได้หลอกตาขนาดนั้นนี่นา  ไม่ใช่แล้ว....หมอนั่นมันเป็นใครวะ



         ธีรธรเข้าที่ทำงานของตนแต่เช้าเช่นที่ทำเป็นปรกติทุกวัน  คุณลีจะเดินเข้ามาพร้อมกาแฟหนึ่งถ้วยหอมฉุยที่มือซ้าย  และสมุดบันทึกที่มือขวา เธอวางกาแฟแล้วเปิดสมุดบันทึกออกแล้วเริ่มบอกกำหนดการของวันนี้ซึ่งตารางงานก็ยังคงแน่นเหมือนเดิม  หลังจากหยุดเคลียร์งานที่บ้านหนึ่งวันแล้วก็ตามแต่จำนวนงานก็แทบไม่ลกลงเลยแม้แต่น้อย  ธีรธรขยับปมเนคไทให้หลวมก่อนจะเริ่มอ่านรายงานการประชุมสำหรับเช้านี้  ธีรธรเหลือบไปเห็นโน้ตที่แปะไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ลายมือภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนที่เขียนไว้ด้วยตัวหนังสือค่อนข้างใหญ่ทำให้ธีรธรสงสัย  มันไม่ใช่ลายมือของเลขาสาวแน่นอน  ข้อความในกระดาษโน้ตบอกนัดหมายคืนนี้ที่ร้านอาหารระดับหรูใจกลางเมืองที่เขาเห็นแล้วยิ้ม เงินทองไม่รั่วไหล พอเหลือบไปดูลงชื่อบอสหนุ่มก็ถึงบางอ้อ ของแม่สาวคริสติน่า มิลเลอร์ที่พักนี้เขาไปพัวพันด้วยนั่นเอง  ธีรธรอยากปฎิเสธที่จะไปพบแต่คิดอีกที นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะจบความสัมพันธ์กับหล่อนเสียที หลังจากควงกันไปงานสังคมเพียงไม่กี่งานจนเป็นข่าวขึ้นมา  เขาจำได้ว่าต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อรับโทรศัพท์เจ้ากรรมของรันดาที่โทรมาซักไซ้ไล่เรียงเสียหมดจด 



          ธีรธรเดินผ่านฝ่ายต้อนรับของภัตรคารหรูกลางเมืองเข้ามาโดยมีพนักงานต้อนรับคนหนึ่งเดินนำหน้าไปยังโต๊ะที่จองไว้  ไม่ว่าจะมองทางไหนก็พบแต่คนดังทั้งนั้น  ไม่ว่าจะนักธุรกิจชื่อดัง  ดารานักร้อง หรือแม้แต่นางแบบร่างอวบอัดในชุดรัดรูป   ที่โต๊ะในส่วนที่ราคาแพงที่สุดของร้านมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งคอยเขาอยู่แล้ว  เธอคือคริสตินา มิลเลอร์ในชุดผ้าซาตินสีดำเนื้อบางเบา คว้านคอลึกจนเห็นเนินอกอวบรำไร บนคอระหงมีสร้อยเพชรเส้นเล็กๆกำลังล้อแสงไฟวูบวาบ  ธีรธรจูบมือเรียวบางที่ส่งให้ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ

“มาช้าจริงนะคะ  นึกว่าจะต้องคอยเก้อเสียแล้ว”หล่อนพูดหลังจากบริกรรับออเดอร์เรียบร้อยแล้ว

“ผมติดงานน่ะครับ”ธีรธรตอบอย่างสงวนคำ อยากให้บรรยากาศน่าอึดอัดนี่หมดไปเสียโดยเร็ว

“เรื่องสาขาใหม่ที่ปักกิ่งเป็นอย่างไรบ้างคะ คริสตี้ได้ข่าวว่าจะจัดคอนเสิร์ตเป็นการประชาสัมพันธ์ด้วย”

“ครับ ก็เรียบร้อยดี เหลือแค่เรื่องการประชาสัมพันธ์เท่านั้นแหล่ะครับ”

“ผูกพันธมิตรกับประเทศแบบนั้นเป็นวิธีที่ฉลาดดีนะคะ”หญิงสาวพูดแล้วจิบเครื่องดื่มในแก้วก้านสูง  ธีรธรลอบมองหล่อนอย่างชั่งใจ

“คุณพ่อคุณก็ทำนี่ครับ”

“อุ้ย  คริสตี้ไม่ค่อยทราบหรอกค่ะว่าคุณพ่อทำอะไรบ้าง” ความเงียบอันน่าอึดอัดโรยตัวลงอย่างช้าๆ หลังจากบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟก็มีเพียงการพูดคุยกันด้วยเรื่องจิปาถะเล็กน้อยเท่านั้น  จวบจนการทานอาหารค่ำจะจบลงธีรธรจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง

“คุณคริสติน่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับข่าวของเราครับ?”

“ทำไมหรือคะ  คริสตี้ก็คิดว่ามันก็เป็นความจริงนี่คะ” ธีรธรนึกในใจ จริงกะผีเดะ 

        เขาไม่เคยคบผู้หญิงตรงหน้าเป็นแฟน แค่ควงเล่นเฉยๆเหมือนคนอื่นๆนั่นแหล่ะเบื่อแล้วก็ทิ้งไป  ยิ่งผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีสติอย่างคนนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่น่าเป็นแฟนด้วยอย่างแรง  หล่อนผิดจากผู้เป็นบิดามากมาย หล่อนไม่สนใจว่าโลกเป็นอย่างไรไปถึงไหนแล้ว คำพูดง่ายๆก็ส่อถึงระดับความรู้ของเธอแล้ว

“แต่ผมคิดว่ามันออกจะเกินไปหน่อยนะครับ” ธีรธรกล่าวเสียงเรียบ

“คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ?  เราแค่ไปงานด้วยกันไม่กี่ครั้งก็ลงพาดหัวทุกฉบับแล้วว่าเป็นแฟนกัน ทั้งที่ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณเลย” คริสติน่า มิลเลอร์ ตะลึงงัน  ริมฝีปากอิ่มสวยที่เคลือบด้วยสีแดงเม้นเข้าหากัน  เธอไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนกล้าปฎิเสธเธอ  ธีรธรเป็นคนแรกที่กล้า

“คุณว่าอะไรนะคะ?” ธีรธรมองเธออย่างใจเย็นก่อนจะตอบเสียงเบาหากหนักแน่น

“ผมว่าเราควรจะจบข่าวพวกนี้สักทีนะครับ”ดวงตาสีนิลเป็นประกายคมกล้าหรี่มองหล่อน  คริสตินา มิลเลอร์กำลังตัวสั่นด้วยความโกรธ

“คุณช่างกล้าอะไรแบบนี้  ฉันไม่เคยอับอายขนาดนี้มาก่อนในชีวิตถ้าเรื่องนี้ถึงหูคุณพ่อ  ธุรกิจของคุณก็จบรู้ไว้เสียด้วย!!” หล่อนกระแทกเสียงก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ครับ  แต่ผมไม่ค่อยแคร์” ธีรธรตอบแล้วยิ้มที่มุมปาก  หญิงสาวตรงหน้า สั่นด้วยความโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น เพราะคนรอบข้างเริ่มหันมาสนอกสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงได้แต่ฮึดฮัดแล้วเดินปึงปังออกไป


         
        ธีรธรที่นั่งอยู่เพียงคนเดียวที่โต๊ะเสยผมอย่างเซ็งนิดๆ  ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในที่แห่งนั้น  เขาไม่แคร์ที่จะถูกมองว่าไปเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว  แต่เขาไม่ชอบการถูกผูกมัดมันน่าเบื่อเกินไป  แม้กระทั่งคำสาบานคนเราที่เคยสาบานไว้ต่อหน้าสิ่งที่ตนเคารพศรัทธายังไม่อาจรักษามันไว้ได้ประสาอะไรกับการผูกมัดบ้าๆนี่ที่เพียงไม่กี่วันกี่เดือนก็จืดจาง  ผู้หญิงสวยน่ารื่นรมย์  แต่ผู้หญิงสวยที่ไม่มีสมองไร้ประโยชน์ เป็นได้แต่เพียงเครื่องบำบัดความกระหายมันก็เท่านั้น 

           ธีรธรจิบเครื่องดื่มในมือ พลางมองไปรอบข้าง  ที่โต๊ะริมหน้าต่างในมุมสงบจุดหนึ่งของร้าน  ชายคนหนึ่งผมสีเทาด้วยอายุ กำลังนั่งหัวเราะร่ากับคนฝั่งตรงข้าม  ธีรธรเหลือบมองคู่สนทนาของชายสูงวัยคนนั้น  ร่างโปร่งบางกับเสื้อเชิ้ตขาวโดยมีเสื้อตัวนอกสีน้ำตาลพาดกับพนักเก้าอี้เบื้องหลังทำให้เขานึกถึงคนบางคน   



         

        พิรุณากำลังคุยกับอาจารย์ของตนที่ไม่เจอกันมานานอย่างออกรส  ท่านกำลังเล่าถึงเรื่องตลกๆที่เกิดขึ้นในวงออเครสตาที่ทำควบคุมอยู่ พลันสายตาพิรุณาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินกระแทกส้นเท้าออกไป ซึ่งโต๊ะที่เธอเดินจากมามีชายคนหนึ่งท่าทางคุ้นหน้าคุ้นตาเขานัก  นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นหน้าชัดๆพิรุณาถึงกับอ้าปากค้างก่อนจะรีบตะปบรายการอาหารใกล้มือมาเปิดบังหน้าตัวเองไว้จนอาจารย์สงสัยว่าอยู่เขาเป็นอะไร ท่านเคาะนิ้วลงบนเมนูที่พิรุณายึดไว้พลางตัวอย่างเหนียวแน่น   พิรุณายื่นหน้าออกมาจากหลังเมนูแบบเสียไม่ได้ แล้วส่งภาษามือให้

‘เราเปลี่ยนร้านกันตอนนี้จะยังทันไหมฮะอาจารย์’ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นทำหน้าสงสัย
‘ร้านนี้บรรยากาศไม่ค่อยดี  ผมอึดอัดน่ะฮะ’ คนเป็นอาจารย์ส่งภาษามือตอบศิษย์ แม้จะผิดๆถูกๆอยู่บ้างแต่ก็พอรู้เรื่อง

‘แต่เธอเป็นคนเลือกร้านนี้เองนะ’

‘ก็ตอนแรกตั้งใจจะหลอกอาจารย์ให้เลี้ยงข้าวแพงๆนี่นา  แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว  เราไปหาร้านถูกๆแต่อร่อยๆกินกันดีกว่า’

‘เอ้า แล้วแต่ฉันเป็นคนขอให้เธอพาเที่ยว ก็ต้องยอมเธอล่ะ’ชายสูงวัยลุกขึ้นแล้วหยิบเสื้อตัวนอกของตัวพาดแขน พิรุณารีบคว้าเสื้อตัวเองมาถือบ้างแล้วเดินออกไปพร้อมกัน พลางนึกไชโยโห่ฮี้วในใจว่ารอดแล้ว


         พิรุณาและอาจารย์ของตนกำลังยืนคุยกันอยู่หน้าลิฟท์เพื่อรอที่จะลงไปชั้นล่างสุด พิรุณาเหมือนจะเห็นที่หางตาว่ามีคนยืนเมียงๆมองๆอยู่ตรงนั้น  พิรุณาจึงหันไปมองอย่างเต็มตา เธอคือคุณลีนั่นเอง  พิรุณาออกจะแปลกใจที่พบเธอที่นี่ ไม่ใช่เพราะคิดจะดูถูกเธอ แต่คิดว่าเวลาขนาดนี้เธอน่าจะอยู่บ้านกับลูกและสามีของเธอแล้วต่างหาก  ลีแอนยิ้มให้พิรุณา เขาจึงยิ้มตอบอย่างยินดี แล้วแนะนำเธอให้อาจารย์รู้จัก 

“คุณนี่เองที่พิรุณาเล่าให้ฟังบ่อยๆ” ลีแอนยิ้มกว้างดวงหน้าเริ่มซับสีเลือดอย่างเขินๆ  เธอเองก็ไม่นึกว่าวาทยากรผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกจะทักทายเธออย่างเป็นมิตรถึงเพียงนี้

“ขอบคุณที่คอยดูแลลูกศิษย์งี่เง่าของผมนะครับ”ชายสูงวัยพูดอย่างสุภาพ

“มิได้ค่ะ  จริงๆแล้วดิฉันก็ไม่ได้ดูแลอะไรเท่าไหร่เลย  คุณปองผู้ช่วยคุณพิรุณาต่างหากละคะที่เป็นคนจัดการอะไรๆเสียส่วนใหญ่”

‘อาจารย์ ลิฟท์มาแล้วฮะ’ พิรุณาส่งภาษามือให้ชายสูงวัย แล้วหันมาโบกมือบ๊ายบายให้ลีแอนที่โบกมือตอบอยู่ไหวๆเช่นกัน  คนทั้งคู่ก้าวเข้าไปในลิฟท์แล้วประตูลิฟท์ก็ค่อยปิดลง พิรุณากดปุ่มที่มีเครื่องหมายตัวGแล้วถอยมายืนข้างอาจารย์  ทันใดนั้นประตูก็กลับเปิดขึ้นอีกครั้ง  ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในสูตรสีดำสนิทเข้ากับสีผมและดวงตาคมกล้าก้าวเข้ามาในลิฟท์ โดยมีคุณลีแอนก้าวยาวๆตามมา  พิรุณารีบซุกกายหลังผู้เป็นอาจารย์ทันทีที่เห็นชายคนนั้นอย่างถนัดตา มันจะตามมาทำไมฟะ

“สวัสดีครับมิสเตอร์ ฮอร์น คุณพิรุณา” น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลกล่าวอย่างสุภาพกับชายสูงวัยกว่า  โดยที่คำว่าพิรุณาออกจะเน้นหนักอยู่เล็กน้อย 

“สวัสดีครับ คุณคือ...”

“ผม ธีรธร  พาณิชยกิจวิโรจน์  ประธานกลุ่มบริษัท PVK.ครับ”

“อ้อ คุณคือสปอนเซอร์ คอนเสิร์ตที่เราจะจัดสินะครับ”ธีรธรได้ฟังก็ยิ้มน้อยๆ  เป็นรอยยิ้มเพื่อธุรกิจโดยแท้  ดวงตาสีม่านราตรีมองกลุ่มเส้นผมสีออกน้ำตาลแดงที่ซ่อนอยู่หลังชายสูงวัยอย่างเงียบเชียบ

“นี่คือลูกศิษย์ของผมเองคุณคงรู้จักกันแล้ว”ชายสูงวัยเบี่ยงกายออกจากการเป็นที่กำบังให้พิรุณา  ดวงหน้าขาวใสนั้นงอง้ำ ไม่ได้อยากจะเจอเล๊ย ไอ้คนเนี้ย  อาจารย์ใจร้าย

“สบายดีนะครับคุณพิรุณา” จากการอ่านปากของพิรุณาทำให้พอจะรู้ว่าธีรธรถามอะไร จึงได้แต่พยักหน้ารับทั้งที่ในใจตะโกนดังๆว่า  สบายดีกะผีดิ

“ไม่ทราบว่าทางร้านเราทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่าครับ? ผมเห็นพวกคุณเดินออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย เลยอยากสอบถามไว้ปรับปรุงน่ะครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เจ้าพิรุณาบอกว่าอึดอัด เลยอยากเปลี่ยนร้านเสียดื้อๆเท่านั้นเอง” ดวงตาคมกล้าหรี่มอง อึดอัดอย่างนั้นหรอ? พิรุณาหลบไปอยู่หลังอาจารย์ตัวเองอีกครั้ง แล้วเริ่มเขียนบางอย่างในกระดาษโน้ตสีนวลๆที่มักพกติดตัวเสมอ

ก็อึดอัดเพราะนายนั่นแหล่ะรู้ไว้ซะด้วย

            ธีรธรอ่านตัวอักษรในกระดาษสีนวลๆที่โผล่พ้นไหล่ผู้สูงวัยที่สุดในที่นี้แล้วมันคันปาก หมู่นี้ไม่ค่อยได้ต่อปากต่อคำกันเท่าไหร่เลย  ธีรธรยิ้มให้มิสเตอร์ฮอร์น พอผู้สูงวัยเผลอ เขาก็ถลึงตาให้คนตัวเล็กที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเสียทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้  สิ่งที่ได้กลับมาคือดวงหน้าขาวนวลๆนั้นกำลังทำลอยหน้าลอยตามาราวกับเด็กเล็กๆ  ลีแอนที่ลอบสังเกตการณ์อยู่นานหลุดขำออกมา ทำให้มิสเตอร์ฮอร์นสงสัย

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ไม่เป็นไรค่ะ  แค่คันคอนิดหน่อย”

“หากว่ามิสเตอร์ฮอร์นว่างละก็คืนนี้เชิญไปดื่มที่คลับของเราก็ได้นะครับ”ธีรธรเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างมีแผน พิรุณารีบดึงชายเสื้อของอาจารย์แล้วรีบส่ายหน้า

‘คืนนี้อาจารย์บอกว่าจะอยู่ดูผมซ้อมเปียโนนี่ฮะ ลืมแล้วหรอ?’

‘ไว้วันหลังก็ได้’

‘จะก๊งละสิ ผมจะโทรไปฟ้องคุณนาย’ พิรุณาส่งภาษามือให้อย่างเป็นต่อ  เพราะอะไรในโลกนี้อาจารย์ก็ไม่กลัว กลัวคุณนายคนเดียวนี่แหล่ะ 

‘คุณนายไม่อยู่หรอก  ไปฝรั่งเศสโน่น’

“เอาสิครับผมกำลังนึกอยากดื่มอยู่พอดี  คงจะดีมากถ้าคุณจะให้เกียรติเป็นเพื่อนดื่มให้ผม”

“ยินดีครับ เชิญ” ธีรธรผายมือให้ผู้สูงวัยกว่าออกจากลิฟท์ก่อนเมื่อมีเสียงสัญญาณบอกว่าถึงชั้นเป้าหมายแล้ว



         พิรุณานั่งทำหน้ากระเง้ากระงอดอีกครั้งหลังจากวันก่อนถูกบังคับให้นั่งหน้าคู่กับธีรธรเมื่อวันที่ย้ายเข้าบ้านใหม่  แต่คราวนี้เป็นการนั่งในคลับหรูระดับไฮโซห้าดาวและแน่นอนว่ามื้อนี้ไม่ต้องจ่าย เพราะเจ้าของคลับ  เอ๊ย โรงแรมนี่เลยต่างหาก  นั่งดื่มเครื่องดื่มสีอำพันคุยกับอาจารย์อย่างออกรส  ราวกับว่าพิรุณาและลีแอนไม่มีตัวตน  พิรุณาเบื่อเต็มทีที่จะต้องนั่งอยู่ตรงนี้โดยที่มีธีรธรอยู่ใกล้ๆ นัยน์ตาสีม่านราตรีนั้นเมื่อไหร่ที่มองมายังตัวเขา มันทำให้รู้สึกอึดอัด  คุณลีก็เช่นกัน อยากกลับไปหาลูกจะแย่อยู่แล้ ว  พิรุณาจึงแอบตกลงกับลีแอนว่าหลังจากนี้ไปยี่สิบนาทีถ้าสองคนนี้ยังก๊งไม่เลิกเขาจะกลับแล้ว  อาจารย์ก็อาจารย์ บอสก็บอส จะทิ้งให้เหมือนขยะเลย คอยดู!  พิรุณาที่กำลังเซ็งเต็มแก่ดื่มน้ำเมาในแก้วตัวเองไปเรื่อยโดยที่รู้สึกว่ามันไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อย  แล้วหยิบมือถือขึ้นมากดพิมพ์ข้อความหยอกล้อคุณลีที่ท่าทางจะเบื่อพอๆกันจนหัวเราะคิกคัก เวลาน่าเบื่อเริ่มไหลผ่านไปเรื่อยๆ จนธีรธรสังเกตเห็นจึงเอ่ยกับคู่สนทนา

“ดึกขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย”

“นั่นสิครับ  ผมเห็นทีต้องขอตัว”ผู้สูงวัยที่ดวงหน้าแดงซ่านด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ลุกขึ้นยืน  ทำให้ทั้งสามคนยืนตาม  พิรุณาทำท่าจะเก็บของเตรียมตามอาจารย์ไป

‘ไม่ต้องขึ้นไปส่งหรอกพิรุณา ขึ้นลิฟท์ไปก็ถึงห้องแล้ว กลับบ้านเถอะ’ พิรุณาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ช่างเป็นภาพที่น่าประหลาดสำหรับธีรธร

“เดี๋ยวผมไปส่งคุณพิรุณาให้ครับ  มิสเตอร์ฮอร์นไม่ต้องห่วงครับ”ธีรธรกล่าวอย่างสุภาพ  ชายสูงวัยยื่นมือขวามาให้ชายหนุ่มจับมือ พิรุณากอดอาจารย์ของตนทีหนึ่ง  อาจารย์กล่าวราตรีสวัสดิ์แก่คนทั้งหมดแล้วจากไป

“ดิฉันขอตามไปส่งมิสเตอร์ฮอร์นแล้วตรงกลับบ้านเลยนะคะ” ลีแอนรีบเสนอตัวก่อนจะก้าวยาวๆตามวาทยากรชื่อดังไปติดๆ  เหลือเพียงพิรุณาและธีรธรยืนอยู่เบื้องหลัง

“มองตาเยิ้มเชียวนะ” ธีรธรค่อนคนตัวเล็กกว่า  ถึงไม่ได้ยินพิรุณาก็รู้ได้ว่าชายคนนี้สื่ออะไร  พิรุณากดข้อความลงในมือถือแบบแค้นๆแล้วยื่นให้ธีรธรดู

คิดอกุศล  ขนาดหูไม่ได้ยินยังรู้เลย

         ธีรธรยิ้มขัน  ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองมากดบ้าง

รู้ใจจริงๆ  อยู่ดื่มต่ออีกหน่อยไหม?


ไม่  ผมจะกลับบ้านนอน  เมื่อคืนก่อนกลับมาตอนตี3แถมไม่ได้เมาอีกตะหาก

ก็นี่ไง  อยู่เมาเสียด้วยกันคืนนี้  พรุ่งนี้จะได้นอนยาว


         พิรุณาส่ายหัวดุ๊กดิ๊กอย่างเสียมิได้ แล้วนั่งลง พับฝามือถือตัวเองเก็บ  พลางมองมือใหญ่ๆของธีรธรรินน้ำสีอำพันใส่แก้วแล้วส่งให้ ก่อนจะรินของตัวเองพิรุณารับมาจิบ  ธีรธรยกแก้วของตนจิบบ้างเช่นกัน แล้วหยิบปากกาออกมาเขียนลงกับกระดาษรองแก้ว  ลายมือหนักเขียนด้วยปากกาหมึกแห้งสีดำสนิทตวัดหางแต่พองามถูกเลื่อนเข้ามาใกล้พิรุณา


คุณคงไม่ได้ดื่มแล้วล่ะ...มาโน่นแล้ว


         พิรุณาอ่านแล้วสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณ  ร่างโปร่งของปองเดินเข้ามาในคลับนี้อย่างคุ้นเคย  เสียงทักทายจากพนักงานรอบข้างทำให้ปองหยุดสนทนาด้วยบ้าง ก่อนจะเดินมายังมุมที่พิรุณาและธีรธรนั่งอยู่ก่อนแล้ว  พิรุณาเห็นปองก็ยิ้มให้  ก่อนจะเห็นคนที่เดินตามปองมา  ร่างสูงใหญ่นั้นดูเป็นเงาทะมึนน่ากลัว ดวงตาสีมรกตของเคนออกจะตัดพ้อเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองอีกคนที่อยู่ในที่นั้น  เคนขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดว่าเคยเห็นชายชาวเอเชียร่างสูงใหญ่คนนี้จากที่ไหน  ดวงตาสีม่านราตรีคมกล้ามองเคนเพียงครู่เดียวก่อนจะหันไปสนใจกับเครื่องดื่มในมือ  ชั่วแวบเดียวนั้นเองทำให้เคนระลึกได้ทันที  ไอ้หมอนี่มัน!


“นายใช่คนที่บ้านพิรุณาเมื่อวันก่อนหรือเปล่า?”เคนถามด้วยเสียงต่ำกว่าปรกติ  ธีรธรดูจะไม่ใส่ใจกับคำถามมากนัก

“ถ้าใช่แล้วไง”เสียงเข้มๆตอบกลับมาอย่างไม่แยแส

“นายมาอยู่กับพิรุณาได้ยังไง วันนี้พิรุณามากับอาจารย์เอ็ดเวิร์ดไม่ใช่หรอ?” เคนยิ่งคำถามใส่ ปองขยับตัวทำท่าจะเข้าไปตอบแทนอดีตนายจ้างตัวเอง  แต่มืออุ่นๆของพิรุณาคว้าไว้ นัยน์ตาสีสวยพราวอย่างนึกสนุก

“ใช่มิสเตอร์ฮอร์นมากับพิรุณาวันนี้  แต่มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยถ้าผมจะมาตรวจความเรียบร้อยกิจการของผมเอง” เคนอ้าปากเหมือนจะพูดแต่แล้วก็ชะงักไป ตะกี้พูดว่ากิจการของตัวเอง....ไอ้โรงแรมนี้มันของ PVK.ไม่ใช่หรอวะเนี่ย?



           พิรุณาเห็นปองทำหน้ายุ่งๆกับบทสนทนาระหว่างเคนกับธีรธรก็เลยนึกขำพลางเผลอซดโฮกน้ำสีอำพันในมือจนหมดแก้วอีกครั้งซึ่งพิรุณาเองก็ดูจะไม่ได้นับเหมือนกันว่าแก้วนี้เป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้ว  รู้เพียงว่าเริ่มรู้สึกมึนๆ และร้อนที่หน้า  ดวงตาสีน้ำตาลแดงฉ่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใบหน้าแตะแต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม  ปองหันมาเป็นท่าทางพิรุณาที่ดูแปลกไปจากปรกติก็รู้เลยว่าคนที่บ่นเมื่อตอนบ่ายว่ายังไม่ทันได้เมา ตอนนี้เมาสมใจอยากแล้ว  ปองดึงแก้วในมือพิรุณาออกเป็นเชิงว่าอย่าดื่มอีกเลย  แต่พิรุณาที่ดูจะรื่นรมย์ต่อทุกสิ่งยังต้องการดื่มมากกว่านี้ จึงคว้าแก้วใสใบนั้นกลับมาแล้วเติมน้ำสีอำพันนั้นลงไปอีก ก่อนจะจรดที่ริมฝีปากดื่มต่อไป


“คุณคือ ประธานกลุ่มPVK!!.”เคนพูดด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับจะหมดแรง  ธีรธรมองเคนอย่างนึกเยาะในใจ

“คุณคงเป็น ทายาทของอานิโมโต”ธีรธรกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย  ปองเริ่มทนไม่ได้กับบทสนทนาที่หาสาระไม่ได้  มัวแต่ถามชื่อแซ่กันอยู่นั่น  คุณพิรุณาเมาเละแล้ว   

“ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ?” ธีรธรถามอย่างใจเย็นมองเคนอย่างประเมิน จนเคนรู้สึกได้และเริ่มกรุ่นๆขึ้นมาแล้ว

“ผมมาตามเพื่อนกลับ”เคนตอบเสียงห้วนพยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้สงบไว้  การเป็นฝ่ายปะทุก่อนจะทำให้เสียเปรียบ...ซึ่งตอนนี้ก็เสียเปรียบมากอยู่แล้ว

“แค่เพื่อนเท่านั้นหรอกหรอ?” น้ำเสียงของธีรธรฟังดูเหมือนเยาะเสียมากกว่าจะถาม  ทำให้เคนหงุดหงิดมากขึ้น  รู้สึกอยากต่อยกับไอ้ประสาทตรงหน้านี่เต็มแก่

“ แล้วคุณล่ะ คงไม่ใช่แฟนพิรุณาแน่!!!”

“อนาคตตะหากล่ะเด็กน้อย”ธีรธรกล่าวกลั้วหัวเราะ

“มันจะมากไปแล้วนะคุณ!!” เคนเสียงแข็งเตรียมจะโดดเข้าใส่ธีรธร  ปองจึงรีบเข้าไปห้ามทัพ

“พอเสียทีเถอะครับ คุณพิรุณาเมาจะแย่แล้ว ทะเลาะกันเป็นเด็กๆไปได้ ไม่อายคนเขามั่ง” ปองพูดเสียงดังทำให้เคนและธีรธรเลิกแยกเขี้ยวใส่กัน  เคนจึงได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่าน ส่วนธีรธรก็ทำหน้าเซ็งๆแบบเสียเส้น


       พิรุณายิ้มหวานให้คนทั้งสาม  ร่างโปร่งบางๆนั้นลุกขึ้นกระโดดเกาะคอเคนซึ่งเป็นคนที่ยืนใกล้ตนที่สุด  ดวงหน้านวลใสนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆจมูกโด่งสวยของเคน  เคนยิ้มน้อยๆที่มุมปากอย่างเอ็นดูพลางใช้มือโอบคนตัวเล็กให้ยังทรงตัวอยู่ได้  ช่างเป็นภาพบาดตาบาดใจธีรธรนัก โดยลืมไปแล้วว่าปองอยู่แถวนี้และกำลังพยายามปลดแก้วเครื่องดื่มออกจากมือพิรุณา  ธีรธรมองดวงหน้านวลสวยนั้นคลอเคลียอยู่ใกล้ริมฝีปากของเคน ช่างเหมือนลูกแมวน้อยที่คลอเคลียอยู่กับเจ้าของเสียเหลือเกิน ช่างน่ารักน่าชังเสียจนอยากชิงมาไว้ในอุ้งมือตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด!




“บอสครับ ผมคงต้องพาคุณพิรุณากลับบ้านแล้วล่ะครับ  คุณเคนครับผมขออาศัยรถคุณกลับนะครับ คุณพิรุณาเมามากแล้ว”ปองรีบพูดก่อนที่จะยืดเยื้อไปกว่านี้พลางประคองพิรุณาให้ยืนตรงๆ เคนพยักหน้ารับ

“ขอตัวนะครับ”เคนกล่าวอย่างสุภาพให้ธีรธร ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเคนก็กรีดเสียงร้องขึ้น เคนรับก่อนจะชะงักนิ่ง แล้วเลี่ยงออกไปคุยยังมุมสงบและกลับมาสมทบกับปอง ดวงหน้าคมสันนั้นซีดอย่างน่ากลัว

“คุณปองผมคงส่งไม่ได้  ผมต้องรีบกลับอิตาลี เลขาผมโทรมารายงานว่าคุณแม่ของผมประสบอุบัติเหตุ ต้องกลับเที่ยวบินห้าทุ่มสิบห้า” ปองยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู  สี่ทุ่มสามนาที
“คุณไปเถอะครับ  ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ก็ได้” ปองกล่าวพลางหยิบเสื้อตัวนอกของพิรุณามากางออกแต่เมื่อเห็นว่าเคนทำท่าลังเลจึงรีบเอ่ยออกไปว่า

“ถ้าไม่รีบคุณจะไปไม่ทันนะครับ  ผมจัดการทางนี้ได้”ปองกล่าวเสียงเรียบ แล้วสวมเสื้อตัวนอกให้พิรุณาได้สำเร็จ   เคนสูดหายใจแรงๆครั้งหนึ่งแล้วหันหลังเดินก้าวยาวๆจากไป  ปองมองตามเพียงครู่เดียวก็รู้สึกว่าแขนของพิรุณากำลังเกาะคอตนเองบ้าง ดวงหน้านวลใสนั้นเคล้าเคลียอยู่ใกล้ๆ  ธีรธรเห็นแล้วขัดตาจึงรั้งแขนพิรุณามาใกล้

“คุณปองถือของตามมา” ธีรธรบอกเสียงเข้มแล้วลากตัวพิรุณาเดินลิ่วๆออกไป ปองจึงทำได้เพียงโกยของทุกอย่างของพิรุณามาถือไว้แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป



         ธีรธรจัดแจงให้พิรุณานั่งหลังแล้วกำชับปองให้คาดเข็มขัดนิรภัยให้พิรุณาด้วย  ก่อนจะเข้าประจำที่คนขับ   ปองเอื้อมมือมาจัดท่าให้พิรุณาซึ่งขณะนี้ดูจะสิ้นฤทธิ์กับการเลื้อยเกาะคนอื่นไปแล้วให้นอนสบายขึ้น    ปองเห็นบางอย่างที่ดวงหน้าขาวนวลๆนั้น  มันคือน้ำตาที่หยาดหยดลงอย่างเงียบเชียบ  ปองควานหาทิชชูออกมาแล้วซับให้อย่างเบามือ  ธีรธรที่มองจากกระจกมองหลังเห็นปองทำบางอย่างจึงถาม

“คุณพิรุณาเป็นอะไรหรือ  หรือว่าจะอ้วก”

“เปล่าครับ  แค่...น้ำตาไหล”ปองตอบด้วยเสียงเรียบๆ พลางซับน้ำตาที่ยังคงหยาดหยด

“ร้องไห้หรือ?” ปองรับคำสั้นๆ 

       หลายครั้งตลอดการเป็นโฮสต์ของปองเคยเห็นคนเมามาแล้วก็หลายรูปแบบ  แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนเมาแล้วร้องไห้กับตาตัวเอง   ว่ากันว่าคนที่เมาแล้วร้องไห้ แสดงว่าเขาซ่อนบางความทุกข์บางอย่างไว้ในใจ  พิรุณาเป็นคนร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสทำให้ปองแปลกใจว่าดวงหน้าที่แย้มยิ้มอยู่เสมอนั้นทำไมถึงได้ร้องไห้แบบนี้    แต่อีกใจหนึ่งก็หวนคิดถึงเหตุการณ์เรื่องร้ายๆของเขาที่พิรุณาเป็นคนประคับประคองให้ปองยืดหยัดได้ บางเวลาพิรุณาก็เด็กอย่างน่าเอ็นดู  แต่ในทางกลับกันนั้นก็เป็นผู้ใหญ่จนน่ากลัว นัยน์ตาคู่สวยนั้นสะท้อนแววบางอย่างที่เหมือนผ่านอะไรๆมามากมาย

“ผมต้องลงไปดูหรือเปล่า?”เสียงของบอสหนุ่มฟังนุ่มนวลกว่าทุกครั้งทำให้ปองยิ้มน้อยๆ

“ไม่เป็นไรครับ  ขับให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยก็พอ”
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 09-12-2007 20:58:36
เข้ามาเม้นต์ให้เสียเส้นเล่น 

1. มันรีบคาบข้อมือพิรุณาที่ได้จังหวะแล้วออกแรงยื้อนิดๆเช่นทุกครั้ง  = รบกวนคุณน้องช่วยแปลประโยคนี้ให้เจ้เข้าใจหน่อยได้มะ  อ่านแล้วไม่เข้าใจ  ขนาดพยายามแปลไทยเป็นไทยแล้วนะ  อิอิ

2. เจ้าหมายังพยายามยื้อร่างเจ้านายให้ลุกขึ้น = ไม่ทราบน้องเคยอ่านเรื่อง "มอม" ของอาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ ไหมเคอะ  ความแตกต่างระหว่าง "เจ้านาย" กับ "นาย" น่ะ มีนะ  แก้ไขดีไหมเอ่ย?  ประมาณว่า เจ้าหมายังพยายามยื้อร่างของนายมันให้ลุกขึ้น  อิอิ

3. “ทำไมหรือคะ  คริสตี้ก็คิดว่ามันก็เป็นความจริงนี่คะ” ธีรธรนึกในใจ จริงกะผีเดะ = ขยะ ในชิ้นงานของคุณน้อง  เอามันออกดีกว่าไหมเคอะ  เสียดายความสวยของสำนวนอื่นๆ ที่ทำได้ดีมาตั้งนานแล้ว


ส่วนอย่างอื่นไม่เม้นต์แระส์  เด่วคนเขียนจะงอน  ไม่ลงเรื่อง  ตาเฒ่าเรย์ได้ด่าเจ้อีก

กลุ้ม  เป็นโมบอร์ดนี้ต้องนอบน้อม กระด้างกระเดื่องไม่ได้  เด่วลูกเป็ดไม่พอใจมันด่าเราได้  แต่โมด่ามันกลับไม่ได้  ลบเม้นต์ที่มันด่าเราก็ไม่ได้  ต้องใจกว้างให้เค้าด่า อิอิ

ไปแระส์
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 09-12-2007 23:38:03
คนอ่านคนเม้นต์น้อย ไม่เป็นไรค่ะ  เเต่เม้นต์ที่ได้มาเเต่ละครั้ง ก่อประโยชน์สำหรับเมศมาก
ขอบคุณสำหรับการวิจารณ์ตักเตือนอันละเอียดอ่อนของคุณ oaw_eang นะคะ เมศจะรับไปพิจารณาปรับปรุงเเก้ไข

ยังคงมีพิมพ์ตกพิมพ์หล่นเล็ดลอด ต้องเป็นคำว่าทันที ('ทัน'หายเสียอย่างนั้น)

เเละยังมีขยะหลุดมาด้วย อืม สองจุดทีเดียว

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ

ปล.คนเขียน เขียนไปไกลเเล้ว  ถ้าดองที่บอร์ดนี้เเสดงว่าคนเเปะอู้  หึหึหึหึ(เข็มทิศทองคำสนุกไหม 55+)


หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 10-12-2007 00:03:28
ปล.คนเขียน เขียนไปไกลเเล้ว  ถ้าดองที่บอร์ดนี้เเสดงว่าคนเเปะอู้  หึหึหึหึ(เข็มทิศทองคำสนุกไหม 55+)

 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:

ขอบคุณพี่สองแทนน้องเมศด้วยนะครับที่คอยตรวจนิยายให้น้องเมศ แล้วอย่าหนีหายไปนะครับโน้ตจะเอามาลงเรื่อยๆและช่วยกันตรวจเน๊าะทั้งพี่สองทั้งคนอ่านท่านอื่นและคนแปะ(แค่ตรวจคำผิดก็จะแย่แล้วเรา  ไม่ใช่ว่าผิดเยอะมากมายจนเหนื่อยแต่เพราะมีความสามารถทางภาษาอันน้อยนิดนัก T T) :m23:

มาต่อกานเลยเนาะ :a1:
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พิรุณาลืมตามองฝ้าเพดานอันคุ้นเคยก็ระลึกได้ว่าตนกำลังอยู่บนที่นอนของตัวเอง  ศีรษะหนักราวกับข้างในบรรจุตะกั่วไว้หลายตัน  แต่แม้ว่าจะรู้สึกอย่างนั้นพิรุณาก็ยังฝืนกายลุกขึ้นเดินโซเซไปตามทางเดินในบ้านตัวเอง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไม้ขีดที่หัวโตตัวลีบ  พิรุณาตะเกียกตะกายมาถึงห้องนั่งเล่นได้สำเร็จ กลิ่นหอมของกาแฟโชยมาแตะจมูกเป็นอย่างแรก   ต่อมาคือภาพเกรซกำลังยืนสีไวโอลินโดยมีโน้ตที่จับใส่รวมไว้เป็นแฟ้มเดียวตั้งพิงไว้กับโซฟา เธอสีไปพลางมองโน้ตไปด้วยพอสุดหน้าก็ใช้คันชักเขี่ยให้พลิกหน้าต่อไป พิรุณายิ้มขันกับท่าทางตลกๆของเพื่อน  ที่อีกด้านหนึ่งปองกำลังเดินเข้าๆออกๆห้องครัว โดยมีเจ้าหมาเดินตามต้อยๆ 

‘ตื่นแล้วหรอ   เห็นปองว่าเมื่อคืนเมาแอ๋เลย  แก้แค้นที่คืนก่อนต้องกระเตงฉันกับปองกลับบ้านหรือไง?’

‘ถูกต้องและคร้าบ’ พิรุณาส่งภาษามือให้อย่างอารมณ์ดี  ปองเดินออกจากห้องครัวมาเห็นเข้าพอดีจึงตรงรี่เข้ามาหาแล้วส่งภาษามือให้

‘แฮงค์หรือเปล่าครับ ปวดหัวไหม?’

‘ไม่เป็นไรแค่มึนนิดหน่อย’พิรุณาเดินไปนั่งที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ แล้วเปิด ปองเดินตามมาใกล้ๆ

‘ทานอาหารเช้าหน่อยนะครับ’ พิรุณาพยักหน้า

‘ขอกาแฟไม่ใส่น้ำตาลด้วย  อ้อ  ยกโหลกาแฟออกมาเลยก็ได้’   ปองทำหน้างงๆ

“พิรุณาของกาแฟไม่ใส่น้ำตาลล่ะสิ”เกรซส่งเสียงแซวปอง ก่อนจะเริ่มสีไวโอลินอีกครั้ง โดยมีเจ้าหมานั่งหูตั้งเป็นผู้ฟัง  แต่สีไปได้ไม่นานเสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นเกรซลดไวโอลินลงแล้วเดินไปเปิดประตูราวกับว่าเป็นบ้านตัวเอง  ในขณะที่พิรุณากำลังยัดแผ่นเกมส์เข้าไปในเครื่องเพลย์อย่างไม่ค่อยสนใจว่าใครจะไปใครจะมา


         ชายร่างสูงหนาผมสีดำสั้นชี้ๆดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวน้อยๆ ยืนอยู่หน้าบ้าน  ด้วยชุดหนังที่เขาใส่ทำให้ดูเหมือนพวกแก๊งซิ่งสิงห์นักบิดอยู่บ้างเล็กน้อย เกรซมองชายตรงหน้าแล้วอ้าปากค้าง  ไม่มีใครทำให้เธอตกใจได้เท่าชายคนนี้อีกแล้ว  เขาคือลีออง ซึ่งไม่ได้มาแค่คนเดียวยังมีชายสูงวัยอีกคนที่วันนี้แต่งกายแบบสบายๆถ้าไม่มีใครบอกคงไม่มีใครรู้ว่าตาลุงแก่ๆคนนี้คือหนึ่งในวาทยากรชื่อก้องโลก   เกรซเปิดประตูออกกว้างแล้วอ้าแขนโอบรอบคอลีออง ก่อนจะกอดเอ็ดเวิร์ด ฮอร์น แล้วเชื้อเชิญเข้ามาในบ้านทั้งที่ไม่ใช่บ้านเธอเลยแม้แต่น้อย  ส่วนเจ้าของบ้านตัวจริงกำลังตักผงกาแฟสำเร็จรูปใส่ลงในแก้วกาแฟตัวเองแบบไม่ยั้ง โดยมีปองยืนดูอยู่อย่างหวาดเสียวว่ากาแฟนั้นกินได้แน่หรือ  เสื้อหนังสีดำหล่นปุ๊ลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลออกแดง พิรุณาดึงมันลงจากหัวตัวเองแล้วแหงนหน้ามองเจ้าของเสื้อที่ยืนยิ้มเผล่ให้ด้วยหน้าโหดๆนั้น

‘สวัสดีลีออง  มาลากตัวเกรซกลับหรอ?’

‘ มาช่วยทำงานตะหาก’ลีอองตอบด้วยภาษามือที่กระท่อนกระแท่นเต็มที พิรุณาเห็นอาจารย์ตัวเองก็รีบลุกขึ้นอาจารย์เขกกะโหลกศิษย์รักให้หนึ่งที

‘ไหนใครงอแงเมื่อคืนว่าจะซ้อมๆ ทำไมวันนี้ยังนั่งเล่นเกมส์อยู่อีก’พิรุณายิ้มเหย

‘ซ้อมครับ ห้องอยู่ข้างใน’ พิรุณารีบซดกาแฟขมปี๋ให้หมด โยนจอยซ์ให้ลีอองเล่นต่อ  แล้ววิ่งหายเข้าไปในครัวเพื่อล้างแก้วโดยไม่ลืมตะปบไส้กรอกที่ปองทำไว้ให้เข้าปาก ก่อนพาอาจารย์ไปยังห้องซ้อม



         การเตรียมงานคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นในอีกประมาณสามเดือนหลังจากนี้เท่าที่พิรุณาเห็นพอจะบรรเทาความกังวลของเขาไปได้บ้างแล้วเพราะ ทุกคนดูจะรู้งานมาก่อนหน้านั่นคือ มีการคัดเพลงที่จะใช้ในการแสดงไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงบางเพลงเท่านั้นที่เกรซมอบหมายให้พิรุณาเลือกโดยเลือกเอาเฉพาะเพลงประกอบหนังจีนชุดที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เน้นเพลงที่ทำนองไม่ช้าไม่เร็วมากนัก ซึ่งในบรรดาเพลงที่คัดมาเกรซดูจะถูกอกถูกใจกับเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เป็นพิเศษ   แต่เพลงที่เด่นสะดุดตาพิรุณามากคือ The Butterfly Lover Concerto จำได้ว่าพิรุณารู้จักเพลงนี้ครั้งแรกด้วยแผ่นจีนแดงที่เพื่อนในวงBSO* (บางกอกซิมโฟนี ออเคสตร้า) ส่งมาให้เนื่องจากไปเดินเที่ยวแถวเยาวราชแล้วพบเข้าพอดีเลยหวังดีซื้อเผื่อเพราะสนนราคาไม่แพงเลยเนื่องจากเป็นแผ่นจีนแดงแท้ๆ  แต่บรรเลงได้หมดจดหยดย้อยทีเดียว  เพลงนี้เป็นเพลงที่ไพเราะมากลักษณะการบรรเลงเป็นแบบดับเบิลคอนแชร์โต้ คือเป็นคอนแชร์โต้สำหรับไวโอลินและเชลโล่ ที่มาของเพลงนี้มาจากอุปรากรจีน ซึ่งพิรุณาก็มีเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง และโยนใส่กระเป๋าเกรซแล้วเรียบร้อย



         พิรุณาเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นพบว่าเกรซกำลังนั่งดูหนังเรื่องดังกล่าวอยู่ที่หน้าทีวีโดยมีอาจารย์และลีอองขนาบข้าง พิรุณาสังเกตเห็นว่ามีแขกคนอื่นอีกคือนักโอโบ วิโอล่า  และนักเชลโลซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนของเขาทั้งนั้นนั่งรวมๆอยู่ด้วย ใครหาที่เบียดไม่ได้ก็นั่งกับพื้น โดยมีปองส่งกล่องทิชชูให้คนที่ส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความคัดจมูกจากการดูหนังเศร้า  พิรุณายิ้มขันเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้เศร้ามากซึ่งเขาเองดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจมากนักเพราะมีเนื้อหาเกี่ยวกับประเพณีจีนซึ่งพิรุณาแทบไม่รู้อะไรเท่าไหร่นัก  แต่พอรู้เรื่องคร่าวๆ

        นางเอกด้วยความว่าสมัยโบราณไม่สนับสนุนให้ผู้หญิงเรียนหนังสือแต่เธออยากเรียน  จึงได้ปลอมตัวเป็นชายเข้าไปเรียนหนังสือในวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จนได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาเขาดูจะเป็นคนเดียวที่ยอมคบหาสมาคมกับเธอ ซึ่งคนอื่นๆมองว่าเป็นผู้ชายที่ตุ้งติ้งเหลือเกิน     แต่เรื่องก็เศร้าน่ะนะระหว่างที่พระเอกนางเอกรักกัน พร้อมๆกับที่จะจบการศึกษา  นางเอกก็ถูกตามตัวกลับบ้านให้ไปแต่งงาน   พระเอกพอรู้ว่าคนรักของตัวเองแต่งงานกับคนอื่นก็หัวใจสลายจนตาย  บังเอิญในวันแต่งงานขบวนเจ้าสาวของนางเอกผ่านหลุมศพของพระเอก  เธอเห็นดังนั้นจึงกระโดดลงจากเกี้ยวร้องไห้เสียยกใหญ่ปานจะขาดใจ  พร้อมกับอธิฐานว่าชาติหน้าขอให้ได้เคียงคู่กันตลอดไปไม่พลัดพราก  ช่วงที่นางเอกกำลังใกล้จะหมดลมเต็มที ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมา เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ทำให้ร่างของคนทั้งคู่กลายเป็นผีเสื้อโบยบินไปพร้อมกัน  พิรุณาคิดว่าหนังเรื่องนี้ควรจะให้คอนดักเตอร์ได้ดูด้วย เพราะจะต้องเป็นคนตีความเพลงทั้งหมด  เพลงจะออกมามีความหมายอย่างไรขึ้นกับคอนดักเตอร์คนนั้นๆตีความ  เพลงเดียวกันตีความได้หลายแบบดังนั้นต้องตีความให้ดีและเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับเพลงนั้นๆ  ไม่เช่นนั้นอาจเปลี่ยนเพลงหวานซึ้ง เป็นตื่นเต้นอย่างกับยุคตื่นทองก็เป็นได้

“เกรซเธอเปิดหนังอะไรอ่ะ เศร้ามากเลยฉันไม่ได้มาบ้านพิรุณาเพื่อร้องไห้นะ” ทีน่านักวิโอล่าปาดน้ำตาป้อยๆ

“ไม่รู้ ก็พิรุณายัดใส่กระเป๋าฉันนี่นา” เกรซเถียงด้วยเสียงอู้อี้ ก่อนจะรับทิชชูจากลีอองมาสั่งน้ำมูกเสียงดัง

“จะจบหรือยังเนี่ย” นักโอโบหนุ่มนามอเล็กซ์ถามเบาๆ พอเห็นว่าเพลงจบดังขึ้นแล้วก็ถอนใจโลกอก ก่อนหันมาเห็นพิรุณาที่ยืนยิ้มอยู่ที่มุมห้อง  ด้วยดวงตาแดงก่ำ

“ตัวดีมาเเล้ว นั่นไง”

‘หนังเป็นไง  สนุกหรือเปล่า?’พิรุณาถามยิ้มๆ โดยมีปองช่วยแปลเป็นคำพูดให้กับสมาชิกใหม่บางคนที่ไม่สันทัดภาษามือเท่าไหร่

‘สนุกจนน้ำตาไหลเลย’เกรซส่งภาษามือตอบ 

‘ดูหนังจบแล้วก็มาประชุมกันดีกว่า’ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

‘ตกลงว่าเราจะเล่นแบบบิ๊กแบนด์หรือว่าอะไร?’

‘ฉันอยากเล่นบิ๊กแบนด์* นะ  แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าทำยังไงเราถึงจะได้คนครบ’ เกรซออกความเห็น

“เราต้องใช้คนเยอะพอสมควร  แต่จะให้ไปชวนเพื่อนๆเราที่เล่นอาชีพมาช่วยทุกคนคงทำได้ยากน่ะนะ” เทรส นักเชลโล่บอกพลางยักไหล่

“แล้วถ้าเรายืมคนจากวงท้องถิ่นล่ะ”

‘ไม่ได้หรอก  เพราะว่าอีกสามเดือนข้างหน้า วงของที่นั่นก็จะจัดงานเหมือนกัน’พิรุณาส่งภาษามือโดยมีปองแปลเป็นคำพูดให้แทบจะเรียกได้ว่าเหมือนซับไตเติลเลยทีเดียว

“เราเคยมีโปรเจคนักเรียนนี่หว่า”อเล็กซ์ร้องขึ้น ทำให้ทุกคนหันมาเป็นตาเดียว

“วงของนักเรียนวิทยาลัยดนตรีนะหรอ?”ลีอองกล่าว ในดวงตามีเค้าเห็นด้วย

“ของที่นี่เราไม่เคยติดต่อไว้นะ  แต่ถ้าของจีนล่ะมีชัวร์เพราะปีก่อนเราเพิ่งไปกันมา พิรุณาไม่ได้ไปด้วย เด็กที่นั่นใช้ได้เลยล่ะ”ทีน่ากล่าวยิ้มๆอย่างเห็นด้วยและมีความหวัง 

“ติดต่อต้นสังกัดดิ ให้ทางนั้นเค้าคัดตัวไว้ก่อนเลยแล้วส่งมาให้เรา” เทรสสะกิดเกรซแหยงๆ  เพราะเกรซดูจะเป็นคนเดียวที่พอจะคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ของต้นสังกัดได้

“ส่งมาให้เราหรอเทรส  รู้ไหมว่าการส่งคนเป็นสิบข้ามประเทศเนี่ยมันเรื่องใหญ่ขนาดไหน ใช้เงินเท่าไหร่  เขาคงอนุมัติหรอก”เกรซเริ่มเอาเสียงดังเข้าข่ม

‘เราก็ไปเสียเองสิ เราคนน้อยกว่าอยู่แล้วเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ไม่แปลก  ทางสปอนเซอร์เองก็ตกลงใจกันไม่ได้ว่าจะจัดที่นี่หรือที่จีนดีไม่ใช่หรอ เราก็ชิงไปก่อนเลยแล้วถ้าเขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะจัดที่ไหนเราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินอีก’ พิรุณาเสนอความคิดเห็นเจ้าเล่ห์บ้างทำให้ทุกคนพยักหน้ายอมเจ้าเล่ห์ตาม

‘เหลือแต่อาจารย์นี่แหล่ะ ตอนนี้สื่อกำลังวิจารณ์อาจารย์ว่ากำลังเล่นขายของกับเด็กๆอย่างพวกเราอยู่’

       ทุกคนหันไปหาชายสูงวัยที่สุดที่อย่างขอคำตอบ  เพราะตั้งแต่เริ่มคุยกันมา ผู้สูงวัยที่สุดยังไม่ได้เอ่ยปากอะไรเลย  เอาแต่กอดอกนิ่งศีรษะตกลงเหมือนคนตั้งหน้าตั้งตาคิดอะไร  พิรุณาหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปิดเสียงที่เคยอัดไว้ แล้วยื่นไปใกล้หูอาจารย์ เสียงแผดร้องของผู้หญิงมีอายุก็ดังขึ้น  ‘เอ็ดเวิร์ด  ฮอร์น!!!!!’   ทุกคนกลั้นยิ้มทันทีที่เจ้าของชื่อผวาลุกขึ้นมองหาต้นเสียง  เพราะเสียงนี้เป็นเสียงที่ทั้งรักทั้งกลัวเลยล่ะ  มันจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกเสียจากคุณนายฮอร์นนี่แหล่ะ  ทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่า ศิษย์อาจารย์คู่นี้ร้ายกาจพอๆกันเลย ถนัดนักเรื่องแกล้งชาวบ้านเนี่ย


‘ตะกี้ถึงไหนนะ?’

‘ถึงตรงที่ว่าอาจารย์จะไปจีนกับพวกเราไหมฮะ  สื่อตอนนี้กำลังคิดว่าอาจารย์จะเล่นขายขนมกับพวกเรา’

‘ช่างหัวสื่อสิ แต่จะตามไปเมื่อไหร่ต้องขอเวลานิดนึง’

‘ไปปรึกษากับคุณนายก่อนสินะฮะ’ พิรุณาพยักหน้ารับหงึกหงักเข้าใจ อย่างน่าหมั่นไส้

“โด่  ที่แท้ก็กลัวเมีย”อเล็กซ์พึมพำ ทำให้เพื่อนๆขำกลิ้ง




         ธีรธรเปิดมือถือตัวเองออกมาขณะที่รถติดไฟแดงอยู่แถวสี่แยกใหญ่  กดเข้าโหมดแกลลอลีภาพ ก่อนจะเลื่อนดูภาพล่าสุดที่เมื่อคืนถ่ายไว้  ภาพดวงหน้าขาวนวลกำลังหลับตาพริ้ม เส้นผมสีน้ำตาลแดงกระจายเต็มหมอนทำให้ธีรธรแอบอมยิ้มกับตัวเอง   เมื่อคืนนี้เขาพาพิรุณาที่เมาหลับไปในรถมาส่งบ้าน  หลังจากปองพยายามประคองร่างพิรุณาที่ปวกเปียกกลับเข้าบ้านทำให้ธีรธรรู้สึกขัดตาจึงเข้าไปช่วยอุ้มพิรุณาไปส่งให้ถึงห้องนอน แล้วโยนแปะลงบนเตียง  ปองเดินหายไปจัดการกับเจ้าหมาที่หิวไส้กิ่ว  เขาจึงต้องรับหน้าที่ดูแลพิรุณา  มือใหญ่เอื้อมไปปลดกระดุมบนออกสองเม็ดให้คนตัวเล็กนอนสบายขึ้นแล้วดึงเสื้อออกจากกางเกงให้ด้วย  ปองเอาอ่างเล็กพร้อมผ้าชุบน้ำหมาดเข้ามาขณะที่กำลังจะเช็ดให้นั้นเสียงแฟกซ์ก็ดังขึ้นทำให้ต้องพละออกไป  ธีรธรจึงต้องรับหน้าที่แทนอีกครั้ง  เขาบรรจงเช็ดหน้าให้คนเมาแอ๋ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วเช็ดแขนให้  ส่วนที่อื่นๆนั้นขอสารภาพว่าไม่กล้าเช็ดให้  รอปองมาจัดการดีกว่า ธีรธรจึงได้มองดวงหน้าขาวๆนั้นอย่างถนัดถนี่จนเขาอดไม่ไหวต้องหยิบมือถือมาถ่ายภาพเก็บไว้...... เสียงแตรจากรถคันหลังทำให้บอสหนุ่มหลุดจากภวังค์ หากเป็นเวลาปรกติเขาคงหัวเสียหงุดหงิด  แต่คราวนี้เขากลับยิ้มขันๆให้ตัวเองที่หมู่นี้ชักเป๋อๆอย่างไรชอบกล
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 10-12-2007 03:26:34
ตอนนี้พระเอกน่ารักดี

อ่านแล้วอมยิ้มเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 10-12-2007 04:26:45
เราว่าเราแปะครบแล้วพอแก้ปุ๊ปหายเลย เอามาแปะใหม่ให้ครบก็ด่ะ  :m16:
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
‘ คุณเคนส่งแฟกซ์มาให้เมื่อบ่ายนี้ครับ’ ปองยื่นแฟกส์ยาวเป็นหางว่าวให้พิรุณาหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ   พิรุณากวาดตาอ่านบ้างข้ามบ้างเนื่องจากมันยาวเกินความสูงของพิรุณาด้วยซ้ำ  ในเนื้อความไม่มีอะไรเลยนอกจากขอโทษขอโพยที่ไปส่งพิรุณาไม่ได้  กับบ่นว่าต้องรีบกลับอิตาลีเพราะคุณแม่ประสบอุบัติเหตุเล็กน้อยเอวเดาะ แต่เลขารายงานเสียเป็นเรื่องใหญ่ 

         

       พิรุณาเดินกลับไปเขียนแฟกซ์ส่งกลับไปให้เคน ด้วยการสรุปเหตุการณ์ปัจจุบันแบบประหยัดน้ำหมึกสุดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องซ้อมที่ดูจะแออัดไปถนัดตาเมื่อมีคนถึงห้าคนอัดตัวกันอยู่ในห้องโดยรวมเขาเป็นคนที่หก  ส่วนอาจารย์นั้นกลับที่พักแล้วเนื่องจากพรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีกงานหนึ่งซึ่งเป็นงานสุดท้ายของฤดูกาลนี้  นักดนตรีทั้งหลายต่างกำลังซ้อมเพลงตรงหน้าตัวเองจนเสียงดังล้งเล้งตีกันวุ่นวายไปหมดไม่เว้นแม้แต่ลีอองที่ถึงจะเป็นคอนดักเตอร์แต่ด้วยความเบื่อหน่ายก็พกแบนโจ*มาเล่นฆ่าเวลาด้วย  จนปองต้องเอื้อมมือไปปิดประตูไว้ ด้วยเกรงว่าข้างบ้านจะมาทุบประตูด่าเอา พิรุณาเดินไปนั่งหน้าเปียโนแล้วเริ่มซ้อมของตัวเองบ้าง

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย  เปิดท้ายขายของกันหรือไง?”เสียงเข้มของธีรธรดังจากข้างหลังปอง

“เปล่าครับ เขามาซ้อมดนตรีกันต่างหาก”

“ด้วยเสียงที่ตีกันขนาดนี้เนี่ยนะ” ธีรธรมองผ่านกระจกใสเข้าไปเห็นทั้งหกคนต่างคนต่างซ้อมอย่างเมามันส์  ทุกคนมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ

“ขอต้อนรับสู่โลกของคุณพิรุณาครับ” ปองกล่าวยิ้มๆ 



         ปองกำลังเตรียมอาหารว่างใส่จานสำหรับ8ที่อยู่ในครัว  ธีรธรกำลังนั่งเล่นกับเจ้าหมาอยู่ในห้องนั่งเล่น  เสียงดนตรีที่สอดคล้องกันอย่างสวยงามแม้จะขาดเสียงของเหล่าเครื่องทองเหลืองและเครื่องตีไปบ้าง  เล็ดลอดออกมาจากห้องซ้อมเก็บเสียงที่ปิดประตูไม่สนิท  ธีรธรเดินตามเสียงนั้นเข้าไปถึงห้องด้านใน โดยลืมสังเกตไปว่าห้องนั่งเล่นวันนี้กว้างกว่าปรกติเพราะชั้นหนังสือขนาดใหญ่ทั้งสองหายไปเพราะถูกเลือนออกทั้งสองข้าง  ธีรธรมองเข้าไปในห้องซ้อมเห็นร่างหนาๆของชายคนหนึ่งในชุดหนังยืนหันหลังให้  กำลังทำมือโบกไปมาแม้ว่าในมือจะไม่มีไม้บาตอง  นักวิโอล่าและนักโอโบกำลังเล่นคลอไปกับเสียงส่วนรวมเช่นเดียวกับพิรุณาที่เล่นคลอประสานอยู่เบาๆ  ปล่อยให้เทรสโซโล่เชลโลอย่างสนุกมือเสียงเชลโช่ทุ้มๆนั้นบรรเลงด้วยสำเนียงหนักแน่นหากค่อนข้างเศร้า  เมื่อเทรสค่อยๆรามือลงแล้ว เกรซก็โซโล่บ้างๆเธอเป็นนักดนตรีคนเดียวที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้   ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงและล้ำลึก  ดูราวกับว่าเป็นคนละคนกับแม่สาวผมแดงขี้เล่นวันนั้น  เสียงไวโอลินแว่วหวาน    หากเฉียบคมกำลังบรรเลงอย่างเศร้าสร้อยเสียงที่ออกมานั้นราวกับเสียงสะอื้นปานจะขาด  จนผู้ฟังรับรู้ถึงความทรมานที่แฝงอยู่ในเสียงนั้น  ทำให้ธีรธรประจักษ์ในฝีมือของเกรซว่ายอดเยี่ยมสมเป็นมืออาชีพจริงๆ 


       ว่ากันว่าไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่มีวิญญาณ และเป็นเครื่องดนตรีปีศาจ  นักไวโอลินฝีมือเยี่ยมมักถูกกล่าวหาว่ามีปีศาจอยู่ในร่าง   ถ้าเขาจะขอยืมใช้ ‘ปีศาจ’ ไปพิชิตใจบางคนจะได้ไหมหนอ?....
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ห้าแล้วหวังว่าเพื่อนๆจะชอบกันนะครับ :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 10-12-2007 11:50:16
ถูกใจที่สุด ขยันอัพน่ะค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ชอบเรื่องนี้มากมาย
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 10-12-2007 16:31:19
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 11-12-2007 00:01:53
ถูกใจที่สุด ขยันอัพน่ะค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ชอบเรื่องนี้มากมาย
เป็นกำลังใจให้ครับ

น่ารักจังสองคนนี้  :m3: :m3: :m1: :m1: :give2: :give2: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 11-12-2007 00:35:56
มาต่อตอนต่อไปแล้วคร้าบบบบบ.... :m11:

(ช่วงนี้ขยันอัพผิดวิสัยเน๊าะ :m23:)

(เพราะมีคนอยากอ่านงายยยไม่ใช่ที่น้องเมศพูดซะหน่อย....ร้อนตัว o17)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO   chapter# 6



         คณะของพิรุณามาถึงประเทศจีนเมื่อสองสัปดาห์ ก่อนในฐานะอาจารย์รับเชิญพิเศษ  ซึ่งเหล่าอาจารย์ ‘ผู้มีเกียรติ’ ที่มักจะมาทำโครงการพัฒนาคุณภาพนักศึกษาวิชาดนตรีเสมอทุกปีกำลังอยู่ในความสนใจของนักเรียนนักศึกษาที่นี่  เพราะปีนี้มีนักดนตรีดังๆมาด้วย และไม่เพียงเท่านั้น  ผู้ที่พบเห็นตัวจริงมาแล้วลือกันปากต่อปากว่า ทุกคน น่ารักมาก   โดยเฉพาะคุณพิรุณากับคุณเกรซ ข่าวลือนี้เองทำให้นักศึกษาแม้จะต่างสถาบันก็อยากจะมาร่วมโครงการด้วยจนเกิดโกลาหลเล็กน้อยเรื่องการขอเข้าร่วมโครงการ  ในวันแรกที่มาถึงทุกคนถูกเชิญไปที่หอประชุมเพื่อแนะนำตัวแก่นักศึกษา เสียงปรบมือดังกระหึ่มที่ต้อนรับเหล่าผู้มาใหม่ทั้งหลายทำให้ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุข  ก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้ามาสเตอร์คลาสของตัวเองตามเครื่องดนตรีที่ตนถนัด


         ปองต้องติดตามพิรุณาชนิดทุกฝีก้าวเพราะอยู่ที่นี่เขาต้องเป็นปากและหูให้พิรุณา  อย่างที่พิรุณาแนะนำตัวทุกคนในหอประชุมในวันแรกที่มาถึง แต่มันก็เป็นงานหนักมากสำหรับปอง เพราะเขาไม่มีความรู้ด้านดนตรีเลย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมาก ปองสามารถช่วยได้เพียงแค่แปลเป็นคำพูดอธิบายพื้นๆเท่านั้น  หากเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นพิรุณาจะเขียนสัญลักษณ์ซึ่งรู้กันของนักดนตรีลงในโน้ต แล้วเขียนอธิบายสั้นๆ ด้วยดินสอ เช่นตอนนี้พิรุณากำลังเขียนตัวอักษรลงระหว่างโน้ตสองบรรทัดด้วยตัวอักษร pp    แล้วลากเส้นเป็นเครื่องหมายเหมือนเครื่องหมายน้อยกว่า ก่อนจะส่งภาษามือให้ปองแปล

“ตรงนี้ต้องเล่นเบาๆแล้วค่อยดังขึ้น ส่วนตรงที่ต้องเสียงดังใช้แรงจากทั้งแขนนะครับอย่าใช้แค่ที่มือ”ปองอธิบายตามที่พิรุณาส่งให้ด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าหญิงสาวคนนี้จะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

“นอกนั้นใช้ได้แล้วนะครับ” หญิงสาวคนนั้นพยักหน้ารับแล้วกล่าวขอบคุณแล้วลุกจากหน้าเปียโน  อาจารย์ผู้รับผิดชอบกระซิบปองว่าหมดเวลาแล้วเขาจึงหันไปสบตากับพิรุณา  พิรุณาพยักหน้ารับทราบดวงหน้านั้นมีเค้าเหนื่อยเล็กน้อย

“วันนี้พอแค่นี้นะครับ  ขอบคุณทุกคนมากที่ตั้งใจกันขนาดนี้” เสียงปรบมือจากเหล่านักเรียนของวันนี้ดังขึ้นเกรียวกราวก่อนจะทยอยกันออกไป

‘เหนื่อยมากไหมครับ  ไปซ้อมกับวงไหวหรือเปล่า?’ปองถาม โดยพิรุณากำลังพยายามเกาที่ใบหูซึ่งใส่เครื่องช่วยฟังไว้จนแดงไปหมด

‘ไม่เป็นไร  แต่ไอ้นี้มันคันชะมัด’ พิรุณาแงะมันออกจากหูให้เกาได้สนุกมือขึ้น

‘อย่าเกาแรงสิครับ เดี๋ยวหลุดออกมาละแย่เลย’ ทั้งคู่ต่างหัวเราะขำขัน ก่อนจะเดินเคียงกันออกจากห้องเรียนนี้ไป โดยพิรุณาเอาเปรียบอยู่หน่อยตรงที่กระโดดโดยใช้ไหล่ปองเป็นหลักเพราะตัวพอๆกันแล้วทิ้งน้ำหนักตัวเขาลงบนไหล่ปองเช่นนี้ไปจนปองเซเกือบล้มจึงหยุด

‘อย่าแกล้งกันสิครับ เดี๋ยวเอาคืนซะเลย’

‘แน่จริงก็เอาสิ’ ปองอมยิ้มให้กับแผ่นหลังบางๆที่เจ้าตัวรีบจ้ำอ้าวไปก่อนปองจะเอาคืนจริงๆ




         เสียงดนตรีกระหึ่มจากจากหอประชุมวิทยาลัยดนตรี ทำให้เหล่านักศึกษาที่เดินไปเดินมากันขวักไขว่ชักเริ่มๆจนสนใจว่าที่ข้างในนั้นมีอะไร  เพราะเสียงที่ซ้อมวันนี้มันช่างต่างจากวันก่อนๆไปโดยสิ้นเชิง  ถึงแม้ว่าการมีเสียงดนตรีมาจากหอประชุมนี้จะเป็นเรื่องปรกติวิสัยก็ตามที เนื่องจากวงของวิทยาลัยก็ซ้อมที่นี่  แต่ไม่ใช่กับคราวนี้ที่มีเสียงเครื่องดนตรีจีนอ่อนหวานบรรเลงเคล้าเคลียไปกับเครื่องดนตรีสากล  ที่นั่งในหอประชุมเริ่มถูกจับจองโดยผู้ที่สนใจเสียงดนตรีดังกล่าว  ที่เวทีดังกล่าววงออเคสตร้ากำลังบรรเลงเพลงที่นักศึกษาที่นี่ออกจะรู้จักดีว่าเป็นเพลงอะไร เนื่องจากผู้ประพันธ์เพลงนี้ก็เป็นเคยนักศึกษาที่นี่เช่นกัน  แม้จะหลายสิบปีล่วงไปแล้วแต่ทุกคนยังจำได้ 

       พิรุณาและปองเดินลัดเลาะไปตามช่องทางเดินด้านริมซ้ายสุดของหอประชุมเพื่อจะขึ้นไปสมทบกับเพื่อนที่ตอนนี้กำลังซ้อมร่วมกับวงนักเรียน โดยพิรุณารอจนกว่าจะหยุดบรรเลงในท่อนนั้นดูจนนักดนตรีลดเครื่องดนตรีลงแล้วฟังลีอองซึ่งเป็นคอนดักเตอร์อธิบายแก้ไขว่าจุดใดบกพร่องจึงค่อยขึ้นไปประจำที่เปียโนด้านข้างซ้ายมือสุดของวง แล้วยิ้มเก้อให้ทุกคนรวมทั้งคอนดักเตอร์หน้าดุที่ส่งสายตาเป็นเชิงตำหนิ  ลีอองยกไม้บาตองขึ้นอีกครั้งเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังแทรกขึ้น ทำให้คอนดักเตอร์เกิดอาการหัวเสียทิ้งมือลงราวกับหมดแรง หน้าโหดๆนั้นยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นอีก

“พักสิบห้านาที!”เสียงแหบห้าวนั้นประกาศกร้าวอย่างน่ากลัวทำให้ทุกคนตัวสั่นงันงกกันไปหมด โดยเฉพาะเจ้าของโทรศัพท์

“ไม่เอาน่าลีออง ทำหน้าโหดแบบนี้เด็กก็กลัวหมดสิ” เกรซที่นั่งอยู่ในตำแหน่ง Concert Master *(หัวหน้าวง)ซึ่งใกล้กับลีอองที่สุดพูดขึ้น  ในขณะที่ผู้ร่วมวงคนอื่นๆบ้างลุกจากที่นั่งบ้างจับกลุ่มคุยกัน

“ก็มันหงุดหงิดนี่ ทำทุกคนเสียสมาธิหมด”

“มันก็จริง  แต่เขาเป็นเด็กนะ นี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่ได้ร่วมวง”

“แล้วไง”

“แล้วไงล่ะ  ก็อภัยให้เขาไปเถอะ แค่ลีอองมองเขาก็กลัวหัวหดแล้ว”

“เธอก็อย่างงี้ทั้งปี  ถึงได้เอาแต่เหลวไหลอยู่แบบนี้ไง”ลีอองเถียงโดยวกเข้าเรื่องส่วนตัวของเกรซตรงๆ เกรซหน้าชา

“ใช่! ฉันยอมรับว่าเหลวไหล  แต่ไม่เห็นต้องต่อว่าฉันต่อหน้าคนอื่นๆเลยนี่” เกรซเถียงบ้าง เธออยากจะลุกขึ้นแล้วเอาไวโอลินฟาดลีอองสักที  หรือไม่ก็เอาคันชักแทงให้ทะลุถึงด้านหลังเสียให้รู้แล้วรู้รอดกันไป!!!

“ทำไมเธอถึงไม่ช่วยดูเด็กในพาร์ทเธอบ้าง  เด็กนั่นสีเพี้ยนไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

“จะต้องให้ฉันบอกอีกสักกี่ครั้ง  ว่าเขาเพิ่งจะมาซ้อมร่วมกับพวกเราจะให้เล่นได้เลิศเลอเพอร์เฟคล่ะก็ ไปคัดคนมาใหม่สิ  อีกอย่างนะเด็กนั่นก็ไม่ได้ฝีมือเลวร้ายอะไร  ถ้าเป็นโรคประสาทพอหงุดหงิดแล้วคุมตัวเองไม่ได้ละก็ออกไป!!!” เกรซใช้คันชักในมือชี้หน้าลีอองอย่างน่าหวาดเสียวว่าจะจิ้มเข้าให้ แล้วชี้ไปที่ประตูทางออกหลังจากพูดจบ   ลีอองเดินหุนหันออกไปเกรซจึงถอนใจยาวปลอบใจตัวเองว่า เย็นไว้ๆ ทำงานก่อน อย่าสติแตกตามกันไป ถึงงานมันจะจี้เข้ามาแล้วก็เหอะ เสียงMoonlight sonata ของบีโธเฟ่น บรรเลงโดย ‘บีโธเฟ่นผู้น่ารัก’ ลอยมากระทบโสต เกรซหันขวับ

“ยังไม่มีใครฆ่ากันตายเสียหน่อย!” เสียงหัวเราะจากคนอื่นๆทำให้บรรยากาศเป็นมลพิษเมื่อครู่จางหายไปอย่างรวดเร็ว กลับมาสดชื่นเหมือนเดิม (* เพลง Moonlight sonata ถูกใช้ประกอบในฉากหนังฆาตกรรมบ่อยครั้ง)

“มาซ้อมกันต่อเถอะ” เกรซกล่าวด้วยอารมณ์ที่กลับมาดีเหมือนเดิม เธอเริ่มให้คำแนะนำกับนักไวโอลินคนอื่นที่ด้อยประสบการณ์กว่า  พิรุณายิ้ม เกรซเหมือนคนสองบุคลิก แต่แยกแยะถูกว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ  แต่ลีอองเป็นคนใจร้อน พอโมโหก็พ่นออกมาทุกอย่างนั่นแหล่ะ สองคนนี้จะถ่วงดุลกันได้พอดีถึงจะดุลกันแบบแปลกๆก็เถอะ  ถ้าเมื่อกี้คันชักเป็นดาบหรืออาวุธอะไรสักอย่างละก็  ป่านนี้ลีอองอาจได้เลือดไปแล้ว...ชี้ได้หวาดเสียวดีชะมัด





“ทุกคนอย่าเพิ่งกลับนะคะ  เราจะคุยเรื่องชุดกันก่อน”เกรซรีบบอกทุกคน หลังจากซ้อมเสร็จ

“คือธีมของคอนเสิร์ตนี้คือแฟนซีด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราจะใส่อย่างปรกติก็ดูจะปรกติเกิน”เสียงหัวเราะเบาๆแทรกขึ้นเพราะคำว่า ปรกติเกิน

“ทุกทีผู้หญิงจะใส่เดรสแบบไหนก็ได้แต่เป็นสีดำใช่ไหม  ส่วนผู้ชายก็ใส่ทักซิโด้สีดำ  แบบนั้นมันน่าเบื่อ  ฉันก็เลยคิดว่าเราควรจะรีบจัดการเรื่องชุด จะได้รีบทำโฆษณาให้เสร็จ เพราะนี่ก็ใกล้งานมากแล้ว”

“ ฉันแต่งยังไงก็ได้อยู่แล้วนะ  แต่ถ้าแต่งอะไรที่อลังการเกินไปมันจะเกะกะ” ทีน่าที่นั่งอยู่ฝั่งขวาของวงเสนอความคิดเห็น

“แต่ได้แบบที่ดูเป็นทีมเดียวกันก็ดีเหมือนกันนะคะ”นักศึกษาสาวใจกล้าเสนอความคิดเห็นด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปลกๆ

“แน่นอนจ๊ะที่รัก  ด้วยความว่าเราต้องรีบดังนั้นฉันจึงสั่งตัดชุดไว้แล้ว”เกรซยักคิ้วหลิ่วตาอย่างเจ้าเล่ห์ให้ทุกคน

“เกรซ” เสียงเรียกจากด้านล่างเวทีทำให้เธอหันไปตามเสียงนั้น  เจ้าของเสียงเป็นชายชาวเอเชียสวมแว่นหนาเตอะ มากับผู้หญิงอีกคนหนึ่งเธอลากเอาราวที่แขวนเสื้อที่ห่อพลาสติกไว้อย่างดีมาด้วย

“ เอาละทุกคนชุดมาถึงแล้ว  ไปลองกันเถอะ” เกรซพูดอย่างมีความสุข ความสุขของผู้หญิงก็คือได้ลองเสื้อผ้าสวยๆนี่แหล่ะ เสียงกรี๊ดกร๊าดของนักศึกษาหญิงทำให้เกรซยิ้มกว้าง เชื้อเชิญพวกเธอให้ทยอยกันไปลองชุด  ส่วนพวกผู้ชายเธอก็ไล่ให้ไปต่อแถว ไม่เว้นแม้แต่ลีอองหน้าโหดที่พอเห็นว่าเกรซถือคันชักตรงดิ่งมาหาเขา เขาก็รีบต่อแถวพวกผู้ชายทันที

‘ตัดเสื้อไว้ก่อนแบบนี้ไม่กลัวว่าจะไม่พอดีขนาดตัวหรอ?’ พิรุณาส่งภาษามือถามเกรซ

‘ไม่หรอก เสื้อพวกนี้ไม่ได้เย็บติดทีเดียวหมดเหมือนเสื้อปัจจุบันที่พวกเราใส่น่ะนะ เพราะฉะนั้นหายห่วงเรื่องขนาดได้เลย  แค่ให้ความยาวพอดีก็โอเคแล้ว’

‘แล้วคนที่เอาเสื้อมาคนนั้นเป็นใคร  ไม่เคยเห็นหน้า’

‘เพื่อนฉันเอง  เขาเป็นดีไซเนอร์อยู่ที่ปักกิ่ง พอรู้ว่าเราต้องใช้ชุดเขาก็เลยอาสาทำให้เลย ฉันเห็นแบบแล้วถูกใจก็เลยตกลง’

‘เพราะชอบหายตัวไป ก็เลยมีเพื่อนทั่วไปหมดงั้นสิ’

‘จะว่างั้นก็ได้  นายเองก็ไปลองสิ  ฉันอยากลองเสื้อจะแย่แล้ว’ เกรซรุนหลังพิรุณาให้ไปต่อแถวบ้าง ก่อนจะคว้าข้อมือปองที่ไปแอบยืนหลบมุมอยู่ข้างเวทีมาต่อด้วย

“คุณเกรซ ผมไม่ต้องลองชุดหรอกมั้งครับ  ไม่ได้ขึ้นแสดงด้วยนี่นา”

“ไม่ได้ ก็มาด้วยกันนี่ แล้วอีกอยากก็คือฉันอยากเห็น” เกรซบอกแล้ววิ่งไปต่อแถวของสาวๆที่ส่งเสียงอุทานอย่างตื่นเต้น


         ครั้งแรกที่เกรซเห็นปองเธอรู้สึกว่าหนุ่มน้อยคนนี้น่ารัก  เธอยังเคยคุยกับอาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นเลยว่าปองคล้ายพิรุณาจนน่ากลัวจะเป็นพี่น้องกัน   จึงลองแอบถามวันเกิดปอง ปองอายุน้อยกว่าเธอสองปี  แต่พอถามวันเกิดพิรุณากลับไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ ด้วยการตอบที่ว่า เด็กกำพร้าอย่างฉันมีวันเกิดด้วยเร๊อะ เกรซจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย


‘คุณปอง  ไอ้เสื้อนี่มันใส่ยังไง?’พิรุณาแง้มประตูห้องน้ำออกมาถามปองที่อยู่ห้องข้างๆ ซึ่งปองเองก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกันคือไม่รู้ว่ามันใส่ยังไง เพราะเสื้อไม่มีกระดุมเลยแม้แต่เม็ดเดียว  มีเพียงผ้าผืนยาวๆสีเขียวอมฟ้าที่เดินลายทองเท่านั้น

‘เดี๋ยวนะครับ  ผมจะลองถามคนอื่นให้’ ปองสอดส่ายสายตา แล้วพุ่งตัวเข้าไปถามดีไซเนอร์คนนั้นที่กำลังดูลูกมือแต่งตัวให้นักศึกษาหญิงคนหนึ่งอยู่

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเสื้อตัวนอกใส่ยังไง?” ดีไซเนอร์คนนั้นยิ้มอย่างขบขัน  ชุดแบบนี้ใส่ค่อนข้างยาก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนไม่เคยใส่จะใส่ไม่ได้

“ผมช่วยดีกว่าครับ” ปองพาดีไซเนอร์คนนั้นกลับมายังห้องที่เขาใช้เป็นห้องแต่งตัวชั่วคราว

       ดีไซเนอร์จัดการผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้มาใส่บนตัวปองอย่างเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แล้วถอยออกมาดูผลงานอย่างชื่นชม ปองผิวขาวละเอียดรับกับผมสีดำสนิท ด้วยเสื้อสีแดงตัวนอกจะช่วยขับให้ผิวหน้ายิ่งผ่อง  ดีไซเนอร์แว่นหนารีบเรียกลูกมือมาทางนี้แล้วสั่งการเป็นภาษาจีนเร็วปรื๋อ  เธอรับคำแล้วพาปองไปอีกมุมหนึ่งของห้องน้ำ  พิรุณาเปิดประตูออกมาอีกครั้งพบดีไซเนอร์คนนั้นยืนยิ้มให้ทำให้ตกใจเลยปิดประตูกลับแล้วตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆแง้มอีกครั้ง  หนุ่มแว่นเตอะยังอยู่ที่เดิมคราวนี้ร้อยยิ้มนั้นยิ่งกว้างขวางมากขึ้น

“ผมช่วยนะครับ” ดีไซเนอร์คนนั้นรีบแทรกตัวเข้าไปในห้องเล็กที่พิรุณาอยู่ จับเสื้อผ้าที่ใส่ผิดๆเสียใหม่ให้ถูกต้องและเรียบร้อยขึ้น ก่อนจะใส่ส่วนที่เหลือเข้าไปจนครบตบท้ายด้วยผ้ารัดเอวกว้างหนึ่งคืบสีเขียวอมฟ้าที่เดินดิ้นทองเป็นลายดอกกลมๆ ซึ่งเมื่อผูกไว้เรียบร้อยแล้วลายกลมนี้จะอยู่ตรงกลางเหมือนหัวเข็มขัด

‘คุณปองช่วยด้วย!!’ พิรุณาส่งภาษามือขอความช่วยเหลือ

‘ช่วยอะไรล่ะครับ  ก็โดนเหมือนๆกัน’ ปองตอบแล้วขำขัน  พิรุณาเห็นหน้าตาปองเปลี่ยนไปเล็กน้อย  เลยรีบวิ่งเข้ามาหาโดยดีไซเนอร์คนนั้นตามมาจัดชายผ้าด้านหลังให้ผูกกันเป็นปมสวย

‘ปองมีหาง!!!’

‘หางที่ไหนผมตะหากล่ะ ผม’ เกรซส่งภาษามือให้พิรุณาที่กำลังทำตาโตกับผมสีดำสนิทเป็นมันเงาที่ถูกต่อในลักษณะให้เป็นหางม้าจนยาวถึงเอว

‘น่ารักจัง คุณปองเป็นเจ้าสาวของผมเถอะ’พิรุณายิ้มหวานให้ปอง  เกรซคิดในใจ ฟ้าผ่า!! โธ่ นายเคนกับคุณธีรธรก็แย่สิ

‘ไม่ละครับคุณพิรุณา  คุณดีไซเนอร์เดินมานี่แล้ว’ ปองเห็นดีไซเนอร์คนนั้นหยิบอุปกรณ์บางอย่างมาด้วย ท่าทางคุณพิรุณาจะโดนเหมือนกัน

‘คุณปองช่วยด้วย’ พิรุณาขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แต่เกรซก็รีบดึงปองไปทางอื่นแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้พิรุณา

“ปฏิเสธได้เนียนดีนะคะ  ขืนเอาจริงละก็ถูกนินทาว่าเป็นเลสเบี้ยนแน่ๆเลย”เกรซหัวเราะคิกคัก อย่างชอบอกชอบใจที่ได้แซว แต่ปองยังงงว่าหมายถึงอะไร

“ไปแอบถ่ายรูปพิรุณากันดีกว่า”เกรซหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมถ่ายรูปอย่างหมายมั่นปั้นมือ



         พิรุณาเดินตามปองและเกรซเข้ามาโดยพยายามก้มหน้าก้มตาไม่อยากให้ใครเห็นหน้า  มือของข้างรั้งชายผ้าให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้สะดุดล้มอีกหลังจากเมื่อครู่ลงไปวัดพื้นมาแล้วเรียบร้อย  รอบข้างมีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าว เด็กสาวบางคนก็ช่วยกันจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่สวยงาม แต่พอปอง เกรซ และพิรุณามาถึงหน้าเวทีก็ต่างสะกิดกันให้มาสนใจคนทั้งสาม  เกรซในชุดเหมือนกับคนอื่นรวมผมสีแดงเกล้าเป็นมวยแล้วปักด้วยปิ่นไม้เรียบๆที่ปลายด้านหนี่งมีผีเสื้อตัวเล็กๆสองตัวห้อยยาวลงมา ทำให้เธอดูอ่อนหวานขึ้นมาก ไม่ห้าวจัดเหมือนที่เห็นกันจนชินตา ปองช่วยจับมือพิรุณาให้เป็นหลักในการก้าวขึ้นบันไดด้านข้างเวทีท่ามกลางสายตาของทุกคน พอก้าวขึ้นเวทีได้กล้องมือถือจากแทบทุกยี่ห้อก็ประดาหน้าเข้ามาแบบไม่ยั้ง 

“คุณพิรุณาสวยจัง”

“คุณผู้ดูแลก็น่ารัก” เสียงสาวๆกรี๊ดกร๊าดเรียกสติของเหล่าบุรุษเพศที่ล่องลอยไปไกลกลับเข้าร่าง รวมทั้งเรียกให้มือหนาๆของลีอองให้รีบยกขึ้นปิดหูตัวเองด้วย

“แหมทีฉันแต่งตัวสวยๆไม่เห็นมีใครชมมั่งเลย” ทีน่าบ่นกับเทรส  ทำให้ชักเชลโล่หนุ่มยิ้ม

“สวยไหมมันแล้วแต่คนมอง  แต่ของพิรุณากับคุณปองเขา born to beให้เป็นของแปลกโดยธรรมชาติ”

“นั่นสินะ  ทั้งๆที่หน้าตาน่าเอ็นดูออกจะตายแต่ทำไม๊ทำไม ไม่ทำตัวให้น่าเอ็ดดูน๊า~” ทีน่าเท้าคางมองเพื่อนที่กำลังถูกรุมล้อม


         ดวงหน้าขาวนวลๆนั้นเมื่อรวบผมสีน้ำตาลออกแดงขึ้นไป แล้วต่อให้เป็นหางม้ายาวถึงเอวยิ่งทำให้ดวงหน้าสวยๆนั้นดูหวานขึ้นอีกเป็นกอง เสื้อตัวนอกสีแดงเองก็ยิ่งขับให้ผิวนวลๆนั้นผุดผาดกว่าที่เคย  มือนวลๆที่โผล่พ้นชายแขนเสื้อออกมาเพียงครึ่งเดียว เมื่อพิรุณาพยายามพับทบให้ไม่เกะกะกลับทำให้เห็นผิวขาวนวลรำไร จนคนที่พบเห็นต้องนึกในใจว่าเซ็กซี่  ทั้งๆที่เห็นเพียงแค่มือเท่านั้น  ทีน่ายิ้มขันให้ความคิดตัวเอง

“เกรซช่างถ่ายภาพมาแล้วนะ”ลีอองซึ่งหายหงุดหงิดแล้วเดินมากระซิบบอกเกรซที่เข้าไปช่วยพิรุณาจากการถูกฝูงกล้องมือถือรุม

‘ลีอองเหมือนพวกมือปราบเลย’ พิรุณาส่งภาษามือแล้วปรบมือ เพราะลีอองร่างสูงใหญ่ด้วยหน้าที่เข้มดุทำให้ดูเหมือนพวกมือปราบในหนังจีนที่พิรุณาชอบ


“ถ่ายกันพอแล้วนะ กลับไปเข้าที่ได้แล้วเราจะเริ่มถ่ายภาพประชาสัมพันธ์คอนเสิร์ตแล้วจะได้กลับบ้านนอนกันเสียที” ทุกคนเลิกถ่ายภาพแต่โดยดีแล้วกลับไปประจำที่ตัวเองพลางจับเครื่องแต่งกายตัวเองให้กลับมาดูดีหลังจากลุกไปเบียดเสียดกันมา

“ช่วยหรี่ไฟดวงข้างหน้าลงอีกนิดนะครับ...ครับดีครับ...”ช่างภาพคนหนึ่งรีบจัดการแสงให้กำลังเหมาะ

“จะขอถ่ายภาพรวมก่อนนะครับ ช่วยเล่นสักเพลงได้ไหมครับ?” ลีอองพยักหน้าก่อนจะขึ้นประจำตำแหน่ง  พอเห็นว่าทุกคนมีสมาธิดีแล้วก็โบกไม้บาตองในมือ  เริ่มบรรเลงให้ช่างภาพเก็บภาพ  หลังจากช่างภาพได้ภาพสวยสมใจแล้วจึงปล่อยนักศึกษาทั้งหลายกลับบ้านแม้ว่าพวกเด็กๆจะอิดเอื้อนอยากอยู่ต่อ แต่พอเจอลีอองทำหน้าดุให้กลับไปซ้อมให้ดีก็หน้าจ๋อยต้องยอมกลับ

“ขอถ่ายภาพทีละคนเลยนะครับ” ช่างภาพตามเก็บภาพแต่ละคนโดยเริ่มจากลีออง  ในระหว่างนั้นเพื่อนๆที่ยังไม่ถึงคิวถ่ายก็จัดการถ่ายภาพกันเองโดยมีเกรซเป็นหัวโจก  โดยไม่รู้เลยว่าเกรซจ้องจะถ่ายแต่พิรุณา และจะยิ่งชอบมากถ้าพิรุณาถ่ายกับปองหรือทำท่าตลกๆ

ไม่มีใครทันเงาของปีศาจเกรซเลยแม้แต่น้อย....




           ธีรธรเดินเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองที่ปราศจากเงาของพนักงานคนอื่นๆเนื่องจากเลยเวลาเลิกงานไปเกือบชั่วโมงได้แล้ว  พลางคลายปมเนคไทอย่างเหนื่อยๆ หลังจากประชุมอย่างยาวนานเป็นเวลาสี่ชั่วโมงเต็มโดยไม่มีพักเบรคแม้แต่น้อย  เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เหมือนคนหมดแรงพิงศีรษะไว้กับพยักเก้าอี้แล้วเอียงคอไปมองคอมพิวเตอร์ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจจะเปิดมันแต่ก็คร้านเกินกว่าจะเอื้อมมือไปเปิดจึงใช้ปากกาจิ้มที่ปุ่มเปิดเครื่อง ระหว่างรอบูทเครื่อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ธีรธรเปิดฝามือถือเห็นภาพเจ้าของข้อความแล้วนัยน์ตาพราวระยับ  หญิงสาวผมแดงทำท่ายกหัวแม่มือขวาทำให้รู้ว่าเป็นเกรซ สายสืบของเขาเอง

ถึงบอส...
วันนี้ถ่ายภาพสำหรับโฆษณาคอนเสิร์ตแล้ว ภาพเบื้องหน้าฉันจะไม่ขอพูดถึงเดี๋ยวคุณก็ได้เห็น  ฉันขอนำเสนอภาพเบื้องหลัง  ลับเฉพาะพิรุณาสเปเชียล
ปล.กรุณาสร้างภูมิต้านทานความน่ารักก่อนเสพย์ - -+


         ภาพแรกเป็นภาพพิรุณากำลังถูกรุมด้วยมือใครต่อใครมากมายเข้ามาจัดการผมและหน้าทำให้เจ้าตัวหรี่ตาปรือมาแต่ไกล  ภาพที่สองเป็นด้านหลังของคนสองคนใส่ชุดแปลกๆ คนหนึ่งผมหางม้าสีดำ อีกคนหางม้าสีน้ำตาลแดง  ภาพที่สามเป็นภาพพิรุณากับเกรซทำหน้าลิง สองคนเอาแขนมาต่อกันเป็นรูปหัวใจ ธีรธรขำกับท่าทางน่ารักน่าชังของพิรุณาที่เขาไม่เคยเห็น  ภาพที่สี่ซึ่งเป็นภาพสุดท้าย พิรุณากำลังเล่นเปียโน ดวงหน้านวลใสนั้นยิ้มกว้างดูมีความสุข ธีรธรเผลอยิ้มกว้างไม่ทันเห็นว่าคุณลีเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาแล้ว

“มีเรื่องอะไรดีๆหรอคะบอส?” ธีรธรรีบปรับสีหน้ามาเป็นเขร่มขรึมเหมือนปรกติแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักพลางปิดฝามือถือลงอย่างรวดเร็ว 

“เปล่าครับ  คุณลียังไม่กลับอีกหรอครับเย็นมากแล้วนะ?”

“ลีคิดว่าบอสอาจอยากเห็นไฟล์ด่วนพวกนี้ก่อนใครๆ ดิฉันก็เลยไปบังคับขู่เข็ญจนได้มานี่ล่ะค่ะ” ลีแอนส่งทัมป์ไดรฟ์ให้บอสหนุ่ม

“ลีกลับก่อนนะคะ”  ธีรธรรับคำ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบทัมป์ไดรฟ์มาเสียเข้ากับคอมพิวเตอร์ โดยไม่ลืมแสกนไวรัสก่อนเสมอ


         ธีรธรเปิดไฟล์ออกดู  ภาพตัวอย่างโปสเตอร์คอนเสิร์ตปรากฏขึ้นในทันทีแต่เขากลับไม่สนใจที่ข้อความอะไรบนโปสเตอร์เลย ดวงตาคมกลับกวาดมองหาคนบางคนในภาพ  แล้วคลิกดูภาพถัดไปที่ถ่ายทั้งวง ทุกคนแต่งกายเหมือนกับที่ภาพจากเกรซส่งมา  ธีรธรดูภาพต่อๆไปอย่างพิจารณาและลงความเห็นว่าช่างภาพถ่ายได้สวยมากทีเดียว ในฐานะที่เขาก็เป็นนักถ่ายภาพเหมือนกันแม้จะเป็นมือสมัครเล่นเพราะต้องทำงานที่บริษัทจนไม่อาจยึดเป็นงานหลักได้ โดยเฉพาะภาพสุดท้ายที่เขาดูอยู่นานที่สุด ภาพป่าไผ่ที่ขึ้นจนเขียวครึ้มท่ามกลางแสงสลัวอย่างยามอัสดง ที่ใต้ต้นไผ่นั้นมีคนๆหนึ่งกำลังแหงนเงยชมชื่นอยู่กับใบไผ่ที่ร่วงลงเมื่อยามต้องลม  สองมือนวลๆยกขึ้นอย่างหมายจะจับใบไผ่เหล่านั้น  แม้ดวงหน้าจะไม่ชัดเพราะแสงที่น้อยแล้วยังเพราะส้นผมยาวนั้นถูกลมพัดจนปลิวมาระใบหน้าทำให้รู้สึกราวกับว่าคนในภาพเป็นเทพเซียนผู้งดงามกำลังชื่นชมธรรมชาติก็ไม่ปาน  ธีรธรเซฟภาพนั้นอย่างไม่ต้องคิดแล้วลบออกจากทัมป์ไดร์ฟ ของดีเขาต้องเก็บไว้ดูคนเดียว    เสียงเคาะประตูดังอีกครั้ง ก่อนลีแอนจะเข้ามาอีกครั้ง

“บอสคะ อย่าลืมอาบน้ำให้เจ้าหมาด้วยนะคะ” ลีแอนกลับออกไปด้วยรอยยิ้ม



         ขณะเดียวกันนั้นเองสายสืบสาวกำลังหัวเราะคิกคักให้โน้ตบุ๊คของเธอท่ามกลางความสงสัยของหมู่เพื่อน  เกรซคลิกส่งอีเมล์ให้ผู้ที่เป็นเจ้าของอีเมลล์    KEN_sonata-allegro  เธอเงยหน้ามองพิรุณาที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลบๆแก้ๆโน้ตตรงหน้าด้วยมือขวา  ส่วนมือซ้ายกำลังถือช้อนตักอาหารเข้าปาก  โดยมีปองพยายามเตือนให้ทานให้เรียบร้อยแล้วค่อยทำงาน  ทีน่า เทรสและอเล็กซ์ ต่างมองมาที่เกรซอย่างสงสัย ว่าอะไรทำให้เธอเป็นคนบ้าอยู่ๆก็หัวเราะคนเดียว จนในที่สุดอเล็กซ์ก็ทนไม่ไหวจนต้องถามขึ้น

“เป็นอะไรเกรซ  ซ้อมมากจนสติแตกหรือเหนื่อยมากจนเพี้ยน”

“เปล่า แค่กำลังสนุกน่ะ” เกรซตอบอ้อมๆ ทำให้เพื่อนที่รอคำตอบแทบจะเขวี้ยงกระดาษเช็ดปากใส่เกรซ เพราะตอบไม่ตรงข้ามถาม


ขอโทษนะคะบอส  เพราะบอสคิดจะยืมมือปีศาจใช้ เพราะฉะนั้นปีศาจก็ต้องขอสิ่งตอบแทนนิดหน่อย เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆ   หวังว่าบอสคงเข้าใจนะ....เพราะมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ก็บอสสมัครใจให้ปีศาจช่วยนี่คะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 11-12-2007 00:59:58
เขียนได้ดี  นะ

แต่ว่างๆ ก็ช่วยกระชับเนื้องเรื่องนิดดดดดดดดดดดดดดส์นึง

อิอิ

แต่ว่าจะรออ่านต่อนะ  ติดๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 11-12-2007 12:40:15
ขอบคุณฮะ o14
ชอบจังเรื่องนี้ได้รู้เรื่องศัพย์ทางดนตรีเยอะ :m3:เลยฮะขอบคุณ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 11-12-2007 17:51:19
น้ำเยอะจริงๆ หึหึหึหึ  เยิ่นเย้อได้อีกตอนนี้ :เฮ้อ: ขอบคุณค่ะที่ชอบ ที่ติด เเค่นี้ก็ดีใจเเล้ว

/meนิยายเราเเอบมีสาระเหมือนกันนะเนียะ หึหึหึหึหึหึ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 11-12-2007 19:43:06
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 11-12-2007 20:28:54
‘ลีออง  ตรงนี้ฉันจะเล่นดังขึ้นอีกนิดนะ  แล้วค่อยเบาในช่วงนี้’ พิรุณาส่งภาษามือโดยมีปองแปลให้พลางชี้ออกความเห็นกับโน้ตในมือในช่วงพักเบรคสิบนาที

“ดีนะ คิดอยู่เหมือนกันว่าเบาเกินไป   ส่วนตรงนี้อย่างให้เน้นที่ Staccato* ตรงนี้นิดเดียว...นิดเดียวพอนะ  แล้วเหยียบ  pedal*” 

‘เข้าใจแล้ว’  พิรุณาเดินกลับไปซ้อมหน้าเปียโนอีกครั้ง  เสียงที่ออกมาดีอย่างที่ลีอองต้องการ เขายิ้มเพราะพิรุณาไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง

“ตั้งใจซ้อมกันดีนี่นา” เสียงคุ้นหูจากข้างหลังทำให้ลีอองหันไปดู เจ้าของเสียงยิ้มเครียดให้เห็น  เขาคือเอ็ดเวิร์ด  ฮอร์น

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ลีอองถามเสียงห้วนตามปรกติของเขา

“เมื่อเช้านี่เอง  คุณปองบอกพิรุณาทีว่า รู้จักยืดหยุ่นดี”ปองรีบทำตามที่อาจารย์ของพิรุณาสั่ง  พิรุณาจึงหันมายิ้มกว้างให้อาจารย์ เพราะนานๆอาจารย์จะชมสักครั้ง

‘มาแล้วหรอฮะ จะได้ครบทีมเสียที’  อาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น รั้งแขนพิรุณาให้ออกมาจากบริเวณที่ซ้อมซึ่งมีคนพลุกพล่าน

‘อาจารย์รีบมาเพื่อจะเตือน’ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น ส่งภาษามือในมุมลับตามุมหนึ่ง  ดวงตาสีน้ำตาลแดงของพิรุณาไม่มีเค้าแห่งความสงสัย  หากแต่สงบรอรับข่าวที่ทำให้อาจารย์ต้องรีบมาเตือนเขา แน่นอนมันต้องเป็นข่าวไม่ธรรมดา

‘ซิลเวอร์ อากิระกลับมาแล้ว’ อาจารย์หมายถึง คู่แข่งคนสำคัญคนหนึ่งของพิรุณา ที่เมื่อหลายปีก่อนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองทะยานขึ้นมาเหนือพิรุณาให้ได้ แต่ก็พ่ายแพ้จนผูกใจเจ็บ   ผลของความแค้นทำให้พิรุณาเจ็บตัวนิดหน่อย

‘แล้วจะทำไมละฮะ  ครั้งนั้นเขาถูกปรับออกจากการแข่งทุกรายการแล้วไง....แล้วก็เลยแค้นฝั่งหุ่นมาลงเอากับผมที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยเนี่ยนะ  ไร้สาระชะมัด  หลังจากนั้นก็พยายามจองล้างจองผลาญผมอยู่เรื่อยแล้วก็จมหายไป  นึกว่าไปผุดไปเกิดแล้วเสียอีก’

‘ยังหรอก เขากลับมาเพราะมีคนหนุนหลังน่ะ....’ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นบอกชื่อคนสนับสนุนคนนั้นทำให้พิรุณาถึงบางอ้อ  เพราะคนดังกล่าวขัดผลประโยชน์กับต้นสังกัด เบื้องหลังกว่านั้นเขาไม่ทราบ เพราะไม่สนใจ

‘อย่างกับสงครามโมสาร์ต กับบีโธเฟ่น’ พิรุณาติดตลก

‘ไม่ตลกนะพิรุณา  ครั้งก่อนเธอซี่โครงหัก  ครั้งนี้จะเจ็บขนาดไหนอีกไม่รู้  ระวังตัวไว้ดีกว่า’   

‘ผมไม่เป็นไรหรอกฮะ ขอบคุณที่ห่วง  แต่พิรุณาคนนี้เอาตัวรอดเก่งอยู่แล้ว’

       เมื่อส่งภาษามือเสร็จพิรุณาก็เก๊กท่าเสียหน่อย จนผู้เป็นอาจารย์หมั่นไส้ พอได้ยินเสียงคนตามหาตัวเขาและพิรุณาก็เลยขยี้ผมลูกศิษย์รักไปทีหนึ่งแล้วไล่ให้ไปนั่งประจำที่ ส่วนตนเดินไปรับหน้าที่เป็นคอนดักเตอร์ในเพลงที่รับผิดชอบ  ทำให้เด็กต่างส่งเสียฮือฮาว่าคนตรงหน้าคือวาทยากรชื่อก้องโลก เพิ่งได้เห็นตัวเป็นๆก็วันนี้เอง   อาจารย์เริ่มอธิบายการตีความเพลงโดยมีปองแปลให้พิรุณาอยู่ใกล้ๆ  หลังจากนั้นก็ซ้อมจนฟ้ามืด  โดยก่อนกลับอาจารย์หันมากำชับพิรุณาว่าให้ระวังตัว แล้วบอกปองให้ดูแลพิรุณาดีๆ อย่าให้คลาดสายตา



      ธีรธรกำลังซักฟอกเจ้าหมาอยู่ที่สนามหลังบ้าน  เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาที่ใส่ไปทำงานเปียกปอนเนื่องจากเจ้าหมาสะบัดขนทุกครั้งที่บอสหนุ่มเลิกฉีดน้ำใส่มัน อย่าพูดถึงกางเกงสแลคที่ใส่อยู่เพราะมันเปียกจนไม่รู้จะเปียกอย่างไรแล้ว  บอสหนุ่มเทแชมพูสำหรับสุนัขแล้วโปะลงบนตัวมันก่อนจะขยุ้มขยำอย่างหมั่นไส้โดยออกแรงให้สมกับความรู้สึก เจ้าหมาก็ดูจะไม่ว่าอะไรออกจะชอบเสียด้วยซ้ำที่มีคนเล่นแรงๆด้วย เพราะปรกตินายกับคุณปองจะเอ็นดูมันเกินกว่าจะกล้าลงไม้ลงมือกับมัน ธีรธรฟอกแชมพูไปที่หน้าเจ้าหมาอย่างเมามันส์จนสนามหญ้าบริเวณที่เขาอาบน้ำเจ้าหมามีแต่ฟองเต็มไปหมด  เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาทำให้ธีรธรต้องละมือจากความหมั่นเขี้ยวไปล้างมือแล้วรับโทรศัพท์

“พี่ธีคะ  อยู่ไหนคะเนี่ยโทรเข้าบ้านก็ไม่รับ โทรเข้าที่ทำงานก็มีคนบอกว่ากลับมาแล้ว” เสียงเจื้อยแจ้วของรันดาดังมาตามสัญญาโทรศัพท์จนธีรธรต้องรีบกดหรี่เสียงลงแทบไม่ทัน

“พี่อยู่บ้าน แต่อยู่ในสนามหลังบ้านน่ะ”

“ปรกติพี่ธีไม่ได้เป็นพวกชื่นชมธรรมชาติไม่ใช่หรอคะ?”รันดาถามติดประชดนิดๆตามนิสัย

“พอดีพี่อาบน้ำให้หมาอยู่น่ะเลยไม่ได้รับ…เฮ้ย!อย่าสะบัดสิวะ ยังไม่เสร็จ” ธีรธรโวยวายเมื่อเจ้าหมาสะบัดขนแรงๆทำให้น้ำจากแชมพูกระเซ็นไปทั่ว

“พี่ธีเลี้ยงหมาแล้วหรอคะ รันไม่นึกว่าพี่จะมีเวลาดูแลนะคะเนี่ย”เสียงใสพูดกลั้วหัวเราะ 

“เขาเอามาฝากไว้น่ะ” ธีรธรตอบแล้วนึกย้อนไปถึงเมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่เกรซมาทุบประตูบ้านเขาตั้งแต่ตีห้าแล้วยัดเจ้าหมาเข้ามาในบ้านเขา พร้อมทั้งส่งกระดาษปึกใหญ่ ‘คู่มือการเลี้ยง’ ให้เขาในนั้นมีเขียนถึงวิธีเลี้ยงด้วยลายมือหวัดๆของเกรซ และภาษามือที่ใช้สั่งเจ้าหมาซึ่งอาจจะเขียนโดยพิรุณา 

“โทรมามีอะไรหรือเปล่า?” ธีรธรถามเพราะเริ่มอยากจะรีบวางโทรศัพท์สายนี้เร็วๆ ก่อนเจ้าหมาจะหนีไปคลุกกับดินให้ตัวเปื้อนอีก

“อ้อ  รันจะโทรมาบอกว่างานเปิดตัวสาขาเราจะปิดบ้านตามไปแสดงความยินดีค่ะ”

“แสดงความยินดีหรืออยากมาดูคุณพิรุณาของเธอ...ฮ๊ะยัยรัน”

“แหมก็ทั้งสองอย่างล่ะค่ะ  อย่าลืมจัดการเรื่องที่พักให้ด้วยนะคะ” เสียงใสของลูกพี่ลูกน้องสาวกล่าวก่อนจะวางหูไป  ธีรธรหันไปจัดการกับเจ้าหมาที่ทำท่าจะวิ่งหนีอีกครั้งอย่างเมามัน

“แกหนีไม่รอดหรอก รวมทั้งนายแกด้วย”



         วันซ้อมใหญ่มาถึงทำให้ความวุ่นวายถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง  ปัญหามากมายเหมือนถูกสร้างขึ้นมาทำลายขวัญและกำลังใจของทุกคนในทีมทั้งนักดนตรีและทีมงานที่ถูกส่งตัวมาเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ลางร้ายเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อ ต้นสังกัดโทรมาแจ้งว่าเปลี่ยนสถานที่จัดการแสดงกะทันหัน แผนการขนย้ายข้าวของเสียกระบวนแทบไม่เป็นท่า ต่อมาก็มีปัญหาเรื่องรถที่จะขนของซึ่งตกลงกันไว้ก่อนบอกปฎิเสธการส่งของไปยังสถานที่ใหม่ ดีที่แม่ยอดหญิงเกรซเข้าไปฟาดหัวฟาดหางจนยอมไปส่งจนได้  ต่อมาคือจองตั๋วเครื่องบินไปยังเมืองที่จัดแสดงไม่ได้ จึงต้องจับรถไฟไปแทนในตอนกลางคืน  เช้าวันถัดมาปัญหาต่างๆยังคงประดังเข้ามาไม่ขาด เช่นนักดนตรีส่วนหนึ่งเกิดอาการอาหารเป็นพิษ  ระหว่างซ้อมอยู่สปอร์ตไลท์ดวงหนึ่งตกลงมาแตกต่อหน้าต่อตาทุกคน  เสื้อผ้านักแสดงหายไปจำนวนหนึ่ง  ปัญหาเหล่านี้ทำให้เกรซที่เป็นหัวหน้าวงและเป็นคนรับงานจากต้นสังกัดปวดหัวถึงเธอจะบ่นแต่มือยังคงแก้ปัญหาได้ยอดเยี่ยม  โดยทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีปัญหาจึงคลี่คลายลงได้ในที่สุด  ในตอนย่ำค่ำของวันนั้นสมาชิกทั้งเจ็ดจึงนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่กลางเวทีที่จะใช้แสดงในเร็ววันนี้


“เหนื่อยหน่อยนะครับคุณเกรซ” ปองพูดทั้งที่ตัวปองเองก็หมดสภาพไม่ต่างกัน ผมสีดำสนิทยุ่งเหยิงจากการวิ่งวุ่นไปตามจุดต่างๆเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา

“ขอบคุณค่ะที่วิ่งวุ่นช่วยเราแก้ปัญหา”

“คุณเกรซเป็นเพื่อนของคุณพิรุณานี่ครับ ถ้าเราไม่ช่วยกันงานคงไม่สำเร็จ”ปองพูดแล้วนั่งลงข้างๆพิรุณาที่ดูสภาพดีกว่าคนอื่นๆเนื่องจากความสามารถทางกายของพิรุณาจำกัดจึงรับหน้าที่ดูแลคนในวงช่วงที่เกรซไม่ว่างกับให้คำปรึกษานิดหน่อย

‘เหนื่อยไหมคุณปอง?’ พิรุณาถามแล้วส่งกระป๋องน้ำอัดลมให้ปองและเพื่อนๆ

‘นิดหน่อยครับ’

“อาจารย์เอ็ดเวิร์ด ทางนั้นเป็นไงมั่งครับ”อเล็กซ์ถามเมื่อเห็นแรงงานทาสผู้ทรงเกียรติคนสุดท้ายเดินเข้ามา  อาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นรับหน้าที่ไปประสานงานกับฝ่ายควบคุมสถานที่ให้จัดเตรียมเวทีให้เหมาะสำหรับการแสดง รวมทั้งเข้าไปควบคุมระบบเสียงด้วยตัวเอง  เพราะไม่มีใครรู้เรื่องเหล่านี้ดีเท่าอาจารย์อีกแล้ว

“เรียบร้อยแล้ว” ทุกคนถอนหายใจโล่งอก

“ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”เทรสเริ่มชักชวนเมื่อกระเพาะของเขาร่ำร้องหลังจากทนทรมานมาทั้งวัน

“ใครบ่นว่าจะหาของกิน” เสียงคุ้นของคนหนึ่งดังมาจากประตูด้านข้างเวที ทำให้ทุกคนหันไปมองร่างสูงของชายหนุ่มผมสีทองที่สวมชุดสบายๆ  ในมือถือถุงหลายใบที่บรรจุอาหารมาด้วย

“เคน!!” ทีน่าร้องอย่างยินดี เคนเข้าไปทักทายอาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น  ก่อนจะกอดทีน่าและเกรซที่อ้าแขนรออย่างสิ้นสภาพ แล้วพยักหน้าทักทายลีออง เทรสและอเล็กซ์  ก่อนจะจับมือปอง เพราะเขายังไม่สนิทกับผู้ช่วยคนใหม่ของพิรุณาเท่าไหร่นัก   เคนหันไปหาพิรุณาที่ยิ้มยินดีที่เขามา  มือแข็งแรงเอื้อมไปรั้งผมสีน้ำตาลออกแดงที่ปรกหน้าผากเนียนของพิรุณาขึ้นก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ 

“คนทะลึ่ง  ลามก โรคจิต!!!” เสียงเกรซกับทีน่าล้อเลียนดังขึ้นทันทีทำให้เคนหัวเราะ พิรุณาขมวดคิ้วลูบหน้าผากที่ถูกสัมผัสเมื่อครู่ป้อยๆ

‘เดี๋ยวสิวขึ้นนายต้องรับผิดชอบนะ’พิรุณาส่งภาษามือต่อว่า

‘ก็เอาสิ  จะให้รับผิดชอบไปทั้งชีวิตเลยก็ได้’ ปองสำลักน้ำอัดลมที่เพิ่งดื่มเข้าไป ไอคอกเคกจนแสบคอไปหมด 

‘เก็บไว้หยอกแม่สาวๆของนายเหอะ’ พิรุณางอนป่องหนีไปเบียดกับปอง เคนได้แต่หัวเราะชอบใจ

“แล้วนี่มายังไงเนี่ยพ่อนักธุรกิจหนุ่มอนาคตไกล” เทรสถามเพื่อนสนิทของเขา

“เก๊อะนั่งเครื่องมาสิวะ  จะให้แจวเรือมาหรือไง” ฝ่ามือล้วนๆของนักเชลโล่หนุ่มตบกะโหลกเพื่อนรักเสียงดังป๊าบ

“โทษว่ะ  วางไม้พายแรงไปหน่อย”เทรสออกปากพลางทำหน้าเสียใจท่ามกลางเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง

“เออ..ได้ทีละเอาใหญ่” เคนฝากความแค้นไว้กับเทรสโดยคนรับฝากบอกว่าอย่าลืมรีบมาเอาคืนไม่มีดอกเบื้อจะให้  เสียงสรวลเสเฮอายังคงดังอย่างต่อเนื่องจนมืดค่ำ ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนและจะกลับมารวมตัวกันใหม่พรุ่งนี้เพื่อซ้อมใหญ่จริงๆ  โดยไม่รู้ถึงสายตาอาฆาตจากใครบางคนในเงามืด

      
เปรี้ยง!!
         เสียงแจกันจีนใบสวยในห้องรับรองของบ้านซิลเวอร์กระทบกับพื้นหินอ่อนอย่างแรงจนแตกเป็นเสี่ยง  ร่างเล็กบางอย่างคนเอเซียของซิลเวอร์ อากิระ ที่เพิ่งจะเหวี่ยงข้าวของต่างๆไปกันคนละทิศละทางเพราะความโมโหอย่างร้ายกาจกำลังหอบหายใจโดยแรงด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดที่ดูเหมือนจะไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย  แม้แม่บ้านจะพยายามปรามแล้วแต่คุณหนูของเธอก็ไม่ได้ฟังเธอเลยแม้แต่น้อย  ไม่ฟังแม้กระทั่งบอดี้การ์ดคนสนิทที่อากิระไว้ใจให้ติดตาม

“คุณหนูพอเถอะค่ะ”

“อย่ามาห้ามนะ  ทำไม...ทำไมมันยังไม่ฉิบหายกันไปให้หมด  ทำไมมันยังแก้ปัญหางี่เง่าพวกนั้น”เสียงที่แผดร้องอย่างคั่งแค้นทำให้คนฟังไม่สบายใจ

“ปล่อยคุณอากิระไว้สักพักเถอะครับ” บอดี้การ์ดของอากิระกระซิบบอกแม่บ้านเพราะตอนนี้ใครก็เข้าหน้านายของเขาไม่ติดแล้ว

“แต่ว่า...” บอดี้การ์ดหนุ่มมองตาแม่บ้านวัยกลางคนครู่หนึ่งก่อนจะยอมถอยออกจากห้องนั้นไปอย่างเงียบๆ

“คุณอากิระ”เสียงทุ้มที่เรียกเบาๆทันให้เจ้าของชื่อหันขวับ

“พอเถอะครับคุณอากิระเดี๋ยวมือจะเจ็บเอานะครับ”อ้อมแขนแข็งแกร่งกอดร่างบางๆของอากิระเอาไว้จากด้านหลัง เพื่อล็อคมือทั้งสองข้างของคนตัวเล็กเอาไว้  ดวงหน้าหวานหากยโสและดวงตาสีดำสนิทเหมือนเรือนผมแสยะยิ้มอย่างหมายมาด

“คอยดูเถอะ พวกมันต้องมีคนเสียเลือดต่อหน้าคนดูเป็นพันๆคน”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนหกแว๊วก๊าบหวังว่าเพื่อนๆจะชอบกันนะ :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 12-12-2007 11:33:08
ตัวร้าย ท่าทางจะร้ายยยยยยยยยยน่าดู
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 12-12-2007 12:09:06
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 13-12-2007 12:11:40
สู้ๆนะครับเป็นกำลังใจให้อ่านเรื่องนี้แล้วรู้จักเครื่องดนตรี ศัพย์ และก็วงออเครต้าเพิ่มขึ้นเยอะเลยขอบคุณมากๆนะครับผม :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 15-12-2007 16:31:22
มาต่อแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบบ....
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO   chapter# 7




         วันแสดงมาถึงในที่สุด พิรุณาตื่นแต่เช้าและวิ่งวุ่นไปรอบงานพอๆกับทุกคน เที่ยงวันแล้วจึงจะได้ซ้อมครั้งสุดท้ายกับวงจนถึงบ่ายสามและให้แยกย้ายกันไปพักผ่อนหนึ่งชั่วโมงก่อนจะกลับมารวมตัวกันอีกทีเตรียมแสดงค่ำนี้  สื่อมวลชนมากมายเข้ามาทำข่าวนี้อย่างคับคั่งเนื่องจากเป็นการเปิดตัวสาขาใหม่ของบริษัทชื่อดัง และเป็นการรวมตัวกันของนักดนตรีคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตามองกับวาทยากรชื่อก้องโลก  สื่อช่วยกันประโคมข่าวจนบัตรราคาต่างๆขายได้หมดเกลี้ยง  สร้างกำลังใจให้ทีมงานเป็นล้นพ้น  และในเวลาห้าโมงเย็นไปจนถึงหกโมงจะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้ามาสัมภาษณ์ประธานกลุ่มบริษัท PVK.  ตัวแทนสถานทูตและเหล่านักดนตรี ด้วยเหตุนี้เองพิรุณาจึงได้เจอลีแอนและคนที่เหม็นขี้หน้าที่สุด...ธีรธร

“รู้สึกอย่างไรมั่งคะที่ได้มาร่วมวงกับเด็กจากวิทยาลัยดนตรี?”ผู้สื่อข่าวสาวถามหลังจากถามคำถามหลักเกี่ยวกับการจัดคอนเสิร์ตไปแล้วกับประธานPVKซึ่งให้เกียรติมาให้สัมภาษณ์ด้วยตัวเอง และตัวแทนสถานทูต

“รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยค่ะ แล้วก็สนุกดีที่ได้ร่วมงานกับทุกคน ทำให้รู้สึกอายุน้อยลงหลายปีเลยค่ะ”ทีน่าตอบอย่างฉะฉานสมกับเป็นสาวมั่น

“แล้วคุณพิรุณาล่ะคะ?” ปองแปลคำถามให้พิรุณาโดยพิรุณาส่งภาษามือตอบกลับมาอย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องคิด

“คุณพิรุณาตอบว่า รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้งน่ะครับ”

“คุณพิรุณาครับ คอนเสิร์ตครั้งนี้คุณได้กลับมาร่วมงานกับ มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นด้วยใช่ไหมครับ อย่างที่ทุกคนทราบว่าท่านไม่รับใครเป็นลูกศิษย์อีกนอกจากคุณพิรุณา  ไม่ทราบว่าอาจารย์เข้มงวดมากไหมครับ?” ปองแปลไปพร้อมกับที่ผู้สื่อข่าวถาม พิรุณายิ้มกว้างแล้วส่งภาษามือตอบ

“เข้มงวดไหมถามเอาจากทุกคนที่ซ้อมด้วยกันก็ได้ครับ เพราะโดนมาพอๆกัน” เพื่อนฮาครืนกับคำตอบที่พิรุณาตอบผ่านปอง

“ไวโอลินเล่นให้นิ่งกว่านี้! วิโอล่าต้องเล่นอย่างนี้  เอ้า! พวกเครื่องเป่า เป่าให้มันเป็นภาษาคนหน่อยสิฟะ   หัดอ่านโน้ตเสียบ้างสิ! ยืดหยุ่นน่ะรู้จักไหมยืดหยุ่น!คิดว่าโซโล่อยู่หรือไง”เกรซทำเสียงล้อเลียนวาทยากรชื่อดังที่นั่งทำคอแข็งอยู่ข้างเธอ

“ประโยคเด็ดก็นี่เลย  พิรุณาห้ามอู้!” เพื่อนหัวเราะอีกครั้งกับสิ่งที่เทรสพูด ทำให้นักข่าวทั้งหลายสงสัยทำไมพิรุณาถึงต้องห้ามอู้

“เพราะว่า เพลงที่เราเลือกบรรเลงบางเพลงไม่ต้องใช้เปียโนทำให้ช่วงที่ซ้อมเพลงนั้นพิรุณาจะแอบอู้หลับบ้าง กินขนมมั่ง ไม่ก็แหย่คนอื่นบ้างน่ะครับ อาจารย์จึงต้องพยายามให้พิรุณาอยู่นิ่งๆโดยให้อ่านโน้ตหรือไปทำอย่างอื่นข้างนอกห้องซ้อม คนอื่นจะได้ไม่เสียสมาธิ”อเล็กซ์ตอบแทนเจ้าตัวที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้  เหล่าสื่อมวลชนหัวเราะกับความน่ารักของพิรุณา

“แล้วคุณธีรธรละคะ  ได้มาชมการซ้อมบ้างหรือเปล่า?”

“ผมได้ชมเป็นไฟล์ภาพเท่านั้นล่ะครับ  วันนี้คงได้ชมคอนเสิร์ตที่ยอดเยี่ยมพร้อมทุกคนในที่นี้” ธีรธรตอบคำถามนิ่งรักษามาดสุขุมไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม  พิรุณาคิดในใจ ทำเป็นขี้เก๊ก...

“คุณลีอองคิดว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้จะน่าประทับใจไหมครับ?”

“ครับแน่นอน เราซ้อมและเตรียมความพร้อมกันมาเต็มที่”ลีอองตอบสั้นและตรง ตามนิสัยเพราะดวงหน้าโหดๆนั้นทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าถามเขามากนัก

“ขอเป็นคำถามสุดท้ายแล้วนะคะ”คุณลีแอนรีบประกาศ

“ค่ะ  สุดท้ายนี่มีอะไรจะฝากถึงผู้ที่จะมาชอมคอนเสิร์ตในคืนนี้ไหมคะ?” เกรซกับทีน่ารีบพยักหน้าทันที

“อย่าลืมแต่งแฟนซีมานะคะ” เกรซกับทีน่าพูดพร้อมกันสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคน ก่อนจะหมดเวลาสัมภาษณ์



         หลังการสัมภาษณ์พิรุณาตกอยู่ในภาวะ ‘เหงาหลับ’ ทันทีที่โน้ตถูกวางตรงหน้าพิรุณา ดวงตาสีสวยกวาดมองโน้ตทุกตัวราวกับจะจดจำทุกรายละเอียดไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีก แม้ว่าจะถูกคนนั้นคนนี้ลากไปแต่งตัวอย่างไรก็ไม่ได้สนใจ ไม่บ่นกับแขนเสื้อรุงรังที่เมื่อครั้งลองเสื้อบ่นอุบว่ามันยาวเกินไป  ไม่บ่นแม้แต่กับผมที่ถูกต่อจนยาวถึงเอวนั้นแม้แต่น้อย  ซึ่งคนอื่นๆก็ไม่ต่างกันคือพยายามรวบรวมสมาธิตัวเองให้ดีที่สุด  ตั้งใจเล่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้   จนในที่สุดเวลาสำคัญก็มาถึง นักดนตรีทุกคนถูกพาเดินไปตามทางเดินยาวไปสู่ประตูข้างของเวที  นักศึกษาผู้ร่วมวงต่างวิตกกังวลกันไปต่างๆนานาจนไม่อาจยืนอยู่นิ่งๆได้  และทึ่งกับความนิ่งของเหล่ามืออาชีพทั้งหลายที่ดูไม่สะทกสะท้านกับช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นนี้เลย

         ทุกคนถูกเรียกให้ยืนเป็นวงกลมแม้จะซ้อนกันหลายวงไปบ้าง แล้วกุมมือกันไปเป็นทอด เกรซมองหน้าทุกคนที่ร่วมเหนื่อยกันมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา  แล้วส่งยิ้มให้เหล่านักดนตรีมือใหม่ที่ตื่นเต้นเสียจนแสดงออกที่สีหน้า เหงื่อเริ่มซึมที่ไรผม และแน่นอนว่ามือไม้สั่นจนถ้าเล่นผีถ้วยแก้วตอนนี้ แก้วคงกระเด็นออกนอกกระดานไปแล้ว

“ขอบคุณสำหรับความอดทนและความพยายามที่สู้ร่วมกันมาตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา”เกรซกล่าวเสียงเบาแล้วยิ้มจางๆให้ทุกคน ดวงตาสีฟ้าใสมองทุกคนอย่างเชื่อมั่น

“วันนี้จะต้องผ่านไปได้ด้วยดี อย่ากลัวไปเลย ออกไปข้างนอกนั่นแล้วจงสนุกกับมันให้เต็มที่  ทิ้งความหวาดหวั่นความตื่นเต้นไว้เบื้องหลัง  คิดเสียว่าไม่มีอะไรจะเสีย”  เสียงออดอันเป็นสัญญาณว่าได้เวลาแสดงแล้วทำให้ทุกคนชะงักบางคนแหงนมองเสียงเจ้าปัญหานั้นทั้งๆที่เสียงไม่อาจมองเห็น

“คิดไว้หัวคนเป็นหัวมัน”เสียงใครสักคนพูดขึ้น ก่อนจะถูกต้อนให้ตั้งแถว โดยพิรุณา ลีอองและนักดนตรีบางส่วนแยกตัวออกมาจากคนอื่นๆเนื่องจากเพลงแรกที่บรรเลงใช้คนไม่ทั้งหมด



         แสงไฟหน้าเวทีหรี่ลงจนเกือบมืดสนิท เสียงพูดคุยจอแจค่อยเงียบลงเมื่อเสียงออดเริ่มแสดงดังขึ้น  นักดนตรีเข้าประจำที่เกือบครบทุกตำแหน่งเรียบร้อยเมื่อไฟสว่างขึ้น  เสียงปรบมือสนั่นของผู้ชมให้การต้อนรับเป็นอย่างดีทำให้เหล่านักดนตรีหน้าใหม่ค่อยโล่งอก  เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งเมื่อวาทยากรชื่อก้องเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผยแล้วโค้งให้ผู้ชุมในชุดแบบเดียวกับคนอื่นแต่สีเข้มกว่าซึ่งพิรุณาเคยล้อเอาไว้ว่า เป็นผู้อาวุโส หรือเจ้าสำนัก   คนที่เดินตามออกมาคือเกรซ เธอยิ้มหวานให้ผู้ชมอย่างคนอารมณ์ดีแล้วโค้งให้ผู้ชม ตามด้วยเทรสและอเล็กซ์ที่วันนี้หล่อเป็นพิเศษ  และสุดท้ายเป็นนักบรรเลงเครื่องดนตรีจีนอีกสามคน


         ธีรธรในเสื้อสูทสีดำรับกับดวงตาและเส้นผมทำให้ดูสง่ายิ่งกว่าปรกติ  เส้นผมถูกเสยขึ้นมากกว่าปรกติเล็กน้อยช่วยทำให้ดวงหน้าคมสันน่าดูมากขึ้น เมื่อเพิ่มผ้าพันคอสีขาวครีมผืนยาวที่พาดคอทำให้ธีรธรดูราวกับมาเฟียฮ่องกง  นี่เป็นการแต่งแฟนซีที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เขาจะต่อกรกับเลขาสาวและบรรดาน้องสาวทั้งหลายที่อุตส่าห์บินมาจากเมืองไทยเพื่องานนี้โดยเฉพาะได้   เขานั่งลงที่เก้าอี้ในบลอคที่ดีที่สุดของฮอล์ลนี้ แย่หน่อยตรงที่เขาไม่อาจไปนั่งรวมกับเหล่าน้องสาวของเขาได้เพราะต้องนั่งกับบรรดาผู้บริหารระดับสูงและแขกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายที่มาในงานนี้อย่างคับคั่ง ซึ่งเมื่อครู่เขาได้กล่าวทักทายกับบุคคลสำคัญด้านการบริหารประเทศของประเทศนี้ไปหมาดๆ   ธีรธรถอนหายใจช้าๆขับไล่ความเหน็ดเหนื่อยจากการต้อนรับขับสู้กับแขกเหรื่อทั้งหลายแล้วมุ่งสมาธิไปที่เวที 


         เขาขมวดคิ้วเมื่อพบว่าที่เปียโนว่างเปล่าไม่มีคนที่มองหา พลางนึกในใจถึงเหตุผลว่าทำไมคนๆนั้นถึงยังไม่ออกมา    วาทยากรโบกไม้บาตองขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้ว เสียงกระแอมจากชายชราข้างๆทำให้ธีรธรหลุดจากห้วงความคิดมาสนใจเวทีอีกครั้ง  เสียงเพลงแรกที่บรรเลงผ่านโสตของเขาเป็นเพลงจังหวะค่อนข้างสนุกสนานไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไปนักโดยมีเครื่องดนตรีจีนสอดประสานกับวงออเคสตร้าอย่างลงตัว  แต่ถึงกระนั้นธีรธรก็ไม่ค่อยมีอารมณ์ในการชมสักเท่าไหร่นัก จวบจนเพลงแรกจบลงเสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นแทนเสียงดนตรี  ที่เวทีนั้นมีทีมงานออกมาตั้งเก้าอี้เพิ่มและนักดนตรีส่วนที่เหลือเข้าประจำที่พร้อม    สักพักร่างสูงใหญ่ของลีอองก็เดินตัวตรงเข้ามาจับมือกับเอ็ดเวิร์ด ฮอร์น ที่เดินลงจากแท่นยืนสำหรับคอนดักเตอร์แล้วเดินสวนออกไป  ธีรธรคิดในใจ ไอ้แก่นี่มันกินแรงเด็กนี่หว่า...


         เสียงปรบมือต้อนรับวาทยากรคนที่สองยังคงดังอีกอึดใจหนึ่งก่อนจะซาลง และเริ่มปรบมืออีกครั้งเป็นครั้งที่ดังกว่าเดิมมากมายหลายเท่านัก  ร่างโปร่งบางๆที่คุ้นตาเดินขึ้นมาบนเวที  พิรุณาผู้ยิ้มกว้างนัยน์ตาพราวคนนั้นกลับมาอีกครั้ง  ดวงหน้าสวยราวตุ๊กตากระเบื้องชั้นดีดูหวานขึ้นมากจากการรวบผมขึ้นไป และยิ่งแลดูน่าดูมากขึ้นอีกที่ผมสีน้ำตาลแดงนั้นถูกต่อยาวจนเป็นหางม้า  เสื้อตัวนอกสีแดงขับผิวขาวนวลนั้นให้ผุดผาดยิ่งขึ้นเมื่อต้องแสงไฟก็ยิ่งน่ามอง  พิรุณาโค้งให้ผู้ชมอย่างสง่างามท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังราวกับห่าฝน ก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่หน้าแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ที่เปิดฝาขึ้นโดยมีไม้ค้ำไว้แล้วขยับปรับที่นั่งให้ได้ระยะที่เหมาะสม   ลีอองเชิดหน้าขึ้นแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นักดนตรีเตรียมพร้อมรอสัญญาณจากลีอองและเริ่มบรรเลงเพลงที่เร้าใจ  โดยไม่มีใครรู้ว่าสายตาของคนๆหนึ่งในจำนวนผู้ชมร่วมพันคนกำลังมองมาอย่างมาดร้าย



         ช่วงพักครึ่งสิบนาทีพิรุณาเดินออกมากดน้ำเผื่อทุกคนที่ทางเดินหลังเวทีจากตู้อัตโนมัติ  โดยมีปองช่วยถือ  ที่ทางเดินตอนนี้ไม่ค่อยพลุกพล่านเหมือนเมื่อก่อนเริ่มแสดงเนื่องจากเจ้าหน้าที่เข้าสแตนด์บายตามจุดที่รับผิดชอบแล้ว  พิรุณาหยดเหรียญแล้วก้มลงหยิบกระป๋องน้ำอัดลมยี่ห้อคุ้นหน้าคุ้นตาขึ้นมาระหว่างที่เขาก้มลงหยิบนั้น หางตาเหมือนๆจะเห็นคนบางคน  ซึ่งมักพกพาความโชคร้ายมามอบให้พิรุณาเสมอ  ซิลเวอร์  อากิระ  พิรุณาหันกลับไปมองในทิศที่เขาเห็นเมื่อครู่อย่างเต็มตา แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่าจนทำให้ปองสงสัย

‘มีอะไรหรือเปล่าครับ?’ ปองถามพลางมองไปตามทิศที่พิรุณามองบ้างแต่ก็ไม่พบอะไร

‘เปล่า คุณปองน่ารักจนต้องมองทางอื่นตะหาก’พิรุณายิ้มเผล่เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยคลางแคลงสงสัย  เพราะการแสดงอาการผิดสังเกตจะสร้างความกังวลให้ปองแน่นอน

‘ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณพิรุณาถึงเป็นเพื่อนกับคุณเคน คุณเกรซได้   ไปเถอะครับจวนถึงเวลาแล้ว’ ปองรีบรุนหลังพิรุณาให้เดินกลับไปในห้องพักนักแสดง  ทำให้มองเผินๆแล้วเหมือนพี่น้องหลงยุคกำลังหยอกล้อกัน  พิรุณาอดคิดในใจไม่ได้

ขออย่าให้เกิดเรื่องร้ายๆขึ้นเลย


   
         เสียงออดเริ่มการแสดงดังขึ้นอีกครั้งทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อย เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นเดินนำเข้ามาอย่างสง่างามเช่นเคย  ตามด้วยเกรซ และ เทรส  เพลงที่จะบรรเลงต่อไปนี้เป็นเพลงสำคัญของคืนนี้ เพลง The Butterfly Lover Concerto เสียงปรบมือเกรียวกราวต้อนรับทำให้เกรซยิ้มกว้าง  เธอหนีบไวโอลินไว้ด้วยไหล่และคาง ยกคันชักเตรียมพร้อม  เช่นเดียวกับเทรสที่นั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าพาดคอเชลโล่ไว้กับไหล่ซ้ายของตัวเองแล้วตั้งท่าเตรียม  ในหัวของเกรซเริ่มทบทวนเรื่องราวของเพลงนี้และดำดิ่งสู้ห้วงอารมณ์นั้น   เมื่อวายากรโบกมือไปในอากาศเสียงเพลงก็ดังขึ้น

         บทเพลงท่อนแรกดำเนินไปด้วยการนำของเสียงเชลโล่ซึ่งเปรียบเสมือนพระเอกของเรื่องนี้  ด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ไพเราะและท่วงทำนองน่าประทับใจ  ตามด้วยเสียงไวโอลินแว่วหวานหากอบอุ่นหยอกล้อกันชวนให้นึกถึงความเป็นพี่น้อง  เกรซหลับตาลงดื่มด่ำกับบทเพลง เธอโยกตัวน้อยๆจนเครื่องประดับรูปผีเสื้อแกว่งไกวล้อประกายแสงวูบวาบ  ทำนองเพลงในช่วงท้ายของท่อนเริ่มเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าบอกเล่าถึงตอนที่นางเอกต้องกลับบ้าน


         เพลงท่อนที่สองนับว่าเป็นท่อนของการโซโล่โดยแท้  เสียงไวโอลินอันทรงพลังและพริ้วไหวจากฝีมือของเกรซทำให้ผู้ฟังตกอยู่ในภวังค์ เสียงนั้นเหมือนพยายามต่อสู้กับเสียงออร์เคสตร้าที่กระหึ่มทะมึน     เสียงไวโอลินแหลมสูงและคมชัดทุกเส้นเสียงกรีดลงในความรู้สึก ถ่ายทอดให้คนฟังรับรู้ถึงความทรมานตามเนื้อเรื่องได้อย่างสมบูรณ์  ทำนองแปลเปลี่ยนเป็นสงบลง เสียงเชลโล่ทุ้มนุ่มนวลหากโศกเศร้านั้นราวกับกำลังกระซิบบอกถึงความรักและความทรมานไม่แพ้กัน ก่อนเสียงไวโอลินจะกรีดเสียงตามมาฟังดูโศกสะอื้นปานจะขาดใจ



เพียะ!!!



         เสียงสายไวโอลินขาดแล้วสะบัดฟาดเข้าอย่างแรงราวกับแซ่เข้าที่แก้มของเกรซเต็มรัก  เลือดสีแดงสดเริ่มซึมออกมาจากแผลนั้นจนในที่สุดก็แดงฉานไปหมด แต่ไม่มีอะไรหยุดหรือฉุดรั้งเกรซได้ในวินาทีนี้  ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้ชมและเพื่อนร่วมวง เธอยังคงสีต่อไปพลางโยกตัวน้อยๆ เสียงที่ไพเราะและลึกซึ้งนั้นล้ำลึกเกินกว่าผู้ฟังจะใส่ใจกับเสียงที่ขาดหายไป  พิรุณาทราบว่าเพื่อนของเขากำลังดำดิ่งในห้วงภวังค์ ยากที่อะไรจะมาทำลายช่วงเวลานี้ของเกรซได้   นัยน์ตาสีฟ้าสดที่ดูเข้มจัดราวกับเป็นสีน้ำเงินไม่ทอประกายแห่งความตระหนกหรือหวั่นไหวใดๆเลยแม้แต่น้อย  เสียงออเคสตร้าโหมกระหึ่มขึ้นอีกอีกครั้งทำให้ผู้ฟังตื่นเต้นเร้าใจ จนเสียงฉาบทองเหลืองของเครื่องดนตรีจีนเคาะเป็นจังหวะทำให้นึกถึงภาพนางเอกและพระเอกได้สิ้นชีวิตลงแล้ว

         ท่อนที่สามเสียงขลุ่ยจีนและพิณเริ่มบรรเลงอย่างร่าเริง เหมือนผีเสื้อสองตัวบินไปคู่เคียงกัน  ก่อนเมโลดีเฉกเช่นในท่อนต้นจะกลับมา และตบท้ายของท่อนสุดท้ายนี้ด้วยเสียงกระหึ่มของวงออเคสตร้าด้านหลังอันสื่อถึงความสุขนิรันดร์ของคนทั้งคู่ เกรซและเทรสชักคันชักไปจนสุดแล้วปล่อยพร้อมกับที่วาทยากรให้สัญญาณ  เกรซวาดแขนลงหลังจากบรรเลงเสร็จดวงหน้านั้นแม้จะเปื้อนเลือดที่แก้มหากยิ้มกว้างสดใสให้ผู้ชมที่ลุกขึ้นปรบมือให้เกรียวกราว เสียงตะโกน บราโว่ ดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะ 


“อ๊า..เจ็บชะมัดเลยอ่ะ”เกรซโวยวายหลังจากลงจากเวทีเรียบร้อยแล้ว  เธอดึงผ้าเช็ดหน้าที่กดไว้ห้ามเลือดออกให้ปองและพิรุณาดูแผล

“เยี่ยมมากเกรซ ฉันนับถือกับความเป็นนักแสดงของเธอ”เทรสกล่าวแล้วตบหัวเพื่อนสาวเบาๆ

“ดีนะที่ลีอองเอาไวโอลินมาอีกตัวไม่งั้นละแย่แน่เลย”ทีน่าถองอกลีอองซึ่งทำหน้าปุเลี่ยนจะเข้าไปปลอบเกรซก็ไม่กล้า  ลีอองก่อนจะได้เรียนคอนดักเคยเรียนไวโอลินมาก่อนนี่เองทำให้รู้จักกับเกรซ  และถึงแม้ว่าลีอองจะไม่ได้เล่นไวโอลินอย่างจริงจังแล้วแต่เขาก็ยังคงชอบนำเครื่องดนตรีสักชิ้นติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเผื่อไว้แก้เบื่อ

“แผลไม่ลึก แต่ต้องดูแลดีๆนะครับ เดี๋ยวเป็นแผลเป็นล่ะแย่เลย”ปองทำแผลให้เกรซ แต่พอจะติดพลาสเตอร์ปิดแผลเกรซก็รีบร้องห้าม

“คุณปองอย่าเพิ่งติดค่ะเดียวต้องเล่นอีกเพลง  แล้วยังต้องออกไปถ่ายรูปอีก” เพื่อนๆและคนในวงหัวเราะ

“ห่วงสวยก็บอกมาเหอะเกรซเอ๊ย”อเล็กซ์แซว

‘เอาน่าคืนนี้เกรซเป็นดาราของเรานะ จะห่วงสวยก็ไม่แปลก  ตบมือให้เธอหน่อย’ พิรุณาส่งภาษามือแล้วปรบมือให้ทุกคนจึงปรบมือตาม  แล้วเรียงแถวกันอีกครั้งเตรียมออกไปเล่นเพลงสุดท้ายหลังจากผู้ชมยืนขึ้นปรบมือให้นักดนตรีทั้งหมดยาวนานกว่ายี่สิบนาทีแล้ว

“โค้ตเพลง 101”เสียงตะโกนต่อๆกันไปทำให้ทุกคนที่รู้กันหัวเราะขำ  ไม่นึกว่าจะได้เล่นเพลงนี้ เมตเล่ห์เพลงหนังจีนชุด ที่พิรุณาเรียบเรียงมาโดยเฉพาะสำหรับแก้เบื่อ  แต่ทุกคนกลับซ้อมเพลงนี้อยากจริงๆจังราวกับเป็นหนึ่งในเพลงที่ได้คัดไว้  นึกไม่ถึงว่าจะได้เล่นต่อหน้าผู้ชมจริงๆ



      
         เสียงปรบมือของผู้ชมเกรียวกราวขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟเวทีสว่างขึ้นอีกครั้ง  นักดนตรีทยอยเดินเข้าประจำที่ คราวนี้เปียโนหลังใหญ่ถูกเลื่อนมาหน้าสุด เสียงปรบมือกึกก้องปรบให้วาทยากรทั้งสองคน  เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นขึ้นประจำยังยกพื้น ส่วนลีอองไปเคาะเครื่องเคาะด้านหลัง  ตามด้วยพิรุณาและเกรซที่ออกมาพร้อมๆกัน  ทั้งสองคนโค้งให้ผู้ชมอย่างน่าดู  พิรุณาเดินเข้าไปนั่งประจำที่ ส่วนเกรซยืนอยู่ใกล้ๆนั่นเอง เธอวางผ้าเช็ดหน้าลงตรงส่วนที่ใช้วางคางของไวโอลินก่อนจะยกไวโอลินขึ้นในท่าเตรียม  วาทยากรยกมือขึ้นสูงกว่าปรกติพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้ววาดมือลงอย่างรวดเร็ว เสียงดังกระหึ่มของวงออเคสตร้าดังกึกก้องขึ้นเปิดฉากเพลงสุดท้ายได้อย่างสวยงาม




         ประตูหอประชุมเปิดออกโดยแรง ร่างเล็กบางในชุดทักซิโดสีเขียวเข้มติดกระดุมทองเดินหุนหันออกมาอย่างหัวเสีย  เขามองพนักงานประจำหอประชุมที่เปิดประตูให้เขาไม่ทันอย่างโมโหจัดราวกับพนักงานคนนั้นทำให้เขาเคียดแค้นหนักหนา  พนักงานผู้โชคร้ายได้แต่มองอย่างงงงันแล้วเอื้อมมือหมายจะปิดประตู แต่แล้วก็มีมือลึกลับมายันไว้  ร่างสูงในชุดดำๆโผล่พรวดออกมาจากเงามือภายในหอประชุม เสียงเพลงกระหึ่มทำให้ไม่อาจได้ยินว่าชายคนนี้ร้องเรียกใครหรืออะไรออกมาแล้วเจ้าของร่างสูงๆนั้นก็วิ่งลับหายไปในทิศเดียวกับชายร่างเล็กคนนั้น  พนักงานคนนั้นได้แต่โครงศีรษะไปมาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะปิดประตูไว้ตามเดิม



         


       นักดนตรีทั้งหมดยืนขึ้นแล้วโค้งให้ผู้ชมท่ามกลางเสียงปรบมือดังสั่นราวห่าฝน พิรุณายิ้มแย้มสดใสรับการแนบแก้มกับเกรซอย่างยินดี  เคนมองภาพนั้นราวกับจะจารึกในความทรงจำ เพื่อนของเขากำลังไปได้สวยในวงการดนตรีนี้  พิรุณาก็เช่นกันกำลังสนุกกับชีวิตที่แม้จะไม่อาจได้ยินเสียงพูดคุยหรือเสียงรอบกายใดๆ  แต่เสียงปรบมือของผู้ชมที่ปรบมือให้อย่างยินดียังคงดังก้องในใจเสมอ   และจะอีกนานกว่าพิรุณาจะยอมวางมือจากวงการแห่งเสียงดนตรีและยอมไปอยู่กับเขา บางทีวันนั้นอาจมาไม่ถึง....เพราะไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะกับพิรุณาเท่าบนเวทีเช่นนี้อีกแล้ว






“ขอถ่ายภาพหน่อยค่ะ”เสียงช่างภาพร้องตะโกนบอกพิรุณา  ปองจึงรั้งแขนพิรุณาไว้ให้ถ่ายรูปก่อน พอปองทำท่าจะหนีออกจากกล้องพิรุณาก็รีบคว้าไว้ให้ถ่ายรูปคู่กัน  เมื่อมีช่างภาพเรียกไว้ได้สำเร็จกล้องอีกนับสิบตัวก็พุ่งเข้ามาถ่ายภาพ แสงไฟจากแฟรชทำให้พิรุณาและปองตาพร่าไปเลยทีเดียว

“คุณธีรธรครับ ขอถ่ายภาพคู่กับคุณพิรุณาหน่อยครับ” นักข่าวรีบเรียกบอสหนุ่มมาถ่ายรูปคู่กับพิรุณา  พิรุณาเมื่อเห็นว่าใครที่จะต้องถ่ายรูปด้วยก็แทบอยากจะเดินหนี

“เดี๋ยวสิคุณถ่ายรูปกันก่อน” ธีรธรพูดโดยไม่ขยับปากมือข้างหนึ่งโอบพิรุณาไว้ให้ถ่ายรูปคู่กัน พอเห็นว่าพิรุณาทำหน้าบอกบุญไม่รับก็เลยแกล้งก้มลงกระซิบข้างหู ทั้งที่รู้ว่าพิรุณาไม่ได้ยิน

“ทำหน้าดีๆสิคู๊ณ ทำอย่างกับภรรยาขอหย่าสามีอย่างนั้นแหล่ะ”

“พี่ธี! อย่าแกล้งคุณพิรุณานะคะ”รันดาเดินแหวกฝูงช่างภาพเข้ามาช่วยชีวิตพิรุณาไว้ทัน

“คุณปอง คุณพิรุณาน่ารักจัง  พี่รินพี่เรนมาถ่ายรูปกันเถอะค่ะ” รันดาชวนพี่สาวอีกสองคนเข้ามาเมื่อเห็นว่าฝูงช่างภาพเข้าไปรุมถ่ายเอ็ดเวิร์ด ฮอร์นกันหมดแล้ว

“สวัสดีครับคุณริน คุณเรน คุณรันด้วย” ปองกล่าวทักทายอย่างสุภาพให้หญิงสาวทั้งสามคน  ซึ่งเจ้าของชื่อรินและเรนยิ้มให้น้อยๆ  ทั้งสองมีดวงหน้าคมเช่นเดียวกับพี่น้องของเธอ แต่รินสวยที่ดวงตาเจิดจรัส ส่วนเรนน่ารักตรงที่มีลักยิ้ม เมื่อเธอแย้มยิ้มแก้มซ้ายจะมีรอยปุ๋มลงไปชวนให้น่าเอ็นดู   พิรุณามองหญิงสาวทั้งสามสลับกับมองธีรธรหลังจากได้รับคำอธิบายจากปองแล้วว่าหญิงสาวทั้งสามคนเป็นญาติของบอสหนุ่ม


ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดูสามคนนี้จะมีพี่ชายแบบไอ้คุณบอสคนนี้.....ดูสิ..แต่งตัวเหมือนมาเฟียฮ่องกงเลย


“ยัยรันปลื้มคุณมากเลยนะคะ  ไม่คิดว่าตัวจริงจะสวยน่ารักขนาดนี้” เรนกล่าวโดยที่ปองแปลให้  พิรุณาขมวดคิ้วเรียวสวยหน่อยหนึ่ง แล้วถามกลับ

‘คำว่าสวยในภาษาไทย  ใช้กับผู้ชายได้ด้วยหรอครับ?’ เรนหัวเราะเมื่อทราบว่าพิรุณาถามอะไร

“ของคุณพิรุณาเป็นกรณียกเว้นค่ะ” รินตอบแล้วหันไปยิ้มกับพี่สาวน้องสาวของเธอ  ธีรธรสะกิดรันให้ทำตามอย่างที่ตกลงกันไว้

“คืนนี้ถ้าคุณพิรุณาไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก รันอยากเชิญคุณพิรุณาไปทานอาหารค่ำร่วมกับเราสักหน่อยน่ะค่ะ”

“คุณพิรุณามีนัดไว้ก่อนแล้วล่ะครับ  ต้องขอโทษด้วย เอาไว้เป็นโอกาสหน้าแล้วกันนะครับ” ปองตอบให้อย่างสุภาพ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ไว้โอกาสหน้ารันจะชวนใหม่”รันดายิ้มหวานให้พิรุณาและปองอย่างไม่ถือโทษโกรธกัน   

“เจ้าของนัดตัวจริงมาแล้วครับ” ชายร่างสูงผมสีทองมองหญิงสาวทั้งสามแล้วยิ้มน้อยๆ  พลันนัยน์ตาสีมรกตก็เหลือบไปเห็นธีรธร อารมณ์ดีของเคนก็สะดุดลง  ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรพิรุณาก็เข้าสวมกอดเพื่อนรัก


‘คอนเสิร์ตเป็นไง  ดูดีไหม?’ พิรุณาถามอย่างกระหายใคร่รู้ แล้วกอดคอเพื่อนรักที่โน้มตัวลงให้เพื่อนตัวเล็กเกาะคอได้สะดวก  อีกครั้งที่จมูกโด่งๆเข้าใกล้แก้มขาวนวลนั้นอย่างน่ากลัวว่าพร้อมจะลอบชื่นชมความหอมหวานที่นวลแก้มนั้น

‘ดีมากเลยล่ะ ยอดหญิงเกรซเด็ดมาก’ พิรุณายิ้มกับคำตอบที่ได้รับ

“คุณเคนครับ  คุณเกรซเรียกให้ทุกคนไปถ่ายรูปแล้วล่ะครับ” ปองรีบบอกสองคนที่คุยกันราวกับโลกนี้ไม่มีใครอื่นอีกให้แยกห่างจากระเบิดเวลาอย่างบอสหนุ่ม  ปองรู้ว่าในหัวบอสหนุ่มที่นิ่งสงบนั้นกำลังปั่นเร็วจี๋

‘ยังไม่ได้ถ่ายรูปใช่ไหมครับ? เชิญครับ’ พิรุณาถ่ายรูปกับสามสาวอย่างยินดี 

‘ต้องขอตัวก่อนนะครับ’ พิรุณาส่งภาษามือให้แล้วยิ้มหวานให้กับหญิงสาวทั้งสาม โดยไม่เหลือบแลไปยังธีรธรเลยแม้แต่น้อย  ก่อนที่เคนจะจับมือบางๆนั้นแล้วพาเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

“พี่ธี หรือว่า  พี่ธีสนใจคุณพิรุณา” รันดากระซิบกับตัวเอง  เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะพี่ชายของเธอมีแต่สาวๆวิ่งตาม  นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ชายสุดหล่อของเธอวิ่งตามคนอื่น แถมยังเป็นคนสวยอย่างพิรุณาด้วย!!
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 15-12-2007 18:12:30
ว้า..............ธีรธร น่าสงสารๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 24-12-2007 02:24:01
ทำไงจะเอาชนะใจพิรุณาอย่างไรนี่
 :mc2: :mc2: :mc2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 24-12-2007 22:33:08
ยังไม่มีวี่แววว่าใจจะตรงกันลยยย มาต่อเร็ว นะครับ  :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 25-12-2007 04:01:14
ขอโทษเพื่อนๆนะครับที่มาอัพช้าพอดีติดสอบอ่ะครับ(สร้างภาพ :oni3:)

วันนี้สอบเสร็จแล้วล่ะเลยมาอัพซะเลยหลังที่ดองมานาน

ต่อกันเลยเน๊าะ :a1: :a1: :a1:
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
             เสียงสรวลเสเฮฮาของเหล่านักดนตรีที่เพิ่งลงเวทีเมื่อราวๆสองชั่วโมงที่ผ่านมาดังสนั่นกลบทับเสียงเพลงสบายหูที่คลับแห่งหนึ่งเปิดไปสนิท ซึ่งวันนี้ปิดร้านให้สำหรับวงนี้โดยเฉพาะ ด้วยเส้นสายของยอดหญิงเกรซเช่นเคย   เคนนั่งทางด้านขวาของพิรุณาคอยตักอาหารนั่นนิดนี่หน่อยเอาใจพิรุณาซึ่งดูจะไม่ค่อยสนใจเคนมากนัก  เกรซนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเติมเบียร์จากเหยือกใหญ่ใส่แก้วพิรุณาอย่างสนุกสนาน ที่แก้มของเธอมีผ้าก็อชปิดแผลไว้เรียบร้อยแล้ว 

‘ฉันไม่ใช่นักดนตรีขี้เมานะ ขยันเติมจัง เบียร์เนี่ย’

‘น่า จะได้หายเหนื่อยไง’

“คุณเกรซ จบงานนี้แล้วจะทำอะไรต่อหรอคะ?” นักศึกษาแผนกไวโอลิน ซึ่งเล่นไวโอลินที่1 ถามขึ้น เพราะเธอดูจะเป็นคนที่สนิทกับเกรซมากที่สุดในบรรดานักศึกษาในวงทั้งหมด

“ถามตอบยากนะเนี่ย  ที่แน่ๆก็ต้องพาลูกรักไปรักษาตัวก่อน” เกรซหมายถึงไวโอลินของเธอที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องสีแดงติดสติ๊กเกอร์จนเลอะเทอะของเธอ

“แล้วหลังจากนั้นละคะ?” นักศึกษาสาวคนนั้นยังคงเซ้าซี้

“ไม่รู้สินะ  อาจจะไปนอนกลิ้งที่บ้านพิรุณาสักเดือนสองเดือน  แล้วหลังจากนั้นอาจจะกลับเข้าวง หรือไม่ก็วางแผนทำอะไรสักอย่างอีก  แต่คิดอีกทีเรื่องกลับเข้าวงฉันคงไม่สนเท่าไหร่หรอก  เพราะมันน่าเบื่อสำหรับฉัน สู้ไปทำอะไรที่ท้าทายกว่านั้นดีกว่า”

“อย่างเปิดหมวกแถวโซโหนะหรอ?” ทีน่าแซวถึงวีรกรรมเก่าๆที่เพื่อนสาวสร้างไว้  ด้วยการโดดงานไปเล่นไวโอลินอยู่ย่านโซโหจนคนตามหาตัวกันให้ขวัก

“อย่าแซวสิ  ทำอย่างกับเธอมีแผน”

“มีสิยะ  ฉันไม่ใช่พวกลอยชายเป็นแม่พวงมาลัยอย่างเธอนิ  ฉันจะกลับไปเล่นให้วงเหมือนเดิมน่ะแหล่ะ” เทรสและอเล็กซ์พยักหน้าเห็นด้วย  เกรซจึงหันไปทางลีอองซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเธอ   ดวงตาสีฟ้าใสสบตาดุดันของลีออง

“ลีอองเองก็ถูกทาบทามให้ไปคอนดักเตอร์ให้วงนี่”ทีน่าบอกชื่อวงออเคสตร้ามีชื่อทำให้ทุกคนตาโตส่งเสียงอู้ฮู~ ออกมา

“อือ” ลีอองรับคำด้วยเสียงในคือเพียงพยางค์เดียว  เกรซรู้สึกขัดใจเล็กๆจึงระบายด้วยการแทงส้อมแรงๆกับอาหารตรงหน้าเธอ

“แล้วพิรุณาล่ะ?” สายตาสงสัยมุ่งตรงมาให้พิรุณา พิรุณารีบวางแก้วเบียร์ที่กำลังจะยกขึ้นจิบลงแทบไม่ทัน

‘ก็....อาจจะลองกลับไปนั่งแต่งเพลงดู เผื่อว่าจะได้สักสิบเพลงอะไรเงี้ย’พิรุณาตอบอ้อมๆ ทำให้เพื่อนตาโต

“อัลบัมใหม่หรอ  จริงอ่ะๆ  ต้นสังกัดให้แล้วหรอ?”ทุกคนเซ้าซี้

‘ก็ตอนคุณปองไปรายงานเรื่องฟ้องร้อง  เขาก็ฝากให้มาบอกว่าให้ลองคิดดู  แค่นั้นเอง’ พิรุณาส่งภาษามือแล้วเม้มปากบางแน่นพยักหน้าน้อยๆ เหมือนพยายามทวนความจำตัวเอง

“อย่างนี้ต้องฉลอง!!!” เสียงเกรซแทบเป็นตะโกนเธอยกแก้วขึ้นสูงทำให้ทุกคนทำตาม

“แก้วนี้เพื่ออนาคตที่สดใสของเพื่อนๆ หมดแก้ว!!!” เสียงตอบรับจากทุกคนดังรับอย่างสามัคคีพิรุณาจึงต้องยกแก้วขึ้นตามก่อนจะดื่มหมดแก้วเช่นเดียวกันกับทุกคน พลางนึกในใจว่า  ถ้ายังโดนลากไปดื่มแบบนี้บ่อยๆ  สงสัยอีกหน่อยต้องได้เป็นนักดนตรีขี้เมาเข้าสักวันแน่ๆเลยเรา





         พิรุณาพาร่างปวกเปียกของปองที่เดินเซไปเซมาราวกับไม่รู้จักคำว่าเส้นตรงกลับมายังห้องพักในโรงแรมซึ่งสปอนเซอร์ใจปล้ำให้นักดนตรีทั้งหมดพักที่นี่ได้   พิรุณาโยนร่างปองลงบนเตียงในห้องพักโดยยังไม่เปิดไฟ  มีแต่เพียงแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น แล้วปลดกระดุมเสื้อให้ปองแค่พอหายอึดอัดก่อนจะห่มผ้าให้เรียบร้อย  เคนเดินเข้ามายืนพิงประตูมองอยู่นานแล้ว  พิรุณาหันไปยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเริ่มถอดโค้ตสีน้ำตาลที่สวมอยู่ออก ให้เหลือเพียงเชิ้ตขาวสะอาดตาเช่นที่ใส่ประจำ  เคนเดินเข้ามาใกล้พิรุณาจับโค้ตที่พิรุณากำลังจะถอดออกจากตัวเอาไว้  พิรุณาจึงหันมามองอย่างสงสัย

‘ง่วงหรือยัง? ออกไปเดินเล่นกันก่อนได้ไหม?’ พิรุณาสบตากับนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นนิ่ง  ก่อนจะพยักหน้าเบาๆแล้วสวมโค้ตกลับแล้วออกจากห้องไปพร้อมกับเคน



         เคนพาพิรุณาลงลิฟท์มายังชั้นๆหนึ่งซึ่งจัดไว้เป็นสวนลอยที่สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมจีนผสมผสานกับโมเดิร์น แสงไฟสลัวๆจากโคมที่ตกแต่งอยู่เป็นระยะทำให้ได้บรรยากาศโรแมนติก  เคนจูงมือพิรุณาให้เดินไปตามทางเดินหินสีขาวตรงไปที่ศาลาทรงจีนหลังน้อยที่ห้อยโคมจีนมีพู่ระย้าสีแดงดูน่ารัก  รอบข้างนั้นรายล้อมไปด้วยพันธุ์พฤกษ์นานาชนิดใหญ่น้อย และได้กลิ่นหอมจางๆจากดอกไม้บางชนิด  พิรุณามองภาพความสวยงามรอบด้านอย่างเพลิดเพลิน พลางดมกลิ่นหอมชื่นใจนั้นอย่างรื่นรมย์ นึกสงสัยในใจว่า เสียงของ ‘โลกภายนอก’ นั้นจะมีเสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงร้องอยู่หรือเปล่าหนอ?  เคนมองดวงหน้าเนียนใสที่ต้องแสงโคมและดวงจันทร์อย่างหลงใหล นัยน์ตาสีมรกตมองพิรุณาอย่างดื่มด่ำ  พิรุณารู้สึกตัวจนหันมามอง

‘มองอะไรหรอ?’

‘ มองพระจันทร์’ เคนส่งภาษามือให้ พิรุณาเอียงคอสงสัย  พระจันทร์อยู่นอกศาลา แล้วมองหน้าทำไม...

‘จำวันแรกที่เรารู้จักกันได้ไหม?’

‘ได้สิ  ใครกันล่ะที่โผล่พรวดมาจากชั้นหนังสือฝั่งตรงข้ามแล้วอ้าปากพะงาบๆถามว่า เธอคนนั้นน่ะ ชื่ออะไร’พิรุณาหัวเราะกับความทรงจำเก่าๆ  เคนใช้มือแตะปลายจมูกตัวเองอย่างเขินๆ

‘แถมยังหน้าด้านหน้าทน  พอคนเขาไม่สนก็วิ่งตาม แถมยังขี้ตื้อชะมัด’ พิรุณาส่งภาษามือแล้วระบายยิ้มอ่อนหวาน

‘ก็ถ้าไม่ตื้อแล้วจะรู้หรอว่าชื่ออะไร เรียนอะไร แล้วจะรู้หรอว่าเรียนวิทยาลัยดนตรีที่เดียวกัน’

         วันนั้นพิรุณาซึ่งเป็นนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเข้าห้องสมุดตั้งแต่วันแรกที่มาเรียนเนื่องจากเขาขาดเรียนไปตั้งแต่สัปดาห์แรก เพราะวุ่นอยู่กับการเรียนที่วิทยาลัยดนตรี  ซึ่งทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ว่าอะไรเพราะถือว่านักศึกษาจะเข้าเรียนก็ได้ไม่เข้าก็ได้แต่ต้องสอบผ่าน   เขาเดินไปตามชั้นหนังสือที่สูงท่วมหัว ด้วยความสูงอย่างพิรุณาทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวถูกบีบให้เล็กลงอีกเมื่อมาอยู่ในหอสมุดที่รวบรวมหนังสือทั้งเก่าใหม่ไว้หลากหลายกว่าแสนเล่ม  เขายืนตะลึงงันอยู่ข้างทางเดินซึ่งเบื้องหน้ามีโต๊ะอ่านหนังสือพร้อมโคมไฟสีเขียวๆตั้งเป็นแพแออัดอยู่เต็มไปหมด  นักศึกษาหลากหลายเชื้อชาติบ้างนั่งอ่านหนังสือแล้วแอบพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะ  บ้างกำลังเดินไปมาพร้อมถือหนังสือไว้ในมือ  บ้างกำลังคัดลอกข้อความบางอย่างใส่ในกระดาษอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง  หลังจากพิรุณายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่นานเขาก็ตัดสินใจ  ลองลัดเลาะไปตามชั้นหนังสือที่ใกล้ที่สุดดูบ้าง เพื่อหาหนังสือเกี่ยวกับกฎหมาย


         ในที่สุดเขาก็พบชั้นหนังสือที่ต้องการในชั้นหนังสือลึกมาก ซึ่งชั้นหนังสือนั้นต่างจากรอบนอกโดยสิ้นเชิงเพราะเป็นชั้นเหล็กที่ดูบอบบางเหมือนพร้อมจะถล่มใส่ทุกคนที่เดินเข้ามาในลอคนี้เพราะน้ำหนักของหนังสือมากมายบนชั้นนั้น  ในขณะที่ชั้นหนังสือด้านนอกเป็นตู้วางอย่างดี     พิรุณากำลังเลือกหนังสือที่น่าสนใจและคิดว่าง่ายแก่การเข้าใจที่สุด สำหรับเริ่มเรียนด้านนี้  สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือที่ถูกใจอยู่เล่มหนึ่งอยู่ในชั้นที่สูงขึ้นไปมาก ด้วยความสูงอย่างพิรุณาจึงหมดสิทธิ์หยิบอย่างแน่นอน  ต่อให้ลากบันไดเตี้ยๆที่ใช้สำหรับปีนขึ้นหยิบหนังสือมาต่อแล้วก็ตาม  ระหว่างกำลังตัดใจเลือกเล่มใหม่อยู่นั้น หนังสือที่กำลังเลือกอยู่ตรงหน้าก็แหวกออกอย่างแรง  ใบหน้าหนึ่งโผล่พรวด  พิรุณาผงะถอยหลังจนชนกับชั้นหนังสือด้านหลังทำให้ชั้นเจ้ากรรมนั้นสั่นไหวอย่างรุนแรงพิรุณาจึงต้องรีบจับมันไว้ให้นิ่ง ไม่อย่างนั้นเขาจะได้ลงข่าวหน้าหนึ่งอย่างแน่นอนว่า นักศึกษาปีหนึ่งถูกชั้นหนังสือทับตาย 



“เธอคนนั้นน่ะชื่ออะไร?” ดวงหน้าคมสันอย่างชายเชื้อสายอิตตาเลี่ยนนิดๆยื่นหน้าออกจากชั้นหนังสือฝั่งตรงข้าม  พิรุณาที่ตกใจและไม่ได้ยิน แต่ก็พยายามหลบจากชายผู้น่าสงสัยคนนั้น

“เดี๋ยวสิ  บอกก่อนเธอชื่ออะไร?” เคนวิ่งมาดักหน้าพิรุณา  พิรุณาจริงกลับหลังหันแล้วรีบเดินไปอีกทาง  แต่ก็ถูกมือแข็งแรงจับที่ต้นแขน

“เดี๋ยวสิ บอกชื่อ กับคณะก่อนสิ”  พิรุณากอดหนังสือไว้แนบอก  ไม่อยากสุงสิงกับใคร  จึงส่งภาษามืออย่างส่งๆเพราะรู้อยู่แล้วว่าคนๆนี้คงไม่รู้ว่าเขาจะสื่ออะไร

‘อย่ามายุ่งกับผม หลบไปซะ’ คนตัวเล็กกว่าสะบัดแขนอย่างแรงแล้วรีบเดินหายไปอย่างว่องไวท่ามกลางหมู่ชั้นหนังสือ  ทิ้งให้ชายผมทองร่างสูงใหญ่ยืนหงุดหงิดที่พลาดท่าปล่อยให้คนที่ตนสนใจหนีไปเสียได้





‘แล้วรู้หรือเปล่าว่าคนเขารำคาญ’

‘รู้แต่จะทำนี่นา’ เคนตอบ นัยน์ตาคู่สีมรกตพราวระยับ

‘แต่ก็ต้องขอบใจมาก  ถ้าไม่มีเคน ฉันก็ไม่มีวันนี้  ไม่มีเพื่อนที่น่ารัก  ไม่มีอนาคต  เพราะไม่มีใครลงทุนแบกโน้ตบุ๊คมานั่งข้างๆคอยพิมพ์สิ่งที่อาจารย์พูดให้ฉันเรียน  ขอบใจมากที่ยอมเป็นเพื่อนกับฉัน’  พิรุณาสบตาคู่นั้นของเคนที่มองตรงมานิ่ง

‘แค่เพื่อนเท่านั้นหรือ?’ ทั้งคู่จ้องตากันท่ามกลางความเงียบสงบ  มีเพียงแสงจันทร์และแสงจากโคมดวงเล็กๆส่องสว่าง    ดวงหน้าคมสันนั้นเลื่อนเข้ามาใกล้  นัยน์ตาสีมรกตพละจากดวงตาคู่สวยที่ตรึงลมหายใจเขาให้แทบหยุดนิ่งทุกครั้งที่เข้าใกล้ เหลือบมองริมฝีปากบางหากอิ่มสวยน่าลิ้มลองนั้นอย่างเผลอไผลราวตกอยู่ในห้วงภวังค์


         แขนแข็งแรงโอบเอวบางรั้งให้เข้ามาใกล้ตัวก่อนจะประทับริมฝีปากผ่าวร้อนลงบนกลีบปากบาง  ในสมองขาวโพลนไม่รับรู้สิ่งใดรอบข้างอีกแล้วนอกจากความหอมหวานที่ได้รับ  พิรุณายืนนิ่งปล่อยให้เคนทำตามใจอยากเสียให้เต็มทีโดยมือขาวนวลนั้นประคองหน้าคมสันของเคน   ในที่สุดเคนก็ถอนริมฝีปากออกช้าๆอย่างเสียดายและค่อยคลายวงแขนออกเหลือเพียงการโอบเบาๆ   ดวงตาคู่นั้นฉายประกายบางอย่างเจิดจรัสอยู่ภายใน คำพูดต่างๆนานาในหัวเหมือนตีกันยุ่งเหยิง  จนในที่สุดเขาก็ค้นเจอว่าสิ่งที่อยากพูดที่สุดนับแต่วันแรกที่ได้พบพิรุณาคืออะไร

‘พิรุณา ฉันรักเธอนะ  รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น  รัก...จนถึงวินาทีนี้และเดี๋ยวนี้’ พิรุณายิ้มน้อยๆให้เคน  เป็นรอยยิ้มที่ตราตรึงหากไม่แสดงถึงการตอบรับใดๆเลย จนเคนชักหวั่นใจ 

‘พิรุณารักฉันบ้างไหม?’ หัวใจของเคนเต้นระส่ำอยู่ในอก  เหมือนมันพร้อมจะกระดอนออกมาทางปาก  เขารอคำตอบจากคนตรงหน้าราวกับวินาทีนั้นยาวนานเป็นชั่วโมงๆ

‘ ฉันจะตอบถ้ารับปากว่า คำตอบที่ได้รับจะไม่ทำลายความสัมพันธ์ของเราให้เสื่อมสลายลง  เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นฉันจะลืมเสียว่าเคนบอกอะไรฉันในคืนนี้’


   

         พิรุณามองตาคู่นั้นของเคน  เขารู้มาตั้งแต่แรกว่าเคนไม่ได้คิดกับเขาอย่างเพื่อนธรรมดา  รู้มานานตั้งแต่ที่เคนเข้ามาให้ใกล้ชิด  แม้เริ่มแรกเคนยังไม่แสดงอย่างชัดเจน แต่พิรุณาสังเกตเห็นร่องรอยที่ ‘พิเศษ’ ซึ่งถูกซ่อนเร้นไว้  ต่อมาเคนเริ่มแสดงออกมากขึ้นๆจนเห็นได้ชัด  เขาดูแลเอาใจใส่พิรุณามากมาย  ตั้งแต่ยอมทำผิดให้ถูกมหาวิทยาลัยลงโทษให้มาดูแลเด็กพิเศษอย่างพิรุณา  ยอมแบกโน้ตบุ๊คที่น้ำหนักไม่น้อยมานั่งอยู่ข้างๆในคาบเรียนเพื่อพิมพ์ข้อความที่อาจารย์อธิบายให้พิรุณาได้เรียนเต็มที่ ยอมเรียนภาษามือเพื่อจะได้สื่อสารกันง่ายขึ้น    เป็นผู้พิทักษ์ประจำตัวพิรุณาเสมอเมื่อยามที่พิรุณามีเรื่อง  เช่นเดียวกันถ้าเคนมีเรื่องพิรุณาก็ออกหน้าเช่นกัน   นอกจากนั้นเคนยังเป็นคนสนับสนุนให้เขารับข้อเสนอของอาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น ที่พิรุณาตั้งแง่ว่า ตาแก่พิลึก  ไม่เห็นน่าสนใจ   สนับสนุนให้พิรุณาได้ทำงานพิเศษเพื่อส่งตัวเองเรียนจนจบ  คอยเป็นกำลังใจให้พิรุณาก้าวต่อ แม้ย่างก้าวนั้นจะยากเย็นขนาดไหน  หากลองพิจารณาดูแล้ว  เคนเป็นผู้มีพระคุณต่อเขาก็ว่าได้   


         เคนพยายามบอกเขาอย่างอ้อมๆด้วยทั้งวาจาและการกระทำอยู่เสมอๆอย่างทีเล่นทีจริง  แต่ทุกครั้งพิรุณาก็บอกปัดเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น  เพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากใจนั้น  แต่แล้ววันนี้ก็มาถึง  วันที่เคนถามอย่างตรงไปตรงมา  เขารู้ว่าสักวันต้องมาถึง  และในวันนี้เขาหมดสิทธิ์ที่จะหลีกเลี่ยงหรือบิดพลิ้วใดๆได้อีกแล้ว  ในคืนนี้  ในศาลาหลังน้อยแห่งนี้  เขาต้องมอบคำตอบให้เคน....


คำตอบนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!!!
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำตอบคืออะไรน้า.....
จบตอน 7 แล้ว หวังว่าเพื่อนๆจะชอบนะครับ :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 25-12-2007 04:11:39
ชอบครับแต่ค้างคาอ่ะ :m23:
แต่ว่าไปนายเคนนี้ก็แสนดีจังนะครรับแต่เรื่งของหัวใจมันเกินควบคุมอ่ะ :oni2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 25-12-2007 11:40:32

คำตอบ!

จะตอบว่า.......................................................?
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 25-12-2007 13:11:37
คำตอบพอจะเดาออก แต่ผลที่ตามมาเนี่ยสิ เดายากกกกกกกกกกกกแฮะ รอลุ้นตอนต่อไปดีกว่า
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 25-12-2007 13:27:15
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 25-12-2007 16:32:09
คนที่ไม่ใช่
ยังไงก็คงไม่ใช่
 :mc1: :mc1: :mc1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 26-12-2007 08:22:57
เข้ามาอัพก่อนกลับบ้าน(นอก)  :mc1:

มาต่อกันเลยเน๊าะ กำลังสนุก  :a1:
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO   chapter# 8




         พิรุณาสบตาเคนนิ่ง  ดวงตาคู่สวยซึ้งตรึงตรานั้นจ้องมองอย่างตรงไปตรงมา  ท่ามกลางบรรยากาศสงบยามค่ำคืน มีเพียงสายลมที่พัดเอื่อยๆส่งให้โคมดวงน้อยห้อยพู่ระย้าแกว่งไกวเบาๆ  เคนหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่าพิรุณาจะตอบคำถามของเขาอย่างไร  แต่ความพยายามนั้นไร้ผล เขาจำต้องพยักหน้าลงรับเงื่อนไขของพิรุณาจนได้

‘ฉันรับปาก ว่าไม่ว่าคำตอบที่ฉันกำลังจะได้จะเป็นอย่างไร  ความสัมพันธ์ของเราจะไม่เสื่อมถอย’ พิรุณาเม้มปากบางแน่น ก่อนจะก้มหน้าลงมองเท้าตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ  หลังจากรวบรวมความกล้าได้อีกครั้งเขาก็เงยหน้าขึ้นสบตากับสายตาคาดหวังนั้น

‘เคน....ฉันก็ขอยอมรับว่ารักนาย…’  สีหน้าของเคนแช่มชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนพิรุณานึกลังเลใจกับสิ่งที่จะพูดต่อไป

‘แต่สิ่งที่ฉันรักในตัวนาย  มันต่างจากสิ่งที่นายรักจากตัวฉัน   ฉันรักในมิตรภาพที่นายหยิบยื่นให้ รักในน้ำใจของนาย  นายเป็นเพื่อนแท้ของฉัน  ในชีวิตที่ผ่านมา ทำให้ฉันไม่อาจมอบความไว้วางใจใครได้สนิทใจ  จนมาเจอนาย’ เคนพยายามมองว่าพิรุณาต้องการสื่ออะไร  มอง...ราวกับจะให้ทะลุไปถึงเนื้อหัวใจ

‘ดังนั้นฉันจึงกลัวมากที่จะตอบคำถามนี้ กลัวว่าความทรงจำดีๆของเราที่ร่วมกันมาจะไม่เหลืออะไรเลยถ้าฉันตอบคำถาม  แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันจำเป็นต้องให้คำตอบ’พิรุณาสูดหายใจเข้าลึกๆ

‘ฉันดีใจและอยากขอโทษ....ดีใจที่นายมอบความรู้สึกดีๆให้  และขอโทษที่ฉันไม่อาจรับความรู้สึกนั้นไว้ได้’ เคนปล่อยมือที่โอบอยู่หลวมๆลงราวกับหมดเรี่ยวแรง พิรุณาจับมือแข็งแรงที่ทิ้งลงอย่างอ่อนล้ามากุมไว้ เคนสลัดมือออกแล้วส่งภาษามือให้อย่างอ่อนแรงเต็มที

‘หมายความว่า พิรุณาไม่ได้รักฉันสินะ ถ้าเป็นนายธีรธีนั่นก็ไม่แน่ใช่ไหม?’ แววตาเจ็บปวดของเคนทิ่มแทงหัวใจพิรุณา รู้สึกราวกับว่าได้กระทำสิ่งที่ไม่ควรให้อภัยต่อเพื่อนคนนี้ ทำร้ายเข้าที่ใจอย่างแรง

‘ฉันรักเคน  รักอย่างเพื่อน  นั่นไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น  ตอนนี้ตัวฉันเองไม่พร้อมที่จะรับใครอีกคนเข้ามาในชีวิต  ไม่พร้อมที่จะแบ่งครึ่งหนึ่งของชีวิตตัวเองให้ใคร  นายไม่เข้าใจหรอกว่าการอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีญาติ ไม่มีพ่อแม่  ไม่มีเพื่อน เรื่องง่ายๆอย่างการพูดหรือการฟังก็ทำไม่ได้ รู้ไหมว่ามันแย่ขนาดไหน!!!’พิรุณาทำท่าทางภาษามืออย่างกระแทกกระทั้นในตอนท้ายระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมา  ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ ทำให้เคนยอมอ่อนลง

‘ขอโทษ’ เคนสวมกอดพิรุณาไว้กับอกอีกครั้ง นึกโทษตัวเองที่ทำให้พิรุณารู้สึกไม่ดี 

‘แสดงว่าฉันยังมีโอกาสใช่ไหม ถึงนายจะยังไม่พร้อมในตอนนี้  แต่ต่อไปก็ไม่แน่ใช่ไหม?  ถ้าฉันยังพยายามต่อไปฉันจะยังมีโอกาสได้หัวใจดวงนั้นใช่ไหม?’ เคนถามเมื่อคลายอ้อมกอดแล้ว  พิรุณามองเคนอย่างงงๆก่อนจะหลุดยิ้มออกมา

‘ใช่  แล้วเวลาจะเป็นตัวตัดสิน’ วงแขนเรียวเนียนโอบรอบคอเพื่อนรักที่กำลังหัวเราะออกมาอย่างสดชื่นราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่  ก่อนจะใช้หน้าผากมนชนหน้าผากเพื่อนเบาๆ

‘อย่าเอาเถิกมาชนเซ่’ เคนส่งภาษามือให้พิรุณาอย่างอมรมณ์ดี ทำให้พิรุณาหัวเราะ แม้จะไม่มีเสียงออกมา  แต่ดวงหน้านั้นตราตรึงอยู่ในใจทำให้รู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน






         เหล่าเพื่อนพ้องทั้งแปดนั่งคุยกันรอเที่ยวบินที่จะกลับอยู่ในคาเฟ่ซึ่งจัดไว้มุมหนึ่งของสนามบิน  พิรุณายกแก้วคาปูชิโน่ของตัวเองขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะวางลง มองเพื่อนๆที่กำลังหัวเราะเขาอย่างงงๆ  ปองหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดจมูกให้ทั้งๆที่ยังขำ   เมื่อเช้าเขาและเพื่อนๆไปส่งเหล่านักศึกษาที่ร่วมแสดงในคอนเสิร์ตวันก่อนที่สถานีรถไฟ  หลังจากวันก่อนหน้านั้นออกเที่ยวกันเต็มที่จนเหมือนมาก่อม๊อบกลายๆ  ความผูกพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นในเวลาสามเดือนทำให้คนบางคนแถวนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่ง  จะเห็นได้จากหลักฐานที่ตาสีฟ้าใสแดงอยู่เล็กน้อย กับ ตาบวมนิดหน่อย  เคนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วพูดบางอย่างกับเพื่อนๆ  ก่อนจะเอามือมาหาพิรุณาที่นั่งอยู่ด้านขวาของเขา  ใช้มือแข็งแรงนั้นเปิดผมที่ปรกหน้าผากพิรุณาขึ้น แล้วประทับริมฝีปากลงไปเบาๆก่อนจะปล่อยผมสีน้ำตาลออกแดงของพิรุณาให้กลับเข้าที่เดิมโดยไม่ลืมเซตกลับให้เข้าที่ดูดีเหมือนเดิม

“คนทะลึ่ง ลามก โรคจิต!!” ทีน่าและเกรซรีบตะโกนแข่งกัน

“จะตะโกนทำไม  ถึงตะโกนไปไอ้คุณเคนมันก็ไม่อายหรอก”เทรสกล่าวอย่างหน่ายๆ  สายตาเหลือบไปเห็นคนสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี  คนหนึ่งคือเอ็ดเวิร์ด ฮอร์น  และอีกคนเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังสวยพริ้งแต่งตัวเก๋ไก๋โดยสวมหมวกสีดำใบ้เล็กเอียงนิดๆ

“มาแล้ว” อเล็กซ์รีบเรียกเพื่อนๆให้หันไปมอง  เอ็ดเวิร์ด  ฮอร์นเดินเข้ามาพร้อมภรรยาที่ควงแขนกันกระหนุงกระหนิง

“สวัสดีครับอาจารย์เอ็ด  นี่คงเป็นคุณนาย”  เทรสรับมือของคุณนายฮอร์นมาจุมพิตที่หลังมือเบาๆตามมารยาท

‘เมื่อวานนี้หายต๋อมไปทั้งคู่เลยนะฮะ  ไปแอบจู๋จี๋กันที่ไหน’ พิรุณาแซวอาจารย์  เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นจึงมอบมะเหงกให้เป็นของขวัญแกศิษย์รัก

‘ทำเป็นรู้ดี’

“อาจารย์ครับผมขอตัวก่อนนะครับได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”เคนกล่าวพลางรวบเสื้อตัวนอกพาดไว้กับท่อนแขน

“เฮ้ย  มาตามให้ไปพร้อมกันนี่แหล่ะ  ไฟลท์เดียวกัน” เคนทำหน้างงๆ แต่ก็หยักหน้ารับแต่โดยดี  ให้ไปบอกปอง

“คุณปองดูแลพิรุณาให้ดีนะ” ปองรับคำสั้นๆ

“คุณปองถ้ามีอะไรโทรหาผมก็ไ ด้นะครับ”เคนยังคงฝากฝังต่อไป

“พอแล้วเคน  ปองเขารับผิดชอบในหน้าที่น่า  อย่าไปเซ้าซี้เขานัก  เราไปได้แล้ว” เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น ตบบ่าเคนแรงๆ  คุณนายฮอร์นเข้าไปกอดพิรุณาแล้วส่งภาษามือให้อย่างชำนาญ  เธอเป็นครูสอนภาษามือมาก่อน

‘ดูแลตัวเองด้วยนะจ๊ะ  ครูไปล่ะ’

‘ฮะ เดินทางดีๆนะฮะครูหญิง’ พิรุณายิ้มกว้าง เขามักเรียกภรรยาของเอ็ดเวิร์ด ฮอร์นต่อหน้าว่า ครูหญิง  ถ้าเป็นลับหลังจะเรียกคุณนาย ทำให้เพื่อนๆเรียกตามไปด้วย

“เกรซดูและตัวเองดีๆนะเรา  อย่าหายไปเฉยๆบ่อยนักล่ะเดี๋ยวจะเดือดร้อนกันหมดอีก”

“แหม ถ้าเกรซไม่คอยหายตัวไปบ่อยๆ เพื่อนก็เบื่อแย่สิคะ” ทุกคนหัวเราะกับคำตอบเอาสีข้างเขาถูของเกรซ ก่อนจะบอกลา   หลังจากคนทั้งสามหายลับไปจากสายตาแล้ว เทรสก็ลุกขึ้น

“ได้เวลาแล้วหรอ?” ทีน่าถามอย่าง

“ยัง  แต่ก็ใกล้แล้วจะไปห้องน้ำหน่อย ไปไหม?”หลายคนพยักหน้าก่อนจะเดินตามกันไปจนเหลือเพียงเกรซและพิรุณาเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ

‘เมื่อคืนก่อนเคนถามฉันแล้วนะ’ พิรุณาเริ่มเล่าถึงเรื่องของตัวเอง  ทำให้เกรซเกาะขอบโต๊ะชะโงกหน้าเข้ามาอย่างสนใจ 

‘แล้วนายตอบว่าอะไร?’

‘ฉันตอบไปว่าฉันยังไม่พร้อมน่ะ’  เกรซพิงพนักเก้าอี้อีกครั้งพลางกอดอกครุ่นคิด

‘หมายความว่าเคนยังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม?’

‘คงงั้นมั้ง’ พิรุณาตอบอย่างไม่มั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่นัก

‘ถ้านายตอบจากใจจริงก็โอเคแหล่ะ  เคนไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เขาจะสู้ต่อไปจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการมา’

‘ชีวิตที่ผ่านมาของฉันมันสอนให้ฉันซื่อตรงต่อตัวเอง  ดังนั้นคำตอบที่เคนได้รับเป็นคำตอบที่มาจากใจฉันอย่างแท้จริง’
‘ดีแล้ว  อย่างน้อยเคนก็โรแมนติกกว่าคนบางคน’ เกรซหมายถึงคนบางคนที่กำลังจามสนั่นห้องน้ำชาย

‘ทำไมอ่ะ?’

‘จะบอกรักบอกชอบทั้งที  ดันมาบอกหน้าห้องน้ำ’ พิรุณาหัวเราะขำกลิ้งแทบตกเก้าอี้ ในขณะที่เกรซทำแก้มป่องลุกพรวดขึ้น

‘โกรธแล้วๆ  ขอโทษ..ที่ขำ’พิรุณาปาดน้ำตาที่หางตาพลางยกมือกุมท้องไว้

‘จะไปห้องน้ำ เฝ้าของให้ด้วย’ เกรซเดินตึงตังออกไปอีกคนเหลือเพียงพิรุณาเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว


       พิรุณาชะโงกหน้าข้ามโต๊ะไปเห็นกล่องใส่ไวโอลินสีแดงเปรอะๆของเกรซก็คิดขึ้นได้  หยิบกล่องขึ้นเปิดออกดู  ไวโอลินตัวสวยที่สายเส้นหนึ่งขาดไปนอนสงบนิ่งอยู่ในกล่องนั้น  พิรุณาไม่คิดจะหยิบมันออกมา เขาเพียงแต่ต้องการจะดูเท่านั้น  นิ้วมือเรียวสวยจับสายที่ขาดขึ้นพิจารณาดูตรงรอยขาด  ดวงตาคู่สวยเขม่นมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพของมันไว้พลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเก็บกลับให้คืนสภาพเดิมแล้วปิดกล่องวางลงอย่างเบามือยังที่เดิมที่หยิบมา


ภายในครึ่งเดือน เกรซจะต้องรีบมาบอกเรื่องน่าตกใจแน่....




         พิรุณาเดินมาตามทางเดินของเครื่องบินในชั้นeconomic พลางสอดส่ายสายตามองหาที่นั่งของตัวเอง  จนในที่สุดก็พบว่าอยู่ริมซ้ายสุดของเครื่อง  พิรุณาเอื้อมมือขึ้นไปยังชั้นสูงเหนือหัวเก็บกระเป๋าใบขนาดเล็กของตัวเองไว้บนนั้นเพื่อให้นั่งได้สบายขึ้นด้วยความช่วยเหลือของแอร์โฮสเตทสาวร่างสูง  ก่อนจะเข้าไปนั่งริมติดหน้าต่าง  ตามมาด้วยปองนั่งลงข้างๆกันส่วนเก้าอี้ตัวนอกสุดไม่มีใครนั่ง   ไฟลท์นี้คนไม่เต็มนั่นเป็นสิ่งที่พิรุณาพอใจ  เพราะการนั่งไฟลท์ที่คนเยอะๆนั้นทำให้เขารำคาญ  เพราะบางครั้งผู้ร่วมเดินทางก็มารยาทไม่ค่อยดีนัก

‘ได้กลับบ้านสักทีนะครับ’ปองส่งภาษามือให้พลางยิ้ม

‘นั่นสิ  ป่านนี้เจ้าหมาจะเป็นยังไงบ้างนะ’ พิรุณาตอบแล้วคาดเข็ดขัดนิรภัยตามที่สัญญาณไฟขึ้น

‘ไฟลท์นี้คนน้อยดีนะครับ’

‘นี่แหล่ะดี  เวลานอนจะได้สบาย’ พิรุณาหยิบหนังสืออ่านเล่นออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่ไม่ได้เก็บไว้บนช่องเหนือศรีษะออกมาพลิกหาหน้าที่อ่านค้างไว้ แล้วยิ้มหวานให้แอร์โฮสเตทที่เมียงมองเขาอย่างสงสัย

‘ต่อไปพวกเราคงเหงาหน่อยนะครับที่ไม่มีคุณเกรซมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้าน’ พิรุณายิ้มบางๆที่ริมฝีปาก

‘อะไร  เหงาหรอ   ย้ายมาอยู่เสียด้วยกันสิ’

‘ไม่ดีกว่าครับ  ผมคิดว่าคุณพิรุณาควรจะมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง  มิอย่างนั้นจะกลายเป็นว่าผมกับคุณพิรุณาติดหนึบกันตลอด อย่างนั้นออกจะไม่แฟร์ทั้งสำหรับคุณพิรุณาเองและตัวผมด้วย’  พิรุณาพยักหน้าเบาเขาต้องยอมรับความคิดของปอง และต้องให้เกียรติปองตัดสินใจเรื่องบางเรื่องด้วยตัวเอง

‘แล้วยังมีใครคอยตามตื้ออยู่หรือเปล่า?’ พิรุณาลองถามอ้อมๆถึงเรื่องเก่าๆที่ปองทำเหมือนพยายามจะลืมมันไปเสีย

‘ก็ไม่มีแล้วล่ะครับ’ ปองตอบไปอย่างนั้นทั้งที่จริงๆแล้ว  แม้คนที่คอยตามนั้นจะไม่เปิดเผยตัว  แต่ปองรู้ว่าเขาอยู่แถวนั้น คอยเฝ้ามองให้เขาเข้าบ้านอย่างปลอดภัย และรอจนกว่าเขาจะดับไฟเข้านอน

‘คุณปอง...โกหก’ พิรุณาส่งภาษามือมาให้พลางยิ้มอย่างเอ็นดู

‘คุณปองน่าจะรู้ตัวว่า เป็นคนโกหกไม่เนียน  หรือถ้าจะให้ร้ายกว่านั้นคงต้องบอกว่า โกหกได้แย่มากต่างหาก’ ปองทำหน้าเหรอ

‘คนโกหกจับผิดได้จากสีหน้า  แววตา และท่าทาง  คุณปองมีครบทั้งสามอย่างเลย’ พิรุณาหัวเราะกับท่าทางของปอง

‘แย่ถึงขนาดนั้นเลยหรอครับ’

‘น่า รู้ตัวแล้วว่าเป็นพวกโกหกไม่เก่ง  คราวหลังก็อย่าทำอีกสิ  คุณปองไม่งีบหน่อยเหรอ อีกตั้งสองสามชั่วโมงกว่าเขาจะเสิร์ฟอาหาร’ ปองพยักหน้าแล้วสวมหูฟังที่ทางสายการบินมีบริการก่อนจะหลับตาลงงีบหลับ




         พิรุณาอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมงๆ  โดยปองหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแถวยังโงกเงกจนพิรุณาออกจะรำคาญ ทนไม่ได้จริงต้องเอื้อมมือไปดึกศีรษะปองมาพิงไหล่ตัวเองก่อนจะอ่านหนังสือต่อไป  แอร์โฮสเตทสาวคนหนึ่งเดินเอียงอายเข้ามาหาพิรุณา พร้อมกับกระดาษและปากกาเพื่อขอลายเซนต์

“ขอโทษนะคะ  ใช่คุณพิรุณาหรือเปล่าค่ะ?” พิรุณาเงยหน้าจากหนังสืออ่านปากแอร์สาวพอได้ความจึงพยักหน้าแล้วยิ้มให้พอรักษามารยาท

“ช่วยเซนต์ให้หน่อยได้ไหมคะ?” พิรุณายิ้มรับ  แล้วรับปากกามาถือไว้  ก่อนจะนึกขึ้นได้หยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กที่พกติดตัวขึ้นมาเขียน

จะให้เขียนว่าให้ใครดีครับ?
พิรุณาชูกระดาษสีนวลๆนั้นขึ้น  แอร์โฮสเตทสาวก็ยิ้ม  แล้วพูด  พิรุณาอ่านปากได้คำว่าเกรซ


   
ชื่อเหมือนเพื่อนผมเลย   

พิรุณาเขียนข้อความต่อจากข้อความเก่าในกระดาษแผ่นเดิมนึกถึงเพื่อนสนิทที่ป่านนี้คงนั่งอยู่บนเครื่องบินเหมือกัน


“จริงหรอคะ ชื่อลูกสาวน่ะค่ะ  เกรซที่ว่าใช่เกรซหัวหน้าวงลอนดอนหรือเปล่าคะ?”พิรุณาจ้องริมฝีปากของแอร์สาวใช้ความสามารถพิเศษแกะข้อความจากริมฝีปากนั้น แล้วพยักหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงเซนต์ชื่อให้ตามที่ถูกขอร้อง 

“ถ้าไม่รังเกียจ เชิญไปถ่ายรูปกับพวกเราในครัวด้านหน้าหน่อยได้ไหมคะ?” แอร์โฮสเตทสาวถามอย่างมีความหวัง  พิรุณายิ้มน้อยๆ เริ่มเห็นดีด้วยที่จะได้ลุกเดินเปลี่ยนอิริยาบทเสียบ้าง อีกอย่าง ในครัวเท่ากับมีของกิน



         แอร์โฮสเตทสาวเดินนำพิรุณาเข้าไปในครัวด้านหน้าของเครื่องบินซึ่งติดกัน First Class เธอเปิดม่านหนาหนักออก  ในครัวพื้นที่แคบๆมีทั้งแอร์โฮสเตทและสจ๊วตเบียดตัวกันอยู่ในนั้น  พอม่านเปิดออก แอร์สาวบางคนกำลังจะอ้าปากค้างกำลังกินอาหาร  บางคนกำลังแต่งหน้า  พอเห็นพิรุณาเดินเข้ามาก็แทบจะกรี๊ด รีบเก็บทุกอย่างเข้าที่

“คุณพิรุณาน่ารักจัง  ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ” พิรุณายอมให้เหล่านางฟ้าและนายฟ้าบนเครื่องบินถ่ายรูปจนหนำใจ  ดูเหมือนพวกเขาจะลืมสังเกตไปว่ามีสัญญาณเรียกจากผู้โดยสาร first Class

“ขอกอดทีได้ไหมคะ  น่ารักจัง”


       แอร์สาวมะรุมมะตุ้มอยู่กับพิรุณา  เข้ามากอดโดยไม่ต้องรอคำตอบจากเขา  จนอดรู้สึกเหมือนถูกลวนลามนิดๆไม่ได้   ม่านหนาหนักปิดครัวนั้นเปิดขึ้น  ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตขาวโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับถ้วยกาแฟในมือ  ดวงตาคมกล้าสีนวลมองเหล่านางฟ้าและนายฟ้าทั้งหลายอย่างตำหนิ  ชายคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ ธีรธร

“มาอยู่นี่กันหมด ขอโทษ ผมกดเรียกหลายรอบไม่เห็นมีใครมาดูเลยเดินมาเอง” ประโยคแรกของเขาเหมือนพึมพำกับตนเอง  ต่อมาจึงพูดกับพนักงานบนเครื่อง   ดวงตาคมกริบนั้นเห็นร่างโปร่งบางที่คุ้นตา  ริมฝีปากหยักสวยเข้ากับดวงหน้าคมสันยกขึ้นแสยะยิ้ม

“คุณพิรุณา  ไม่นึกว่ามาสิงสูอยู่ที่นี่ด้วยอีกคน”  พิรุณาเสมองไปทางอื่นราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทำให้ธีรธรเริ่มโมโหนิดๆ

“ขอกาแฟด้วยครับ”ธีรธรส่งแก้วกาแฟในมือให้แอร์สาวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดรับไป

“นักดนตรีชื่อดัง ยอมนั่งชั้นecoข้ามทวีป  ประหยัดไปหรือเปล่าคุณ”ธีรธรเริ่มพูดจาเสียดสีพิรุณา ที่ทำท่าไม่สนใจเขา

       แอร์โฮสเตทสาวส่งแก้วกาแฟที่เติมแล้วให้ธีรธรอย่างงงๆ     มือใหญ่แข็งแรงของธีรธรเข้าฉุดรั้งข้อมือพิรุณาให้เดินตามออกมาโดยไม่ลืมแก้วกาแฟของตน  เขากึ่งลากกึ่งจูงพิรุณาไปตามทางเดินแล้วโยนแปะร่างโปร่งบางให้นั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างเขา  พิรุณามองธีรธรตาเขียวพลางคลำข้อมือตัวเองอย่างเจ็บๆ ในหัวกำลังคิดต่อว่าที่ทำให้เขาอดกินขนม

‘เจ็บนะ ไม่เห็นต้องลากถูลู่ถูกังอย่างงี้เลย’ พิรุณาส่งภาษามือต่อว่า  ธีรธรซดกาแฟอึกหนึ่งแล้วหันมา

“นั่งนี่แหล่ะจนกว่าจะถึง ทนนั่งอยู่ได้ชั้น eco  แคบจะตาย” ธีรธรพูดแล้วซดกาแฟอีกอึก  นึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงคุยกับพิรุณารู้เรื่องก็ไม่รู้  ทั้งที่พิรุณาไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด  และเขาเองก็ไม่รู้ภาษามือ

‘ผมนั่งได้หรือนั่งไม่ได้ก็ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณ’ พิรุณาทำท่าจะลุกเดินหนีเอาดื้อๆ  ธีรธรรีบ จับข้อมือบางนั้นไว้หลวมๆ  เพราะเกรงว่าถ้าออกแรงมากกว่านี้ ข้อมือบางนี่จะหักเสียก่อน

“เดี๋ยวสิ  ฉันซื้อเครื่องบินส่วนตัวให้สักลำดีไหม?”พิรุณากระพริบตาปริบๆแล้วส่งภาษามือโวยวาย

‘ไม่ต้องมาทำเป็นอวดรวย  ว่างนักหรือไงถึงเที่ยวยุ่งเรื่องชาวบ้าน’ ธีรธรหัวเราะกับท่าทางโวยวายแบบตื่นๆของพิรุณา

“ใครเขาจะยอมลงทุนซื้อให้จริงๆกันล่ะ  สู้เอาเงินไปลงทุนทำอย่างอื่นเสียดีกว่า”ธีรธรพูดด้วยเสียงและทำหน้าตายียวนที่สุด  จนพิรุณาอยากกระโดดบีบคอเสียให้ตายคามือ

‘หมดธุระหรือยัง ผมจะกลับไปนั่งเป็นเพื่อนคุณปอง’ พิรุณาแยกเขี้ยว ตั้งท่าเตรียมสู้ยิบตา

“นั่งนี่แหล่ะคุณ จะไปไหนอีกล่ะ  คุณปองไม่หายไปไหนหรอก”ธีรธรดื่มกาแฟแล้วเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์โดยที่มืออีกข้างจับข้อมือพิรุณาไว้ พิรุณาพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่สำเร็จ จนธีรธรรำคาญ

“นั่งนิ่งๆไม่เป็นหรือไงคุณ ยุกยิกอยู่ได้คนจะอ่านหนังสือพิมพ์”

‘ก็ใครใช้ให้คุณจับมือผมไม่ปล่อยแบบนี้ล่ะ  ปล่อยซะที’พิรุณาทำท่าทางภาษามืออย่างทุลักทุเลเนื่องจากมือถูกพันธนาการไว้ด้วยมือแข็งแรง พิรุณายังพยายามดิ้นยุกยิกต่อไป

“หยุดเสียทีน่า” พิรุณาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องยังคงพยายามเอาชนะมือที่เกาะกุมนั้นให้ได้

“บอกให้หยุดไง! แล้วช่วยถือหนังสือพิมพ์ข้างโน้นด้วย”ธีรธรออกคำสั่งกระแทกเสียง ดวงตาคมกล้านั้นวาววับน่ากลัว พิรุณาจึงทำได้เพียงเบ้ปาก ใช้มือข้างที่ว่างยกหนังสือพิมพ์ขึ้นให้อยู่ในระดับเดียวกับธีรธร ซึ่งสูงเกินไปสำหรับพิรุณา

‘คุณก็ยกข้างนั้นต่ำหน่อยสิ’ พิรุณาปล่อยหนังสือพิมพ์ข้างที่ถืออยู่แล้วส่งภาษามือให้อย่างทุลักทุเลอีกครั้ง

“โธ่เอ๊ย เรื่องมากชะมัด”ธีรธรบ่น แต่ก็ยอมลดระดับความสูงลงนิดหน่อย พิรุณากลับไปจับหนังสือพิมพ์ด้านเดิมให้อยู่ในระดับอีกครั้ง  เมื่อขัดขืนไม่ได้ เขาก็เลยเริ่มอ่านข่าวที่อยู่ตรงหน้าเขาเสียเลย


         ธีรธรอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปครู่ใหญ่เริ่มรู้สึกว่าพิรุณาเลิกยุกยิกแล้ว หลังจากฮึดฮัดอยู่พักหนึ่ง  เขาอ่านข่าวที่อ่านค้างอยู่จนจบ แล้วแอบชำเลืองมองคนนั่งข้างๆ เขาเห็นพิรุณากำลังตั้งใจอ่านข่าวตรงหน้าเช่นกัน  ดวงหน้าขาวเนียนหากไม่ขาวซีด ออกเป็นสีนวลๆนับสัมผัส  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงที่ถูกล้อมด้วยขนตายาวกำลังกวาดมองตัวอักษรอย่างตั้งใจพลางขมวดคิ้วนิดๆ  ริมฝีปากแดงด้วยสีแห่งธรรมชาติเผยอเล็กน้อยช่างเย้ายวนให้ลิ้มลองดีแท้.....ธีรธรจ้องมองริมฝีปากนั้นอย่างเผลอไผล  โดยไม่รู้ตัวเขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ดวงหน้านวลนั้น ปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ และใช้มือข้างที่วางค่อยสัมผัสคางสวยให้หันมา  พิรุณาหันขวับมามองเมื่อถูกสัมผัสเข้าที่คาง   แต่แล้วก็ตะลึงค้าง  เมื่อริมฝีปากหยักสวยนั้นสัมผัสลงบนริมฝีปากตน 



         พิรุณาพยายามใช้มือข้างที่เพิ่งหลุดพ้นจากพันธนาการผลักอกแข็งแกร่งนั้นให้ถอยห่างออกไป  แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงที่มีระเหยหายไปสิ้น  ริมฝีปากนั้นยังคงตักตวงความหอมหวานอย่างเต็มที่ พิรุณารู้สึกราวกับจะหลอมละลายคาเก้าอี้นุ่มนิ่มตัวนี้เสียแล้ว  ในชีวิตเขาโดนกอดโดนจูบมาก็มาก  จากเพื่อนบ้างจากคนที่ชื่นชอบผลงานเขาบ้าง  แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึก...ร้อนรุ่ม...อย่างนี้  ธีรธรค่อยๆถอนริมฝีปากออกอย่างเชื้องช้า   ดวงตาสีนิลเป็นประกายนั้นสบกับดวงตาของพิรุณาจนพิรุณาไม่อาจสู้สายตาได้รีบเสมองทางอื่น รู้สึกดวงหน้าตัวเองร้อนไปหมด 

“รับเครื่องดื่มเพิ่มไหมคะ”เสียงแอร์โฮสเตทสาวดังแทรกความเงียบระหว่างพิรุณาและธีรธร  พิรุณารีบทิ้งหนังสือพิมพ์ในมือ ส่วนธีรธรพยักหน้าส่งแก้วกาแฟให้ไปอย่างส่งๆ แล้วรับกลับมาหลังจากได้รับการเติมเรียบร้อยแล้ว

‘ผมจะกลับไปนั่งที่’พิรุณากระวีกระวาดลุกจากเก้าอี้ตัวนุ่มข้างธีรธร  ใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปากจนรู้สึกแสบก่อนจะจ้ำพรวดกลับไปยังที่นั่งตัวเอง

         ธีรธรมองร่างโปร่งบางนั้นหายลับไปหลังม่านที่ใช้แบ่งชั้นระหว่างราคา    เขากำลังคิดถึงเจ้าของริมฝีปากนุ่มอุ่นที่เมื่อครู่ได้สัมผัส  ในตอนแรกเขายอมรับว่ารู้สึกสนใจพิรุณาที่ความสดใสด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นมิตรทำให้ใครเข้าใกล้ก็รู้สึกดี  ต่อมาเขาพบว่าพิรุณาน่าเอ็นดู น่ารักน่าแกล้งพอๆกัน  และตอนนี้เขารู้ว่าพิรุณาหอมหวานเกินกว่าจะห้ามใจได้ ไม่แปลกใจเลยที่ทายาท อานิโมโต  คนนั้นถึงได้วิ่งตามเหย่งๆ

ช่างเป็นสายฝนที่ทั้งหอมทั้งหวานชวนให้ลิ้มลองจริงๆ ...

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 26-12-2007 08:41:46
 :m4: วิ้ววววววววววววววววว จูบกันแล้ว ท่าทางจะติดใจทั้งคู่ด้วยสิ อิอิ  :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 26-12-2007 09:28:09
อ่า...ธีรธร รู้สึกดีแล้ว เหลือแต่ พิรุณา แล้วล่ะ จะมีใจโอนเอียงมาเมื่อไหร่ แต่เอ๊ะ คุณน้องแอร์ เห็นหรือเปล่าว่า ว่าเขาจุ๊บกัน  :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 26-12-2007 10:40:49
 :m25: จุ๊บกันบนเครื่องเยย แอร์ฯแอบเหงป่าวเนี่ย  :m24:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 26-12-2007 12:57:50
โดนแลกลิ้นเข้าไปแล้ว ไม่หวั่นไหวเลยเหรอ
 :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 26-12-2007 16:19:07
แหะๆว่าจะกลับบ้านตอนเช้าแต่ดันหลับก่อน

ตื่นมาเห็นเพื่อนๆมา Reply เลยดีใจอัพให้จบตอนเลยดีกว่า :a2:
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
      พิรุณาเดินกลับมายังที่นั่งของตัวเอง  ปองตื่นแล้วและท่าทางร้อนใจที่ไม่เห็นเขานั่งอยู่ด้วย  คอยชะแง้และหาคือยืดคอยาวอยู่นั่น  พิรุณาเดินเข้าไปหาปอง ส่งภาษามือขอโทษที่ทำให้ปองเป็นกังวลก่อนจะเข้านั่งที่ของเขาซึ่งติดกับหน้าต่าง  พิรุณามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นท้องฟ้ายามเย็นสีส้มสวยสดใสเบื้องล่างเป็นปุยเมฆดูนุ่มนิ่ม ทำให้นึกอย่างลองลงนอนเล่นบ้าง แม้ว่าความจริงแล้วจะไม่สามารถทำได้ก็ตาม  ปองลอบมองสีหน้าพิรุณา  เขาไม่แน่ใจนักว่าดวงหน้าพิรุณาขึ้นสีเรื่อๆนั้นเพราะแสงยามอัสดงภายนอกหรือเพราะจากอย่างอื่น  แต่ริมฝีปากแดงช้ำมันหลอกตาปองไม่ได้แน่นอน

‘ปากเป็นอะไรหรือครับ ดูช้ำๆ’ปองถาม  พิรุณานิ่งไปนิดหนึ่งแล้วส่งภาษามือตอบ

‘เมื่อกี้ปากมันเปื้อนน่ะ’ พิรุณารีบหาทางรอดหยิบช็อคโกแลตที่แอบพกใส่กระเป๋าขึ้นมาทาน

‘แล้วเมื่อครู่ไปไหนมาหรอครับ ไปนานจังผมนึกว่าโดนใครลากไปหมกท้ายเครื่องเสียแล้ว’ ไม่ใช่ท้ายเครื่องหรอก  ด้านหน้าตะหาก อยู่ใต้กองหนังสือพิมพ์อีกที  พิรุณาคิดเงียบๆ

‘ก็พวกแอร์เขาขอถ่ายรูปน่ะเลยไปนาน’ พิรุณาเล่าข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น

‘เริ่มหิวแล้วสิครับ’ ปองส่งภาษามือให้แล้วกดแผงบังคับด้านหน้าตัวเองให้เล่นเพลงเดิมซ้ำอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจ  เพียงแต่รู้สึกว่าชอบเพลงนี้

‘เพลงอะไรเห็นกดรีหลายรอบแล้ว  อะไรจะชอบขนาดนั้น’พิรุณาชะโงกตัวมาดูชื่อเพลง Canon in D Major

‘ชอบเพลงนี้หรอ  หน้าตาไม่ให้เลยนะกับเพลงสมัยบาโรค*เนี่ย  น่าจะเหมาะกับพวก j-pop หรือ k-pop มากกว่า’ ปองขมวดคิ้วสงสัย  เขาพอรู้จักเพลง popอยู่บ้าง  แต่ไม่รู้จัก ไอ้สิ่งที่พิรุณาบอกว่ามันคืออะไรนั่น  หรือว่าเป็นวงใหม่?... 

       พิรุณามองหน้าปองเห็นเครื่องหมายคำถามอยู่บนดวงหน้านั้นก็ยิ้มขัน  น่าแปลกที่ปองไม่รู้จัก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก  เพราะเหล่าศิลปินฝั่งตะวันออกไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักสำหรับคนที่อยู่ฝั่งตะวันตกมาเกือบตลอดชีวิตอย่างปอง  และตลอดชีวิตอย่างเขาเอง  แต่เพราะเขามีเพื่อนกระจายกันไปทั่วโลก  ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นหน้าต่างมองโลกภายนอกโดยเฉพาะใช้ฝึกภาษาเขาถึงได้รู้จัก

‘เดี๋ยวกลับไปจะลองหาให้ฟัง’ปองทำหน้าแปลกๆนึกอยากจะปฎิเสธแต่พิรุณาคงไม่เปลี่ยนใจหรอก  ลองดูก็คงไม่เสียหาย

‘เพลงนี้นี่เป็นยอดฮิตตลอดกาลจริงๆนะ  เป็นเพลงเดียวที่ดังมากของ โจฮัน  พาเชลเบล’ ปองสนใจในสิ่งที่พิรุณาสื่อสาร  เขาชอบฟังประวัติเพลงเหล่านี้  มันน่าสนใจดี

‘แล้วยังไงต่อครับ’ ปองจี้ถามเมื่อพิรุณาทำท่ายึกยักไม่ยอมเล่า

‘ท่าทางจะสนใจจริงนะเนี่ย พาเชลเบลเป็นนักดนตรีที่อุทิศตัวให้ศาสนา  ดูจากปีเกิดแล้วแก่กว่าบาค*เสียอีก   ซึ่งเขาเป็นอาจารย์ของพี่ชายบาคด้วย  เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเพลงของบาคได้รับอิทธิพลมาจากพาเชลเบลเช่นกัน  พาเชลเบลแต่งเพลงไว้เยอะมากโดยเฉพาะเพลงประสานเสียงในโบสถ์  แต่ก็ไม่มีเพลงไหนฮิตเท่าเพลงนี้’

‘ผมเคยฟังเพลงนี้ครั้งแรกในโบสถ์  แล้วรู้สึกว่าเพลงนี้มันฟังแล้วรู้สึกสงบ อบอุ่น สดใส  ทำให้สบายใจน่ะครับ’
‘จุดประสงค์ของพาเชลเบลที่แต่งเพลงนี้ ก็เพื่อจะให้คนที่มาโบสถ์รู้สึกอย่างที่ปองรู้สึกนี่แหล่ะ  แสดงว่าคุณปองบรรลุแล้ว’พิรุณายิ้มสดใส

‘อาหารมาแล้ว’ พิรุณาชี้ไปที่แอร์โฮสเตทสาวที่เข็นรถเข็นอาหารมาตามทางเดินอย่างกระตือรือร้นเพราะพยาธิในท้องมันเริ่มอาละวาดแล้วในตอนนี้



ถ้าเพลงของปองเป็น Canon แล้วเพลงของเขาจะเป็นอะไรหนอ....บางทีอาจจะเป็น
Fur Elise ของเบโธเฟนเสียกระมัง









         พิรุณาโผใส่เตียงนุ่มของตัวเองแล้วกลิ้งไปมาอย่างมีความสุข หลังจากเดินทางไกลและในที่สุดก็ถึงบ้านตอนหัวค่ำ  ปองกำลังไปเอาเจ้าหมากลับมาจากบ้านคุณลีแอน  เพราะก่อนหน้านี้เกรซเอาเจ้าหมาไป(บังคับ)ฝากไว้กับเพื่อนบ้าน  แต่เพราะเพื่อนบ้านของเขาก็มีธุระที่จะต้องเดินทางเช่นกัน จึงนำไปฝากไว้กับครอบครัวคุณลีแอน  หลังจากกลิ้งไปมาอย่างมีความสุขแล้วพิรุณาเด้งตัวขึ้น  เดินไปที่เครื่องแฟกซ์ของตัวเอง  เขาเห็นกระดาษแฟกซ์ยาวเป็นหางว่าว  มันล้นออกมาจากกล่องที่เขาวางไว้เพื่อรับการดาษเหล่านั้น  พิรุณาฉีกกระดาษแฟกซ์แล้วหอบหิ้วกระดาษเหล่านั้นไปนอนอ่านที่โซฟาสีแดงตัวโปรด  ข้อความสารพัดถูกส่งมาให้เขา ทั้งจากเพื่อนจากต้นสังกัดให้เขาค่อยๆคิดเรื่องอัลบัมใหม่  แต่ที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นอันนี้


ถึง  ไอ้หนู Preludes


      ทำไมต้องให้ติดต่อกันด้วยวิธีโบราณขนาดนี้ด้วยฟะ!  รู้จักไหมจดหมายน่ะส่งมาสิจดหมายปั๊ดโธ่! ได้ข่าวว่ากำลังจกเตรียมออกอัลบัมใหม่  เลยต้องรีบชิงตัดหน้ามาจองตัวก่อน ข้ากำลังจะทำอัลบั้มเพลงเลยอยากอัญเชิญไอ้หนูPeludeช่วยแต่งเพลงสวยๆให้สักเพลง จะได้ไปแต่งเนื้อร้องดีๆมาใส่

 
หวังว่าเอ็งจะว่างว่ะ
Jack and The Ripper




         พิรุณายิ้มเมื่อเห็นลงชื่อท้ายสุด  แล้วรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นไปเขียนแฟกซ์ตอบรับแบบไม่ต้องคิดซ้ำหลายรอบ  หลังจากนั้นเขาก็เดินไปยังระเบียง เลื่อนบานประตูกระจกออก แล้วนั่งลงหน้าเปียโนตัวเล็กสีแดงเข้มแล้วลองนึกหาเมโลดีสวยๆสักชิ้น  นิ้วเรียวสวยไล้ไปบนคีย์อย่างมีความสุข  การเริ่มแต่งเพลงง่ายเสมอสำหรับเขา เพราะถ้าอารมย์ดีไอเดียความคิดสร้างสรรค์มันก็กระฉูด




         ธีรธรเดินขึ้นบันไดหินเตี้ยหน้าบ้านของตัวเอง ระหว่างเขากำลังไขกุญแจประตูไม้บานสีเขียวหน้าบ้านหูของเขาก็ได้ยินเสียงเปียโนพริ้วไหวดังมาจากระเบียงเล็กสีขาวของบ้านข้างๆ ประตูกระจกเปิดออกกว้างทำให้ลมพัดเข้าไปภายในได้ช่างเป็นความรู้สึกสดชื่นโดยแท้   ร่างสูงใหญ่ของธีรธรหายเข้าไปหลับประตูอย่างอารมณ์ดี  การได้กลับมาฟังเสียงเปียโนอ่อนหวานที่เขาคิดถึงมาเกือบสามเดือนทำให้สบายใจอย่างน่าประหลาด







         ปองเดินเข้าอาพาร์ทเมนต์ของเขาพลางลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ผ่านลอคใส่จดหมายของแต่ละห้อง นึกหวั่นใจว่าจะลากเจ้ากระเป๋าใบยักษ์นี่ขึ้นไปยังชั้นสี่อย่างไร เพราะลิฟท์เจ้ากรรมที่คอบรับใช้คนร่วมสามสิบคนในอาคารนี้ดันมีป้ายสีแดงส้มที่สีแดงนั้นซีดจางไปมากแขวนไว้หน้าประตูลิฟท์ซึ่งเป็นเหล็กยืดว่าเสีย  กรรมจึงตกแก่ปองโดยแท้  ระหว่างที่เขานึกก่นด่าลิฟท์ที่เคารพรักในใจเขาก็สะดุดเข้ากับกล่องขนาดไม่ใหญ่มากเข้าอย่างจังจนแทบล้มคะมำ  การ์ดสีฟ้าอ่อนจางมากมายกระจายออกมาจากกล่องนั้น  ปองรีบโกยการ์ดเหล่านั้นกลับใส่กล่อง ด้วยเพราะเกรงว่าเจ้าของมันจะมาดุว่าเขาได้ว่าทำข้าวของเขาเสียหาย  แต่แล้วสายตาปองก็สะดุดกับตัวหนังสือที่เขียนโย้ไปเย้มาว่า  Mr.Pong  407  เลขสามตัวท้ายคือเลขห้องเขาเอง  การ์ดพวกนี้เป็นของเขาหรือนี่?  ปองเงยหน้าขึ้นมองลอคจดหมายของตัวเองทันที  การ์ดแบบเดียวกันอัดแน่นอยู่กับจดหมายนานาชนิด  ปองรีบดึงมันออกมาจากช่องนั้นแล้วโยนลงในกล่องรวดเดียวหมด ก่อนจะอุ้มกล่องไว้ด้วยมือซ้าย  แล้วใช้มือขวาลากกระเป๋าเดินทางขึ้นบันไดอย่างเร่งร้อน



         ปองโยนกระเป๋าเดินทางไว้ข้างประตูทันทีที่เข้าห้องได้  ใช้เท้าปิดประตู ในขณะที่มือขวาล้วงการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาอย่างสุ่มๆ  อ่านข้อความในนั้น  แล้วทิ้งมันลงพื้นแล้วหยิบใบใหม่ขึ้นมาอ่าน ทำซ้ำอย่างนี้เป็นชั่วโมงจนหมด  ปองไม่รู้ว่าความรู้สึกในอกนี่มันคืออะไร จะว่ายินดีก็คงใช่ที่ได้รับการ์ดมากมายเหล่านี้  เพราะเวลาเขาเดินผ่านตู้จดหมายเขาจะไม่พยายามมองมันเพราะมันว่างเปล่าเสมอจนน่าใจหาย  แต่อีกความรู้สึกหนึ่งที่ร้ายกาจกว่าเป็นสิ่งที่เขาสรุปไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าใคร...ที่เป็นคนส่งการ์ดเหล่านี้มา   ปองมองตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือหวัดผ่านม่านน้ำตา  ข้อความแสดงความเป็นห่วงมากมายที่เขาไม่กลับบ้านเกือบสามเดือนทำให้ปองรู้สึกผิด เขาลุกขึ้นจากปลายเตียงเดินไปที่หน้าต่างเปิดม่านออกแล้วมองฝ่าความมืดในยามค่ำลงไปยังทางเท้าเบื้องหน้า  เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบใคร  แต่วันนี้เขาเห็นชายคนหนึ่งผู้มีดวงหน้าคุ้นตา  ที่โหยหามานานยืนมองสบตาเขาจากเบื้องล่าง

“วิล....”ปองพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น  ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าของนามนั้น ลาจากไปไกลแสนไกลเสียแล้ว






         พิรุณาให้ปองพักสามวันเพื่อให้ปรับเวลาหลังจากไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่งเกือบสามเดือน  วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พิรุณาอนุญาตให้ปองพัก  แต่พิรุณากลับเป็นฝ่ายมาหาเอง  เขาเดินไปตามถนนที่มีคนค่อนข้างพลุกพล่านโดยที่แทบไม่มีใครจำเขาได้เลย พิรุณาลองพลิกๆดูในสมุดจดของตัวเองแล้วมองหาเลขที่ของอาคารเป้าหมาย  เขาเดินไปตามถนนอีกบลอคกว่าๆในที่สุดก็พบ  พิรุณาเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่สายตาของผู้ดูแลอาคารหน้าโหดมองเขาไม่วางตา  พิรุณายิ้มให้อย่างเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วตรงเข้าไปถามเขา

ผมมาพบคุณปองครับ  ไม่ทราบว่าเขาอยู่ห้องอะไรหรือครับ?

         ชายคนนั้นมองพิรุณาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างประเมิน แล้วพยักหน้า ยอมเขียนหมายเลขห้องให้พิรุณาในกระดาษเดียวกัน  พิรุณายิ้มให้อีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดินที่ทอดตัวลึกเข้าไปอีกตรงไปยังลิฟท์  นิ้วเรียวยาวตัดเล็บสั้นสะอาดกดปุ่มรอจนลิฟท์มาแล้วจึงดึงประตูเหล็กยืดให้เปิดเลื่อนไปข้างหนึ่งแล้วเข้าไปกดหมายเลขสี่ก่อนจะปิดประตู  โดยไม่รู้เลยว่าลิฟท์เจ้ากรรมนี้กำลังจะก่อเรื่อง


         พิรุณายืนมองหลอดไฟและเข็มแสดงเลขชั้นเหนือศีรษะอย่างลุ้นระทึก ลิฟท์ตัวนี้มันเหมือนถูกใช้งานมาอย่างโชกโชนจนจวนเจียนจะพังและอายุของมันคงมากกว่าอายุเขาคูณสองแน่นอน  พิรุณามองไฟกระพริบและเข็มชนิดตาไม่กระพริบ  มันกำลังค่อยเบี่ยงไปหาเลขสี่อย่าช้าๆ ปลายเข็มแตะเลขสี่อย่างใจเย็น พิรุณาลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแต่ความโล่งอกนั้นก็หายไปสิ้นเมื่อลิฟท์กระชากตัวอย่างแรง จนทรงตัวไม่อยู่ล้มลงนั่งพับเพียบในลิฟท์  ไฟสีเหลืองส้มภายในลิฟท์ดับวูบ  พิรุณารีบตะเกียกตะกายลุกยืนคลำหาปุ่มกดฉุกเฉินโดยอาศัยโทรศัพท์มือถือให้แสง  เขากดมันยาวนานและถี่แต่ดูเหมือนจะไม่มีใคร เพราะสัญญาณฉุกเฉินในลิฟท์นั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เสียเช่นกัน 


         พิรุณาใช้มือทุบกับผนังให้เกิดเสียงดัง เนื่องจากเขาไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือได้  หลังจากทุบอยู่นานก็ยังไม่มีสัญญาณของการช่วยเหลือ พิรุณาจึงตัดสินใจพิมพ์ข้อความขอความช่วยเหลือจากปอง และได้แต่หวังว่าปองจะได้รับข้อความนั้น ไม่อย่างนั้นคืนนี้เขาคงต้องนอนที่นี่ในลิฟท์ที่ค้างอยู่ระหว่างชั้นสี่  หรืออันที่จริงคือระหว่างชั้นสามกับสี่ล่ะนะ  หลังจากนั่งหมดเรี่ยวแรงรอความช่วยเหลืออยู่เขาก็ลุกพรวดขึ้นใหม่ เปิดประตูเหล็กยืดอย่างแรง ชะโงกหน้ามองด้านบนเห็นว่าเขามาเกือบถึงชั้นสี่แล้วเห็นเป็นช่องพอให้ตัวเขาลอดออกไปได้พิดี  ท้าตะเกียกตะกายอีกนิดหน่อยคงขึ้นไปได้ พิรุณาแอบคิดในใจว่า  นี่เขากำลังเล่นหนังเรื่อง Ressidet Evil  อยู่หรือนี่...หวังว่าข้างบนนั้นจะไม่มีซอมบี้รอทึ้งเขาอยู่หรอกนะ



         พิรุณาปีนประตูเหล็กยืดส่งตัวเองขึ้นไป แล้วใช้ท่ากายกรรมนิดหน่อยเพื่อให้โหนตัวขึ้นไปได้  พิรุณาออกแรงเกาะพื้นคอนกรีตของชั้นสี่ไว้แน่น พลางหาที่วางเท้าเพื่อจะได้ปีนต่อไป  ปองวิ่งมาตามทางเดินเห็นมือนวลๆกับศรีษะที่โผล่มาเพียงครึ่งเดียว  ปองรีบคว้าข้อมือนั้นไว้ก่อนจะร่วงลงไปได้ทันด้วยและด้วยแรงช่วยจากฝรั่งมุงแถวนั้นอีกที ทันทีที่ช่วงขาพ้นจากขอบพื้นคอนกรีต  เสียงโลหะบางอย่างครูดอย่างแรงก่อนจะดังโครม! ฝุ่นตลบอบอวนไปทั่วบริเวณที่เคยมีลิฟท์อยู่  พิรุณาไอคอกแคกกับฝุ่นที่สูดเข้าไปเต็มที่ แล้วหันกลับไปมองลิฟท์เจ้ากรรมที่เพิ่งจะพ้นจากมันมา  แต่มันไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว! รอดตายหวุดหวิด... ปองรีบโทรแจ้งข้างล่างว่าลิฟท์ตกลงไปแล้วและพิรุณาปลอดภัยดี ก่อนจะหันมาส่งภาษามือให้พิรุณา

‘เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?’

‘ไม่มั้ง  อย่างน้อยก็ไม่เป็นผีเฝ้าลิฟท์’

‘ยังจะล้อเล่นอีก’ ปองดุให้ เหลือบเห็นท้องแขนข้างขวาของพิรุณาถูกครูดจนเลือดไหลซิบ แต่เจ้าตัวดูจะไม่ค่อยใส่ใจกับมันนัก

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 26-12-2007 16:29:23
‘ยังจะล้อเล่นอีก’ ปองดุให้ เหลือบเห็นท้องแขนข้างขวาของพิรุณาถูกครูดจนเลือดไหลซิบ แต่เจ้าตัวดูจะไม่ค่อยใส่ใจกับมันนัก

‘ไปห้องผมก่อนเถอะครับ เลือดไหลใหญ่แล้ว’ ปองประคองพิรุณาให้ลุกขึ้นแล้วทำท่าจะประคองเดิน พิรุณารีบห้าม

‘ไม่ได้ขาหักหรือเป็นอะไรมาก ไม่ต้องประคองหรอกน่าเสียลุคฮีโร่หมด’ พิรุณาหมายถึงฮีโร่ที่ช่วยชีวิตตัวเองมาจากลิฟท์มรณะ   ปองได้แต่ถอนใจอย่างขันๆ


‘แน่ใจนะครับว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลสักหน่อย’พิรุณารีบส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก

‘ไม่เป็นไรหรอก ทำแผลพอให้เลือดหยุดก็พอ’





‘ใส่ยาเบาๆสิ มันแสบนะ’ พิรุณาอุธรณ์หลังจากสะดุ้งสุดตัวไปแล้ว

‘เบาแล้วครับ แต่ยามันแสบ’ ปองกำลังใส่ยาอย่างตั้งใจแล้วจัดการปิดแผลอย่างเรียบร้อย

‘แล้วมาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ?’

‘ก็ตอนแรกว่าจะชวนไปกินข้าว  แต่ก็กินฝุ่นไปจนอิ่มแล้วก็เลยเปลี่ยนใจมาชวนปองไปนอนบ้านดีกว่า’ พิรุณาลอบสังเกตปฎิกิริยาของปอง  ปองมีท่าทางลังเลใจเล็กน้อย

‘คุณพิรุณาไม่อยาอยู่เงียบๆสักหน่อยหรือครับ จะได้แต่งเพลงที่รับปากเขาไว้’

‘เงียบน่ะ  เงียบมานานแล้ว’ พิรุณานึกขึ้นได้นึกตีอกชกหัวตัวเองไม่น่าเลย  ปองรู้สึกผิดเหมือนตนได้ไปตอกย้ำปมด้อยของคนอื่น

‘ผมขอโทษครับ’ ปองส่งภาษามืออย่างรู้สึกผิด แต่คนที่รู้สึกผิดกว่าคงเป็นพิรุณา

‘ไม่เป็นไร’ พิรุณาแกล้งทำหน้าตึงเหมือนโกรธ ของอย่างงี้มันต้องมีชั้นเชิงกันนิดนึง

‘เปลี่ยนใจแล้ว   ไปหาอะไรทานกันข้างนอกดีกว่า’ พิรุณาผุดลุกอย่างรวดเร็วแล้วคว้าข้อมือปองเดินนำลิ่วๆออกไป และแน่นอน..ลงบันได





         พิรุณาเดินคุยกับปองไปตามถนนย่านการค้าใกล้ไชน่าทาวน์  กำลังคุยกันว่าจะกินอะไรดี  เพราะอาหารในไชน่าทาวน์ก็อร่อยทีเดียว  พิรุณาชี้ชวนให้ปองดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยและทุกครั้งที่ข้ามถนนปองจะจับมือพิรุณาเสมอ  มันเป็นปฎิกิริยาของร่างกายหลังจากเหตุการณ์นั้น ที่เห็นน้องสาวถูกรถชนต่อหน้าต่อตา  พิรุณาเดินนำไปยังตู้โชว์ของร้านเล็กแห่งหนึ่ง แล้วส่องดูของภายในตู้อยู่นาน ปองชะโงกดูตามจึงเห็นว่าของที่พิรุณาดูอยู่นั้นคือสร้อยคอ ข้างๆตั้งภาพเล็กของพิรุณากำลังแสดงดนตรีอยู่ที่ไหนสักแห่ง ตัวสายสร้อยทำจากเชือกหนัง แต่ตัวจี้ทำจากเงิน  ตัดเป็นสามเหลี่ยม พิรุณาแตะสร้อยที่คล้องคอตนเองอยู่นึกสงสัยไปว่า เจ้าร้อยที่สวมอยู่มันดูดีขนาดนั้นเชียว ถึงขนาดมีคนอย่างได้สร้อยแบบนี้ไปสวมบ้าง

‘คุณปอง  สร้อยนี่มันดูดีขนาดนี้เชียวหรอ’ พิรุณาล้วงสร้อยที่สวมอยู่กับคอออกมาให้ปองดู

‘มันก็ดูดีนะครับ ดูดีแบบของเก่า’ ปองตอบแล้วหันไปมองของในตู้อีกครั้ง  ภายในนั้นมีของที่ดารา นักร้อง นักแสดงใส่ติดตัวทำเลียนแบบขายมากมายหลายแบบ

‘เอาสักเส้นไหม?’ พิรุณาถามล้อๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าปองไม่เอาหรอก  ก่อนจะเดินนำออกไปตามถนน



         สี่แยกใหญ่ที่รถพลุกพล่าน ตอนนี้ก็ยังมีรถมากอยู่เช่นเคย  แต่เพราะสัญญาณไฟทำให้รถทางตรงข้ามยังติดไฟแดงอยู่   พิรุณาและปองมาถึงตอนที่ไฟเขียวสัญญาณสำหรับคนเดินกำลังจะกระพริบพอดี  กลุ่มคนกลุ่มใหญ่เดินเกาะกลุ่มกันอยู่ด้านหน้า  พิรุณาก้าวเท้าลงไปบนถนน  แล้วหันมายิ้มให้ปองที่เดินตามหลัง  ปองรู้สึกไม่ดีเช่นทุกครั้งที่ข้ามถนน  โดยเฉพาะคนที่เขาห่วงไม่ได้เดินอยู่ด้วยกัน   รถยุโรปสภาพเก่าแก่ที่ทรุดโทรมจนไม่น่าเชื่อว่ายังวิ่งบนถนนได้  แซงรถทุกคันขึ้นมาด้วยเลนที่ว่างอยู่นั้น  เสียงแตรสนั่นหวั่นไหวทำให้ผู้คนขวักไขว่ริมทางเท้าหันมามอง  ปองเห็นรถคันนั้นวิ่งรี่เข้ามาหาพิรุณาจึงหลุดปากตะโกนออกไป  แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว


โครม!!!!




         เสียงที่ปองไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต  มันดังสนั่นก้องกลับไปกลับมาในหัวเขา โลกทั้งโลกเหมือนจะเงียบสงัดลงในทันทีมีเพียงเสียงของแข็งกระทบกันเมื่อครู่ดังราวกับจะหลอกหลอน  ปองเห็นภาพที่พิรุณาถูกชนเข้าเต็มตา ร่างโปร่งบางนั้นกระแทกกับรถอย่างแรงก่อนจะกระเด็นกลิ้งไปตามแรงชนนั้น  ปองถึงกับเข่าอ่อน ภาพในอดีตซ้อนทับเข้ามาในมโนสำนึก   ร่างโปร่งบางนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนนท่ามกลางคนและรถจำนวนมาก 

พระเจ้า....ได้โปรดอย่าพรากสิ่งใดไปจากผมอีกเลย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอน 8 แล้วนะครับเป็นไงครับหวังว่าคงชอบผลงานของน้องเมศกันนะครับ :m13:
โอกาสนี้เลยขออวยพรปีใหม่เพื่อนๆเลยนะครับ
ขอให้เพื่อนๆทุกคนมี"ความสุข"...ตลอดไปครับ :mc3:

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 27-12-2007 04:25:38
ทำไมต้องเข้าโหมดเศร้าด้วย อ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :o12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 27-12-2007 08:30:34
ทำไมต้องเข้าโหมดเศร้าด้วย อ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :o12:

 :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 27-12-2007 09:23:58
ไรอ่ะเศร้าอีกและ :o12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 27-12-2007 12:43:53
 :o :o :o
อะไรเนี่ยะ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้

ว่าแต่ปองทำไมไปอยู่อะไรที่อะไรน่ากลัวแบบนั้นหล่ะ
 o12

พิรุณานี่ก็ไม่มีอะไรให้กลัวเลยแหะ
เดินไปให้รถชนเล่นอีก
 :m29: :m29: :m29:

ธีรธรรู้จะเป็นไงนี่

ว่าแต่คนที่มายืนมองปอง ตอนนี้อยู่ไหนหนอ
 :m13: :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 28-12-2007 01:06:39
ธีรธร จะมาเฝ้า พิรุณา มั๊ย เมื่อไหร่เขาจะบอกรักกัน ลุ้น ๆๆๆ :m13: :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 28-12-2007 23:31:31
ง่า...

เพิ่งเข้ามาอ่านครับ...

เป็นกำลังใจให้นะคับ

สุขสันต์ปีใหม่ล่วงหน้าจ้า

 :pig3:  :pig3:  :pig3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-12-2007 00:20:09
ทำไมต้องเข้าโหมดเศร้าด้วย อ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :o12:

 :m20: :m20: :m20:

 :o มาหัวเราะด้วย สงสัยมาแนวมาโซอีกคน ชอบเห็นคนแถวนี้เสียน้ำตา   o7
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 29-12-2007 13:01:36
^
^
เปล่าน้า :m23: :m23: :m23:

อยากอัพตอนต่อไปจังแต่ลืมเอาต้นฉบับกลับมาด้วย :เฮ้อ:

เดี๋ยวไปค้นๆดูไม่ก็รอน้องเมศสอบเสร็จจะไปขอมากใหม่ :m4:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 01-01-2008 03:38:08
INTERMEZZO   chapter# 9




      ธีรธรวิ่งหัวกระเซิงไปตามระเบียงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเลขาสาวว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้น เธอได้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว  ธีรธรวิ่งตรงไปยังเคาเตอร์พยาบาล แล้วถามพยาบาลร่างใหญ่คนหนึ่งว่าคนที่เขาต้องการพบตอนนี้อยู่ห้องไหน เมื่อได้คำตอบเขาก็กล่าวขอบคุณอย่างละล้ำละลักเพราะลมหายใจตัวเอง เขาออกวิ่งไปยังห้องเป้าหมายโดยไม่สนใจเสียงตะโกนไล่หลังจากพยาบาลว่า ห้ามวิ่งบนระเบียง     ธีรธรพบห้องเป้าหมายเขาเคาะพอเป็นมารยาทแล้วเปิดพลัวะเข้าไปอย่างร้อนใจ


      ร่างสองร่างกำลังกอดกัน  มือนวลๆลูบเรือนผมสีดำอย่างปลอบโยนพลางโยกตัวน้อยๆเหมือนปลอบเด็กๆ  ธีรธรขมวดคิ้วกับภาพที่เห็น เขาชักไม่แน่ใจว่าตกลงใครเป็นคนบาดเจ็บกันแน่  เขาหันไปสบตากับอีกคนในห้อง  เลขาสาวที่ยืนอยู่ปลายเตียงลูบหลังลูบไหล่คนที่พิรุณากอดไว้กับอกอย่างปลอบใจเช่นกัน  ธีรธรอ้าปากพะงาบๆเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็คิดว่าอย่าเพิ่งถามจะดีกว่า  พิรุณาคลายอ้อมกอดช้าๆ ทำให้คนนั้นที่ถูกกอดมองเขาทั้งที่น้ำตายังนองหน้า  พิรุณาเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างเบามือแล้วส่งยิ้มอ่อนให้เหมือนจะปลอบใจว่าไม่เป็นไรแล้ว

‘ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยนะ  หน้ามอมเป็นแมวเลย’พิรุณาส่งภาษามือให้ พอเห็นน้ำตายังหยาดหยดจึงซับให้เบาๆ  ปองพยักหน้าช้าๆ แล้วลุกเดินไปยังห้องน้ำ  ธีรธรมองร่างโปร่งบางที่นั่งอยู่บนเตียง

“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” พิรุณาส่ายหน้า เปิดลิ้นชักจากโต๊ะข้างเตียงหยิบดินสอไม้และกระดาษออกมา

หัวกระแทกนิดหน่อย ช้ำตามตัว แล้วก็ เอวเคล็ดอีกนิดนึง...

“คุณลี คุณไปคุยกับทางโรงพยาบาลหน่อยให้ดูแลเรื่องนักข่าวให้ดี  อย่าให้ขึ้นมารบกวนได้ถึงบนนี้” เมื่อตอนที่เขามาถึงเริ่มมีนักข่าวมาป้วนเปี้ยนแล้ว เขาไม่อยากให้วุ่นวาย

“ทราบแล้วค่ะ”




         เสียงประตูเปิดทำให้คนในห้องหันไปมองอย่างสนใจ  แพทย์หนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวมีผ้าปิดปากคล้องคอเดินเข้ามาในห้องโดยยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากชาร์จคนไข้เลยแม้แต่น้อย  มือแข็งแรงนั้นพลิกกระดาษไปมาพลางเดินมาหยุดหน้าเตียง  พิรุณาลอบสังเกตนายแพทย์คนนั้นอย่างพิจารณา  ในที่สุดนายแพทย์ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลก็เงยหน้าขึ้นกล่าวทักทายพิรุณาและคนในห้อง

“ดูจากอาการแล้วไม่เป็นอะไรมากนะครับ  แค่ฟกช้ำนิดหน่อย  เอวเคล็ดก็ต้องระวังหน่อยนะครับเวลาจะลุกเดินไปไหน  ส่วนศีรษะที่กระแทกผลแสกนปรกติดีครับ” พิรุณาอ่านริมฝีปากแพทย์หนุ่มไม่ทัน  เขาจึงเหลือบมองไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของหมอหนุ่ม  ปองทำภาษามือมือให้เขาเข้าใจอยู่ด้านหลัง  ดวงตายังแดงก่ำจากการร้องไห้เช่นเดิม  แพทย์หนุ่มเห็นคนไข้ของเขาไม่ได้มองที่หน้าเขาเลยกลับมองไปด้านหลัง เขาจึงหันไปมองตาม

“ปอง.....”


         ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเขาทำให้เขาแทบอ้าปากค้าง  คนตรงหน้าคือคนที่เขาเฝ้ารอมาตลอด  ไม่นึกว่าจะได้พบกันที่นี่  ปองเองก็เช่นกัน เขาตกตะลึงที่แพทย์คนนี้คือคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นที่สุด  มากเสียจนเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้เห็น  พิรุณาส่งภาษามือให้ปอง  เขาจึงต้องละสายตาไปมองท่าทางนั้น  ปองอ้าปากพยายามพูดแต่ดูเหมือนเสียงของเขาจะหายไปหมด....หายไปพร้อมกับการสบตากับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น

“เอ่อ....คุณพิรุณาอยากให้ ‘คุณหมอ’ ตรวจมือน่ะครับ  รู้สึกเจ็บ”ในที่สุดปองก็เอาชนะร่างกายของเขาสำเร็จ

“ได้ครับ  เจ็บตรงไหน”แพทย์หนุ่มหันกลับไปหาคนไข้ของเขา จับมือขาวนวลนั้นเพื่อตรวจ พิรุณาส่งภาษามือให้ปอง

“คุณพิรุณามีประวัติการเป็นซีสซ์มาก่อนน่ะครับที่ข้อมือข้างขวา  แต่เพราะว่าขนาดยังเล็กเลยยังไม่ได้ผ่าออก เมื่อตอนประสบอุบัติเหตุคงไปกระแทกเข้ากับอะไร เลยรู้สึกเจ็บๆ” หมอหนุ่มคลำกระดูกมือจนเจอตัวปัญหา แล้วเริ่มใช้นิ้วหัวแม่มือกด

“เจ็บไหมครับ?” พิรุณาพยักหน้าทั้งที่หน้าตาเหยเกเต็มทีเนื่องจากเจ็บที่แพทย์หนุ่มกดลงไป   ธีรธรเห็นดวงหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดแล้วอย่างเข้าไปบ้องหูเจ้าหมอคนนั้นที่ทำให้พิรุณาเจ็บตัว

“อักเสบน่ะครับ  ผมจะให้ยาไปทานแก้ปวดนะครับ ยานี่ต้องทานหลังทานอาหารเสร็จใหม่ๆนะครับ  ห้ามทานตอนท้องว่างเด็ดขาด”

“ไม่เป็นไรมากแล้วใช่ไหมครับ”ปองถามอย่างเป็นห่วงพิรุณา  แพทย์หนุ่มหันกลับมาสบตาปอง เขาอยากเป็นคนที่ปองห่วงใยบ้าง  แต่มันคงเป็นไปไม่ได้

“ครับ  ถ้าดูอาการคืนนี้แล้วไม่เป็นไร” ปองเดินเข้าไปจับมือพิรุณาไว้ แล้วหันมากล่าวขอบคุณ  แพทย์หนุ่มรับคำขอบคุณนั้นไว้ ก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป

“ลีไปจัดการเรื่องนักข่าวก่อนนะคะ” ลีแอนทำท่าจะเดินออก ไป แต่พิรุณารีบอ้าแขนรออย่างคนป่วยขออ้อน   ลีแอนหัวเราะคิกคักที่ได้กอดพิรุณา ทั้งที่บอสของเธอพยายามให้ตายก็ไม่ได้กอด....แต่ก็เฉพาะตอนนี้เท่านั้นแหล่ะ

“ปล่อยเถอะค่ะ เดี๋ยวลีจะได้ไปคุยกับทางโรงพยาบาล  อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?” พิรุณาคลายอ้อมแขนแล้วส่ายหน้า เลขาสาวเหมือนเป็น Big  Sister ของเขา  เธอเป็นคนแรกที่มาถึงที่นี่ด้วยซ้ำ   

“คุณปองไปด้วยกันหน่อย”ลีแอนรีบลากปองออกไปเสียด้วยกัน  ลีเคลียร์ทางให้บอสแล้วนะคะ  อย่าชวนทะเลาะเชียว...




      หลังจากลีแอนและปองออกไปแล้ว  ธีรธรนั่งลงที่ปลายเตียงโดยมีดวงตาสีน้ำตาลแดงของพิรุณาจ้องมองอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร   ธีรธรมองสำรวจร่างโปร่งบางคนนี้อย่างละเอียด  เขาเห็นผ้ากอชที่ศีรษะเนื่องจากพิรุณาหัวแตก  เห็นรอยฟกช้ำใหญ่น้อยตามร่างกาย  จนเขาอดรู้สึกสงสารไม่ได้  คนร่างบางตัวเล็กนิดเดียวต้องมาเจอเรื่องแบบนี้  แถมยังเกือบเอาชีวิตไปทิ้งกับลิฟท์นั่นอีก  มือใหญ่แข็งแรงลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลออกแดงนั้นอย่างอ่อนโยน  ทะนุถนอม

‘ไม่ต้องมาทำเป็นสมเพชเวทนาเลย’ พิรุณาส่งภาษามือใส่แล้วโยนมือธีรธรออกไป

“ไม่ได้สมเพชเวทนา  สงสารต่างหาก”ธีรธรพูดเสียงนุ่ม  น่าเสียดายที่พิรุณาไม่อาจได้ยิน

“เจ็บมากไหม?” เสียงทุ้มนุ่มทอดอย่างอ่อนหวาน  แม้พิรุณาจะไม่ได้ยินว่าเสียงนั้นว่าอบอุ่นถึงเพียงไหน  แต่ดวงตาคู่นั้นแสดงชัด  พิรุณาจ้องมองดวงตาคู่นั้นอย่างค้นหา 

‘ไม่เจ็บแล้วครับ’  พิรุณายิ้มน้อยๆเมื่อเขาได้คำตอบที่พบ ใช้มือนวลนั้นสางเส้นผมที่กระเซิงยุ่งของอีกฝ่ายเบาๆ  ธีรธรกุมมือนั้นไว้แนบอก  ดวงตาสีดำสนิทสบตากับคนเจ็บ  พิรุณาดื่มด่ำกับความอบอุ่นที่ได้รับผ่านทางรอยสัมผัส  ธีรธรยกมือบอบบางขึ้นจุมพิตที่หลังมือนวลเนียนนั้นอย่างฉาบฉวย

‘ขอบคุณครับที่เป็นห่วง’ 



         ปองเดินกลับขึ้นมายังชั้นที่พิรุณาพัก หลังจากเดินไปส่งเลขาสาวของบอสกลับบ้าน  ทางเดินในชั้นพิเศษนี้เปิดไฟไว้สว่างจ้า  แต่กลับร้างผู้คน  แม้แต่เคาท์เตอร์ เนิร์สสเตชั่นก็ยังไม่มีนางพยาบาลหรือหมออยู่เลยแม้แต่คนเดียว  เสียงฝีเท้าของเขาดังสะท้อนก้องไปในความเงียบของชั้น ร่างโปร่งบางเดินไปตามทางเดินอย่างช้าๆ เขากำลังคิดถึงเรื่องคนที่เขาไม่อยากพบที่สุด


“ปอง”เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ปองชะงัก เขาเพียงแค่ผินใบหน้ามามองด้านหลังเท่านั้น

“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”

“เราคงไม่มีอะไรต้องคุยกัน  ถ้าไม่ใช่เรื่องอาการบาดเจ็บของคุณพิรุณาครับ คุณปีเตอร์ ทีวซ์”

“ปอง”  ปองทำท่าจะเดินหนีเอาดื้อๆ  มือใหญ่แข็งแรงนั้นจึงเข้าจับยึดที่ต้นแขน

“ปองคุณให้โอกาสผมหน่อย”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวผมด้วย”ปองบิดแขนออกจากการเกาะกุมได้สำเร็จ แล้วหันไปเพชิญหน้ากับคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด

“ปอง  คุณจะไม่เปิดใจให้ผมหน่อยหรือ?”
“ครับ  โอกาสที่จะเป็นแบบนั้นคงเป็นไปไม่ได้เลย”ปองจ้องมองชายผู้มีดวงหน้าเหมือนคนที่เขารักที่สุดด้วยสายตาว่างเปล่า   ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นแฝงแววแห่งความเจ็บปวดชัดเจน

“ปองผมไม่ได้ตั้งใจให้เหตุการณ์พวกนั้นเกิด  ผมเองก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น....”

“คุณยังมีจะพูดอย่างนั้นอีกหรือ คิดว่าผมฟังคำแก้ตัวของคุณแบบนื้มากี่ร้อยกี่พันครั้ง    คุณทำให้ผมเสียทุกอย่าง  คุณยังต้องการอะไรอีก คิดจะเอาชีวิตผมด้วยเลยใช่ไหม?!!!” ปองตะโกนสุดเสียงราวกับลืมไปแล้วว่าที่นี่คือโรงพยาบาล เขาพูดแล้วรีบเดินจากไป  กลัวน้ำตาของตนจะรินไหลลงมา  เขาสัญญากับตัวเองไว้แล้ว ว่าจะไม่ร้องไห้เพราะชายคนนี้อีก  พีทได้เพียงแต่มองตามแผ่นหลังที่เขาโหยหาอย่างอาวรณ์  ความหวังเพียงริบหรี่ที่มียิ่งสั่นไหว ราวเปลวเทียนต้องลม





         วันนี้พิรุณาออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เนื่องจากหลังจากดูอาการหนึ่งคืนก็พบว่าปรกติดีทุกประการ   พิรุณาให้ปองกลับไปนอนบ้านเมื่อคืนนี้ เพราะสีหน้าไม่สู้ดีนัก  แล้วค่อยไปหาเขาที่บ้านในตอนเย็น  นี่เองเป็นโอกาสที่ทำให้พิรุณาได้คุยกับนายแพทย์หนุ่ม  ในสายตาพิรุณา  แพทย์หนุ่มคนนั้น ไม่เลว  แต่พิรุณาก็ไม่มีสิทธิ์เจ้ากี้เจ้าการให้คนนั้นทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้  ดูอย่างตอนนี้สิ  เขากำลังทำเรื่องชำระค่ารักษาพยาบาลโดยมีอีกคนพยายามเหลือเกินที่จะออกค่ารักษาให้เขา

‘อะไรของคุณ  เอาการ์ดคุณคืนไป ผมจ่ายเองได้’ พิรุณาหยิบเครดิตการ์ดของธีรธรทำท่าจะโยนทิ้ง  แล้วส่งการ์ดของตัวเองให้เจ้าหน้าที่การเงิน

“น่า คุณตัวแค่นี้ผมมีปัญญาจ่ายค่ารักษาน่า” ธีรธรยังยัดเยียด จนพิรุณาทนไม่ไหวฉุนขาด

‘ผมก็มีปัญญาจ่ายค่ารักษาตัวเองเหมือนกันแหล่ะ  เอาคืน’ พิรุณายัดบัตรเครดิตใส่มือธีรธรแล้วจ่ายของตัวเอง

“คุณพนักงานอย่านะครับ  บัตรนั้นเป็นหนี้ตั้งแสนเหรียญ” พนังงานการเงินมองหน้ากันเลิกลัก

‘ผมไม่ใช่คุณนะที่รูดเอารูดเอา  แล้วก็ไม่เคยเป็หนี้ด้วย  บ้าชิบ!!!’ พิรุณาตาไวมองเห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามา

‘คุณลีจัดการบอสคุณทีกวนผมไม่เลิก’ลีแอนยิ้มเครียดให้พิรุณา  แล้วหันไปจัดการกับบอสเธอ  เธอรายงานเรื่องงานที่ส่อเค้าปัญหาจำเป็นต้องให้บอสกลับไปจัดการ  พอดีกับที่พิรุณาจัดการชำระเงินเรียบร้อย

“ขอผมจ่ายเงินค่ารักษาพิรุณาก่อน”

“ไม่ต้องแล้วมั้งคะ”ลีแอนพยักเพยิดไปทางพิรุณาที่โบกใบเสร็จหลักฐานการชำระเงินไปมาอย่างเยาะเย้ย  ธีรธรเม้นปากแน่น

‘ก็บอกแล้วว่าผมมีปัญญาจ่ายเอง ลาล่ะ’ พิรุณากอดเลขาสาวแล้วทำลอยหน้าลอยตาหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ








         พิรุณากลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ  ทันทีที่เขาก้าวเข้าในบริเวณบ้าน เจ้าหมาโกเด้นก็รีบวิ่งรี่เข้ามาพลางกระดิกหางเสียยกใหญ่  พิรุณาตบหัวมันอย่างหมั่นไส้แล้วเปิดประตูเข้าบ้าน   กลิ่นหอมของอาหารลอยมาแตะจมูก  ปองคงมาทำอาหารรอเขาอยู่แล้ว  พิรุณาเดินเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น  เขาก็ได้พบกับแขกไม่ได้รับเชิญทันที  หญิงสาวผมแดงนอนแผ่อยู่บนโซฟาของเขาอย่างสบายอารมณ์  ก็คงไม่ใช่ใคร  ถ้าไม่ใช่เกรซ....พิรุณาสะกิดเพื่อนสาวโดยมีเจ้าหมาเป็นลูกคู่เอาหางฟาดโซฟาจนเกรซตื่น

‘ว่าไงยัยอ้วน’พิรุณาส่งภาษามือให้เมื่อเห็นว่าดวงตาสีฟ้าใส่โผล่พ้นเปลือกตาแล้ว

‘นั่นเป็นคำทักทายที่แย่ที่สุดเลยนะขอบอกให้รู้’เกรซลุกขึ้นนั่งแล้วเอามือลูบหน้า

‘เป็นไง  ลูกรักของเธอหายป่วยแล้วหรอ?’

‘แม่นแหล่ว  แต่ลูกรักไม่ได้ป่วยเอง  ป่วยเพราะถูกวางยา’ พิรุณาหัวเราะ ดวงตาสีน้ำตาลแดงเป็นประกายประหลาด เพราะสิ่งที่คาดเดาถูกต้อง

‘ช่างบอกว่า มีคนเอาของมีคมพยายามตัดมันน่ะ’

‘เป็นรอยคัตเตอร์นะฉันว่า  เพราะลักษณะการขาดมันไม่ได้ขาดปรกติ  มันมีรอยถูกตัดอยู่ด้วย  ก่อนขึ้นคอนเสิร์ตไม่เห็นหรอ?’

‘ไม่ทันมองหรอก พอจะเดาได้ไหมว่าใครเป็นคนทำ’ดวงหน้าสวยแย้มริมฝีปากยิ้มเย็น  ดวงตาสีน้ำตาลแดงฉายประกายเจิดจ้า เกรซยิ้มอย่างพึงพอใจกับท่าทางของเพื่อน เพราะเพื่อนมีคำตอบให้แน่  และรับประกันได้ว่า  คนหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตากระเบื้องดูบอบบางนี่แหล่ะ แสบนักเชียว

‘ซิลเวอร์  อากิระ’






         อากิระรับดอกไม้แสดงความยินดีมากมายเต็มอ้อมแขน  เขาพลิกดูการ์ดแต่ละใบอย่างตั้งใจพลางยิ้มน้อยๆอย่างยินดีที่ได้การ์เหล่านี้   ช่อดอกกุหลาบสีแดงจัดราวกับสีโลหิตส่งกลิ่นหอมรวยรินชวนชื่นใจ อากิระใช้มือสัมผัสกลีบดอกหนานุ่มราวกำมะหยี่นั้นเบาๆพลางนึกว่าใครหนอที่ตามมอบกุหลายดอกสวยพวกนี้ให้เขาทุกครั้งที่ขึ้นคอนเสิร์ต  ก่อนจะหันไปมองการ์ดที่เสียบมา  เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย  นี่เป็นอีกครั้งที่การ์ดว่างเปล่า เขากวาดตามองหาในบริเวณนั้นเผื่อว่าผู้มอบจะอยู่แถวนั้นแต่เขาก็กลับพบแต่ความว่างเปล่า

“คุณหนู เรากลับกันเถอะครับ”เสียงบอร์ดี้การ์ดทำให้อากิระหลุดจางภวังค์นั้น  เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามชายร่างสูงใหญ่ที่ทำหน้าที่ปกป้องเขาไป

“เดี๋ยวแวะเข้าบ้านแล้วออกไปทานอาหารกัน”

“จะดีหรอครับ คุณป้าแม่ครัวคงทำอาหารรอไว้แล้ว”

“โทรไปบอกสิว่าฉันจะไปกินข้างนอก” เสียงห้วนๆเอาแต่ใจทำให้ชายในสูทสีดำแอบอมยิ้มแล้วยอมโทรไปแจ้งแก่แม่บ้านว่าไม่ต้องเตรียมอาหารรอ

อากิระทำราวกับว่าลืมเลือนไปเสียแล้วว่า  ตนได้ก่อเหตุใดไว้ในคอนเสิร์ตที่เมืองจีน  ลืมไปเสียแล้วว่ามีคนต้องหลั่งเลือดบนเวที  แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจล่มงานนั้นลงได้
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 01-01-2008 11:15:12
สงสารธีรธร พิรุณาคงไม่ใจอ่อนง่ายๆแน่ๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 06-01-2008 14:31:48
ไม่มีวี่แววว่า พิรุณา จะมีใจให้ ธีรธร เลย เหนื่อยจริงๆ  :เฮ้อ: :m29:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 06-01-2008 21:33:53
ท่าทางจะไม่ง่ายเลยนะสำหรับธีรธร

อยากรู้จังว่าจะเปงงายต่อปาย

เป็นกำลังใจให้งับป๋ม

 :m23:  :m23:  :m23:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 06-01-2008 22:11:33
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 07-01-2008 22:39:03
พิรุณาเปิดประตูระเบียงออกไป ปล่อยให้สายลมจากข้างนอกพัดพาเอากลิ่นหอมอ่อนๆของหญ้าเข้ามาภายในบ้าน  เขานั่งลงหน้าเปียโนตัวเล็กสีแดงมองเกรซที่หยิบไวโอลินตัวเก่งออกมาเช็ด  หลังจากเถียงกันอยู่พักใหญ่เรื่องเพลงที่ถูกขอให้แต่งให้ เกรซว่ามันยังขาดเสียงอะไรบางอย่างไป ซึ่งพิรุณารู้ว่าอันที่จริงแล้วเกรซนั่นแหล่ะที่อยากแจม  พิรุณาโคลงศรีษะไปมาอย่างช่วยไม่ได้เขาหยิบกระดาษที่ตีเส้นไว้เป็นบรรทัดห้าเส้นเรียบร้อยขึ้นมาพร้อมกับดินสอ  แล้วเริ่มเล่นเพลงที่อยู่ในความทรงจำโดยมีเกรซคอยเสริมและเสนอแนะจนสมบูรณ์


         ปองกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เขาได้ยินเสียงเปียโนท่วงทำนองอ่อนหวานสไตล์หวานเย็นอย่างที่พิรุณาถนัดบรรเลงแล้วหยุดบ้างเป็นช่วงๆ ก่อนจะบรรเลงต่อ  เขาเยี่ยมหน้าออกมาจากห้องครัวหลังจากจัดเตรียมอาหารสำหรับสามที่เรียบร้อยแล้ว  โดนไม่ลืมให้อาหารเจ้าหมาด้วยเช่นกัน  เกรซเปลี่ยนมานอนเอกขเนกดูโทรทัศน์เสียแล้ว  เขาจึงตรงเข้าไปบอกหญิงสาวผมแดงอย่างสภาพว่าอาหารเรียบร้อยแล้ว  เธอลุกขึ้นหอมแก้มเขาหนึ่งทีอย่างฉวยโอกาสก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในครัว จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องปิดโทรทัศน์ให้เรียบร้อย 


       ปองหันไปหาพิรุณาซึ่งกำลังเขียนบางอย่างอยู่หลังเปียโนโดยชันเข่าบนเก้าอี้เปียโน  สองเท้าที่ยืนออกมากระดิกดุ๊กดิ๊กอย่างอารมณ์ดี  ใช้ศอกข้างซ้ายเท้าแขนลงกับหลังเปียโนตัวสีแดงนั้นโดยให้ทับกระดาษไว้ไม่ให้เลื่อน  ส่วนมือขวากำลังเขียนบางอย่างขยุกขยิก  ปองชะโงกหน้าไปมอง เห็นบรรทัดห้าเส้นถูกตีเส้นกั้นห้องไว้อย่างเรียบร้อย  ลายมือหวัดนิดๆที่เขียนกุญแจซอลและกุญแจฟาตวัดหางกำลังสวย  มือนวลๆนั้นกำลังเขียนโน้ตที่รูปร่างเหมือนถั่วงอกอย่างสนุกมือ

‘ทำอะไรครับ  วาดถั่วงอกอยู่หรอ’พิรุณาแทบอยากจะเขวี้ยงดินสอทิ้ง หน้าหงิกหน้างอขึ้นมาทันที

‘ถั่วงอกที่ไหน  โน้ตตะหากล่ะโน้ต’ ปองยิ้มขันกับท่าทางของพิรุณา

‘ก็เขียนหัวโตๆแล้วมีหางนี่ครับ’

‘ไหนลองเขียนดูมั่งซิ  ดูซิว่าจะเป็นถั่วงอกเหมือนกันไหม’ พิรุณายื่นกระดาษและดินสอให้ปอง

‘ผมเขียนโน้ตไม่เป็นหรอกครับ’

‘น่า ไม่ลองไม่รู้  เดี๋ยวสอน’พิรุณายัดดินสอใส่มือปองจนได้  แล้วค่อยเริ่มอธิบาย

‘ตัวโด เขียนเส้นน้อยก่อนแล้วค่อยเขียนหัวถั่วงอกแล้วลากหากขึ้นมาถึงช่องที่สองนับจากข้างบน ตรงนั้นคือตำแหน่งของตัวโดในออกเตป*ต่อไป’ พิรุณาค่อยจับมือปองลากไปจนเสร็จเป็นโน้ตสมบูรณ์ 

‘เส้นน้อยก็เหมือเส้นในบรรทัดห้าเส้น  ลองดูสิ  ถ้าเราไม่ขีดมันขึ้นมามันก็อ่านเป็นโน้ตตัวอื่น  ก็เหมือนกฎเกณฑ์ ถ้าเราไม่สร้างขึ้นมา เราก็มองมันในมุมมองที่ต่างออกไปจริงไหม?’ ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีนิลของปองด้วยแววตาที่ปองไม่อาจสรุปได้ และสิ่งที่พิรุณาอธิบายมันสะดุดใจเขาอย่างประหลาด

‘โน้ตตัวอื่นๆก็เขียนคล้ายกัน ตัวเรจะคาบเส้น ส่วนตัวมีจะอยู่ในช่องแรกจากบรรทัดล่างสุด แล้วสลับแบบนี้ไปเรื่อย’ พิรุณาอธิบายเสร็จก็หันเหลังเดินเข้าครัวไป  ทิ้งปองให้อยู่กับความคิดตัวเอง





         ช่วงค่ำธีรธรกลับจากที่ทำงาน รู้สึกเหนื่อยกับการทำงานเช่นปรกติ  แต่วันนี้เหนื่อยน้อยกว่าทุกวันอย่างไม่ทราบสาเหตุ  เขาเดินไปตามทางเดินในบ้านมุ่งตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง  เขาหย่อนกระเป๋าเอกสารไว้กับเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์  ก่อนจะโยนเสื้อสูทเรียบสนิทหากหรูหราราคาแพงลิบไว้บนเตียงโบราณสี่เสาขนาดใหญ่  ธีรธรตั้งใจจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ  แต่เขาเดินผ่านรูปขนาดใหญ่ที่สะดุดใจเขา   รูปภาพเขาตั้งใจอัดขยายมาเองกับมือ  ภาพของ ‘คนของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร’ ซึ่งสวยจับจิตจับใจของพิรุณาที่เขาแอบเก็บไว้คนเดียว  เขายิ้มให้คนในภาพน้อยๆ  เริ่มรู้สึกอยากทำงานอดิเรกของตัวเองที่พักไว้เสียนาน  ธีรธรเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ค่อนข้างรกแล้วหยิบกล่องบนสุดออกมาอย่างถนอม    กล้องตัวหนึ่งที่มีอุปกรณ์เสริมครบครันจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ในนั้น  ธีรธรยิ้มกับตัวเองแล้วหยิบมันออกมาอย่างเบามือ  รู้สึกคันไม้คันมืออยากถ่าย  และแน่นอนไม่ได้ถ่ายตัวเอง



         ธีรธรแอบย่องๆไปบ้านข้างๆตอนแรกเขาว่าจะปีนระเบียง  แต่ไหนๆจะมาขอเขาถ่ายรูปแล้ว ครั้นจะมาแบบแมวขโมยก็ดูไม่ค่อยจะดี  เดี๋ยวคนสวยอารมณ์เสียขึ้นมาอาจเดือดร้อนถึงกล้องของรักของหวงได้  วันนี้เขาจึงยอมกดกริ่งหน้าบ้านแต่โดยดี  หลังจากรออยู่อึดใจ พิรุณาก็ยอมเปิดประตู  แต่ดวงหน้าขาวนวลๆนั้นไม่ค่อยยินดีต้อนรับสักเท่าไหร่  ผิดกับเจ้าหมาที่กระดิกหางต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี  ธีรธรเยี่ยมหน้าเข้าไปในบ้านพิรุณาอยู่เพียงลำพัง

“ไปไหนกันหมดแล้ว  ได้ข่าวว่าเกรซมาอยู่ด้วย”

‘คุณปองกับเกรซออกไปซื้อของ ผมขี้เกียจเลยเฝ้าบ้าน’ ธีรธรเริ่มรู้ว่าทำท่าทางอย่างไรคือปองอย่างไรคือเกรซเลยพอเข้าใจ

“นี่คุณ  ผมขออะไรหน่อยได้ไหม?”พิรุณามองธีรธรอย่างสงสัย  ดวงตาสีน้ำตาลออกเดงแอบเห็นว่ามือธีรธรซ่อนบางอย่างอยู่ข้างหลัง เขาจึงหยิบมือถือมากด

คงไม่ใช่เรื่องแผลงๆหรอกนะ  เพราะผมอยู่กับคุณทีไรมีแต่เรื่องแปลกๆแผลงๆทั้งนั้น

“ไม่ใช่น่า  ไม่ไว้ใจกันมั่งเลย”

จะให้ไว้ใจได้ไง ชอบขโมยจูบอยู่เรื่อย


            พิรุณาพิมพ์ข้อความแล้วยื่นให้ธีรธรดูตามที่ตัวเองคิด  แต่ลืมกลั่นกรอง  หลังจากนึกขึ้นได้พิรุณารีบคว้าโทรศัพท์กลับมาจากมือธีรธร แล้วลบข้อความอย่างด่วน  แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว  ธีรธรหัวเราะชอบใจกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของพิรุณา อาการคันมือกลับมาอีกครั้งจนอดใจไม่ไหวถ่ายภาพเก็บไว้เสียเลย  พิรุณาเห็นกล้องรีบโดดใส่ ส่งภาษามือใส่เป็นพัลวัน ก่อนเกมส์ไล่จับกล้องจะเริ่มขึ้น

‘คนอะไรไวอย่างกะลิง’พิรุณาส่งภาษามือแล้วเข้าตะปบกล้องในมือธีรธร  แต่ไม่สำเร็จคนร่างสูงตัวใหญ่เหมือนกำแพงยังคงเคลื่อนไหวแคล่วคล้อง

“เขาเรียกพลิ้ว  หันซ้ายอีกนิดกำลังสวย”ธีรธรว่าพลางกดชัตเตอร์ไปด้วยก่อนจะหลบมือนวลที่หมายใจจะคว้ากล้องได้แบบเฉียดฉิว   ปีนขึ้นโซฟาถ่ายภาพต่อไปจากมุมบน

“เตี้ยอ่ะดิ  ไม่ถึงๆ”ธีรธรเยาะเย้ย  จากทักษะพิเศษของพิรุณาทำให้รู้สิ่งที่ธีรธรกล่าว  ริมฝีปากบางเม้มอย่างเริ่มโมโห เริ่มออกแรงในการไล่จับมากขึ้น  มือใหญ่แข็งแรงดันศีรษะพิรุณาไว้ไม่ให้ปีนตามขึ้นมา

‘ปล่อยนะ  มาหาว่าคนอื่นเตี้ยแล้วคิดจะชิ่งหรอ ไม่มีทาง’ พิรุณาดิ้นรนจะหลุดจากมือใหญ่นั้น แล้วไล่จับต่อ  แต่ธีรธรไวกว่า หลบหลีกไปเรื่อยจนทั่วบ้าน 



         ธีรธรหลบเข้าห้องนั้นออกห้องนี้อย่างคล่องแคล่วจนพิรุณาที่ตัวเล็กกว่าแรงก็น้อยกว่าไล่จับไม่ทัน  ธีรธรหลบไปหลบมาจนมาถึงห้องสุดท้ายเขาถอยหลังเข้าไปในห้องโดยไม่ได้สังเกตว่าเป็นห้องนอนพิรุณา  เขาถอยร่นไปเรื่อยโดยไม่ทันได้ดูข้างหลังให้ดีจึงตะดุดเตียงล้มหงายลงนอน  พิรุณาหัวเราะสะใจ แต่เจ้าหมาผู้ซื่อสัตย์ก็ดูจะเอาใจช่วยธีรธรเป็นพิเศษ มันนัวเนียอยู่ที่ขาจนพิรุณาเซล้มลงนอนทับธีรธร กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายจางๆลอยมาปะทะจมูก พิรุณาแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆนึกนิยมกับกลิ่นหอมนี้ 

“อะไรถึงกับเคลิ้มไปเลยหรอ?”ธีรธรยังคงยั่วเย้า  พิรุณาจึงตะเกียกตะกายไปแย่งกล้องจากมือใหญ่แข็งแรงมาได้ในที่สุด

‘อยากโดนถ่ายรูปมั่งไหมล่ะ?’ พิรุณาส่งภาษามืออย่างทุลักทุเลเล็กน้อย แล้วเริ่มเล็งกล้องถ่ายธีรธรที่นอนอยู่ใต้ร่างเขา  ดวงหน้าคมสันแย้มยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่ดูดีมากสำหรับพิรุณา  แต่เขาแอบสะดุดใจกับดวงตาสีนิลที่พราวระยับเจ้าเล่ห์

‘หัวเราะอะไร?’

“คุณจงใจจะยั่วผมหรือไง  ลงไปได้แล้ว”พิรุณาอ่านริมฝีปากหยักสวยนั้นแล้วรู้สึกตัวเองหน้าร้อนผ่าน  เพราะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั่งคร่อมอยู่บนตัวชายที่อันตรายที่สุด  เขารีบตะกายลุกขึ้นทันทีที่เรียกสติกลับมาได้  แต่ถูกมือใหญ่แข็งแรงดึงไว้



         ดวงตาสีน้ำตาลแดงขึ้นสบตากับดวงตาสีนิลงามโดยไม่ตั้งใจ  ดวงตาคู่นั้นเหมือนมีแรงดึงดูด เหมือนมีพลังแผ่ซ่านออกมาจากดวงตาคู่นั้นเพื่อสะกดพิรุณาให้นิ่ง  แล้วยอมโอนอ่อนไปตามที่ธีรธรต้องการ  ในทางกลับกัน  ธีรธรก็รู้สึกว่าดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่งามนี้ช่างเชิญชวนให้เข้าไปค้นหาเหลือเกิน มันสวยซึ้งจนอยากจะเก็บไว้เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว  ธีรธรพลิกกายขึ้นใช้แขนสองข้างกั้นพิรุณาไว้กับที่  เพื่อมองให้ชัดๆ  ริมฝีปากสีแดงเรื่ออย่างธรรมชาติทำให้หวนนึกถึงรสสัมผัสหอมหวานที่เคยลิ้มลอง   ดวงหน้าคมสันค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้มากขึ้นจนสัมผัสถึงความอุ่นในลมหายใจกันละกัน  ดวงตาสีม่านราตรีที่พราวระยับราวกับมีดาวนับพันกำลังพอประกายแข่งกันมองสบตากับดวงตากลมสีน้ำตาออกแดงใสนั้นก่อนจะเลื่อนมาจ้องมองริมฝีปาก เห็นลาดไหล่และแผ่นอกขาวนวลใต้เสื้อเชิ้ตที่พิรุณาสวมแบบขอไปทีที่โผล่พ้นเนื้อผ้าซึ่งไม่ติดกระดุมบนสองเม็ด  พิรุณาดวงหน้าร้อนผ่าวทันทีที่รู้ว่าดวงตาคมกล้านั้นมองอะไร  มือเรียวรีบคว้ากำคอเสื้อตัวเอง

“ไม่ต้องเขินหรอกน่า เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”ปากหยักสวยขยับอยู่ใกล้ๆทำให้พิรุณาหน้าร้อนฉ่า ผิวเนื้อตามร่างกายเริ่มซับสีเลือด

“คนอะไรแปลกพิลึก อายจนตัวแดง”ธีรธรยังหยอกเย้า พิรุณากำหมัดแน่น
“อ๊ะอย่าต่อยหน้าหล่อๆเชียวนะ ไม่งั้นจับปล้ำไม่รู้ด้วย”ธีรธรรีบกดแขนเล็กที่เขาเคยรู้ฤทธิ์มาแล้วว่าหมัดหนักไม่ใช่เล่นเอาไว้  แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ดังเดิมริมฝีปากหยักสวยคลอเคลียอยู่เหนือริมฝีปากบางอย่างน่าหวาดเสียว จมูกโด่งเป็นสันรับกับดวงหน้าวนเวียนอยู่ใกล้จมูกโด่งรั้นที่น่ารักน่าชัง  พิรุณาหลับตาปี๋ จะทำอะไรก็รีบทำเข้าสิ!!!อ๊ากกกกกกกก  ทนไม่ไหวแล้ว



โป๊ก!!!



         เสียงของแข็งกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว ธีรธรร้องโอ๊ยก่อนจะกลิ้งตกจากเตียงลงไปนอนบนพื้นพรม  เจ้าหมารี่เข้ามาดมๆเหมือนจะช่วยดูอาการรบาดเจ็บ  ในขณะที่พิรุณานอนเจ็บจี๊ดขดตัวกลมอยู่บนเตียง  ทั้งคู่คลำศีรษะตัวเองป้อย  น้ำตาเล็ดจากหางตา  ธีรธรนอนแผ่กับพื้นดวงตาจ้องมองเพดานห้อง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ  กล้องสุดรักสุดหวงยังปลอดภัยดีแถมยังรู้สึกเป็นสุขดีแท้...นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้หัวเราะร่าเหมือนเด็กๆแบบนี้

‘เป็นอะไรหรือเปล่า?’ พิรุณาชะโงกหน้ามาจากบนเตียง ธีรธรส่ายหน้าเพราะยังมึนๆก่อนจะลุกขึ้นนั่ง แล้วสังเกตเห็นว่าหน้าผากนวลใสของพิรุณามีรอยแดงปูดขึ้นมา

“หัวปูดเลย ไปหาอะไรประคบดีกว่า”ธีรธรลุกขึ้น แล้วช่วยดึงพิรุณาลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัว  แล้วเปิดช่องฟรีซได้ห่อเนื้อหมูกับห่อแฮมออกมาส่งให้พิรุณา

“ประคบซะหัวจะได้หายโน”

‘คุณนั่นแหล่ะรีบประคบซะ หัวปูดเป็นลูกมะนาวยังจะมาห่วงคนอื่นอีก’

       พิรุณาหยิบห่อเนื้อหมูประคบให้ธีรธร แต่ออกจะเมื่อยสักหน่อยเพราะส่วนสูงต่างกันไม่น้อย  ธีรธรลอบมองดวงหน้าขาวนวลใสที่เม้มริมฝีปากนิดๆ ตั้งใจกับการประคบ นี่เป็นอีกครั้งที่เขาได้เห็นอีกมุมหนึ่งของพิรุณา  นอกเหนือจากไอ้หนุ่มหน้าสวยที่ติดจะขี้โมโหอยู่สักนิด หรือหนุ่มน้อยนัยน์ตาพราวที่แสดงความสามารถโลดแล่นบนเวที  นี่เป็นอีกด้านที่นุ่มนวลอ่อนหวาน  ธีรธรรู้แล้วว่าทำไมใครๆถึงรักพิรุณา เห็นได้ชัดจากปองที่ถึงจะรู้จักพิรุณาไม่นานนัก แต่กลับเอาใจใส่คอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆเสมอ

“ผมทำเองคุณจัดการตัวคุณเองเถอะ”นิ้วใหญ่แข็งแรงช่วยเกลี่ยผมสีน้ำตาลออกแดงที่ตกลงมาใกล้ตาออกไปอย่างเบามือ  ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองนิ่ง แต่ธีรธรไม่อาจอ่านได้ว่าร่างโปร่งบางนี้คิดอะไร

“คิดอะไร?”เสียงนุ่มนวลอย่างที่เจ้าตัวยังแปลกใจถาม ริมฝีปากบางหากอิ่มสวยแย้มยิ้ม

‘กำลังคิดว่าที่นี่มีหมอผีเก่งๆหรือเปล่า’ พิรุณาหัวเราะกับความคิดตัวเอง  ธีรธรงงทำไมต้องหาของพันธุ์นั้น

‘เพราะคุณโดนผีเข้าสิงน่ะสิ  บางทีอยากจะเป็น...ผีบ้า’

“อ้าว  คุณครับทำงี้ไม่สวยนะ  หรือจะให้ผมเรียกตำรวจเพราะถูกประทุษร้ายล่ะครับ” ร่องรอยในกระแสเสียงหายไปแล้วเริ่มกลับมากวนๆเหมือนเดิม พิรุณาไม่อาจได้ยินแต่อ่านได้จากดวงตาว่าธีรธรเริ่มรวนกวนอารมณ์

‘งั้นผมจะได้แจ้งข้อหาว่าคุณพยายามจะกระทำชำเรา’

“เออดี พรุ่งนี้จะได้ขึ้นหน้าหนึ่งด้วยกัน”

‘ใครจะไปขึ้นกับคุณไหว  มีคิวก่อนหน้าตั้งยาวเหยียดไม่ใช่รึไง?’ธีรธรขมวดคิ้ว  เขาค่อนข้างมั่นใจว่าพิรุณาเป็นพวกไม่สนใจข่าวไร้สาระ  แต่ทำไมถึงรู้ ‘วีรกรรมคนโสด’ ของเขาได้ ถึงช่วงนี้จะเพลาๆลงมากแล้วก็เถอะ  ต้องมีคนเอาให้ดูนั่นแหล่ะ  ไม่น่าใช่ปอง คุณลียิ่งไม่ใช่ใหญ่....หรือว่าแม่ปีศาจสาว ดาบสองคมชัดๆ

“ของอย่างงี้มันลัดคิวกันได้”ธีรธรรีบกลบเกลื่อนมองนาฬิกาเห็นว่าได้เวลาซีรี่ย์ชื่อดังกำลังจะมาพอดี

“ไปดูทีวีกันดีกว่า”ธีรธรกึ่งลากกึ่งจูงพิรุณาไปนั่งแหมะที่หน้าโทรทัศน์ได้สำเร็จ  เป็นการเอาตัวรอดแบบเนียนๆที่ใช้สีข้างเข้าถูเล็กน้อย






         เกรซช่วยปองถือของพะรุงพะรังเข้าไปในบ้าน  ทันทีที่เปิดประตูก็เห็นแขกไม่ได้รับเชิญ  แต่จะว่าไม่รับเชิญก็พูดไม่ได้เต็มปากนัก  เพราะคนแถวนี้เช่นเกรซและปองออกจะยินดี ‘ต้อน’ รับ  พิรุณากำลังตั้งอกตั้งใจดูโทรทัศน์ไม่วางตาจึงไม่รู้ว่าเกรซและปองกลับมาแล้ว  ธีรธรเองก็แค่พยักหน้าให้น้อยๆตอนที่ทั้งสองคนเข้ามา  ปองและเกรซรีบขนของเข้าในครัวทันทีก่อนที่พิรุณาจะทันเห็น เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศให้บอสหนุ่ม  แต่ดูเหมือนฟ้าดินจะกลั่นแกล้ง  เสียงแฟกซ์ดังขึ้นเจ้าหมาที่กำลังเล่นกับเกรซอยู่ในครัวหูตั้งชันขึ้นทันที  เกรซพยายามตะครุบมันไว้

“ไม่เอา เจ้าหมาอย่าไปนะ” แต่ไม่เป็นผลเลย  เจ้าหมาวิ่งออกจากห้องครัวไปหาพิรุณาทันทีตามที่ถูกฝึกไว้

         พิรุณาเดินตามที่เจ้าหมางับข้อมือพามาที่เครื่องแฟกซ์  มือนวลๆนั้นฉีกแฟกซ์ออกอ่าน  ดวงตาสีน้ำตาลแดงกวาดมองตัวอักษรอย่างถี่ถ้วน  เจ้าของข้อความเหล่านี้คงกำลังทำงานอยู่ หลังจากโดดงานมาหาเขาที่คอนเสิร์ต  ข้อความในแฟกซ์เนื้อหาใจความเกี่ยวกับเรื่องที่เขาประสบอุบัติเหตุ  ไม่รู้ว่าข่าวไปถึงเคนได้อย่างไร เคนเป็นห่วงเขามากแต่ก็ไม่อาจมาหาได้เพราะงานมากมายที่ยังไม่สะสาง   พิรุณาลดกระดาษลงจากระดับสายตาพลางเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องนั่งเล่นที่ธีรธรนั่งดูโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์  ดวงหน้าขาวนวลนั้นเอียงคอน้อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลแดงฉายประกายครุ่นคิดอยู่เงียบๆ






         ห้องทำงานของเคนยังเปิดไฟสว่าง  แม้ว่าจะเลยเวลางานมามากแล้ว  แต่งานที่ยังคั่งค้างสะสางไม่สิ้นก็มีมากมายเกินกว่าจะละมือไปได้  เคนผลักกองเอกสารตรงหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย  แล้วลูบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะเอามือคลึงขมับตัวเองเบาๆ   ข่าวที่เขาเห็นจากโทรทัศน์ไม่ชวนให้เขาสบายใจนัก ทั้งด้านธุรกิจ และข่าวของ ‘คนสำคัญ’ ปัญหาด้านธุรกิจเขารับมือได้ แต่เรื่องคนๆนั้น.....พิรุณาไม่บอกเขาสักคำว่าประสบอุบัติเหตุจนเขาต้องโทรถามจากปอง  ทำไมถึงไม่โทรมาบอกสักคำ  ทำไมต้องให้เขารู้จากคนอื่น    คำถามอีกมากมายถาโถมเข้ามาในใจ  โดยเฉพาะคำถามที่เสียดแทงใจเขาที่สุด  ทำไมพิรุณาถึงไม่รักเขาบ้าง....หรือ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องตามที่พิรุณาบอกเขาคือ ทำไมถึงไม่รักเขาแบบคนรักบ้าง  ทั้งที่เขาเองก็ทุ่มเทและเอาใจใส่  ทั้งที่เขาทำทุกวิถีทาง 


หรือพิรุณาจะยังไม่แน่ใจในตัวเขา?....
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนเก้าแล้วคร้าบบบ :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 08-01-2008 01:32:01
อ่า พิรุณา กับ ธีรธร เริ่มหวานกันแล้ว อิอิ  :m1: :m4:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 08-01-2008 12:43:39
พี่เคาจ้ารักคนที่เขารักเราดีกว่าไหม :m23:
หวานกันจังเลยนะครับคุณพิรุณา คุณธีรธร
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 08-01-2008 14:21:11
คู่นี้ น่ารักเข้าทุกวันแฮะ อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 11-01-2008 02:53:34
มารอตอนต่อไปแล้วครับ หายไปหลายวันแล้ว  :m23:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 11-01-2008 19:19:09
หวานละลาย เจ้าหมาถูกฝึกมาดีเกินไป จริงๆ

น่ารักทั้งคู่เลย แต่ก็แอบเชียร์เคนอยู่เล็กน้อย

สงสารปองเมื่อไหร่จะสมหวังสักที
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 11-01-2008 20:06:44
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 14-01-2008 03:49:28
ขอโทษที่มาอัพให้ช้านะครับ :m5:

มาอ่านตอนที่ 10 ต่อกันเลยครับ :a1:
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO   chapter# 10




       พิรุณากำลังลองขีดๆเขียนเพลงให้ได้สักเพลงหนึ่ง  แต่ช่วงนี้มันดูไม่ค่อยมีแก่ใจจะแต่งเพลงเลย  หลังจากที่เขาแต่งเพลงที่ถูกขอให้ช่วยแต่งเสร็จ  สมองของเขาก็ดูเหมือนจะปิดระบบการทำงานลงเสียโดยสิ้นเชิง  พิรุณาเริ่มหงุดหงิดกับตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ   จึงเปลี่ยนความสนใจจากการพยายามแต่งอะไรสักอย่างออกมาเป็นการเล่นไปเรื่อย  นิ้วเรียวที่ตัดเล็บสั้นเรียบเริ่มโลดแล่นไปตามคีย์เป็นเพลงอะไรก็ได้ที่เขาจำได้  เกรซเดินเข้าๆออกๆหลังบ้านจึงได้ยินเสียงปองฮัมเพลง   เกรซลอบฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ  เสียงปองคลอไปกับเสียงนุ่มๆของเปียโนได้เข้ากันดีมากทีเดียว  ดวงตาสีฟ้าใสลอบมองชายหนุ่มร่างโปร่งดูบอบบางที่กำลังล้างจานอย่างใช้ความคิด จนปองรู้สึกได้

“อะไรหรอครับ?” ปองถามเพราะเห็นเกรซจ้องเขาตาไม่กระพริบ

“อ้อ...เปล่าๆ  แชมพูน้องหมาอยู่ไหน”เกรซรีบกลบเกลื่อน  จังหวะที่ปองหันหลังแล้วก้มลงหยิบสิ่งที่เธอถามหา เกรซก็อดปล่อยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาไม่ได้

“คุณปองเสียงดีเหมือนกันนะ”

“เอ๊ะ!! ได้ยินหรอครับ” ปองถามอย่างตกใจ ดวงหน้าขาวนั้นซับสีเลือดเรื่อๆ

“นี่...สนใจจะเป็นนักร้องไหม?”

“คุณเกรซอย่าล้อเล่นสิครับ  แค่งานของคุณพิรุณาผมก็จะแย่แล้วล่ะครับ”

“ก็ถือซะว่าทำงานให้พิรุณาไง”เกรซฉีกยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์

“คงไม่ดีมั้งครับ”

“ดีสิ  ดีแน่ๆ  อย่างน้อยก็ลองดูหน่อยน่า~นะ”เกรซรีบฉวยข้อมือปองเดินเข้าไปหาพิรุณาที่กำลังเล่นเปียโน

‘ชั้นรู้แล้วว่าจะเอาใครร้องเพลงให้แจค’เกรซส่งภาษามือให้พิรุณาที่หันมาสนใจคนทั้งคู่เต็มที่

‘ใครล่ะ?’ เกรซผ่ายมือราวกับพิธีกรบนเวทีไปที่ปอง  ดวงตาสีน้ำตาลแดงของพิรุณามองตาม เห็นปองทำหน้าปุเลี่ยน

‘ปองหรอ?  แน่ใจอ่ะ  ดูเจ้าตัวไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่เลยนะ’

‘แหม ลองดูก่อนก็ได้นี่’ เกรซรีบยัดเยียดโน้ตที่พิรุณาเขียนให้เจ้าตัว  แล้วรีบส่งเนื้อร้องที่ แจค รุ่นพี่นักเขียนเพลงส่งมาให้ลองดูให้ปอง

‘ลองเล่นสักรอบให้คุณปองพอจับเมโลดี้ได้หน่อยดิ’พิรุณาทำยักคอไปมาแล้วหันกลับไป



         นิ้วเรียวกดลงบนคีย์อย่างชัดเจนทุกตัวโน้ต เสียงอินโทรอบอุ่นอ่อนหวานทำให้ปองชักเริ่มกล้าๆกลัวๆ  เกรซช่วยอธิบายให้ว่าต้องเริ่มตรงไหน แล้วแนะนำให้เขาลองฮัมเพลงคลอไปด้วยก็ได้  ทำนองเป็นเอกลักษณ์อ่อนหวานยังคงดังต่อไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้ฟังแล้วทำนองนั้นก็ติดหูปองทันที เนื้อหาของคำร้องอ่อนหวานเว้าวอนฟังดูน่ารักจนเขานึกอยากดูหน้าคนแต่งเนื้อร้องขึ้นมาอย่างไรชอบกล

“ลองร้องดูนะคุณปอง”เกรซใช้ดินสอเคาะเป็นจังหวะประกอบให้อีกแรง


         ปองเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจมากนัก  จนถูกเกรซดุให้ว่า ‘ร้องดังๆ  ตอนล้างจานยังร้องดังกว่านี้เลย’ พิรุณาขำกับหน้าปองที่ดูพิลึกชอบกลพลางเล่นเปียโนโดยลดระดับความดังของเสียงลงเพื่อให้เสียงร้องเด่นชัดขึ้น  ปองร้องเพลงอย่างเต็มเสียงได้ในที่สุด  เสียงที่ไม่ได้ห้าวจัดแต่มีน้ำหนักขับร้องไปตามท่วงทำนอง เน้นหนักเบาพอใช้ได้ เอื้อนต่างๆทำได้ค่อนข้างดี โดยรวมแล้วนับว่าดีทีเดียวสำหรับมือสมัครเล่น  แต่คงต้องผ่านการขัดเกลาจากมือพระกาฬพิฆาตไก่อ่อนเสียก่อน  พิรุณาลอบมองหน้าเกรซ  เธอพยักหน้าให้น้อยๆ  ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นเต้นพราวอย่างตื่นเต้น


“เยี่ยมเลยคุณปอง แหม...พวกเรานี่ทำงานกันแบบไม่ต้องใช้ทุนกันเลยนะ”เกรซกล่าวด้วยเสียงระรื่นทันทีที่ปองร้องจบพลางยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

“ค่ะ  ใช้ได้ไหมคะ?”เกรซนิ่งฟังคำตอบจากปลายสายครู่หนึ่ง

“ได้ค่ะ เกรซจะบอกพิรุณาให้  ค่ะ  แล้วจะรีบเช็คตารางพิรุณาให้นะคะ ค่ะ....ค่ะ ขอบคุณค่ะ”เกรซพูดจบแล้วปิดฝาโทรศัพท์มือถือก่อนจะยืดอกขึ้น

“คุณปองคะฉันขอดูตารางงานของพิรุณาช่วงสองสัปดาห์นับจากนี้ค่ะ”

“คุณพิรุณาไม่รับงานช่วงนี้ครับ”เกรซยิ้มกริ่มอย่างพอใจ 

“เยี่ยมเลย”

‘เราต้องส่งคุณปองบินไปหาแจคนะ  เขาถูกใจเสียงคุณปอง’พิรุณาพยักหน้าเข้าใจภาษามือที่เกรซส่งให้

‘เอาสิ ถ้าแจคถูกใจก็โอเค ส่งตัวยัดลงกล่องไปภายในคืนนี้เลยก็ยังได้’พิรุณาขำกับจินตนาการตัวเองที่จับปองยัดลงกล่องพัสดุขนาดเล็ก





         และแล้วก็เป็นจริงดังคาด  ปองถูกส่งตัวไปพบมิสเตอร์แจค แอนด์ เดอะ ริบเปอร์ สมใจเกรซและพิรุณา  ทำให้พิรุณาเกิดโรคขี้เกียจตัวเป็นขนขึ้นมา เขานอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ที่บ้านแทบทั้งวันจนเบื่อ  ส่วนเกรซสามวันนี้จะไม่อยู่  คุณเธอมีภารกิจยิ่งใหญ่ไปออนทัวร์เล็กน้อย  คาดว่าคงไปเปิดหมวกแก้เซ็ง อาจจะเป็นที่โซโหอีก  หรืออาจจะเป็นที่อื่นๆในรายชื่อที่เกรซจดไว้แน่นเอี้ยด   พิรุณาเองก็เซ็งออกไปเดินย่ำต๊อกในเมืองบ้างก็คงดี





         ธีรธรกำลังประชุมอยู่ในห้องประชุมเล็ก  บรรยากาศภายในห้องกำลังอึมครึมเคร่งเครียด  ธีรธรที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั่งนิ่ง  คิ้วเข้มนั้นนิดๆเพ่งมองสิ่งที่โปรเจคเตอร์ที่กำลังฉายภาพแผนภูมิ  ในสมองกำลังคิดทบทวนแผนงานต่างๆไปด้วย  สีหน้าของเขาไม่ช่วยให้ผู้อยู่ร่วมประชุมรู้สึกเบาใจขึ้นเลยกลับทำให้อึดอัด เพราะพวกเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าเจ้านายหนุ่มพอใจกับสิ่งที่พวกเขานำเสนอหรือไม่  ไม่แน่พวกเขาอาจถูกไล่ตะเพิดออกมาจากห้องประชุมนี้เลยก็ได้ หรือถ้าร้ายกว่านั้นคือ...ไล่ออก    ลีแอนเหลือบมองเวลาแล้วถึงเวลาพักเบรคการประชุมแล้ว  เพราะผู้ร่วมประชุมบางคนทำท่าจะไม่ไหวเพราะความเครียดที่จู่โจมโถมใส่นั่นเอง

“เราพักเบรคกันสิบห้านาทีก่อนนะคะ” ลีแอนกล่าวเมื่อสบโอกาส  ทำให้ทุกคนลุกแล้วทยอยกันออกไปทานอาหารว่างด้านนอก เหลือเพียงบอสหนุ่มของเธอที่ดูไม่ค่อยอยู่ในอารมณ์แจ่มใสมากนัก  มือแข็งแรงนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองเปิดเช็คข้อความ  ข้อความสาระพัดถูกส่งเข้ามา  ส่วนใหญ่เมื่ออ่านแล้วก็ลบทิ้งไป  ทันใดนั้นก็มีข้อความเข้า


ชะโงกหน้าที่หน้าต่าง ถนนด้านข้างสิ


         บอสหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัยว่าถนนด้านข้างมันมีอะไร  ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะก้าวยาวๆไปที่หน้าต่าง  ห้องนี่เป็นห้องริมสุดของอาคารด้านข้าง พอดี และถนนด้านข้างมีเพียงด้านนี้ด้านเดียวเท่านั้น  ด้วยเพราะอีกข้างเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่  ร่างโปร่งบางในโค้ตสีน้ำตาลแดงคุ้นตากำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือตัวเองด้วยมือหนึ่ง มืออีกข้างเขาไม่แน่ใจนักว่าถืออะไรไว้  ร่างสูงนั้นรีบหันหลังแล้วก้าวยาวๆพละไปจากหน้าต่างทันที  ลีแอนมองบอสหนุ่มของเธอที่หุนหันออกไป  ก่อนจะมองลงไปจากหน้าต่างบานนั้นบ้าง  ภาพใครคนหนึ่งที่คุ้นตาทำให้เธอระบายยิ้มออกมาอ่อนจาง



“พิรุณา!”เสียงเรียกจากด้านหลังทั้งที่เจ้าของเสียงนั้นรู้อยู่เต็มอกว่าชายร่างโปร่งบางที่เขาเรียกไม่อาจได้ยินเสียงนั้น  มือแข็งแรงคว้ามือนวลบางข้างหนึ่งได้  พิรุณาหันตามแรงนั้นอย่างตกใจ

‘เบาๆสิเดี๋ยวกาแฟหกหมดพอดี’ กาแฟร้อนจากร้านที่ธีรธรชอบฝากเลขาสาวไปซื้อถูกยื่นให้  ธีรธรรับมาอย่างงงๆ

“ทำไมใจดีจัง”

‘วันนี้ผมเบื่อๆเลยออกมาเดินเล่น  พอดีเดินผ่านร้านกาแฟนี่  คุณลีแอนบอกว่าคุณชอบ  ผมเลยซื้อมาฝาก  เพราะยังไงต้องเดินผ่านที่นี่อยู่แล้ว  ส่วนเค้กนี่ฝากให้คุณลีด้วย’ดวงตาคมสีม่านราตรีมองดวงหน้าขาวเนียนที่มีเค้าของหนุ่มน้อยในนัยน์ตาพราวคนนั้นอย่างเผลอไผล

“ขอบใจมาก  เดินมาไกลหรือเปล่า เหนื่อยไหม?” พิรุณาส่ายหน้า แต่ไม่ ได้ตอบกว่าเริ่มเดินมาจากตรงไหน

‘ดื่มกาแฟก่อนเถอะครับ เดี๋ยวมันจะเย็นเสียหมด’ ธีรธรดื่มกาแฟที่ตัวเองชอบ พลางมองหน้าคนมีน้ำใจไปด้วย  กาแฟเปี่ยมน้ำใจอร่อยอย่างนี้นี่เอง

“เดี๋ยวผมต้องประชุมต่อ  อากาศชักเย็นๆแล้ว คุณกลับไปรอที่บ้านดีกว่าไหม?” ธีรธรถาม ในน้ำเสียงนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน พิรุณารู้สึกถึงความอบอุ่นนั้นผ่านทางสายตาที่ทอดมองมา

‘ทำไมสุภาพจัง  กาแฟใส่อะไรผิดสำแดงหรือเปล่าเนี่ย?’

“เปล่าหรอก แต่น้ำตาลมันหวานน่ะ”พิรุณาเอียงคอสงสัย ไม่เข้าใจในสิ่งที่ธีรธรพูดแม้แต่น้อย

“ว่าไง  กลับไปรอที่บ้านนะครับ”ธีรธรกล่าวแล้วยิ้มน้อยๆ  เป็นรอยยิ้มที่พิรุณาแพ้ทางมากที่สุด  ถ้ายิ้มอย่างนี้ทั้งวันให้พิรุณา ขออะไรเขาให้หมดเลยเอ๊า~

‘ครับ แล้วเจอกันที่บ้าน’มือแกร่งจับมือบางมากุมไว้  มือนวลๆนั้นเย็นจัดธีรธรจึงกุมมันไว้ แล้วยกขึ้นเป่าลมให้ไออุ่นจากร่างกายเขาทำให้มือนั้นอุ่นขึ้นก่อนจะถูเบาๆ พิรุณารู้สึกหน้าร้อนวาบ พยายามบิดมือออกจากการเกาะกุม แต่ดูเหมือนตีนตุ๊กแกของธีรธรจะแกะไม่ออกเสียแล้ว

“แล้วจะรีบกลับนะครับ” ธีรธรเลื่อนมือขาวนวลนั้นมาสัมผัสริมฝีปากตนอย่างฉาบฉวยก่อนจะปล่อยเป็นอิสระ แล้วเรียกแท๊กซี่ให้ พร้อมทั้งบอกจุดหมายปลายทางให้ด้วย  พิรุณาก้าวขึ้นนั่งเบาะหลังโดยมีธีรธรปิดประตูตามหลังให้ เมื่อแท็กซี่เคลื่อนตัวออกไปแล้ว  พิรุณาใช้มืออีกข้างกุมมือที่ถูกสัมผัสเมื่อครู่  รอยสัมผัสอุ่นนั้นยังคงฝากความซ่านร้อนไว้ที่ผิวเนื้อ  ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นฉายประกายครุ่นคิด

แน่ใจเล้วหรือ พิรุณา?  คิดดีแล้วแน่จริงๆนะหรือ?





         ธีรธรเดินกลับมาเข้าประชุมอย่างอารมณ์ดี  ทำให้ทุกคนยกเว้นเลขาสาวนึกแปลกใจว่าเรื่องดีๆอะไรหนอที่เปลี่ยนอามรณ์บอสหนุ่มได้เร็วถึงเพียงนี้   เมื่อเกือบยี่สิบนาทีก่อน บอสหนุ่มยังหน้าหงิกเป็นม้าหมากรุกอยู่แท้   บัดนี้ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้ผู้ร่วมงานเล่นเอาสาวน้อยสาวใหญ่ในการประชุมอายม้วนกันไปจวบจนการะประชุมเสร็จสิ้น  ผู้ร่วมประชุมทุกคนศีรษะยังตั้งอยู่บนบ่าได้อย่างสบาย  นับเป็นโชคโดยแท้

“บอสคะ  คุณมิลเลอร์มารอพบอยู่ที่ห้องรอพักค่ะ”เลาขาสาวรายงานเสียงเรียบ เธอรับรู้ได้ถึงลางไม่ดีเอาเสียเลย

“คุณลีให้มาพบผมที่ห้องทำงานก็ได้”บอสหนุ่มกล่าวเดินมุ่งตรงไปยังห้องทำงาน  ไม่นานนักสาวสวยในชุกดำสนิทเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งเช่นเคยก็เดินเข้ามาอย่างมั่นใจ

“สวัสดีครับ คุณมิลลเอร์” ธีรธรกล่าวอย่างสุภาพ

“สวัสดีค่ะคุณธีรธร แหม ห่างเหินกันจังเลยนะคะ เป็นอย่างไรบ้างคะ ได้ข่าวว่าธุรกิจคุณไปได้สวยทีเดียว”

“ใครก็ราบรื่นดี  แต่ผมได้ข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ”ใบหน้าสวยหยิ่งนั้นชะงักค้าง ดวงตานั้นฉายประกายไม่พอใจขึ้นมาวูบหนึ่ง

“ว่าอย่างไรครับ มาพบผมมีธุระอะไร?”มิลเลอร์หัวเราะแห้งๆออกมา

“อย่างที่คุณทราบ ดิฉันกำลังประสบปัญญหา ด้านเงินทุนน่ะค่ะ  ก็เลยคิดว่าคุณน่าจะสนใจร่วมธุรกิจกัน”

“ขอโทษเถอะครับที่ผมคงต้องตอบปฏิเสธ  เพราะปัจจุบันงานผมก็ล้นมือเสียแล้ว  คงไม่สะดวกที่จะร่วมทุนกับใครในตอนนี้เพราะฉะนั้นต้องขอโทษด้วยครับ”ธีรธรตอบอย่างสุภาพ หากดวงตาคมกล้านั้นฉายแววเยียบเย็น  เสียงอินเตอร์คอมจากเลขาสาวดังขึ้นแทรกความเงียบ

“ครับคุณลี”

“คุณท่านโทรมาจากกรุงเทพค่ะ”

“เรียนท่านว่าผมไม่สะดวกรับ แล้วจะโทรกลับ”

“แต่ท่านมีธุระสำคัญต้องการพูดกับบอสด่วนเลยค่ะ”ธีรธรเคาะโต๊ะเบาๆอย่างชั่งใจก่อนจะตอบตกลง

“ครับ ผมจะออกไปรับสายด้านนอก”บอสหนุ่มกดตัดสายอินเตอร์คอม
“ขอโทษนะครับคุณมิลเลอร์ ผมขอตัวสักครู่”บอสหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะเดินตัวตรงออกไปจากห้อง ทิ้งหญิงสาวไว้ในห้องทำงานเพียงลำพัง   มิลเลอร์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมาราวเสือติดจั่น เพราะการที่เธอเจรจาผิดพลาด นั่นย่อมหมายถึงความพินาศในธุรกิจของเธอ  ในหัวพยายามคิดหาวิธี  ดวงตาสวยร้ายๆมองไปที่เครื่องPCบนโต๊ะทำงานของธีรธร  ก่อนจะตรงรี่เข้าไปหามัน




         ธีรธรกลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางนั้นไม่แสดงอาการเกรี้ยวกราดวิตกกังวลใดๆอีก นอกเสียแววตาแปลกๆ ทำให้ธีรธรนึกประหลาดใจ ธีรธรนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง แล้วลอบสำรวจดวงหน้าของหญิงสาวตรงหน้ารู้สึกตะขิตะขวงใจหากแต่มิได้พูดอะไร

“คุณธีรธร ลองกลับไปคิดดูอีกทีดีกว่านะคะ ดิฉันมั่นใจว่าเราจะเป็นหุ้นส่วนที่ดีต่อกันได้อย่างแน่นอน”

“ขอบคุณครับ แต่ผมคงไม่อาจรับข้อเสนอไว้ได้ และไม่คิดจะเปลี่ยนใจด้วย”

“เอาเถอะค่ะ  ดิฉันมั่นใจว่าคุณจะยอมเปลี่ยนใจ ขอตัวก่อนนะคะ”หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่วงท่าราวนางพญา ดวงตาที่ได้รับการแต่งด้วยเครื่องสะอางค์มาอย่างปราณีตฉายประกายร้ายกาจอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานนั้นอย่างมั่นใจ


แล้วเราจะได้เห็นกันค่ะว่าคุณ ในท้ายที่สุดก็ต้องสยบอยู่ใต้เท้าฉัน









         ธีรธรกลับบ้านด้วยอาการเหนื่อยอยู่บ้างเล็กน้อย  เขาทิ้งกระเป๋าเอกสารลงที่หน้าประตูแล้วถอดเสื้อโค้ตออกก่อนจะขยับเนคไทให้คลายพลางเดินเข้าไปในตัวบ้าน  แล้วนั่งลงที่โซฟาหน้าโทรทัศน์  รู้สึกเหมือนนั่งทับบางอย่างจึงหันมอง   พิรุณานอนขดตัวกลมอยู่บนโซฟา ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้นั่งทับเข้าไปเต็มๆ ไม่อย่างนั้นร่างโปร่งบางนี้คงแบนแต๋ต้องแซะออกมาแน่

“พิรุณาตื่นเถอะ  มานอนอยู่ตรงนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”บอสหนุ่มสะกิดร่างบางให้ฟื้นตื่นจากห้วงฝัน

‘กลับมาแล้วหรือครับ?’พิรุณางัวเงียลุกขึ้นนั่งกอดเข่า

“กลับมาแล้ว  เข้ามานอนอยู่นี่ได้ยังไงกันเนี่ย ฮือ?”มือแข็งแรงนั้นจับเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่ชี้โด่ไปเด่มาให้เข้าที่

‘เกรซให้กุญแจไว้ ผมเลยเข้ามา เพราะบ้านผมหนาว’บอสหนุ่มเลิกคิ้ว เกรซอย่างนั้นหรือ....

“ฮีตเตอร์ล่ะ?”

‘เปลืองไฟครับ อยู่คนเดียวต้องเปิดทั้งบ้าน’ ธีรธรขยี้ผมนุ่มนั้นอย่าหมั่นไส้

“แล้วมาเปิดบ้านคนอื่นเนี่ยนะ” พิรุณาอุบอิบ ดวงหน้าขาวนวลๆแย้มยิ้มอย่างเก้อๆ

‘อย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่ายเอง’

“โธ่ เด็กเอ๋ยเด็ก”

‘ว่าใครเป็นเด็ก’ คิ้วเรียวสวยขมวดปมเข้าหากันอย่างชักจะเคืองๆ

“เปล่าครับๆ  อย่าทำคิ้วผูกโบว์สิ เดี๋ยวแก่เร็วนะ”มือแข็งแรงจิ้มลงหว่างคิ้วพิรุณา ที่ทำแก้มป่อง  ธีรธรอดไม่ไหวกับความน่ารักนั้น ฉวยโอกาสหอมแก้มเข้าให้ทีหนึ่ง  พิรุณาตกใจหน้าแดงก่ำ มือนวลบางนั้นสัมผัสแก้มตน

“อย่าทำอย่างนั้น”

‘ทำอะไร?’

“ทำท่าน่ารักไง  เห็นแล้วมันทนไม่ไหวน่ะ” ดวงหน้าคมสันยื่นเข้ามาใกล้  นัวเนียอยู่แถวๆดวงหน้านวลใสสบตากันลึกซึ้ง ก่อนจะเลื่อนสายตาลงจับที่ริมฝีปากสวย แล้วประทับรอยสัมผัสลงไปแผ่วเบา   



         ร่างโปร่งบางนั้นแหงนเงยรับสัมผัสนั่นอย่างไม่คิดจะปัดป้อง  รสสัมผัสนั้นสุภาพและอ่อนโยนยิ่งจนพิรุณาอดคล้อยตามไปไม่ได้  ริมฝีปากหยัดสวยของธีรธรไล่สัมผัสไปตามเครื่องหน้าต่างๆราวกับจะสำรวจดูให้ทั่ว  มือข้างหนึ่งกุมมือน้อยไว้เบาๆ  ส่วนอีกข้างช้อนท้ายทอยสวยให้เงยรับสัมผัสได้ถนัดถนี่  นาน...กว่าจะถอนริมฝีปากออก  ปากอิ่มสวยแดงช้ำเล็กน้อย นั่นยิ่งเพิ่มความน่าดูให้มากยิ่งขึ้น  ดวงตาสีม่านราตรีสบกับดวงตาสีน้ำตาลแดงอยู่หลายอึดใจก่อนจะส่งยิ้มอบอุ่นให้ร่างโปร่งบางที่ยิ้มรับน้อยๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายมอบจุมพิตอ่อนหวานให้เสียเอง

         ทั้งคู่แลกจุมพิตอันอ่อนหวานอยู่พักใหญ่ ในที่สุดธีรธรถอนริมฝีปากออกช้าๆแสนเสียดาย  ดวงตาสีน้ำตาลแดงงามนั้นจ้องมองกลับมาอย่างตรงไปตรงมา  นัยน์ตาสีสวยที่ชวนให้ค้นหานั่น ยั่วเย้าเชิญชวนให้กระโจนเข้าไปค้นหาเสียเหลือเกิน  พิรุณาเองสบตาคมกล้าสีม่านราตรีคู่นั่นแล้วก็นึกหวั่นไหว  รอยสัมผัสอุ่นซ่านนั้นยังตราตรึง  ในหัวกำลังสับสนไปหมด  ทุกอย่างตีกันวุ่นยุ่งเหยิงไปหมด 

“พิรุณา 
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอน 10 แล้วครับ :m13:
จบตอนได้เยี่ยมมากเลยน้องเมศ :m15:

 
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 14-01-2008 10:48:20
สงสัยจะเกิดการ แบล๊คเมล์กันแน่ ๆ เลย  o12

แต่ตอนนี้หวานซะ พิรุณา มีใจให้กับ ธีรธร ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่  :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 14-01-2008 11:01:40
เป็นกำลังใจให้นะ  :oni2:  :oni2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 14-01-2008 11:40:44
ตอนนี้ตักตวงความสุขไว้ก่อนนะครับไว้เป็นพลังสำรองสำหรับเหตุการณ์ข้างหน้า :oni2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 14-01-2008 12:59:00
น่ารักจังตอนนี้ ................. แต่หลังจากนี้อ่ะสิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 14-01-2008 17:34:26
ฮาๆฮือๆลงเร็วจังเลย ชักหืดขึ้นคอเเย้ววววว~ 

อ่านย่อหน้าสุดท้ายของตอนนี้เเล้ว ก็รู้กสึกว่า นี่เมศเขียนเองหรอเนีย....เห็นเเล้วก็หวั่นใจ ฮาๆฮือๆ

 :m29: :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 14-01-2008 20:06:31
ตามาติดๆแล้วนะน้องเอ้ย...รีบปั่นเข้า  :m12: :m12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 14-01-2008 21:02:20
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 16-01-2008 20:45:58
อ่านแล้วเขินจังเลยอ่ะ หวานมากๆ sweet kiss ><

สงสัยว่ายัยมิลเลอร์นี่จะต้องแบล็กเมล์แน่เลย

สู้ๆนะพิรุณา
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-01-2008 01:08:10
จูบกันดูดดื่มแว้ว
 :oni2: :oni2: :oni2:
ยัยมิเลอร์จะทำไรอ่ะ
 :m29: :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 18-01-2008 13:50:43
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์

จูบกันแล้ว

โอ้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววส?

น่ารักที่ซู้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด   :mc4:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 20-01-2008 21:43:01
INTERMEZZO   chapter# 11






   
      ธีรธรถอนริมฝีปากอย่างแสนเสียดาย  ดวงตาสีม่านราตรีมองดวงหน้าขาวนวลที่บัดนี้ริมฝีปากสวยแดงช้ำเล็กน้อย  นานแล้วที่ไม่รู้สึกอิ่มเอิบหัวใจถึงเพียงนี้  กี่ปีแล้วที่เขาเป็นฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองวิ่งตามใครสักคน  กี่ปีแล้วที่มองหาแต่คนเพียงคนเดียวอย่างนี้  ในวันแรกที่เขาได้พบ  พิรุณาคือไอ้หนุ่มหน้าสวยที่ทำเขาปวดหัวจี๊ดทันทีที่นึกถึง  แต่บัดนี้ พิรุณาคือหัวใจรัก แต่จะตลอดกาลและตลอดไปไหมนั้น เป็นเรื่องที่เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้เลย      พิรุณามองชายหนุ่มดวงหน้าคมสันตรงหน้าแล้วนึกแปลกใจตัวเอง  อะไรหนอทำให้พิรุณาถลำลึกมาถึงเพียงนี้  อะไรหนอชักพาให้คนที่ไม่น่าจะได้รู้จักกัน มารู้จักกันได้ และเหตุใดธีรธรถึงเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อได้  แม้ว่าธีรธรจะไม่เคยเรียนภาษามือมาก่อนเลย  มันออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เป็นเรื่องจริง   แต่ถ้าจะให้สรุปว่าความรู้สึกเหล่านี้เป็นความรักนั้น  พิรุณาเองก็ยังไม่แน่ใจ  เพราะมันแปลกใหม่เกินกว่าจะเชื่อได้  ธีรธรก้มลงหอมเก้มพิรุณาทีหนึ่ง แล้วรวบเอวบางขึ้นอุ้ม   พิรุณาตกใจดิ้นรนไปมาทั้งหยิกทั้งทุบ  อารมณ์เคลิ้มๆเมื่อครู่หายไปเสียแล้ว 

“ไม่เอาน่า  อย่าทำร้ายร่างกายกันสิครับ เดี๋ยวปล่อยลงไปกลิ้งกับพื้นเสียเลย”ธีรธรทำท่าจะปล่อยคนที่ถูกอุ้ม พิรุณาตกใจรีบโอบรอบคอร่างสูงไว้กันตก  ธีรธรหัวเราะชอบใจ

“อย่างนี้สิน่ารัก”พิรุณาทำแสยะยิ้ม  เลื่อนกายสูงขึ้นอีกนิด วางคางแหลมๆลงบนบ่าร่างสูงใหญ่แรงๆจนธีรธรร้องโอ้ย  ก่อนพิรุณาจะหัวเราะแม้จะไม่มีเสียง แต่ท่าทางสะใจมาก

“แสบนักนะเรา”ธีรธรรีบอุ้มพิรุณาโยนลงบนเตียงแล้วโถมร่างตามลงไป  แล้วกดคางลงบนไหล่บางบ้าง  พิรุณาหัวเราะด้วยความจั๊กกะจี้

‘หยุดเถอะ  จั๊กกะจี้จะแย่แล้ว’พิรุณาพยายามส่งภาษามือขอความช่วยเหลือ  แต่ธีรธรไม่ใส่ใจ  สัมผัสชวนจั๊กจี้เมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นสัมผัสอุ่นชื้น ระรานไปตามคอเนียน  พิรุณาดวงหน้าซับสีเลือดขึ้นทันที  รู้สึกมือไม้ไม่รู้จะไว้ตรงไหน 

“ตัวหอมจัง”มือแข็งแรงลอบแกะกระดุมเสื้อเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ  มือนั้นเข้าสัมผัสผิวเปล่าใต้ผ้าอย่างถือสิทธิ์ ผิวขาวนวลเปลี่ยนเป็นสีชมพูสวย ริมผีปากหยักสวยของธีรธรยิ้มอย่างพึงพอใจที่พิรุณาเริ่มตอบสนอง

“อึ๊ก!”พิรุณาส่งเสียงคลุกคลักในคอราวกับปลาสำลักน้ำเมื่อเขาสัมผัสอย่างผิวผ่านที่สีข้าง

“ใจเย็นๆ  พิรุณา ผมจะค่อยๆกอดคุณ ดีไหม?”ธีรธรก้มลงมองพิรุณา บัดนี้ดวงหน้านวลใสเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับพร้อมจะระเบิดออกมาเสียเลย  แน่นอนว่าแม้แต่ตัวก็แดงด้วยเช่นกัน   ธีรธรก้มลงจุมพิตหน้าผากขาวนวลนั้นอย่างนึกเอ็นดู 


      

      พิรุณามองหน้าคมสันที่อยู่เหนือตนอย่างพิจารณา  เส้นผมสีดำสนิทที่มักเสยขึ้นบัดนี้ตกลงปรกหน้าทำให้ดวงหน้านั้นดูอ่อนเยาว์กว่ายามที่ไปเสยขึ้น  ดวงหน้าคมสันนั้นกำลังซับสีเลือดเล็กน้อยอย่างแทบจะมองไม่เห็น มือนวลบางยกยื้นสัมผัสดวงหน้านั้น  มือแข็งแรงจับมือบางเลื่อนมาสัมผัสริมฝีปากลงไปอย่างอ่อนหวานที่หลังมือ ก่อนจะระรานไปเรื่อย เพื่อชมชื่นกับความหอมหวานอันเกินห้ามใจนั้น


      ธีรธรลุ่มหลงไปกับรสสัมผัสหอมหวาน  มือใหญ่สัมผัสไปตามผิวเนียนมือนั้นอย่างเพลิดเพลิน  ความคิดอ่านมลายหายไปสิ้นดวงตาสีม่านราตรีคมกล้าแฝงแววบางอย่างไว้อย่างล่ำลึก  แววตาที่พิรุณารู้สึกว่าน่ามองหากน่ากลัวจนทำให้นึกหวั่นใจ  มือนวลคว้ามือแข็งแรงนั้นไว้ ก่อนจะเตลิดไปไกลกว่านั้น  ดวงตาสีน้ำตาลแดงสวยจ้องมองธีรธรอย่างค้นหาคำตอบ  คำตอบที่เขาเฝ้าถามตัวเองมานับร้อยนับพันครั้งว่า

เป็นคนๆนี้  ดีแล้วแน่หรือ?  แน่ใจแล้วหรือ?

“มีอะไรหรือเปล่า?”ธีรธรก้มลงหมายจะฉกฉวยความหอมหวานอีกครั้ง แต่พิรุณาพลิกกายหลบ แล้วนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นอย่างเร็ว

‘ผมกลับก่อนดีกว่า’ พิรุณาลุกขึ้นพลางสวมเสื้อให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องไป  ธีรธรล้มลงนอนกับเตียงอย่าง
หมดแรงแล้วเสยผมอย่างไม่เข้าใจ




      



      

      พิรุณาบิดก๊อกฝักบัวปิด หยดน้ำพราวเกาะตามผิวกายจะแพรวพราวด้วยเพราะต้องแสงนวลๆหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นซับผิวกายที่หน้ากระจก  ดวงตาสีน้ำตาลแดงสวยเหลือบเห็นร่องรอยบนผิวกาย  รอยสีกุหลาบมากมายปรากฎอย่างชัดเจน  พิรุณา รีบพละจากหน้ากระจกทันทีพลางรู้สึกร้อนซ่านที่ผิวหน้า   ก่อนจะรีบสวมเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงสแลคสีน้ำตาลเข้มรับกับสีผมและดวงตาแล้วออกจากห้องอาบน้ำ


      พิรุณาเดินพลางเช็ดผมไปตามทางเดิน เจ้าหมาวิ่งรี่เข้ามาพยายามงับข้อมือทำให้พิรุณาเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เดินไปยังเครื่องแฟกซ์  แฟกซ์ยาวเหยียดกองอยู่ที่พื้นทางเดิน  มือนวลฉีกมันออกอ่านพลางเช็ดผมให้หมาดไปด้วยมืออีกข้างหนึ่ง  ทันใดนั้นดวงตาสีน้ำตาลออกแดงก็ชะงักค้าง  รู้สึกชาวาบไปทั้งร่างกายราวกับร่างกายถูกตรึงด้วยหมุดแหลมคมมากมายจนผ้าเช็ดตัวร่วงลงกองกับพื้น  พิรุณารีบตรงไปเปิดคอมพิวเตอร์เข้าอินเทอร์เน็ตตามเวบที่ถูกเขียนไว้ในแฟกซ์  ภาพของคนสองคนจุมพิตกันอย่างดูดดื่มปรากฏขึ้นให้ชมอย่างเต็มตาในเวบไซต์ แม้จะเห็นได้ไม่ชัดนักแต่เป็นใครก็จำได้ว่าเป็นพิรุณา ส่วนอีกคนพิรุณาลองมองอยู่อึดใจใหญ่ๆก็สรุปได้ว่าเป็นธีรธร พิรุณายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองอย่างอ่อนล้า 












‘ติ๊งนอง~ๆๆๆๆๆๆๆๆ’
      ธีรธรเดินมาเปิดประตูอย่างหัวเสียพลางขมวดคิ้วนึกต่อว่าคนกดออดที่กดไม่ยั้งว่าเสียมารยาทที่มารบกวนแต่เช้า  เขากระชากประตูเปิดออกอย่างหงุดหงิดจากหลายๆเรื่อง  แต่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวต่างๆมลายหายไปสิ้น  เขายิ้มอ่อนจางให้ร่างโปร่งบางที่สวมเครื่องแต่งกายแบบปรกติที่เห็นประจำ คือสวมเสื้อเชิ้ตขาวกับแสลคสีเข้ม แล้วสวมโค้ตโค้ตสีออกน้ำตาลแดงเข้ากับสีผมและสีของนัยน์ตาสวย ที่บัดนี้มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ  สายตานั้นทำเอาเขาชาวาบไปทั้งร่าง  สายตาเย็นชาอย่างที่เขาไม่เคยคาดฝันเลยว่าจะได้รับจากคนๆนี้ 

‘คุณคงยังไม่เห็นข่าวนี้’พิรุณายื่นกระดาษที่ปริ๊นท์ออกมาให้ธีรธรดู  เขารับมาอย่างงงๆ

“ข่าวอะไรหรือ?”ธีรธรอ่านข้อวามในกระดาษ  ข้อความเหล่านั้นโจมตีพิรุณาอย่างร้ายกาจ ในตอนท้ายมีการกล่าวบอกใบ้ด้วยว่าคนในรูปน่าจะหมายถึงตัวเขาด้วย

‘ผมไม่สนใจหรอกว่าข่าวเน่าๆนี่จะโจมตี  สื่อจะจิกกัดผมขนาดไหน แต่สิ่งที่ผมอยากรู้คือ รูปนี้ใครเป็นคนถ่าย  คนในรูปนั้นคือผมกับคุณแน่ แล้วที่สำคัญคือ  มันแพร่ออกมาได้ยังไง?’พิรุณาส่งภาษามืออย่างกระแทกกระทั้น  ดวงตาสีน้ำตาลแดงจรัสแสงวาบวับน่ากลัว

“พิรุณา  เข้ามาคุยกันก่อนเถอะ”ธีรธรเบี่ยงกายหลบจากหน้าประตู เชื้อเชิญให้พิรุณาเข้ามาก่อน  แต่พิรุณาส่ายหน้า

‘คุณเป็นคนถ่ายรูปนี้ใช่ไหม?’

“ใช่  ผมเป็นคนถ่ายรูปนี้ไว้เอง  แต่ไม่ใช่คนปล่อยให้นักข่าวแน่”พิรุณามองหน้าธีรธรอย่างชั่งใจ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งภาษามือให้

‘คุณธีรธร  คุณได้ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของผมไปจนหมดแล้ว  หวังว่าผมจะไม่ต้องพบเจอคนอย่างคุณอีก’พิรุณาเดินลงบรรไดหินที่เทอร์เรซหน้าบ้านธีรธร เดินก้าวยาวๆไปตามทางเท้าพลางเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ตเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นจากอากาศที่รายรอบ โดยไม่สนใจธีรธรที่วิ่งตามออกมา

“พิรุณา ฟังก่อนนะ  พิรุณา!!พิรุณา!!!!”พิรุณาเรียกแท็กซี่แล้วออกจากที่แห่งนั้นไปโดยเร็ว 


      พิรุณานั่งมองทิวทิศน์ของสองฝั่งฟากถนน รถที่วิ่งบนถนนนอกเมืองวิ่งเร็วเสียจนเห็นต้นไม้สองข้างทางเป็นแถบเขียวๆผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ในหัวของพิรุณาเองก็กำลังแล่นจี๋เช่นกัน  ความคิดหลายกระแสผ่านเข้ามาเป็นระรอกราวคลื่นโถมเข้าหาฝั่ง ห่างสิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ

ดีแล้วที่เราไม่ถลำลึกไปกว่านี้







      


      ธีรธรอ่านข่าวทางอินเทอร์เน็ตอย่างละเอียดทุกตัวอักษร นักข่าวโจมตีพิรุณาค่อนข้างรุนแรง  แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นกระแสใหญ่โตอะไรมากมายถึงขั้นเป็นTalk of the townเพราะถึงอย่างไรก็เป็นนักดนตรีคลาสสิค ไม่ใช่พวกcelebsอย่างพวกนักร้อง นักดนตรีอื่นๆ  พิรุณาหายตัวไปอย่างลึกลับ นับแต่วันนั้น เขาไม่เคยเห็นไฟในบ้านพิรุณาเปิดอีกเลย  ประตูหน้าต่างทุกบานล็อคมิดชิด เจ้าหมาเองก็ไม่รู้หายไปไหน เขาสั่งให้ลูกน้องของเขาตามหาแหล่งที่มาของภาพ รวมถึงใช้เส้นสายให้สื่อหยุดประโคมข่าวเสียๆหายๆเสียที   การที่กลับบ้านในตอนค่ำแล้วเหลือบมองไปยังบ้านข้างๆที่เคยมีแสงไฟสว่างที่บัดนี้มืดสนิทนั้นทำให้รู้สึกแปลกๆที่ในอกเสมอ    ป่านนี้พิรุณา.....อยู่ที่ไหน  จะเป็นอย่างไรบ้างกับข่าวเสียๆหายๆพวกนี้  จะคิดมากเสียหรือเปล่าก็ไม่รู้    จะไปไหนไกลๆคนเดียวได้ที่ไหน หูก็ไม่ได้ยิน  เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยัง  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ธีรธรถามซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้นเป็นล้านๆครั้ง แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ 

“บอสคะ”เสียงเลขาสาวทำให้ธีรธรหลุดจากห้วงความคิด

“ว่าอย่างไร  มีข่าวอะไรไหม?”ธีรธรถามอย่างมีความหวัง เลขาสาวเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง  ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ยังไม่มีข่าวคุณพิรุณาเลยค่ะ”ธีรธรทิ้งกายพิงพนักเหมือนๆจะหมดแรงเสียให้ได้

“แล้วคุณปองล่ะ โทรถามหรือยัง?”

“ติดต่อไม่ได้เลยค่ะ”

“คุณเกรซก็ด้วยหรอ?”

“ค่ะ  บอสคะ  ถ้าภาพอยู่ในเครื่องบอส ไม่เคยให้ไฟล์ใคร ลีว่าบอสลองนึกดีๆก่อนดีไหมคะว่าใครมาวุ่นวายกับPCในวันก่อนหน้านี้บ้าง”

“ปรกติ ที่นี่เข้าออกต้องได้รับการอนุญาตจากผม  เครื่องPCบนโตะนี่ก็มีรหัสล็อค  เอ๊ะ!!”

“คุณลี ช่วยเอารายชื่อคนที่เข้าพบผมเมื่อสัปดาห์ก่อนเข้ามาหน่อย”ลีแอนรับคำอย่างแข็งขัน  ไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมแฟ้มรายชื่อการเข้าพบเจ้านายของเธอ  ธีรธรกวาดสายตามองรายชื่อเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว

“คุณลี ผมพอจะรู้แล้วว่าใครเป็นคนปล่อยภาพนั้น  ต่อสายถึงคุณคริสตินา มิลเลอร์ให้ผมด้วย”







“ฉันปล่อยภาพพวกนั้นในเว็บแล้ว  เห็นไหมล่ะว่าแผนนี้ได้ผล  ฉันได้ผลกำไรทางธุรกิจ คุณกำจัดคู่แข่งไปได้อีกราย  เราต้องถือว่าไม่ขาดทุน”คริสตินา มิลเลอร์ พูดโทรศัพท์ขณะกำลังให้ช่างทำเล็บแต่งเล็บให้เข้ารูป

“ต่อไปงดติดต่อกันไปก่อนดีกว่า  รอให้ฉันเจรจากับธีรธรก่อน  แล้วเราค่อยว่ากันใหม่ ว่าจะจัดการกับไอ้หนวกนั่นยังไงดีไหม?”   เธอเงียบฟังเสียที่ปลายสาย อีกครั้ง

“ดี  ถ้าอย่างนั้น  ฉันวางล่ะ”เธอกดวางสายอย่างสบายใจ แล้วฮัมเพลงหงุงหงิงในคออย่างอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน ไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องสวยกกรีดเสียงร้องขึ้น  เธอเหลือมองชื่อที่ปรากฏที่หน้าจอแล้วเหยียดยิ้มหยัน

“สวัสดีค่ะ ไม่นึกว่าคุณธีรธรจะโทรมาเร็วถึงขนาดนี้  เปลี่ยนใจแล้วสินะคะ?”

“ครับ  ผมเปลี่ยนใจแล้ว”ธีรธรตอบอย่างใจเย็น

“เราจะตกลงทำสัญญาร่วมทุนกันเมื่อไหร่ดีคะ?”

“ผมเกรงว่า  สัญญาร่วมทุน คงจะต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน”คริสตินา มิลเลอร์กระพริบตาถี่อย่างสงสัย

“เปลี่ยนจากสัญญาร่วมทุน เป็นคำสั่งศาลจะดีกว่านะครับ”

“เอ๊ะ!”

“ผมทราบว่า เมื่อเร็วๆนี้คุณได้ขโมยข้อมูลบางอย่างไปจากเครื่องPCบนโต๊ะทำงานของผม  แล้วเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต นั่นเป็นการกระทำที่หยาบคายมากนะครับ  ผมบอกไว้ เผื่อว่าคุณไม่ทราบ”หญิงสาวที่ปลายสายพูดอะไรไม่ออก

“น....แน่ใจหรือคะ  คุณพูดแบบนี้เท่ากับกล่าวหาฉันนะคะ”

“วงการธุรกิจความซื่อตรงเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคนในวงการรู้เรื่องนี้ คุณคงหมดอนาคตทางธุรกิจ  หวังว่าคุณคงเข้าใจ เอาเถอะครับ ผมจะรอพบคุณในศาล อย่าลืมเตรียมทนายไว้ล่วงหน้านะครับ”

“เดี๋ยว! คุณทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะคะ”

“ สิทธิส่วนบุคคล  ผมคิดว่าคุณคงสะกดเป็น แล้วมีความรู้มากพอที่จะเข้าใจ”ธีรธรตัดสายไปแล้ว  แต่คริสติน่า มิลเลอร์ยังยังถือสายค้าง  เธอรู้สึกหน้าชาราวกับถูกตบแรงๆ  ในทางกลับกัน ธีรธรกดเบอร์โทรออกอีกครั้ง

“สวัสดีครับ ครับ ผมธีรธร  เราคงต้องระวังขโมยให้ดี เมื่อเร็วๆนี้ผมถูกขโมยข้อมูลสำคัญไป  อ่อ...จับตัวได้แล้วครับ คุณอย่าไปบอกใครนะครับ ผมเกรงใจมิสเตอร์มิลเลอร์  กลัวท่านจะแคลงใจกับผม ....”ธีรธรพูดอ้อมค้อมโดยเน้นคำว่าอย่าบอกใคร เขารู้...ด้วยบารมีของมิสเตอร์มิลเลอร์  คริสติน่า มิลเลอร์คงไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ  ต่อให้เขาตัดสินใจฟ้องจริงๆ ก็คงได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับเขาเท่าไหร่นัก  ข่าวลือสิไปไวสมใจ และได้ผลแบบเห็นผลทันตา


วงการธุรกิจความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญ  แต่เล่ห์เหลี่ยมที่แพรวพราวนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า  จะอยู่รอด หรือล่มสลาย อยู่ที่สิ่งนี้  ใครที่ทำกับเขาหรือคนที่เขารักอย่างร้ายกาจ  ต้องได้รับผลกรรมสนองเป็นสามเท่า!













      พิรุณาเปิดประตูโบสถ์เล็กๆแห่งหนึ่งเข้าไปอย่างเงียบๆ  ห้องโถงกว้างบัดนี้เงียบเหงาด้วยเพราะไม่มีศาสนากิจใดจัดขึ้นในวันนี้  แสงเทียนดวงน้อยๆวับแวมอยู่ที่หน้าแท่นบูชา ท่ามกลางความสลัวมืด มีเพียงแสงสีสดใสที่ลอดผ่านกระจกสีประดับอันประกอบกันเป็นรูปทางศาสนา   แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของพิรุณามากที่สุดคือ พระแม่มารี ผู้ทรงทอดสายพระเนตรอย่างอ่อนโยนให้แก่ใครก็ตามที่เข้ามา ไม่ว่าคนผู้นั้นจะรุ่มร่วยด้วยลาภยศเงินทอง หรือยากไร้สิ้นเนื้อประดาตัว หรือไม่มีใครเลย....พิรุณามองดวงพักตร์ที่สลักจากหินอ่อนงาม พลางคิดไปว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใด  ดวงพักตร์งามที่อบอุ่นอ่อนโยนนั้นยังคงมองเขาอย่างเมตตาเสมอมา ราวกับพร้อมจะหยิบยื่นความโอบอ้อมอารีแก่ทุกผู้ทุกคนที่ก้าวมายืนเบื้องพระพักตร์  พิรุณาหยอดเหรียญลงไปในตู้เหล็กขนาดย่อมๆที่ข้างบริเวณแท่นวางเทียนสำหรับบูชา  แล้วหมุนบิดที่ลูกบิดเล็กๆ ให้กล่องไม้ขีดร่วงลงมา  ก่อนจะจุดเทียนให้เกิดเปรวแสงสว่างดวงน้อยที่พริ้วไหววูบวาบยามที่พิรุณาเลื่อนมือไปจุดเทียนเล่มต่อไป


      พิรุณาเปิดประตูเข้าไปเล็กๆด้านหลังแท่นบูชาเข้าไปทางเดินมืดๆอันปูด้วยไม้ที่บัดนี้เสื่อมสภาพไปจากเดิมมากแล้ว กลิ่นอับเล็กน้อยโชยมาให้ได้กลิ่นอยู่อ่อนจาง  ประตูห้องคุ้นตาชวนให้พิรุณานึกถึงเรื่องเก่าๆ เรื่องที่ผ่านมานานเสียจนแทบจะลืมเลือน เขาเดินผ่านห้องต่างๆไปอย่างช้าๆ  ในห้วงคิดเห็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังวิ่งเล่นกันท่าทางโหวกเหวกน่าสนุก เสียแต่เพียงว่าไม่มีพิรุณารวมอยู่ในกลุ่มนั้น  เพราะที่ของเขาคือห้องสุดปลายทางเดิน  พิรุณาผลักประตูเข้าไปเบาๆ  แสงสว่างอบอุ่นอาบไล้ไปทั่วห้อง ทำให้เห็นไรฝุ่นบางๆปลิวฟุ้ง เตียงไม้สองชั้นที่ผุพังไปตามกาลเวลาถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดตา โต๊ะที่หน้าต่างบ่งบอกว่ามีผู้ใช้มันอยู่บ้าง เพราะมีหนังสือวางอยู่สองสามเล่ม  พิรุณาขยับเข้าใกล้วัตถุบางอย่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีเทาดูสกปรกขัดกับห้องที่ถึงแม้จะสภาพเก่าโทรม แต่ยังคงความสะอาดไว้ได้  เขาเปิดผ้านั้นขึ้นอย่างไม่นึกกลัวมือจะเปื้อน  เปียโนสีแดงเข้มจัดราวกับสีโลหิตตัวหนึ่งตั้งติดชิดผนัง มือขาวนวลไล้มือไปบนตัวไม้นั้นอย่างเบามือ แสนคิดถึง ก่อนจะเปิดฝาขึ้น


      เขาหักข้อนิ้วตัวเองดังแป๊ะๆเบาๆเล้วนั่งลง วางมือลงบนคีย์บอร์ดที่คุ้นเคยนี้ นี่คือเปียโนตัวแรกที่เขาได้สัมผัส  เปียโนตัวแรกและตัวเดียวที่เปิดเส้นทางสายใหม่ให้เด็กชายพิรุณา  เด็กชายตัวเล็ก ชาวเอเชียที่หูพิการให้เข้าสู่เส้นทางสายดนตรี  เส้นทางที่ทำให้เขาเป็นผู้เป็นคนมาถึงทุกวันนี้  นิ้วเรียวสวยกดลงบนคีย์บอร์ด เสียงจากเปียโนตัวเก่าแก่นั้นผิดเพี้ยนไปจากเปียโนอื่นอยู่มาก  แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับพิรุณา เสียงตัวโน้ตทุกตัวจากฝีมือพิรุณาคมชัดหนักแน่นเกินกว่าใครจะสนใจความผิดเพี้ยนของเสียง  หากแต่ท่วงทำนองของเพลงนั้นกลับเศร้าอย่างน่าใจหาย   บางครั้งในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา ย่อมมีช่วงเวลาสุขทุกข์ปสลับกันไป  และในบางครั้งความสุขชั่วครั้งชั่วคราวที่ผ่านเข้ามาก็น่าภิรมย์เกินห้ามใจราวกับความฝันอันหอมหวาน  แต่เมื่อใดที่ตื่นจากฝันแล้ว....สิ่งที่เหลือคือความทรงจำอันเป็นบทแทรก เหมือนเพลงINTERMEZZO เพลงบทย่อยที่แทรกในอุปรากรณ์เรื่องยาว ....ก็เป็นเพียงบทแทรกบทหนึ่งในชีวิตก็เพียงเท่านั้น










“ครับผมทราบข่าวแล้ว  ผมเองก็พยายามติดต่อคุณพิรุณาเหมือนกันครับแต่ติดต่อไม่ได้เลย”ปองกำลังพูดโทรศัพท์ทางไกลกับเกรซที่โทรติดต่อเขาทันทีที่รู้ข่าวว่าพิรุณาหายตัวไป

“ฉันก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน  จริงๆแล้วพิรุณาไม่ได้เป็นคนมีนิสัยใส่ใจพวกข่าวไร้สาระพวกนี้  ไม่เคยถึงกับหนีไปเฉยๆแบบนี้เลย”เสียงที่ปลายสายร้อนรนไม่แพ้กัน

“ลองถามเพื่อนๆของคุณพิรุณาดูสิครับ เผื่อว่าคุณพิรุณาจะแวะไปหาใครบ้าง”

“ฉันก็ฝากบอกทุกคนแล้วว่าถ้าพิรุณาไปหาใครให้รีบติดต่อฉันทันที  แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าข่าวที่ฝากจะไปทั่วถึงทุกคนหรือเปล่า เพราะเพื่อนของพิรุณามีอยู่แทบทุกมุมโลก”

“ครับ  ข้อนั้นผมทราบ  แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอรบกวนด้วยนะครับ  ทราบข่าวเมื่อไหร่  บอกผมด้วย   ผมเป็นห่วงกลัวคุณพิรุณาจะเป็นอะไรไป”พิรุณาพูดเสียงสั่นอย่างกลั้นไม่อยู่

“อย่างกังวลไปเลยคุณปอง  ฉันมั่นใจว่าพิรุณาไม่ใช่พวกคิดอะไรงี่เง่า  บางเทีเขาแค่อยากไปคิดอะไรเงียบๆคนเดียวก็ได้  อย่างกังวลมากนักเลย”เสียงออดแทรกเข้ามาในสายโทรศัพท์ให้ปองได้ยิน  เขาพอจะเดาได้ว่าเกรซกำลังจะขึ้นเวที

“คุณเกรซกำลังจะขึ้นแสดงหรอครับ?”ปองเองก็เกรงว่าเกรซจะกังวลเรื่องพิรุณาเสียจนเสียสมาธิ

“ใช่ค่ะคุณปอง  ฉันคงต้องวางแล้ว  คุณปองอย่าคิดมากนะคะ”เกรซบอกแล้วรอการรับคำจากปองก่อนจะวาง  เธอพูดประโยคนั้น เพราะหมายใจจะบอกตัวเองด้วย   ดวงตาสีฟ้าใสกระจ่างบัดนี้ซ่อนรอยกังวลไว้แม้นมิด










      เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นในบริเวณสวนสาธารณะกว้าง  ผู้ชมจำนวนหลายพันคนเดินทางมาชมการแสดงดนตรีกลางแจ้งที่นี่ คืนนี้เกรซมีหน้าที่มอบความสุขทางเสียงเพลงให้แก่ผู้ฟังอย่างดีที่สุด  แม้จะมีเรื่องกังวลใจมากมาย  แม้จะห่วงพิรุณามากแค่ไหน  หน้าที่ก็ยังเป็นหน้าที่  เกรซในชุดราตรีสีฟ้าเข้มเกือบเป็นน้ำเงินก้าวเดินขึ้นสู่เวทีอย่างมั่นใจ ผมสีแดงอย่างชาวอังกฤษแท้ถูกเกล้าเป็นมวยครึ่งศีรษะแล้วปล่อยให้ทิ้งปลายยาวเคลียไหล่  เธอโค้งให้ผู้คนที่งดงามนอบน้อมสง่างามท่ามกลางเสียงปรบมือต้อนรับดังสนั่นราวห่าฝน แล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมรอสัญญาณจากวาทยากร

      เสียงเพลงกระหึ่มกึกก้องของวงออเครสตร้าประจำท้องถื่นส่งให้บรรยากาศน่าตื่นเต้น เกรซชักคันชักส่งให้เกิดเสียงคมชัดเป็นท่วงทำนองเข้มแข็งด้วยสำเนียงเพลงแบบสเปนิช เสียงไวโอลินผ่อนหนักผ่อนเบาร่วมกันวงออเครสตร้า ก่อนจะกรีดเสียงโผนทะยานไปตามท่วงทำนองอย่างชำนาญ ประกอบกับเครื่องเคาะเบาๆในท่อนต่อไป ทำให้รู้สึกว่าเสียงไวโอลินนั้นคมและกล้าแกร่งเหลือเกิน เครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวสู้กับวงออเครสต้าด้านหลังได้อย่างสูสี  นิ้วขาวยกคันชักขึ้น ก่อนจะดีดที่สายอย่างเชี่ยวชาญ แล้วโซโล่ดวงตาคู่สีฟ้าใสดำดิ่งสู้ห้วงสมาธิอย่างสมบูรณ์ 


เกรซแน่ใจว่าพิรุณา ก็เป็นเหมือนเธอ คือเป็นมืออาชีพพอที่จะรับผิดชอบตัวเองได้  แต่ครั้งนี้คงร้ายแรงกว่าครั้งไหนๆเป็นแน่  พิรุณาถึงได้เตลิดเปิดเปิงไปถึงขนาดนั้น.....สิ่งที่จะตามพิรุณากลับมาได้ ก็คงไม่แคล้วเป็นตัวของพิรุณาเอง  หวังว่าพิรุณาจะรีบกลับมาในเร็ววัน....สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การหวัง







      ชายหนุ่มร่างสูงสง่าเจ้าของเรื่อนผมสีทองสว่างก้าวเข้าไปในห้องสุดทางเดินอย่างเงียบๆเสียงเปียโนเพี้ยนๆหากกำลังเล่นเพลงสำหรับฝึกอย่างง่ายๆ โดยมีเสียงการกดโน้ตตัวอื่นที่ไม่เข้ากันอยู่ด้วย  ดวงตาสีมรกตมองร่างโปร่งบางที่ถูกประกายแสงสว่างอาบไล้จนเส้นผมนั้นให้ประกายสีน้ำตาลแดงแจ่มชัด  รอบกายมีเด็กเล็กทั้งชายหญิงกำลังพยายามลองกดคีย์เปียโนดูบ้าง  บางคนก็มองอย่างสนใจว่า ไอ้ตู้แดงเก่าๆนี่มีเสียงออกมาได้อย่างไร  บนตักพิรุณามีเด็กชายคนหนึ่งหน้าตาน่ารักนั่งอยู่ พลางใช้นิ้วอ้วนป้อมกดลงบนคีย์ พิรุณาหัวเราะอย่างชอบใจ แล้วหอมแก้มเด็กน้อยอย่างหมั่นไส้  เคนมองภาพนั้นแล้วอมยิ้มหากนัยน์ตาสีมรกตเศร้าก่อนจะเดินเข้าไปหา  ทำให้เด็กๆแหงนเงยขึ้นมองดวงหน้าคมสันอย่างคนเชื้อสายอิตาเลี่ยนอย่างสนใจ

‘พิรุณา  กลับกันเถอะ’ เคนแตะมือลงบนบ่าเล็ก  พิรุณาเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ พอเห็นว่าเป็นใครจึงคลี่ยิ้มหวานนัยน์ตาพราว ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วปล่อยเด็กน้อยบนตักลงยืนกับพื้น  ก่อนจะปิดฝาเปียโน โบกมือลาเด็กน้อยทั้งหลาย แล้วเดินออกไปพร้อมกับเคน




















   
---------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอน 11 แล้วครับ :m13:



หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 21-01-2008 00:10:40
น่าจะเอาเรื่องยัย มิลเลอร์ นั้นให้อยู่ในวงการธุรกิจไม่ได้อีกเลย
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 21-01-2008 15:28:28
ธีรธรจะทำไงต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 21-01-2008 21:08:40
อุปสรรคเยอะเหลือเกิน เมื่อไหร่จะกลับมาคืนดีกันเนี่ย  :serius2: :o
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 25-01-2008 22:39:12
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 29-01-2008 00:48:53
พิรุณาไปไหนเนี่ย ทำไมอยู่กับเคนกลับไปหาธีรธรหน่อยสิ อุปสรรคเยอะมากมาย

ว่าแต่คนเขียนก็หายไปไหนหว่า กลับมาด่วนคร้าบบบ อยากอ่านต่อมากมาย :m15:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 29-01-2008 12:48:45
หนทางของความรักมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปอาจมีหนามที่ต้องทำให้เราเจ็บปวด :o12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-01-2008 14:25:12
กลับมาเล่นเปียโนต่อได้แล้ววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 29-01-2008 23:19:59
INTERMEZZO   chapter# 12





         เคนมองพิรุณาที่นั่งอยู่ที่โซฟาขนาดเล็กในห้องทำงานของเขา  ร่างโปร่งบางกึ่งนั่งกึ่งนอนท่าทางน่าสบายสวมแว่นตาทรงรีๆอย่างที่น้อยคนจะเห็นพิรุณาใส่  ในมือถือหนังสือเล่มใหญ่เอาไว้พลางพลิกหน้าเปิดอ่านไปเรื่อยๆไม่สนใจใครก็ตามที่จะเดินเข้านอกออกในห้องเขา  เคนอ่านเอกสารในมือตัวเองสลับกับเงยหน้าขึ้นมองพิรุณาเป็นพักๆ ตั้งแต่เขาพาตัวกลับมาจากโบสถ์นั้น  พิรุณาก็ไม่ได้บอกอะไรเขาเลย   อันที่จริงแล้วเขาได้รับโทรศัพท์จากเกรซว่าพิรุณาหายตัวไปเงียบๆ  ไม่มีใครรู้ว่าไปที่ไหน ลองหาทุกที่ๆคิดว่าพิรุณาจะไป ก็ไม่พบ  เขาจึงสังหรณ์ใจว่าพิรุณาอาจไปที่นั่น โบสถ์เล็กๆ  สถานที่ที่พิรุณาเติบโตขึ้นมา ซึ่งก็เป็นจริงดังคาด  อาจเพราะพิรุณาไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองมากนักจึงไม่ค่อยมีใครทราบถึงเรื่องเบื้องลึกว่าวัยเด็กของพิรุณานั้นเคยอยู่ที่ไหน อย่างไรบ้าง 

“มิสเตอร์อานิโมโตครับ  อย่าลืมการประชุมผู้บริหารสิครับ  จะถึงเวลาประชุมอยู่แล้วนะครับ”เคนหลุดจากห้วงคิดหันไปมองเลขาของเขาผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลปนทองโครงหน้าสมส่วนเหมาะเจาะนั้นบอกชัดว่ามีเชื้อสายผสม ระหว่างอิตาเลี่ยนกับฝรั่งเศส ซึ่งบัดนี้ชักสีหน้าเหม็นเบื่อใส่เขาแล้ว

“อะไรอีกล่ะครับคุณโดลเช กูดาร์เช  เจ้ากี้เจ้าการแต่เช้า  แล้วกาแฟผมเมื่อไหร่จะได้ล่ะครับ”เคนพูดพลางเก็บปากกาหมึกซึมของตนเสียบไว้กับกระเป๋าเสื้อ

“หมดเวลาทานแล้วครับ  การประชุมกำลังจะเริ่มในห้านาทีนี้แล้ว”เลขาหนุ่มยังเสียงแข็ง  ดวงตาเขียวอมเทาส่อประกายตำหนิ

“โธ่ เอ่ย.....น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นเฟโรเชมากกว่าโดลเช”เคนพึมพำเบื่อๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน
[*Dolce(อิต)=หวาน แผ่วเบา นุ่มนวล,Feroce(อิต)=ดุดัน]

“ว่าอะไรนะครับ”เวลาหนุ่มหูไวชวนหาเรื่องรีบถามเสียงแข็ง  เคนได้แต่งึมงัมว่าเปล่าครับทันที แล้วเดินมาหาพิรุณาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟา  เมื่อเคนเดินเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าพิรุณาหลับตาพริ้ม หายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ

“หลับเร๊อะ  เมื่อกี้ยังตื่นอยู่เลย”เคนพูดอย่างหมั่นไส้นิดๆ ก่อนมือแข็งแรงจะช่วยดึงแว่นออกอย่างเบามือแล้ววางไว้ไม่ให้นอนทับ   ดวงตาสีมรกตฉายแววเจ้าเล่ห์ก่อนจะใช้มือแข็งแรงนั้นปัดผมที่หน้าผากเนียนออกไปแล้วประทับริมฝีปากแผ่วเบา  พิรุณารู้สึกตัวตื่นทันที แล้วส่งภาษามือให้

‘อย่าเอาหนวดมาจิ้มสิ เจ็บนะ’เคนรีบลูบคางตัวเองทันที อือ...เมื่อเช้าลืมโกนหนวด

‘นอนก่อนนะ เดี๋ยวประชุมเสร็จแล้วจะพาไปกินข้าว’พิรุณามองเคนแบบไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฎิเสธ ก่อนจะเหลือบเห็นใครอีกคนที่หางตา  ชายร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนจางทำให้ดวงหน้านั้นสดใสน่ามองภายใต้สีหน้านิ่งสงบ

‘เลขาน่ะ ชื่อโดลเช กูดาร์เช มีอะไรบอกเขานะ ฉันสั่งเขาไว้แล้วให้ดูแลพิรุณาด้วย’พิรุณาลุกขึ้นนั่งแล้วส่งภาษามือกลับ

‘ไม่ต้องไปฝากฉันกับคุณเลขาหรอก  นายตะหาก ถ้าไม่ไปประชุมเดี๋ยวนี้ได้ถูกคุณเลขาฆ่าหมกโต๊ะไม่รู้ด้วย’พิรุณาบุ้ยใบ้ไปที่เลขาร่างสูงโปร่งที่แม้สีหน้าจะนิ่ง  แต่สายตานั้นฉายชัด ถ้าเจ้านายยังอิดเอื้อน ปั๊ดฆ่า!

“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”เคนตบหัวพิรุณาเบาๆเหมือนทำกับเจ้าหมาแล้วรีบบลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทำงาน หลังจากเดินไปพ้นบริเวณห้องแล้วจึงหยิบมือถือออกมากดหาเบอร์ปลายทางทันที แล้วรอให้ปลายสายรับ

“เกรซเจอตัวแล้วนะ.....”เคนพูดกรอกเสียงไปตามสายเบาๆราวกับกลัวใครจะได้ยินพลางเดินไปตามทางเดินเพื่อตรงไปห้องประชุมทันที






         ธีรธรนั่งหันหน้าออกหน้าต่างจากห้องทำงานบนชั้นสูงสูดของโรงแรมที่เขาบริหารงานอยู่  ท้องฟ้ายามราตรีนอกหน้าต่างใสบัดนี้มืดสนิทไปนานแล้ว  แสงสีจากอาคารเบื้องล่างแข่งกันส่องประกายราวอวดอ้างล่อตาล่อใจให้ผู้ที่พบเห็นนึกอยากเข้าไปชมใกล้ๆ  ธีรธรถอนหายใจช้าๆ  แล้วยกมือขึ้นเสยผมที่ตกลงปรกหน้าผาก คิดคำนึงต่างๆไปมากมาย  วันนี้เขาทะเลาะกับ ‘คุณท่าน’ เพราะท่านโทรสายด่วนมาจากกรุงเทพฯให้กลับไปด่วน  ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย เพราะเห็นหลานเพื่อนแต่งงาน เลยอยากเห็นหลานตัวเองแต่งงานบ้าง......ธีรธรมั่นใจว่าถ้าเขาพูดว่าไม่  ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องฟัง  แม้แต่คุณท่านก็ตาม  ถ้าเขาไม่คิดจะแต่งกับใคร อย่างไรเสียก็ไม่แต่ง   แต่สิ่งที่เขากังวลอยู่ตอนนี้คือน้องสาวของเขา ได้ข่าวร่ำๆมาว่ารันดากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย  และกำลังสบสนว่าจะเลือกเรียนอะไรดี ตัวเขาเองอยากให้น้องมาเรียนที่นี่  แต่รันดาไม่อยากมา  เลยทะลาะกันทางโทรศัพท์นิดหน่อย


         แต่สิ่งที่ธีรธรหนักใจยิ่งกว่าคือ พิรุณา ที่หายตัวไปเงียบๆตั้งแต่วันนั้น  ข่าวคราวต่างๆเริ่มเงียบแล้ว  แต่พิรุณายังไม่กลับมา ยังไม่มีใครได้ข่าว แม้แต่ปอง  ทำไมพิรุณาถึงได้โกรธเขามากถึงขนาดนั้น  โกรธจนไม่ฟังเหตุผลอะไรใดๆทั้งสิ้น  เขาเองก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นพวกกวนประสาทอยู่ไม่น้อย  พิรุณาอาจไม่ชอบใจกับจุดนั้นสักเท่าไหร่  แต่พิรุณาจะไม่รับรู้ถึงความรู้สึกดีๆที่เขามีให้พิรุณาเชียวหรือ บางทีพิรุณาอาจจะเป็นพวกใจแข็งแบบสั่งพิเศษก็เป็นได้  แต่เอาเถอะ.......ยิ่งได้มายากเท่าไหร่  ยิ่งมีค่า  และพิรุณาเองก็มีคุณค่าคู่ควรเสียด้วย  ปัญหาของตอนนี้ พิรุณาอยู่ที่ไหน  เป็นอย่างไรบ้าง และที่สำคัญ  พิรุณาจะคิดถึงเขาบ้างไหม?......









         พิรุณาลอบพิจารณาเลขาของเคนอย่างเงียบๆ  โดลเช กูดาร์เช  ช่างเป็นชื่อที่เหมาะกับหน้า แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะกับนิสัยเท่าไหร่นัก  เพราะจากลักษณะที่เห็น  นัยน์ตาสีเขียวอมเทานั้นบอกชัดว่าเป็นคนจริงจัง  เข้มงวด ไม่อ่อนหวานนุ่มนวลเท่าใดนัก  คนอย่างนี้แหล่ะจะคุมเคนอยู่  เพราะเพื่อนเขามีนิสัยชอบเอื่อยเฉื่อยเฉไฉไปเรื่อย  เพราะเป็นลูกชายคนเดียว  เลยถูกตามใจเสมอ  ต้องได้คนอย่างนี้แหล่ะคอยคุม   ขนาดคุมแจยังชอบโดดงานมาหาเขาเรื่อย

“มิสเตอร์ทาเซ็ต  ถ้าต้องการอะไรเพิ่มบอกผมได้นะครับ” พิรุณาอ่านปากที่พูดภาษาอังกฤษนั้น ก่อนจะหยิบสมุดโน้ตขนาดเล็กสีนวลๆและดินสอออกมาเขียนลงไป

ผมไม่ขออะไรเพิ่มหรอกครับ   คุณทำงานให้เคนมานานเท่าไหร่แล้ว?

“ประมาณสามปีได้แล้วครับ”

เหนื่อยแย่เลยนะครับ  เคนเป็นพวกเอาแต่ใจ  คุณคงต้องคอยดูแลบ่อยๆ

“ก็มีบ้างล่ะครับ  แต่มิสเตอร์อานิโมโตทำงานเก่ง ตั้งใจมากทีเดียว   นับเป็นผู้บริหารอายุน้อยที่เฉียบแหลม และมีวิสัยทัศน์กว้างไกลทีเดียวครับ”

เคนเป็นพวกมีหัวคิดดีๆ  แต่ชอบเล่นมากกว่าเลยดูเหมือนพวกไม่เอาถ่าน

         เลขาหนุ่มหัวเราะ เพราะเจ้านายของเขาเป็นอย่างที่พิรุณาว่ามา  ถ้ามองเผินๆแล้ว เคนไม่ต่างอะไรกับชายเจ้าสำราญเลย  แต่หากได้ใกล้ชิดก็จะรู้ได้เองแหล่ะว่า เคนเป็นคนเอาการเอางานไม่น้อยทีเดียว
และเพราะเหตุนี้แหล่ะเขาถึงชอบที่จะทำงานให้เจ้านาย 

“นั่นสินะครับ”โดลเชยิ้มบางๆที่มุมปาก

ผมขอใช้คอมพิวเตร์หน่อยนะครับ

         พิรุณายิ้มหวานให้เลขาหนุ่มที่อนุญาตให้พิรุณาใช้คอมพิวเตอร์ของเขาที่โต๊ะติดประตูได้ตามสะดวก  ก่อนจะขอตัวไปเข้าประชุมบ้าง  พิรุณามองแล้วนึกแปลกใจว่าห้องทำงานของเคนประหลาดแท้ที่ให้โต๊ะเลขาตั้งอยู่ในห้องที่ไม่กว้างนักแบบนี้ หากไม่ทราบมาก่อนคงนึกว่าโต๊ะเลขาเป็นโต๊ะเจ้านายเป็นแน่  เพราะไม่เพียงแต่ตัวใหญ่กว่าเท่านั้น ยังเป็นต้นไม้โอ๊คแดงอย่างดีเสียด้วย  ผิดกับโต๊ะของเคนที่เหมือนขาโต๊ะพร้อมจะหักได้ทุกเมื่อ   พิรุณายิ้มขำกับความคิดตัวเอง ที่นึกเปรียบเทียบผู้บริหารสองคนที่ดูต่างกันลิบลับ  คนหนึ่งคือเคนเพื่อนของเขา  แต่อีกคนคือ ธีรธร

.....เผลอคิดถึงคนแบบนั้นได้อย่างไรกันนี่....เหลวไหลน่าพิรุณา

       เมื่อคิดได้ดังนั้น  พิรุณาจึงรีบไล่ความคิดที่เจ้าตัวว่าไม่ได้ความออกไปแล้วเริ่มลงมือเปิดเว็ปที่ต้องการ   พลางคิดไปอีกว่า  ถ้าเคนได้คนจริงจัง อย่างมิสเตอร์โดลเชมาเป็นคนรู้ใจก็คงดีไม่น้อย...เพราะคนชื่อหวาน หน้าหวานนัยน์ตาโหดนี่แหล่ะ  ปราบเคนอยู่











      ปองกำลังก้มๆเงยๆเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมกลับไปที่บ้านพิรุณา  เขามาอยู่ที่นี่เพื่อทำงานร่วมกับรุ่นพี่ของพิรุณา  งานราบรื่นดี แม้จะโหดมากสำหรับปองถือว่าเป็นประสบการณ์น่าจดจำปนสยองนิดๆไปในตัว   แต่ตอนนี้เขากำลังห่วงพิรุณา  หายไปเงียบๆแบบนี้ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำให้ปองจำใจต้องพละจากเหล่าสัมพาระที่ต้องเก็บใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย  ปองส่องตาแมวที่ประตูห้องแต่ก็ไม่พบใคร เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะเปิดประตูแล้วโผล่ออกไปดูเพียงครึ่งตัว แล้วเขาก็ต้องตกตะลึง


“คุณพิรุณา!!!!”















      ปองมองพิรุณาที่เอาเท้าราน้ำอยู่ที่ศาลาตีนท่า พิรุณาดูสบายอกสบายใจเกินกว่าจะใช่คนๆเดียวกับที่โดนสื่อโจมตีเรื่องภาพฉาวๆเป็นอย่างยิ่ง  พิรุณาในชุดสบายๆ เสื้อยืดสีเขียวและกางเกงขาสั้นสีขาวกำลังนั่งมองสายน้ำของคลองสายเล็กท้ายบ้านสวนอย่างรื่นรมย์ในหัวใจเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อประมาณหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาเพิ่งกลับมาเยือนบ้านสวนที่เขาไม่ได้กลับมาเป็นเวลากว่าสิบปีอย่างกระทันหัน  เพราะวันนั้น วันที่พิรุณามาหาเขาที่ห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ปองถามพิรุณาว่าจะไปไหน  พิรุณาเองก็ยังไม่รู้ จนสุดท้ายจึงตกลงกันได้ว่าจะกลับมายังบ้าน ที่ห่างไปนาน ตามความปรารถนาของปองที่อยากกลับไปเยี่ยม ‘น้อง’ที่บ้าน

“ปอง   ถามพ่อหนูพิรุณาทีสิว่าจะรับน้ำมะตูมเย็นๆสักแก้วไหม?”ปองหันไปรับคำกับหญิงวัยกลางคนเป็นญาติห่างๆของเขาเอง ก่อนจะส่งภาษามือให้พิรุณา  พิรุณายิ้มรับรีบหยักหน้าหันที

‘ทำไมเมืองไทยถึงมีแต่ของน่ากินนะ’พิรุณาส่งภาษามืออย่างมีความสุขก่อนจะหยิบขนมสอดไส้มากินอีกห่อ

‘เอาไว้เดี๋ยวเย็นๆเราไปเดินตลาดนัดกันนะครับ’ปองชวนพิรุณารีบหยักหน้ารับทันที

‘แต่ก่อนไปคุณพิรุณาจะไม่ติดต่อคุณเกรซหรือคุณเคนก่อนหรือครับว่าเราอยู่กันที่นี่’

‘ไม่ล่ะคุณปอง  แค่โทรบอกต้นสังกัดก็พอว่าจะรับงานที่วงที่นี่ชวน’ปองพยักหน้า

“ปอง ช่วยป้าณีลงบัญชีหน่อยลูก”เสียงเรียกจากเรือนใหญ่ทำให้ปองหันไปตามเสียงนั้นก่อนจะขานรับ

‘เดี๋ยวผมมานะครับ’พิรุณายิ้มรับ ปองจึงลุกขึ้นเดินขึ้นเรือนไป เหลือเพียงพิรุณาที่ทอดสายตามองคุ้งน้ำอันปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงมองไปไกลเกินกว่าใครจะคาดเดาว่าที่สุดปลายแห่งห้วงคิดนั้นจรดลง ณ ที่ใด

   

         ธรรมชาติสงบเย็น ร่มรื่นด้วยเงาไม้  เย็นฉ่ำด้วยลำน้ำสีน้ำตาลไหลอ่อนเอื่อยลัดเลาะไปตามคุ้ง ช่างเป็นโลกที่สงบร่มเย็นเหลือเกิน สงบเสียจนคิดว่าตัวเองหลุดมาอีกโลกหนึ่ง  โลกที่ห่างไกลจากความวุ่นวาย  โลกที่สงบ..ราวสรวงสวรรค์  โลก....ที่เป็นของเขาเพียงผู้เดียว        พิรุณาหยิบกระดาษและดินสอขึ้นมาแผ่นหนึ่ง  กระดาษขาวมีบรรทัดห้าเส้นขีดไว้แล้วอย่างเรียบร้อย  มือนวลๆนั้นจรดปลายดินสอไม้ที่เหลาไว้อย่างลวกๆด้วยคัตเตอร์  ร่างโปร่งบางนั้นสูดลมหายใจเข้าช้าและลึก รอคอยให้สายลมอุ่นโอบไล้ร่างกายตน  แล้วค่อยบรรจงเขียนตัวโน้ตลงไปทีละตัวอย่างตั้งใจ ถ่ายทอดสิ่งที่เขาคิดออกเป็นดนตรี....สิ่งที่เขารักมากกว่าชีวิต   ขอเพียงมีสิ่งนี้  สิ่งอื่นใดหรือใคร ก็ไม่สำคัญอีก


















         เคนนั่งดื่มอยู่เพียงลำพังในห้องทำงานของตน   ดวงตาสีมรกตนั้นกำลังจ้องมองลงไปในแก้วอันรองรับของเหลวสีอำพันไว้ พลางครุ่นคิด  อะไร...ที่ทำให้พิรุณารักอิสระถึงเพียงนี้  หายไปไม่บอกกล่าว ทำราวกับเขาไม่มีความหมายเลยสำหรับเพื่อนตัวเล็กร่างโปร่งบางคนนั้น  ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าทุกกริยาของตนอยู่ในการเฝ้าดูของใครอีกคน ที่เร้นกายอยู่ในความมืดสลัวของห้องด้านนอก  เลขาหนุ่มร่างโปร่งมองเจ้านายของตัวอย่างสะท้อนใจ   มิสเตอร์ตาเซทคนเดียวทำให้เจ้านายของเขาถึงกับเมามายได้เพียงนี้

“มิสเตอร์อานิโมโตอย่าดื่มอีกเลยครับ  กลับบ้านเถอะ ผมไปส่งก็ได้”เลขาหนุ่มกล่าวเบาๆ ดวงตาสีเขียวอมเทาสวยสะท้อนเงาของเจ้านายตนออกมาอย่างแจ่มชัด

“ยังไม่กลับอีกหรือโดลเช?”เสียงที่ตอบกลับมาราบเรียบ หากซ่อนความในใจไว้ไม่มิด

“ผมกำลังจะกลับแต่เห็นไฟในห้องยังเปิดเลยจะเข้ามาปิดเห็นคุณนั่นดื่มอยู่  มีเรื่องกลุ้มใจหรือครับ”โดลเชย่อกายลงนั่นตรงหน้าเคนแล้วแหงนหน้าขึ้นมองดวงหน้าคมสันนั้นอย่างเต็มตา

“เรื่องคุณพิรุณา ตาเซทคนนั้นใช่ไหม?”ดวงตาสีมรกตสั่นไหว  สบตากับดวงตาสีเขียวอมเทานั้นนิ่ง

“รู้ได้ยังไง?”เสียงแหบแห้งนั้นถามเบาๆ  นานกว่าโดลเชจะตอบ   ริมฝีปากอิ่มสวยพยายามจะพูดอยู่หลายครั้ง

“ผมเฝ้ามองคุณมานาน”ศีรษะได้รูปอันปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลทองนั้นพยักหน้าราวกับบอกกับตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้านายตนอีกครั้ง

“ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนี้เลย  มันทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจ”

“คุณเกี่ยวอะไรด้วย  นี่เป็นเรื่องของผมกับพิรุณา”

“ผมเศร้าใจ ที่ตัวผมเองก็รักข้างเดียวเหมือนกัน ผมเข้าใจว่าคุณกำลังรู้สึกนึกคิดอะไรในตอนนี้”

“แล้วคุณคิดว่าผมคิดอะไร?”

“ทำไม”คำตอบสั้นๆ ทำให้เคนมองร่างโปร่งตรงหน้า  ดวงหน้าอ่อนหวานหากนัยน์ตาโศกทอดสายตาลงมองพื้น

“ผมเองก็มีคนที่ชอบมากอยู่คนหนึ่ง   ในตอนแรกผมไม่ได้ชอบเขาเลย  สำหรับผมในตอนนั้นเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่หน้าตาดีกว่าคนอื่น  ทระนงตน  ไร้ระเบียบอาจเพราะผมอายุมากกว่า  เลยทำให้ผมคิดอย่างนั้น  แต่ต่อมาพอได้รู้จักกันมากขึ้น ผมจึงรู้ว่าเขาเป็นคนเอาการเอางาน  หนักแน่น  และจริงใจกว่าใครๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมค่อยเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเขา”

“คุณช่วยเก็บเรื่องเล่าของคุณไว้สักสิบนาทีได้ไหม?  ผมไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้องนี้แล้ว”เคนลุกขึ้นยืนหยิบของบางอย่างจากบนโต๊ะ

“ไปกันเถอะ”






      
         รถยุโรปคันใหญ่จอดลุยลงไปข้างทางอันเป็นพื้นหญ้าติดกับแม่น้ำสายใหญ่  สายลมโชยพัดอย่างอ่อนหวานพัดพากลิ่นหอมจางๆของดินมากระทบจมูก  คืนนี้ไร้จันทร์ หากดาวกระพริบไหวทั่วท้องฟ้า  ร่างสองร่างนั่งบนเก้าอี้สนามคนละตัวหันหน้าไปทางแม่น้ำ  คนทั้งสองมองผืนน้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าคิดคำนึงถึงเรื่องของตนเองพลางจิบเครื่องดื่มสีอำพันในขวดแก้วที่ซื้อจากร้านเมื่อครู่

“เมื่อกี้คุณเล่าถึงไหนนะ?”เคนพูดขึ้นเบาๆ  ถามโดลเชที่ยกขวดเครื่องดื่มขึ้นดื่มอึกหนึ่ง

“เรื่องไหนครับ?”

“เรื่อง  คนที่คุณชอบ”เคนตอบเรียบๆ

“อ่อ  ทำไมหรือครับ  มันก็มีอยู่เท่านั้น  ก็แค่เวลาทำให้ผมรู้สึกว่าคนๆนั้นช่างน่าเอ็นดูเหมือนเด็กผู้ชายซนๆที่ชอบวิ่งไปทั่ว  จนเผลอไผลคิดอะไรเลยเถิดไปมากมาย จนวันหนึ่งความรู้สึกต่างๆรวมกันในรูปของความรัก  แต่ผมรู้ว่าในใจเขามีใครอีกคนหนึ่งอยู่  คนที่ผมไม่อาจสู้ได้ในทุกๆกรณี และสุดท้ายเวลากำลังทำให้ผมด้านชากับความเจ็บปวด และค่อยๆเยียวยาความเจ็บปวดนั้นให้หายไป ก็เพียงเท่านั้น”โดลเชพูดแล้วดื่มเข้าไปอีกอึก เคนลุกขึ้นจากเก้าอี้สนามตัวสีแดง ลุกไปเปิดประตูหลังแล้วลากกระเป๋าขนาดใหญ่ออกมาเปิด  เชลโลสีน้ำตาลออกเดงนอนสงบนิ่งอยู่ในกล่องนั้น  เมื่อเคนกลับมาอีกครั้ง โดลเชกำลังจะเปิดเครื่องดื่มขวดใหม่

“เอาอีกสักหน่อยไหมครับ”โดลเชยิ้มบางๆพลางชูดขวดในมือขึ้นอย่างชักชวน เคนพยักหน้ารับขวดดังกล่าวมาดื่มแล้วส่งคืนก่อนจะนั่งลง พาดคอเชลโลเข้ากับบ่าตนเอง



         เสียงเชลโลทุ้มนุ่มนวลดังขึ้นจากฝีมือของเคน  ทำนองอ่อนเอื่อยชวนให้นึกถึงสายน้ำตรงหน้าค่อยๆแปลเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองอ่อนหวานหากเศร้าโศกสะเทือนใจ  สายลมพัดเบาๆราวกับจักช่วยปลอบประโลมหัวใจของคนทั้งสองให้คลายความขุ่นเศร้า  นิ้วแข็งแรงกดไปบนสายเสียงของเชลโลอย่างชำนาญด้วยมือข้างหนึ่ง  มืออีกข้างที่กำลังชักคันชักทำให้เกิดเสียงอันไพเราะ    เสียงเชลโลทุ้มนุ่มนวลนั้นกำลังบอกเล่าเรื่องราวความรักอันไม่สมหวังคู่เคียงไปกับเสียงใบไม้เสียดสีกันยามต้องลม  ฟังดูช่างอ้างว้างเหลือเกิน  ดูเงียบเหงาราวกับอยู่เพียงลำพังในโลก  คิ้วเข้มของเคนขมวดมุ่นเมื่อเสียงเพลงที่ดังอ่อนเอื่อยนั้นแปลเป็นเสียงอันหนักแน่นหากทรมาน ราวกับโน้ตทุกตัวกำลังตะโกนเฝ้าเพียรถามว่า เพราะเหตุใดสิ่งที่เรียกว่ารักถึงได้ยากนักจะสมหวัง  และในตอนท้ายของเพลงท่วงทำนองอันสะเทือนอารมณ์นั้นก็ค่อยแผ่วเบาลงแล้วจางหายไปกับสายลมที่พัดแรงขึ้นเล็กน้อย เคนหันไปสบตากับร่างโปร่งที่นั่งข้างๆ  ริมฝีปากอิ่มสวยนั้นคลี่ยิ้มจางๆแล้วกล่าวเสียงเบา

“A Time for us จากRomeo and Juliet เศร้าจังนะครับ”โดลเชพูดแล้วยิ้มเศร้า  เคนมองดวงหน้าอ่อนหวานที่บัดนี้นัยน์ตาสีเขียวอมเทากำลังฉายประกายเศร้า ก่อนจะไล้สายตามายังริมฝีปากสวย  โดยไม่รู้ตัว เคนโน้มตัวเข้าไปใกล้ดวงหน้านั้น  ก่อนริมฝีปากหยักสวยจะประทับลงบนริมฝีปากอิ่มนั้นอย่างแผ่วเบา  ชายหนุ่มร่างโปร่งตกใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย น้ำตาเอ่อล้นจากดวงตาคู่สวยอย่างช้าๆ


         ไม่ว่าจะเพราะ บรรยากาศพาไป หรือเมา หรือด้วยปัจจัยอะไรก็แล้วแต่  โดลเชได้สมหวังแล้วที่ได้ใกล้ชิดกับคนตรงหน้าถึงเพียงนี้ นับแต่นี้เขาจะปล่อยหัวใจให้ล่องลอยไปไกลเท่าที่มันอยากไป  พอขึ้นวันใหม่  เขา.....จะตัดมันให้ขาด  ไม่เอาแล้วกับความรักแบบนี้   ความรักที่ทรมานราวสวรรค์กลั่นแกล้ง  ความรักที่ได้รับการตอบสนองเพียงเพราะพลั้งเผลอและมึนเมา  ความรักที่ไม่เคยได้หัวใจกลับคืนมา... 


A time for us someday there'll be
When chains are torn by courage born
Of a love that's free
A time when dreams so long denied
Can flourish
As we unveil the love we now must hide
A time for us at last to see
A life worthwhile for you and me
And with our love
Through tears and thorns
We will endure as we pass surely through every storm
A time for us someday there'll be
A new world
A world of shining hope for you and me

For you and me
And with our love
Through tears and thorns
We will endure as we pass surely through every storm
A time for us someday there'll be
A new world
A world of shining hope for you and me
A world of shining hope for you and me

(A time for us OST.Romeo and Juliet1968)
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?Autoplay=1&songID=V2BD4EC4P0
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 29-01-2008 23:24:39
เย้ๆในที่สุดก็ลงได้แล้ว(ใช้เวลา 1 ชม.)  :sad2:

ขอโทษนะครับที่หมักดองนานไปหน่อย  :o8:

แล้วก็ขอโทษตรงคำว่า "คอมพิวเตร์" ด้วยนะครับ(และอื่นๆที่ไม่เห็น)

อยากแก้แต่กลัวแก้แล้วมันจะไม่กลับมาเท่าเดิม(เป็นบ่อย) o7

หวังว่าเพื่อนๆคงจะชอบตอนนี้ของน้องเมศนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-01-2008 23:51:01
ชอบคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบ แต่เริ่มสงสารคุณเลขาซะแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 01-02-2008 15:02:31
อ้างถึง
“ปอง   ถามพ่อหนูพิรุณาทีสิว่าจะรับน้ำมะตูมเย็นๆสักแก้วไหม?”ปองหันไปรับคำกับหญิงวัยกลางคนเป็นญาติห่างๆของเขาเอง ก่อนจะส่งภาษามือให้พิรุณา  พิรุณายิ้มรับรีบหยักหน้าหันที

‘ทำไมเมืองไทยถึงมีแต่ของน่ากินนะ’พิรุณาส่งภาษามืออย่างมีความสุขก่อนจะหยิบขนมสอดไส้มากินอีกห่อ

‘เอาไว้เดี๋ยวเย็นๆเราไปเดินตลาดนัดกันนะครับ’ปองชวนพิรุณารีบหยักหน้ารับทันที

‘แต่ก่อนไปคุณพิรุณาจะไม่ติดต่อคุณเกรซหรือคุณเคนก่อนหรือครับว่าเราอยู่กันที่นี่’

‘ไม่ล่ะคุณปอง  แค่โทรบอกต้นสังกัดก็พอว่าจะรับงานที่วงที่นี่ชวน’ปองพยักหน้า


คือ ... เค้างงอ่ะ
ไอ้ตรงแดง ๆ ... ไมตาปองพยักหน้า แต่พิรุณาเป็นหยักหน้า เค้างง
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 01-02-2008 15:30:14
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-02-2008 17:08:09
เดลโชกับเคน  มีอีกคู่แล้วสิ   :m13:

เพลงเพราะดีจัง   :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 01-02-2008 19:41:16
อ้างถึง
“ปอง   ถามพ่อหนูพิรุณาทีสิว่าจะรับน้ำมะตูมเย็นๆสักแก้วไหม?”ปองหันไปรับคำกับหญิงวัยกลางคนเป็นญาติห่างๆของเขาเอง ก่อนจะส่งภาษามือให้พิรุณา  พิรุณายิ้มรับรีบหยักหน้าหันที

‘ทำไมเมืองไทยถึงมีแต่ของน่ากินนะ’พิรุณาส่งภาษามืออย่างมีความสุขก่อนจะหยิบขนมสอดไส้มากินอีกห่อ

‘เอาไว้เดี๋ยวเย็นๆเราไปเดินตลาดนัดกันนะครับ’ปองชวนพิรุณารีบหยักหน้ารับทันที

‘แต่ก่อนไปคุณพิรุณาจะไม่ติดต่อคุณเกรซหรือคุณเคนก่อนหรือครับว่าเราอยู่กันที่นี่’

‘ไม่ล่ะคุณปอง  แค่โทรบอกต้นสังกัดก็พอว่าจะรับงานที่วงที่นี่ชวน’ปองพยักหน้า



คือ ... เค้างงอ่ะ
ไอ้ตรงแดง ๆ ... ไมตาปองพยักหน้า แต่พิรุณาเป็นหยักหน้า เค้างง

ขอโทษคร้าบบบบบ ความผิดของข้าพเจ้าเองที่ตรวจไม่ดี

"พยัก"หน้าครับ, "ทัน"ที  o2

ขอบคุณที่ช่วยกันพิสูจน์อักษรนะครับ (อายจริงๆ)
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 01-02-2008 19:51:25
ขอบคุณที่ยังติดตามพิรุณานะคะ (ดีใจ)

:m20: อ่านคอมเม้นต์เเล้ว ตีความนานมากเรื่องพยักหน้า เป็นหยักหน้า  ถึงกับต้องระดมสมองกับพี่โน้ตเพื่อตีความคอมเม้นต์   หลังจากงงอยู่นาน ได้ข้อสรุปค่ะเมศพิมพ์ผิด พี่โน้ตก็ไม่ทันมอง สงสัยเบลอๆกันทั้งคู่ 55+ ต้องขออภัยนะคะ  จะเเก้ก็กลัวอักษรมันไม่เท่าเดิม

ปล.ก็บอกเเล้วอย่าพิมพ์ฟิคตอนดึกๆ (อย่าตรวจพิสูจน์อักษรดึกๆด้วย) กร๊ากกกกกกกกกก

(มันฮาตรงที่งงกันอยู่นานนี่เเหล่ะ55+)

ขออภัยในข้อผิดพลาดนะคะ


เพลงเพราะเน๊อะ เมศก็ชอบมากค่ะ   สำหรับเพลงA time for us เป็นเพลงที่กล่าวไว้ในเรื่อง"สุดปลายสะพาน"(น่าจะรู้จักกันหลายคนเน๊อะ) ซึ่งชอบนิยายเรื่องนี้มากๆเช่นกัน เพราะมันอ่านเเล้ว หดหู่ เศร้า ดึงอารมณ์ให้หม่นหมองได้สุดๆดี ลองหาอ่านดูได้นะคะ สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านเเละสนใจ ตามร้านหนังสือทั่วไป โดยเฉพาะที่นายอินทร์ เล่มละ160 (ไม่เเน่ใจว่าเท่าไหร่ เเต่ไม่เกิน200)มีนะคะ (เเต่ถ้าใครไม่ชอบเเนวเศร้าไม่เเนะนำนะ อาจหดหู่ไปหลายวันได้)

ขอบคุณอีกครั้งที่เข้ามาอ่านผลงานของเมศนะคะ :oni1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 02-02-2008 00:22:26
จะรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเลยค้าบบบบบบบบบบบบบบ ชอบ อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 07-02-2008 14:35:01
 :m1:อ่านทันแล้ว เย้ๆๆๆๆๆ
อ่านตั้งกะเมื่อคืน อิอิ :m29:
ไม่ได้ทำงานเลยอ่ะ   :m20: ถือโอกาส
หนุกดีน้องเมศ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจกันล่ะ  :m13:
ขอแบบตอน11 เยอะๆนะ พี่ชอบบบบ o13
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 07-02-2008 15:07:08
ขอบคุณมากนะครับผม :pig4:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 09-02-2008 22:52:43
พิรุณาเดินตามปองไปตามทางเดินแคบๆที่สองข้างมีแผงลอยขายอาหารกลิ่นหอมฉุยลอยมากระทบจมูกตลอด  ดวงตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นอาหารที่ต้องใจจึงรีบคว้าเสื้อปองไว้ให้หันมา  ปองยิ้มเมื่อพิรุณาส่งภาษามือให้ว่าต้องการอะไร ก่อนจะซื้อให้แล้วส่งขนมเบื้องถุงใหญ่ให้พิรุณา พลางคิดในใจว่าพิรุณาตอนนี้ช่างเหมือนเด็กสาววัยรุ่นเสียจริง  เพราะพิรุณาขี้ร้อนจึงใส่เสื้อคอกลมสีเขียวสวมกางเกงขาสั้นสีขาวแถมยังมัดผมด้านหลังที่ยาวปรกต้นคอขึ้นไปจึงมองเผินๆแล้วเหมือนเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวสบายๆมาเดินเล่นเสียมากกว่า

‘ป้ายนี่อ่านยังไง?’พิรุณาส่งภาษามือให้ปองแล้วชี้ไปที่ป้าย ‘ขนมจีนแม่สวิง’

‘คำไหนหรือครับ?’ปองเองก็หยุดยืนมองป้ายนั้นด้วยจนคนผ่านไปผ่านมามองแบบสงสัยว่าสองคนนี้ดูป้ายอะไรกัน

‘คำนี้’พิรุณาชี้ไปที่คำว่า ‘สวิง’

‘ขนมจีนแม่swing??ตลกจัง  ชื่อแปลกชะมัด’ปองขำที่พิรุณาเข้าใจผิดจนออกอ่าวไปเสียไกล

‘อ่านว่า สะ-หวิง ครับ ภาษาไทยออกเสียง ห.หีบนำหน้า’ปองสะกดคำออกเสียงเป็นภาษาอังกฤษให้พิรุณาโดยเขียนลงบนฝ่ามือของพิรุณา

‘ยากจังเลยนะ ภาษาไทยเนี่ย ถ้าอ่านผิดก็ผิดความหมายหมดใช่ไหม?’

‘ครับ  แต่คงไม่ถึงกับเปลี่ยนภาษาให้เลยเหมือนคุณพิรุณาหรอก’ปองยิ้มขำกับพิรุณาที่ทำแก้มป่องมองป้าย อย่างพิจารณาจริงจัง

‘อยากอ่านภาษาไทยคล่องๆนี่นา’

‘พยายามอีกนิดก็ได้แล้ว ไปต่อกันดีกว่านะครับ’พิรุณาพยักหน้ารับแล้วเดินกันต่อไป ฝ่าฝูงชนที่มาจับจ่ายซื้อของเข้าไป

             พิรุณาอ้าปากกว้างพลางจับขนมที่ทำจากแป้งแผ่นบางมีครีมสีขาวหวานๆกับเส้นๆสีเหลืองๆโรยอย่างอร่อย โดยไม่ทันระวัง  พิรุณาก็ถูกกระแทกแทบเซถลา ดีที่มีมือแข็งแรงของใครบางคนช่วยคว้าไว้ได้ทัน  แต่ไม่เร็วพอจะคว้าขนมที่ร่วงลงพื้นไปเสียแล้ว พิรุณามองอย่างเสียดาย สร้อยคอเส้นยาวที่มันติดตัวเสมอเลื่อนไหลออกมาอยู่นอกเสื้อ  พิรุณาจึงรีบจับมันไว้มิให้แกว่งไกว

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”พิรุณามองคนที่ช่วยพยุงตนไว้แต่ไม่อาจอ่านคำพูดจากปากได้ เขาได้แต่พยักหน้าแบบส่งๆให้แล้วรีบพละจากมาอย่างเร่งร้อน  ไม่ทันได้สังเกตุเห็นแววตาพึงใจระคนสงสัยของชายคนนั้น       หลังจากพิรุณาพละจากไปแล้ว  เสียงโทรศัพท์มือถือของชายคนนั้นก็กรีดเสียงดังแทรกเสียงเพลงลูกทุ่งที่เปิดดังสนั่น เขารับโทรศัพท์เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอว่าเป็นใครที่โทรหาเขาในเวลาว่างอันน้อยนิด

“ว่าไงไอ้คุณธี  ฤกษ์งามยามดีอะไรเอ็งถึงโทรหาข้าได้วะเนี่ย?”

“เออน่า ข้าแค่โทรมาเซย์ฮัลโหลเว้ย  จะบอกว่าอยู่สุวรรณภูมิแล้ว  ว่างๆจะไปกลิ้งบ้านเอ็ง  บอกป๊ากับแม่เอ็งไว้ด้วย”เสียงจากอีกฟากของโทรศัพท์ยังมีเสียงเครื่องบินให้ได้ยินอยู่ไกลๆ

“เออ  มาเมื่อไหร่ก็มาเหอะ ไม่ก็ไปหาที่รพ.ก็ได้ จะได้หาอะไรกินที่ท่าน้ำ”

“เออ  แล้วนี่อยู่ไหนวะเสียงดังชิบ”ปลายสายบ่นอุบเมื่อเพลงลูกทุ่ง สาวน้อยบ้านนา สปาบ้านทุ่งดังเข้าไปในโทรศัพท์

“ตลาดนัดแถวบ้านว่ะ  เมื่อกี้เจอสาวน้อยคนนึงน่ารักชะมัด  ไม่รู้ลูกสาวบ้านไหน?”

“อ้าวเพื่อน  คิดจะพรากผู้เยาว์หรือเนี่ย”

“เปล่าเว้ย  แค่ติดใจ  เออๆแค่นี้นะ ไว้จะมาเมื่อไหร่บอกแล้วกัน แค่นี้นะ”ชายหนุ่มคนนั้นกดตัดสายแล้วเดินหาของกินต่อไปพลางคิดว่า เด็กสาวหน้าตาสะสวยคนนั้นเป็นลูกสาวบ้านไหนในระแวกนี้หนอ? ที่สำคัญสร้อยเส้นนั้นคุ้นตาเหลือเกิน







         เกรซในชุดราตรีเปิดหลังสีม่วงเข้มเกือบดำเดินตามแผ่นหลังอันคุ้นตาขึ้นไปบนเวทีเพื่อบรรเลงเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้  เสียงปรบมือสนั่นราวห่าฝนทำให้เกรซยิ้มกว้าง อย่างที่ทำทุกครั้ง ก่อนจะหยุดยืนแล้วโค้งให้ผู้ชมอย่างงดงามเช่นเคย   ร่างสูงผู้เป็นคอนดักเตอร์โค้งให้ผู้ชมอย่างสง่างามไม่แพ้กัน  ดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวน้อยๆมองเกรซอย่างชื่นชมครู่หนึ่งแล้วรีบกลบเกลื่อนเมื่อดวงตาสีฟ้าใสนั้นหันมาสบตากัน นี่เป็นโอกาสน้อยครั้งที่เขาได้ร่วมเวทีกับเกรซ  เมื่อเสียงปรบมือซาลงจนเงียบสนิท ลีอองพยักหน้าน้อยๆให้สมาชิกในวง และหันมาพยักหน้าน้อยๆให้เกรซ  เธอยิ้มรับอย่างมั่นใจในตัวเอง แล้วยกไวโอลินขึ้นเตรียมพร้อม  เสียงกระหึ่มโหมของวงออเครสตร้าดึงอารมณ์ผู้ชมให้พุ่งเข้าสู่ห้วงแห่งความสุนทรีย์อย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงไวโอลินหนักแน่น เสียงไวโอลินที่สีเน้นจังหวะแสดงถึงทักษะอันยอดเยี่ยมของผู้บรรเลงราวกับจะยั่วยุให้เครื่องดนตรีอื่นตอบรับ ดวงตาสีฟ้าใสที่แปลเป็นสีน้ำเงินเข้มนั้นมองวาทยากรที่โบกไม้บาตองเพื่อควบคุมเสียงทั้งหมด  นิ้วกดไล้ไปตามคอของไวโอลินอย่างเชียวชาญทำให้เกิดเสียงพริ้วไหวแผ่วเบา สลับกับการดีดให้เกิดเสียง โดยมีเสียงออเครสตราคลอประกอบเบาๆ  เกรซไหวตัวน้อยๆตามอารมณ์ของเพลงจนต่างหูผีเสื้อไหวล่อแสงไฟ ออเครสตร้าโหมขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้ราวกับไม่มีใครยอมใคร ลีอองเหลือบมองเกรซอย่างชื่นชมในฝีมือ  เขาเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน รู้สึกว่าบนดวงหน้าของตนมีเหงื่อซึมไปหมด จวบจนช่วงสุดท้ายของเพลง จังหวะเร่งเร้ามากขึ้น เขาแกว่งไม้บาตองไปมาอย่างรวดเร็ว สอดประสานท่วงทำนองให้เข้ากับการบรรเลงของเกรซที่เขาลงความเห็นว่าค่อนข้างเอาแต่ใจนักที่ชักจังหวะให้ยืดออกไปจากตอนซ้อม  แต่ก็เอาเถอะอย่างไรเสียเขาจะไล่ต้านจนถึงที่สุด  จังหวะเร่งเร้ารัวเร็วช่วงท้ายทำให้เขานึกนิยมในความเก่งกาจของเกรซยิ่งขึ้นไปอีก แม้ออเครสต้าจะเร่งร้อนเพียงไหน แต่เกรซก็สามารถต่อสู้กับเสียงรอบข้างได้อย่างยอดเยี่ยมและงดงามยิ่ง!!!  เสียงปรบมือราวห่าฝนทำให้เกรซหลุดจากห้วงแห่งการดำดิ่งนั้นช้าๆ  เธอโค้งอย่างสง่างามให้ผู้ชมอีกหลายครั้ง ลีอองลงจากยกพื้น แล้วโค้งให้ผู้ชมอย่างสง่างามก่อนจะหันไปจับมือเกรซ  ทีมงานเตรียมดอกไม้ช่อใหญ่มารอไว้แล้ว

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมบรรเลงกับคุณ”ลีอองกระซิบที่หูเพราะเสียงปรบมือยังคงดังสนั่น เกรซหัวเราะแล้วตอบ

“ไปกินอะไรมา ทำไมพูดเพราะจัง  ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย อย่ามาทำซึ้งน่า”ลีอองยิ้ม ดวงหน้าโหดนั้นวันนี้ดูดีขี้นจากการโกนหนวดเคลาเสียเกลี้ยงเกลา เส้นผมสีเข้มนั้นเสยขึ้นทำให้ดูสุภาพราวกับสุภาพบุรุษสมัยโบราณที่หลุดออกมาจากภาพยนต์  ลีอองมอบดอกไม้ช่อโตที่ทำเป็นทำเนียมทุกครั้งที่มีSoloistมาร่วมแสดง  แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น


         ลีอองสบตาสีฟ้าใสของเกรซอย่างมั่นคง แน่วแน่  ก่อนจะทรุดกายลงชันเขาข้างหนึ่ง  เสียงปรบมือเงียบลงจนน่าใจหาย  เขาเหงื่อแตกซิกที่ไรผม  รู้สึกมือสั่นจนไม่รู้ว่าตัวเองจะหยิบของในกระเป๋าถูกชิ้นหรือเปล่า  เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในหยิบบางสิ่งออกมา  เกรซมองกริยานั้นตาไม่กระพริบ รู้สึกงงๆจนทำอะไรไม่ถูก

“แต่งงานกับผมนะครับ”ดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวมองเกรซอย่างคาดหวังกับคำตอบที่จะได้รับ  แต่เกรซกลับขมวดคิ้วจนเขาชักหวั่นใจ

“ขอแต่งงานด้วยกุญแจรถเนี่ยนะ?”ลีอองถึงกับชะงัก กระพริบตาถี่ๆไล่ความงุนงงก่อนจะก้มลงดูสิ่งที่อยู่ในมือ

“เฮ้ย....!!!” ภาพของวาทยากรหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังเงอะงะล้วงกระเป๋าอกเสื้อตัวเองทำให้เกรซหัวเราะ

“เอาใหม่นะ เดี๋ยวก่อน ผมลืมไว้ไหนเนี่ย”ลีอองค้นกระเป๋าตัวเองเป็นที่วุ่นวายจนผู้ชมแอบหัวเราะอย่างสนุกสนานพร้อมกับลุ้นไปด้วย 

“คุณรออยู่นี่ก่อนนะ” ลีอองกระวีกระวาดลุกขึ้นแล้ววิ่งหายไปหลังเวทีราวกับที่นี่มีเพียงเละเกรซสองคน   เกรซมองตามร่างสูงนั้นแล้วอมยิ้มน้อยๆ รู้สึกตัวอีกทีเมื่อหันกลับมาเห็นว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางสายตาเป็นร้อยๆคู่  สายตาเหล่านั้นกำลังอยากรู้อยากเห็นเต็มที่   เกรซได้แต่ก้มลงมองดอกไม้ช่อใหญ่ในอ้อมแขนแก้อาการเขิน จนลีอองวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาอีกครั้ง  เขาคุกเข่าลงในท่าเดิม 

“เกรซ  แต่งงานกับผมนะ”ลีอองพูดพลางหอบพลาง เกรซมองหน้าที่เหงื่อซึมจนไหลย้อยก่อนจะมองแหวนวงน้อยที่หัวแหวนเป็นรูปผีเสื้อตัวน้อยทำจากไพลินน้ำงาม  เสียงเชียร์จากผู้ชมตะโกนมาว่า ‘yes yes’จนเสียงนั้นดังลั่นราวกับมีแข่งเบสบอลเสียมากกว่ามีคอนเสิร์ต

“ว่าไงครับ?”เกรซยกไวโอลินบังหน้าตัวเอง  ก่อนกลั้นใจส่งมือซ้ายให้เสียงเฮลั่นราวกับเชียร์ฟุตบอลทำให้เกรซรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไรแล้ว

“ผมรักคุณครับเกรซ ขอบคุณที่ยอมแต่งงานกับผม”ลีอองกอดเธอไว้แน่นแล้วกระซิบที่ข้างหูท่ามกลางเสียงปรบมือจากผู้ชมประกอบกับเสียงกระทืบเท้าอย่างยินดีจากสมาชิกในวง






 



         ปองกำลังมองหาห้องซ้อมให้พิรุณาสักห้องเขาลองติดต่อสตูดิโอที่คิดว่าใกล้ที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีห้องให้เช่าได้เลย   จึงลองสุ่มถามตามโรงเรียนดนตรี  แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการจำกัดเวลา และความเป็นส่วนตัว  ปองวางโทรศัพท์ลงอย่างเหนื่อยหน่าย นี่ล่ะคือปัญหาของการมาอย่างกระทันหัน พิรุณาได้รับรายชื่อเพลงที่แสดงแล้วแต่ก็ไม่ว่าอะไรดูจะกระตือรือร้นกับของกินมากกว่าซ้อมเสียอีก  แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ อย่างไรเสียพิรุณาก็ต้องมีห้องซ้อมก่อน แล้วหลังจากนั้นจะไปซ้อมกับที่วงก็ว่ากันอีกเรื่อง  ปองเดินไปนั่งที่ตีนท่าที่มีต้นไทรใหญ่เอนทอดลำต้นลงเหนือผิวน้ำ เสียงเสียดสีกันของใบไม้ช่วงให้ใจสงบลงจนได้ยินเสียงดนตรีแผ่วเบาอยู่ไกลๆ  เสียงเปียโน ที่แม้จะไม่พลิ้วไหวเพราะพริ้งเท่าฝีมือพิรุณา แต่ก็เป็นเสียงเปียโนแน่....แล้วถ้าลองขอยืมซ้อมสักหน่อยก็ไม่น่าจะเสียหาย  ปองรีบออกเดินไปตามเสียงนั้น ไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม ผ่านประตูไม้เก่าหนักที่เปิดข้างไว้เข้าไป


         เรือนไม้สีเข้มกึ่งตึกปรากฏออกมาจากหลังเงาร่มไม้ของต้นมะม่วงสูงใหญ่ที่กำลังออกผลสีเขียว เสียงสุนัขเห่าไกลๆทำให้เสียงเปียโนหยุดลง  ใครคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่าง  ดวงหน้าอย่างคนไทยเชื้อสายจีนเขม่นมองปองพลางพยายามนึกว่าเคยเห็นที่ไหนหรือไม่

“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าของบ้านถามอย่างสุภาพ

“เอ่อ  ผมมาจากบ้านฝั่งตรงข้ามนะครับ”

“ครับ บ้านคุณป้าติ๋มใช่ไหมครับ?”ปองยิ้มตอบรับเล็กน้อย ดวงตาของปองเลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่ตราบนอกเสื้อของชายหนุ่ม

“คุณเป็นหมอหรือครับ?”

“ครับ คุณคงเป็นหลานของป้าติ๋มที่เห็นว่าเพิ่งกลับจากต่างประเทศ”

“ครับ  ผมชื่อปอง  เอ่อ ...เข้าเรื่องเลยนะครับ  ผมได้ยินเสียงว่าบ้านคุณมีเปียโน  เลยอยากยืมห้องซ้อมหน่อยนะครับ  พอดีนายจ้างของผมต้องการห้องสำหรับซ้อมเปียโนที่ใกล้ๆบ้านเราหน่อย แต่หาไม่ได้เลย เลยตัดสินใจมาขอเช่าจากคุณ  คิดเป็นชั่วโมงก็ได้ครับ ถ้าคุณจะกรุณา” แพทย์หนุ่มมองปองอย่างพิจารณาแล้วตกปากรับคำอย่างแทบไม่ต้องคิด

“ได้ครับ  ผมให้ยืมห้องซ้อมฟรี ไม่คิดเงินหรอกครับ ผมเองก็อยากฟังเพลงฝีมือคนอื่นสดๆบ้าง”ปองยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

“ขอบคุณมากครับ   ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้นายจ้างผมมาซ้อมได้เมื่อไหร่ครับ?”

“เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ครับ  เอาเป็นว่าแล้วแต่สะดวกเลยแล้วกัน  เพราะผมเองก็ทำงานไม่ค่อยเป็นเวลา  เรือนนี้ก็ไม่มีคนเข้าออกอยู่เล้ว เดี๋ยวผมเรียนคุณแม่ไว้ว่าพวกคุณจะมาใช้แล้วจะฝากกุญแจไว้กับท่านนะครับ”

“ขอบคุณมากครับ”แพทย์หนุ่มหายไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมหญิงสูงวัยที่อยู่ในเสื้อสีเหลืองกับกางเกงผ้าสีเลือดหมูเข้ม  ดวงหน้านั้นบอกชัดว่าเป็นผู้มีสายเลือดร่วมกัน


“ป้าติ๋มเพิ่งบอกป้าเองว่าปองกลับมาแล้ว  ไม่พบกันนานนะ  เป็นอย่างไรบ้างล่ะเรา?”ปองมองผู้มาใหม่อย่างพิจารณารู้สึกคลับคล้ายคลับคลายอยู่ไม่น้อย

“ก็สบายดีครับ”

“แล้วน้องสาวเราล่ะ ไม่กลับมาด้วยหรือ?”ปองเงียบไปนานกว่าจะตอบ

“น้องป่าน เอ่อ...เสียเล้วครับ”จากคำตอบที่ได้รับทำให้ทั้งสามเงียบอยู่นาน

“อย่างนั้นหรือ? เสียใจด้วยนะ  เรื่องห้องเปียโนจะมาเมื่อไหร่ก็มาเถอะ ป้าให้กุญแจไว้เลย  เผื่อเด็กๆในบ้านไม่อยู่จะได้ไม่ต้องรอกันไปรอกันมา”ปองยกมือไหว้หญิงสูงวัยตรงหน้าแล้วรับกุญแจมา

“ฟ่งไปส่งน้องปองหน้าประตูนะ  กันไอ้แด่นด้วย  ไม่รู้เดินเข้ามาได้ยังไงโดยที่ไอ้แด่นไม่กัด”มารดาของแพทย์หนุ่มหัวเราะปองอย่างเอ็นดู  แต่ปองกลับสะดุดใจกับคำว่า ‘น้อง’เป็นพิเศษ

“ไม่ต้องลำบากพี่ฟ่งหรอกครับ ผมลาเลยจะดีกว่าครับ สวัสดีครับ”

“เดี๋ยวครับน้องปอง  พี่กำลังจะออกไปเข้าเวรพอดี”

“น้องปองกลับมาคราวนี้ จะอยู่นานแค่ไหนหรือครับ?”ฟ่งถามพลางเดินเคียงปองไปจนถึงหน้าบ้าน

“ยังไม่มีกำหนดหรอกครับ อย่างน้อยที่สุดก็2-3เดือน เพราะคุณพิรุณามีงานที่นี่”

“คุณพิรุณา?”

“นายจ้างของผมน่ะครับ”

“พิรุณา ตาเซท??นักเปียโนที่หูไม่ดีคนนั้นน่ะหรือ?”

“ครับ”ปองรับคำสั้นๆ ก่อนจะขอตัวแยกกลับเข้าบ้าน  เพราะชายคนนี้มีลักษณะหลายอย่างที่ทำให้เขานึกถึงใครอีกคน  ที่ควรถูกฝั่งไว้ในความทรงจำที่ลึกที่สุด......................พีท










         ธีรธรขับรถจากบ้านตนเองมายังย่านชานเมืองเพื่อมาเยี่ยมเยือนเพื่อนรักที่ไม่พบกันนานกว่าสามปี เขาขับรถไปตามย่านชานเมืองที่ค่อนข้างคุ้นตาเพราะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากมายนักพลางฟังเพลงบรรเลงเดี่ยวเปียโนพริ้วไหว กล่องซีดีที่ภาพปกเป็นรูปใบไม้สีเขียวสดดูแช่มชื่นกำลังถูกหยาดน้ำฝนคลอเคล้า ชวนให้นึกถึงเจ้าของเสียงเพลงเป็นอย่างยิ่ง   ระหว่างที่กำลังรอให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสีนั้นเขาหันไปมองความวุ่นวายของโลกภายนอก  ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ท่ามกลางแดดร้อนเริงแรง  ดวงตาสีม่านราตรีกาลสะดุดเข้ากับแผ่นหลังหนึ่งที่เดินอยู่ไวๆ  แผ่นหลังโปร่งบางนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมคราม  เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยน ธีรธรรีบเบี่ยงเลนขับตามหัวใจตัวเองทันที  เขากระโดดลงจากรถแล้ววิ่งตามร่างที่คิดถึงไป  อีกนิดเดียวจะถึงแล้ว  แค่เอื้อมมือคว้าก็ถึงแล้ว

“พิรุณา....”มือแข็งแรงแตะลงบนไหล่บางนั้นอย่างคาดหวัง  แต่ดวงหน้าที่หันกลับมา  กลับไม่ใช่คนที่เขาคนึงหา

“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”หญิงสาวดวงหน้าสดใสกล่าวอย่างงงงัน

“ขอโทษครับผมทักคนผิด” ธีรธรดินกลับมายังรถของตัวเองด้วยหัวใจห่อเหี่ยว  ระหว่างทางเดินกลับเขาแวะซื้อเค้กช็อคโกแลตที่เขารู้ว่าพิรุณาชอบมาด้วย  ทั้งที่เขาไม่ค่อยชอบของหวาน  แต่มันก็อดไม่ได้  ถือเสียว่าเป็นของฝากให้ไอ้ฟ่งก็ได้วะ  ธีรธรคิดพลางส่ายหัว



         รถเลี้ยวเข้ามาในบริเวณบ้านในย่านชานเมืองอันสงบเงียบ ธีรธรจอดรถอยู่ใต้ต้นมะม่วงใกล้กับบันไดหินขัดขั้นเตี้ยๆ  สิงโตหินจีนที่หัวบันไดทำให้ธีรธรนึกได้ว่า สิงโตหินเจ้ากรรมคู่นี้แหล่ะที่แขกไปใครมาก็ต้องจับหัวมันจนมันแผล็บไปหมด  และเขาก็เคยทำความคุ้นเคยกับหนึ่งในสองตัวด้วยการเอาศีรษะไปกระแทกจนได้เลือดมาแล้ว   เขาคิดอย่างขบขันก่อนจะก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมหยิบบางอย่างติดมือไปด้วย  เสียงสุนัขเห่าดังสนั่น ตามด้วยเสียงขู่เครือทำให้เขาหันไปหาต้นเสียง สุนัขพันธุ์บางแก้วขนสีน้ำตาลสลับขาวแยกเขี้ยวอวดฟันขาว

“ไงวะไอ้แด่น”ธีรธรทักสุนัขตัวนั้นอย่างคุ้นเคยหากแต่แฝงนัยน์หมายถึงเพื่อนตนที่ลงมายืนรอรับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ

“ไม่มานานจนมันลืมแล้วมั้งนั่นน่ะ  เอาแด่น  รีบๆนึกให้ออกว่านี่เพื่อนเก่า”แพทย์หนุ่มเจ้าของบ้านเอาเท้าเขี่ยสุนัขเลี้ยงของตนอย่างหมั่นไส้

“เออ  เพื่อนเก่าเพื่อนแก่เลยแหล่ะ”ธีรธรเน้นคำบางคำทำให้เพื่อนขมวดคิ้วธีรธรหัวเราะพลางฉีกซองโยนปลาหมึกให้ไอ้แด่นเป็นค่าผ่านทาง

“มาถึงก็กวนเลยนะ”

“แน่นอนว่ะไอ้ฟ่ง”ธีรธรยักคิ้วหลิ่วตาอย่ากวนๆ เสียงเปียโนเบาๆครวญเพลงอยู่ในอากาศ ทำให้ธีรธรสนใจ

“เปิดซีดีหรอ?”

“เปล่า แต่มีเจ้าของซีดีมาเล่นให้ฟังถึงบ้านเลยล่ะ”

“ใคร?”

“รู้แล้วจะทำไม  เอ็งเคยสนใจดนตรีคลาสสิคด้วยหรอวะ”ธีรธรเดินตามเสียงนั้นเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคยโดยไม่ฟังเสียงเจ้าของบ้านที่ทักให้เขาระวังเจ้าแด่นที่พันแข้งพันขา  เขาก้าวเดินไปตามเสียงนั้นด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้พบใครบางคน 

ขอให้ได้พบด้วยเถอะ.....ขอให้พบ พิรุณา....คนที่เขาเฝ้าตามหาจนแทบคลั่ง!!!
--------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอน 12 แล้วนะครับ :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 10-02-2008 01:56:02
หายไปหลายวันคิดถึงน่ะเนี่ย

คู่ลีอองกับเกรซน่ารักดี ขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต

ใกล้เจอพิรุณาแล้วล่ะสิ แล้วหมอฟ่งนี้ จะมาคู่ใครล่ะเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 10-02-2008 09:52:01
เจอกันซักทีนะ :a9:
แล้วจะเป็นไงต่อเนี่ย :a10:
ชักจะมีหลายคู่แล้วซิ o18
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 10-02-2008 12:11:55
หมอฟ่ง คู่ใครครับ ปอง หรือเปล่าเอ่ย อยากให้ปองมีความสุขบ้างจัง

ธีรธร จะเจอพิรุณาแล้ว เจอแล้วจะเป็นอย่างไรบ้างนา...  :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 11-02-2008 09:53:15
หายไปหลายวันคิดถึงน่ะเนี่ย

คู่ลีอองกับเกรซน่ารักดี ขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต

ใกล้เจอพิรุณาแล้วล่ะสิ แล้วหมอฟ่งนี้ จะมาคู่ใครล่ะเนี่ย อิอิ

คิดถึงโน้ตหรอ  :o8: :m1:

(กล้าเน๊าะ   :m23:)
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 11-02-2008 10:14:45
หายไปหลายวันคิดถึงน่ะเนี่ย

คู่ลีอองกับเกรซน่ารักดี ขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต

ใกล้เจอพิรุณาแล้วล่ะสิ แล้วหมอฟ่งนี้ จะมาคู่ใครล่ะเนี่ย อิอิ

คิดถึงโน้ตหรอ  :o8: :m1:

(กล้าเน๊าะ   :m23:)

แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ต้องคิดถึงสิ เพราะกลัวไม่ได้อ่านไง อิอิ  :a2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 14-02-2008 11:03:46


(http://i223.photobucket.com/albums/dd277/akapong/Love/07-02-2008_06.gif)


หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 14-02-2008 11:19:16
รอๆๆ :oni2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 14-02-2008 18:47:23
หายไปหลายวันคิดถึงน่ะเนี่ย

คู่ลีอองกับเกรซน่ารักดี ขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต

ใกล้เจอพิรุณาแล้วล่ะสิ แล้วหมอฟ่งนี้ จะมาคู่ใครล่ะเนี่ย อิอิ

คิดถึงโน้ตหรอ  :o8: :m1:

(กล้าเน๊าะ   :m23:)

แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ต้องคิดถึงสิ เพราะกลัวไม่ได้อ่านไง อิอิ  :a2:


ว้า...ช่างน่าน้อยใจ :o12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 14-02-2008 19:37:56
INTERMEZZO   chapter# 13



         ปองเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ดวงตาดำขลับกวาดมองรอบบริเวณบ้าน เห็นเจ้าแด่นวิ่งรี่เข้ามาหา ปองตบหัวมันเบาๆแล้วปล่อยให้แด่นดมไปเรื่อย เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นความผิดสังเกต  รถยนต์คันใหญ่จอดอยู่ใต้ต้นมะม่วงใกล้กับบันไดตึก  ฟ่งในชุดอยู่บ้านสบายๆเดินมาหาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ยิ้มกว้างขวางเสียจนเห็นลักยิ้มบุ๋มชัดลงไปทั้งแก้มซ้ายและขวา

“สวัสดีครับพี่ฟ่ง  วันนี้ไม่ต้องไปทำงานหรือครับ?”

“เพิ่งกลับมานี่ล่ะครับ เปลี่ยนเสื้อเสร็จก็เห็นน้องปองเข้ามาพอดี”

“คุณป้ามีแขกหรือครับ?”

“เปล่าหรอก  เพื่อนพี่เองน่ะ”ปองยิ้มอย่างพอเป็นมารยาทก่อนจะก้มหน้าก้มตาจะเดินแยกออกไป แต่มือแข็งแรงคว้าต้นแขนไว้

“น้องปอง อย่าเพิ่งเข้าไปเลยครับ”

“เอ๊ะ!?”

“ปล่อยคุณพิรุณาไว้ข้างในอีกสักพักเถอะครับ”ฟ่งพูดพลางออกแรงยื้อเบาๆให้ปองยอมเดินตามไปที่ศาลาใต้ต้นมะม่วงสูงใหญ่ ริมคลอง




         ศาลาไม้ที่แกะสลักฉลุลายเครือไม้สวยงามตั้งโดดเดี่ยวอยู่ทามกลางสวยกว้าง เงาร่มไม้ต้องลมหวิว ไหวเบาๆราวขยับกิ่งก้านต้อนรับผู้มาเยือน  ฟ่งพาปองเดินขึ้นไปนั่งบนศาลา  ร่างสูงนั้นพิงเสาต้นหนึ่งพลางกอดอกแน่น มองร่างโปร่งบางที่นั่งมองเขาอย่างพยายามค้นหาว่าต้องการอะไร แต่เมื่อไม่ได้คำตอบปองจึงต้องออกปากถาม

“พี่ฟ่งมีอะไรหรือครับ?”

“น้องปองรู้จักคนชื่อ ธีรธร พาณิชกิจวิโรชน์หรือเปล่า  ผู้บริหารโรงแรมเครือPVK.”

“ถ้าไม่รู้จักคงเป็นเรื่องแปลกมาครับ”ปองตอบยิ้มๆ

“นั่นสินะ ไอ้ธีมันออกจะฮอต”ฟ่งหัวเราะเบาๆ

“ผมเคยทำงานให้บอสครับ”

“อย่างนั้นหรือ? ไม่เห็นไอ้ธีมันบอก”

“พี่ฟ่งรู้จักกับบอสหรือครับ?”

“ใช่  เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนน่ะ ตั้งแต่สมัยหัวยังเกรียน เผลอแป๊บเดียวอายุปูนนี้แล้ว”

“พูดอย่างกับแก่มากแล้ว”ปองหัวเราะอย่างขบขัน รอยยิ้มกว้างแตะแต้มบนดวงหน้าน่ามองยิ่งขับให้โลกนี้ดูสดใส

“แก่หรือไม่มันขึ้นกับคนมอง น้องปองว่าไหม?”ปองแย้มยิ้มอ่อนจางก่อนจะตอบ

“พี่ฟ่งก็ยังดูไม่เห็นจะแก่ตรงไหนเลยนี่ครับ ออกจะแนวเสียด้วย”ฟ่งขยับแว่นทรงเหลี่ยมกรอบหนาต้นเหตุของความแนวที่ปองว่า ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาอ่อนโยนซับสีเลือดขึ้นน้อยๆ

“พี่ฟ่งอย่าบอกนะครับว่า บอสอยู่ที่นี่”ปองกล่าวเสียงเบา

“ใช่ครับ ไอ้ธีมันอยู่ที่นี่  น้องปองช่วยเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมว่าไอ้ธีทำไมมันถึงได้เกาะคุณพิรุณาแจขนาดนี้”

“ผมก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก เพราะผมเองก็แค่เป็นผู้ช่วยให้คุณพิรุณา  ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว    เพียงแต่รู้ว่าคุณพิรุณาเจอบอสครั้งแรกตอนที่คุณพิรุณไปพักโรงแรมที่บอสบริหารอยู่  หลังจากนั้นก็งัดข้อกันเนืองๆ  จนอย่างไรไม่ทราบบอสวิ่งตามคุณพิรุณาเฉยเลย”ปองกล่าวแล้วหัวเราะเบาๆ

“ท่าทางคนนี้จะของจริงเสียกระมัง”ฟ่งมองปองอย่างขอความเห็น

“ผมไม่มีความเห็นหรอกครับ”ปองตอบพลางก้มหน้าลงซ่อนประกายตาไว้ใต้แพขนตายาว

“ไม่มีความห็นแต่เชียร์สุดตัวล่ะสิครับน้องปอง”ปองยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ

“มันก็น่าลุ้นไม่ใช่หรือครับ”ดวงตาสีนิลเป็นประกายระยับจนคู่สนทนาจับได้ถึงความท้าทาย

“นั่นสิ”









         ตึกเก่าครึ่งตึกครึ่งไม้ท่ามกลางความมืดสลัวยามอาทิตย์อัสดงที่แสงสีส้มอุ่นลอดผ่านช่องบานเกร็ดเข้ามาส่งให้เห็นไรฝุ่นจางๆในอากาศ  บัดนี้ห้องเก่าๆแห่งนี้ถูกห้อมล้อมด้วยเสียงเปียโนที่บรรเลงโดยใครคนหนึ่ง  คนที่ธีรธรคิดถึงห่วงหาเสียมากมาย  ร่างโปร่งบางสวมเสื้อคอกลมสีขาวลายการ์ฟิลด์แมวส้มที่กำลังทำท่านอนผึ่งพุงทำให้ธีรธรที่ยืนพิงประตูมองพิรุณาเล่นเปียโนเหยียดริมฝีปากยิ้มอย่างนึกเอ็นดู  เสียงเพลงอ่อนหวานปนโศกน้อยๆ แสดงถึงความเงียบเหงาทำให้ธีรธรสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ท่วงทำนองแผ่วเบากระซิบอยู่ที่ริมหู  ธีรธรคลายแขนตนเองแล้วเดินเข้าไปใกล้ร่างบางนั้น  ก่อนจะนั่งซ้อนลงไปด้านหลังพิรุณาที่นั่งเก้าอี้เปียโนเพียงครึ่งเดียว  วงแขนแข็งแรงโอบกระชับพิรุณาไว้ในอ้อมแขน ความชิดใกล้นั้นทำให้ได้กลิ่นหอมจางๆจากยาสระผม จมูกโด่งเป็นสันซุกไซร้ไปตามเรือนผม ข้างแก้ม  ต้นคอ  มือนวลๆยกขึ้นปิดริมฝีปากแล้วจมูกโด่งนั้นให้หยุดการกระทำ  ดวงตาสีน้ำตาลแดงแหงนเงยขึ้นสบกับดวงตาสีม่านราตรีที่พราวระยับน่ามอง

“พิรุณา  คุณยังโกรธผมหรอ?”พิรุณาเพียงแค่มองตาคู่สีม่านราตรีนั้นก็เข้าใจว่าชายตรงหน้าต้องการสื่อสิ่งใด ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆคลายฝ่ามือออก  มือแข็งแรงนั้นกุมข้อมือนวลบางนั้นไว้อย่างสุภาพ

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงไม่ติดต่อผมเลย  ทำไมแอบมาอยู่อย่างนี้เงียบๆ”พิรุณายังไม่แสดงปฏิกิริยาใด  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงหลุบลงต่ำ

“ว่าไงครับ คนดี  จะตอบได้หรือยัง?” พิรุณาชักมือกลับอย่างแผ่วเบา ก่อนจะส่งภาษามือให้  บัดนี้อุปสรรคในการสื่อสารของพิรุณาไม่มีผลต่อธีรธรอีกแล้ว เพราะเพียงแค่มองตา  ความเข้าใจต่างๆก็หลั่งไหล

‘คุณ....เคยถามตัวเองหรือเปล่าว่าทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาคุณคิดถึงอะไรเป็นอย่างแรก?’ธีรธรชะงักงันกับคำถามนั้น ธีรธรอ้าปากจะตอบคำหวานเอาใจอย่างหยอกล้อ  แต่ดูเหมือนพิรุณาจะไม่อยู่ในอารมณ์ร่วมเช่นนั้นเลย

‘แล้วคุณเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่คุณยึดถือมาตลอด?’

“พิรุณา เราพูดเรื่องของเราก่อนดีไหม?”

‘ผมกำลังพูดเรื่องของเรา’ดวงตาสีน้ำตาลแดงแม้จะไม่ได้สบกับดวงตาสีม่านราตรี หากเจ้าตัวรู้ว่าแววตานั้นฉายประกายจริงจัง

‘สำหรับผม สิ่งที่ผมคิดอยู่ทุกเช้าคือทำอย่างไรให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้า ทำให้ตัวเองมีการเคลื่อนไหว  เพราะเมื่อไหร่ที่ผมหยุดนิ่ง หมายถึงความล้มเหลวและพ่ายแพ้  เช่นเดียวกับสิ่งที่ผมยึดมั่น ผมยึดมั่นในอิสระและความซื่อสัตย์’

“แล้ว?....”ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงขึ้นสบกับธีรธร  ดวงตานั้นมั่นคงไม่ฉายประกายหวั่นไหวใดๆ มันสงบนิ่งจนชวนให้ใจหวิวๆ  ความพองฟูในหัวใจค่อยหายไปอย่างช้าๆ

‘ผมรู้ว่าคุณคิดกับผมอย่างพิเศษ แต่ผมเองคงจะยังไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกนั้นได้จนกว่าผมเองจะแน่ใจว่าจะยังสามารถยึดมั่นในอิสระและความซื่อสัตย์ได้’นี่พิรุณา....ปฏิเสธเขากรายๆแล้วหรือไม่หนอ

“พิรุณา ผมตามหาคุณแทบคลั่ง นั่นยังไม่พิสูจน์อีกหรือว่าผมจริงจัง”

‘ผมยอมรับครับว่าถึงแม้คุณจะกวนประสาทอยู่บ้าง  แต่คุณเป็นคนดี ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ชี้ให้ผมเห็นชัดขึ้นว่าคุณจะมอบสิ่งที่ผมต้องการได้’พิรุณาเป็นคนชัดเจนหนักแน่นจนธีรธรเองก็ชักลำบากใจ

“พิรุณา  ผมต้องทำอย่างไร คุณถึงจะเชื่อกันล่ะ?”ธีรธรรู้ว่าพิรุณาเป็นคนที่ซับซ้อนกว่าทุกคนที่เขาเคยรู้จักแต่เขาไม่คิดว่าจะซับซ้อนมากถึงเพียงนี้

‘เรื่องนั้นผมเองก็ตอบไม่ได้หรอกครับ’พิรุณาแตะปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดเบาๆ แล้วค่อยๆกดลงช้าๆ ไม่ให้เกิดเสียงใดๆ ธีรธรรู้สึกหนักอึ้งในอก รู้สึกเสียใจและเสียดายกับสิ่งที่ทุ่มเท

“พิรุณา ไม่รู้สึกเสียดายความรู้สึกดีๆที่ผมมอบให้บ้างหรือ?”พิรุณาไม่ได้ตอบอะไรอยู่นาน

‘ผมไม่สามารถตอบคำถามของคุณธีได้ในเวลานี้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ’ พิรุณาแกะมือของธีรธรออกแล้วลุกเดินจากมาอย่างนุ่มนวล ธีรธรมองตามแผ่นหลังโปร่งบางจนหายลับไปกับทางเดิน    ปองแม้จะยืนเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เมื่อเห็นพิรุณาเดินออกมาก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะพูดแทนธีรธร

‘ทำอย่างนี้จะดีหรือครับ?’ พิรุณามองปอง ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงนั้นฉายประกายที่ปองเองก็อ่านไม่ออก

‘คำตอบที่ผมจะให้คุณธีรธรผมมีมันอยู่ในใจแล้ว  แต่เขาจะได้มันไปหรือไม่นั้นสุดแท้แต่ความอดทนกับความพยายามของเขาเอง เรากลับบ้านกันเถอะ’


นี่คงเป็นการวัดใจกันครั้งสุดท้าย....ความรักไม่ใช่การทดลอง  แต่พิรุณาต้องการความมั่นใจ ตัวชี้วัดมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นคือ  หัวใจ และเวลา...แต่ถึงอย่างนั้นพิรุณาเองก็ไม่แน่ใจว่าทั้งหมดที่กล่าวมานั่น หลอกตัวเองอยู่หรือเปล่า






         พิรุณนั่งพักอยู่หน้าเปียโน  พิรุณาเดินทางไปยังที่นัดหมายเพื่อซ้อมร่วมกับวง  วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงกวาดมองรายชื่อเพลงที่ใช้แสดงซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหมายใจจะจำให้ขึ้นใจเสียให้ได้   ปองเดินนำน้ำเปล่าแช่เย็นมาส่งพิรุณาที่ดูมีสมาธิดี แต่เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจตลอด นั่นเป็นสิ่งที่ปองเองก็ไม่ทราบ  เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นมาพิรุณาก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังอีก บอสเองก็เงียบหายพี่ฟ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบอสเป็นอะไร  ปองสะดุ้งเมื่อมือถือของตนดังขึ้น

“ครับ ปองพูด”ปองรับสายแล้วกรอกเสียงไปตามสายนั้น

“ครับ  ว่าอะไรนะครับ แต่คุณพิรุณาก็ตั้งใจทำงานที่นี่ดีนะครับ”ปองเงียบเสียงฟังปลายสายพูด  ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน

“ครับผมทราบดี ให้เวลาคุณพิรุณาสักหน่อยนะครับ  อาจต้องรอให้งานที่นี่สิ้นสุดก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่”พิรุณามองท่าทางแปลกๆของปองแล้วเอียงคอสงสัยเมื่อเห็นว่าปองวางสายแล้วจึงถามด้วยภาษามือ

‘มีอะไรหรือเปล่า?’พิรุณาดึงมือปองเบาๆให้นั่งลงข้างกันบนเก้าอี้เปียโน

‘ทางบริษัทโทรมาบอกผมว่า อยากให้คุณพิรุณากลับไปทำอัลบัมของตัวเองต่อให้เร็วที่สุดครับ  ตอนนี้ตลาดทางยุโรปเริ่มๆจะลืมคุณพิรุณากันแล้ว  เพราะคุณซิลเวอร์ อากิระ กำลังดังมากทางฝั่งนั้น’

‘แน่สิ  เขาพยายามยึดพื้นที่ทุกที่ที่ผมเคยไปเหยียบนี่นา’พิรุณายิ้มหยันส่งภาษามือให้ก่อนจะชิ้ไปยังกลุ่มนักร้องประสานเสียงที่ตั้งแถวเรียงสวยงาม  กำลังฟังนัดหมายชี้แจงจากผู้ควบคุมเสียง ก่อนเสียงร้องประสานกันจะค่อยๆดังขึ้น และสะท้อนกระจายไปในอากาศ เสียงร้องต่างระดับกันที่เปร่งออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำนั้นผสมกลมกลืนกันจนเป็นเสียงเดียว ไพเราะอ่อนซึ้งน่าประทับใจ

‘ความสุนทรีย์ก็เหมือนงานฝีมือชิ้นหนึ่ง  ศิลปินคนหนึ่งๆเมื่อต้องการจะสร้างมันขึ้นมาต้องค่อยปลุกปั้นเริ่มจากน้อยนิดจนเสร็จสิ้นสวยงาม  แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันในวงการแห่งเสียงดนตรีสูงมากเสียจนหลายคนลืมไปว่าความสุนทรีย์ต้องใช้ใจสร้าง ไม่ใช่เครื่องจักรที่จะยัดเยียดเสียงที่พอฟังได้ให้คนฟัง ไม่ใช่การตลาดที่แก่งแย่งแข่งขัน’

‘แต่อย่างนี้ก็ลำเอียงนะครับ มองในแง่นักดนตรีคุณพิรุณาอาจจะถูก  แต่มองในแง่นายทุน มันไม่ยุติธรรมเลย ถ้าศิลปินทุกคนคิดแบบนี่ นายทุนก็ขาดทุนแย่’พิรุณาหัวเราะ

‘นั่นสิ คืนนี้โทรบอกพวกตาลุงแก่ๆเถอะ ว่ายอดขายตก ดาวอังคารพุ่งชนโลก  โดนหมาเหยียบขา หรืออะไรก็ตามแต่  ถ้าเพลงไม่สมบูรณ์พร้อม ก็อย่าหวังจะได้เห็น’

‘เอาอย่างนั้นเลยหรอครับ’ปองยิ้มเหย  พิรุณาพยักหน้าให้พลางยิ้มน้อยๆ  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงทอประกายงาม มือขาวนวลๆช่วยปัดผมที่ระลงใกล้ตาปองออกอย่างเบามือ

‘เสร็จงานนี้แล้วจะอยู่ที่นี่เลยไหม?’ปองตกใจกับสิ่งที่พิรุณาถาม

‘ทำไมถามอย่างนี้ละครับ ยังไงเสียผมก็ต้องตามคุณพิรุณากลับไปอยู่แล้ว’

‘แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ต้องล่ะ’

‘บ้านปองมีคนเยอะแยะก็จริง  แต่ไม่มีลูกหลานอยู่ด้วยเลย ไม่คิดอยากกลับมาอยู่บ้านบ้างหรือ?’ปองส่ายหน้าเบาๆ

‘พวกลุงๆป้าๆจริงๆก็มีลูกหลานอยู่หรอกครับ  ที่ดินนี่เป็นของคุณตา ที่พวกญาติๆจ้องจะแย้งกัน ผมจะว่าอย่างไรดี  คุณตายกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของแม่  พอพ่อกับแม่เสียก็เลยตกลงกันไม่ได้ ว่าจะเป็นของใคร ตัวผมที่ต้องไปอยู่ที่โน่น เป็นเพราะพวกลุงๆป้าๆต้องการตัดผมกับป่านออกจากเรื่องนี้ คล้ายๆกับการปิดหูปิดตาไม่ให้พวกผมรู้อะไร แต่อีกครึ่งหนึ่งคือการตัดสินใจที่จะออกจากปัญหานี้ไปเสียให้พ้นๆของผม หลังจากไปอยู่ที่นั่นผมก็กระเสือกกระสนหางานทำเอง  เงินที่ส่งไปให้ผมที่นั่นก็พอมีมาบ้าง แต่จะเอาอะไรมาก ก็ป้าติ๋มเป็นคนเดียวที่ยังคิดถึงพวกผมอยู่   แค่ค่าเรียนอย่างเดียวก็ไม่พอแล้ว ผมเลยเป็นโฮสต์เพราะเงินดี พอเรียนจบก็ได้สัญชาติเลยทำต่อไปเรื่อย เปลี่ยนที่ทำงานบ้างจนมาลงตัว ทำงานกับบอส’  ปองลดมือลงนิดหนึ่งก่อนจะส่งภาษามือต่อไป



หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 14-02-2008 19:43:24
 :c1: :o8:

ให้เพื่อนๆทุกคนนะคร้าบบบบ... :L2:

ปล.วันนี้น้องเมศเค้าลงตอนพิเศษฉลองวันวาเลนไทน์ด้วยนะครับที่เด็กดี
เพื่อนๆสนใจไปหาอ่านกันได้นะครับ  :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 14-02-2008 21:07:59
ขอบคุณคร๊าบบบ งั้นเดี๋ยวผมไปหาตามอ่านตอนพิเศษ ก่อนนะครับ  :m4: :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 14-02-2008 22:14:17
 :m1:อย่าใจแข็งนักเลยพิรุณา  ใจอ่อนซะทีนะ

แล้วตกลงปองกะฟ่งเนี่ยมีแนวโน้มไม๊ค่ะ :m13:


 :c5:ส่งจดหมายรักให้น้องโน้ตกะน้องเมศ  ใสความรักไปให้ด้วยนะ

 :c1:จร้า
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 14-02-2008 22:56:37
 :c2:เช่นกันค่ะ  ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ
ทั้งพี่โน้ต ทั้งคนอ่านทุกคนเลยค่ะ :L2:



/me จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 15-02-2008 09:37:46
เช่นกันน้าน้องเมศกับพี่ฟาง  :L2:

แล้วก็เพื่อนๆทุกคนครับ :L2: :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 15-02-2008 12:44:27
ขอบพระคุณมากๆนะครับผม :L2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 15-02-2008 13:35:52
เศร้าจัง ทั้งปอง ทั้งพิรุณา

แต่ไงก็  :c2: น่ะคับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 15-02-2008 17:00:54
กด แก้ทีไร ชอบหายทุกจินะเนี่ยะ  :sad2:
------------------------------------------------------------------------------------------------------
‘บางครั้งผมก็รู้สึกว่าที่ดินผืนนั้นเป็นก้อนเนื้อชิ้นโตที่ทุกคนอยากจะได้  แต่ผมไม่อยากเล่นด้วย มันไม่สนุกที่เห็นญาติพี่น้องทะเลาะกันเพราะความละโมบ’พิรุณากุมมือปองเอาไว้แล้วบีบเบาๆ

‘แต่อย่างน้อย คุณปองก็ยังสัมผัสได้นะว่า ยังมีคนอีกหลายคนที่มีเชื้อสายเดียวกัน  แต่ผมสิไม่มีใครเลย’พิรุณาเผลอตัวจับสร้อยคอที่สวมติดกายเบาๆ มันเป็นของชิ้นเดียวที่ติดตัวเขามา นานเกินกว่าจะจำได้

‘ผมนี่ไง’

‘นั่นสิ เห็นหลายคนแซวแล้วว่าเป็นแฝดตัวติดกัน แฝดหรือแฟนนะ?’ปองหัวเราะกับพิรุณาที่มองเขาตาใสแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียจริงๆ

‘แฝดต่างหาก  เดี๋ยวบอสก็ตามมาแหกอกผมหรอก’

‘เกี่ยวอะไรกับคนนั้นล่ะ’พิรุณาทำแก้มป่องเอื้อมมือมาหยิกแก้มปองทำให้ปองคลำป้อยๆด้วยความเจ็บๆคันๆ










         ยามสายของวันเคนเดินเข้าบริษัทของครอบครัวพลางผิวปากเป็นเพลงแจ๊สเบาๆจนพนักงานหลายคนทักว่าอารมณ์ดีแต่เข้า เคนยิ้มรับแม้จะเสียดายอยู่บ้างที่ตื่นมาไม่เจอคนชื่อหวาน นัยน์ตาดุ  เขาไม่ทันเอะใจเลยว่าวันนี้ออฟฟิซแปลกไป ไม่มีเงาร่างโปร่ง สวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนสบายตาเดินไปเดินมา  ไม่มีกาแฟกรุ่นกลิ่นอวลในอากาศ ไม่มีเสียงข่าวภาคเช้าดังมาจากมุมเล็กๆของห้องครัวรวม   ร่างสูงสง่างามเดินพลางเสยเส้นผมสีทองของตนขึ้นเล็กน้อย ห้องส่วนตัวของเขาเงียบสนิท  เคนโยนสูทสีน้ำตาลลงบนโซฟาใกล้ประตู  นึกแปลกใจที่โต๊ะเลขาประจำตัวเขาดูโล่งผิดปรกติ มีเพียงเอกสารวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จัดเรียงตามลำดับก่อนหลังและความสำคัญอย่างรอบคอบ  แต่สิ่งที่ดูจะผิดที่ผิดทางคือซองจดหมายสีขาวที่จ่าหน้าซองถึงเขา  เคนหยิบมันขึ้นพิจารณา เนื้อความในจดหมายที่พิมพ์ออกมาและลงนามท้ายจดหมายด้วยลายมือหวัดทำให้เคนขมวดคิ้ว  เขาแทบโยนจดหมายทิ้งหลังจากอ่านจบ มือควานหาโทรศัพท์มือถือตนรีบต่อเบอร์ปลายทางทันที

“อยู่ไหน?!!!”เคนตะโกนใส่โทรศัพท์ทันทีที่ปลายสายรับ เสียงที่ปลายสายยังไม่ได้ตอบอะไรมีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ ยิ่งทำให้เคนคลั่ง

“หนังสือลาออกวางอยู่บนโต๊ะครับ”

“ผมไม่ได้ถามว่าจดหมายบ้าๆนั่นอยู่ไหน  ผมถามว่าคุณอยู่ที่ไหน!!!”แสงกุหลาบแตะแต้มขอบฟ้าสาดส่องเข้ามาในโบกี้รถไฟ ตกต้องเสี้ยวหน้าขาวเนียน ริมฝีปากบางนั้นแย้มยิ้มน้อยๆอย่างนึกขันกับตัวเอง ดวงตาสีเขียวอมเทาทอดทอออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านทิวต้นไม้สองข้างทางที่เคลื่อนหายไปอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถไฟไปยังท้องทุ่งผืนกว้าง

“ผมอยู่ในรถไฟ เช้านี้มิสเตอร์แอนิโมโตมีประชุม ไปเตรียมตัวได้แล้วนะครับ  ผมวางเอกสารไว้ให้บนโต๊ะแล้ว”โดลเชพูด ตั้งใจจะวางสายเสียทีแล้วงีบสักหน่อย อีกสักพักคงถึงบ้านแล้ว

“อย่าวางนะ!!! จะไปไหนน่ะ กลับsienaใช่ไหม?”

“แล้วแต่จะเดาครับ ผมลาออกแล้ว ต่อให้คุณไม่เซ็นต์อนุมัติผมก็จะออก”โดลเชวางสายทันทีที่พูดจบ   เคนหัวเสียเขาคว้ากุญแจรถก่อนจะพุ่งตัวออกจากห้องทำงานไป 

โดลเชยังคงถือโทรศัพท์ไว้ในมือ เขากำลังคิดอยู่ว่า อดีตเจ้านายของเขาเดาเก่งหรือว่าเขาเป็นพวกไม่มีที่ไปกันแน่
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 15-02-2008 18:28:12


         เสียงเพลงบรรเลงด้วยสำเนียงไทยผสมกลมกลืนกับความคลาสสิคตามแบบเครื่องดนตรีสัญชาติตะวันตกขับกล่อมท่วงทำนองหวานสนิทชวนให้เคลิบเคลิ้มไปในห้วงภวังค์  มือขาวนวลสัมผัสคีย์บอร์ดกำเนิดเสียงอย่าแม่นยำคมชัด หากนุ่มนวลอ่อนหวานในที  ธีรธรทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้เหล็กแข็งๆที่โยกคลอนราวกับจะหักพังเสียให้ได้ เฝ้ามองการซ้อมอยู่เงียบๆ หางตามองเห็นใครบางคนในชุดสบายๆลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆเขา

“นึกว่าบอสจะน้อยใจไม่อยากพบคุณพิรุณาเสียแล้ว”ปองยิ้มหยอกล้อมองบอสทีสีหน้ามีเค้าหม่นเศร้า

“คิดถึง  ห้ามกันได้ด้วยหรือ”

“คิดถึงแต่ไม่ยอมไปหาที่บ้านนี่ครับ”

“จะไปได้ยังไง ก็พิรุณาบอกแบบนั้น”ธีรธรถอนหายใจหนักๆ ปองแอบยิ้มกับท่าทีของบอส

“แอบยิ้มอะไร”เสียงห้าวๆถามเสียงตวัด

“เปล่าครับ  แค่แอบยิ้มให้คนกำลังกลุ้มใจเรื่องความรัก”

“ใช่สิ รักจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว  คุณปองรู้ไหม  พิรุณาเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกลึกซึ้งขนาดนี้  เพราะอะไรนะ  หรือว่าเพราะตาคู่โตนั่น ก็อาจมีส่วน....อืม”บอสหนุ่มทำท่าครุ่นคิดยิ่งทำให้ปองยิ้มกว้าง

“แล้วมาบอกผมทำไมละครับ”ธีรธรมองหน้าปองอย่างหาความหมาย  ดวงตาสีนิลกระจ่างใสจ้องมองตรงมาพลางยิ้มกริ่ม

“บางทีบอสอาจลืมอะไรไปนะครับ  กำแพงหัวใจแม้มันอาจดูหนาหนักเกินจะฝ่าเข้าไปได้แต่บางทีอาจเป็นแค่กระดาษบางๆแผ่นเดียวก็ได้  จริงไหม?”

“ไหงมาย้อนถาม”ปองไม่ตอบ เขาเปิดดูสมุดปกหนังสีแดงเข้ม ใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามบันทึกอย่างชำนาญ

“วิธีโบราณชะมัด”ธีรธรค่อนเข้าให้ ปองเหลือบตาขึ้นมองค้อนวูบหนึ่ง

“หลังซ้อมวันนี้คุณพิรุณาว่างถึงห้าโมงเย็นวันพรุ่งนี้ครับ”ปองกล่าวแล้วลุกขึ้นยืน

“จะไปไหนเสียล่ะ”

“คุณพิรุณาจวนได้เวลาเลิกซ้อมแล้วน่ะสิครับ”ธีรธรขมวดคิ้วน้อยๆอย่างใช้ความคิด

“พอมีเวลาอีกสักเดี๋ยวไหม  อยากขอความช่วยเหลืออีกสักหน่อย”ปองหัวเราะ

“ได้เสมอครับบอส”







         การซ้อมเสร็จสิ้นพิรุณายืนขึ้นปิดฝาเปียโนลงอย่างเบามือทนุถนอม   ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้เปียโนเข้าเก็บเรียบร้อย  วาทยากรสูงวัยที่อยู่ในชุดเครื่องแบบแสดงยศยิ้มให้เขาบางเบาอย่างนึกเอ็นดู   พิรุณาก้าวเข้ามาหาแล้วไหว้อย่างอ่อนน้อมน่าชม จนสายสร้อยหนังเส้นยาวออกมาแกว่งไกวอยู่นอกเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา  ผู้สูงวัยกว่ารับไหว้แสงจากจี้เงินสะท้อนเข้าจนสังเกตุเห็น  เขานึกเอะใจกับสายสร้อยเส้นนี้ แต่นึกขึ้นได้ว่าคงพูดคุยกันลำบากหากไม่มีล่าม  โชคดีที่ปองกำลังเดินยิ้มหวานมาทางนี้

“เหนื่อยหน่อยนะครับ”ปองพูดอย่างสุภาพ

“ไม่หรอก  ได้พบคนมีฝีมือายุยังน้อยก็ชื่นใจหายเหนื่อยแล้ว”ปองส่งภาษามือให้พิรุณา  พิรุณาจึงตอบกลับมาโดยมีปองทำหน้าที่อย่างขันแข็ง

‘ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะจุดบกพร่องให้นะครับ’

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พรุ่งนี้เริ่มซ้อมช้าหน่อยอย่าลืมเสียล่ะ”วาทยากรสูงวัยกล่าวกับปอง

“ครับท่าน”

“เรียกลุงนันเถอะ”

“พวกผมเกรงใจน่ะครับ ท่านเป็นถึงนาวาเอก”

“เฮ้ย ไม่เอาน่าคุ้นหน้าคุ้นตากันเหมือนเป็นลูกเป็นหลานอย่าไปคิดมาก  ว่าแต่พิรุณาเถอะ ใครเข้าใจตั้งชื่อ”นาวาเอกนันทพลกล่าวอย่างเอ็นดู ปองแปลเป็นภาษามือให้พร้อมกับที่ผู้สูงวัยถาม

‘ไม่ทราบสิครับ  รู้แต่ว่าบนสร้อยนี่มีชื่อผมเขียนอยู่ เลยอาจจะเรียกตามของที่ติดตัวผมมาก็ได้’

“ขอดูสักหน่อยได้ไหม?” พิรุณาถอดสร้อยออกจากคอส่งให้วาทยากรผู้ทรงเกียรติอย่างนอบน้อม


         ท่านนาวาเอกนันทพลรับสร้อยเงินมา สายหนังเปื่อยเสียจน   แทบจะขาดคามือ  ท่านพิจารณาจี้เงินอย่างตั้งใจ  จี้รูปสามเปลี่ยม ด้านหน้าสลักชื่อเป็นภาษาอังกฤษตวัดหางอ่อนช้อยมีภาษาไทยเคียงคู่ด้วยตัวอาลักษณ์งาม แม้จะจางแทบเลือนหายแต่ยังอ่านได้ชัด  เมื่อพลิกไปด้านหลัง ตราสัญลักษณ์บางอย่างที่เลือนเกือบหายไปสิ้นตามกาลเวลาทำให้ผู้สูงวัยชะงักงัน  ตรา...คุ้นเสียจนหลับตาแทบเห็นภาพ แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าตราอะไรแน่  ท่านนาวาเอกนันทพลส่งสร้อยคืนให้พลางครุ่นคิด

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”ปองถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร  แค่จะบอกว่าสายสร้อยเปื่อยจนจะขาดอยู่แล้ว”

‘ขอบคุณมากครับ ผมก็ว่าจะเปลี่ยนสายสร้อยใหม่อยู่ทีเดียว’

“ลุงจะกลับล่ะ กลับบ้านกันดีๆนะ”

“ครับ”ปองรับคำพร้อมกับที่พิรุณายกมือสวัสดีอย่างน่าเอ็นดู วาทยากรผู้สูงวัยกำลังจะก้าวเดินออกไปก็ฉุกคิดขึ้นได้

“เออ  หนูปอง ไอ้โอเมก้าสามนี่มันซื้อกันได้ที่ไหน?”

“เอ๋??”

“ไอ้พวกน้ำมันตับปลาที่ช่วยให้ความจำดีๆน่ะ เขาซื้อกันที่ไหน เดี๋ยวนี้ลุงว่าความจำชักแย่”

“ร้านขายยาทั่วไปละมังครับ  ผมเองก็ไม่แน่ใจ”

“อย่างนั้นหรือ ขอบใจมากนะ”ท่านนาวาไปแล้วปองหัวเราะพรืดจนพิรุณาสงสัย  ปองจึงเล่าให้พิรุณาทราบ


         ทั้งคู่เดินออกจากห้องประชุมเดินลัดเลาะพุ่มเฟื่องฟ้าไปยังรถที่ปองขับมา รถกระบะสีฟ้าคันใหญ่ที่ดูแล้วไม่สมตัวคนขับเท่าไรนัก  ปองไขปรดล็อคประตูอย่างใจเย็น เขาเห็นเงาตะคุ่มๆที่ข้างหลังพิรุณาแล้วแอบยิ้มกับตัวเอง ปองเข้าไปในรถแล้วพิรุณาเองก็กำลังจับที่เปิดประตู  ทันใดนั้นมือแข็งเรงก็ตะครุบจับที่ข้อมือบอบบางกว่าในทันที  พิรุณาบิดมือออกอย่างว่องไวตามวิชาป้องกันตัวที่พอมีอยู่บ้างด้วยควมตกใจ ก่อนจะสวนหมัดดุ้นๆเข้าหมายใจจะให้โดนหน้าแบบเฉี่ยวๆแต่แล้วมือกลับถูกพันธนาการด้วยมือแข็งแรงอีกข้าง ๆ ธีรธรเข้าประชิดร่างของพิรุณาล็อคแขนที่สวนหมัดกลับมาไว้ทันท่วงที

“มือไวเหมือนเดิม ดีนะที่จับไว้ทัน”

“ระวังนะครับ เดี๋ยวจะเป็นรอยช้ำไปสองอาทิตย์เหมือนคราวนั้นอีก”ปองเปิดกระจกฝั่งตรงข้ามแล้วพูดพลางสตาร์ทรถ

“น่าคราวนี้จะสวนกลับด้วยจูบเลย”ปองหัวเราะ

“ไม่ใช่เพราะครั้งที่แล้วแย๊บด้วยปากหรือครับ เลยถูกคุณพิรุณาต่อย”ธีรธรส่งเสียขัดใจในคอ

“เอาน่า มันผ่านไปแล้ว แล้วนี่เมื่อไหร่จะหยุดดิ้นเนี่ย”

‘ก็ปล่อยสิ’พิรุณาตาวาวอย่างโมโห

“โมโหอะไรครับ ตัวโมโหอยู่บนปลายจมูกหรือยังไง คุณปองหมดหน้าที่แล้ว ไปได้แล้ว กลับบ้านดีๆล่ะ”ปองหัวเราะชอบใจแล้วปิดหน้าต่าง พิรุณาส่งสายตาอ้อนวอนให้ปองช่วยก่อน แต่ก็ไม่เป็นผล  ปองออกรถไปแล้วโบกมืออำลาอยู่ไหวๆ

“เราก็ไปกันเถอะ”

‘ไปไหน!!! ไม่ไป!!’พิรุณาพยายามยื้อแขนตัวแองออกจากมือปลาหมึกของธีรธร  บิดก็แล้ว งอก็แล้ว หมุนแล้วหมุนอีกก็ไม่ออก ธีรธรไม่สนใจลากไปยังรถโฟร์วีลสีบลอนซ์ของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะรุนหลังพิรุณาให้ขึ้นไป แล้วคาดเข็มขัดให้  แล้ววิ่งอย่างรวดเร็วมายังด้านคนขับแล้วรีบขับออกถนนใหญ่

‘นี่จะไปไหน  ไม่ไปนะ!!’พิรุณาส่งภาษามือโวยวาย พอธีรธรไม่สนใจหนักเข้าก็ตบลงที่คอนโซลรถให้เกิดเสียงดัง  จนธีรธรเบนความสนใจกลับมาหา คว้ามือนวลข้างขวามาวางลงบนเกียร์ แล้ววางมือตนเองทับลงไปเพื่อเปลี่ยนเกียร์

“อย่าซนนะ เดี๋ยวรถชนไม่รู้ด้วย”ธีรธรขู่  ทั้งที่มือของเขายังทาบทับมือของพิรุณาเพื่อเปลี่ยนเกียร์ ทดไปเรื่อย

‘ก็คุณลวนลามผมนี่’พิรุณาพยายามส่งภาษามือทั้งที่มือข้างหนึ่งอยู่ใต้มือแข็งแรงนั้น  ความอุ่นซ่านผ่านผิวสัมผัสทำให้พิรุณาหน้าแดง โชคดีที่ไฟถนนช่วยกลบเกลื่อนไปได้ ดวงตาสีน้ำตาลแดงเสมองไปทางอื่นแก้เขินไปเจอกับวัตถุบางอย่างสะท้อนแสงสีน้ำเงินม่วงๆ จึงใช้มือข้างที่ว่างหยิบมันขึ้นมาจากซอกประตู  ตุ๊กตาขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือ สีดำสนิทหูยาวสองข้าง หน้ายิ้มน่ารักน่าขย้ำให้พิรุณาจับปลายเชือกที่ผูกมันไว้แล้วแกว่งไปแกว่งมาเพื่อมองมันชัดๆ

“อะไร ค้นเจอโมโคน่าเสียอย่างนั้น”ธีรธรหัวเราะ  พิรุณาจับที่ดูดสูญญากาศที่พ่วงติดกับเชือกของตุ๊กตาแล้วแตะกับกระจกหน้าต่าง แล้วออกแรงดึงออกจนเกิดเสียงดังจุ๊บ  พิรุณาหัวเราะชอบใจแล้วทำเช่นนั้นซ้ำๆอย่างถูกอกถูกใจ

“ซนจริงวุ้ย”ธีรธรพูดพลางยิ้มกริ่มไปกับความน่ารักของพิรุณา 

‘นี่คุณ  เปิดหน้าต่างเถอะ’พิรุณาส่งภาษามือให้แล้วจัดแจงปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างฝั่งตนเองลงสายลมยามราตรีพัดเข้าปะทะใบหน้า  ธีรธรตามใจคนร่างโปร่งบาง เขาเปิดหน้าต่างฝั่งเขาลงเล็กน้อย แล้วเหลือบไปเห็นพิรุณากำลังสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอมยิ้มไปกับสายมแรงที่เข้าปะทะ

“ชอบตอนกลางคืนหรือ”

‘ชอบนั่งรถตอนกลางคืน  นี่จะพาไปไหน’พิรุณาเหลือบเห็นป้ายข้างทางบอกว่าสุดเขตกรุงเทพฯแล้วทำหน้าฉงน

“ไปดมกลิ่นทะเลกัน”ธีรธรพูดแล้วจับมือขาวนวลนั้นกลับมาวางที่เกียร์อีกครั้งแล้วทาบมือตนลงไป ทดเกียร์ไปด้วยโดยแทบไม่ปล่อยมือไปตลอดทาง




         




            
         ปองกลับถึงบ้านสวนในเวลาไม่นานนักด้วยเพราะการจราจรวันนี้ไม่คับคั่งมากนัก  หลังจากเขาถอยรถเข้าจอดในโรงรถเป็นที่เรียบร้อยโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น  ปองมองหน้าจอแล้วยิ้มว่าที่เจ้าสาวโทรมบอกข่าวดีแน่ๆ และอาจจะแถมบ่นให้ด้วยที่คุณพิรุณาไม่ได้พกมือถือไปด้วย ปองกดรับสายกล่าวทักทายพลางเดินไปที่ศาลาตีนท่า  ลมเย็นสบายโชยพัดทำให้กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งคลองไหวพร้อมเสียงซ่านซ่าของใบไม้ที่เสียดสีกัน บ้างร่วงหล่นลงสู่ผิวน้ำ บ้างปริดปลิวเข้ามาในศาลา

“คุณปอง พิรุณาไม่พกมือถืออีกแล้วใช่ไหม?”

“ ครับ  ชอบทำเป็นลืมไว้ที่บ้านทุกที”ปองหัวเราะอารมณ์ดี

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง  ไม่รู้เลยหรือไงนะว่าคนอื่นเขาเป็นห่วง”

“ไม่เป็นไรมังครับ เพราะเวลาไปข้างนอกก็ไปพร้อมผม  ยกเว้นวันนี้”

“ทำไมล่ะวันนี้ไปไหน?”เกรซถามอย่างเป็นห่วง

“บอสรับไปไหนแล้วไม่ทราบครับ”ปลายสายหัวเราะเสียงใสเช่นกัน

“บอสนี่ก็หน้าทนได้ที่เหมือนกันนะเนี่ย  ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก!!”เกรซทำเสียงตื่นเต้น

“วันนี้บอสขอให้ผมสอนภาษามือให้ด้วย”

“สงสัยจะตกล่องปล่องชิ้นกันเสียทีละมั้ง”

“ก็ดีสิครับ  แต่พวกเราจะเหงาหน่อย  เอ...หรือผมจะเหงาหน่อยก็ไม่รู้สิ”ปลายสายโวยวายที่ปองแซวเธอ

“จะโทรมาบอกว่า อีกสกเดือนสองเดือนจะจัดงานแต่ง”

“เร็วปานนั้นเชียว เจ้าบ่าวใจร้อนหรือเจ้าสาวใจร้อนกันนี่”ปองแซวอย่างอารมณ์ดี

“เดี่ยวเถอะคุณปอง  อย่าแซวสิคะเกรซเขินเป็นนะ ไม่เอาแล้วไม่คุยด้วยแล้ว  แค่จะโทรมาบอกว่า บางทีเราอาจได้เจอกันที่กรุงเทพนะ  วางแผนกับลีอองไว้ว่าจะจัดปาร์ตี้สละโสดเสียหน่อย”

“จัดที่นี่จะสะดวกหรือครับ? ส่วนใหญ่อยู่กันทางยุโรปหมด”

“ฮื่อ!ไม่เป็นไร  ลองบอกว่าจัดที่กรุงเทพนะ ขี้คร้านจะลางานมากันแทบไม่ทัน ตกลงเอาตามนี้ล่ะ บอกพิรุณาเตรียมชุดเท่ห์ไว้ด้วย ให้เลือกเอาจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรือเพื่อนเจ้าสาว”

“ต้องเพื่อนเจ้าบ่าวสิครับ”ปองตอบแล้วขำก่อนจะกล่าวอำลาแล้ววางสายรอยยิ้มค่อยจางจากใบหน้า  ดวงตาสีนิลทอดมองผืนน้ำเบื้องหน้า สดับเสียงลมและคลื่นน้ำที่กระซิบอยู่ริมหู


         ระหว่างที่คนส่วนใหญ่กำลังมีความสุข  อะไรทำให้เขารู้สึกเหงา  ทั้งที่รอบกายกรุ่นกลิ่นไอแห่งความรักชื่นหวาน แต่ใจเขากลับแห้งผาก คิดถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ในอีกซีกโลก  ทั้งที่รู้ว่าอดีตอันยังมาซึ่งความเจ็บปวดยังคอยทิ่มแทงหัวใจ  แต่การที่พี่ฟ่งวนเวียนอยู่เคียงใกล้ ยิ่งทำให้เขาคิดถึงคนที่อยู่ไกล....และบางทีอาจจะไกลเกินคว้าก็ได้  กำแพงหัวใจที่เขาสร้างหนาแน่นและปิดตายมาช้านาน.....นานเกินกว่าจะเปิดรับใครเข้ามาอีกคน      ปองยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง กดหมายเลขปลายทางที่เขาจำได้ขึ้นใจแล้วรอฟังเสียงที่ปลายสาย  หลังสัญญาณเรียกสายไม่นาน ระบบก็ตัดเข้าการฝากข้อความ


“สวัสดีครับ ผมปีเตอร์ ทีวซ์ขณะนี้ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ กรุณาฝากข้อความไว้นะครับ โอ้ย!!อะไรกันวะ”เสียงอุทานนั้นตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขสองเสียงประสานกัน เสียงหนึ่งคือเสียงของคนที่ขึ้นเรือข้ามฟากไปสู่ห้วงมรณะเสียแล้ว และอีกเสียงคือเสียงของเขาเอง  เสียงหัวเราะที่เขาเองก็จำไม่ได้ว่าหัวเราะมีความสุขถึงเพียงนั้น ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่รู้แน่คือ



พีทไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก  รวมถึงนิสัย  หรือแม้แต่หัวใจ ......เขาไม่เคยเปลี่ยนมันเลยแม้สักนิดเดียว












         

          ลมทะเลโชยพัดรุนแรงจนธีรธรได้ยินแต่เสียงลม  เขาวิ่งอ้อมหน้ารถมาเปิดประตูให้พิรุณา  พอพิรุณาจะก้าวลงมา มือแข็งแรงก็ดันบ่าไว้  ร่างสูงงามสง่าย่อกายลงพับขากางเกงให้  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงทอประกายอ่อนหวานไปกับการกระทำอันอ่อนโยนของธีรธร ดวงตาสีม่านราตรีแหงนขึ้นสบกันก่อนมือแข็งแรงนั้นจะค่อยจับจูงอย่างสุภาพ ให้คนทั้งคู่เดินเคียงกันไปตามชายหาดที่บัดนี้แสงจันทร์ทอประกายงาม แตะแต้มยอดคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นระรอกจนเป็นประกายบางเบา  ธีรธรแกว่งมือที่ตนกุมไว้แรงๆเหมือนเด็กๆ พิรุณายิ้มกว้างนัยน์ตาพราวช่วยออกแรงแกว่งด้วย เมื่อเดินไปสักพักธีรธรก็ปล่อยมือ พิรุณาจึงหันกลับมามองอย่างสงสัย  โดยไม่ทันระวังตัว ธีรธรช้อนร่างโปร่งบางขึ้นในอ้อมแขน  ทำให้พิรุณาผวารีบเกาะบ่าแข็งแรงนั้น แล้วทุบแรงๆ  ธีรธรหัวเราะวิ่งตัวปลิวลงทะเล


‘ทำอะไร!!! ไม่เอา!!’พิรุณาส่งภาษามือ แล้วทุบอกธีรธรแบบไม่กลัวเจ็บ เมื่อธีรธรหยุดยืนกลางทะเล  น้ำสูงขึ้นเหนือเข่า

“เจ็บน่า เดี๋ยวก็ปล่อยจริงๆหรอก”ธีรธรทำท่าจะปล่อยจริงๆพิรุณายิ้มเกาะแน่นขึ้น ธีรธรหัวเราะเสียงดัง ดวงตาสีม่านราตรีสะท้อนประกายกระจ่างใสน่ามอง

“ไม่แกล้งๆ”ธีรธรรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ พลางตีหน้าจริงจัง พอพิรุณาเผลอก็ปล่อยแขน กะว่าจะต้องได้ยินเสียงดังตูม!เป็นลูกแมวตกน้ำแน่นอน  แต่ที่ไหนได้ พิรุณาเหนี่ยวคอเขาลงไปด้วย





ตูม!

         ร่างสองร่างเปียกปอน  พิรุณาโผล่ขึ้นหายใจเหนือผิวน้ำ บัดนี้เปียกทั้งตัวแล้ว  เขานึกอยากจะจับคนหาเรื่องให้เปียกกดน้ำเสียให้ขาดใจตายคามือ ดวงตาสีน้ำตาลแดงกวาดมองไปทั่ว แต่ไม่มีแม้แต่เงาร่างนั้น พิรุณาจึงลองคลำหาดูตามพื้นทรายรอบกายใต้ผิวน้ำ  แต่ก็ยังไม่พบอะไรที่พอจะเข้าเค้า  พิรุณาฉุกคิดได้ว่า ธีรธรไม่ใช่ปู จะได้อยู่ตามผืนทรายใต้น้ำจึงเลิกคลำหาเปลี่ยนเป็นมองไปมองรอบๆ  เขาหันไปสบตากับใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปราวสองเมตร ด้วยสภาพเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำทะเลไม่แพ้กัน  ดวงตาสีม่านราตรีคมกล้าฉายประกายอย่างที่พิรุณาเคยนึกชมว่าน่ามอง แต่ก็น่าหวั่นใจ เส้นผมสีดำสนิทเปียกปอนตกลงระใบหน้า ดูๆไปแล้วธีรธรก็ไม่ใช่คนหน้าตาเลวร้าย  ออกจะดูดีเสียด้วยซ้ำ  หน้าตา...ก็พอใช้ได้น่า สูสีกับเคน  พิรุณาทำท่าจะขยับเข้าไปหาแต่ธีรธรทำท่าไม่ยอมให้เข้าไปใกล้

“อยู่ตรงนั้น แล้วดูให้ดีนะ!!!”แม้พิรุณาจะไม่ได้ยินแต่เขาเดาได้จากท่าทางนั้นว่าธีรธรต้องการอะไร เขาตั้งใจดูธีรธรตามที่อีกฝ่ายอยากให้เขาทำ







         แสงจันทร์กระจ่าง แม้ไม่เต็มดวงดีแต่กลับให้แสงสว่างกระจ่าง ร่างสูงสง่าที่ครึ่งตัวแช่อยู่ในน้ำทะเลถูกคลื่นใหญ่น้อยซัดสาดไม่ว่างเว้น แต่ยังคงหยัดกายมั่นอยู่กลางผืนทราย   มือแข็งแรงนั้นชี้เข้าที่อกตัวเองอย่างช้าๆพลางออกปากท่องบางอย่างไปด้วย  ก่อนจะเลื่อนมือซ้ายแล้วขวามาประสานกันแล้วนาบลงที่หัวใจนานช้าแล้วชี้นิ้วมายังพิรุณา  พิรุณาตกตะลึงมือขาวนวลทั้งสองข้างยกขึ้นปิดปากตนเอง  ไม่รู้เมื่อไหร่ที่น้ำตารื้นขึ้นมาแทบล้นขอบตา  ธีรธรยังคงทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามือทำไปพลางปากท่องไปด้วย  พิรุณาลุกขึ้นยืนอย่างซวนเซ  เดินฝ่ากระแสคลื่นที่โถมเข้าใส่ฝั่งมาหาชายหนุ่ม  ธีรธรแหงนหน้าขึ้นมองดวงหน้าเนียนใสนั้นหมายใจจะมองหน้าพิรุณาให้ชัด แต่เงากลับทาบทับเสียจนไม่อาจมองเห็น  เขารู้แต่เพียงว่ามีพยดน้ำอุ่นร้อนหยดใส่ใบหน้าเขา  หยดน้ำที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นน้ำจากเส้นผมที่เปียกปอนหรือน้ำตาที่กำลังรินไหล      พิรุณาทรุดกายลงตรงหน้าเขา  คราวนี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่าพิรุณากำลังหลั่งน้ำตาอย่างมิขาดสาย 

“ร้องไห้ทำไม?”กระแสเสียงนั้นนุ่มนวลอ่อนหวาน  แม้พิรุณาจะไม่ได้ยิน แต่เขารับรู้ได้ว่าธีรธรอบอุ่นถึงเพียงไหน  พิรุณายิ้มให้ทั้งน้ำตา แล้วเลื่อนกายขึ้นสัมผัสริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนหน้าผากกว้าง ก่อนจะถอนสัมผัสออกช้าๆ ธีรธรช่วยเช็ดหน้าตาให้ทั้งที่มือของตนก็เปียก ทำให้ยิ่งเช็ดยิ่งเปียกดวงหน้านั้น  พิรุณาหัวเราะทั้งน้ำตา  ดวงตาสีม่านราตรีคมกล้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลออกแดงงาม  ดวงตาหวานซึ้งพราวระยับนี้เองทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว ดวงตาคู่นี้เองกำลังบอกเล่าความรู้สึกจากภายในออกมาโดยปราศจากซึ่งถ้อยคำใดๆ  แต่มันกลับตรงไปตรงมาและสื่อถึงใจของกันและกันได้อย่างน่าประหลาด




         ธีรธรโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจของทั้งเขาและพิรุณากำลังเต้นโครมครามแทบจะกระดอนออกมา ดวงตาสีอ่อนนั้นจ้องมองริมฝีปากของเขาอยู่ ธีรธรยิ้ม ค่อยๆสัมผัสริมฝีปากอุ่นร้อนนั้นอย่างสุภาพ รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆเป่ารดบนดวงหน้าของเขา  สัมผัสอุ่นร้อนอ่อนหวานดำเนินไปราวห้วงเวลารอบกายหยุดนิ่งก่อนจะค่อยๆคลายออกอย่างแสนเสียดาย

“หนาวไหม?”พิรุณาส่ายหน้าช้าๆดวงหน้านั้นแดงซ่านอย่างเห็นได้ชัด ธีรธรก็รู้สึกตัวเช่นกันว่าดวงหน้าของตนร้อนผ่าน ถ้าเอาปลาหมึกมาวางสักตัวคงได้กินปลาหมึกย่างกันล่ะ





เขานึกขำตัวเองที่อยู่ก็รู้สึกเขินทั้งที่พิรุณาไม่ใช่แฟนคนแรกที่เขาจูบสักหน่อย  เอ....แต่จะว่าไปก็เป็นคนแรกที่เขาจริงจังด้วย  และคงเป็นคนสุดท้ายเสียด้วยสิ


.....ผมรักคุณนะครับ คุณบีโธเฟ่นผู้น่ารัก....





    










-----------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 13 แล้วครับ :m13:
ตอนนี้ของน้องเมศหวานเข้ากับเทศกาลดีจัง :o8: :L1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 15-02-2008 18:42:15
ปลาหมึก  Vs หน้าแดงซ่านเพราะเขินอาย

ช่างเข้าคู่กันเสียนี้กระไร

เขียนไปได้

แต่ก็เอาวะ

เพราะมันสวีทกันกลางทะเลนี่นา

อิจฉาเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


ปล.  :L2:  อันนี้ให้คนเขียน  และ คนโพสต์ นาจ๊ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 15-02-2008 21:26:38
สวีทมากมาย กลางทะเล  :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 15-02-2008 21:48:46
 :o8:สวีทวิ๊ดวิ้วจริงๆ  ทะเลหวานไปแล้ววว

แต่ปลาหมึกย่างมาได้ไง :a6:


ทำให้อยากกินเลย :m20:

มามะมาหวานกันต่อปายยย :oni2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 16-02-2008 20:03:08
หวานกันกลางทะเล น่าอิจฉา อิอิ  :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 18-02-2008 10:04:32
อิจฉาอ่ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 18-02-2008 12:27:09
อิจฉาตาร้อน :o12:
  น่ารักจังเลย :L2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 20-02-2008 21:56:42
INTERMEZZO   chapter# 14






         เคนเพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่าการรีบร้อนอย่างสุดชีวิตนั้นเป็นอย่างไร  เขารีบร้อนคว้ากุญแจรถคันเก่งวิ่งพรวดออกไปหน้าห้องทามกลางสายตาของพนักงานที่กำลังทำงานในตอนกะเช้า  แล้วออกปากสั่งลมสั่งฟ้า สั่งใครสักคนที่น่าจะได้ยินว่ายกเลิกประชุม  ให้ตายสิ!!เขารีบร้อนจนลืมสูทไว้ในห้องทำงานอย่าว่าแต่เสื้อโค้ตเลย   เคนสบถในใจเมื่อรู้สึกถึงอากาศเย็นยะเยือกเบื้องนอก   โชคดีที่เขาขุดเอาเสื้อแจ๊คเก๊ตสีแดงแจ๋ได้หนึ่งตัวจากท้ายรถ เขาขับรถออกจากRomeไปตามถนนหลวง มุ่งสู้Sienaนี่คงเป็นการไปที่สะดวกที่สุดแล้วเท่าที่เขาจะนึกออก  เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเขาที่โยนไว้เบาะข้างๆดังขึ้น  คิ้มเข้มขมวดเข้าอย่างหัวเสีย จำต้องลดความเร็วลง แล้วรับโทรศัพท์ด้วยกดให้เสียงที่ปลายสายกระจายออกทางลำโพง

“มีอะไร?”เขาถามเสียงห้วน

“อะไร๊ ทำไมต้องหงุดหงิด”เกรซหัวเราะเสียงใส

“เออน่าคนกำลังรีบ”

“อู้ย คุณชาย จะรีบไปไหนแต่เช้าคะนั่น”

“ไปตามหาคน เลขาหาย  จากromeไปsiena ขับรถด้วยความเร็วสูงสุดได้หรือเปล่า?”คนเชื้อสายอิตาเลี่ยนถามชาวอังกฤษแท้เสียอย่างนั้น

“จะรู้หรอพ่อคุณ ได้ข่าวว่าดิฉันเป็นชาวลิเวอร์พูลตามกำเนิดนะคะ”

“ชิ  ไม่เห็นช่วยอะไรได้เลย”เคนบ่นพึม

“ฉันจะไปรู้หรอ  นายต่างหาก เป็นคนอิตตาเลี่ยนแท้ๆ ยังไม่รู้อีก  ฉันจะโทรมาบอกเฉยๆว่า จะจัดปาร์ตี้สละโสดที่กรุงเทพฯ ประมาณเดือนหน้า กรุณาสับรางตารางอันแน่นเอี๊ยดของคุณชายด้วยนะคะ”

“ไกล”เคนตอบพลางเร่งความเร็ว แซงรถใหญ่คันข้างหน้าที่แล่นช้าไม่ทันใจ

“เท่านั้นใช่ไม๊  แค่นี้นะขับรถอยู่”

“ย่ะ ขับระวังๆล่ะ เดี๋ยวจะลงไปนอนกลิ้งก่อนจะได้เจอคน”เคนรับคำสั้นๆปล่อยให้ปลายสายตัดสายไปเสียเล้วเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง




         ภายในเวลาชั่วโมงกับอีกประมาณยี่สิบนาทีในที่สุดเคนก็มาถึงเมืองsienaจนได้ เมืองเล็กๆบนเขาที่ในหน้าร้อนจะมีทุ่งหญ้าสวยงาม  เขาจำต้องทิ้งรถไว้ที่ที่จอดรถนอกเมืองแล้วนั่งรถบัสเข้าไปในตัวเมืองแทน  ทั้งตัวเมืองเต็มไปด้วยอาคารอันสร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง  ทุกส่วนประกอบงดงามตราตรึงใจ  แต่เคนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาชื่นชมสถาปัตยกรรมและบรรยากาศสงบเงียบนั้น ตัวเมืองที่ไม่ใหญ่นักทำให้เขาเลือกที่จะซื้อแผนที่สักแผ่นแล้วลองเดาสุ่มหาดูว่าคนที่เขาตามหานั้นน่าจะอยู่ที่ไหน  แม้อากาศจะหนาวยะเยือก แต่เคนกลับวิ่งไปตามที่ต่างๆเท่าที่เขานึกได้อย่างบ้าคลั่งมารู้ตัวอีกทีเมื่อหลงอยู่ในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งเขาก็ไม่ทราบว่ามันอยู่ส่วนใหญ่ของแผนที่กันแน่   ท้องเริ่มโอดครวญอุทธรณ์ขออาหาร หนาวก็หนาว หิวก็ยังหิวอีก  เคนคิดอย่างห่อเหี่ยวในหัวใจ  เขาเดินตามกลิ่นหอมของกาแฟไปเรื่อยๆอย่างในลอย  ในสมองคิดอะไรปต่างๆนานา  เขาถามตัวเองซ้ำว่ามาที่นี่ทำไม แต่คำตอบที่ได้ ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าใดนัก   แสงแดดอุ่นอาบไล้มาสัมผัสผิวกายมอบความอบอุ่นให้อย่างช้าๆ   ในที่สุดกลิ่นหอมกาแฟกรุ่นกลิ่นหอมฟุ้งก็ดึงดูดให้เขาเข้าไปนั่งในมุมหนึ่งของคาเฟ่เล็กๆอันจัดพื้นที่ส่วนหน้าร้านไว้กลางแจ้งด้วยโต๊ะเก้าอี้แล้วโทนสีของร้านเป็นสีขาวสมชื่อbianco เขาหวังจะได้กาแฟร้อนสักแก้วเป็นพลังงานผลักดันต่อไป   


“เชิญครับ รับอะไรดีครับ”พนักงานร้านออกมาต้อนรับด้วยภาษาอิตตาเลี่ยนสำเนียงแปร่งเล็กน้อยจนแทบจับไม่ได้

“คาปูชิโน”เขาพูดอย่างส่งๆพลางก้มลงกดโทรศัพท์มือถือง่วน

“ซินญอร์ไปนั่งในร้านดีกว่าไหมครับ เสื้อบางๆอย่างนั้นจะหนาว”เคนเงยห้าขึ้นมองเห็นพนักงานชายร่างสูงสง่า ใบหน้านั้นสุภาพเช่นเดียวกับดวงตาสีสนิมเหล็กหลังแว่นกรอบน้ำตาลไหม้ ชวนให้นึกถึงใครอีกคนที่ตามหา แต่เขามั่นใจว่าไม่เคยรู้จักชายคนนี้ แม้จะรู้สึกถึงความใกล้เคียงบางอย่าง เคนพยักหน้ารับ พนักงานร้านจึงเชื้อเชิญเข้าไปข้างใน

“ซินญอร์โชคดีนะครับ  เราเปิดฮีตเตอร์จนอุ่นไว้เรียบร้อยแล้วพอดี”


         เสียงกระดิ่งจากประตูร้านทำให้พนักงานในเครื่องแบบเสื้อเชิ้ตเรียบๆสีขาวเหมือนฟองนมสวมผ้ากันเปื้อนสีเขียวที่ก้มๆเงยๆอยู่หลังเคาท์เตอร์รีบตะโกนต้อนรับเป็นภาษาอิตตาเลี่ยนชัด  พนักงานร้านอีกคนหนึ่งร่างสูงใหญ่เดินสวนกันส่งยิ้มให้เขาน้อยๆ แม้ใบหน้านั้นจะดูเหมือนถมึงทึงเหยียดริมฝีปากมากว่ายิ้มก็ตาม  เคนเลือกนั่งมุมหนึ่งที่ติดหน้าต่างนอกร้านอันมีแสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามา เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น พลางกดมือถือต่อไปหาชื่อที่บันทึกไว้ว่าmadre(*แม่)





         โดลเชกลับถึงบ้านหลังเวลาร้านเปิด  ครอบครัวของเขาแต่เดิมบิดาเป็นนายธนาคารเคยทำงานที่Romeต่อมาเกษียณตัวเองกลับมาอยู่บ้านเกิดที่Sienaแต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินให้ตระกูลแอนิโมโตเรื่อยมา ส่วนมารดาเป็นนักร้องโอเปร่าเสียงโซปราโนชาวฝรั่งเศส การแต่งงานทำให้เธอเบื่อหน่ายการเป็นเม่บ้านจึงเปิดคาเฟ่เล็กๆบริเวณจตุรัสPiazza del Campo เป็นกิจการครอบครัว   โดลเชมีพี่ชายสองคน  คนโตเป็นนายทหารมียศของกองทัพ ส่วนคนรองเป็นนายธนาคารหนุ่มทำงานอยู่ที่ฟรอเรนซ์  นี่เองจึงเป็นปัญหาที่แม่บังคับให้โดลเชออกจากงานเลขาให้คุณชายตระกูลแอนิโมโต  ที่เธอเห็นว่าไม่มีอนาคต และอยู่ไกลบ้านโดยไม่จำเป็น   พี่ชายคนโตของเขาเดินเข้ามาที่เคาท์เตอร์ไม้สีเข้มยกเครื่องดื่มร้อนๆที่ลูกค้าสั่งเตรียมจะไปเสิร์ฟในขณะที่พี่ชายคนรองกำลังกระเซ้าเย้าแหย่น้องคนสุดท้องที่กำลังรีบทำกาแฟคาปูชิโนตามที่พี่ชายรับออเดอร์มาให้

“วันดีคืนดีเลขาคนขยันทำไมอยู่ๆกลับมาบ้านเสียล่ะ”พี่ชายผู้สวมแว่นสีน้ำตาลไหม้รับกับดวงหน้าออกปากเย้าแหย่เป็นภาษาฝรั่งเศส  ภาษาที่มักใช้เสมอเมื่อพูดกันในครอบครัว

“ยุ่งจริง ไม่กลับก็บ่น กลับก็ประชดประชัน”น้องชายวางครัวซองชิ้นสวยลงบนจานเซรามิคที่ปูรองด้วยกระดาษฉลุลายละเอียดงาม

“ไม่เอาน่า มีเรื่องมาล่ะสิ” ดวงตาคล้ายกันซุกซน พลางนึกไปถึงชายดวงหน้าคมสันหล่อเหลา เจิดจ้าด้วยดวงตาสีมรกตคู่งามที่ด้านนอก จะใครล่ะ เจ้านายของน้องเขามาตามน่ะสิ!

“ไม่มี  เอาไป!!” โดลเชส่งอาหารที่จัดตามออเดอร์ให้พี่ชายนำไปส่ง  พี่ชายคนรองยักไหล่ทีหนึ่งก่อนจะรับออกไปเสิร์ฟ สวนกับพี่ชายคนโตแล้วกระซิบกระซาบกัน

“กระซิบอะไร!!!”เสียงน้องชายคนเล็กตวาดลั่นครัว ทำให้ลูกค้าภายในตัวร้านหันมองกันเป็นการใหญ่

“เบาๆ ลูกค้ามองกันใหญ่แล้ว”พี่ชายคนโตดุพลางตบหัวน้องชายอย่างปลอบประโลม  แล้วหยิบเครื่องดื่มร้อนๆออกไปเสิร์ฟต่อที่ชานร้านด้านนอก โดลเชเหลือบมองกาแฟคาปูชิโนที่แน่นิ่งไม่มีใครยกไปเสิร์ฟอย่างหงุดหงิด ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปเสิร์ฟเองโดยให้ลูกมือทำหน้าที่แทนตน

“ว่าจะมาเอาไปอยู่เชียว ออเดอร์โต๊ะ13”พี่ชายคนรองบอกพลางยักคิ้วหลิ่วตา โดลเชส่งกาแฟในมือให้พี่ชายคนรองรับ

“เสิร์ฟเอง ในครัวยุ่ง”

“โอ๋ๆ  อารมณ์ไม่ดีๆ”โดลเชเดินกลับไปวุ่นวายกับออเดอร์ตามเดิม









“madre”เคนเรียกคนที่ปลายสายที่ตอบกลับมาด้วยเสียงใสแจ๋ว

“ว่าไงคะคุณลูกชาย”

“แม่ บ้านโดลเชที่seinaอยู่ตรงไหนครับ?”

“อะไร๊ มาถามอะไรเอาป่านนี้  ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคนสนใจว่าบ้านใครอยู่ไหนบ้านวันนี้เป็นอะไร”

“เอาน่าบอกมาเถอะ”ลูกชายชักไม่อยากต่อปากต่อคำ

“จะไปหาคนไปที่ร้านดีกว่า ร้านอยู่แถวจตุรัสนั่นแหล่ะ จะไปเมื่อไหร่ล่ะ ฝากของไปให้บ้านนั้นด้วยวันก่อนเอาขนมมาฝากเยอะแยะ ที่เรากินแล้วบอกอร่อยนั่นแหล่ะ เขาทำเอง”

“แล้วตกลงร้านไหนละครับ แถวนี้มีตั้งหลายร้าน”เคนพูดพลางห่อกายด้วยความหนาว  แม้ในร้านจะอุ่นกว่าข้างนอกมาก แต่เขายังปากเขียวตัวสั่น จะไม่สั่นได้อย่างไร ในเมื่อวิ่งปุเลงๆไปรอบเมืองโดยไม่มีเสื้อที่สามารถให้ความอุ่นแก่ร่างกายได้

“ร้านชื่อLe Blanc”เคนได้ปากกาหนึ่งด้ามจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแล้วคว้ากระดาษทิชชูจากบนโต๊ะมาจด พลางนึกแปลกใจไปว่าทำไมชื่อร้านเป็นภาษาฝรั่งเศษทั้งที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าแก่ของอิตตาลี

“แน่ใจนะว่าถูกร้านนะครับ ทำไมชื่อไม่เป็นภาษาอิตตาเลี่ยน”

“เจ้าของร้านเป็นคนฝรั่งเศสนะคะคุณลูกชาย ลองถามคนแถวนั้นดูน่าจะรู้  แค่นี้นะคะคุณลูกชาย Madreจะขึ้นเครื่องแล้ว”

“ครับๆ”  เคนว่างโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ พอดีกับพนักงานร้านนำกาแฟร้อนวางลงตรงหน้าเขาอย่างสุภาพ เคนแค่เหลือบตาขึ้นมองกาแฟว่าได้ตามที่เขาสั่ง

“วัวซี Café  เมอซิเออร์”พนักงานร้านพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสทำให้เคนเงยหน้าขึ้นอย่างงงๆ ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้ด้านภาษาฝรั่งเศส  แต่เขายังสงสัยอยู่ว่า เหตุใดพนักงานคนนี้ถึงพูดภาษาฝรั่งเศสแทนภาษาอิตตาเลี่ยนทั้งที่หน้าเขาก็ออกชัดว่าอิตตาเลี่ยน

“แมซี เบียง”เคนตอบแล้วกุมแก้วกาแฟไว้ให้ความอุ่นกับร่างกาย พนักงานร้านจึงเดินจากไป  แล้วดินกลับมาพร้อมครัวซองค์ชิ้นสวย

“ปูร์ มัว? ผมไม่ได้สั่ง”(*สำหรับผมหรือ?)

“บริการพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวผู้หิวโหยครับ”พนักงานร้านยิ้มพลางก้มศีรษะลงเล็กน้อยสง่างามแล้วเดินจากไป เคนจึงรับมาอย่างงงๆ ก่อนจะลองชิมดูแบบกล้าๆกลัวๆ   ด้วยความหิว ทำให้เขาทานทั้งครัวซองค์หอมๆและกาแฟร้อนๆหมดในเวลาไม่นานนัก  พลันสายตาเขาเห็นสัญลักษณประจำร้าน ที่ประทับชื่อร้านอยู่หราด้วยสีเขียว


Le Blanc หมายถึง Bianco แปลว่าสีขาวเหมือนกัน  เขานี่โง่ชะมัด!!!!!









         ธีรธรกลับกรุงเทพฯ ตามที่พิรุณายืนยันให้พากลับทั้งที่ตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำด้วยกันทั้งคู่  เขาจึงยอมขับกลับมาแต่จากเวลาแล้วคงไม่สะดวกนัก หากจะพาพิรุณไปส่งที่บ้านปอง  เขาจึงตัดสินใจพาพิรุณากลับมาบ้านของเขาเอง  บ้านชานเมืองกรุงทเพฯยามดึกสงัด มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนร้องระงมอยู่ตามพงหญ้าและต้นไม้  ธีรธรลงไปเปิดประตูรั้วใหญ่ด้วยตนเอง แล้วขับเข้าไป  บ้านขนาดไม่ใหญ่หลังหนึ่งปรากฏขึ้นหลังเงาไม้  โดยมีทางโรยกรวดหยาบสีขาวนำไปสู่ตัวอาคารทรงปั้นหยาที่ยังคงอยู่ในสภาพดีเหมือนครั้งเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ทำให้พิรุณาตื่นเต้นที่จะได้เห็นข้างในเร็วๆ ทันทีที่ธีรธรจอดรถดับเครื่องยนต์สนิทเขารีบวิ่งมาเปิดประตูอีกข้างให้ทันที พร้อมทั้งยื่นมือไปช่วยพยุงพิรุณาให้ลงจากรถที่ค่อนข้างสูงได้สะดวกขึ้น

“เข้าบ้านกันเถอะ”ธีรธรพูดเบาๆ  ดวงตาสีม่านราตรีสบกับดวงตาสีน้ำตาลแดงสื่อความหมายพลางบีบกระชับมือพิรุณาเบาๆ

“เดินระวังนะ ตรงนี้มีบันไดหน่อย”ธีรธรจับจูงมือบางอย่างถนอมราวกลัวจะแตกหัก   พิรุณาซ่อนรอยยิ้มไว้ในความมืดยามค่ำคืน  ภายในบ้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยเครื่องเรือนทันสมัยที่เข้ากับความคลาสสิคของตัวอาคารได้อย่างลงตัวด้วยโทนสีสบายตา      

“รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย  ต้องทานยาด้วยนะ”

‘ผมเป็นคนหัวแข็ง  ไม่เป็นไรอยู่แล้ว’

“เดี๋ยวเป็นหวัดจะหัวเราะเยาะให้เลย”ธีรธรพูด ก่อนจะจามติดต่อกันหลายครั้ง   มือนวลๆเย็นสัมผัสใบหน้าคนตัวสูงกว่าแผ่วเบา

‘คุณนั่นแหล่ะที่จะไม่สบาย’

“เอาอย่างนี้ไหม ข้างบนในห้องผมมีห้องน้ำอีกห้อง พิรุณาอาบห้องนั้นแล้วนอนห้องผม  แล้วเดี๋ยวผมมาอาบข้างล่าง เอ๊ะ หรือจะอาบด้วยกันเลย”ธีรธรทำหน้าทะเล้นแต่พิรุณาเงื้อกำปั่นจะทุบเข้าให้

‘ทำมาเป็นตลก’

“ล้อเล่น อย่าเคืองสิครับ”ธีรธรยิ้ม  ก่อนจะประทับรีมผีปากอุ่นๆลงบนหน้าผากเนียนพิรุณายิ้มบางเบาที่มุมปาก

“ยิ้มกว้างๆสิครับ  ยิ้มนิดเดียวให้ไปเดาเอาเองอยู่เรื่อย  ยิ้มกว้างๆน่ารักออก ยิ้มให้ดูหน่อยนะ  เอากว้างๆเลย”

‘ไม่เอา อยากอาบน้ำ’พิรุณาหันหน้าหนีเอาดื้อๆ ธีรธรจึงเลิกเล่น พอพิรุณาเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน  ห้องน้ำขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก เครื่องสุขภัณฑ์ดูเป็นของโบราณ หากแต่ใช้ได้ดีทุกชิ้นทำให้พิรุณาทึ่ง  ดูเหมือนบ้านหลังนี้ จะน่ามองไปเสียหมด ทั้งภายนอกภายใน แต่ไม่รวมเจ้าของบ้าน

“อย่าล็อคประตูนะ อาบเสร็จแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนี้เล้วถอดชุดเก่าไว้ในห้องน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวจะเอาไปซักให้” ธีรธรพูดก่อนจะส่งเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดประตู้ห้องอาบน้ำให้

         พิรุณาอาบน้ำล้างกลิ่นเค็มจากทะเลออกจากตัว พลางนึกอย่างขำขันว่าตนเพิ่งผ่านการดองเค็มมาสดๆร้อนสินะ  เขาปิดฝักบัวแล้วก้าวออกจากอ่างอาบน้ำพลางเช็ดหัวเช็ดตัวให้แห้งหมาด  มือเนียนหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาสวมอย่างประหลาดใจ  เพราะเสื้อผ้าทุกชุด ดูเหมือนจะเป็นขนาดที่พิรุณาใส่ได้พอดิบพอดีทุกชิ้นไป ทั้งกางเกงขาสั้นบานๆนี่ยาวถึงเข่า เอวก็พอดี  เสื้อยืดสีเหลืองๆนี่ก็ใส่ได้อย่างสบาย  พิรุณาเก็บข้อสงสัยไว้แล้วเดินออกจากห้องน้ำ  ที่หน้าต่างบานใหญ่ภายในห้องอันมืดสลัว ธีรธรยืนหันหลังให้กำลังมองออกไปเบื้องนอก จากการแต่งกายด้วยกางเกงแพร และเสื้อคอป้านสีขาวทำให้เขาทราบว่าธีรธรอาบน้ำแล้วเรียบร้อยเช่นกัน

‘เสื้ออย่างนี้เรียกว่าอะไร?’ธีรธรชี้ที่เสื้อตัวเองตามท่าทางของพิรุณา

“อ้อ เสื้อคอพวงมาลัยน่ะ ใส่นอนสบายดี”ธีรธรจับมือบางหงายฝ่ามือขึ้นอย่างสุภาพ แล้วลากปลายนิ้วลงไปเพื่อเขียนให้พิรุณาทราบ

‘เกี่ยวอะไรกับพวงมาลัย?’พิรุณาขมวดคิ้วสงสัย  ธีรธรจิ้มนิ้วลงหว่างคิ้วทั้งสอง

“ไม่เอา อย่าหน้านิ่วคิ้วขมวด  ขมวดคิ้วแล้วหน้าเหมือนกระต่ายท้องผูก”พิรุณายกมือคลำหน้าผากตน ธีรธรยิ้มพลางดึงแขนพิรุณาไปยังเตียง

“นอนเถอะ จะเช้าแล้วนะ”พิรุณาพยักหน้าแล้วยอมนอนแต่โดยดี เพราะง่วงและเหนื่อยมากแล้ว  ธีรธรห่มผ้าให้จนถึงคอ  ดวงตาสีน้ำตาลมองทุกการกระทำอ่อนโยนนั้นโดยไม่ละสายตา  มือใหญ่แข็งแรงคลี่ผ้าห่มห่มให้อย่างเบามือ  เมื่อปิดไฟหัวเตียง ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในความมืด แสงจันทร์อันอ่อนล้าด้วยเมฆใหญ่น้อยค่อยบั่นทอนแสงจันทร์กระจ่างให้มัวแสง ธีรธรตรวจดูความเรียบร้อยในห้องอีกครั้งเพื่อให้พิรุณาพักผ่อนอย่างสบายก่อนจะเดินพละออกไป  แรงยื้อจากชายเสื้อทำให้เขาหันไปมอง

“มีอะไรหรือครับ?”

‘คืนนี้จะนอนที่ไหน?’ดวงตาสีน้ำตาลแดงแสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างไม่ปิดบัง  หัวใจของธีรธรพองฟูขึ้นคับอก

“นอนที่ไหนก็ได้  คุณนอนเถอะ เหนื่อยมากแล้วนะ”

‘ถ้าไม่มีที่นอน นอนที่นี่ก็ได้ เตียงออกจะกว้าง’ธีรธรวางมือตนลงเหนือมือนวลบาง

“อย่าเลย นอนเบียดกันเดี๋ยวจะไม่สบายตัว หลับไม่สนิทเอาเปล่าๆ?”

‘แต่นอนคนเดียวมันออกจะเหงานะ’ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน  จนธีรธรอดไม่ไหว  คุกเข่าลงข้างเตียงแล้วชะโงกตัวไปจุมพิตหน้าผากเนียนอย่างเอ็นดู  ได้ยินเสียงใจตัวเองเต้นตุ้มๆต่อมๆ

“อย่ามายั่วนะ”พิรุณายิ้ม นัยน์ตาคู่สวยฉายประกายร้าย ทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้

‘เพราะไว้ใจว่าคุณธี ว่าจะไม่ทำอะไรไม่ถูกไม่ควร  จริงไหม?’ แม้ความมืดจะครอบงำเหลือเพียงแสงสาดสลัว แต่ธีรธรสังเกตได้ว่าพิรุณายิ้มอย่างที่ธีรธรเห็นว่า ‘ร้ายๆ’ มันน่าตีนัก พิรุณาแม้บางครั้งจะดูไร้เดียวสา แต่เนื้อแท้ ร้ายเดียงสาไม่เบา  ดวงตาสีสวยนั้นแหล่ะ เป็นกับดักชั้นยอดที่ทำให้เขาตกปากรับ!

“ครับๆ”และสุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ให้กับดวงตาสุกใสคู่นั้น แม้จะรู้อยู่เต็มอกแล้วว่า เจ้าของดวงตานั้น แอบร้ายไม่ใช่เล่น

นี่เท่ากับว่าพิรุณาได้ทำหลักประกันให้ตัวเองแล้วว่า ธีรธรจะไม่ได้แตะต้องหยาดฝนแสนหวานจนกว่าจะถึงวันที่ความร้อนแห่งห้วงรักจะหลอมละลายละอองน้ำแห่งพระพิรุณาให้ระเหยไปพร้อมกับความอบอุ่นอ่อนโยนและห้วงเวลาอันน่าภิรมย์เกินห้ามใจ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนโพสขอตัวไปฉีดอินซูลิน(เขียนงี๊ป๊ะ)เข้าเส้นก่อนนะครับ
ไม่ไหวและ :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 20-02-2008 22:24:06
อ้างถึง
นี่เท่ากับว่าพิรุณาได้ทำหลักประกันให้ตัวเองแล้วว่า ธีรธรจะไม่ได้แตะต้องหยาดฝนแสนหวานจนกว่าจะถึงวันที่ความร้อนแห่งห้วงรักจะหลอมละลายละอองน้ำแห่งพระพิรุณาให้ระเหยไปพร้อมกับความอบอุ่นอ่อนโยนและห้วงเวลาอันน่าภิรมย์เกินห้ามใจ

อ่ะนะตายไปเลย........ :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 21-02-2008 00:16:50
หวานกันจัง หวานจนเลี่ยนเลย  :oni2: :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 21-02-2008 02:20:52
อ้างถึง
'แต่นอนคนเดียวมันเหงานะ'

อ่านถึงท่อนนี้ตายไปเลย :m25:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 21-02-2008 10:31:47
แหม พิรุณาร้ายยยยยยยยยยยยยยยย ใช่ย่อย
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Bizcuit ที่ 21-02-2008 20:26:38
สนุกมาก ๆ เลยครับ  และเราก็รอให้คนแต่งมาลงต่ออยู่นะ 

อัพเร็ว ๆ นะครับ

ระหว่างรอก็ขอวิ่งเล่นในเล้าหน่อยแล้วกัน

 :oni1:  :oni1:  :oni1:  :oni1:

วิ่งไปวิ่งมาก็บังเอิ๊ญ บังเอิญ 

อุ๊บส์  ซวยแระ  กำจิง ๆ

 :เตะ1:  :เตะ1:  :เตะ1:  :เตะ1:

ไปเหยียบโดนใครเข้าก็มะโร้  ซะงั้น 

ก็เลย 

 :o12:  :o12:  :o12:  :o12:

ขอชิ่งก่อนละนะคร๊าบบบ  บ๊ายบาย

 :bye2:  :bye2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 22-02-2008 19:23:07
หวานจังเลย >< :m1: พิรุณาแอบร้ายนะเนี่ย

ว่าแต่ทำไมเสื้อผ้ามันพอดีตัวเลยอ่ะ สงสัยเหมือนกันนะเนี่ย  o12
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 25-02-2008 14:03:38

         

         โดลเชเดินออกจากครัวหลังเวลาร้านปิด คืนวันศุกร์ ร้านจะปิดในช่วงสี่โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มครึ่ง เพื่อปรับร้านใหม่ให้กลายเป็นคลับขนาดย่อมรองรับเหล่านักท่องเที่ยวและชาวเมืองที่ต้องการพักผ่อนหย่อนใจด้วยเสียงเพลงแจ๊สหรือเพลงคลาสสิคเบาๆ  แต่ที่ขึ้นชื่อของร้านเห็นจะเป็นนักร้องโอเปร่าเสียงใสผู้ควบหน้าที่เจ้าของร้านและนักร้องประจำไปด้วยในตัวและดินเนอร์รสเลิศในราคาย่อมเยาว์   โดลเชกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณร้านเพื่อตรวจความเรียบร้อย โต๊ะสีขาวบัดนี้ถูกเลื่อนออกไปล้อมเป็นวงกลมให้เหลือพื้นที่กลางร้าน อันมีเวทีขนาดย่อมสำหรับการแสดงเล็กๆและกลุ่มนักดนตรี   ลูกมือในร้านหลายคนกำลังช่วยกันจัดโต๊ะอย่างขยันขันแข็ง รวมถึงพี่ชายทั้งสองของเขาที่กำลังพูดคุยกันเป็นภาษาฝรั่งเศสอยู่ไกลๆ   แต่ลูกมือร่างสูงโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาวเบี้ยวๆแผกจากพนักงานคนอื่นที่แต่งกายเรียบร้อยทำให้โดลเชขมวดคิ้ว เพราะท่าทางเก้งก้างไม่ทะมัดทะแมงในการจัดโต๊ะเป็นที่รำคาญตาท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของลูกมือหญิงที่แอบกระซิบกระซาบกัน

“มาใหม่หรือ?”  โดลเชถามพลางหยิบมีดขยับให้เข้าที่ ก่อนจะแตะแก้วบอบบางให้เรียงตัวเข้าที่สวยงาม พนักงานใหม่รีบก้มหน้างุด

“ครับ  คุณซีแอลเพิ่งให้ผมเข้ามาฝึกงานวันนี้”โดลเชขมวดคิ้วยุ่งยากใจพลางนึกต่อว่าพี่ชายในใจ  และยิ่งหงุดหงิดขึ้นอีกกับท่าทางการพับผ้ากันเปื้อนที่ช้าและไร้ซึ่งความสวยงามของพนักงานหัดใหม่

“ใครเป็น คนรับผิดชอบสอนงานคุณ?”โดลเช่พูดพลางแย่งผ้ากันเปื้อนนั้นมาสะบัดให้แผ่ออกเป็นผืนกว้างก่อนจะพับใหม่เสียเองอย่างคล่องแคล่ว

“พับแบบนี้ รูดจีบให้เป็นยอดแหลมก่อน ค่อยกาง แล้ววาง”

“คุณโดลเช่ครับ”โดลเช่เงยหน้าขึ้นมองเด็กหัดใหม่ แล้วตกตะลึงพูดไม่ออกเพราะดวงหน้าคมสันนั้นคุ้นตาเหลือเกิน คุ้นจนน่าตกใจ!!!!

“คุณเคน!!”

“คุณโดลเช่เป็นคนสอนงานผมครับ”ดวงตาสีมรกตมองเลขาของตนพลางยิ้มเจ้าเล่ห์

“ซอแลล ซีแอล มานี่เดี๋ยวนี้นะ!!”เสียงตวาดอย่างตื่นๆเป็นภาษาฝรั่งเศสของโดลเช่ทำให้พี่ชายทั้งสองที่กำลังไหวตัวหนีไม่ทัน พี่ชายคนรองหัวเราะร่วนสะใจที่แผนร้ายแผนรักสำเร็จจนได้

“ใครพาเข้ามาทำงานในร้าน” 

“พี่เอง”ซอแลลพี่ชายคนโตกล่าวเสียงเบา ทั้งที่จริงๆแล้วเป็นแผนของซีแอลพี่ชายคนกลางต่างหาก  เมื่อเห็นว่าเป็นพี่ชายคนโต โดลเช่จึงยอมลงให้  แม้จะยังไม่พอใจอยู่มาก

“ถ้าคุณแม่รู้ต้องโกรธมากแน่”

“จะโกรธทำไม  มีพนักงานหน้าตาดีๆอย่างนี้สิ ลูกค้าจะได้เข้าร้านเยอะ” หญิงวัยกลางคนที่ดวงหน้าอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงทำให้ทุกคนในร้านหันไปมอง  ลูกชายทั้งสามเข้าไปกอดมารดาของตน 

“บองชูว์ ซินญอร์แอนิโมโต”เคนก้าวเข้าไปใกล้ ก่อนจะรับมือนุ่มของหญิงสูงวัยมาสัมผัสริมฝีปากลงไปอย่างฉาบฉวย พลางยิ้มน้อยๆ เขาจำได้ว่า หญิงสูงวัยคนนี้เคยไปเยี่ยมบ้านเขาหลายครั้ง  เพียงแต่นานแล้วที่เขาไม่ได้พบต่อหน้าเช่นนี้

“ไม่พบกันนานนะครับ คุณแม่สบายดีไหมครับ”โดลเชตวัดสายตามองคนพูดอย่างขุ่นเคือง

“แหม สบายดีค่ะ เมื่อเที่ยงเพิ่งทราบว่าซินญอร์แอนิโมโตจะมา ไม่นึกว่าจะถึงเร็ว”

“อ่อครับ  มาหลงอยู่พักใหญ่”

“อย่างไรเสีย คงไม่สะดวกถ้าจะขับรถกลับโรมคืนนี้  ค้างที่นี่ก็ได้นะคะ โดลเชคืนนี้นอนเฝ้าร้านอยู่แล้ว”โดลเชมองมารดาตนพลางคิดไปถึงห้องพักขนาดไม่ใหญ่นัก อันเป็นที่หลับที่นอนจำเป็น เนื่องจากตนกลับบ้านอย่างฉุกละหุก ห้องนอนที่บ้านจึงไม่พอ เนื่อจากมีญาติจากฝรั่งเศสมาพักด้วยอีกหลายคน

“โดลเชคงไม่ขัดข้องจริงไหมจ๊ะ?” จะขัดข้องได้อย่างไร ในเมื้อสายตาละม้ายบุตรชาย ส่อประกายจริงจัง มิให้เขาบิดพริ้ว

“ได้ครับ ยังมีเตียงว่างอีกเตียง  หวังว่าซินญอร์แอนนิโมโตจะนอนได้”

“ผมไม่เกี่ยงหรอกครับ อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย  แต่เจ้าของเขาจะอยากเลี้ยงหรือเปล่านี่ไม่แน่ใจ”เคนพูดประโยคหลังเบาๆพลางหันไปสบกับนัยน์ตาสีเขียวอมเทา ดวงหน้าขาวนั้นรีบเบือนหนีทันทีแกล้งไม่รับรู้


         ในร้านช่วงหัวค่ำวุ่นวายมากเสียจนเคนไม่ได้คุยกับโดลเชเลย  เพราะโดลเชเดินไปมาและทำงานตลอด ในขณะที่เขาไม่ว่าหยิบจับงานอะไรดูเหมือนจะสร้างความวุ่นวายให้เสียมากกว่า จากงานง่ายๆอย่างล้างจาน ก็กลายเป็นทำจานแตก เสิร์ฟอาหารก็ยิ่งแย่ เพราะทำอาหารหกใส่ลูกค้า  หรือแม้แต่งานต้อนรับลูกค้า จะไปต่อยกับลูกค้าเสียนี่  ดังนั้นงานที่ดีที่สุดที่ซีแอล พี่ชายของโดลเชเสนอจึงเป็นงานที่ดูจะเข้ากับเขาที่สุดแล้ว   
         เคนเดินขึ้นบนเวลาทียกพื้นเตี้ยๆอย่างมั่นใจ โดยมีอาวุธคู่กายเป็นเชลโล่ แม้จะไม่ใช่ตัวโปรด  และสภาพของมันนั้นก็ก่ำคร่ำคร่าจนน่าหวั่นว่าจะพังคามือแต่เสียงนั้นไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลยแม้แต่น้อย เคนยิ้มเป็นมิตรให้ทุกคนอย่างกว้างขวาง  ท่ามกลางเสียงปรบมือเป่าปากต้อนรับ เมื่อเสียงปรับมือนั้นเบาบางลงจึงเริ่มบรรเลง  เสียงเชลโล่ทุ้มหากกังวาลดังขึ้นตามการสีของเคน  ท่วงทำนองอ่อนเอื่อยไหลลื่นชวนให้เพลิดเพลิน  โดลเชลอบมองคนบนเวทีพลางเสิร์ฟอาหารก่อนจะละความสนใจไปจดจ่ออยู่กับการควบคุมรายการอาหาร และออกเสิร์ฟเองบ้างเล็กน้อย  เสียงเพลงที่แปลเปลี่ยนไปทำให้โดลเชกลับไปสนใจเสียงนุ่มนวลนั้นอีกครั้ง  คราวนี้ทำนองโศกอันคุ้นเคยทำให้โดลเชถึงกับละมือที่ทำอยู่   เสียงโหยไห้ของเชลโล่ทำให้ใจของโดลเชเต้นแรงอย่างน่ากลัว

A Time For Us  .....จะมีจริงๆนะหรือ


         



         เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าเป็นเสียงเพลงประกอบภาพยนต์เอเชียเรื่องหนึ่งทำให้ปองสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน  มือควานหาโทรศัพท์เจ้าของเสียงร้องที่สั่นครืดคราดอยู่บนฟูกนอน   ปองยกมือเสยผมอย่างหงุดหงิด  ดวงตาหรี่ปรือนั้นมองหมายเลขที่โชว์บนหน้าจอ อันแสดงว่าโทรมาจากต่างประเทศ  ปองหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะตัดใจกดรับสาย

“ครับ”ปองเลือกจะขานรับอย่างสั้นที่สุดพลางเงี่ยหูฟังปลายสายที่เงียบอยู่นานกว่าจะพูด

“ปองครับ...ผมเองนะ”เสียงที่ปลายสายนั้นทำเอาปองกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง นึกขานชื่อคนๆหนึ่งออกมาเป็นเพียงลมแผ่วเบาบนริมฝีปาก

“ผมพีทนะ ขอโทษที่รบกวนเวลาคุณ   คุณไม่ต้องพูดอะไรก็ได้  แต่ผมอยากให้คุณฟัง”ปองรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีเสียงให้เปล่งถ้อยคำใดๆ ได้แต่ฟังเสียงที่ปลายสายอย่างเงียบๆ

“ปอง ผมมีของอย่างหนึ่งจะให้คุณ ผมอยากให้คุณแค่รับ และรู้ว่าผมเป็นคนมอบให้ คุณจะเก็บมันไว้ หรือโยนทิ้งไปก็ได้....”

“ผมคงอยู่เมืองไทยอีกสักครึ่งเดือน ถ้าคุณรีบคุณส่งแอร์เมลล์มาจะถึงเร็วกว่า”ปองพูดอย่างคนหาเสียงไม่เจอ มันแหบแห้ง ฟังดูแห้งแล้งจนแม้แต่ปองยังนึกแปลกใจ

“ไม่ได้หรอก มันใหญ่เกินกว่าจะส่งไปได้”ดวงหน้าละม้ายพี่ชายแย้มริ้มฝีปากนิดๆ ในอีกซีกโลกหนึ่งที่ไกลกันเหลือเกิน

“อ่อ ถ้าอย่างนั้นคุณรอหน่อยแล้วกันนะครับ ถ้าของนั่นสำคัญมาก ผมจะไปรับหลังจากกลับไปที่โน่นแล้ว”

“ผมรอได้”พีทกล่าวเบาๆ ดวงตาทอดมองไปยังพื้นเบื้องล่าง

“แต่ผมใจร้อน เอาเป็นว่าผมจะเอาไปให้ที่สนามบินวันที่คุณกลับมานะครับ”

“ไม่สะดวกคุณหรือเปล่า?”น้ำเสียงที่ผ่านสาย ชุ่มชื่นหัวใจอย่างน่าประหลาด แม้มันจะเป็นเพียงคำถามธรรมดาทั่วๆไป

“ไม่หรอกครับ ไม่ลำบากอะไร”ความเงียบปกคลุมคนทั้งสอง  เสียงขานเรียกนายแพทย์ดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์ ค่อนข้างชัด

“คุณไปเถอะ เขาประกาศเรียกคุณแน่ะ”

“ครับ ขอบคุณนะครับ แล้วผมจะรอวันที่คุณกลับมา”แพทย์หนุ่มกดวางสายพลางยิ้มน้อยๆ



ขอบคุณความงดงามของความเจ็บปวดที่หล่อหลอมหัวใจ
ขอบคุณห้วงเวลาทุกข์ทนที่บีบคั้นจิตใจ
ขอบคุณหัวใจที่สัตย์ซื่อต่อความรัก
และขอบคุณความดื้อดึงที่ทำให้เขายังสลักรักมั่นในหัวใจ
ขอบคุณมากครับปอง......










         ร้านปิดแล้ว รอบกายมีเพียงเสียงกระทบกันของเครื่องแก้วที่กำลังถูกล้างเก็บ คลอไปกับเสียงเพลงแจ๊สเบาๆอ่อนหวานจากเครื่องเสียงตัวเล็กในครัวที่พนักงานร้านซึ่งกำลังช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดร้านเปิดทิ้งไว้  ไฟในร้านสีนวลตาถูกหรี่ลงจนดับสนิท เหลือเพียงดวงเดียวส่องแสงสว่างรำไร พนักงานร้านค่อยทยอยกันเข้ามารับเงินจากการแบ่งทิปและค่าแรง ก่อนจะลากลับไปหลังจากงานที่ตนรับผิดชอบหมดลง พี่ๆและมารดาของโดลเชกลับไปนานแล้วตั้งแต่ก่อนร้านจะถึงเวลาปิดเล็กน้อย  จนตอนนี้เหลือเพียงเคนและโดลเชเท่านั้น   เคนมองคนนั่งตรงข้ามอย่างเพลินตา มือขาวๆนั้นจรดดินสอเขียนตัวอักษรลงไปอย่างเป็นระบบระเบียบด้วยลายมือคคุ้นตาอย่างที่เขามักเห็นเสมอในสมุดบันทึก  ดวงหน้าซีกหนึ่งที่แสงตกต้อง ทำให้เขาเห็นว่าโดลเชกำลังตั้งใจทำงาน

“นี่ใจคอคุณจะไม่คุยกับผมหน่อยหรอ?”มืองขาวบางๆนั้นยังคงขีดเขียนพลางกดเครื่องคิดเลขคำนวนบัญชีต่อไป

“ไม่เอาน่า เงยหน้ามาพูดกันก่อน ไม่นานหรอก”เคนอ่อนอกอ่อนใจกับท่าทีราวหูทวนลมนั้น เขาเอื้อมมือไปยื้อสมุดบัญชีที่โดลเชเขียนจนปลายดินสอขีดกระดาษเป็นเส้นยาว

“ทำอะไร!!”โดลเชว่าเข้าให้ พลางแย่งสุดบัญชีกลับมา แล้วลบรอยขีดยาวนั้นออก

“สมน้ำหน้า!”เคนเยาะ โดลเชจึงวางดินสอลงแรงๆ ดูเหมือนการที่โดลเชอยู่ในที่ของตนเองทำให้นิสัยส่วนตัวที่เคนไม่เคยเห็นนแสดงออกมาให้เห็นเด่นชัด ว่าแท้จริงโดลเช ค่อนข้างเอาแต่ใจ แต่เรื่องเจ้ากี้เจ้าการนั้น เคนรู้จนซึ้งมานานแล้ว

“นี่  ไม่สงสัยบ้างหรือว่าผมมาถึงที่นี่ทำไม”

“อยากกินกาแฟเคล้าลมหนาวมั้ง!”โดลเชกระแทกเสียง แล้วนั่งกอดอกหลังตรง ดวงหน้าชักเริ่มงอง้ำ

“ไม่ใช่”เคนกอดอกนั่งหลังตรงบ้าง หากแต่ดวงหน้าคมสันยิ้มพราว

“แล้วยังไง?” โดลเชคลายวงแขนมาวางบนโต๊ะข้างหนึ่ง  อีกข้างวางศอกเท้าพนักเก้าอี้

“ก็มาตามลูกจ้างหนีงานกลับ”เคนนั่งเลียนแบบโดลเชบ้างโดยให้มือตนข้างตรงข้ามกับโดลเชวางบนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าโดลเชใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะ เขาก็เคาะตาม

“ผมจำได้ว่ายื่นใบลาออกแล้ว”ดวงตาสีเทาอมเขียวฉายประกายครุ่นคิด ก่อนจะถูปลายคางกับแขนเสื้อ เคนก็ทำตามบ้าง

“ผมไม่อนุมัติ”โดลเชเริ่มรู้สึกได้ว่าตนถูกเลียนแบบ

“อย่ามาทำตามนะ!!!!!”

“ใครทำตาม” เคนตีหน้าซื่อ แสร้งไม่รู้ไม่ชี้

“เด็ก!”

“อืม”เคนรับคำสั้นๆ ดวงตาทอดมองปลายนิ้วขาวของคนตรงข้ามนิ่งนาน

“ผมต้องการให้คุณทำงานต่อนะ คุณก็รู้นี่ว่า ตามกฎบริษัทถ้าจะลาออกต้องบอกล่วงหน้าเป็นเดือน ต้องรอจนกว่าคนใหม่จะมา และรับงานต่อจากคุณได้”

“ข้อนั้นผมทราบ ผมจะไปทำงานให้ในช่วงที่คุณหาคนใหม่”

“ไม่ ผมจะไม่หาคนใหม่”
“แต่คุณก็เห็นนี่ว่าที่นี่ต้องการคนบริหารจัดการนะ แม่ผมไม่ค่อยพอใจนักที่ผมไปทำงานให้คุณ ท่านว่าไม่เจริญ”

“แม่คุณ หรือตัวคุณเอง โดลเช” ดวงตาสีเทาอมเขียวเงยขึ้นสบกับดวงตาสีมรกตอันฉายประกายเคร่งครึม ไม่เหลือเค้าซุกซนอย่างเมื่อครู่  การประสานสายตายังดำเนินไปยาวนานกว่าจะมีใครเอ่ยอะไรออกมา

“ใช่เป็นเพราะผมเองส่วนหนึ่ง”โดลเช กล่าวก่อนจะหลบตา

“ทำไม?” เสียงทุ้มนั้นถามอย่างแผ่วเบา แทบเป็นกระซิบ  โดลเชหัวเราะขึ้นจมูกขึ้นมาครั้งหนึ่งก่อนจะสบตาคมกล้านั้นดวงตาสวยเรียวนั้นฉายประกายมาดมั่นอย่างแรงกล้ามองตรงมายังชายตรงหน้า

“เพราะผมคิดว่าผม....หลงรักคนที่ไม่มีหัวใจมอบให้ผมน่ะสิ”






         


         แสงไฟในหอประชุมใหญ่หรี่ลงจะมืดมิดมาเหลืองเพียงแสงสว่างที่มาจากเวที  ดวงตาสีม่านราตรีคมพราวจ้องมองร่างในชุดสูทเต็มพิธีการหางยาว  นิ้วเรียวยาวพรมนิ้วบรรเลงเสียงเพลงอย่างแคล้วคล่อง  เสียงพริ้วหวานเริงร่าช่วยทำให้ผู้ชมในหอประชุมแห่งนี้รู้สึกครื้นเครง   เสียงเปียโนคลอเคล้าเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ธีรธรยิ้มมุมปากท่ามกลางความมืดโดยไม่รู้หรอกว่า น้องสาวของทั้งสามก็แอบยิ้มเช่นกัน เนื่องจากท่าทางของพี่ชายที่ดู มีความสุขแบบคนอินเลิฟเป็นพิเศษจนทุกคนรู้สึกได้  เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่นั้นก็ไม่อาจนับ  แสงไฟบนเวทีหรี่ลง จนเกือบมืดสนิทก่อนสปอตไลท์จะสาดแสงไปยังร่างในชุดทักซิโด้ของพิรุณา  และนักร้องรับเชิญ ที่แต่งเครื่องแบบประดับยศสง่างาม  เสียงปรบมือต้อนรับดังกึกก้อง นักร้องผู้นั้นจึงโค้งให้อย่างงามสง่าก่อนจะก้าวเดินมากลางเวที


         เสียงเครื่องสายนำขึ้นมาเมื่อวาทยาการในชุดเครื่องแบบประดับยศสูงกว่าทุกคนวาดมือขึ้นสูง  เสียงซออู้ที่โซโล่คลอเคล้าไปกับเสียงเปียโนแผ่วเบา ด้วยสำเนียงเพลงอย่างไทยแท้  เสียงร้องทุ้มต่ำหากน่าฟังขับถ้อยทำนองอ่อนหว่าพิสุทธิ์เป็นชื่อดอกไม้นานาพันธุ์ที่สอดคล้องกันเป็นบทกลอนไพเราะ เสียงฉิ่งตีประกอบยิ่งขับให้เพลงนี้กรุ่นกลินไอแห่งความเป็นไทยอย่างลึกซึ้งโดยมีเสียงออเครสตาเสริมเบาๆฟังดูแผ่วเบาเพียงกระซิบ แม้เสียงเปียโนจะโซโล่เด่นชัดขึ้นในท่อนกลางของเพลงด้วยทำนองอ่อนหวานละมุนละไมสลับกับการโซโล่ของซออู้ที่สีอย่างละเมียดทุกเส้นเสียง เสียงนั้นคมชัดไพเราะยิ่งกว่าเครื่องสายตะวันตกใดๆจะสู้ได้ เสียงเหล่านี้ประกอบขึ้นมาเป็นบทเพลงอันผสมกลมกลืนความเป็นไทยละเมียดละไมอ่อนหวานกับความเป็นสากลได้อย่างลงตัวยิ่ง

         ใครว่าเพลงไทยนั้นไม่ไพเราะ ใครว่าเพลงไทยใครหรือจะสนใจ  ใครว่าเพลงไทยไม่ชวนค่าให้ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง ธีรธรขอค้านหัวชนฝา  ยิ่งถ้าเป็นพิรุณาบรรเลเองแล้วอะไรก็เพราะไปหมด  ดวงหน้าคมสันนั้นเปื้อนยิ้มอีกครั้ง  นี่เขาทั้งรักทั้งหลงพิรุณาเอามากๆเลยใช่ไหมนะ
         







         ในจำนวนผู้ชมที่กำลังชมคอนเสิร์ตประจำปีนี้อย่างตั้งใจ ใครคนหนึ่งในที่นั่งพิเศษสำหรับผู้มีเกียติพิเศษบนชั้นลอยกำลังคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน ที่วาทยากรผู้ที่กำลังกำกับควบคุมการบรรเลงเพลงอันไพเราะ  ดวงตาน้ำตาลเข้มฉายประกายครุนคิด หากดวงตาคู่นั้นยังคงสว่างพราวจรัสแสงเฉกเช่นเมื่อหลายสิบปีที่ล่วงผ่าน  เมื่อคืนวาทยากรนายทหารยศใหญ่มุ่งตรงจากบ้านมายังวังเพลงภิรมย์กลางดึก เพื่อยืนกรานสิ่งที่แจ้งมาทางโทรศัพท์เมื่อไม่นานมานี้ ให้หม่อมเจ้าชายภูมิรักษ์ทราบว่าบางที หนุ่มน้อยนัยตาพราวผู้โลดแล่นบนเวทีนั้นอาจมีสายเลือดเดียวกันกับพระองค์

“พระองค์ชาย บางทีเด็กคนนั้นอาจเกี่ยวข้องกับพระองค์พี่ก็ได้”นายทหารยศนาวาเอกทูลขึ้น เมื่ออยู่เพียงลำพังในห้องทรงพระสำราญกลางดึกในคืนต้นฤดูหนาว  ดวงพักตร์งามที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาฉายประกายครุ่นคิด

“เอาอะไรมาพูดนันทพล พระองค์พี่ภูมิพิทักษ์สิ้นไปนานแล้ว จนป่านนี้ยังจะพูดถึงอีกทำไม”หม่อมเจ้าภูมิรักษ์ตรัสอย่างอ่อนล้า หัตถ์แตะสัมผัสลงบนสร้อยพระศออย่างลืมพระองค์

“กระหม่อมทราบ   แต่เด็กคนนั้น คล้ายหม่อมวชิรกานต์มาก นั่นยังไม่รวมสร้อยที่คล้ายสร้อยพระศอที่พระองค์ชายทรงอยู่”  ดวงเนตรสีออกน้ำตาลนั้นฉายประกายหวั่นพระทัย

“เธอแน่ใจหรือ?”

“กระหม่อมค่อนข้างแน่ใจ  จึงอยากทูลเชิญพระองค์ชายไปทอดพระเนตรการแสดง ไปทอดเนตรด้วยองค์เอง”นาวาเอกนันทพลถวายบัตรชมการแสดงอันจะเกิดขึ้นให้ หม่อมเจ้าชายภูมิรักษ์รับไว้พลางกล่าวขอบใจ

“นันทพล ฉัน  มาคาดหวังหรอกนะ”

“กระหม่อมทราบ”




         ดวงหทัยของหม่อมเจ้าชายภูมิรักษ์เต้นถี่รัว  หนุ่มน้อยบนเวทีนั้นคล้ายคนในอดีตมากนัก ภาพแห่งอดีตซ้อนทับขึ้นในห้วงพระดำริ  ภาพของพระองค์พี่ทรงดนตรี ร่างที่แม้ไม่สูงเทียมทัดแต่สง่างามเฉกกันจนไม่อยากเชื่อ ซีกหน้านั้นดูอย่างไรก็คล้ายหม่อมวชิ ที่ทรงเคยสนิทสนมราวร่วมสายพระโลหิต แล้วเด็กคนนี้จะใช่โอรสในพระองค์พี่จริงนะหรือ?  ไม่มีสิ่งใดเป็นหลักฐานที่แน่ชัดกว่านี้แล้วหรอกหรือ?





         คอนเสิร์ตปิดฉากลงด้วยเพลงอันคุ้นหู ทุกคนในหอประชุมลุกขึ้นยืนตรงอย่างเคารพและศรัทธาในบทเพลงๆนี่ยิ่ง เพลงสรรเสริญพระบารมีดังกึกก้องในหอประชุมราวจักประกาศก้องคำสัตย์ปฏิญญา ก่อนจะจบลงผู้คนในหอประชุมโค้งคำนับด้วยหัวใจ ก่อนจะเสียงปรบมือเป็นเกียรติให้วาทยากร นักดนตรีจะดังราวห่าฝน  ธีรธรมองพิรุณาลุกขึ้นยืน ดวงหน้านวลนั้นแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง นัยน์ตาสีสวยเป็นประกายพราวงามหวานซึ้ง ก่อนจะโค้งให้ผู้ชมอย่างสง่างาม  ธีรธรทอดมองอย่างเคลิบเคลิ้ม โดยมิได้ตั้งใจดวงตาสีน้ำตาลแดงของผู้ที่อยู่บนเวทีกลับสบตาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว  ดวงตาพราวสวยนั้นส่งยิ้มหวานให้แล้วพยักหน้าให้เบาๆทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปรับช่อดอกไม้จากวาทยากรและหัวหน้าวงมาไว้ในอ้อมแขนเต็มไปหมด

“มาครับผมช่วยถือ”สต๊าฟหลังเวทีในชุดนายทหารสีขาวสะอาดตาช่วยรับช่อดอกไม้ไปจากอ้อมแขนพิรุณา  ดวงหน้าเนียนยังคงยิ้มกว้างขวาง ก่อนจะไหว้นายทหารคนนั้นเป้นการขอบคุณ  สร้างรอยย้มให้ผูคนโดยรอบ  ปองรีบเดินเข้ามาหาพร้อมน้ำในขวดพลาสติกที่เย็นเฉียบจนเห็นละอองฝ้า

‘เหนื่อยมากไหมครับ?’ปองส่งน้ำให้ก่อนจะถามด้วยภาษามือ

‘นิดหน่อย’ พิรุณาตอบแล้วหันไปทักทายน้องสาวทั้งสามของธีรธร ที่วันนี้ดวงหน้าน่าเอ็นดูทั้งสามน่าดูจนหนุ่มในชุดเครื่องแบบขาวเหลียวมองกันเป็นแถว พิรุณาส่งภาษามือแซว

“หนุ่มๆแถวนี้น้ำลายหกใหญ่แล้ว”ปองช่วยแปลให้เมื่อทั้งสามสวัสดีทั้งเขาและพิรุณา

“ทำไมหรือคะ?”รันดาถาม

“ก็สาวสวยสามคนมาห้อมล้อมคุณพิรุณานี่ครับ เป็นใครก็ต้องอิจฉา”

“อิจฉาพี่ธีมากกว่ามังคะ”ปองแปลเป็นภาษามือ พิรุณากลับเอียงคอสงสัย

“ก็ใครจะโชคดีเท่าพี่ธี  ที่ได้คุณพิรุณาเป็น....อุ๊บ!!”รันดาถูกมือแข็งแรงตะปบไว้ไม่ให้พูดต่อ  ร่างสูงสง่าในสูทสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำยิ่งทำให้ดวงหน้านั้นคมคายหน้ามอง รวมถึงขับผิวเหลืองอย่างชาวเอเชียให้ดูสุขภาพดีขึ้น

“เอาไว้พิรุณารับอย่างเป็นทางการแล้ว เราค่อยป่าวประกาศตอนนั้นไม่สายหรอกรัน”พี่ชายกระซิบบอกเธอ แต่เป็นการกระซิบที่เสียงดังพอจะได้ยินกันทั้งวงสนทนา ก่อนดวงตาสีม่านราตรีนั้นจะเงยขึ้นสบตากับดวงตู่สีน้ำตาลออกแดงอีกคู่ที่ส่งยิ้มให้ด้วยดวงหน้าแดงแจ๋

“ทำหน้าที่ดีนี่ คุณปอง”

“แน่นอนที่สุดครับ” ใครคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบขาวประดับยศค่อนข้างสูงก้าวเข้ามาในวงสนทนา ทำให้ดวงตาทุกคู่จับจ้อง

“เชิญคุณพิรุณาไปพบท่านหน่อยครับ”

“ท่านไหนครับ”ปองรีบถามขึ้นตามหน้าที่ นายทหารคนนั้นจึงกระซิบเบาๆ

“เอ่อ ....หม่อมเจ้าภูมิรักษ์ครับ”ปองแปลให้พิรุณาทราบ ทั้งที่ตัวเองยังสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวเป็นใคร

‘คงไม่เสียหายอะไรหรอก ไปเถอะ คุณปองไปด้วยกัน’ปองพยักหน้ารับ แล้วกล่าวกับนายทหารคนนั้น ว่าจะติดตามไปด้วยในฐานะล่าม

“เชิญทางนี้ครับ”นายทหารคนนั้นผายมือ พิรุณาหันไปสบตาธีรธรครู่หนึ่ง  ดวงตาหวานซึ้งนั้นสื่อความหมาย ว่าเดี๋ยวจะกลับมา  ธีรธรเหยียดริมฝีปากยิ้ม ใจนึงก็เสียดาย  แต่อีกใจก็ทำใจ พิรุณาต้องทำหน้าที่ เขาก็เหมือนกัน

“ริน เรน รัน กลับไปก่อนก็ได้นะ  เดี๋ยวพี่กลับเอง” เรนตั้งท่าจะค้าน แต่รันและรินสะกิดให้สัญญาณว่าไม่ควร

“ถ้างั้นพวกเรากลับก่อนเลยนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่ชาย” น้องสาวทั้งสามกอดพี่ชายเบาๆ ก่อนจะเดินหายลับไปท่ามกลางสายตาของเหล่าชายในเครื่องแบบขาวที่มองกันจนเหลียวหลัง  โดยมีสายตาคมกริบของพี่ชายมองพวกเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้
------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 14 แล้วครับ :m13:
ไว้รอน้องเมศมาอัพตอนพิเศษของวันวาเลนไทน์ย้อนหลังนะครับ :a1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 25-02-2008 14:27:55
อย่างนี้พิรุณาก็ไม่ได้ไร้ญาติขาดมิตรแล้วสิเนี่ย ตื่นเต้นแทน

แต่ตอนนี้ลุ้นความรักของ เคนกับโดลเช่มากกว่า อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 25-02-2008 21:05:23
โห...พิรุณาเป็นลูกหม่อมเจ้าด้วย จะได้มีญาติพี่น้องกับเค้าเเล้ว

ว่าแต่พิรุณาจะยอมรับไหมเนี่ย

ลุ้นๆคู่โดลเชกับเคน  :m1:

โดลเชพูดแบบนี้แล้ว เคนจะตอบว่าไงเนี่ย มันค้างๆคาๆนะ คนเขียนช่วยลงต่อด่วน!!!
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 25-02-2008 22:22:02
ที่จริงต้องลุ้นคู่ปองอีกคู่นะ  :oni2:

อืมแต่ท่าทางจะต้องลุ้นกันอีกยาวเลยมั๊งเนี่ย ไม่กลับไปซักทีนี่นา :a4:


ปล.ไม่มีตอนหวานๆอีกเหรอ หรือว่า คนเขียนกำลังสอบเลยหวานไม่ออก อิอิ :a11:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: momo_2007 ที่ 29-02-2008 01:15:43
โอวว สนุกทุกตอนจิงๆคับ มารอๆๆ นะ ลุ้นเคนกับเดลโซ เหมือนกันอ่ะ แต่ถ้าพิรุณามีมือที่สาม ก็น่าจะหนุกไปอีกแบบ เหอๆๆ
เวอร์ชั่นอยากให้เรื่องมันยาวๆไงคร๊าฟฟ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 29-02-2008 03:26:38
ช่วงนี้น้องเมศสอบท่าจะยุ่งๆแหะ(ตัวเองสอบแต่ก็ไม่สังวร)

น้องเมศสอบเสร็จแล้วมาปั่นแปะไวๆนะน้องเอ้ย

ตอนแรกว่าจะให้น้องเมศลงตอนพิเศษก่อนเวลาแต่เห็นไม่ว่างก็ลงตอน 15 ต่อเลยแล้วกันเน๊าะ

ว่าแล้วก็.... :a1: :a1: :a1:
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO   chapter# 15


         สิ่งที่พิรุณาได้ทราบจากชายคนหนึ่งที่ปองแปลให้ว่าเป็นเจ้าอะไรสักอย่างไม่ชวนให้เขาสบายใจนัก  พิรุณาสูดลมหายใจช้าๆ แผ่วเบา  ดวงตาคู่สีน้ำตาลหลังแว่นกรอบดำเหม่อมองเงาดวงจันทร์กลมโตที่สะท้อนบนผิวน้ำของแม่น้ำเส้นสำคัญดั่งสายโลหิตของกรุงเทพฯ เรือยังคงล่องไปตามแม่น้ำสายสำคัญนี้อย่างช้าๆ  ท่ามกลางบรรยากาศครื้นเครงของเพื่อนว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง แน่นอนว่าเจ้าภาพงานยอมเหมาเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ   พิรุณาหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางสูบบุหรี่ เขารู้ว่าม้วนกระดาษนี่ยิ่งสูบก็ยิ่งเหมือนเอาเงินมาเผาเล่น แต่ก็ใช่ว่าจะสูบไม่เป็น  ชีวิตเมื่อสมัยโน้น ใช่ว่าจะดีเลิศเสียหนักหนา จะเอาอะไรมากมายจากการอยู่บ้านอุปถัมป์จนๆ ท่ามกลางชนบท  ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีชมพูเข้าคู่กับพิรุณาวางกล้องตัวโปรดลงอย่างถนอมก่อนจะถอดรองเท้าหนังเงาวับออกแล้วทรุดกายนั่งลงเคียงใกล้ ยื่นขายาวๆออกนอกตัวเรือผ่านระแนงไม้ฉลุลายดอกไม้ทับซ้อนกัน

“สูบบุหรี่ด้วยหรือ?”พิรุณายิ้มบางๆ แล้วทำมือข้างที่ว่างเอานิ้วโป้งนิ้วชี้มาใกล้กัน อันหมายถึงนิดหน่อย

“ทำไมไม่ไปสนุกกับเพื่อนล่ะ ปองเมาหลับไปแล้ว”ธีรธรกล่าวแล้วหัวเราะเบาๆ พลางเอาขายาวๆมาเกี่ยวขาพิรุณา พิรุณาจึงขยับขาหนี แล้วหันไปขมวดคิ้วใส่ธีรธรจึงหยุด แต่ไม่ลดละ มือแข็งแรงนั้นแย่งบุหรี่ที่พิรุณาทำท่าจะอัดควันพิษเข้าปอดมาไว้ในมือ

“บุหรี่ ไม่ดีต่อสุขภาพ สูบแล้วฟันเหลือง เสียงแหบ ไม่น่ารักเลย ไม่เท่ห์ด้วย” ธีรธรอัดควันพิษเข้าปอดบ้าง แล้วกระอักกระไอน้ำตาไหลแทบจะทันที  พิรุณายิ้มขัน พลางคลำหาทิชชู่จากบนโต๊ะใกล้ตัวส่งให้  ก่อนจะควานหาที่เขี่ยบุหรี่มาดับบุหรี่เสีย

‘ไม่เคยสูบจะสูบทำไม?’ ธีรธรเงยหน้ามองพิรุณา ทั้งที่น้ำตายังเกาะอยู่ที่หางตา พิรุณาหยิบทิชชู่ช่วยซับให้แผ่วเบา

“แค่อยากรู้ว่าอร่อยหรือเปล่า”

‘ไม่อร่อยหรอก’

“แล้วสูบทำไม?”ดวงตาสีม่านราตรีทอดมองส่งกระแสแห่งความห่วงใยลึกซึ้ง  พิรุณาหลบตา ทอดสายตาไปไกล  มือใหญ่แข็งแรงจับหน้าพิรุณาให้หันกลับมาสบตากัน

“มีอะไรไม่สบายใจ บอกหน่อยได้หรือเปล่า?” พิรุณานิ่งอยู่พักใหญ่จึงหยิบสมุดเล่มเล็กสีเหลืองนวลและดินสอออกมา จรดปลายดินสออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเขียน

ถ้ามีคนมาบอกว่าอาจเป็นญาติคุณ คุณจะทำยังไง

         มือแข็งแรงหยิบปากกาหมึกซึมของตนออกมาจากระเป๋าเสื้อเชิ้ต แล้วเบียดกายเข้าชิดใกล้ ก่อนจะเขียนข้อความลงไปบ้าง

มีอะไรเกิดขึ้นหรอ? ถ้ามีคนมาบอกผมอย่างนี้ ผมจะระวัง คนมีหลายประเภท

            พิรุณาเปลี่ยนกระดาษใบใหม่ ก่อนจะเริ่มเขียนอีกครั้ง

หลังคอนเสิร์ต ผมไปพบหม่อมเจ้า...??...รักษ์ ท่านบอกว่า บางทีผมอาจเป็นลูกของพี่ชายท่านที่หายไปกว่า30ปีก่อน   ท่านขอดูสร้อยที่ผมคล้องติดคอไว้เสมอ ท่านว่าตราด้านหลังเป็นตราประจำของอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตระกูลของท่าน   ป่านนี้แล้ว ยังจะมาหาอะไรกันอีก

         ดวงตาสีน้ำตาลแดงต้องแสงจันทร์ไม่สะท้อนแววใดนอกจากความเงียบเหงา


เวลาเกือบสามสิบปี นานพอที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่  นานพอที่จะทำให้ผมรู้ว่าโลกใบนี้โหดร้ายเกินกว่าผู้ที่อ่อนแอจะอยู่ได้  คุณเข้าใจไหม? ชีวิตไม่ใช่ละครที่จะบังเอิญอะไรง่ายๆ มันรู้สึกเหมือนตบหัวและลูบหลัง


ธีรธรพยักหน้าให้เบาๆ มือแข็งแรงนั้นตบหลังมือพิรุณาเบาๆ

แล้วแน่ใจแล้วหรือที่ว่าเป็นหลานท่านจริงๆ


         พิรุณาพยักหน้าแล้วกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับไว้จนเหลือเป็นชิ้นเล็กพอจะใส่กระเป๋ากางเกงได้ ให้ธีรธร  เขารับมาพิจารณา ใบหนึ่งเขียนเป็นภาษาไทยกล่าวถึงรายระเอียดการตรวจ ส่วนอีกใบเป็นภาษาอังกฤษ จากข้อความยืนยันชัดว่าผู้ตรวจทั้งสองร่วมสายเลือดอย่างแน่นอน ความรู้สึกของธีรธรนั้นบอกไม่ถูก ใจหนึ่งเขายินดีที่ได้ทราบว่าพิรุณายังมีญาติพี่น้อง มิใช่เดียวดายลำพังบนโลก  แต่อีกใจก็หวั่นเกรง ด้วยการมีเชื้อสาย ‘เลือดสีน้ำเงิน’ ในระดับนี้ พิรุณาย่อมมีคำนำหน้าชื่อเป็นอื่น และแน่นอนว่า จักดึงดูดผู้คนเข้ามาหาพิรุณามากขึ้นอีก

พรุ่งนี้ ต้องให้คำตอบแล้ว ว่าจะเอาอย่างไร  ท่านอยากให้ผมอยู่กับท่าน แต่ผมยังไม่สนิทใจนัก

         ธีรธรสบตาคู่สีน้ำตาลแดงสวยนั้น มือแข็งแรงกุมมือนวลไว้แล้วบีบกระชับ ถ่ายทอดกำลังใจสู่กันและกัน

“ทำใจให้สบายเถอะ ทำในสิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุด  มนุษย์มีสิทธิ์จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองมิใช่หรือ”

       ดวงหน้าเนียนต้องแสงจันทร์ แย้มยิ้มส่งกระแสอ่อนหวานตอบ  ธีรธรเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง  พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามหักห้ามจิตใจให้สงบ แต่ดูเหมือนหัวใจกับร่างกายไม่ไปด้วยกันเอาเสียเลย  กระแสลมเย็นพัดเพียงแผ่วเบาจนเส้นผมสีน้ำตาลแดงของพิรุณาปลิวสะบัด กลิ่นหอมอ่อนโดยไม่ได้ใช้เครื่องหอมใดลอยมากับกระแสลม  ดวงหน้าคมสันของธีรธรโน้มเข้าใกล้พิรุณา  ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นหลุบลงต่ำก่อนจะหลับตาลงปล่อยหัวใจไปกับความหวานละมุนอุ่น  ริมฝีปากหยักสวยของธีรธรสัมผัสได้ถึง   ความเย็น ที่เย็นราวโลหะ หรือเครื่องแก้ว เขาจึงลืมตาขึ้น เห็นวัตถุสีครีมในระยะประชิด

ได้จูบก้นจานเสียอย่างนั้น!!ให้ตายสิ!!

“ไม่เกรงใจกันเลยนะ”ร่างสูงสง่าอย่างชาวตะวันตกพูด ดวงหน้าหล่อเหลารับกับดวงตาสีมรกตในชุดสีขาวครีม ที่ถอดเนคไทยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทกล่าว ที่ข้างขมับเห็นชีพจรเต้นตุบๆ แน่นอนว่าในมือมีจานเซรามิคสีครีมอยู่ในมือ

“อ้าว ไอ้หนุ่มแอนนิโมโต  มากับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?”ธีรธรเงยหน้าขึ้นยิ้มเหี้ยม ชักมีอารมณ์แบบไม่ค่อยดีเสียแล้ว

“นานพอจะเห็นคุณลวนลามพิรุณานั่นแหล่ะ”เคนเหยียดยิ้มอย่างเย็นชาเช่นกัน  ชายร่างโปร่งคนหนึ่งก้าวออกจากด้านหลังเคน  ดวงหน้าสะอาดเกลี้ยงเรียบสนิท แต่ดวงตาสีเทาอมเขียวคู่นั้นส่งยิ้มให้ ธีรธรก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ  พิรุณาลุกขึ้นแล้วสวมกอดร่างโปร่งบางนั้นก่อนจะทักทายเคนเสียอีก จนเคนกับธีรธรรีบแยกพิรุณาออกจากโดลเชกันพัลวัน

‘ไม่ทักทายกันเลยนะ’เคนส่งภาษามือต่อว่าต่อขานเพื่อนรัก

‘ทักแล้วไง เมื่อตอนขึ้นเรือ’

‘แล้วเรื่องอะไรปล่อยไอ้หมอนี่มาลวนลามอยู่ท้ายเรือ คนรักหรือก็ไม่ใช่’ดวงตาสีมรกตนั้นส่งสายตาดุๆใส่เพื่อนตัวเล็ก

‘ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วล่ะ’เคนช๊อคไปกับคำตอบที่ได้รับ  เพื่อนของเขาหัดมีความลับกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นเขารู้เรื่องเลย

‘ไม่เห็นบอกกันเลยสักนิด’

‘ช่วยไม่ได้ ก็ใครล่ะ มัวแต่ไปไล่จับเลขา’ดวงหน้าคมคายอย่างชาวอิตตาเลี่ยนซับสีเลือดขึ้นน้อยๆ

‘สำเร็จแล้วสิ ถึงได้พามาด้วยเนี่ย’งานเลี้ยงบนเรือนี้ มีเฉพาะบรรดาเพื่อนสนิท คนที่พามาด้วยย่อมต้องสำคัญ

‘ก็ยังไม่แน่หรอก แต่ตอนนี้ก็...ก็ โอเค’พิรุณาหัวเราะ ขำขัน เมื่อเห็นว่าโดลเชกำลังจ้องเคนอย่างเดาได้ว่าตนถูกนินทา ร่างในชุดสีเขียวสดใสกลัดดอกไม้สีขาวบนอกที่วันนี้ดวงหน้านั้นแจ่มใส ดวงตาสีฟ้าใสแจ๋มฉายประกายแห่งความสุขอย่างลิ้นเหลือปรากฏร่างขึ้น

“ดูมีความสุขจังนะครับ”ธีรธรแซวว่าที่เจ้าสาว

“แน่นอนสิคะ ได้สละโสดกับเขาเสียที นึกว่าจะต้องอยู่เป็นโสดตลอดชีพเสียแล้ว” เกรซตอบเสียงใสพลางยิ้มกว้าง คนที่มีความสุขที่สุดในวันนี้คงไม่แคล้วเป็นเกรซนี่ล่ะ ดวงตาสีม่านราตรีจับจ้องเกรซที่มองเพียงครู่เดียวก็ทราบว่ากำลังอิ่มเอิบใจถึงเพียงไหน

‘นี่ พวกนายมาช่วยเล่นเพลงหน่อย เพื่อนๆเสี้ยนอยากจะจอยกันจะแย่แล้ว’เกรซส่งภาษามืออย่างชำนาญ จนธีรธรแอบนึกอย่างเรียนภาษามือบ้าง

‘ได้เลย’พิรุณา และเคนตอบรับอย่างขันแข็ง ร่างโปร่งบางของพิรุณากำลังจะเดินไปพร้อมกับเคนและเกรซ

“เดี๋ยว!”มือแข็งแรงนั้นจับยึดต้นแขนพิรุณาไว้อย่างสุภาพ ดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่งามหันกลับมามองอย่างฉงน

“มีความสุขหรือเปล่า?” ธีรธรถาม ดวงตาสีม่านราตรีนั้นจริงจังหนักแน่น  พิรุณายิ้มก่อนจะเดินอย่างมั่นคงมุ่งตรงไปยังวงดนตรีที่มีเพื่อนรออยู่แล้ว


      
         ยกพื้นเตี้ยๆอันจัดไว้เป็นเวทีแสดงดนตรี ที่เครื่องดนตรีทุกชิ้นมีผู้เล่นประจำแล้ว ธีรธรมองร่างโปร่งบางบนเวทีที่กำลังส่งภาษามือให้เพื่อนๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  สายลมแห่งแม่น้ำเจ้าพระยาในฤดูหนาวโชยพัดเบาๆเคล้าเสียงคลื่นซัดซ่า น่าแปลกที่เขาไม่เคยนึกสนใจบรรยากาศเช่นนี้มาก่อนเลย  เขาเพิ่งเห็นว่า ท้องน้ำเจ้าพระยางดงามก็คืนนี้  เสียงเพลงแจ๊สนุ่มเบาละมุนหูทำให้ธีรธรยิ้ม  ล่องเจ้าพระยาต้องแจ๊ส!  เสียงเครื่องเป่าเป็นเมโลดีหลัก เพิ่มสีสสันด้วยเสียงเครื่องเคาะ เปียโนและดับเบิ้ลเบส  เสียงกลองตีประกอบขับความรื่นรมย์ให้รู้สึกครื้นเครงยิ่งขึ้นอีก ธีรธรจำได้ ว่าเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ น่าแปลกที่นักดนตรีที่บรรเลงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนต่างชาติต่างภาษาทั้งสิ้น ยกเว้นแต่พิรุณาคนเดียวเท่านั้น

“เพลงแจ๊สเหมาะกับเจ้าพระยาดีนะครับ”โดลเชที่ยืนอยู่ใกล้กล่าว

“นั่นสิครับ ให้บรรยากาศสบายๆดี”ธีรธรยกกล้องตัวโปรดขึ้น ก่อนจะถ่ายรูปไว้

         ท่วงทำนองเปลี่ยนไปแผ่วเบา เสียงเครื่องเป่าดังเบาๆ รับกับกลอง เสียงเปียโนจะขึ้นเมโลดี้นำ ก่อนจะจมหายไปเปลี่ยนเป็นเสียงเป่าขับขานถ้อยดนตรีเหงาเศร้าหากแฝงความขี้เล่นในสไตล์การเป่าของผู้บรรเลงไว้อย่างแนบเนียน เสียงร้องหวานสนิทหากยวนเย้าในทีของเพื่อนเจ้าสาวทำให้บทเพลงเติมเต็มสมบูรณ์ ผู้ฟังหลายขยับกายเข้าจังหวะอย่างเพลิดเพลิน ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเต้นรำ โดยที่ในมือเกรซข้างหนึ่งถือไวโอลินตัวเก่งไว้   เมื่อหมดท่อนร้อง เสียงเปียโนด้วยลีลาอ่อนพริ้วราวสายลมดังแทรกขึ้นรับช่วงต่อ นิ้วเรียวนั้นกดลงบนแป้นคีย์อย่างแม่นยำ พลางโยกตัวน้อยๆ ก่อนจะโชว์ลีลาอย่างพิสดาร แขนนวลไขว้กันให้มือขวาไปเล่นคีย์ที่ต่ำกว่า ในทางกลับกันก็ให้มือซ้ายเล่นในคีย์ที่สูงกว่า เรียกเสียงเฮจากผู้ชมได้ไม่น้อย  ดวงหน้านั้นแย้มยิ้มอย่างมีความสุข  เกรซกระโดดขึ้นเวทีบ้าง เดาะคันชักในมืออย่างรอจังหวะ พอทำนองของเปียโนจางหายจึงยกมือขึ้น ดีดสายจนเกิดเสียงเป็นจังหวะแผ่วเบา  ดวงตาสีฟ้าสดใสนั้นมองเพื่อนรัก พิรุณาพยักหน้าให้ก่อนจะเล่นประสานให้แผ่วเบาร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น  ว่าที่เจ้าบ่าวงกๆเงินๆ หน้าดุๆนั้นดูดีกว่าทุกครั้งที่เห็น  เขาขึ้นเวทีบ้าง พิรุณาพยักหน้าให้ แล้วเคลื่อนตัวไปชิดด้านหนึ่งของเก้าอี้เปียโน เหลือพื้นที่พอที่คนตัวโตจะมานั่งด้วยได้   พิรุณายังคงเล่นประสานให้  ก่อนจะค่อยๆปล่อยให้มือใหญ่โตของวทยากรหนุ่มว่าที่เจ้าบ่าวค่อยๆเข้ามารับช่วงต่อโดยไม่ให้เสียจังหวะ  เมื่อลีอองรับช่วงต่อได้เรียบร้อยดีแล้ว พิรุณาจึงลุกขึ้นลงจากเวที ดวงตาพราวสวยคู่นั้นสบตากับธีรธร

“เหนื่อยไหม?”ธีรธรถามอย่างห่วงใยพลางจูงมือพาเดินออกจากกลุ่มคนไปยังมุมสงบท้ายเรือ เขารู้ว่าพิรุณาสนุกมาก  คงเหมือนกับเขาที่ชอบถ่ายภาพมากๆนั่นแหล่ะ

‘เบื่อหรือเปล่า?’พิรุณาส่งภาษามือ แต่เขาเข้าใจได้จากดวงตาคู่นั้นว่าสื่อความหมายใด

“ไม่หรอก”เขาเก็บคำที่จะตามออกมา ด้วยเกรงว่ามันจะน้ำเน่ายุงชุมเกินไปที่จะบอกว่า

เห็นพิรุณาสนุก เขาก็สนุกด้วย

  ธีรธรแก้เขินด้วยการถ่ายภาพลำน้ำเจ้าพระยายามค่ำคืน แต่พอพิรุณาเผลอ เขาก็แอบถ่ายพิรุณาเสียนี่

‘อย่ามาแอบถ่ายนะ เดี๋ยวเหมือนครั้งที่แล้วอีก อยากถ่ายจะให้ถ่าย’ ธีรธรยิ้มเฝื่อนๆ พิรุณาหัวเราะ ก่อนจะยอมให้ถ่ายภาพ โดยฉากเบื้องหลังเป็นฝั่งลำน้ำอันสงบร่มเย็น ธีรธรหยุดถ่ายภาพ คล้องกล้องไว้กับคอ ก่อนจะหยิบกระดาษที่เคยเป็นใบเสร็จร้านสะดวกซื้อมาขีดเขียนบางอย่าง แล้วส่งให้พิรุณา

มีความสุขไหม?


         พิรุณาอ่านแล้วยิ้ม เป็นยิ้มที่อ่อนหวานที่สุดเท่าที่เขาเคยได้รับ  มือนวลนั้นสัมผัสใบหน้าเขาเบาๆ ทำให้ธีรธรต้องก้มตัวลงเล็กน้อยไม่ให้ความสูงนั้นต่างระดับกันมากนัก  แรงลมอ่อนพัดเอาเส้นผมอ่อนนุ่มมาถูกใบหู รู้สึกชวนจั๊กจี้อย่างไรชอบกล พิรุณาใช้ปลายนิ้วลากเป็นอักษรบนหน้าผากเขา เป็นข้อความง่ายๆด้วยภาษาไทย ที่ธีรธรพอเดาได้ว่าเขียนว่าอะไร  มากๆเลยครับ  ริมฝีปากอุ่นนุ่มแตะข้างแก้มเขาแผ่วเบาราวลมพัด ก่อนพิรุณาจะดีดตัวออกมา ดวงหน้าซับสีเลือดชวนมอง



         


         

         วังเพลงภิรมย์คืนนี้เงียบเหงา เสียงใบไม้เสียดสีกันก่อนร่วงกราว ห้องทรงพระอักษรมืดสลัวมีเพียงแสงจันทร์รำไรสาดแสงสลัวตกต้ององค์โปร่งบาง  ดวงเนตรโศกสนิทหากสวยแจ่มละม้ายผู้ร่วมสายเลือดทอดออกไปไกล ผ่านพุ่มพฤกษ์อันร่มรื่นชื่นเย็น  ใจหนึ่งทรงโสมนัสที่ได้พบบุตรขององค์พี่ แต่อีกใจก็ทรงนึกหวั่น หลายสิบปีที่ผ่านมา พิรุณาตกระกำลำบาก จะสนิทใจหรือที่จะอยู่กับ คนที่อ้างว่าเป็นอา ทั้งที่เวลายาวนานถึงเกือบสามสิบปี ท่านไม่เคยได้ทราบว่าหลานคนนี้อยู่ที่ใด ไม่ใช่ท่านไม่ตามหาแต่เพราะยิ่งตามหา ความหวังกลับยิ่งริบหรี่ลงจนมอบดับ  ท่านยังทรงจำได้แม่นยำยิ่งว่า การตามหาครั้งสุดท้ายที่ฝรั่งเศสฉุดคร่าบุคคลอันเป็นที่รักดั่งพี่ชายร่วมสายเลือดของท่านอีกคนไป หลังจากนั้นท่านก็ไม่ทรงต้องการจะตามหาใครหรือสิ่งใดอีก ดั่งคำสุดท้าย ปล่อยวาง....ที่ สิฐธรบอก ก่อนจะสิ้นลม   

“ท่านชายยังไม่บรรทมหรือกระหม่อม” หม่อมเจ้าภูมิรักษ์เพียงแต่เบือนพักตร์มาเล็กน้อย จึงทรงทราบว่าเป็นมหาดเล็กที่อายุน้อยที่สุด บุตรชายคนเดียวของสิฐธร ดวงหน้านั้นถอดแบบมาจากผู้เป็นบิดาแทบพิมพ์เดียว

“ยังหรอก เธอเองเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยเหนื่อยๆ ไปพักผ่านเถอะ”

“ท่านชาย กระหม่อมทราบว่าทรงกลุ้มเรื่องคุณพิรุณา ทรงพักบ้างเถอะ” รอยยิ้มแตะแต้มบนพักตร์องค์รักษ์ แม้กาลเวลาล่วงผ่าน แต่ดวงพักตร์นั้นยังกระจ่าง

“เถอะ ฉันดูแลตัวเองได้ เรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ดีกระหม่อม”บุตรชายของสิฐธรพูดน้อยเหมือนพ่อไม่มีผิด

“ดีแล้ว ต่อไปจะได้ทำงานกับนายห้าง  เจริญในหน้าที่การงาน พ่อเธอจะได้ชื่นใจ ว่าลูกชายเก่ง”

“กระหม่อมจะไม่ไปไหน  จะอยู่รับใช้ท่านชายตลอดไป”หม่อมเจ้าภูมิรักษ์มองชายหนุ่มผู้เป็นมหาดเล็กอย่างเมตตา ท่านชุบเลี้ยงฐากูรมา รักเหมือนบุตรชายแท้ๆ เพราะการชุบเลี้ยงบุตรของสิฐธร ดูจะเป็นทางเดียวที่จะทรงทำให้ผู้ที่ล่วงลับแล้วได้

“คำว่าตลอดไปไม่มีอยู่จริงหรอกฐากูร  ฉันเป็นคนรุ่นเก่าแล้ว แม้จะหัวสมัยอยู่บ้าง แต่เรี่ยวแรงกำลังใดก็ใกล้จะสูญสิ้นเสียแล้ว เธอเป็นคนรุ่นใหม่ สมควรแก่การก้าวต่อไปเพื่อความเจริญในหน้าที่การงาน ไม่ใช่เป็นมหาดเล็กแบบนี้ วิชาของเธอจะเสียเปล่า”

“ไม่หรอกกระหม่อม  ถึงกระหม่อมจะเรียนจบทำงานแล้ว แต่ยังรับใช้สนองพระบาทได้”

“ขอบใจ”





         พิรุณานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่กับพื้นพรม โดนมีปองนั่งอยู่ใกล้ๆ  บนพระเก้าอี้ หม่อมเจ้าภูมิรักษ์ทอดพระเนตรมองพิรุณาอย่างทรงเอ็นดู  ท่านชายทราบดีว่าวันนี้พิรุณาจะมาให้คำตอบ ด้วยพระพลานามัยไม่สมบูรณ์นักจึงอยากให้มีลูกหลานคนสนิทชิดใกล้จึงทรงยื่นข้อเสนอให้พิรุณาตัดสินใจว่าจะอยู่กับท่านในฐานะ คุณชายแห่งวังเพลงภิรมย์หรือไม่  ท่านชายภูมิรักษ์ทรงทำพระทัยไว้แล้วว่าคำตอบจากพิรุณามีสองประการ ทางที่ดีควรเผื่อพระทัยไว้บ้างไม่มากก็น้อย

“ทูลฝ่าบาท เอ่อ....กระผม เอ๊อ...กระหม่อม”ปองทูลผิดๆถูกอย่างประหม่า คำราชาศัพท์ใดที่ได้ท่องมาพลันหายไปสิ้นเหลือเพียงความขาวโพลนสว่างในห้วงคิด

“ฉันอนุญาตให้เธอพูดคำสามัญกับฉันได้ เพราะเธอดูจะไม่สันทัดเอาเสียเลย”ท่านชายภูมิรักษ์ตรัสอย่างทรงมีพระอารมณ์ขัน ปองแอบถอนหายใจโล่งอก

“ว่าอย่างไร ฉันอยากฟังคำตอบเต็มทีแล้ว”ปองส่งภาษามือให้พิรุณา  พิรุณาจึงตอบกลับปองทูลตามภาษามือที่ตนแปลได้

“คุณพิรุณาได้ตัดสินใจแล้ว ว่าคงไม่สามารถทำตามที่เอ่อ...ท่านชายทรงเสนอให้ได้  เพราะยังมีงานอีกมากที่ต้องสะสางในระยะนี้ ”พักตร์ท่านชายภูมิรักษ์แม้สงบหากดวงเนตรเศร้า

“เธอจะไม่รับแม้แต่ฐานันดรศักดิ์หรือ?”

“คุณพิรุณาทูลว่า ไม่อยากได้ฐานันดรศักดิ์ใดๆ  เพราะรู้สึกว่าฐานันดรนั้นสูงเกิน และดูจะเป็นการหมิ่นเบื้องสูงครับ”

“จะหมิ่นอย่างไร เธอเองก็มีหน้ามีตา เรียนหรือก็สูง”พิรุณาเม้มปากครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบ

“คุณพิรุณามีเรื่องส่วนตัวบางอย่างที่เกรงว่าจะไม่เป็นการสมควรที่เปิดเผย รวมถึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะจะเชิดหน้าชูตาได้น่ะครับ” ปองเองก็ยังงง ว่าพิรุณาหมายถึงเรื่องใด

“อย่างนั้นหรือ?”สุรเสียงนั้นแหบพร่ากว่าปรกติ

“ศักดิ์เดียวที่คุณพิรุณาจะรับไว้ คือ ศักดิ์ของการเป็นหลาน คุณพิรุณาน้อมรับด้วยหัวใจครับ” ปองทูลแล้วยิ้มกว้างขวาง  ท่านชายผู้สูงวัยแย้มโอษฐ์ ดวงเนตรพราวอย่างปิติ  พิรุณาเดินเข่าอย่างสำรวม ก่อนจะก้มลงกราบแทบบาท  หัตถ์อุ่นนั้นแตะศีรษะพิรุณาอย่างทรงเมตตาล้นเหลือ  ฐากูรนึกนิยมในความอ่อนน้อมนั้น

ต่อไปท่านชาย จะไม่ทรงเศร้าพระทัยอีกแล้ว แม้เขาจะไม่ได้รับใช้ ‘คุณชาย’ เพิ่มอีกคน แต่เขามั่นใจ ว่าเขาจะได้พี่ชายที่น่ารัก เพิ่มเข้ามาในชีวิตแน่นอน



            

         
         เคนมองแผ่นหลังเพรียวบางที่สวมชุดคลุมอาบน้ำยืนชมวิวแม่น้ำสายสำคัญของกรุงเทพฯยามค่ำคืนอย่างสบายใจ เส้นผมสีน้ำตาลเปียกลู่ระต้นคอ เคนมองร่างนั้นอย่างสงสัยว่าทำไมร่างกายนั้นถึงผอมบางถึงเพียงนี้ แผ่นหลังเล็กนิดเดียว เล็กพอที่จะโอบด้วยแขนข้างเดียว ข้อมือนั่นอีกเล็กจนกำได้รอบได้อย่างสบาย ช่างผิดกับพี่ชายสองคนเหลือเกินที่รูปร่างดูสมชายกว่าคนเล็กอย่างโดลเชมากนัก

“มองอะไรหรือครับ?”โดลเชคนสุขุมกลับมาอีกครั้ง เคนยิ้มบาง

“กำลังมองว่า ครอบครัวกูดาร์เชไม่ยุติธรรม” โดลเชขมวดคิ้ว

“ตรงไหน?”เคนยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อน้ำเสียงนั้นเริ่มแข็งขึ้น

“ก็ตรงที่ให้มาไม่เท่ากัน” เคนก้าวเข้าไปใกล้ร่างนั้น พลางสัมผัสแขนที่กอดอกไว้หลวมๆ

“อะไรไม่เท่ากัน?” เสียงนั้นชักจะคาดคั้น  เคนยิ้มกว้างขวางพลางจับข้อมือบางมากุมไว้

“ยิ้มอะไร?”คราวนี้น้ำเสียงนั้นเปลี่ยนไปเป็นไม่มั่นใจ ปนวิตกกังวล

“ยิ้มที่คนบางคนชักหวั่นไหว”วงแขนแข็งแรงอุ่นร้อนโอบล้อมร่างบาง กลิ่นสบู่บางเบาทำให้เคนสูดลมหายใจลึก

“จำได้ไหมที่ครั้งที่แล้วผมเคยบอกว่า บางทีผมอาจจะรักคนที่ไม่มีหัวใจมอบให้ผมก็ได้”โดลเชพูดเสียงอู้อี้อยู่บนแผ่นอกกว้างที่โอบล้อมร่างตน

“ผมอยากถามอย่างตรงไปตรงมา ว่าคุณมีหัวใจจะมอบให้ผมบ้างหรือเปล่า? ไม่ยากเกินไปที่จะตอบใช่ไหม?”

“โดลเช....”เคนคลายอ้อมกอดนั้น ใจโดลเชวิบหวิว ดวงตาสีเทาอมเขียวคู่นั้นเงยขึ้นสบดวงตาสีมรกต

“ถ้าคุณยังตอบไม่ได้ ได้โปรด อย่าแตะต้องผม อย่าทำร้ายกันด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆ ถ้าคุณยังรักคุณพิรุณาอยู่ก็ปล่อยผมไปเสีย”น้ำตาหยดหนึ่งร่วงรินจากหางตา  โดลเชรีบเช็ดมันออก เขาไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอในหัวใจตัวเองออกมา ถ้าได้คนรักมาเพราะน้ำตาตัวเอง จะหาความสุขได้จากที่ไหน

“โดลเช พิรุณาในตอนนี้เป็น เพื่อน ที่ฉันรักมาก   คุณอาจไม่รู้ว่าแต่ก่อนพิรุณาเปราะบางเหลือเกินถึงแม้จะดูเข้มแข็ง แต่เขาตัวคนเดียวมาตลอดแทบจะทั้งชีวิต  ทำให้พอเรามาเจอกันเลยเหมือนแม่เหล็กต่างขั้ว เราแลกในสิ่งที่เราต่างไม่มี พิรุณามีความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ แต่ผมมีความสดใส สนุกสนาน พอเราอยู่ด้วยกันจึงถูกคอ”โดลเชพยายามตั้งใจฟังอย่างสงบ ทั้งที่ใจว้าวุ่น

“แต่คุณ มอบความคิดอ่านอย่างผู้ใหญ่ให้ผม เมื่อวานคุณก็เห็นใช่ไหม ว่าคุณธีรธรรักพิรุณาขนาดไหน และแน่นอนว่าผมดูออกว่าพิรุณาก็รักคุณธีรธรเหมือนกัน   ผมจะรักคนที่เขารักคนอื่นอยู่เต็มหัวใจทำไม ในเมื่อหัวใจตัวเองก็มีเจ้าของแล้วโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน”โดลเชสบตากับดวงตาสีมรกตน้ำงาม ชั่งใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“อยากได้อะไรเป็นหลักฐานไหมครับคุณตำรวจ?”เคนพูดแซว หวังจะเรียกรอยยิ้มกลับมาบนใบหน้านั้นบ้าง

“ตำรวจอะไรกันเล่า?”

“ตำรวจจับหัวใจ” โดลเชหน้าเหวอกันคำตอบที่ได้รับ เป็นการหยอดคำหวานที่แย่ที่สุดที่เคยเจอมา ก่อนจะเบือนหน้าหนีรู้สึกตัวเองหน้าร้อนไปหมด

“ว่าไง? อยากได้อะไร” อ้อมแขนกอดกระชับรวบร่างโปร่งนั้นไว้กับอก แต่โดลเชยื้อร่างตัวเองไว้ไม่ให้โอนอ่อนตามแรงนั้น

“อยากได้ไอ้นี่ ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เอา”ปลายนิ้วนั้นชี้ไปที่อกซ้ายของเคน   เคนยิ้มกว้าง ริมฝีปากหยักสวยสัมผัสลงบนริมฝีปากอิ่มนั้นแผ่วเบา

“ให้หมดตัว ทุ่มสุดแรงเกิดเลย” เคนกระซิบริมหู โดลเชเอียงวูบหลบราวต้องของร้อน ดวงตาสีเทาอมเขียวคู่นั้นสวยกว่าคืนไหนๆที่เคนเคยได้เห็น

         ราตรีโรยตัวลงอย่างช้าๆ ดาวบนท้องฟ้ากระพริบพราวบ้างริบหรี่บ้างสุกใส  แสงไฟจากอาคารบ้านเรือนเบื้องล่าง ขับแสงเปล่งช่วยกันแข็งขัน ละม้ายเหล่าดารางามตกต้องพื้นดิน  ใครบ้างหนอจะได้ชมความงามอันรังสรรค์โดยธรรมชาติที่ผสานกับความงามด้วยมือมนุษย์อย่างลงตัว ใครหนอจะได้ชมชื่นยามค่ำแห่งมหานครอันมิเคยหลับไหล ...น่าเสียดายที่ใครหลายคนมิได้มีแม้โอกาสจะมองจันทร์

-------------------------------------------------------------------------------------------------------
เสพความรู้สึกครึ่งแรกไว้นะครับ...หึหึo8
ปล.ตอนพิเศษวันวาเลนไทน์ก็เป็นของคู่โดลเชกับเคนนี่แหละครับ ^^
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 29-02-2008 10:36:15
เสพความรู้สึกครึ่งแรกไว้นะครับ...หึหึo8
ปล.ตอนพิเศษวันวาเลนไทน์ก็เป็นของคู่โดลเชกับเคนนี่แหละครับ ^^

อ๊าก  :serius2: หมายถึงอะไรกันเนี่ย ชอบคู่เคนกับโดลเชจังเลย หวานๆ

แอบ sexy ด้วย ใส่ชุดคลุมอาบน้ำ  แล้วจะเหลือรึ อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-02-2008 10:56:51
ชอบคำว่า เลือดสีน้ำเงิน.................อ่านแล้วขนลุก

อยากกอ่านบทกุ๊กกิ๊กแล้ววววววววววววววววววววว อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 29-02-2008 12:36:06
ดูท่าทางเรื่องจะเป็นไปในทางดีแล้วนี่
ลงเอยกันเกือบหมดแระ

แต่ว่า ... น่ากลัวอ่ะ
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 29-02-2008 14:11:24
ชอบคำว่า เลือดสีน้ำเงิน.................อ่านแล้วขนลุก

อยากกอ่านบทกุ๊กกิ๊กแล้ววววววววววววววววววววว อิอิ

รอตอนพิเศษหลังจบตอน 15 นะครับ :a4:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 29-02-2008 17:46:39
 :oni1:มาอ่านช้า แต่ก็มานะ อิอิ
พิรุณาดูจะลงตัว(หรือเปล่า) กลัวโดนคนเขียนแกล้งอ่ะ :serius2:
รออ่านกันต่อไป :a2:
ขอให้สอบให้สบายใจนะน้องเมศ :a1:

ปล.คนโพสด้วยคับ อ่านนส.บ้างนะ :a2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 29-02-2008 19:10:15
:oni1:มาอ่านช้า แต่ก็มานะ อิอิ
พิรุณาดูจะลงตัว(หรือเปล่า) กลัวโดนคนเขียนแกล้งอ่ะ :serius2:
รออ่านกันต่อไป :a2:
ขอให้สอบให้สบายใจนะน้องเมศ :a1:

ปล.คนโพสด้วยคับ อ่านนส.บ้างนะ :a2:

สอบให้สบายใจสงสัยจะยากค่ะพี่ อ่านหนังสืออึดถึกอดทนมากเลย  ปฎิบัติภารกิจต่อเนื่องเกิน15 ชม.ต่อวัน :oni1:

ฮาๆฮือๆ เเว๊บๆมาตอบรีพลาย หลังจากว๊อบไปเเว๊บมา เห็นพี่โน้ตเอาตอน15ปะเเล้ว55+ นึกขึ้นได้ ตอนพิเศษยังไม่ลง  ฉากหวานๆ ท่าทางจะต้องอ่านตอนพิเศษเเล้วล่ะค่ะ ตอนพิเศษนี่ มีคนบอกว่า เลือดเเทบเป็นน้ำเชื่อม( นั่นก็เว่อร์ไป55+  )

เผลอเเป๊บเดียวมาถึงตอนที่15เเล้ว น่ากลัวมาก ....ไม่เป็นไร ตอน16เรามีสต๊อค(?) เขียนไปเเล้วตั้ง4หน้า(จากมาตรฐานเรื่องนี้ 14หน้า  :m15: ) ฮาๆฮือๆ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเเละยังติดตามกันเหนียวเเน่นนะคะ ดองเหลือเกิน  :m29:

พูดเหมือนจะจบเเล้ว เเต่ก็ยังไม่จบ เเละก็เหมือนจะอีกนานกว่าจะจบ

ส่วนเรื่องจะมีมือที่สองสามสี่ห้าหก หรือเปล่านี่   55+...(หัวเราะเก้อๆ)


ปล.ใครกำลังสอบอ่านหนังสือกันเถอะค่ะ  :sad2: มาร่วมโครงการ Academy "F" Fantasia ปฏิบัติการหนีเอฟกันนะคะ 
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 29-02-2008 22:18:54
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pottery_harter ที่ 02-03-2008 02:17:20
พอดีสะดุดตาน่ะครับ

"ซินญอร์แอนิโมโต"

"Señor" ในภาษาสเปน หรือ "Signor" ในภาษาอิตาลี ทั้งคู่แปลว่า นาย ครับ

ถ้าสตรีจะต้องเป็น

"Señora" ในภาษาสเปน หรือ "Signora" ในภาษาอิตาลี แปลว่า นาง (เท่านั้น) ครับ

แต่ถ้าใช้ภาษาฝรั่งเศสสื่อสารอยู่

"Madame" น่าจะ Okay กว่า

อย่าว่ากันนะครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 02-03-2008 03:18:54
พอดีสะดุดตาน่ะครับ

"ซินญอร์แอนิโมโต"

"Señor" ในภาษาสเปน หรือ "Signor" ในภาษาอิตาลี ทั้งคู่แปลว่า นาย ครับ

ถ้าสตรีจะต้องเป็น

"Señora" ในภาษาสเปน หรือ "Signora" ในภาษาอิตาลี แปลว่า นาง (เท่านั้น) ครับ

แต่ถ้าใช้ภาษาฝรั่งเศสสื่อสารอยู่

"Madame" น่าจะ Okay กว่า

อย่าว่ากันนะครับ

ว้าวโพสแรกมาประเดิมที่กระทู้นี้ด้วยล่ะเป็นปลื้มแทนน้องเมศจริงๆ  o7
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 02-03-2008 14:15:38
พอดีสะดุดตาน่ะครับ

"ซินญอร์แอนิโมโต"

"Señor" ในภาษาสเปน หรือ "Signor" ในภาษาอิตาลี ทั้งคู่แปลว่า นาย ครับ

ถ้าสตรีจะต้องเป็น

"Señora" ในภาษาสเปน หรือ "Signora" ในภาษาอิตาลี แปลว่า นาง (เท่านั้น) ครับ

แต่ถ้าใช้ภาษาฝรั่งเศสสื่อสารอยู่

"Madame" น่าจะ Okay กว่า

อย่าว่ากันนะครับ



ว๊าวววว...ขอบคุณค่ะ โพสต์เเรกเลย เยี่ยมเลยๆๆๆ 
 ตอนเขียนนี่ต้องหาที่ปรึกษา ภาษาอิตาเลียนเเละฝรั่งเศสกันหัวหมุนเปิดดิกออนไลน์(พบว่าหลายเวบเชื่อถือไม่ค่อยได้) จะรับไปเเก้ไขนะคะ ตัวเมศเองไม่มีความรู้ด้านภาษาอิตาเลียนเเละฝรั่งเศสเเม้เเต่นี๊ดดดดดดเดียว ญี่ปุ่นก็งูปลา อังกฤษก็ดำผุดดำว่าย555+


ป๋อล๋อ.ภูมิใจอ่ะ เป็นเม้นต์เเรก เปิดซิง  อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 02-03-2008 15:40:49
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ตามทันแล้ว

เรื่องนี้หวานๆ ดี ชอบ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 02-03-2008 17:36:22
^
^

ว๊าวมีเพื่อนใหม่มาแว๊ว  :oni3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 02-03-2008 22:19:29
^
^

ว๊าวมีเพื่อนใหม่มาแว๊ว  :oni3:

มัวแต่ว๊าววววว สอบเสร็จยังน้อง อิอิ :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 02-03-2008 22:56:55
^
^

ว๊าวมีเพื่อนใหม่มาแว๊ว  :oni3:

มัวแต่ว๊าววววว สอบเสร็จยังน้อง อิอิ :laugh: :laugh:

 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
 :m22: :m22: :m22: :m22: :m22:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: yukisaki ที่ 04-03-2008 15:32:39
หนุกๆๆ  ชอบโดลเชอ่ะ  น่ารักน่าเอ็นดู(แต่ปล่อยให้เคนเอ็นดูดีก่า  เด๋วจะมีการหึง อิๆ)
พิรุณาก็น่ารักนะ  :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 04-03-2008 15:56:28
คิดถึงพิรุณาเเล้ว

สอบเสร็จยังคะ

ขอให้ทำข้อสอบได้+รีบมาลงต่อด้วย
 



หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 07-03-2008 09:48:41
pottery_harter
ตาคนนี้เป็นใคร ???
เห็นสองทู้บนให้ความสำคัญ
ท่าทางจะเป็นคนสำคัญ

มะมีไร แค่สงสัยเฉย ๆ  :laugh: :m7:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 13-03-2008 00:57:59
คิดถึงพิรุณาเเล้ว

สอบเสร็จยังคะ

ขอให้ทำข้อสอบได้+รีบมาลงต่อด้วย
 





 :a5: :a5: :a5:

สอบเสร็จแล้วครับแต่มันมีเหตุผลนะครับ ขอร่ายยาวหน่อย

6 มี.ค.        สอบเสร็จ
7 - 9 มี.ค.   อยู่หัวหินครับไปงาน banana on the beach (ใครบ้างกันบ้างเอ่ย..อิอิ)
10 มี.ค.      - กลับมาพบว่าคอมพัง  :sad2: :serius2: :o12:
                - วิ่งหางาน(เพิ่งจบแล้วหาเลยไม่มีพัก  o7 )
ปัจจุบัน        คอมหายพังแล้วครับแต่มัวแต่หาโปรแกรมที่ฟอแมทมาลง (เสียค่าซ่อมไปเกือบสองพัน  :sad2:)

( บอกทำไมฟะตู...อย่างคนเค้าอยากรู้ตายอ่ะ )

pottery_harter
ตาคนนี้เป็นใคร ???
เห็นสองทู้บนให้ความสำคัญ
ท่าทางจะเป็นคนสำคัญ

มะมีไร แค่สงสัยเฉย ๆ  :laugh: :m7:

เปล่าหรอกเห็นเค้ามาโพสที่นี่เป็นที่แรก ดูจากจำนวนครั้งเค้าอ่ะครับว่าครั้งแรกเลยตื่นเต้ว  :o8:



ปล.ออกไปหาไรกินก่อนนะครับแล้วจะมาอัพให้( ตีหนึ่งนี่นะยังจะหาไรกิน  :o8: )
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 13-03-2008 02:05:53


         พิรุณานั่งจ้องโน้ตบุ๊คเครื่องสีดำเป็นมันปราบของตนเองอย่างตั้งใจ แถบสีเขียวส่งไฟล์ตระกูลวินแอมกำลังขยับอย่างเนิบนาบเหลือเกิน  พิรุณาย่อหน้าต่างโปรแกรมสนทนานั้นลง ก่อนจะคลิกเลือกโปรแกรมวิเคราะห์เสียงขึ้นมาเปิดรอไว้  โปรแกรมนี้มีขึ้นเพื่อวิเคราะห์เสียงต่างๆ ที่อยู่ในไฟล์เสียงแต่ละไฟล์ได้อย่างแม่นยำ  แม้พิรุณาจะมีข้อบกพร่องที่หูไม่อาจได้ยิน แต่โปรแกรมนี้สามารถช่วยให้พิรุณาวิเคราะห์เสียงต่างๆออกมาเป็นสกอร์ได้ง่ายขึ้นด้วยเส้นกราฟหลากสีที่ทับซ้อนกันจนลายตา ต้องขอขอบคุณมิสเตอร์แจ๊คเดอะริปเปอร์ที่ทำให้พิรุณาได้รู้จักโปรแกรมนี้ และใช้มันได้อย่างดีด้วยการถ่ายทอดความรู้จากรุ่นพี่ผู้แสนดี(?)  ก่อนจะนำมาเรียบเรียงเสียใหม่ให้สละสลวยสวยงามยิ่งขึ้น  ไฟล์ที่เขากำลังรอรับอยู่นี้เป็นไฟล์เพลงที่เขาตั้งตารอมาตลอดหลายเดือน เพลงที่รุ่นพี่ที่ประกาศก้องว่าตนคือ แจคเดอะริปเปอร์  สุดยอดโปรดิวเซอร์มือทองรับประกันความไพเราะ  แสงสีส้มกระพริบจากริมจอทำให้พิรุณายิ้มยินดี รีบเปิดไฟล์เพลงใส่โปรแกรมวิเคราะห์ทันที เพราะนี่เป็นทางเดียวที่เขาจะรับรู้บทเพลงได้ด้วยตนเอง ธีรธรเยี่ยมหน้าออกมาจากครัว พร้อมน้ำเก๊กฮวยเย็นฉ่ำสองแก้ว

“เพลงอะไร เพราะดี”ธีรธรนั่งข้างๆเอาคางที่ชักมีหนวดครึ้มวางบนไหล่พิรุณา เสียงเปียโนเป็นเมโลดีแปลกหูดังขึ้นตามด้วยเสียงเครื่องสายจีนยิ่งดึงดูดควาสนใจ

“กราฟพวกนี้อะไรเนี่ยเต็มไปหมด”ธีรธรอุทาน พลางมองกราฟที่ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างด้วยสีต่างๆกันจนน่าเวียนหัว เสียงบีทแบบอิเล็คโทร เริ่ม ก่อนเสียงร้องจะตามมา  เสียงใสของผู้ชายที่ไม่ทุ้มมากหากนุ่มน่าฟังดังขึ้น

‘กราฟพวกนี้ แสดงส่วนประกอบภายในเพลงว่ามีเสียงของอะไรบ้าง’พิรุณาใช้ภาษามือ  ก่อนจะชี้ที่จอภาพ ก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วไปยังเครื่องหมายกำหนดบนกราฟว่าลักษณะเสียงเช่นนี้เป็นเสียงเครื่องดนตรีใด

“ใครร้องน่ะ เพราะดีเหมือนกันนะ เข้ากับฤดูหนาวดี” พิรุณาหันมามองธีรธรอย่างขบขัน

“ขำอะไรครับ?”

‘เสียงคุณปอง’ พิรุณาคลิกภาพปองในห้องอัดที่มีรุ่นพี่กำลังติวเข้มให้อย่างขมักเขม้น ธีรธรถึงบางอ้อ

“อ้อ คุณปอง เสียงดีเหมือนกันนะ”

‘น่าเสียดายที่คุณปองไม่ยอมเปิดเผยหน้าตา ปล่อยให้ซิงเกิลนี้ออกมาแค่เสียงไม่ให้เห็นคนร้อง’

“เดี๋ยวเขาดังขึ้นมาจริงๆ ต้องหาผู้ช่วยคนใหม่ละแย่เลยนะ น้ำเก๊กฮวย” ธีรธรส่งแก้วน้ำเก๊กฮวยเย็นฉ่ำให้ พิรุณาดูดอย่างเอร็ดอร่อย ธีรธรก็ปลื้มใจ

“ทำไมจะรีบกลับ?”ธีรธรถาม พิรุณาแม้ไม่ได้ยินแต่จับกระแสความเว้าวอนในดวงตาสีม่านราตรีคู่นั้นได้ถนัดนัก มือนวลแตะหลังมือธีรธรแผ่วเบา เพียงเท่านี้ก็ถ่ายทอดความอุ่นหวานสู่หัวใจของกันและกันได้แล้ว

‘ผมเพิ่งส่งไฟล์เพลงตัวอย่างอัลบัมใหม่ไปให้ต้นสังกัด  และจะตามไปฟังผล รวมถึงตกลงอะไรกันอีกหลายอย่าง’

“ไปด้วยกันดีไหม?”พิรุณาส่ายหน้า

‘คุณต้องทำงาน ผมก็ต้องทำงาน  ไปทำหน้าที่ของตัวเองก่อน เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างไรเสียผมก็อยู่ข้างบ้านคุณ ห่วงเจ้าหมาด้วยป่านนี้คุณลีแอนจะขุนจนอ้วนเป็นลูกคนุต....?’พิรุณาส่งภาษามือแล้วก็เอียงศีรษะอย่างงงๆ ก่อนจะหยิบกระดาษเหลืองนวลๆและดินสอมาเขียน

เปรียบเทียบว่าอ้วน เหมือนผลไม้ชนิดหนึ่ง เรียกอะไรนะ คนุต???


         ธีรธรยิ้มขัน ก่อนจะแย่งดินสอจากมือนวลๆนั้นมาถือไว้ ขโมยหอมเป็นค่าจ้างสำหรับการตอบคำถามทีหนึ่งโดยไม่สนใจสายตาดุๆของพิรุณา ก่อนจะจรดปลายดินสอแล้วเขียนข้อความตอบ

คนุตต์เป็นหมีขาวแล้วครับ  เปรียบเทียบกับ ขนุน ต่างหาก เอ...แต่เปรียบเทียบกับหมีก็น่ารักดีนะ


         
         พิรุณาหัวเราะแม้ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดจากลำคอนั้น ธีรธรจำได้ตราตรึงใจว่ารอยยิ้มนั้นน่ามองถึงเพียงไหน เช่นเดียวกับพิรุณาที่มองดวงหน้าคมสันนั้นพลางเก็บความชื่นชมไว้กับอก ไม่บอกหรอกเดี๋ยวจะเหลิง  ไม่บอกหรอกว่า เวลายิ้มแล้วคุณธีน่าดูถึงขนาดไหน พิรุณาเอื้อมมือไปโอบคนตรงหน้าไว้  วงแขนอบอุ่นนั้นตอบรับเช่นกัน ไม่บอกหรอกว่ารักหนักหนา ใครจะกล้ากันล่ะ!

“ไว้งานเสร็จแล้ว ผมจะรีบกลับ  คิดว่าคงกลับพร้อมคุณปอง”

‘ดีจัง จะได้ไม่ต้องมารับหลายเที่ยว เอาเป็นว่าผมจะไปรับถึงสนามบินเลยล่ะ’พิรุณาส่งภาษามือ แล้วยิ้มกว้าง 

“ครับ จะรอ”น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นหนักแน่น แม้พิรุณาไม่อาจได้ยิน แต่เขาเชื่อ ว่าความหนักแน่นในดวงตานั้นมั่นคง

แต่ใครเลยจะรู้ว่าอนาคตเป็นฉันท์ใด ?





         ยามเช้าอากาศแจ่มใสเสียงเพลงจากวิทยุเครื่องเก่าในห้องพักแพทย์ส่งเสียงอู้อี้รายงานสภาพอากาศว่าเป็นวันที่ปลอดโปร่งเหลือเกินสำหรับฤดูหนาวนี้ ก่อนเสียงเพลงเปียโนอ่อนหวานบรรเลงเพลงแจ๊สละมุนหูเป็นเพลง UnforgetableของNat King Cole นายแพทย์ผู้กำลังเปลี่ยนเสื้อหลังจากออกเวรมาหมาดๆถึงกับอดผิวปากคลอไปด้วยไม่ได้  วันนี้นอกจากท้องฟ้าปลอดโปร่ง  ด้วยกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสกลิ่นอายของเทศกาลแห่งความสุขจึงอบอวลไปถ้วนทั่ว แม้จะออกเวรช้าไปกว่าชั่วโมง แต่เขากลับอิ่มใจ  คนไข้หลายคนในความดูแลของเขาก็อาการดีขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ แต่ที่ทำให้วันนี้พิเศษกว่าวันไหนๆเพราะเขากำลังจะไปพบปอง วันนี้ล่ะ เขาจะพูดคำนั้นเสียที คำที่เขาเก็บไว้มานานหลายปี คำที่คอยทิ่มแทงหัวใจทุกครั้ง วันนี้เขาจะบอกปอง  ต่อให้ผลภายหลังจะออกมาเป็นแบบใดก็ช่าง ความจริงคือความจริง เขาพร้อมรับทุกอย่าง

“อารมณ์ดีจริงนะพีท ท่าทางมีเรื่องดีๆอะไรแล้วงุบงิบไม่ยอมบอก”เสียงแพทย์หญิงเพื่อนร่วมงานของเขาหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี พีทหัวเราะเก้อๆ

“ก็เรื่องดีๆล่ะ เรื่อง ดีมากๆเลยมากกว่า”ร่องรอยแห่งความสุขปรากฏขึ้นทั่วใบหน้า

“เรื่องอะไรเนี่ย ดูท่าทางตื่นเต้นจัง”

“ก็ไม่มีอะไร เดี๋ยวจะไปรับคนที่สนามบินเสียหน่อย”

“ใครน่ะ แฟนล่ะสิ”หล่อนจับผิดอย่างทีเล่นทีจริง

 ฉันไปก่อนละ”เพื่อนร่วมงานสาวเดินออกไปทิ้งให้เสียงเพลงUnforgetable ท่อนสุดท้ายดังสะท้อนในความสงบเงียบ ก่อนจะจางหายไป  เสียงเปียโนอินโทรด้วยท่วงทำนองหวานก่อนจะตามด้วยเสียงเครื่องสายแปลกหูทำให้เขาสนใจฟัง ก่อนเสียงร้องนุ่มที่คุ้นเคยจะตามมา นายแพทย์หนุ่มยิ้ม เขาทราบข่าวจากพิรุณาว่าเจ้าของเสียงร้องนี้คือใคร นาฬิกาติดผนังบอกเวลาอันล่วงเลยกำหนดการลงจอดของเครื่องบินแล้วกว่าสิบนาทีเขาควรไปถึงสนามบินนานแล้วก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาโรงพยาบาลแห่งนี้ห่างจากสนามบินนานาชาติเพียงไม่ถึงสิบนาที เสียงกรีดร้องของไซเรนร้องระงมขึ้น ก่อนประตูห้องพักแพทย์จะเปิดออกอย่างแรง

“พีท นายต้องไปกับรถพยาบาล เมื่อสิบนาทีก่อน เครื่องบินเพิ่งไถลออกนอกรันเวย์  เจ็บตายยังไม่ยืนยันจำนวน แต่ตอนนี้คนของเราไม่พอ”พีทรีบทิ้งสัมภาระก่อนจะวิ่งตามเพื่อนสาวออกไป หน้าที่มาก่อนเป็นสิ่งที่เขาคิด สังหรณ์บางอย่างในอก เริ่มก่อความกังวลขึ้นทีละน้อย

         เวลาไม่กี่นาทีที่เขาโดยสารมากับรถพยาบาลที่เปิดไซเรนฝ่าการจราจรด้วยความเร็วสูงนั้นยาวนานราวกับชั่วกัลป์ ช่างเป็นสิบนาทีที่ทรมานหัวใจเหลือเกิน ที่สนามบินวุ่นวายโกลาหล แพทย์และหน่วยกู้ชีพแยกย้ายกันหาผู้บาดเจ็บ ทุกวินาทีที่ผ่านไปมีค่าเท่าชีวิตคนหนึ่งชีวิต  หมอกควันและความร้อนจากการติดไฟ ทำให้แสบไปหมดทั้งหูตา ห้องโดยสารด้านหนึ่งสภาพเหมือนถูกแรงมหาศาลฉีกกระชากจนแทบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผู้โดยสารหลายคนจบชีวิตโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ดิ้นรนบ้างถูกไฟคลอก บ้างถูกกระแทกอย่างแรง หลายคนที่เขาช่วยออกไปได้ก่อนหน้านี้ก็อาการสาหัส 

“คุณครับ ได้ยินผมไหม!”พีทพยายามจะโกนแข่งกับเสียงอึกทึกเบื้องนอก หวังจะได้รับการตอบสนองจากผู้รอดชีวิตหญิงวัยกลางคนที่ยังมีสติแต่ตื่นตระหนกตัวสั่นราวลูกนก เขาถามพลางตรวจอาการบาดเจ็บและปฐมพยาบาลเบื้องต้น แล้วตะโกนบอกหน่วยกู้ชีพ

“ขาหักทั้งสองข้าง” พีทกวาดสายตามองหาสัญญาณแห่งชีวิต ว่าผู้โดยสารคนใดอีกที่ยังรอดชีวิต ต้องช่วย ช่วยให้ถึงที่สุด!!![/size]

“หมอ ตรงนั้นยังมีอีกคน”พีทรับคำ ก่อนจะรีบถลาไปยังที่นั่งถัดไป  แพทย์หนุ่มตะลึงข้างด้วยความตกใจ  หัวใจแทบหยุดเต้นด้วยภาพที่เห็น กลิ่นคาวเลือดกระทบจมูก เลือดหลั่งไหลจากบาดแผลจากร่างนั้นอย่างไร้ความปราณี

“ปอง!!!!”เสียงอุทานนั้นเบาราวกระซิบ หากดังก้องอยู่ในหัวราวกับจะตอกย้ำถึงความเป็นจริง



         พิรุณาซ้อมเปียโนอยู่ภายในห้องซ้อม ช่วงนี้เขาซ้อมหนักยิ่งกว่าปรกติ การจะมีอัลบัมใหม่เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด  นิ้วมือเรียวนั้นกดลงบนแป้นคีย์อย่างแม่นยำ เสียงเปียโนเป็นท่วงทำนอนพลิ้วไหวอ่อนหวาน ตามแนวถนัดของพิรุณา ในอัลบัมนี้เขาเพิ่งความเป็นแจ๊สเข้าไปอีกมาก เน้นให้เป็นเพลงฟังสบาย รวมถึงนำเพลงคลาสสิคมาปรับเปลี่ยนลีลาเสียใหม่ให้มีกลิ่นไอความเป็นแจ๊สมากขึ้น  การเคลื่อนไหวของนิ้วมือ สัมพันธ์กับที่เท้าทั้งสองซึ่งเหยียบpadal เพลงหวานโศกของ piano concertoประพันธ์โดยRachmoninov เรียกรอยยิ้มจางๆจากดวงหน้านั้นได้ ก่อนนิ้วเรียวนั้นจะกดพลาด เจ็บแปรบจากข้อมือมาถึงปลายนิ้ว  พิรุณาถอนหายใจยาว พลันเหลือเห็นนาฬิกาบอกเวลาว่าสายมากแล้ว เขาจึงลุกขึ้น แล้วออกจากบ้านไป ทิ้งความกังวลใจไว้เบื้องหลัง
         
         พิรุณาเขียนจุดหมายปลายทางลงบนกระดาษสีเหลือนวล ก่อนจะส่งให้คนขับรถแท๊กซี่  ถนนสายที่นำไปสู่สนามบินยิ่งใกล้ถึงที่หมายการจราจรยิ่งติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ พิรุณาจึงใช้มือถือลองเช็คข่าวการจราจร แต่ข่าวด่วนที่พิรุณาได้รับกลับทำให้หัวใจหล่นวูบ ปลายนิ้วไร้ความรู้สึกใดอีกนอกจากเย็นวูบ  ยิ่งอ่านข้อความต่อไปพิรุณาแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรง

   ‘.....เที่ยวบินYY403ของสายการบิน YYYประสบอุบัติเหตุไถลออกจากรันเวย์  ยังไม่ยืนยันจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ...’

         ใจพิรุณาเต้นแรงความหวาดกลัวคืบคลานเข้ามาในจิตใจอย่างเงียบๆ สิ่งที่ผุดขึ้นในห้วงคิดคือ ธีรธร  นิ้วเรียวพยายามกดข้อความ รีบร้อนลนลานจนสะดผิดไปหมด ก่อนจะรีบกดส่งข้อความ แต่สิ่งที่ได้กลับมาถือ Network Busy พิรุณาพยายามลองอีกหลายครั้งๆ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นแบบเดิม ความรู้สึกในอกอัดอั้น  พิรุณาลองโทรเข้าหมายเลขของธีรธรบ้าง ทั้งทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าช่างเป็นความคิดที่โง่เง่าเหลือเกิน เพราะเขาไม่สามารถได้ยินหรือพูด  ความรู้สึกทรมานแทรกซึมเข้ามาทีละน้อย พิรุณาอยากกรีดร้อง ไม่มีทางไหนเลยที่จะรู้ข่าวธีรธรได้ คุณธีปลอดภัยหรือเปล่า  บาดเจ็บตรงไหนบ้างไหม  หรือว่า ยังมีชีวิตอยู่ไหม?  ไม่มีทางไหนเลยที่เขาจะได้ข่าวจากธีรธร หรือใครก็ตามที่พอจะทราบ  หากขาดธีรธรไปสักคน พิรุณาทิ้งแขนลงข้างกาย จะอยู่อย่างไร    พิรุณาตัดสินใจลงจากรถ ระยะทางจากรถที่จอดนิ่งอยู่ตอนนี้ถึงอาคารผู้โดยสารไม่ไกลกันนัก พิรุณาตัดสินใจจะวิ่ง ต่อให้ระยะทางไกลกว่านี้เขาก็จะวิ่งไป 

         ภายในอาคารผู้โดยสารสับสนวุ่นวาย ไม่มีใครสนใจใครอีกต่อไป พิรุณาหอยหายใจแรงๆ เขาสวนทางกับหน่วยกู้ชีพที่พาผู้ได้รับบาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาลพลางพยายามมองหาว่าหนึ่งในนั้นเป็นคนที่หัวใจร่ำหาหรือไม่  รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว หากไม่มีน้ำตาจะเอ่อไหล  ที่ไหนๆก็ไม่มีเลย  ไม่มีแม้เงาของธีรธร หรือแม้แต่ปองก็ไม่เจอ พิรุณาพยายามโทรหาทั้งธีรธรและปอง แต่ผลยังเหมือนเดิม ไม่สามารถติดต่อหรือได้ข่าวใดๆ  รอบกายหมุนคว้าง มองทางไหนก็ช่างสิ้นหวังเหลือเกิน  ร่างโปร่งบางนั้นอ่อนแรงเกินกว่าจะตามหาใครได้อีก  พิรุณาทำได้เพียงเอนกายพิงเสา สมองมึนชาไปหมด พอๆกับเรี่ยวแรงที่ระเหิดหาย รู้สึกเหมือนน้ำตาจะรินไหล หากแต่ในความจริงแท้กลับว่างเปล่า เขาอยากกรีดร้อง ตะโกนหา ความอัดอั้นที่ตนช่างไร้ประโยชน์ กำลังทำร้ายจิตใจให้ยิ่งบอบช้ำ ราวกับคมมีดที่กรีดลองเพื่อตอกย้ำ

ใครเลยจะรู้ว่า.........ทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์คือทรมาน  ทรมานเหนือทรมานคือตายทั้งเป็น???


“พิรุณา!! พิรุณา!”เสียงตะโกนแข่งกับเสียงแห่งความวุ่นวายนั้น มาจากฝั่งตรงข้าม  ร่างสูงใหญ่นั้นพยายามแทรกฝูงชนมายังอีกฟากหนึ่ง  สภาพของพิรุณาตอนนี้ ทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน  ร่างโปร่งบางราวกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง ดวงตาคู่สวยแห้งแล้ง ธีรธรเบียดกายฝ่าฝูงชนไม่สนใจอีกแล้วว่าจะถูกกระทบกระแทกกับใคร รีบคว้าร่างบางนั้นกอดไว้ พิรุณาดูเลื่อนลอยเหลือเกิน

“ผมอยู่นี่ พิรุณาผมไม่ได้เป็นอะไร”อ้อมแขนอบอุ่นนั้นกอดรัดไว้แน่น นี่คือเนื้อหัวใจของเขาโดยแท้  มือเย็นเฉียบนั้น สัมผัสใบหน้าเขาแผ่วเบา ราวกับไม่แน่ใจว่านี่เป็นความจริงหรือฝัน มือใหญ่อุ่นร้อนทาบฝ่ามือทับเพียงแผ่วเบา

“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”ธีรธรพูด เพียงเท่านั้น น้ำตาก็ร่วงหล่นจากดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่สวย

“อย่างร้องเลยคนดี เงียบเสีย”นิ้วแข็งแรงนั้นซับน้ำตาให้แผ่วเบา พิรุณาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมสติ ก่อนจะถามภาษามือ ที่ธีรธรพอเข้าใจว่าหมายถึงใคร

‘ปองล่ะครับ?’

“ผมไม่ได้มาเที่ยวบินเดียวกับปอง เพราะผมเลื่อนไฟล์ทให้เร็วขึ้นจะได้เจอคุณเร็วๆ หวังว่าปองจะไม่เป็นอะไรมาก” ธีรธรพูด ในขณะพิรุณาตะลึกค้างกับภาพที่เห็น  เขามั่นใจว่าผู้ได้รับบาดเจ็บคนที่เพิ่งผ่านหน้าไปเมื่อครู่ คือปองอย่างแน่นอน !!!





         ตั้งแต่นำร่างปองออกมาพร้อมหน่วยกู้ชีพ จนมาถึงโรงพยาบาล แม้จะเป็นเวลาช่วงไม่กี่นาที แต่กลับทรมานเขาเหลือเกิน พีทนั่งลงหน้าห้องผ่าตัดอย่างอ่อนแรง ตามร่างกายเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจนแทบจะย้อมเสื้อสีออกขาวเป็นแดงฉาน  เขาไม่สามารถลงมือผ่าตัดช่วยชีวิตปองได้ มันเป็นกฎที่ห้ามแพทย์รักษาบุคคลใกล้ชิดด้วยตนเอง และจิตใจเขาไม่เข้มแข็งพอที่จะเห็นร่างโปร่งบางนั้นเจ็บปวด เขายังจำได้ติดตา ภาพใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ บาดแผลที่เลือดไหลราวธารน้ำ ตอนที่นำปองออกมา ปองไม่ได้สติ บาดแผลที่ชายโครง ทำให้เสียเลือดมาก กระดูกซี่โครงน่าจะแทงปอด ขณะอยู่บนรถพยาบาล ปองมีอาการช๊อคเนื่องจากเสียเลือดมาก หัวใจหยุดเต้นไปราวนาทีกว่า ก่อนเขาจะปั๊มขึ้นมาอีกครั้ง  ทำไมพระเจ้าถึงได้ชอบเล่นตลกกับเขานัก เขาทำบาปกรรมใดมาหรือ ถึงได้ลงโทษเขามากมายถึงเพียงนี้ เขาเสียพี่ชายไปคนหนึ่งแล้ว และกำลัง...อาจจะ...เสียงปองไปอีกคน

         มือแข็งแรงนั้นสั่นสะท้าน พีทสูดลมหายใจราวพยายามขับไล่ความรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ วันนี้เขาเพิ่งได้เข้าใจอย่างแจ่มชัดนี่เองว่า การเป็นผู้เฝ้ารอ  แล้วทำได้เพียงภาวนานั้น เป็นอย่างไร เขาเห็นญาติคนไข้ของเขา รอคอย และเฝ้าภาวนาอยู่บนม้านั่งตัวนี้มานักต่อนัก ทั้งผู้เป็นพ่อแม่ ผู้กครอง ญาติพี่น้อง หรือแม้แต่คนรัก เพิ่งเข้าใจในวันนี้เองว่า การรอคอยอันสิ้นหวังนั้นทรมานใจเพียงใด  ยิ่งการที่เขาเป็นแพทย์เองนั้นยิ่งทำให้รู้สึกราวกับโลกนี้ช่างมืดมิดเหลือเกิน โอกาสที่เปรวเทียนดวงน้อยนั้นจะดับแสง มีมากเหลือเกิน  ทั้งเขาและปองยังทุกข์มาไม่พออีกหรือ?

ทุกยิ่งกว่าทุกข์คือทรมาน ทรมานเหนือทรมานคือตายทั้งเป็น!!

------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอน 15 แล้วนะครับ :m13:
รอตอนพิเศษจากน้องเมศนะครับ
แล้วก็ตอน 16 พี่รออยู่นะน้องเมศ  :oni3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 13-03-2008 12:35:13
ว่าแล้วเชียว
ความสุขยังไม่ทันจางหาย
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 13-03-2008 13:29:02
ทำไมเนี่ยยยยยยยยยยยยยยย เหมือนจะมีความสุขอยู่แป๊ปๆ ทำไมต้องมาเศร้าแบบนี้ด้วยอ่ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 13-03-2008 22:17:20
 :a6:ตรูว่าแล้วว่าต้องมีหลังหักหักหลังจากคนแต่ง
บอกไว้ก่อนเลยนะ ห้ามมีถึงตายด้วย :serius2:


ปล.คอมเจ๊งได้ไงอ่ะ แอบหนีไปเที่ยวไม่ชวนพี่อ่ะจิ โสนะหน้า  :a3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 13-03-2008 22:57:29
( บอกทำไมฟะตู...อย่างคนเค้าอยากรู้ตายอ่ะ )
อยากรู้อยู่คร้าบบบ

อ๊าก แต่ว่าทำไมทำแบบนี้  :o12:

กลับมาก็เจอเรื่องเศร้าเลย

อ่านเเล้วมันหายใจไม่ทั่วท้องเลยนะเนี่ย

ลุ้นให้ปองรอดที ห้ามตายนะ!!! :m16:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 13-03-2008 23:01:30
โอ้วววววววววววววววววววววววววววววววววว

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

น้องปองของเจ้สอง

แงๆ

 :o12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 14-03-2008 02:10:29
 :m20: :m20: :m20:

นี่ขนาดมีแอบๆบอกไว้บ้างแล้วให้ทำใจนะนี่

อย่างว่าแหละน้องเมศมันซาดิสชอบทารุณตัวละคร o7

:a6:ตรูว่าแล้วว่าต้องมีหลังหักหักหลังจากคนแต่ง
บอกไว้ก่อนเลยนะ ห้ามมีถึงตายด้วย :serius2:


ปล.คอมเจ๊งได้ไงอ่ะ แอบหนีไปเที่ยวไม่ชวนพี่อ่ะจิ โสนะหน้า  :a3:

 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:

ชวนแล้วไปอ่ะปาวววววว.. :oni1:

แต่ก็เห็นด้วยกับพี่ฟางเพราะเคยบอกน้องเมศไว้ว่า ทารุณแต่พองามนะลูก  :m15:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: yukisaki ที่ 14-03-2008 13:55:48
แง้~~~ :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:

ทารุณตัวละครจริงๆ :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 14-03-2008 23:15:52
INTERMEZZO
special part : My love  my Valentine[2008]
Ken X Dolce
 :L2:
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2DCEG7PAD&Autoplay=1

******************************************************************



         เสียงเพลงแจ๊สเบาๆ ดั่งลอดเข้ามาในครัวกึ่งเปิด ท่ามกลางเสียงกระทบกันของเครื่องครัวเบาๆ กลิ่นของหวานชวนให้ชายหนุ่มที่นอนเอกเขนกบนโซฟาหนังตัวใหญ่ลุกขึ้น  ดวงตาสีมรกตมองเห็นแผ่นหลังบางๆในเสื้อคลุมอาบน้ำกำลังทำบางอย่าง เรือนผมนั้นยังเปียกหมาดๆ เส้นผมเส้นเล็กละเอียดถูกเจ้าของทัดไว้หลังใบหูเพื่อไม่ให้เกะกะ ลำคอขาวๆที่โผล่พ้นเสื้อคลุม ปรากฏร่องรอยกลีบกุหลาบประปราย  ชายหนุ่มเหยียดยิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงความหอมหวานที่เพิ่งผ่านพ้น 

         โดลเชจัดเค้กหน้าตาชวนน้ำลายสอใส่จาน พลางป้ายเนื้อครีมหน้าเค้กมาลองชิมเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ โดยไม่ระวังตัว อ้อมแขนแข็งแรงก็กอดรัดจากด้านหลัง  โดลเชตีแขนแข็งแรงนั้นแรงๆ แต่ดวงหน้านั้นกลับยิ้มเผล่เอาใจ  พลางชี้ไปที่เค้กก่อนจะทำท่าให้ป้อน

“มือมี ตักเอง”โดลเชเสียงห้วน ทำเป็นไม่สนใจมือแข็งแรงที่เริ่มซุกซน

“ป้อนนะ ป้อนๆ” ดวงตาสีเขียวอมเทาคมกริบตวัดมอง

“ไม่”แม้ปากจะว่าอย่างนั้น แต่มือบางๆนั้นกลับวางส้อมคันเล็กๆลงบนจานอย่างเบามือ เคนรีบหยิบส้อมนั้นมาตักเค้กเข้าปาก แล้วอุทาน

“ อร่อยมาก หวานกำลังดี ชิมหรือยัง?” โดลเชพยักหน้าน้อยๆ พลางหยิบส้อมอีกคันกำลังจะตักทานบ้าง แต่มือแข็งแรงนั้นรั้งไว้  รู้สึกถึงปลายจมูกโด่งเป็นสันนั้น ถูกไถเบาๆกับใบหูอ่อนนุ่ม  โดลเชรีบเอียงศีรษะหนี เคนหัวเราะเบาๆ

“ชิมสิ”เสียงทุ้มนุ่มนั้นกระซิบอยู่ริมหู ก่อนโดลเชจะเบือนหน้าไปหาคนที่ยืนหลังตน รับสัมผัสของริมฝีปากอุ่นและความหวานซ่านของเค้กมาพร้อมๆกัน

“อีกหน่อยต้องอ้วนแน่ๆเลย”เคนบ่นพลางหัวเราะชอบใจ ทั้งที่ดวงหน้านั้นแทบไม่ห่างกันเลย

“สม เอ๊ะทำอะไร!”ร่างโปร่งบางร้องอย่างตกใจเพราะถูกยกตัวลอยให้นั่งลงบนเคาท์เตอร์  โดยมีร่างเคนแทรกหว่างกลาง

“ปากร้ายจะถูกลงโทษ” ดวงหน้าเนียนนั้น แดงจัด  ไวน์ในแก้วทรงสูงถูกรินอย่างเบามือให้โดลเชแก้วหนึ่ง ก่อนเคนจะดื่มจากขวด

“น่าเกลียด”

“น่ารัก”ดวงตาสีมรกตเต้นระยับ โดลเชหลบสายตา ริมฝีปากบางเม้มแน่น มือข้างนึงลูบผมทัดใบหูอย่างทำอะไรไม่ถูก

“รู้ไหม ผมรู้สึกตัวเองโง่จังที่ไม่สนใจคุณ แต่ตอนนี้ฉลาดแล้ว และคิดด้วยว่า คิดไม่ผิด”

“ปัจจุบันก็ยังโง่อยู่หรอก”

“โง่ที่หลงรัก ‘ของหวาน’ อย่างหัวปักหัวปำ” ดวงตาสีมรกตจ้องมานั้นเป็นประกายพราว  คนชื่อหวานนัยน์ตาดุรีบเสสายตาไม่กล้ามอง

“อย่ามาล้อเล่น”

“ไม่ล้อเล่นหรอก ทำไมต้องช็อคโกแลต”โดลเชงงอยู่ครู่หนึ่งก็นึกได้ว่าเคนพูดวกกลับมาเรื่องเค้กเสียแล้ว

“ เพราะ ช็อคโกแลต ไม่เพียงแต่หวานอย่างเดียว ในรสหวานชวนชิมของมันมีรสขมแทรกอยู่  ทั้งทีมันขม แต่กลับยิ่งทำให้ความหวานน่ากินเด่นชัดกว่าเดิมจริงไหม?” มือบางนั้นจับใบหน้าชายหนุ่มให้ส่ายไปมา ขณะที่เจ้าของดวงหน้าคมสันนั้นพยักหน้า แล้วหัวเราะ ดวงตาสีเขียวอมเทานั้นมีประกายอ่อนหวาน หากแล้วก็สลดลง

“แน่ใจหรือครับว่าตัดสินใจถูกแล้ว”คำถามนั้นแทบจะทำให้บรรยากาสดีๆระเหยไปกับอากาศ

“แน่ใจสิครับ”ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองกลับมาแน่วแน่ทำให้หัวใจชุ่มชื่นขึ้นอยู่บ้าง

“ผมคิดว่าผมสู้คุณพิรุณาไม่ได้เลย”มือบางนั้นทิ้งลงข้างกายเหมือนคนหมดเรง มืออุ่นแข็งแรงนั้นจึงกุมไว้แผ่วเบา

“อย่าเอาไปเปรียบกันเลย พิรุณาก็คนนึง คุณก็คนนึง ไม่เหมือนกัน บางทีพิรุณาก็ซับซ้อนเกินไป ร้ายกาจเกินไป ที่ผมคอยวิ่งตามเขานั้น ผมเองก็เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่า เพราะตัวผมเอง เป็นห่วงเขามากเกินไป โดยไม่รู้ว่า พิรุณาเปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว หัวใจเขายืนได้เองโดยไม่ต้องมีใครช่วยพยุง มันออกวิ่งไปในโลกกว้างโดยไม่สนใจใคร ไม่ยึดติดกับใคร นั่นแหล่ะคือพิรุณา “

“ไหนว่าไม่เปรียบเทียบ”

“ยังไม่ได้เปรียบเทียบเลย แค่เล่าให้ฟัง ขี้งอนจริง”

“แล้วผมล่ะ?”

“ไหนว่าไม่อยากให้เปรียบเทียบ?”

“ก็แค่อยากรู้”

“พอผมหยุดวิ่งตามพิรุณาแล้ว ก็พบว่า คนใกล้ตัวที่เคยแอบรำคาญเขา เขามอบความรักในรูปของความเอาใจใส่ เขาละเอียดลออ ช่างคิด คิดเล็กคิดน้อย..”

“นั่นไม่ใช่ข้อดีสักหน่อย”โดลเชแย้งขึ้น เคนหัวเราะ แล้วจิบไวน์ในมืออีกอึก

“ก็คิดทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็กอย่างละเอียดลออไง  เขาเป็นคนมีระเบียบ เจ้ากี้เจ้าการ..”

“นั่นก็ไม่ใช่ข้อดี”

“อย่าเพิ่งพูดแทรกสิที่รัก” เคนหอมแก้มเนียนๆนั้นอย่างหมั่นไส้เต็มทน

“ต่อนะ ...สรุปคือ เสมอต้นเสมอปลาย มั่นคง  ที่สำคัญมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าผม”

“แล้วยังไงอีก?”ดวงตาสวยนั้นฉายประกายอย่างรู้เต็มที เคนกระซิบเบาๆข้างหู

“ผมชอบคนอายุมากกว่า” โดลเชเหมือนหัวใจเต้นรัวราวกลอง นึกกลัวว่ามันจะกระดอนออกมาจากอก

“บ้าจริง”โดลเชสบถเบาๆ พลางพยายามหลีกหนีจากสัมผัสของเคน  เสียงผู้ดำเนินรายการหญิงกำลังแนะนำเพลงต่อไปด้วยน้ำเสียงแจ่มใสชวนฟัง ก่อนเสียงเปียโนคลอเคล้ากับเครื่องดนตรีอื่นจะดังขึ้นเบาๆ

“ชู่ว์...”โดลเชแตะนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากตัวเอง  ทำท่าเงี่ยหูฟัง เคนจึงสนใจฟังบ้าง ทำนองอ่อนหวานชวนฟังและเสียร้องเอื้อนหวานซึ้งกำลังขับร้องเนื้อความอันจับใจ เคนยิ้มกับท่าทางของคนรักในอ้อมแขนที่กำลังขยับริมฝีปากร้องตามทำนองเพลงนั้นไปด้วย โดลเชหวานสมชื่ออย่างแน่แท้  บางทีสิ่งที่โดลเชได้รับมาจากมารดามากกว่าบรรดาที่น้องทั้งหมด คงจะเป็นน้ำเสียงอ่อนหวานนั้น ที่ไม่หวานเหมือนเสียงผู้หญิง แต่ฟังแล้วหัวใจกลับซาบซ่าน ยิ่งได้สบตาคู่สวยนั้นยิ่งลึกล้ำยากบรรยาย

If there were no words
no way to speak
I would still hear you
If there were no tears
no way to feel inside
I'd still feel for you
and even if the sun refused to shine
even if romance ran out of rhyme
you would still have my heart untill the end of time
you're all I need,my love,my valentine

All of my life
I been waiting for
all you give to me
you've opened my eyes
and showed me how to love unselfishly
I've dreamed of this a thousand times before
but in my dreams I could'nt love you more
I will give you my heart
untill the end of time
you're all I need,my love,my valentine

and even if the sun refused to shine
even if romance ran out of rhyme
you would still have my heart untill the end of time
cause all I need is you my valentine
you're all I need,my love,my valentine

Song:Valentine :Jim Brickman

 “ขอจูบทีได้ไหม?” เสียงเปียโนหลังคำร้องท่อนสุดท้ายยังคลอเคล้า ขณะที่ลมหายใจอุ่นร้อนยังคลอเคลียอยู่ใกล้กัน

“ไม่ได้”โดลเชพูดดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย สวยเหมือนคืนนั้นที่เซียน่า....คืนที่เราต่างเข้าใจกัน

“ไม่รู้ล่ะ จะเอา”เคนยังดื้อดึง

“ไม่เอาก็จะให้”โดลเชพูดพลางหัวเราะเบาๆ แขนทั้งสองข้างรั้งร่างสูงกว่าให้ก้มลงมาอีกนิด ก่อนจะมอบสัมผัสหวานล้ำให้ยาวนาน

“ทานเค้กให้หมดสิ”โดลเชหยิบจานเค้กขึ้นมา ตัดเค้กช็อคโกแลตท่าทางน่ากินนั้นใส่ปาก  แล้วตัดอีกชิ้นให้เคน

“ต้องป้อนนะ”

“งั้นไปเอาไวน์มาเพิ่ม”

“ห้ามไปไหนนะ”เคนสั่งทิ้งท้ายก่อนจะยอมไปหยิบไวน์มาแต่โดยดี โดลเชมองตามร่างสูงๆนั้นไปแล้วเปลี่ยนท่านั่งเสียใหม่เป็นไขวห้างให้สบายขึ้น พลางชิมรสชาติเค้กอย่างอารมณ์ดี

“ปิดไฟห้องนั่งเล่นด้วยนะ เปลือง”โดลเชร้องบอกเมื่อเห็นว่าเคนกลับมาอีกครั้ง  ไฟทั้งห้องดับวูบลง เหลือเพียงแสงจากไฟประดับของต้นไม้จากเบื้องนอก โดลเชมองนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่สูงเกือบจรดเพดาน แสงไฟและความครึกครื้น ทำให้โดลเชยิ้มน้อยๆ  จนเมื่อเสียงฝีเท้าของเคนเข้ามาใกล้โดลเชจึงหันกลับมา  ร่างสูงๆนั้นถือถังใส่ไวน์และเชิงเทียนที่มีเทียนสามเล่มแข่งกันส่องประกายแสง ดวงตาคู่นั้นเต้นระยับพร้อมๆกับเปรวเทียนดวงน้อย 

“ตกใจไหม?”โดลเชส่ายหน้า หากยิ้มอ่อนหวาน

“หลับตาสิ”เคนพูดพลางวางเชิงเทียนไว้ ไกลจากตัวไปอีกนิด

“ไม่เอา ไม่ให้จูบแล้ว”

“ไหนว่าไม่ขอก็จะให้ไง?”

“ไม่ให้แล้ว”โดลเชพูดก่อนจะหลับตา เคนหัวเราะเบาๆกับนิสัยชอบเอาแต่ใจนั้น

“อย่าขี้โกงนะ” มือแข็งแรงนั้นจับมือบางกุมไว้ เบาๆ โดลเชรู้สึกอุ่นๆบนผิวสัมผัสนั้น นอกจากนั้นยังรู้สึกอุ่นๆที่แก้มขวาด้วย  สัมผัสเย็นจัดที่นิ้ว ทำให้โดลเชสะดุ้ง

“อย่าขี้โกงนะ คนขี้โกงต้องโดนถูกลงโทษ”เคนหัวเราะเจ้าเล่ห์

“อะไรๆก็จะลงโทษ”โดลเชว่า หากยิ้มจางๆ สัมผัสความเย็นของโลหะที่กำลังอุ่นขึ้นด้วยอุณหภูมิร่างกายตัวเอง

“ลืมตาได้แล้วครับ”ดวงตาสีเขียวอมเทา รีบมองที่มือซ้ายของตน แหวนทองคำขาวเรียบสนิทสวมอยู่บนนิ้วกลางข้างซ้าย เพชรเม็ดเล็กล้อประกายแสงเทียนสะดุดตา เขานึกแปลกใจที่แหวนดูผิดที่ผิดทาง

“ผมให้”โดลเชพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังรู้สึกแปลกจากหลายๆอย่าง

“จะให้หลายครั้งแล้วตั้งแต่อยู่ทีเซียน่า แต่ก็ไม่กล้า พี่ๆคุณจ้องอย่างกับจับผิด”หลายครั้งที่เคนและโดลเชไปเซียน่าด้วยกัน  และทุกครั้ง พี่ชายทั้งสองต้องเฝ้าจับตาดูคนทั้งคู่แทบทุกอิริยาบถ

“แหวนอะไร?”โดลเชถามพลางขมวดคิ้ว เคนยิ้มเจื่อน ตอบไม่ถูกเหมือนเด็กๆยามจนด้วยคำตอบที่จะตอบคำถามอาจารย์

“ก็อยากให้”เสียงนั้นไม่มั่นใจเหมือนทุกคราว ฟังดูอ้อมแอ้มเหมือนเด็กกลัวตอบผิด

“แหวนอะไร?”

“ก็แหวนทองคำขาว”

“ไม่ใช่!!!” เอาล่ะสิ เขาตอบอะไรผิดไป หรือว่าแหวนนี่จะโดนย้อมแมวขาย แต่ก็ไม่น่าใช่นะ

“ให้ในโอกาสอะไร?”

“วันวาเลนไทน์ไง”โดลเชหงุดหงิด หันรีหันขวาง นึกอยากเอาหม้อทุบเคนเสียให้ตาย

“ข้างในสลักชื่อเราด้วยนะ”เคนรีบยกข้อที่นึกได้ขึ้นมาบอก ก่อนจะส่งแหวนของตัวเองให้โดลเชดู ด้านในสลักชื่อ ‘#Dolce Valentin Gudache#’ 

“ของคุณสลักชื่อผม” โดลเชถอนออกมาดูบ้าง ข้างในสลักชื่อ ‘b KEN  Rafael Animoto b’ โดลเชยิ้มขัน หน้าชื่อของเขาเป็นเครื่องหมายชาร์ป ดูแล้วไม่แปลกเท่าไหร่  แต่เครื่องหมายแฟรตหน้าชื่อเคนนี่สิ มันชวนให้อ่านผิดเสียจริง เหมือนตัวบีในภาษาอังกฤษเกลือเกิน

“อ้อ นี่ตกลงใช้ชื่อปลอมเวลาทำงานใช่ไหม ทายาทแอนิโมโตตัวปลอมนี่นา นายไม่ใช่เคน สารภาพมาเสียดีๆนายบีเคน นายเป็นใครกันแน่” เคนงงอยู่พักหนึ่งก่อนจะหัวเราะเสียงดัง

“เครื่องหมายแฟรตต่างหากเล่า แฟรต”โดลเชหัวเราะอย่างขำขันไม่แพ้กัน นิ้วเรียวไล้ตามเรือนแหวนอย่างถนอมนัก

“เข้าใจคิดนะ เครื่องหมายชาร์ฟแฟรต เครื่องหมายที่คู่กัน แต่ก็เหมือนตรงข้าม นับขึ้นลงอย่างละครึ่งเสียง”โดลเชกล่าวชม ดวงตามองสบกันลึกซึ้ง

“สวมให้หน่อยได้ไหม?”เคนพูดเสียงเบาๆ เสียงทุ้มนุ่มนั้น อ่อนหวาน

“ไม่ จนกว่าจะแน่ใจว่าคุณเป็นคนที่รักผม ไม่ใช่แค่คนที่ผมรัก ผมอยากมั่นใจว่าผมเป็นคนที่โชคดีคนนั้น”อ้อมแขนแข็งแรงนั้นโอมล้อมร่างบาง

“มั่นใจเถอะ ผมอยากให้คุณมั่นใจ รักอาจไม่นิรันดร์ แต่ผมจะมั่นคงตลอดไป”  น้ำตาแห่งความปิติหลั่งไหล โดลเชเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ  แล้วรับแหวนวงนั้นมาไว้ในมือ

“S'il suffisait qu'on s'aime, s'il suffisait d'aimer Nous ferions de ce reve un monde”

“พูดว่าอะไรนะ”โดลเชสวมแหวนลงบนนิ้วใหญ่แข็งแรงนั้น ในตำแหน่งเดียวกับที่เคนสวมให้ แล้วกอดเคนไว้ก่อนจะกระซิบบางอย่าง

“วันนี้วันอะไร?”เคนทำหน้าเจื่อนเหมือนชักไม่อยากเล่นเกมส์ถามตอบ

“วันที่สิบสี่กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์”

“แล้วยังไงอีก”

“วันพฤหัสบดี วันที่ห้าของสัปดาห์” โดลชักจะขมวดคิ้ว เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้อง

“ไม่ใช่!!”ร่างโปร่งบางนั้นหลุดพ้นจากอ้อมแขนแข็งแรงอย่างรวดเร็ว ลงยืนกับพื้นโดยไม่ต้องเสียเวลาแกะพันธนาการของเคนออกเลยแม้แต่น้อย

“บ้าที่สุด จำไม่ได้หรอกหรือ?” เคนส่ายหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ

“กลับล่ะ”โดลเชทำท่าจะเดินกลับไปเปลี่ยนชุดกลับเอาเสียจริงๆ เคนเลยรีบวิ่งไปขวางประตูห้องไว้

“ทำไมหรือวันนี้วันอะไร?”

“ยังมีหน้าจะถามอีก”ดวงตาคู่สีเขียวอมเทาคมกริบน่ากลัว

“บอกหน่อยน่านะ”

“ถามแหวนที่มือดูสิ”โดลเชเบียดตัวเข้าไปในห้องนอนได้สำเร็จ เคนยังพยายามขบคิด ในที่สุดก็จำใจถอดแหวนมาหมุนๆดู  ในที่สุดก็นึกออก แต่ช้าไปเสียแล้ว โดลเชเอาชุดเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำแล้ว แทบจะปิดประตูใส่หน้าด้วยซ้ำ

“โดลเช  โดลเช ผมขอโทษ!”เคนทุบประตูห้องน้ำ หวังให้คนข้างในยอมอภัยให้ ไม่กี่นาที ประตูก็ถูกกระชากออกอย่างแรง ดวงหน้าหวานตอนนี้ไม่สมชื่อเสียแล้ว

“นึกออกแล้วหรือ”เสียงนั้นห้วนไม่ชวนสบายใจ

“ครับ อย่าโกรธนะครับ  สุขสันต์วันเกิดด้วย  ไม่โกรธนะ”

“กลับล่ะ”โดลเชเดินไปถือกระเป๋าเอกสารของตัวเอง พลางเดินลงบันไดไปสองสามขั้น

“ไม่ให้กลับ”เคนกอดร่างบางไว้อีกครั้ง

“ถ้ายังอยากจะกลับ จะเอาให้กลิ้งตกบันไดเลย”โดลเชส่งเสีย หึ ขึ้นจมูก

“งั้นจะแจ้งความ”

“ไม่ให้แจ้งหรอก จะกอดไว้จนกว่าจะใจอ่อน”ดวงตาสีเขียวอมเทาฉายประกายขบขัน

“ก็ได้ๆ พอแล้ว เดี๋ยวเกิดหลับในพากันกลิ้งตกบันไดจะแย่ทั้งคู่”โดลเชหัวเราะขบขัน เคนจึงเบาใจ

“ไม่โกรธแล้วนะ” โดลเชพยักหน้า ก่อนจะเป็นฝ่ายจูงมือคนตัวสูงให้กลับขึ้นชั้นบน

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 15-03-2008 00:01:00


ท่ามกลางแสงสลัวจากเบื้องนอก เสียงเพลงกล่อมเกลาเพียงแผ่วเบา ลมหายใจของคนสองคนคล้อเคล้าคล้ายหยอกล้อ มือน้อยกุมมือใหญ่ปลายนิ้วที่เกาะเกี่ยวกันนั้นผะผ่าว  ดวงตาดุๆนั้น ไม่ฉายประกายขัดเคืองใดๆ อย่างที่เคนเข้าใจ ดวงตาคู่นั้นทอประกายอ่อนโยน เกินกว่าจะละสายตาไปได้  มือบางนั้นกุมมือใหญ่ขึ้น แตะริมฝีปากลงบนปลายนิ้ว

“อันที่จริงแล้ว จะวันวาเลนไทน์ หรือวันเกิด มันไม่สำคัญหรอก”เสียงนั้นกระซิบเบาๆ

“เพราะวันที่สำคัญสำหรับผม คือทุกวันที่ได้ชิดใกล้กับผู้เป็นที่รัก ทุกวันคือความสุขอันล้นเหลือ เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”ริมฝีปากหยักสวยจุมพิตลงกึ่งปากกึ่งแก้มคนพูด

“รู้จักรูปสลัก pietaไหม?”คนรับฟังพยักหน้า หากแต่ไม่รู้รายละเอียดใดๆมากนัก  โดลเชหัวเราะเบาๆ

“รูปสลักผลงานชิ้นเอกของไมเคิลแองเจโล โง่จริง เป็นคนอิตาเลี่ยนแท้ๆ   เมื่อผมยังเด็ก แม่เคยพาไปดูครั้งหนึ่ง  ภาพนั้นยังจำได้ติดตาอยู่จนถึงวันนี้ แม้จะผ่านมานานมากแล้ว  รูปสลักหินอ่อนขาว  พระแม่มารีกำลังอุ้มพระศพพระเยซูคริสต์หลักจากถูกตรึงกางเขนไว้บนตัก ดวงพักตร์อ่อนเยาว์งดงาม หากแต่ไม่แสดงอารมณ์อื่นใดอีกนอกเสียจากความอ่อนโยนสงบนิ่ง หากก็แฝงความเจ็บปวดอยู่ในที ในอ้อมแขนนั้นคือพระศพของบุคคลอันเป็นที่รัก  เป็นภาพที่งดงามแต่ก็สะเทือนใจเหลือเกิน”เคนมองริมฝีปากนั้นขยับเล่าเรื่องราวราวสอนน้องน้อยอย่างเพลิดเพลิน

“วันนั้น แม่บอกว่า ความรักใดๆบนโลกนี้ล้วนสวยงาม ความงดงามใดๆเหมือนสิ่งต้องสาป เหมือนของหวานยวนเย้าน่าลิ้มลอง หากแต่อีกด้านคือยาพิษที่พร้อมฉุกคร่าวิญญาณ  จึงควรที่จะมีความรักใดๆอย่างพอดี รู้จักให้แล้วจงรู้จักพอใจ เมื่อรู้จักพอใจอย่าได้คาดหมายสิ่งตอบแทน  พระแม่มารีทรงมอบรักเมตตาอันมหาศาล หากมิได้คาดหมายสิ่งใดตอบแทน  รักนั้นจึงยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การระลึกจารจำ  อาจเป็นเรื่องน่าหัวเราะ ที่ผมจำสิ่งเหล่านี้ฝังหัว ทุกครั้งที่รู้สึกรักใครอย่างลึกซึ้งจึงแสดงออกอย่างเงียบๆไม่ได้เรียกร้องอะไร เพราะความสุขของผมไม่ใช่การได้รับความรักตอบแทน  แต่เป็นการได้มอบความรักให้ใครสักคนอย่างสุดหัวใจ เพียงเท่านั้น”

“รักที่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน  ควรค่าแก่การจารจำ จริงๆ  ผมเองก็เกือบพลาดไปแล้ว  ลองคิดดูเถอะ หากครั้งนั้น ผมไม่รู้ความรู้สึกตัวเองแล้ว ผมคงสูญเสียคนที่รักสุดหัวใจไปแล้ว ว่าแต่ ในเมื่อความสุขของคุณคือการรักโดยไม่หวังผลใดตอบแทน แล้วทำไมถึงจะเลิกรักเสียล่ะ”

“เป็นธรรมดามนุษย์ไม่ใช่หรือ เมื่อเจ็บต้องจดจำและพยายามหลีกหนี มันคือสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง แต่สำหรับผมแล้ว พอเอาเข้าจริงก็ตัดใจไม่ได้   สุดท้ายผมก็ยังคงยืนจุดเดิม คือพร้อมจะมอบความรักที่มีต่อไป แม้รักนั้นจะไม่ได้สิ่งใดกลับมา แม้สักวันหนึ่งความรักนั้นจะบางเบาเหมือนสายลมพัดผ่าน แต่สุดท้าย ความสุขของความรักที่ผ่านพ้นคือการได้รักไม่ใช่หรือ?”เคนหัวเราะกับคำถามที่ถามกลับ

“ความสุขอีกอย่างของผมคือการ รู้จักความรัก และรู้จักรัก หลายคนอาจรู้จักรัก แต่น้อยคนนักจะรู้จักความรัก เวลานี้ผมรู้แล้ว สองสิ่งนี้ต่างกัน   วันนั้นที่ผมตามไปเซียน่า ผมไม่เคยนึกเสียใจเลย นั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้วในชีวิต”มือบางนั้นสัมผัสดวงหน้าคมสัน ที่แม้ในแสงสลัวเพียงใด ก็ยังแจ่มชัดในหัวใจ

“ผมเองก็ไม่เคยเสียใจที่ได้รักเคน”รอยยิ้มอ่อนหวานนั้นระบายบนดวงหน้าอ่อนโยน  ดวงตาคู่นั้นพราวระยับเหนืออัญมณีอื่นใด

“คิดว่าความรักของเราจะยืนยาวไหม?”น้ำเสียงนั้นหนักแน่นหากก็คล้ายจะไม่มั่นใจ

“เด็กโง่ ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นนิรันดร์ จะสนใจห้วงเวลาไปทำไม”

“นั่นสิ”คนทั้งคู่หัวเราะในอ้อมกอดของกันและกัน

“ผมคิดว่าผมโชคดี  ที่ได้ความรักคืนกลับมา เหมือนกำไรมหาศาลที่ไม่คาดฝัน”อ้อมกอดนั้นกระชับแน่น

“เตรียมตรวจบัญชีให้ดีเถอะ”เสียงนุ่มนั้นเย้าอยู่ข้างหู อุ่นหลอมความรู้สึกใดๆให้ละลายเป็นหนึ่งเดียว 

‘If loving each other was enough, if loving was enough
We would make a world of this dream..... S'il suffisait d'aimer’










************************************************************************

กว่าจะลงเพลงเเก้โพสต์(ที่พอeditเเล้วข้อความบางส่วนหายไป)เเทบจะเเดดิ้นเลยค่ะ
 :sad2:

หวังว่าจะชอบตอนพิเศษนี้กันนะคะ  :m13:

ปล.ระวังระดับน้ำตาลในเลือดสูง

/meดอลลี่ตัวเองหนีไป
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 15-03-2008 05:12:44
แหม เอาตอนพิเศษเคนกับดอลเช่ มาคันได้น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :o8:

แต่ตอนต่อไปเนี่ยนะสิ  o7
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 15-03-2008 05:43:42
เห็นด้วยอย่างแรง

ว่าแต่ยังไม่นอนอีกหรอครับ

พวกเดียวกันเลย  :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 15-03-2008 09:05:52
มาเติมความหวานให้หัวใจก่อนไปทำงาน  :m4:

แต่ว่าอ่านไปแล้วหงุดหงิดอ่ะอยากมีแบบเคนซักคน :serius2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 15-03-2008 12:25:21
เห็นด้วยอย่างแรง

ว่าแต่ยังไม่นอนอีกหรอครับ

พวกเดียวกันเลย  :o8:

ป่าววววววววววววววววววว คับ เผลอนอนตั้งแต่หัวค่ำแล้วตื่นแล้วตะหาก อิอิ

คนทำงานก็เงี่ย วันหยุดก็อยากรีบๆนอน แล้วก็ยังตื่นเช้าจนชิน อิจฉาคนยังเรียนอยู่จัง
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 15-03-2008 14:05:36
คนทำงานก็เงี่ย วันหยุดก็อยากรีบๆนอน แล้วก็ยังตื่นเช้าจนชิน อิจฉาคนยังเรียนอยู่จัง

เฟิร์นอยากตื่นสายยยย วันนีและต่อๆไปต้องตื่น 7.30 ไปเรียน เคมีอ.อุ๊  :o12:

นอนดึกก็ไม่ได้

......................

หวานมากเลยอ่า ฉี่เเล้วมดจะขึ้นไหมเนี่ย เอิ๊กๆ

อ่านเเล้วอยากกินเค้ก หิวๆจนตาลาย  o2

นี่มันเป็นการปลอบใจก่อนจะเข้าเรื่องเศร้ารึปล่าวเนี่ย

หวังว่าไม่ใช่น้า  :a1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 15-03-2008 15:45:37
คนทำงานก็เงี่ย วันหยุดก็อยากรีบๆนอน แล้วก็ยังตื่นเช้าจนชิน อิจฉาคนยังเรียนอยู่จัง

เฟิร์นอยากตื่นสายยยย วันนีและต่อๆไปต้องตื่น 7.30 ไปเรียน เคมีอ.อุ๊  :o12:

นอนดึกก็ไม่ได้

......................

หวานมากเลยอ่า ฉี่เเล้วมดจะขึ้นไหมเนี่ย เอิ๊กๆ

อ่านเเล้วอยากกินเค้ก หิวๆจนตาลาย  o2

นี่มันเป็นการปลอบใจก่อนจะเข้าเรื่องเศร้ารึปล่าวเนี่ย

หวังว่าไม่ใช่น้า  :a1:


เมศว่า ถ้าเรื่องเรียนระดับมหาวิทยาลัยโหดร้ายกว่าน๊า~ เมศเรียนเช้ายันเย็น(บางวันอาจมีค่ำไปถึงดึก) ยิ่งช่วงสอบนี่ หมอนกับผ้าห่มนี่ของรักดีๆนี่เอง  :a12: ได้นอนทีน้ำตาจะไหล o7  (ตอนสอบเข้ามหา'ลัย ว่าอ่านหนังสือเยอะเเล้ว ขึ้นมหา'ลัยจริงๆ หนักกว่า โอ้วโน่วววววว :serius2:)



จริงๆ ในเเต่ละช่วงวัยก็มีความลำบากที่เเตกต่างกันออกไปนะคะ เอาน่ามันเป็นสีสรรค์ชีวิต Life is beautiful นะคะ :oni1: :oni1: :oni1:

ปล.เเต่ไอ้ชาวบ้านปิดเทอมเเล้วเหลือเรายังไม่ปิดอยู่คณะเดียวนี่ก็ชักไม่สวยงามเเละ ฮาๆฮือๆ



/me ทำเป็นเนียนลืมบางประเด็น555+
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 17-03-2008 12:18:12
ปล.เเต่ไอ้ชาวบ้านปิดเทอมเเล้วเหลือเรายังไม่ปิดอยู่คณะเดียวนี่ก็ชักไม่สวยงามเเละ ฮาๆฮือๆ
/me ทำเป็นเนียนลืมบางประเด็น555+

อันนี้เห็นด้วยอย่างแรง  :laugh: สมน้ำหน้า อิอิ

ป.ล. เฟิร์นเรียน 7.30 ไม่ง่วงละ แต่มันหิวแทน ไม่ง่วงเพราหิวอ่ะ :o8:

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 22-03-2008 22:32:34
INTERMEZZO   chapter# 16




   ร่างสูงในชุดขาวของเสื้อกาวน์ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างเตียง ร่างสูงๆนั้นแลดูคลับคล้ายวิญาณที่อ่อนแรงเหลือเกินดวงหน้านั้นซูบ ดวงตาลึกโหลแม้จะอยู่ภายใต้แสงเพียงสลัวๆในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ดวงตาเลื่อนลอยนั้นจับจ้องร่างบนเตียงด้วยสายตาที่แฝงความรู้สึกหลากหลาย  ร่างบนเตียงนั้นหายใจรวยรินเหลือเกิน รอบศีรษะนั้นมีผ้าพันแผลพันไว้รอบ เห็นลอยเลือดซึมจางๆ ตามแขนขามีเฝือกใส่ไว้ที่ลำเต็วก็เต็มไปด้วยผ้าพันแผล นั่นยังไม่รวมถึงสายระโยงอื่นๆอีกมาก เสียงจังหวะชีพจรเต้นดังแผ่วๆ น่ากลัวเหลือเกินว่าร่างกายนี้จะแตกสลาย  มือแข็งแรงนั้นยื่นออกไปปัดเส้นผมสีดำที่ปรกหน้าออกให้อย่างเบามือ ด้วยเกรงว่าจะทำให้ร่างบอบบางนี้สูญสิ้น ริมฝีปากนั้นเหยียดออกเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นทุกข์โศกเป็นหนักหนา

“ปอง คุณอย่าหลับนานนักนะรู้ไหม  ผมรอคุณอยู่นะ”มือนั้นเลื่อนลงจับมือบางที่ผอมบางเสียแทบหักคามือ แล้วบีบราวถ่ายทอดกำลังใจให้เบาๆ

“รีบฟื้นขึ้นมา คุณพิรุณากำลังรอคุณอยู่อีกคน” เสียงนั้นแหบแห้งหากดวงตารื้น

“เพลงของคุณเพราะมาก  เพราะมากจริงๆ ผม...ผม....”น้ำตาลูกผู้ชายหยดลงก่อนจะซึมหายไปกับผ้าปูที่นอนสีขาว  ไร้สรรพเสียงใดรอบกาย ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น

“ผมรักคุณมาก นี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกคุณที่สุด  ลืมตาขึ้นมาเถอะ มองผมสักครั้ง ให้ผมได้อยู่ในสายตาคุณบ้าง พระเจ้าได้โปรดเถอะ อย่าเอาเขาไป ได้โปรด...ได้โปรด”เสียงพร่ำกระซิบนั้นแผ่วเบาลงเรื่อยๆ มือแข็งแรงนั้นบีบมือบางๆอย่างให้กำลังใจอีกครั้ง ก่อนจะรีบก้าวเร็วๆออกจากห้องไป  ไม่อยากให้หยาดน้ำตาหยดที่สองร่วงหล่น




      พิรุณาอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการสืบสวนต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ  ดวงตาหลังแว่นตาคู่นั่นขุ่นมัว คิ้วขมวดแทบตลอดเวลา  หลังจากวันนั้นมา รอยยิ้มก็ไม่แตะแต้มดวงหน้านั้นอีกเลย ธีรธรนั่งลงข้างๆพิรุณา  มือแข็งแรงนั้นสัมผัสศีรษะพิรุณาเบาๆให้เอนซบบ่าแข็งแรง  ร่างกายโปร่งบางนั้นโทรมอย่างเห็นได้ชัดทั้งจากการอยู่เฝ้าปองทุกโอกาสเท่าที่จะทำได้ และการบินไปมาระหว่างประเทศเพื่อทำงาน เขาทำได้เพียงช่วยเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

“พักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวคุณจะไม่ไหวเอานะ”พิรุณาส่ายหน้า

‘ผมต้องไปออสเตรีย  ฝากคุณปองด้วยนะครับ’ธีรธรพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น  ดวงตาสีม่านราตรีนั้นทอประกายเข้มแข็ง

“เดี๋ยวผมขับรถไปส่งที่สนามบินนะ”พิรุณาพยักหน้ารับ  มือแข็งแรงนั้นจับหน้าพิรุณาเบาๆ

“เหนื่อยหน่อยนะ”พิรุณาเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ธีรธรแตะริมฝีปากหยักสวยลงบนหน้าผากมนนั้นเบาๆ

      
      สนามบินนานาชาติ แม้จะผ่านเหตุการณ์สะเทือนขวัญมาหมาดๆ แต่นักเดินทางทั้งหลายเดินกันควักไขว่เช่นปรกติ แต่ร่องรอยจากเหตุการณ์นั้นยังพอเห็นได้บ้าง ช่อดอกไม้และเทียนวางให้เห็นทั่วไป โดยเฉพาะที่รั้วด้านนอก พิรุณากวาดตามองรอบกายรู้สึกเคว้งคว้างอยู่ในอก ยังจำความรู้สึกทรมานนั้นได้อย่างแจ่มชัด  ธีรธรส่งยิ้มอ่อนๆให้ ก่อนจะกอดร่างโปร่งบางที่ตอนนี้บางลงจนน่าใจหายไว้เบาๆ  วางคางที่ชักมีไรหนวดเขียวครึ้มบนศีรษะพิรุณา แล้วโยกตัวเบาๆ ราวปลอบเด็กน้อย

“ผมอยู่นี่แล้ว อยู่ตรงนี้ข้างๆพิรุณา ตกลงไหม?”ธีรธรคลายอ้อมกอด จับมือบางนั้นเขย่าเบาๆเหมือนหยอกเย้า หากแต่ดวงตาคู่นั้น จริงจัง พิรุณาพยายามคลี่ยิ้มอ่อนจางแต่ก็ฝืดฝืนเต็มทน

“เอกสารอะไรเตรียมแล้วนะ จวนได้เวลาแล้ว ผมจะไปส่งที่เกท”พิรุณาตรวจเอกสารสำคัญสำหรับการเดินทางออกนอกประเทศ แล้วจับมือธีรธร ให้เดินไปยังช่องตรวจหนังสือเดินทางด้วยกัน

“ทำไมไปออสเตรียฉุกละหุกนักล่ะ?”

‘มีธุระที่นั่นนิดหน่อย’ ธีรธรยุดข้อมือบางเบาๆ พิรุณาหันมามองอย่างงงงัน มือแข็งแรงนั้นล้วงลงในกระเป๋าเสื้อโค้ตด้านขวาของพิรุณา  หยิบหลอดยาออกมา

“ยังพอมีเวลา”มือใหญ่แข็งแรงนั้นหมุนเปิดเกรียวหลอดยา บีบเนื้อครีมนั้นก่อนจะค่อยนวดมือขวาพิรุณาอย่างอ่อนโยน

“เจ็บมากไหม?”น้ำเสียง สีหน้า แววตานั้นช่างนุ่มนวลเหลือเกิน  พิรุณามองชายคนนี้อย่างเต็มตื้นในหัวใจ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

“ไปอยู่นู่นดูแลตัวเองดีๆนะ  ถ้าผมไม่ติดงานผมจะไปด้วย  ขอโทษที่ต้องให้ไปคนเดียว”มือนั้นยังคงนวดข้อมือบางให้อย่างอ่อนโยน มือนวลบางอีกข้าง ทาบฝ่ามืออุ่นลงบนมือแข็งแรงนั้น

‘ขอบคุณมากครับ’



      พิรุณาพิจารณาสกอร์*(โน้ตเพลง)สองฉบับอยู่หน้าเปียโนอัพไลท์(เปียโนตั้งติดผนัง) ฉบับหนึ่งมาจากน้ำพักน้ำแรงของเขา หากอีกฉบับไม่ใช่ ความใกล้เคียงนั้น แทบเรียกได้ว่า ‘เหมือน’  ริมฝีปากนั้นเหยียดออกกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ ‘ร้อยเนื้อหนึ่งทำนอง’ วิธีการใส่คอร์ดเหมือนเพลงที่พิรุณาแต่งทุกห้องของสกอร์ พิรุณามั่นใจ ไม่ใช่บังเอิญ  ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นละจากแผ่นกระดาษตรงหน้า นึกย้อนถึงสิ่งที่ได้รู้ว่า เพลงที่เขาเขียน เหมือนกับซิงเกิลแรกของ ‘ซิลเวอร์ อากิระ’ ที่เพิ่งออกมาเมื่อคริสต์มาสที่ผ่านมา  ไม่มีทางที่คนเราจะมีแรงบันดาลใจเหมือนกันถึงเพียงนี้ พิรุณามองวันที่ที่เขียนไว้ท้ายสกอร์ของตัวเอง วันที่ที่แต่งเพลงนี้จบ คริสต์มาสเมื่อปีที่แล้วเพลงแรกที่เขียนสำหรับอัลบัมนี้  พิรุณาวางโน้ตลงบนแท่นว่างเล็กๆ ก่อนจะพรมนิ้วลงเบาๆ ท่วงทำนองคุ้นเคยที่ผ่านตาเขามานับครั้งไม่ถ้วน มันอยู่ในนี้...ในสมองนี่  เมื่อดวงตาสีน้ำตาลออกแดงนั้นมองสกอร์ที่วางเคียงกับของเขา แล้วลองเล่นตาม ความคล้ายคลึงที่ไม่น่าเกิด ยิ่งทำให้พิรุณามั่นใจ ว่าไม่บังเอิญ  เมโลดี้บางช่วงดีดสะบัด เหมือนที่เขาเขียนเองกับมือ  โดยไม่รู้ตัว มือของใครคนหนึ่งก็กดบ่าซ้ายของพิรุณา แม้ไม่แรงนักแต่พิรุณานิ่วหน้า ด้วยความปวด ก่อนจะมองเจ้าของมือนั้น   ชายร่างสูงปานกลาง เส้นผมสีเข้มและดวงตาสีเทามองมาอย่างตรงไปตรงมา ริมฝีปากนั้นเหยียดยิ้มน้อยๆ พอๆกับที่พิรุณา เหยียดริมฝีปากกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งให้

‘เกร็งไหล่มากจนเจ็บตัวแล้วนะ ได้ข่าวว่ามือเจ็บนี่’ชายคนนั้นส่งภาษามือให้พิรุณา พิรุณากระพริบตาถี่ๆ นานแล้วที่ไม่พบชายคนนี้ เอ็ดมันต์ 

‘ไม่เจอกันนานแล้ว ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ เมื่อห้าปีที่แล้วหรือเปล่า?’ พิรุณาส่งภาษามือถาม ชายหนุ่มยิ้มรับ

‘ใช่ ตั้งแต่เลิกกัน ก็ไม่เจออีกเลย ไม่รู้ใครหนีใคร’พิรุณาหัวเราะ เป็นอารมณ์ขันน้อยครั้งในรอบหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

‘มือเป็นยังไงบ้าง?’ดวงตาสีเทา มองเขาอย่างห่วงใย  แม้ไม่มีร่องรอยสิเน่หาดั่งเก่า หากห่วงใยอย่างคนเคยคุ้น

‘ก็ไม่เป็นไร’พิรุณาตอบพลางหลบสายตาอย่างลืมตัว มืออุ่นๆนั้นจับดวงหน้าที่หลบสายตาให้กลับมาสบตากันอีกครั้ง

‘บอกมาตรงๆเถอะ นิสัยของนายฉันรู้ดีพอๆกับนิสัยตัวเอง ที่ชอบหลบตาเวลาปิดบังอะไรไว้ในใจ’เอ็ดมันต์ รู้ พิรุณาปิดบังเพราะไม่อยากให้คนอื่นลำบากใจ

‘หนักมากใช่ไหม?’ พิรุณานิ่งอึ้งอยู่อึดใจหนึ่งจึงตอบ

‘จะว่าหนักมากไหมก็ไม่ใช่ แต่จะแค่เล็กน้อยก็ไม่ใช่  หมอบอกให้พักยาว ไม่อย่างนั้น อาการบาดเจ็บเรื้อรังจะไม่หาย ถ้าฝืนต่อไป มือนี่จะใช้ไม่ได้อีกเลย’ พิรุณาถอนใจเบาๆ ก่อนจะยิ้มบางๆหากดวงตาคู่โศกนั้นกลับค้านกับรอยยิ้มนั้นอย่างชัดเจน

‘แต่ ค่าประกันมือข้างหนึ่งก็อยู่สบายๆไปได้อีกสิบหรือยี่สิบปีล่ะนะ’ พิรุณาบอกอย่างทีเล่นทีจริง มูลค่าของมือแต่ละข้างที่ประกันไว้ สูงลิบลิ่วก็จริง แต่มือนี้จะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่สามารถทำสิ่งที่ตัวเองรักได้

‘พักงานไว้ก่อนดีไหม?’

‘พักไม่ได้ กำหนดตารางงานออกมาแล้ว ถอยไม่ได้แล้ว’

‘งานกับมือ ยอมเลือกงานอย่างนั้นหรือ?’ พิรุณา เหลือบตามองมือของตัวเองบนหน้าตัก

‘เลือกความรับผิดชอบต่างหาก’ ทั้งสองต่างครุ่นคิดกับตัวเอง นานกว่าเอ็ดมันต์จะถามอะไรต่อไป

‘แล้วจะเอายังไง?’ชายหนุ่มพยักเพยิดไปทางสกอร์สองแผ่นที่วางเทียบเคียงกัน

‘แล้วจะยังไง? คงไม่คิดหรอกนะว่าที่ผมอุตส่าห์กลับมาออสเตรียพร้อมจองตั๋วบินต่อไปปราคจะแค่ไปเที่ยวเล่นเฉยๆ’ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงนั้นฉายประกายวาบ อย่างที่คนเคยใกล้ชิดยังรู้แก่ใจกับ ‘ท่าทางร้ายๆ’

‘เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำ เอาให้คุ้มค่าตั๋วแล้วกัน’ดวงตาสีเทานั้นรับรู้จุดประสงค์การบินต่อไปปราคอย่างเงียบๆ พิรุณาดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าโทรมที่ไม่ยอมคิดแม้แต่จะเปลี่ยน

‘จวนได้เวลาแล้ว ฝากบอกตาแก่ด้วยว่า แล้วจะรีบกลับมาอัดเพลงใหม่’

‘บอกเองสิ’

‘บอกคนลูกหรือคนพ่อก็เหมือนๆกันแหละ ไปนะ’พิรุณาก้าวยาวๆจะออกจากห้องไป แต่แรงจากแขนแข็งแรงกว่าจับยึดข้อแขนไว้ พิรุณาหันมามองอย่างสงสัย ดวงตาสีเทาฉายประกายวูบไหวยากจะอ่าน ริมฝีปากบิดเบี้ยวจากการเม้มแน่น

‘ผู้ชายคนนั้น ดีกับเธอหรือเปล่า’พิรุณาเอียงคอสงสัย

‘คนไหนล่ะ? ถ้าคุณปองก็อาการดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ถ้าเป็นเคนต้องไปถามข่าวเอากับเลขาเขานั่น’เอ็ดมันต์ส่ายหน้า

‘คนนั้นน่ะ’ พิรุณายิ้มเจ้าเล่ห์ หากดวงตาคู่สีน้ำตาลออกแดงนั้นพราวระยับดั่งหยาดน้ำต้องแสงดาว

‘เขาก็น่ารักดี น่ารักมาก’



      โถงทางเดินเงียบสนิท เปิดไฟไว้เพียงพอมองเห็นทาง พีทในเครื่องแบบนายแพทย์เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องผู้ป่วย ห้องที่ปองกำลังหลับสนิท  ยิ่งนานวันยิ่งรู้สึกกลัว  กลัวความรู้สึกตัวเอง ที่ไม่เคยเสื่อมถอยจากความรักอันมอบให้ปอง  กลัวคำตอบที่จะได้จากคนที่เขารักที่สุด  กลัวสายตาเย็นชากรีดแทงหัวใจ และกลัวคำปัดปฏิเสธที่บาดหัวใจ  ชายหนุ่มเสยผมอย่างหงุดหงิดตัวเอง ผลจากศูนย์ประสาทศัลยศาสตร์ แจ้งว่า สมองของปองอาจได้รับความเสียหายจากการหยุดหายใจไปช่วงไม่กี่นาที  ถ้าปองจะต้องเป็นเจ้าชายนิทราตลอดไปล่ะ?  ถ้าปองโชคดีฟื้นขึ้นแต่เป็นอัมพาตล่ะ? และถ้าปองฟื้นขึ้นมาแล้วจำเขาไม่เสียแล้วล่ะ? คำถามเหล่านี้วนเวียนซ้ำซากมาเป็นร้อยครั้งแล้วกระมัง  พีทสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รวบรวมความกล้าก่อนจะผลักประตูเข้าไป

      ร่างบางที่บางลงกว่าเดิมมากจนน่าใจหายนอนหายใจเพียงแผ่วๆอยู่บนเตียงข่าว เครื่องช่วยหายใจถูกถอดออกไปแล้ว ปองแข็งแรงพอจะหายใจด้วยตนเอง แต่กลับไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที ราวกับว่าห้วงฝันนั้นงดงามเกินกว่าจะจากมาสู่โลกแห่งความจริง   พีทมองดวงหน้าแสนรักนั้น ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง สองมือนั้นกุมมือบางไว้ แล้วเอ่ยชื่อปองเบาๆ

“ปองครับ ผมมาเยี่ยมนะ  อย่านอนขี้เซาอีกเลย”มือแข็งแรงลูบมือบางนั้นเบาๆอย่างรักใคร่

“จำได้ไหม เวลาคุณนอนขี้เซา วิลปลุกคุณแบบไหน?”ริมฝีปากหยักสวยเหยียดยิ้มจาง

“เขาจะจูบคุณเบาๆ จนกว่าคุณจะตื่น”พีทชะโงกกายลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนเบาๆ ดวงตานั้นแสดงความเจ็บปวดอย่างแจ่มชัด

“โดยที่คุณไม่รู้เลยว่า คนที่คุณเข้าใจว่าเป็นวิลคือผม”พีมก้มตัวลงจูบเบาๆอีกครั้ง ความเงียบที่โรยตัวอย่างอ้อยอิ่งนั้น เหมือนบีบคั้นหัวใจให้ยอมรับความสูญเสียที่พร้อมจะเกิดทุกเมี่อ

“ฟื้นเถอะผมอยากให้คุณฟื้น อย่าหลับไปนานแบบนี้อีกเลย  ต่อให้คุณลืมไปหมด แม้แต่ตัวตนของผมก็ไม่เป็นไร ความทรงจำเก่าๆมันทำร้ายคุณมามากพอแล้ว ลืมไปเสียบ้างอาจช่วยให้คุณดีขึ้น ความทรงจำนั้นผมมีมันไว้แค่คนเดียวก็พอแล้ว  ผมจะเก็บมันไว้จนกว่า...”พีทชะงัก นึกประหลาดใจว่าตนตาฝาด   เขาเห็นดวงตาสีนิลกระจ่างใสสะท้อนเงาดวงหน้าตัวเองอย่างชัดเจน ปองลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้า หลุดพ้นจากห้วงฝันอันยาวนาน

“วิล.......ไม่ใช่”เสียงแหบแห้งนั้นพูดได้เพียงแผ่วเบา ก่อนจะไออย่างรุนแรงด้วยคอที่แห้งแล้งแทบเป็นผุยผง  อ้อมแขนแข็งแรงนั้นกอดไว้อย่างหวงแหน เขายังจำวันนั้น วันที่เขาพยายามยื้อแย่งชีวิตคนที่รักกับความตาย ที่จวนเจียนจะได้ชีวิตนั้นไปเต็มที ยังจำสองมือที่เปื้อนเลือดของปองได้แม่น

“ ป..ปล่อย”เสียงแหบแห้งนั้นพูดได้เพียงแผ่วๆ

“ปอง....คุณฟื้นแล้ว รู้สึกผิดปรกติตรงไหนไหม? คุณโอเคหรือเปล่า?” มืออ่อนแรงนั้นพยายามปลดตัวเองออกจากอ้อมแขนนั้น  แต่แล้วก็ชะงักค้าง  ดวงหน้านั้นแย้มยิ้มจางๆด้วยดวงตาเลื่อนลอย

“วิล...มารับ..ผมหรือ?”คำพูดเพียงแผ่วเบานั้นทำให้พีทผงะ มือขาวนวลที่บัดนี้ซีดขาวจับหน้าเขาเบาๆ ส่งยิ้มอันว่างเปล่าให้เขา

“ผมรอที่จะได้อยู่กับคุณ  มารับผมแล้ว  มารับแล้ว”ร่างโปร่งบางกอดตอบเขาเบาๆก่อนจะหลับไป   พีทวางร่างที่กลับสู่ห้วงฝันอย่างถนอม พลางกลืนน้ำลายหนืดคอ บางสิ่งมันแล่นมาอัดแน่นกันอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ความเจ็บปวดนะหรือ?....มากแทบทานทนไม่ไหว

“ปอง...ถ้าคุณอยากให้ผมเป็นเขา  ผมจะเป็นให้ แค่ให้ผมได้เคียงข้าง  ให้ได้รักคุณ ผมจะยอมสูญเสียตัวตนเพื่อคุณ” 
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 22-03-2008 23:54:58
สงสารพีทมากกกกกกกกกกกก แต่ยังดีไม่ถึงให้ปองตายไปซะ อิอิ

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 23-03-2008 09:10:30
ดีนะเนี่ยที่ขู่คนแต่งไว้แล้วว่าอย่าเอาให้ถึงตาย :serius2:

แต่คราวนี้ต้องเปลี่ยนมาขอร้อง o7

อย่าให้ต้องเศร้าไปกว่านี้เลยนะน้องปองงงงง :m15:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 23-03-2008 22:12:01
ไม่เอาน้าอย่าทำแบบนี้ดิ  :serius2:

ใช้ตัวตนของตัวเองเอาชนะใจปองดีกว่า

อย่ายืมตัวตนของคนอื่นมาใช้เลย

พีทไม่ได้เป็นตัวแทนของวิลสักหน่อย

ถ้าทำลงไปทั้งพีทเเล้วก็ปองก็จะเจ็บมากน้า~

ป.ล.ดีนะที่ปองฟื้นขึ้นมา  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 25-03-2008 09:00:09
พีท สู้ๆ :a2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 25-03-2008 13:05:59
มะได้ติดตามนาน
เศร้า
แต่ชอบ 2 ประโยคนี้อ่ะ
อ้างถึง
“มั่นใจเถอะ ผมอยากให้คุณมั่นใจ รักอาจไม่นิรันดร์ แต่ผมจะมั่นคงตลอดไป”
กะ
อ้างถึง
“เด็กโง่ ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นนิรันดร์ จะสนใจห้วงเวลาไปทำไม”

 :oni1: :oni1: :oni1:
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 27-03-2008 20:47:45


      ผู้คนมากมายเดินออกจากโรงละครหลังชมการแสดงคอนเสิร์ต หลายคนกำลังพูดถึงการแสดงที่เพิ่งจบไปของนักเปียโนฝีมือฉกาจ ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยอย่าง ซิลเวอร์ อะกิระ  ดวงตากลมโตกำลังทอดมองเงาร่างของตัวเองในกระจก  ก่อนจะเบือนสายตาไปมองช่อดอกไม้จำนวนหนึ่งที่วางกองราวไร้ค่า  ไม่มี.....ไม่มีอีกแล้ว  กุหลาบดอกเดี่ยวสีแดงจัดจ้าที่กลีบหนาราวกำมหยี่เนื้อดี และก้านยาวตรง มันเคยถูกมอบให้เขาทุกคอนเสิร์ตที่เขาขึ้นแสดง ที่ก้านยาวนั้นมักผูกริบบิ้นสีขาวครีมกับน้ำตาลแดงร้อยกับการ์ดอ่อนสีขาวสะอาด ที่ไม่เขียนข้อความใด  มันเคยมี ทุกครั้งที่แสดงคอนเสิร์ตเสร็จ แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่มันไม่ถูกส่งมา หรือว่าเจ้าของกุหลาบนั่นจะไม่สนใจเขาอีกแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของกุหลาบนั้น  หรือเขาจะรู้เรื่องเพลงที่เขาได้มาโดยมิชอบ ได้มันมา...อย่างไม่น่าให้อภัย

“คุณอะกิระ กลับเถอะครับ”

“ดอกไม้....มีเท่านี้หรือ” ดวงตากลมโตทอดมองเงาสะท้อนของชายในชุดสูทสีดำอย่างคาดหวัง  ชายหนุ่มเงียบลงครูหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ

“ คุณอะกิระ อย่าคิดมากนะครับ บางทีเจ้าของกุหลาบอาจไม่ว่าง หรือ ครั้งนี้อาจอยากมอบให้คุณด้วยตัวเองก็ได้”ชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมอะกิระถึงยึดติดกับกุหลาบแดงดอกเดี่ยวนี้มากนัก

“ฉันจะเชื่อนาย  เรากลับกันเถอะ” อะกิระส่งกระเป๋าให้ชายหนุ่ม ก่อนจะรับเสื้อโค้ตมาถือไว้ เสียงเคาะประตูทำให้คนทั้งคู่ชะงัก  อะกิระรีบก้าวเร็วๆไปเปิดประตู  ดอกกุหลาบแดงจัดช่อใหญ่ถูกส่งให้ กลิ่นหอมอ่อนๆโชยเข้าจมูกเรียกรอยยิ้มกว้าง ซิลเวอร์ อะกิระมองคนที่นำกุหลาบช่อโตมามอบให้  เมื่อสบตาคู่นั้นเขาถึงกับผงะ

“พ...พิรุณา!!!!!!!” อะกิระตะลึงค้าง ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

‘อย่าตกใจจนกุหลาบช่อสวยหล่นพื้นเสียล่ะ รู้ภาษามือใช่ไหม?’ พิรุณาถามด้วยภาษามือสากล  ชายหนุ่มผู้สวมสูทสีดำ ส่งภาษามือตอบรับ

‘ดี คุณอะกิระพอมีเวลาไหม?’ชายหนุ่มแปลภาษามือให้อะกิระเข้าใจ อะกิระเหมือนจะถามอะไร หากแต่ก็ชะงักเพื่อนพิรุณาส่งภาษามืออีกครั้ง

‘เห็นทีเราต้องประชันกันสักตั้ง’ดวงตาคู่สวย สะท้อนแสงไฟเป็นประกายแดง ท้าทาย   มีหรือที่ซิลเวอร์ อะกิระจะไม่รับคำท้า!!!








      ห้องพักผู้ป่วยพิเศษบัดนี้มีชายสี่คนกำลังพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด  ดอกกุหลาบเยี่ยมไข้กลีบดอกสีแดงเข้มราวโลหิตเบ่งบานตัดกับใบเขียวเข้มของมันเมื่อแสงที่ลอดผ่านมู่ลี่เข้ามาในห้องตกกระทบยิ่งน่ามอง  มือขาวค่อยๆจับใส่แจกันอย่างถนอม   ก่อนจะนำไปวางที่โต๊ะหัวเตียงคนไข้  สีแดงจัดของกุหลาบดอกใหญ่ช่อนี้ไม่อาจช่วยทำให้ร่างโปร่งบางที่หลับสนิทบนเตียงนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลย  ดวงตาสีเขียวอมเทาทอดมองด้วยแววตาสั่นไหวสะเทือนใจ   ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะเอื้อมมือไปกอบกุมมือของคนที่หลับสนิทราวไร้ชีวิตไว้ราวให้กำลังใจ

“คุณปองจะเป็นอะไรมากไหม ดูหลับลึกมากเลย” โดลเชพูดแล้วแหงนเงยถามเคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา มืออบอุ่นนั้นลูบแขนคนรักอย่างปลอบใจ

“ร่างกายคงต้องการพักผ่อนมากๆน่ะ  หลังจากฟื้นมีอะไรผิดปรกติไหมครับ?” เคนถามนายแพทย์หนุ่ม ที่คอยเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ชนิดที่แพทย์เจ้าของไข้ อยากให้เขาเป็นเจ้าของไข้เสียเอง

“ คุณปองสภาพร่างกายโดยรวมนับว่าฟื้นตัวไวครับ ส่วนแขนขาที่หักคงยังต้องเข้าเฝือกอีกนาน แต่....คุณปองมีอาการสับสนระหว่างอดีตกับปัจจุบัน”

“หือ?”ธีรธรที่มองชายทั้งสามสนทนากันนึกแปลกใจ

“สับสนระหว่างอดีตกับปัจจุบัน หมายความว่า...? เขาก็ยังจำผมได้นะ จำพิรุณาได้ด้วย”

“ครับ เป็นเฉพาะบางคนเท่านั้นครับ เช่น....เช่น ผม”เสียงที่ตอบกลับมานั้นแผ่วเบา เคนและโดลเชลอบมองตากัน

“หมายความว่ายังไงครับคุณหมอ?”ธีรธรยังซักถามต่อไป ทุกอาการของปอง เขาต้องบอกเล่าให้พิรุณาทราบ

“ปองจำผมสลับกับใครอีกคนน่ะครับ” ธีรธรนึกตกใจอยู่เงียบๆ ใครอีกคนที่จำสัลบกันนั้นคงเป็นพี่ชายของนายแพทย์ผู้นี้แน่นอน! เสียงเคาะกระจกหน้าห้อง ก่อนบุรุษพยาบาลจะยื่นหน้าเข้ามา พยักหน้าให้นายแพทย์หนุ่มเป็นเชิงเรียก

“ขอตัวก่อนนะครับ”พีทก้าวยาวๆออกจากห้องไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของเคนและโดลเช

“หมายความว่ายังไงที่ว่าจำสับกับอีกคน”

“พี่ชายฝาแฝดของคุณหมอพีทนั่นแหล่ะ  ปองเคยเป็นคนรักของพี่ชายคุณหมอ”

“แล้วพี่ชายเขาล่ะครับ?...”โดลเชถามเบาๆ รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือที่ตนกอบกุมไว้ โดลเชหันไปมอง โดยไม่มีใครอื่นสังเกตเห็น ปองลืมตาขึ้นช้าๆ  ดวงหน้าซีดขาวนั้นส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจและหลับตาลงอีกครั้ง

“พี่ชายของคุณหมอ เสียแล้วล่ะ” มือที่โดลเชกุมกระชับนั้นกระตุกเบาๆ

“เราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลยครับ”โดลเชพูดเสียงเบา  มือขาวๆนั้นปัดเส้นผมที่ตกระใบหน้าปอง ก่อนจะห่มผ้าให้อย่างเบามือท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด

“กุหลาบสวยดีนะ เข้าใจเลือก ไว้จะหาให้พิรุณาบ้าง”ธีรธรพูดอย่างเก้อๆ เขาไม่ต้องการให้ทุกคนอยู่ในบรรยากาศชวนอึดอัดอีกต่อไป เคนหัวเราะเบาๆ

“แย่จริง กุหลาบนี่คุณไม่ต้องซื้อหรอก พิรุณามีเยอะแล้ว มีเป็นไร่เลยด้วยซ้ำ พิรุณาไม่ได้บอกหรอกหรือ?” ธีรธรงงกับคำตอบที่ได้รับ

“พิรุณาไม่ได้บอกหรือว่า เขากับผมหุ้นกันทำไร่กุหลาบน่ะ คบกันภาษาอะไร”เคนส่ายหน้าระอาใจ พิรุณาก็อย่างนี้ล่ะ ไม่ค่อยบอกข้อมูลของตัวเองให้ใครรู้มากนัก ถ้าไม่ถาม ไม่มีทางได้รู้ ขนาดถามยังไม่รู้เลย

“เอาเถอะ โดลเช เราไปกันเถอะ เอาไว้ก่อนกลับ เรามาเยี่ยมกันอีกรอบ”โดลเชพยักหน้ารับ โน้มกายลงแนบแก้ม กระซิบแผ่วเบา ก่อนจะหัวเราะให้กันแผ่วเบา

“แล้วพบกันนะครับ”โดลเชบอกลาแล้วเดินตามเคนออกไป ธีรธรได้ยินเสียงเคนถามโดลเชอยู่ไกลๆว่า หัวเราะอะไร ธีรธรเบือนสายตากลับมาที่คนป่วย ปองลุกขึ้นนั่งเอนๆ พลางยิ้มน้อยๆ

“ตื่นตั้งแต่เมิ่อไหร่?”

“สักพักแล้วครับ”

“ได้เวลาแล้วเดี๋ยวคุณลีจะอกแตกตายเสียก่อน  ผมต้องไปแล้วล่ะ อยู่คนเดียวได้นะ ?”

“ครับ รีบไปเถอะครับเดี๋ยวจะสาย” ธีรธรหยิบโค้ตของตัวเอง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วส่งหนังสือให้ปองเล่มหนึ่ง

“พิรุณาฝากไว้ให้”  ธีรธรยิ้มให้กำลังใจก่อนจะก้าวยาวๆไปที่ประตู

“บอสครับ  คุณพิรุณา เหมาะกับจงกลนี*มากกว่ากุหลาบนะครับ”ธีรธรหัวเราะชื่นบาน(*ดอกบัวชนิดหนึ่ง สีออกแดง)

“นั่นสิ”ปองมองส่งบอสหนุ่ม ก่อนจะก้มลงมองหนังสือในมือ





   เวทีใหญ่ที่เปิดไฟเพียงดวงเดี่ยวส่องลำแสงสู่แกรนด์เปียโนสีดำสนิทที่สะท้อนแสงไฟนั้นเป็นประกาย  ร่างชายชาวเอเซียสองคนโดนเด่นกลางเวที คนหนึ่งกำลังพรมนิ้วลงบนคีย์อย่างตั้งใจ  ท่วงทำนองรวดเร็วรุนแรงนั้นกระแทกกระทั้นสลับหนักเบาอย่างชำนาญ นิ้วเร็วพรมลงบนคีย์ราวกระสุน  หากต่อมาก็อ่อนหวาน กระฉับกระเฉง  ก่อนจะกลับไปรวดเร็วราวสม่ำเสมอดังเก่า พิรุณานิ่งทึ่งในความสามารถของนักดนตรีรุ่นน้องอย่างอะกิระ  พิรุณานั่งลงข้างๆอะกิระ แล้วเริ่มบรรเลงท่วงทำนองอ่อนหวานหากแฝงความโศกไว้บางเบาChopinสองบทเพลงที่แตกต่างกันราวสีดำและขาว  นิ้วเรียวยาวไล้ไปตามคีย์อย่างคล่องแคล่ว  ถ่ายทอดอารมณ์เพลงอย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน  ท่วงทำนองอ่อนๆนั้นแปลเปลี่ยนเป็นกระโดดขึ้นลงระหว่างคีย์สูงต่ำ คอร์ตเปลี่ยนไปด้วยการเพิ่มเสียงคอร์ตพิเศษที่อะกิระเองไม่อาจแยกยะได้ในทันที บัดนี้เพลงคลาสสิคของโชแปงถูกเปลี่ยนเป็นเพลงแจ๊สอันเริงรื่นโดยสมบูรณ์แล้ว โดยเนื้อเมโลดี้แทบไม่ต้องเปลี่ยนแปลง  อะกิระตกใจกับการเปลี่ยนสไตล์อย่ารวดเร็วนี้  ความประหลาดใจนั้นไม่อาจห้ามความท้าทายได้เลย

“แจ๊สหรือ?”

      นิ้วมือนั้นพรมลงบนคีย์ ยื้อแย่งท่วงทำนองจากพิรุณา เลียนแบบท่วงทำนองและการให้คอร์ตมาอย่างยอดเยี่ยมไม่มีตกหล่น ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนท่วงทำนองนั้นเป็นเพลงแจ๊สที่แฝงกลิ่นอายความยวนเย้าของเพลงละติน ทำนองที่บางคราวก็เร่งเร้า บางคราวก็อ่อนไหวนั้นทำให้พิรุณามองตามตาไม่กระพริบ นึกชมอะกิระที่สามารถดึงเอาเสน่ห์ของเปียโนที่เครื่องดนตรีอื่นไม่มีออกมาได้อย่างเหมาะเจาะ เปียโนแตกต่างจากเครื่องดนตรีอื่นที่ไดนามิก(ความหนักเบาในการให้เสียง) อะกิระหยิบมาใช้ได้ดีมาก สมแล้วกับการเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยนัก พิรุณาลงมือแก้ทางเพลงของอะกิระอย่างรวดเร็ว จังหวะที่เต้นพริ้วไปตามการเคลื่อนไหวของมือ ว่องไวและพิศดารขึ้น เมโลดี้หลักจากมือขวาย้ายไปมือซ้าย  มือขวาจับคอร์ตเสียงประหลาดที่จะแจ๊สก็ไม่ใช่ คลาสสิคยิ่งไม่ใช่ใหญ่  พริบตาเดียว มือขวานั้นก็ไขว้กับมือซ้าย เพื่อนไปเล่นคีย์ต่ำกว่า แล้วให้มือซ้ายเล่นคีย์สูงกว่า เสียงคอร์ตไม่คุ้นเคยทำให้อะกิระชักหวั่นใจแต่หูอันยอดเยี่ยมของเขายังพอจับเสียงได้ จีงแก้ทางเมโลดี้ได้ แม้จะชักหืดขึ้นคอเต็มที อะกิระพยายามแก้ทางเมโลดี้เสียงประหลาดนั้นได้จนสำเร็จ  จังหวะเมโลดีกระชับกระชั้นขึ้น รู้สึกถึงเหงื่อของตัวเองที่กำลังจะหยาดหยดจากปลายจมูก นี่เป็นการดวลที่สนุกที่สุดเท่าท่เขาเคยมา  อะกิระให้คอร์ตสูงต่ำ แกล้งทำทีว่าให้คอร์ตผ่านหน้าพิรุณาไปอย่างเฉียดฉิว  พิรุณายิ้ม ดวงตาเป็นประกายจัดจ้า 

       มือขาวนั้นเอื้อมลึกเข้าไปใต้ฝาเปียโนที่เปิดและค้ำไว้ด้วยไม้ยาว  นิ้วมือเรียวนั้น ดีดสายเสียงที่อยู่ภายใน เป็นจังหวะเสริมแทรกขึ้น อะกิระตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น หากไม่มีใครบอกเขา เขาคงไม่เชื่อแน่ว่า ชายคนนี้ ที่เป็นคู่แข่งของเขามายาวนานนั้นหูผิดปรกติ เกือบไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว  พิรุณากระแทกเมโลดี้ล้อเลียนอะกิระท่วงทำนองร้อนแรงนั้น กลับค่อยๆสงบลงเหลือเพียงเสียงราวคลื่นน้ำระลอกน้อยเข้ากระทบสระ ไม่ถึงอึดใจ ทำนองเข้มแข็งสง่างาม ที่อะกิระไม่คุ้นเคยทำให้เขานึกประหลาดใจอีกครั้ง  ทั้งที่เมโลดีไม่มีอะไรซับซ้อนแต่มีลีลาเฉพาะตัว  หากถ้อยทำนองของเพลงกลับให้ความรู้สึกสง่างามห้าวหาญ เหมือนเพลงมาร์ช  ที่ไม่เพียงเข้มแข็ง หากแฝงความงามสง่าน่าเกรงขามและอ่อนโยนไปในเวลาเดียวกัน ใครจะรู้ว่าเป็นเพลงไทยโบราณที่ผ่านการเวลามายาวนาน  อะกิระตกตะลึงกับความสามารถของพิรุณา  เมื่ออะริกะไม่อาจต่อกรได้อีกต่อไป เมโลดี้นั้นก็ค่อยสงบลงบรรเลงเป็นเพลงที่คุ้นหูอะกิระเป็นอย่างยิ่ง  เพลงที่เขาให้เปิดอัลบัมใหม่ เพลงที่เขาบังเอิญไปได้ยินแล้วจำมาเป็นของตัวเอง  ดวงหน้าขาวๆนั้นแดงซ่านด้วยความละอายใจ  ในใจย่อมรู้ ร้อยเนื้อหนึ่งทำนองอาจปรับเปลี่ยนไปเพียงไหน  ดั้งเดิมแต่ไรมาย่อมมีคงเสน่ห์ของเพลงนั้นอย่างเหนียวแน่นยิ่งกว่า  เสียงโน้ตตัวสุดท้ายค่อยจางหายไปในอากาศ  น้ำตาก็ไหลรินจากดวงตากลมโตนั้น

‘คิดว่าฉันไม่รู้หรือ ว่าถูกคนอื่นลอกมา   ดอกกุหลาบนั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าฉันอยู่และรู้เห็นความเคลื่อนไหวของคุณทุกฝีก้าว’พิรุณาพยักหน้าหายในสูทดำแปล ไม่ใส่ใจหรอกว่าถ้อยคำที่ชายคนนั้นแปลจะตรงตามที่เขาต้องการสื่อหรือไม่

‘คุณเป็นคนมีพรสวรรค์ มีสิ่งที่คนอื่นไม่มี  คุณช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลยที่ลอกเลี่ยนคนอื่นมาอย่างนี้  คุณมีสิ่งที่คนอื่
นไม่มีแล้ว อย่าคิดไม่ซื่อย์แบบนี้เลย’

“ผมไม่ได้ตั้งใจ” อะกิระเงยหน้าขึ้นน้ำตายังปรอย  พิรุณายิ้มให้อ่อนจาง  มือนวลๆนั้นลูบหัวคนอายุน้อยกว่าเบาๆ

‘หูของคุณดีมาก ใช้มันให้ดี  อย่างน้อยคิดเสียว่า คุณมีสิ่งที่ผมไม่มี อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าที่ไหนหรือกับใคร  เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราตกลงไหม?’ พิรุณายื่นนิ้วก้อยให้เหมือนเด็กๆ  ซิลเวอร์ อะกิระ ยิ้มขันทั้งน้ำตา ก่อนจะยอมเกี่ยวก้อยแต่โดยดี

“ผมขอโทษ ที่ทำร้ายๆกับคุณ”

‘ไม่เป็นไร แต่อย่าให้มีครั้งต่อไป  เพราะเรื่องมันจะไม่จบแบบนี้แน่ๆ ฉันกลับล่ะ’

“จะรีบไปไหนล่ะครับ อยู่ทานมื้อค่ำกันสักมื้อ”

‘ยังมีอีกหลายคน รอให้ผมรีบกลับไปหา’พิรุณายิ้มจางๆ

“ถ้าอย่างนั้นขอถามสักข้อได้ไหม?” พิรุณาพยักหน้าเมื่อชายหนุ่มในสูทสีดำแปลให้

“ทำไมถึงใช้คอร์ตแปลกๆแบบนั้นได้  มันน่าทึ่งมากเลยที่เสียงพวกนั้นที่ดูเหมือนไม่เข้ากันเลย มันมารวมกันได้น่าฟังถึงขนาดนี้” พิรุณาหัวเราะ

‘พรสวรรค์จากการไม่ได้ยินไงล่ะ’ อะกิระเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง  ว่าพิรุณามีพรสวรรรค์ที่ความพิการไม่อาจปิดกั้น....นั่นคือความอิสระทางความคิด และความกล้าที่จะผ่ากฎเกณฑ์ใดๆนั่นเอง





   ธีรธรทิ้งกายลงนั่งบนโซฟาสีแดงตัวโปรดของเจ้าของบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน หลังการประชุมยาวนาน และความเครียดต่างๆที่ถาโถม  เจ้าหมาวิ่งส่ายหางกระโดดขึ้นนั่งโซฟาเดียวกัน ธีรธรมองหน้าเจ้าหมาที่เอียงคอมองเขาเหมือนสงสัย  ริมฝีปากหยักสวยเผยรอยยิ้มน้อยๆ นึกถึงพิรุณาที่เคยบอกเขาว่า เจ้าหมาหน้ามันซื่อๆงงๆ ดูแล้วคลายเครียดดี ธีรธรนึกขันมือแข็งแรงนั้นเอื้อมไปบีบปากเจ้าหมา มันหันหนีไปอีกทาง ธีรธรจึงหัวเราะขบขัน

“คิดถึงเจ้าของไหม? ป่านนี้ไปวิ่งเล่นอยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้” เจ้าหมายังเอียงคอสงสัย

“รู้เรื่องไหมเนี่ย?”ธีรธรหัวเราะ เจ้าหมากระดิกหางรี่  พลางเอานิ้วจิ้มพุงเจ้าหมา เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังขึ้น เจ้าหมาจึงรอดจากการถูกแกล้ง แล้ววิ่งหายเข้าไปในครัว  ชายหนุ่มรับโทรศัพท์นั้น

“ว่าไงครับคุณลี”

“ไปทำอะไรมาคะ เสียงใสเชียว  อย่าบอกนะคะว่าแกล้งเจ้าหมา”

“แหะๆ เปล่าคร๊าบบ ยังไม่ทันได้แกล้ง...จริงๆจังๆ”

“อย่าแกล้งเจ้าหมานะคะ  อย่าลืมอาบน้ำให้ทุกสัปดาห์ด้วย เวลาแปรงขน แปรงลงไปทางเดียวกันนะคะ ระวังที่เป็นสังกะตังด้วยนะคะ”

“เอาแปรงขัดห้องน้ำขัดได้ไหม”บอสหนุ่มขำกับความคิดตัวเอง

“คุณธีรธร!” เลขาสาวเสียงแข็ง

“โอเคครับไม่ล้อเล่นแล้ว”

“ลีจะโทรมาเตือนเรื่องปิดงบ กับงานเลี้ยงคืนนี้ อย่าลืมนะคะ”

“โอเคครับ ถ้าไม่โทรมาเตือน สงสัยเข้านอนเลย”

“ให้ลีไปช่วยเลือกไหมคะ?” ธีรธรยิ้มขัน บางทีเพราะเขาเหนื่อยมาก งานเลี้ยงตอนกลางคืนเลยเบลอๆหยิบอะไรก็ได้ใกล้มือใส่ไปเลย เป็นที่ระอาใจของเลขาสาว เลยคล้ายๆจะเป็นหน้าที่ของลีแอนที่ต้องช่วยเลือกให้

“ไม่ต้องหรอครับ เดี๋ยวลองหยิบๆเอาแถวนี้”

“อย่าเอาเสื้อคุณพิรุณามาใส่นะคะ คุณพิรุณาตัวนิดเดียวคนละไซส์กับบอส” ธีรธรหัวเราะแห้งๆ ลีแอนไม่เพียงเป็นเลขา แต่เหมือนพี่สาวของเขาด้วย

“ครับๆ เดี๋ยวให้อาหารเจ้าหมาแล้วจะไปเตรียมตัวล่ะครับ”ธีรธรวางสาย ยิ้มบางให้เจ้าของบ้านที่ยังไม่กลับ


      งานเลี้ยงขอบคุณขององค์กรการกุศลจัดขึ้นในคฤหาสน์ของเศรษฐีเจ้าขององค์กรการกุศล ผู้คนมากมาย ในชุดเต็มพิธีการที่งดงามหรูหรา กล่าวทักทายกัน บ้างจิบเครื่องดื่มสนทนากันออกรส ธีรธรในทักซิโด้สีดำ เสยผมด้านหน้าขึ้น ดวงตายาวและนัยน์ตาสีม่านราตรีกวาดมองผู้คนในงานพลางส่งยิ้มตามมารยาท เข้าไปทักทายเจ้าภาพของงานอย่างสง่างาม เสียงเพลงบรรเลงควอเทตดังคลอบรรยากาศอยู่แผ่วเบา ธีรธรเลือกจะจีบเครื่องดื่มเบาๆเล็กน้อย  ชายคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเขา ส่งยิ้มให้ ดวงตาสีเทานั้นมองเขาอย่างสำรวจ

“สวัสดีครับ” ธีรธรเลือกจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน ชายคนนั้นโค้งกายน้อยๆแล้วทักทายตอบเช่นกัน ก่อนจะจับมือทักทายอย่างสากล

“ไม่ทราบว่าคุณคือ...”

“เอ็ดมันต์ วิทเนอร์ ครับ ผมเป็นตัวแทน จากสังกัด วิทเนอร์” ธีรธรกระพริบตาถี่ๆรวบรวมความทรงจำ

“ต้นสังกัดพิรุณา....”เขาพึมพำเบาๆ

“ใช่ครับ คุณว่า วงควอเทตนี่ เล่นเพราะดีนะครับ”

“อ่อ ครับ”

“คุณรู้จักพิรุณาเป็นการส่วนตัวหรือครับ?”

“อ่อ  ก็..เอ่อครับ”

“พิรุณา น่ารักใช่ไหม?”น้ำเสียงนั้นทำให้ธีรธรรู้สึกผิดปรกติ ดวงตาสีม่านราตรีนั้นมองคู่สนทนาอย่างคาดเดา ดวงตาสีเทานั้นมองเขาอย่างคาดเดาเช่นกัน

“ครับ”ธีรธรเลือกจะรับคำอย่างสั้นๆ เขาไม่แน่ใจนักว่าคู่สนทนาคนนี้ต้องการอะไร

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับพิรุณาบ้าง?”

“คุณพิรุณา เป็นนักดนตรีที่เก่งมากครับ”เอ็ดมันต์หัวเราะเสียงดังจนคนรอบข้างหันมองอย่างสนใจ  ดวงหน้าคมและดวงตาสีเทาฮาเซลนั้นยิ่งชวนมอง

“เรื่องนั้นใครๆก็รู้คุณนี่ตลกชะมัด”

“แล้วคุณรู้อะไรเป็นพิเศษหรือครับ” เอ็ดมันต์หัวเราะเบาๆ พลางเอียงกายมาใกล้พูดเสียงเบาๆ

“ก็รู้ว่า หยาดฝนเมื่อร้อนรุ่มน่ะ หอมหวานถึงขนาดไหนยังไงเล่า ขอตัวนะครับ”เอ็ดมันต์โค้งให้น้อยๆ ดวงตาสีเทานั้นมีเค้าสนุกสนานฉายชัด ตรงข้ามกับธีรธรที่นอกจากงงแล้วยังรู้สึกโกรธอย่างไร้สาเหตุอีกด้วย



   ปองลืมตาขึ้นในความมืดสลัว นาฬิกแขวนผนังบอกเวลาเลยเที่ยงคืนมาไกลโข ปองขยับตัวอย่างอึดอัด เบื่อแล้วที่จะอยู่ในห้องนี้คนเดียว  เขาพลิกตัวอย่างลำบาก เพราะแขนขาที่เข้าเฝือก  ตกใจกับดวงหน้าที่อยู่ใกล้ชนิดลมหายใจต้องผิวแก้ม  ขนตายาวทาบทับแก้ม เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสงบทำให้ปองยิ้ม  คนไม่เจ็บมาแย่งที่นอนคนเจ็บ แสดงว่าแอบเข้ามาตอนพยาบาลที่เนิร์ซสเตชั่นไม่เห็น ไม่อย่างนั้นจะขึ้นมานอนเตียงเดียวกันได้หรือ  เสียงประตูเปิดเบาๆไม่ทันตั้งตัว ทำให้ปองตกใจทำอะไรไม่ถูกรีบคลุมผ้าหลับตาเหมือนหลับ เงาร่างสูงๆเดินเข้ามาใกล้แทบไร้ซึ่งเสียงฝีเท้า   นายแพทย์หนุ่มมองอย่างสงสัย ปองทำไมตัวดูใหญ่ขึ้น  มือแข็งแรงนั้นเอื้อมไปเลิกผ้าห่มขึ้น แล้วหัวเราะเบาๆไร้เสียง  เมื่อคนเจ็บบนเตียงมีคนอยากได้ที่นอนคนเจ็บมาอาศัยนอนด้วย

“คุณพิรุณาครับ”พีทสะกิดพิรุณาเบาๆ

“อย่ากวนคุณพิรุณาเลยครับ..เอ่อ..วิล”เสียงของปองทำให้พีทชะงัก หันไปมองคนเจ็บจริง แววตาขบขันหายไปจากดวงตาคู่นั้น

“ปอง ให้คุณพิรุณากลับบ้านเถอะ เดี๋ยวคุณพยาบาลจะว่าเอานะ”ปองส่ายหน้าเร็วๆ

“ไม่เอา ไม่อยากอยู่คนเดียว”

“อยู่กับผมไง ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนนะ” ปองนิ่งคิด

“แล้วแต่วิลครับ บางทีอาจจะดีก็ได้” คำท้ายนั้นเหมือนปองพูดกับตัวเอง 

“ปองนอนต่อเถอะ ฝันดีนะครับ”พีทก้มลงมอบจูบราตรีสวัสดิ์ให้

“เช่นกันครับวิล”ปองยิ้มหวาน  ยิ้มที่บาดลึกเข้าไปในใจ เมื่อยิ้มนั้นไม่ใช่สำหรับเขา แต่มันเป็นของคนในอดีตที่ผ่านพ้น และจะไม่หวนกลับมา แพทย์หนุ่มก้าวยาวๆออกจากห้องไปเพื่อโทรศัพท์  เมื่อปองหันกลับมา ตั้งใจจะปลุกคนที่นอนหลับ กลับพบว่าตื่นแล้ว และกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาคู่นั้น สายตาที่ราวกับมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง

‘คุณปองเป็นยังไงบ้าง?’ พิรุณาลุกขึ้นนั่งแล้วส่งภาษามือให้ปอง ปองใช้มือข้างที่ไม่เจ็บ ทำภาษามือ

‘ดีขึ้นแล้วครับ’

‘ปอง  คุณไม่ได้ความจำเสื่อม เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะแยกพีทกับพี่ชายเขาไม่ออก อย่าปั่นหัวคุณหมอพีทอีกเลย....ได้ไหม?’ ปองเสมองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตา

เขาอาจหลอกตาคนอื่นได้มากมาย แต่ไม่ใช่กับพิรุณา  คนที่มองเขาขาดอย่างทะลุปรุโปร่ง
------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 16 แล้วครับ :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 28-03-2008 10:25:41
น่านดิแกล้งพีททำไม๊ปอง :serius2:

แล้วไอ้ต้นสังกัดน่านมานพูดไรให้คาใจกันเนี่ย :angry2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 28-03-2008 13:04:26
พิรุณากับอะกิระก็น่ารักดีนะ อิอิ

เริ่มไปคนละเรื่องเเล้ว

แต่ว่าอยู่นะมันทะแม่งทะแม่ง ปองจำคนอื่นได้หมด

แต่จำพีทไม่ได้คนเดียวซะงั้น

อย่าแกล้งพีทดิ สงสาร  :angry2:

ทำไมต้นสังกัดของพิรุณาพูดแบบนี้ ถ้าไม่โกรธก็บ้าเเล้ว น่าจับไปฆ่า :m16:

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 28-03-2008 19:16:39
ปองอย่าแกล้งหมอพีทอีกเลย สงสารเค้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แต่อีตา เอ็ดมันต์  นั้นอะไรยังไงกันแน่..........
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 02-04-2008 12:39:46
หายไปไหนเนี่ย!!!

กลับมาต่อด่วน  :angry2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-04-2008 18:36:22
ตามอ่านเรื่องนี้มานาน อิอิ 

ปองก็น้า  ใจแข็งจริงๆ  สงสารคุณหมออ่า
เรื่องนี้แต่ละคนมีคาแรคเตอร์ชัดเจนดี 
แต่อยากให้เพิ่มความหวานก็หวานสุดๆ  เศร้าก็เศร้าสุดๆ หน่อยดิ  มันยังไม่สุดๆ เลย
หรือมันยังไม่ถึงหว่า

รออ่านอยู่น้า  ชอบเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 03-04-2008 00:15:48
^
^
^
จิ้ม(หัวใจ)คนข้างบน(ได้ไหม)  :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 03-04-2008 00:34:39
^
^
^
จิ้มก้นคนข้างบนต่อ

(จิตว่าง  ฮ่าๆๆๆ)
 :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 03-04-2008 08:39:55
^
^
^

อ่ะๆๆๆ ทั้งคนโพสท์ คนเขียน มาจิ้มๆๆๆๆๆไรกันเนี่ย

ไม่ยอมลงต่อสักที คนแถวนี้จะลงแดงน่ะค้าบบบบบบบบบบบบบบบบ

แต่ไง ไหนๆก็ ขอจิ้มตูดคนข้างบนด้วยคน ดิคับ อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 06-04-2008 16:30:40
ปอง  อย่าแกล้งคุณหมอเลยนะคะ

เค้าสงสารง่ะ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 07-04-2008 06:24:24
เริ่มอ่านมาตั้งแต่เที่ยงคืนกว่า ๆ

เปิดอ่านไปทีละหน้า ๆ จนดึก


ใจหนึ่งบอกเตือนตัวเองว่า


"ดึกแล้ว.... นอนเถอะนะ"


แต่อีกใจหนึ่งมันกลับโต้แย้ง


"น่า... ต่ออีกนิด .... ถึงเข้านอน จะหลับลงหรือ ... ยังมีเรื่องค้างคาใจอยู่นะเนี่ย"



..........


..........


พออ่านจบจนหน้าสุดท้าย  o2


หา.... เช้าแล้วหรือนี่....



โอย..... สนุกจนวางไม่ลงเลยครับ


ตอนนี้ ขอตัวไปนอนก่อน   :bye2:


หวังว่าตื่นขึ้นมา ... คงได้อ่านตอนต่อไปนะครับ จะติดตาม


หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: yukisaki ที่ 07-04-2008 10:23:25
ต้นสังกัดพูดอะไรเนี่ย~~ :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:

เลิกแกล้งคุณหมอเค้าเหอะ  น่าสงสารแย่ :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 08-04-2008 19:57:24
หายไปไหนอ่า  :serius2:

อ่านเเล้วก็สงสารคุณหมอ ปองใจร้าย หรือคนเขียนใจร้าย  :o12:

มานอนรอให้อัพคร้าบบบ  :a12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pottery_harter ที่ 15-04-2008 07:07:54
พอดีสะดุดตาน่ะครับ

"ซินญอร์แอนิโมโต"

"Señor" ในภาษาสเปน หรือ "Signor" ในภาษาอิตาลี ทั้งคู่แปลว่า นาย ครับ

ถ้าสตรีจะต้องเป็น

"Señora" ในภาษาสเปน หรือ "Signora" ในภาษาอิตาลี แปลว่า นาง (เท่านั้น) ครับ

แต่ถ้าใช้ภาษาฝรั่งเศสสื่อสารอยู่

"Madame" น่าจะ Okay กว่า

อย่าว่ากันนะครับ



ว๊าวววว...ขอบคุณค่ะ โพสต์เเรกเลย เยี่ยมเลยๆๆๆ 
 ตอนเขียนนี่ต้องหาที่ปรึกษา ภาษาอิตาเลียนเเละฝรั่งเศสกันหัวหมุนเปิดดิกออนไลน์(พบว่าหลายเวบเชื่อถือไม่ค่อยได้) จะรับไปเเก้ไขนะคะ ตัวเมศเองไม่มีความรู้ด้านภาษาอิตาเลียนเเละฝรั่งเศสเเม้เเต่นี๊ดดดดดดเดียว ญี่ปุ่นก็งูปลา อังกฤษก็ดำผุดดำว่าย555+


ป๋อล๋อ.ภูมิใจอ่ะ เป็นเม้นต์เเรก เปิดซิง  อิอิ


ชอบเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวครับ ดูมีความแปลกใหม่เยอะอยู่เชียว
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 15-04-2008 12:47:07
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 16-04-2008 20:13:20
INTERMEZZO   chapter# 17





         พิรุณาทอดสายตามองเปียโนตัวโปรด ผิวสีดำสนิทเป็นมันเงาที่เพิ่งถูกเช็ดไม่อาจดึงความสนใจของเจ้าของให้กลับมาที่มันได้เลย  พิรุณาเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล เปล่า...ปองไม่ได้อาการแย่ลง คาดว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ในเร็ววัน คนที่อาการแย่ลง เห็นจะมีแต่พิรุณาคนเดียว   พิรุณาถอนหายใจเบาๆแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเปียโน   ปลายนิ้วคล้ายจะกดลงบนแป้นคีย์ แต่แล้วก็ชะงัก ลังเลที่จะกด หากแล้วก็เหมือนรวบรวมกำลังใจเพื่อกดอีกครั้ง แต่ก็ชะงักอีก  พิรุณากำลังคิดถึงสิ่งที่ได้ทราบจากเมื่อเช้า

“ผมคิดว่ามิสเตอร์ทาร์เซต ควรจะพักยาวนะครับ อาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ข้อมือ รวมถึงก้อนซีสซ์ที่มือขวา ถ้าไม่ได้รับการรักษา และการพักฟื้นที่เพียงพอ ผมเกรงว่าจะไม่หาย” พิรุณาจำได้ว่าตัวเองเอาแต่จ้องมองนายแพทย์ผู้นั้นราวกับมึนชาจากการถูกฟาด

“ผมแนะนำให้ผ่าตัดนะครับ “พิรุณามองล่ามภาษามือ สลับกับนายแพทย์  รู้สึกทำอะไรไม่ถูก  หลังจากรวบรวมสติที่ซ่านกระเซ็นได้ จึงส่งภาษามือกลับไปอย่างช้าๆ

‘ผมคิดว่าจะยังไม่ผ่าตัด จะยังไม่มีการรักษาและพักยาวเกิดขึ้น ผมยังไม่พร้อม’ พิรุณาลุกขึ้นเดินออกไปอย่างคนสิ้นไร้วิญญาณ  สำหรับนักเปียโนแล้ว จะมีอะไรสำคัญไปกว่ามือ 

         พิรุณารวบรวมสมาธิอีกครั้ง กดลงบนคีย์ บรรเพลงช้าๆ ท่วงทำนองหวานโศก ที่เต้นระริก ดังแสงดาวดำเนินไป พร้อมๆกับความเจ็บปวดที่ทวีขึ้นเรื่อยๆตามภาระที่มากขึ้นตามเทคนิคที่ยากขึ้นเรื่อยๆของเพลง  พิรุณานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่ยังไม่ยอมแพ้  กัดฟันเล่นต่อทั้งที่เจ็บทรมาน   ทวงทำนองที่เต้นระริกนั้นยังดำเนินต่อไปท่ามกลางความทรมานและความดื้นรั้น สุดท้ายก็เงียบเสียงลงด้วยโน้ตตัวทุดท้ายที่เสียงแปลกแยกผิดจากตัวที่ถูกต้องและไม่แม้แต่จะจบท่อน   พิรุณาลองใหม่อีกครั้ง แต่ผลยังเป็นเหมือนเดิม ความกดดันต่อตนเองถาโถม  พิรุณาเลือกที่จะเริ่มใหม่ เริ่มตั้งแต่การไล่สเกล*ทุกคีย์ เหมือนเด็กหัดเปียโน ผลรับยังเหมือนเดิมคือผิดพลาดอย่างง่ายดายอย่างที่ไม่ควรจะเป็น พิรุณากำลังจะสูญเสียการควบคุมมือของตนเองให้เป็นได้ดั่งใจคิดไปอย่างช้าๆ   สูญเสียการได้ยินไปแล้ว ยังเสียมือไปอีก แล้วชีวิตจะเหลืออะไร?


         ธีรธรหอบงานเอกสารของตัวเองมาที่บ้านหลังติดกัน บ้านที่เขาเข้านอกออกในเหมือนเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง ชายหนุ่มตบหัวเจ้าหมาเป็นการทักทาย   เช้าๆอย่างนี้พิรุณาน่าจะยังไม่ทานอะไร เขาจึงเดินเข้าครัว ทำอาหารเช้าอย่างง่ายๆสองชุด แล้วเดินตามหาเจ้าของบ้าน  เสียงเปียโนดังมาตามทางเดิน  เช้าวันอาทิตย์เช่นนี้ ดีเหลือเกินที่ได้ฟังเพลงเพราะๆแต่เช้า  ธีรธรเห็นร่างโปร่งบางนั่งหน้าเปียโน สีหน้านั้น เคร่งเครียดกว่าปรกติ แม้เสียงที่ได้จะยังเพราะพริ้งและเต้นระยับชวนประทับใจ แต่สีหน้าที่ธีรธรเห็นนั่น ไม่ใช่สีหน้าของพิรุณา ผู้หลงใหลในเสียงเพลง เกิดอะไรขึ้น?  เสียงสุดท้ายที่แปล่งสะดุดหู เหมือนฉุดกระชากให้คนทั้งคู่ตื่นขึ้นจางห้วงคิด ธีรธรเดินเข้าไปหาพิรุณา สัมผัสแผ่นหลังนั้นเบาๆ หากพิรุณากลับสะดุ้งตกใจ ก่อนจะหันมาอย่างตื่นๆ  ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงที่เคยฉายประกายรื่นรมย์ บัดนี้เอ่อคลอด้วยน้ำตา

“เป็นอะไรไป?”ธีรธรกระซิบเพียงแผ่วเบา แล้วนั่งลงเคียงใกล้  พิรุณาเบือนหน้าไปอีกทาง ซ่อนรอยน้ำตาไว้ รีบปรับอารมณ์ตนเอง ซุกซ่อนความอ่อนแอของจิตใจไว้ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าเบาๆ

“ทานอะไรหรือยัง? ผมมาหาคนทานของเช้าด้วยกัน ดีไหม?” พิรุณาไม่สบตา เอาแต่มองริมฝีปากของชายหนุ่ม

“ว่าไง?” มือแข็งแรงนั้นกุมมือบางนั้นไว้แล้วเขย่าเบาๆ

‘ระหว่างหน้าที่กับร่างกาย อันไหนสำคัญกว่ากัน’ ธีรธรพอเดาได้ว่าพิรุณาถามอย่างนี้เพราะอะไร เขาจึงตอบเป็นภาษามือ ที่ลอบศึกษามาบ้างเมื่อว่างจากงาน แม้จะไปไม่คีบหน้าสักเท่าใด

‘ร่างกาย’ พิรุณาเหยียดยิ้มบางๆ แก้ภาษามือที่ธีรธรทำผิดให้  แล้วทำให้ดูอีกครั้ง

‘ทำไมล่ะครับ?’ ธีรธรแนบริมฝีปากลงที่หน้าผากนวลๆนั้น

“เพราะ ร่างกายที่แข็งแรง ย่อมสร้างกำลังกาย กำลังใจ และบันดาลใจให้เกิดผลงานที่ดี” ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงหลุบต่ำ

‘แล้วถ้าผมเลือกหน้าที่ล่ะ’ ธีรธรโคลงศีรษะ

“เลือกตามที่พิรุณาอยากให้เป็นเถอะ เลือกในทางที่คุณคิดว่าจะไม่เสียใจทีหลัง”พิรุณามองลึกเข้าไปในดวงตาสีม่านราตรีนั้น  ธีรธรไม่ใช่คนข้างบ้านที่พยายามบุกรุกชีวิตเขาให้วุ่นวายชวนปวดหัวอีกแล้ว  ณ วินาทีนี้พิรุณาเพิ่งรู้สึก ธีรธรเป็นเพื่อนกายผู้ชิดใกล้ และเพื่อนใจที่ผูกพัน

“ทานอะไรเสียก่อนเถอะ”พิรุณาพยักหน้าให้เบาๆ ยอมให้ชายหนุ่มจับจูงมือแต่โดยดี

         หลังอาหารเช้าแบบเบาๆ พิรุณาอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ธีรธรค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง   พิรุณาเริ่มดูหนังจีนกำลังภายในอย่างตั้งใจ ราวกับเป็นซีรีย์ที่ต้องใช้สมาธิอย่างแรงกล้าในการดู ธีรธรจึงเริ่มหยิบงานของตนเองขึ้นมาอ่านๆพลิกๆ แต่ก็ไม่คืบหน้าไปสักเท่าใด เพราะสมาธิไปจดจ่อกับคนข้างๆและจอโทรทัศน์เสียส่วนใหญ่ ชักจะติดใจว่าหนังจีนกำลังภายในก็สนุกไม่เลว ครั้งสุดท้ายที่ดูเมื่อไหร่นั้นก็ยากจะจำได้ เสียงออดจากหน้าบ้าน ทำให้เจ้าหมาที่นอนหมอบในครัว ลุกมาคาบมือนายของมันตามหน้าที่  พิรุณาแงะมือออกจากปากเจ้าหมาที่คาบไว้หลวมๆ แล้วจับมือใหญ่แข็งแรงของธีรธรให้เจ้าหมาคาบแทน  ธีรธรหัวเราะขันแล้วยอมตามเจ้าหมาไปแต่โดยดี

“ครับ” ธีรธรขานรับ พลางเปิดประตู  คนที่ยืนยิ้มอยู่หน้าบ้าน ทำให้ธีรธรเปลี่ยนสีหน้าแทบทันที  ดวงตาสีเทานั้นมองธีรธรแปลกๆ

“ผมมาผิดบ้านหรือเปล่านี่?”ชายหนุ่มอุทานด้วยสำเนียงแปล่งๆ

“ถ้าคุณมาหาพิรุณา ก็ถูกบ้านแล้วครับ มิสเตอร์..วิทเนอร์”น้ำเสียงที่ใช้ตอบ ฟ้องคู่สนทนาว่าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

“เชิญครับ”ธีรธรเปิดประตูกว้างขึ้นเบี่ยงกายให้ผู้มาเยือนเข้ามา  เอ็ดมันต์เห็นเจ้าของบ้านกำลังนั่งหน้าทีวี ท่าทางน่าสนุก

‘สนุกมากขนาดนั้นเชียว’ เอ็ดมันต์ยืนบังโทรทัศน์ไว้แล้วถามด้วยภาษามือ  ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองคนยืนบังอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก เอ็ดมนต์คิดในใจ เหมือนกันเลยทั้งคู่

‘ไม่กอดทักทายหน่อยหรือ?’ ชายหนุ่มว่าพลางอ้าแขนรอรับร่างโปร่งบาง  จุดประสงค์ไม่ใช่พิรุณา  แต่เป็นพ่อบ้านจำเป็นที่จัดหนังสือเข้าตู้ทั้งที่มันเป็นระเบียบของมันอยู่แล้วต่างหาก  แน่นอน ถ้าหนังสือในตู้เป็นตัวเขา ป่านนี้เป็นชิ้นๆไปแล้ว พิรุณายอมให้กอดทักทาย พลางตบหลังเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ หรือจะเรียกว่าเป็นอดีตคนรักแรงๆ

“ยังตัวเล็กเหมือนเดิม  กอดไม่เต็มไม้เต็มมือเลย” เอ็ดมันต์พูดพลางคิดในใจว่าพิรุณาตบหลังตนแรงไปแล้ว ได้ยินเสียงปึงปังจากชั้นหนังสือประกอบการทักทาย

‘มีอะไรหรือ?’ พิรุณาถามทันทีที่คลายอ้อมแขน

‘เอาตารางงานใหม่มาให้’

‘ต้องมาเองเชียวหรือ? มาเพราะอย่างอื่นมากกว่ามั้ง?’เอ็ดมันต์ยิ้มเหย  พิรุณเป็นคนจำนวนน้อยที่รู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่อง  ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่คบกัน  จนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม  บางที เพราะการรู้เท่าทัน และอ่านคนออกอย่างเฉียบขาด อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเลิกกันก็ได้

‘รู้ทันเรื่อยเลย ดีนะที่เลิกกันไปแล้ว   แผลงฤทธิ์กับคนนี้แล้วหรือยัง’

‘ไม่ได้นิสัยเสียเหมือนนายนี่ที่ไม่ชอบให้คนอื่นรู้ทัน  ตอนนี้ฉันไม่เหมือนสมัยนั้นนะที่ไม่ค่อยยับยั้งชั่งใจ และคุณธีก็ไม่ใช่คนแบบนายด้วย’

‘แบบฉันนี่แบบไหน?’พิรุณายิ้มหยันอย่างไม่ปิดบัง นี่ละ พิรุณาอย่างร้ายๆที่เพื่อนฝูงรู้กันดี

‘ก็คนที่ ไม่ชอบให้คนอื่นรู้ทัน ทำเหมือนคนอื่นๆในโลกโง่งมไม่ลืมหูตา’

‘เจ็บนะเนี่ย’เอ็ดมันต์รู้ซึ้ง ว่าที่พิรุณาว่ามานั้นเป็นจริงเพียงใด  ขอบคุณสวรรค์ที่ดลใจให้พิรุณาบอกเลิกเขาในตอนนั้น

‘ที่มาที่นี่ จะมาดูคุณธีใช่ไหม?’ เอ็ดมันต์หัวเราะ พิรุณาเคยอ่านเขาพลาดหรือ ไม่สิ เคยอ่านใครพลาดหรือ

‘ใช่  ท่าทางคิดมากน้อยใจนะเนี่ย’ ชายหนุ่มว่าแล้วหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม ขณะที่คนถูกกล่าวถึงไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว

‘พอใจหรือยังล่ะ  พอใจก็ไปได้แล้ว’ เอ็ดมันต์ยกมือยอมแพ้

‘โอเค พอใจแล้ว รีบไปดีกว่า เดี๋ยวโดนดูดสมองไปทำมิลค์เชค’ เอ็ดมันต์ทำหน้าทะเล้น

‘ไปสิ’

‘ตารางงานนั่น ดูดีๆนะ ไม่อนุญาตให้เพิ่ม แต่ลดได้ตามสะดวก’เอ็ดมันต์ออกจากบ้านไปโดยไม่ต้องกล่าวลาให้เมื่อย  เขารู้เพียงแค่นี้พิรุณาน่าจะรู้ว่า ตารางงานใหม่ที่เขาจัดให้เองกับมือเป็นอย่างไร  ถ้าอยู่นานกว่านี้ พิรุณาต้องบ่นแบบลืมเมื่อยมือแน่นอน

         พิรุณาพิจารณาตารางงานใหม่ที่ดูแล้วโหวงเหวงกว่าเก่าไปมากกว่าครึ่ง  พลางนึกบ่นในใจว่าเขาทำงานไหว ไม่เห็นต้องมาลดงานของเขาลงเลย   เสียดายที่ไล่กลับไปเสียก่อนจะได้บ่น  หลังจากเอาตารางงานใหม่ไปเก็บ พิรุณาถึงรู้สึกได้ว่า ใครบางคนหายไปอย่างลึกลับ  ไปพบธีรธรนั่งกอดคอเจ้าหมาอยู่หลังบ้าน  ราวกับมันเป็นเพื่อนตาย  เมื่อได้ยินเสียงเปิดจึงหันมายิ้มให้ แค่มองตาพิรุณาก็รู้ คนตัวโต น้อยใจเสียแล้ว

“คุยกันเสร็จแล้วหรือ?”ธีรธรเปรย  เมื่อพิรุณานั่งลงข้างเจ้าหมา  พิรุณาพยักหน้า แล้วเล่นขอมือกับเจ้าหมา ที่พยายามส่งขาขวาให้ ทั้งที่พิรุณาขอขาซ้าย

“ทำไมเร็วจัง”

‘ไม่อยากให้อยู่นานๆนี่’ ธีรธรหันมามองพิรุณาที่ส่งภาษามือ  เห็นแต่หน้าเจ้าหมาเต็มๆเลยต้องชะโงกตัวไปข้างหน้า ร่องรอยน้อยใจลึกๆอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้สาเหตุยังปรากฏอยู่จางๆ

‘อยากรู้ไหมว่า ผมกับเอ็ดมันต์มีความสัมพันธ์กันยังไง?’ ธีรธรส่ายหน้า

“ผมไม่ได้สนใจคนที่อดีตของเขา”พิรุณาหันมองธีรธร เห็นแต่เจ้าหมาที่แลบลิ้นหอบหายใจแหะๆอยู่ใกล้ๆหน้า จึงต้องเป็นฝ่ายชะโงกตัวมาบ้าง

‘ข้อนั้นผมทราบ’พิรุณายิ้มบาง ดวงตาสีน้ำตาลแดงเป็นประกายพราว

‘แต่ผมอยากให้คุณธีทราบ ไม่เข้าใจตรงไหนบอกนะครับ’ ธีรธรส่งภาษามืออย่างง่ายๆว่า โอเค

‘ผมเจอเอ็ดมันต์ตอนอายุสิบเจ็ดสิบแปด  ตอนนั้นผมกำลังดิ้นรน หาทางเอาชีวิตรอดจากสังคมภายนอกนั่น ที่บีบบังคับให้ผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเลี้ยงชีพ ตอนนั้นผมเป็นนักดนตรีในคลับหลายๆที่  ทำให้เวลาของผมผิดไปจากคนอื่นที่ดำเนินชีวิตตอนกลางวัน ในขณะที่ผมตื่นเมื่อคนอื่นหลับ  เอ็ดมันต์อายุมากกว่า5ปี เข้ามาชักชวนให้ผมไปทำงานกับเขาที่คลับที่เขาและเพื่อนๆร่วมหุ้นกันสร้างขึ้นมา  แน่นอนว่าตาคู่สีเทานั้น ดึงดูดผมได้พอสมควร คืนหนึ่ง ลูกค้าเกิดชอบใจฝีมือผมเลยเลี้ยงเครื่องดื่ม  ไม่ดื่มก็ดูเสียมารยาท สุดท้ายเลยเมาหัวทิ่ม  ขนาดเห็นเปียโนกลับหัวทั้งหลังเห็นภาพเหมือนทีวีรุ่นคุณปู่ที่รับสัญญาณได้ไม่ชัด  วันนั้นเอ็ดมันต์เลยเอาผมไปทิ้งไว้ห้องเขา ส่วนตัวเขากลับมานอนร้านเลยเริ่มรู้สึกเหมือนติดหนี้บุญคุณ  น่าขันที่มันแหมือนนิยายน้ำเน่าไม่มีผิด ในที่สุดผมก็คบกับเอ็ดมันต์โดยที่เราทั้งคู่ต่างไม่ได้ออกปากบอกกล่าวอีกฝ่ายว่าชอบพอหรือรัก หรืออะไรทำนองนั้นเลย  แต่ก็คบกันได้สามเดือน เราก็เหมือนคู่รักปรกติ กินข้าว สนทนาด้วยเรื่องสัพเพเหระ แน่นอน เซ็กซ์ก็เกี่ยว แต่อาจจะน้อยหน่อย เพราะเราต่างไม่มีเวลา’พิรุณาลอบสังเกตธีรธร ที่แอบทำหน้าเบี้ยวนิดหน่อย เจ้าหมาหาวแลบลิ้นยาวก่อนจะลุกจากไปเหมือนเบื่อเต็มที

‘สิ่งที่เราไม่เหมือนคู่รักอื่นๆแน่ๆคือ  เราต่างไม่รู้ใจตัวเองว่า รักอีกฝ่ายหรือเปล่า  หลังจากอึดอัดมาพักใหญ่ และหลังจากเซ็กซ์ครั้งแรกของผม สามวันหลังจากนั้น ผมก็บอกเลิก แล้วไม่มีโอกาสเจอกันอีกหลายปี เพราะผมเริ่มเข้าเรียนและทำงานหนัก ส่วนเอ็ดมันต์ก็เริ่มจับงาน งงภาษามือตรงไหนไหม?’ ธีรธรแอบกรอกตา ถึงใช้ภาษามือได้ไม่คล่อง แต่คราวนี้ครบทุกเนื้อหาเชียวล่ะ

‘น้อยใจหรือ?’

‘เปล่าครับ’คนปฎิเสธหูแดง พิรุณาหัวเราะ ก่อนต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง  ธีรธรสะกิดพิรุณาเบาๆ  ดวงตาสีม่านราตรีคู่สวยฉายประกายลุ่มลึก

“ที่ไม่ยอมรักษาก่อน เพราะกลัวใช่ไหม?”น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา  แม้พิรุณาจะไม่ได้ยิน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายประกายบางอย่างชัด  พิรุณาตกตะลึง มือนวลนั้นยึดแขนเสื้อธีรธรไว้ อันจนหนทางใดจะบอกกล่าว

พิรุณาเพิ่งเข้าใจความรู้สึก ของคนที่ถูกพูดจี้ใจ ธีรธรไม่เพียงอบอุ่นอ่อนโยนทว่าคิดอ่านลึกซึ้งกว่าที่ตาเห็นอยู่มากนัก








ปล.ขอบคุณทุกแรงใจ(กดดัน)ที่ทำให้น้องเมศของเราคลอดผลงานตอนใหม่มาได้ครับ  o7  เพราะทุกคอมเมนท์คือตัวเร่งปฎิกิริยาครับ  :laugh:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 16-04-2008 20:17:55

^
|
|
|
|
 :m12:

ผมชอบจริงๆ การจิ้มตูดนี่

อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 16-04-2008 20:22:34
^
^
^
เฮ้ยยยยยยย....จิ้มไม่ทันอ่ะ   :serius2:

replyบน เร็วมากกกก

เฮ้ยไม่ยอม

จิ้มข้างบนต่อ - -*


ไปล่ะ....
 :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 16-04-2008 20:25:56

^
|
|
|
|
 :m12:

ผมชอบจริงๆ การจิ้มตูดนี่

อิอิ

ผมก็ชอบโดนจิ้มนะ   :o8: :m25:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 16-04-2008 20:30:01
^
|
|
|
|
แต่ถ้าผมเหนื่อยก็จะสลับนะ


อิอิ

ผมหมายถึงลูกชิ้นอาคร้าบบบบ


เอ๊ มีอย่างนี้ด้วยหรอ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 16-04-2008 21:30:25
^
|
|
|
|

ขอจิ้มตูดด้วยละกัน อิอิ

ปล.สนุกมากเลย ปองก็ร่างกายท่าทางจะหายแล้วเหลือแต่เรื่องอดีต

แต่พิรุณาดั้นนนนนนนนนนนนนนนมาเจอปัญหาอีกและ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 16-04-2008 23:26:06
^
l
l
l
l
l

จิ้มๆด้วยคน จะจิ้มเบาๆนะจะได้ไม่เจ็บ อิอิ

สงสารพิรุณาอีกเเล้ว เห็นด้วยกับคุณธีอย่างแรง ร่างกายสำคัญกว่าหน้าที่

ขอให้พิรุณายอมผ่าเถอะ สาธุ  อย่างน้อยพักงานก็ยังดี  :oni3: :oni3: :oni3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 17-04-2008 00:35:33
เอ้า.... จิ้มกันใหญ่


แต่ก็ขอบใจนะ ที่นหตอนต่อไปมาให้อ่าน  :m4:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 18-04-2008 19:43:06
^
^
^
^
เห็นเค้าจิ้มกันขอจิ้มด้วยคน เจาะไข่ไปเลย 555+

ในที่สุดความร้อนของอากาศก็ทำให้น้องเมศคลอดพิรุณาออกมาได้    :laugh:
ชอบอากาศร้อนก็มะบอก
แต่เราชอบพิรุณามากกว่า :o8:
 ฝนตกมาเหอะร้อนจาตายอยู่แล้ว :serius2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 18-04-2008 21:48:56

^
^
^
ยังจิ้มต่อไป ไม่รู้ทำไม 555+


คำว่า "คลอด" ฟังดูน่าหวาดเสียวจังเลยอ่ะ 555+ เเลดูจะต้องขึ้นขาหยั่ง  :a5:


 เเต่ร้อนจริงๆนะ ไม่ไหวเเล้ว  ร้อนตับเต้น ...เต้นบีบอยด้วย
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 20-04-2008 18:47:36


         สวนหลังโรงพยาบาลเช้านี้ยังคงสงบ  ไม่ค่อยมีใครมาเดินเล่นแต่เช้าแบบนี้มากนัก  นายแพทย์หนุ่มเข็นวีลล์แชร์ให้ปองเงียบๆ  ต้นไม้ที่เริ่มผลิใบหลังผ่านฤดูหนาว แตกหน่อออกใบให้เห็นประปราย  เสียงนกเริ่มกลับมาขับกล่อมอีกครั้ง  นายแพทย์หนุ่มสูดลมหายใจช้าๆ  ปองเองก็เช่นกัน  การอยู่ในโรงพยาบาลนานๆ ทำให้รู้สึกเบื่อเกินกว่าจนทนอยู่เฉยๆในห้องไม่ได้อีกต่อไปจึงมักมาที่นี่ สูดอากาศของโลกภายนอกเสียบ้าง  อีกไม่นานเขาจะได้ออกจากโรงพยาบาลสักทีหลังจากทนอุดอู้มานาน   มือขาวนวลแตะหลังมือนายแพทย์หนุ่ม แหงนเงยขึ้นมองเจ้าของดวงหน้าน่าดูที่ไม่พบกันนาน พลางส่งยิ้มบาง 

“แวะตรงนี้เถอะครับ” ปองพูดเสียงเบา  ก่อนจะทอดสายตาไปเบื้องหน้าอันเป็นบึงน้ำขนาดย่อมๆ ที่เริ่มสิ่งทีชีวิตน้อยใหญ่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

“พรุ่งนี้ผมจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว”ปองเปรยเบาๆ นายแพทย์หนุ่มยิ้ม แล้วนั่งลงกับพื้นใกล้ปอง

“ดีแล้วครับ คุณปอง  จะได้กลับบ้าน  อยู่โรงพยาบาลนานๆก็เบื่อ” ปองนึกขันนายแพทย์หนุ่มผู้เดินทางมาไกลจากอีกซีกหนึ่งของโลก

“แล้วคุณฟ่งล่ะครับ อยู่โรงพยาบาลทั้งวัน ทุกวัน ไม่เบื่อหรือ?”

“เบื่อสิครับ ถึงบินมาที่นี่”

“เพื่อจะมาโรงพยาบาลอีกนะหรือครับ”ปองหัวเราะ  รอยยิ้มที่ฟ่งเห็นแล้วสบายใจ

“ก็ทำนองนั้นล่ะครับ  .... ที่บ้านคุณปอง  ฝากจดหมายนี่มาน่ะครับ”ฟ่งส่งจดหมายที่ใส่ซองสีข่าวสะอาดตาให้ปอง ปองรับพลางกล่าวขอบคุณ แต่ยังไม่เปิดอ่าน เพียงแต่ลูบคลำมันอย่างเบามือเท่านั้น

“บอสรู้หรือเปล่าครับว่าคุณฟ่งมา”

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมโทรไปที่บ้านไม่มีคนรับเลยฝากข้อความไว้แล้ว”ปองยิ้ม

“โทรไปผิดบ้านแล้วครับ  ต้องโทรไปบ้านคุณพิรุณาต่างหาก”

“นั่นสิ ผมนี่แย่จัง”ปองกลับไปให้ความสนใจกันระรอกคลื่นที่เต้นพลิ้วไปกับสายลมที่พัดเพียงแผ่วเบา

“ผมถามได้ไหมครับ ว่าคุณฟ่งมาทำอะไรที่นี่?” ฟ่งยิ้มพลางขยับแว่นของตนเบาๆ

“มาดูงานน่ะครับ”ปองหยักหน้าเบาๆรับรู้  ฟ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

“คุณปอง  ผมมีบางอย่างจะบอก  คุณอาจฟังแล้วตกใจ แต่ผมอย่างให้คุณปองรู้น่ะครับ”ปองหันกลับมามองเจ้าของเสียงจริงจังนั้น อย่างสงสัย ฟ่งสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ  แล้วยิ้มออกมาราวให้กำลังใจตัวเอง

“ผม...ชอบคุณปองนะครับ  ชอบตั้งแต่ครั้งที่คุณปองไปที่บ้านแล้ว”

“แต่ผม..”

“มีคนที่อยู่ในใจแล้ว...ใช่ไหมครับ  ผมทราบ และไม่คิดว่าผมจะสู้เขาคนนั้นได้  ผมเพียงแต่บอกคุณปองไว้อย่างเปิดเผย ให้ผมสบายใจขึ้นเท่านั้น” ฟ่งจับมือปองสัมผัสริมฝีปากตนเบาๆ  ปองทำได้เพียงยิ้มเศร้าออกมาเท่านั้น

“ผมขอโทษ”ปองพูดเบาๆ

“อย่าขอโทษเลย  ปองไม่ได้ผิด ผมก็ไม่ผิด และเขาคนนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร  ความรู้สึกพิเศษ มันเกิดได้กับทุกคน มันไม่เลือกหรอกว่าเป็นเวลาไหน เป็นช่วงที่ดีหรือแย่ที่สุดในชีวิตเราหรือเปล่า มันแค่เกิดขึ้นแล้วรอให้เราเลือกคนที่เราคิดว่าเขาใจตรงกับเรา  แต่ถ้ามันไม่ใช่ ก็ต้องปล่อยมันผ่านไป”

“ผมเคยอ่านเจอว่า ความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับมุมมองของคนนั้นๆ”

“ถ้าความรักของผมคือการเปิดกว้างและปล่อยวาง ของคุณปองล่ะจะเป็นอะไร” ปองนิ่งคิดอยู่อึดใจ

“ทุกข์ ทรมาน”เสียงตอบนั้นแผ่นเบา ชายที่นั่งอยู่กับฟ่งขณะนี้ ช่างเปราะบางเหลือเกิน  เหมือนแก้วบางใสที่มีรอยร้าวใหญ่ลึก หากมีสิ่งใดกระทบก็พร้อมจะบิ่นกะเทาะแตกหักอย่างง่ายดาย 

“คุณปอง....คุณปองว่า เมฆก้อนนั้นเหมือนอะไร”นายพทย์หนุ่ม ชี้ชวนให้ปองแหงนเงยมองท้องฟ้า ที่เปิดใสบ่งชี้ว่าฤดูหนาวอันยาวนานผ่านไปแล้ว เมฆกลุ่มใหญ่โดดเดี่ยวอยู่บนน่านฟ้านั้นลอยอ้อยอิ่งไม่รีบร้อน

“ก็เมฆ..”

“ใช้จินตนาการหน่อยคุณปอง”ฟ่งเย้า

“เหมือนก้อนสายไหม”

“ไม่สร้างสรรค์เลย  รองเท้าแตะต่างหากล่ะครับ”ปองเอียงศีรษะมองบ้าง อย่างไรก็ไม่เห็นเป็นรองเท้าแตะ

“ผมว่าเหมือนคนขี่จักรยานมากกว่า”ฟ่งหัวเราะเสียงดัง

“ คุณปอง ได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว  ยินดีด้วยนะครับ”

“ครับ?”

“คุณปอง ความรักอาจมองได้หลายมุมสุดแต่ใครจะมอง  แต่เราเลือกมุมมองที่ดีได้ไม่ใช่หรือครับ?”ปองหัวเราะ ออกมาบ้าง

“นั่นสินะครับ แล้วผมจะลองดู”

วันนี้เวลาเช้าเกือบจะสาย นายแพทย์หนุ่ม ได้ชี้ให้ปองเห็น ว่า มองต่างมุมเป็นอย่างไร เมฆก้อนหนึ่งคนมองไม่เหมือนกัน ประสาอะไรกับความรักที่มีแง่มุมผิดแผกแตกต่างกันออกไป หากสุดท้าย ขึ้นกับใครจะเลือกมุมมองใด มุมที่เป็นสุขรื่นย์ร่มในหัวใจ หรือมุมอันหยิบยื่นความทุกข์กลัดกร่อนจิตใจ   ปองยิ้มให้ตัวเอง รู้สึกยินดีกับการตัดสินใจเมื่อคืนนี้ ที่เขาบอกให้ใครคนหนึ่งรับรู้







         ยามราตรีโรยตัวอ่อนพลิ้วในอีกซีกโลกหนึ่ง อากาศอบอุ่นอย่างเพิ่งย่างเข้าฤดูร้อน นำพาสายลมเอื้อยๆเย็นกำลังสบายพัดไปทั่วบริเวณ  หม่อมเจ้าภูมิรักษ์ยังทรงอักษรในห้องทรงพระอักษรแม้ล่วงเลยเวลาหัวค่ำมามากแล้ว  เป็นหน้าที่ของฐากูรที่จะคอยทูลเตือนหากเวลาล่วงเลยไปเกินควร  เช่นเดียวกับคืนนื้  อาจเป็นเพราะหนังสือใหม่จากฝรั่งเศสกำลังเป็นที่สนพระทัยเกินกว่าจะวางได้ลง

“ขอประทานอภัยกระหม่อม  เสด็จเข้าที่บรรทมเถอะกระหม่อม”

“อีกสักพักเถอะ  ฉันยังติดใจนัก” ดวงเนตรนั้นไม่ได้เหลือบแลขึ้นมองคนทูลเตือนแม้แต่น้อย

“ดึกแล้ว กระหม่อมเห็นว่าระยะนี้ทรงแข็งแรงขึ้น เลยมาทูลเตือนช้าไปเกือบชั่วโมงแล้ว  เสด็จเข้าเถอะกระหม่อม” น้ำเสียงฐากูร ฟังดูเป็นอาการคล้ายๆร้อนใจ  ท่านชายจึงเลิกทรงพระอักษร

“เอ้า ก็ได้ ฉันนอนก็ได้ อ้อ...พรุ่งนี้วานส่งจดหมายให้ฉันหน่อยเถิด”ชายหนุ่มรับซองจดหมายขาวสะอาดนั้นมาถือไว้ด้วยความเคารพนอบน้อมยิ่ง  พลางอมยิ้มน้อยๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าจดหมายซองนี้จะไปถึงใคร

“ครั้งที่แล้วคุณพิรุณาส่งจดหมายมาเป็นปึกใหญ่ ท่าทางจะลายมืออ่านง่าย เพราะไม่ทรงเรียกหาให้กระหม่อมช่วยอ่านถวาย” ฐากูรช่วยประคองท่านชายเดินช้าๆไปยังห้องติดกัน

“เขียนตัวใหญ่มากเชียวล่ะ  ซ้ำยังโย้ไปเย้มา ไม่ต้องใส่แว่นก็ยังเห็น” ยามตรัสถึงพิรุณา ดวงเนตรนั้นจะแลกระพริบพราว

“ลองอ่านดูบ้างไหม มีเขียนถึงเธอเสียด้วย”

“กระหม่อมได้เป็นการส่วนตัวมาด้วยฉบับหนึ่ง”

“เขียนว่าอย่างไรหรือ? บอกได้ไหม?”

“เขียนว่าให้กระหม่อมเลิกทำหน้า ‘นิ้ว’ คิ้วขมวด เพราะดูไม่ ‘หลอ’ ”ดวงหน้าละม้ายพิรุณา แย้มสรวลขบขัน  แววแห่งความรมย์รื่นฉายชัด

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขยันคิ้วขมวดเขาเถอะ หน้าเธอจะได้ไม่เป็น ‘นิ้ว’ หรือ ‘หลอ’ ”ฐากูรช่วยประคองท่านชายให้บรรทมสบายขึ้น ก่อนจะตรวจตราความเรียบร้อยของพระแท่นบรรทม

“กระหม่อมว่า ทำหน้าเฉยเหมือนเก่าดีกว่า” 

“ฐากูร ฉันฝากเธอดูแลตระเตรียมห้องไว้ให้พิรุณาเถอะ เขาสัญญากับฉันว่า ถ้ามีเวลาเมื่อไหร่จะมาเยี่ยม”ฐากูรรับคำอย่างนอบน้อมเช่นเคย

“เธอสังเกตไหม ว่าพิรุณา มีหลายสิ่งในตัว ที่น่าสนใจ”

“กระหม่อมคิดว่าคุณพิรุณาซับซ้อนเกินกว่าใครจะเข้าใจเขาได้ปรุโปร่ง กระหม่อมเชื่ออย่างนั้น” ท่านชายแย้มสรวลเบาบาง

“แต่เราก็นึกนิยมในตัวเขา อย่างที่เขาเป็น  แม้จะรู้ว่าไม่อาจแข้าถึงได้ในทุกแง่มุม  ดึกแล้วเธอก็ไปนอนเถอะฐากูร” ท่านชายตรัสแล้วหลับพระเนตรลง ชายหนุ่มรับคำแล้วกลับออกไปอย่างเงียบเชียบ เหลือเพียงเสียงแห่งราตรีกาล ขับกล่อม ท่านชายดำริหลายสิ่ง จนถึงสุดท้ายก่อนเสด็จสู้ห้วงนิทรารมย์

พิรุณา ซับซ้อนจริงอย่างที่ฐากูรคิด นี่อาจเป็นเหตุผลทำไมพิรุณาถึงไม่ยอมรับศักดิ์ใด นอกจากน้ำจิตน้ำใจของฉัน ที่น้อมรับไว้อย่างเคารพยิ่ง


หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 20-04-2008 19:23:16
แว๊บมาอ่านพิรุณาก่อน แต่มันน้อยไปหน่อยไม๊จ๊ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 20-04-2008 19:28:58


เเบ่งสามเลยเร๊ออออ~ o7
ช่วยยืดเวลาดอง เอ้ย ช่วยให้มีอ่านกันได้เรื่อยๆเน๊อะ... :m29:


 :a1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 20-04-2008 19:44:05
ไม่อยากให้ตัดยิบย่อยก็เอาตอน 18 มาไวๆจิคุณน้อง  :oni3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 20-04-2008 22:45:32
นั้น ข้างบนมีการแฉ ............... ยังกับรายการแฉแต่เช้า
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 21-04-2008 06:51:11
เข้ามาอ่าน และรออ่านต่อ ....


ขอบคุณมากครับที่นำมาลงไว้

สั้น และ น้อยสักนิด แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่มีอะไรเลย  :m23:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 21-04-2008 10:15:07
เย่ๆๆ

มาต่อแล้ว

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: yukisaki ที่ 21-04-2008 10:52:53
รอต่อๆๆๆ

 :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 22-04-2008 18:47:54
เข้ามาอ่านช้าอีกเเล้ว  :serius2:

ช่วงนี้ติดเกมอย่างแรง

มีใครเล่นไหมคะ ghostonline   :a3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-04-2008 19:38:15
ตามอ่านทันอีกแล้ว  เย้ๆ
น่ารักกันหมดเลยอะ  ชอบทุกตัวละคร  ดูมีเหตุมีผลดี  ไม่เว่อร์ 

รออ่านต่ออยู่น้า 

ปล  ทู้นี้จิ้มกันน่ากลัวจิงๆ  คราวโน้นโดนน้องโน๊ต(ใช่ปะ)จิ้มไป  ยังไม่ได้จิ้มคืนเลย ยังเจ็บตูดไม่หายเนี่ย เอิ๊กๆ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 25-04-2008 20:54:47
^
^
^
^
งั้นเอาไปอีกดอกครับพี่ จะได้ชิน  :laugh:














แป่วตกมาหน้าใหม่ซะแล้ว แต่ม่ะเปงไร จิ้มข้ามหน้าแล้วกัน .. อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-04-2008 21:23:02
^
^

จิ้มคืนได้มะ  5555555555555 (คราวนี้ไม่ข้ามหน้าด้วยเฟ้ย)
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 25-04-2008 21:45:56
^
^
เง้อ !!!


ไหนก็มาล่ะอัพต่อเลยเน๊าะ  :m32:
-----------------------------------------------------------------------------------------------------


         ธีรธรมองออกไปนอกระเบียงบ้านพิรุณา เห็นเจ้าของบ้านกำลังอาบน้ำให้เจ้าหมาเป็นการใหญ่   มือนวลนั้นฟอกแชมพูสำหรับสุนัขให้เจ้าหมาเสียจนฟองฟอดไปทั้งตัว  ในขณะที่เจ้าหมาท่าทางพอใจกับการอาบน้ำให้ของนายที่ห่างหายไปนาน มันหลับตาเหมือนเพลิดเพลินเสียเต็มประดากับการถูกขัดถูนวดแรงๆไปตามเนื้อตัว  ธีรธรเท้าคางกับระเบียง เฝ้ามองทั้งคู่อย่างเงียบๆ  คิดอะไรหลายอย่าง เรื่องงาน เรื่องครอบครัวเบื้องหลัง เพื่อน และพิรุณา  พิรุณาอาบน้ำให้เจ้าหมาเรียบร้อยแล้วจึงค่อยๆเดินช้าๆ กลับมาที่ตัวบ้าน  ส่งยิ้มบางๆให้ธีรธร  ธีรธรยิ้มรับชั่ววินาทีที่พิรุณาจะเดินจากไป มือแข็งแรงนั้นจับมือนวลนั้นไว้ด้วยสัมผัสอุ่นร้อน แล้วประทับริมฝีปากลงบนมือนั้นเบาๆ แล้วปล่อยให้พิรุณาเดินไป พิรุณาเงียบหายไปห้องด้านในครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมชุดใหม่ แล้วนั่งลงหน้าเปียโนอัพไลท์สีแดงเข้ม ที่ตั้งริมระเบียง  มือสวยและนิ้วเรียวยาว กดลงบนคีย์อย่างบรรจง เสียงไพเราะเป็นเพลงสบายๆ เรียกรอยยิ้มให้ผู้ฟัง โลกของเขาสงบลงเหลือเพียงเสียงแว่วหวาน  ธีรธรมองดวงหน้านวลๆนั้น ดวงหน้าไม่แสดงอารมณ์ หากดวงตาคู่สวย ฉายประกายครุ่นคิด บางสิ่งในใจ พิรุณาเป็นคนประเภทที่ต้องการเวลาสำหรับครุ่นคิด และชอบที่จะอยู่กับความคิดตัวเอง ดังนั้นการออกปากเป็นห่วงเป็นใยมากเกินไปนั้นไร้ค่า  เขาเพียงอยู่ตรงนี้ ใกล้ๆพิรุณา ให้พิรุณาได้คิดไตร่ตรองเงียบๆโดยไม่เดียวดาย  

“อะไรนะ เอ็งบอกว่าเอ็งไม่รู้ว่า น้องน้ำฝนคิดยังไงกับเอ็ง!” เสียงเพื่อนที่ปลายสายร้องจนชักโทรศัพท์ออกจากหูแทบไม่ทัน เมื่อครั้งที่เขาพูดคุยกับเพื่อนสนิทที่อยู่อีกซีกโลก เมื่อไม่นานมานี้

“น้องน้ำฝนนี่ใครวะ?”

“อ้าว ก็ อนาคตแฟนเอ็งไง กวนอีก” คำผรุสวาทมากมายตามมาไม่หยุด

“เฮ้ย เขามีชื่อ”

“แล้วทำไมไม่รวบหัวรวบหางเสียละ”

“คนนะไม่ใช่แมว”ธีรธรพูดพลางหัวเราะ 

“ยังมามุข เดี๋ยวพ่อเพ่นกบาลให้” แน่นอนครั้งนี้สารพัดสัตว์ไม่น่าเลี้ยงยังคงคลานยุบยับออกมาจากเสียงปลายสาย

“พ่อ ข้ามีคนเดียว”

“ทำไมวะ ไม่กล้าหรอเอ็ง”

“ไม่ทำ  ไม่ใช่ละครน้ำเน่านะไอ้กลวง”ธีรธรว่าเข้าให้ เพื่อนที่ปลายสายหัวเราะ

“เฮ้ย แต่ข้าก็ยินดีกะเอ็งด้วยนะเว้ย ที่โรคเกลียดกลัวความสัมพันธ์ระยะยาวหายสักที”

“เออ  มันเหมือนกับที่เอ็งกลัวที่แคบไหมวะ”

“ไม่รู้ว่ะ แต่ที่แน่ๆ ข้าหายจากโลกกลัวที่แคบแล้ว”ธีรธรยังจำได้ ที่เมื่อสมัยเรียนด้วยกันนั้น เคยรวมหัวกัน จับเพื่อนคนนี้ ยัดลงไปในกล่องตู้เย็น  ดีที่เพื่อนของเขาไม่เป็นอะไรมากไปกว่าตระหนกตกใจ และเหงื่ออกมากชนิดท่วมตัว
 
“ยังไง”

“ไอ้โง่ กลัวคู่กับอะไรละ”

“เออ เอ็งฉลาด เอ็งเก่ง  มิน่าหญิงมีกี่คน ทิ้งหมด”ธีรธรว่า พลางได้ยินเสียงเพื่อนกล่าวคำผรุสวาทเหมือนเคย

           ธีรธรพอจะทราบ ความกังวลใจของพิรุณา   นักดนตรีก็เหมือนนักกีฬา พวกเขาซ้อมอย่างหนักให้พลักพร้อม   เพื่อพยายามสุดฝีมือเมื่อถึงเวลา ทั้งหมดนั้น เพราะใจรักโดยแท้  และการบาดเจ็บเรื้อรังมีผลยาวนาน การรักษาให้หายดีก็เช่นกัน เกือบเป็นไปไม่ได้  สำหรับคนที่ต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่อยู่ทุกวี่วันอย่างเขา ปัญหาข้อนี้ ไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนานหนักหนา แต่เขาไม่ใช่พิรุณา ไม่ใช่นักดนตรีมีประสบการณ์  ไม่ได้อยู่ในโลกของดนตรีอย่างลึกซึ้ง ไม่มีใครเข้าใจเรื่องของคนอื่นได้ดีเท่าของตนเอง  ทุกอย่างจึงขึ้นกับพิรุณาแล้วว่าจะเลือกอย่างไร   ความกล้านั้น ท้าทายพอไหมที่จะเสี่ยง  หรือ ยอมพ่ายแพ้ต่อความหวาดหวั่น แล้วตายไปพร้อมกับมัน  ธีรธรเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงเพลงเงียบหาย  เขาเห็นพิรุณา จ้องมองไปเบื้องหน้า  มือทั้งสองข้างวางบนหน้าขา  ก่อนจะหันมาทางเขาช้าๆ แล้วเริ่มทำภาษามือ

‘ผมตัดสินใจจะรักษา ทันทีที่คอนเสิร์ตสุดท้ายจบ’ ธีรธรยิ้มกว้าง  รู้สึกยินดีกับสิ่งที่พิรุณาตัดสินใจ



         นายแพทย์หนุ่มที่ทำงานอย่างหนักมาหลายคืนติดต่อกันนอนหลับลึกด้วยความอ่อนเพลียมากว่าสี่ชั่วโมงสะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นตามเสียงนาฬิกาที่แผดเสียงบาดหูสั่นไปทั้งห้องพักของเขา  ร่างสูงใหญ่อย่างชาวตะวันตกพลิกกายซุกหน้าลงกับหมอนพยายามไม่สนใจต้นเสียงนั้น  หากสุดท้ายก็ตัดสินใจเอื้อมมือออกไปกดปุ่นให้นาฬิกาปลุกเงียบเสียง  ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองฝ้าเพดานที่คุ้นตา นานช้าฝ่ามือแข็งแรงนั้นจึงยกขึ้นลูบหน้า  แล้วลุกขึ้นนั่ง หลายสิ่งในหัวหลั่งไหลประดังประเดเข้า จนนายแพทย์หนุ่มทิ้งกายลงนอนอีกครั้ง  เสียงเพลงดังสนั่นจากห้องของวัยรุ่นคนหนึ่งที่มักก่อกวนเพื่อนบ้านด้วยเสียงเพลงร๊อคหนักแต่เช้าเช่นทุกวัน พีทหลับตาลง คิดถึงเรื่องเมื่อคืน

“ ปอง ผมรักคุณนะ”พีทบอกสิ่งที่หัวใจของเขาพร่ำพูดมาหลายร้อยหลายพันครั้ง  เมื่อคืนนี้ ในห้องพักของปอง ที่มองออกไปเห็นสวนอันสงบเงียบท่ามกลางความมืดมิดเบื้องนอก  ดวงตาสีนิลนั้นมองตรงมาที่เขา

“ผมคิดว่า ผมได้ยินคำนี้จากปากคุณมาซักร้อยครั้งได้แล้วมั้ง ....พีท”  นายแพทย์หนุ่มผงะ ปองจำเขาได้แล้วหรือ

“จำได้แล้วหรือ?”
 
“จำได้มานาน  นานมากแล้ว  นานจนเหนื่อยใจจะจดจำ”ปองพูดเสียงเบา  พีทลากเก้าอี้ตัวใกล้มือมาข้างเตียงแล้วนั่งลง  กุมมือบอบบางนั้นไว้แผ่วเบา

“ผมไม่เคยจำคุณสลับกับวิล ไม่มีทาง ไม่มีทางแน่นอน”

“ปอง ผมรักคุณ  ให้โอกาสผมหน่อยได้ไหม?” ดวงตาที่จับจ้องปองนั้น วิงวอน ดวงตาคู่นั้นกำลังฟ้อง ว่าดวงใจข้างในนั้นเจ็บร้าวมามากมายแล้ว

“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ?” พีทเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง รู้สึกเจ็บกับคำพูดนั้น  เขาทำผิดมามากมายก็จริง  แต่ปองไม่คิดจะยกโทษให้เขาบ้างหรือ

“ผมอยากได้โอกาส  ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น  ถ้ามันไม่สำเร็จ ผมจะไปให้พ้นจากคุณ  เราจะไม่ข้องเกี่ยวกันอีก”

“เราไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกัน.....เป็นการส่วนตัว” ดวงตาสีนิลนั้นสะท้อนเงาของเขาเองกลับมา 

“ผมอดทนไม่พอ หรือ  หรือว่าความผิดของผมที่มีต่อปอง มันเลวร้ายเกินกว่าจะให้อภัย  ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าปัญหาของเราอยู่ตรงไหน  ผมสับสน เห็นทุกอย่างมีปัญหาไปหมด”

“คุณอดทนมาเกินพอแล้ว อย่าทำเหมือนเด็กที่ทุรนทุรายกับการอยากครอบครองเลย” ปองพูดเบาๆ เบือนสายตากลับไปที่สวนเบื้องล่าง น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ไร้เยื่อใยใดๆเช่นเคย

“เราต่างหลงอยู่กับเงาอดีต  อดีตที่จับต้องไม่ได้”พีทรับฟังอย่างเงียบๆ   ความเงียบโรยตัวอ้อยอิ่ง  กดทับคนทั้งสองให้จ่อมจมในความมืดมิดของจิตใจ

“เราทำร้ายกันมามากแล้ว  ถึงเวลาที่ผมควรจะยอมปล่อยมือแล้วไปได้แล้วใช่ไหม?”น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา ไม่มีความมั่นคงใด หลงเหลืออยู่ในน้ำเสียงนั้นอีกต่อไป

“ผมให้คำตอบอะไรไม่ได้” พีทถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นยืน จบแล้วทุกอย่างจบลงที่นี่ ตรงนี้ พร้อมกับหัวใจที่พังยับเยิน  ชายหนุ่มพยายามจะกลั้นความรู้สึกในหัวใจอย่างเงียบๆ  ความรักที่ใช้เวลายาวนาน พอกพูนความเจ็บปวดทุกข์ทน เวลานี้ มันมาถึงที่สุดแล้ว

“ผมต้องการเวลา  ตราบใดที่วิลยังอยู่ในใจผม  ไม่มีทางเลยที่ผมจะให้ใครเข้ามาได้อีก โดยเฉพาะคนที่เหมือนเขาราวพิมพ์เดียว  คนเราจะรักกันต้องมีความจริงใจ  รักในตัวเขาอย่างสัตย์ซื่อไม่ใช่หรือ” ดวงตาสีนิลนั้นเป็นประกายวาวด้วยหยาดน้ำ  บัดนี้ดวงตาคู่นั้นไม่ได้เฉยชาอีกต่อไป มือขาวเกือบซีดนั้น ยกขึ้นปาดน้ำตาที่หยาดหยด

“ใครแทนใคร ไม่ได้หรอก  ถ้าคุณยังพอมีความอดทนเหลือให้ผมอีกสักหน่อย...”

“ปอง”

“ผมไม่รับรองนะว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น  ไม่ว่าคุณจะยังรักผมไหม หรือ ผมจะรักคุณหรือเปล่า”ปองตัดสินใจแล้วที่จะเสี่ยงก้าวเดินไปข้างหน้า ...ในหนทางที่ไม่มีใครรู้ ว่าข้างหน้าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น  


         พีทลืมตาขึ้นจ้องมองเพดาลพลางเงี่ยหูฟังเสียงเพลงที่ดั่งลอดเข้ามา  แม้ทุกเช้า คนส่วนใหญ่รวมทั้งเขาจะนึกรำคาญอยู่บ่อยครั้ง  หากวันนี้เขากลับเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ  เพลงที่ดังจากภาพยนต์เรื่องหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนนั้น กลับเรียกรอยยิ้มของเขา 


I dare you to move
I dare you to lift yourself up off the floor
I dare you to move
Like today never happened
Today never happened

Maybe redemption has stories to tell
Maybe forgiveness is right where you fell
Where can you run to escape from yourself?
Where you gonna go?
Salvation is here
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2CADB4FPA0&Autoplay=1
Switchfoot-Dare You To Move
OST.A Walk To Remember

         เพลงนั้นดำเนินมาถึงท่อนสุดท้ายแล้วจบลง  นายแพทย์หนุ่มลุกขึ้นบิดขี้เกียจเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตามร่างกาย   หมายใจจะอ่านหนังสือพิมพ์สักฉบับ ดื่มกาแฟสักถ้วย แน่นอน....กาแฟถ้วยนั้นคงอร่อยที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา 


------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนแล้วครับ :m13:
รอตอนต่อไปนะน้องเมศ  :oni3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 25-04-2008 22:16:36
มาลุ้น คู่ พีทกับปองครับ .... อยากให้สมหวังกันอย่า่งชัดเจน ไม่คลุมเครืออีกต่อไป
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 25-04-2008 23:49:37
พิรุณากับปองตัดสินใจได้ดีเยี่ยม  o13

ลองเผชิญหน้ากับปัญหาดู

อยากให้คู่พีทกับปองสมหวังกันไวไวจังเลย

แอบสงสารคุณหมอพีทอย่างแรง

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 26-04-2008 10:50:27
คิดถึงคนแต่ง :o8:
รักคนโพสท์ :กอด1:


ชอบเพลงด้วย :m1:


 :o12:แต่งานไม่เสร็จอ่ะ แปะไว้ก่อนนะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 26-04-2008 19:44:57
เอาใจช่วยคุณหมอพีท อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 26-04-2008 20:53:57
แอบสงสารหมอพีทอะ 

ยังคงรออ่านต่อน้า   มาให้ไวๆๆ  อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 02-05-2008 14:21:44
หายไปไหนอ่า

Where are you???

ยังรอให้ปองกับคุณหมอพีทสมหวังกันไวไว

รีบมาน้า  :o8:


 :L2:   :L2:   :L2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 17-05-2008 22:59:45
ทำไมไม่มาอัพซักที  :serius2:

คิดถึงพิรุณามากมาย

รีบมาต่อน้าคร้าบบ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 31-05-2008 23:00:50
 o7 ดีใจแทนพีท  ที่ได้รับโอกาส
แต่บอกก่อนนะปองห้ามใจร้ายด้วยล่ะ :a4:


รอกันต่อไปพี่น้อง :laugh:
ขณะนี้มีการทวงนิยายเมศไปทั่วในทุกกระทู้แล้ว :m20:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 01-06-2008 09:13:04
ดองงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ไม่ชอบกินของดองน่ะ คุณเมศ อิอิ (แซวๆ)
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-06-2008 10:30:25

เรื่องนี้หายไปไหนน้อ  ทั้งคนแต่งคนโพสต์

งอนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนส์
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 01-06-2008 21:13:56
คนโพสไม่หายจ้า วนเวียนอยู่ในบอร์ดนี่แหละ

แต่คนเขียนนี่..... :oni1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 02-06-2008 20:38:58
มาเยี่ยม จขกท.คร้าบ  :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 05-06-2008 22:10:20
where are you???

 :o12:   :o12:   :o12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 05-06-2008 22:47:52
เมศมารายงานตัวค่ะ(ว่ายังมีชีวิตอยู่)

ปัญหาอยู่ตรง....ไม่มีเวลา

เมศทำกิจกรรมรับน้อง เหนื่อย เครียดรายวัน เเต่สนุก ยอมค่ะ ฮ่าๆๆๆ

จะพยายามเขียนเรื่อยๆนะคะ

ขอโทษที่ดองหนัก  เเละขอบคุณทุกการเข้าอ่านเเละคอมเม้นต์นะคะ

ปล.วิดวะกลมเกลียว วิดวะกลมเดียว วิดวะขอเพียว  เสี้ยมน้องกันต่อไป ฮ่าๆๆๆ

ปล.เขียนไปได้ไม่กี่หน้าเอง ขอโทษด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 06-06-2008 00:25:51
 :m23: นานแค่ไหนก็จะรอครับ ... ติดซะแล้ว เรื่องนี้นี่  :m29:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 06-06-2008 10:18:11
  :a11: :a11: :a11:
ภาระกิจอันแสนหนักหน่วงของรุ่นพี่ทำให้น้องเมศสลบ :laugh:
มาให้กำลังใจค่ะ อย่าไปว๊ากน้องจนกลัวไปหมดนะ :oni2: :oni2:


ปล.อย่าลืมเสื้อพี่นะขอสองสีด้วย อยากเป็นเด็กวิดวะ :m1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 26-06-2008 21:14:39
INTERMEZZO   chapter# 18


         เคยไหมที่ตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่แล้วรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง  มันเงียบเหงาอย่างไรพิกลเมื่อรู้ว่าคนที่ใจคิดถึงไม่อยู่ใกล้กาย  รู้สึกบ้างไหมว่าความเงียบในหัวใจตัวเองน่ากลัว ธีรธรตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุก ลุกขึ้นทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำ  เขาออกจากบ้าน และเดินไปที่รถของตนลอบชะเลืองมองบ้านข้างๆที่เงียบสงบ ไม่มีใครอยู่... ความรักบนการเดินทางหรือ? ก็อาจจะใช่  ตารางงานที่เขียนอักษรย่อมากมายถูกแปะไว้บนขอบจอมอนิเตอร์ของเครื่องพีซีโต๊ะทำงานธีรธร ขณะที่เจ้าของห้องทำงาน กำลังดูตารางงานตัวเองเตรียมลงมือทำงานเหมือนเช่นทุกวัน  ชีวิตยังคงดำเนินไป ทว่าเหมือนเนิ่นช้ากว่าปรกติ  สามเดือนแล้วที่พิรุณาเริ่มเดินทางไปทำงาน  จากตารางงานนั้นแสดงแผนการเดินทางที่วุ่นวายเหลือเกิน ช่วงพักสั้นๆที่พอมีพิรุณาจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับทีมงาน ที่ออสเตรีย  ไม่มีการติดต่อกลับมาหาเขาโดยตรงแม้สักครั้ง  มีแต่ปองที่หลังจากสภาพร่างกายฟื้นคืนเต็มที่ ก็เตรียมบินตามไปสมทบกับพิรุณาทันที ธีรธรก็ยังงง แอบติดต่อกันอย่างกับไม่รู้ ว่ายังมีอีกคนรออยู่   มันน่าน้อยใจน้อยเสียเมื่อไหร่ แต่ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไปทำงาน ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ จะมีเหตุผลอะไร ที่จะไปน้อยเนื้อต่ำใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนั้น  อีกทั้งตัวธีรธรเองก็มีงานมากมายในแต่ละวัน เวลาจะเอาไปคิดเล็กคิดน้อย ย่อมน้อยเต็มทน โทรศัพท์มือถือสั่นพลางค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆไปบนของโต๊ะ  ธีรธรมองชื่อคนโทรเข้า นึกแปลกใจก่อนกดรับ

“บอสครับผมจะบินบ่ายนี้แล้วนะครับ มีอะไรฝากให้คุณพิรุณาไหมครับ?” ปองถามเสียงใสเมื่อบอสหนุ่มรับสาย

“ไม่มีหรอก ของที่อยากให้ใช่ว่าจะให้ใครเอาไปให้ง่ายๆ”

“เช่นอะไรครับ?”

“เอาน่าอย่ามายอกย้อน”ปลายสายหัวเราะเบาๆ ทำไมปองจะไม่รู้ว่าสิ่งที่บอสหมายถึงคืออะไร แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ของที่อยากฝากให้ไปนั้นเป็นของยากต่อการฝากคนอื่นนำส่ง

“แล้วนี่ไม่กลัวเครื่องบินบ้างหรือ?”

“ไม่หรอกมังครับ  ผมคิดว่าคงไม่น่ากลัว เขาว่ากันว่าเครื่องบินเป็นยานพาหนะที่ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้วนะครับ”

“อืม  งั้นเดินทางดีๆล่ะ”

“ฝากบอกอะไรคุณพิรุณาไหมครับ” ธีรธรเงียบไปอึดใจ

“ฝากบอกด้วยแล้วกันว่า เอ่อ...คิดถึง” ปลายสายได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นเบาๆ  คนฝากข้อความรู้สึกร้อนๆที่ใบหูอย่างไรชอบกล รู้สึกราวกับเป็นวัยรุ่นริรัก ทั้งที่ผ่านเวลาเหล่านั้นมานานหลายปี

“แล้วจะบอกให้นะครับ”ปองกล่าวตัดบทสนทนา  ธีรธรวางโทรศัพท์ของตนใส่ลิ้นชักข้างกาย  พอดีกับเสียงเคาะห้องเบาๆ เลขาสาวเยี่ยมหน้าเข้ามา พร้อมกับกาแฟหอมกรุ่น

“บอสเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?  หูแดงๆ”

“อ้อ ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ ขอบคุณสำหรับกาแฟ”

“ลีว่า บางที บอสน่าจะมาเข้างานสายกว่านี้หน่อยนะคะ  มาเช้าแบบนี้ ลูกน้องเกรงใจเลยต้องมาเช้าบ้าง”เลขาสาวแซวอย่างขบขัน

“ถ้าคุณลีจะมาสายกว่านี้อีกนิดก็ได้นะครับ เจ้าตัวเล็กกำลังโต จะได้มีเวลาดูแลมากขึ้นอีกหน่อย”

“ลีเกรงว่า ตัวใหญ่ที่ที่ทำงานจะไม่ดูแลตัวเองน่ะสิคะ”ธีรธรหัวเราะแก้เก้อ  ก็จริงอย่างที่เลขาสาวคุณแม่ลูกหนึ่งว่านั่นแหล่ะ เขาใส่ใจคนอื่นเต่ไม่ค่อยใส่ใจตัวเองมากนัก  เสียดายแต่คนที่ธีรธรอยากดูแลไม่อยู่ เลยได้เพียงโหยหาอยู่ลำพัง  ไม่รู้พิรุณาจะคิดถึงเขาบ้างไหม  กับคนที่เป็นคนรักก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิงแบบเขา หรือว่าธีรธรคิดมากไปเอง เขาเองก็ยังไม่มั่นใจ

“ผมจะพยายามดูแล้วตัวเองมากว่านี้ ตกลงไหมครับ?”

“ได้ยินอย่างนี้ก็เบาใจค่ะ  แหม คิดถึงคุณพิรุณาจังเลยนะคะ”

“ครับ”แค่คำตอบสั้นๆ ลีแอนเดาธีรธรได้ทันที พิรุณาคงไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย ทำให้บอสของเธอออกอาการหงอยอย่างชัดเจนเมื่อพูดถึง เธอทำได้เพียงถอนหายใจแผ่วเบา



         ปองนั่งรอเวลาเตรียมขึ้นเครื่อง  มองโทรศัพท์มือถือของตัวที่หน้าจอมีรายชื่อของใครอีกคน เพียงกดปุ่มเดียว เพียงแค่นั้นจะได้ยินเสียงเจ้าของชื่อ   หรือเพียงกดไม่กี่ครั้ง เขาคนนั้นจะหลุดลอยออกจากโลกของปอง...อาจเป็นตลอดกาล เสียงประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง  ทำให้ปองหลุดจาห้วงภวังค์  เขาปิดมือถือ หยิบกระเป๋าถือ เตรียมบอร์ดดิ้งพาสไว้พร้อม  ระหว่างต่อแถวรอขึ้นเครื่องนั้น ความคิดไพล่ไปถึงสิ่งที่คุยกับบอสเมื่อเช้า

“แล้วนี่ไม่กลัวเครื่องบินบ้างหรือ?” ปองเงียบไปอึดใจ ก่อนจะตอบไม่เต็มเสียงเท่าใดนัก

“ไม่หรอกมังครับ  ผมคิดว่าคงไม่น่ากลัว เขาว่ากันว่าเครื่องบินเป็นยานพาหนะที่ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้วนะครับ” ปองตอบทั้งที่ไม่แน่ใจแม้ขณะนี้เขากำลังเดินขึ้นเครื่องแล้ว ปองส่งยิ้มน้อยๆให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องที่ช่วยบอกทางไปที่นั่งของเขา

“ไม่สบายหรือเปล่าคะ  หน้าคุณซีดเหลือเกิน”พนักงานต้อนรับคนหนึ่งถามเมื่อเห็นสีหน้าของปอง ขาวซีดราวกระดาษ

“ผม..เอ่อ  ไม่เป็นไรครับ”ปองพยายามข่มใจให้เข้มแข็ง พยายามปัดความคิดนึกหวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป เขามองหาหมายเลขที่นั่งของตน  หมายเลข แถวเดียวกับเมื่อครั้งเกิดอุบัติเหตุ ปองกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

“เฮ้ ยืนเซ่อร์อยู่ทำไม เกะกะ”

“ขอโทษครับ”ปองกล่าว ก่อนจะแทรกกายเข้าไปนั่ง ที่นั่งริมหน้าต่าง มองออกไปเห็นปีก  ตำแหน่งเดียวกับที่เขานั่ง เมื่อครั้งนั้น  ความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจอย่างช้าๆ   ปองเลือกที่จะเปิดโต๊ะหน้าที่นั่งลงมา เท้าแขนแล้วเริ่มสวดภาวนา เหงื่อเริ่มไหลซึม ทั้งที่ในเครื่องอากาศกำลังเย็นสบาย

“คุณผู้โดยสารคะ ขอความกรุณาอย่าเพิ่งใช้โต๊ะนะคะ....เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ปองเงยหน้ามองหนักงานต้อนรับคนนั้น ทั้งที่ภาพตรงหน้าพล่าเบลอด้วยน้ำตา





         เคยรู้สึกฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวท่ามกลางความเงียบไหม  กังวลใจกับของบางอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ราวกับว่ามันล้ำค่านัก ทั้งที่ในยามปรกติ แทบไม่อยากมีไว้ใกล้ตัว เคยคิดมากกับแค่การพิมพ์ข้อความสั้นๆส่งให้ใครบางคน กว่าจะพิมพ์ได้สักตัวอักษรใช้เวลานานราวสะกดคำไม่คล่อง แต่แล้วก็ไม่กล้าส่ง  ธีรธรกำลังตกอยู่ในอาการเหล่านี้  เขาพยายามปรับสมดุลชีวิตตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอย เหมือนที่เคยเป็นมาเมื่อครั้งก่อนจะมีใครให้อยากเอาใจใส่ ทั้งทำงานหนัก เลิกงานดึก  ออกไปดื่มกับเพื่อน พยายามหาสิ่งน่าสนใจให้ตัวเอง แต่สุดท้ายก็เหลวหมดทุกทาง  เพราะสุดท้าย ความคิดยังคงวนเวียนถึงใครอีกคน  ธีรธรมั่นใจ ว่ารักพิรุณา....แล้วพิรุณาล่ะ?  ธีรธรถอดสูธสีเข้มโยนไปพาดพนักโซฟาอย่างลวกๆ รูดเนกไทโยนไว้อีกทาง แล้วนั่งลงบนโซฟา พาดขากับโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโทรทัศน์ สายตาเหม่อลอยหายห่างจากโทรทัศน์ที่ถูกเปิดไว้ด้วยความเคยชิน เสียงเพลงแจ๊สเบาๆ ดังขึ้นจากกระเป๋าเสื้อด้านในของเสื้อสูธสีเข้มที่ถูกพาดไว้อย่างไม่ใส่ใจ ธีรธร รีบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาเห็นชื่อคนส่งเมสเสจแล้วหัวใจพองฟูแทบคับอก  รีบกดอ่านข้อความพลางขมวดคิ้วไปกับ เนื้อความสั้นง่าย ‘พรุ่งนี้กลับ 2330 xx714’ หัวใจพองฟูนั้นกลับเหี่ยวแห้ง ลงทันตา  ธีรธรเกิดคำถามเดิมที่เกิดขึ้นใหม่ในใจ

ตกลงเราเป็นอะไรกัน? คนรัก ? เพื่อน? คนรู้จัก? หรือ....ไม่ใช่แม้สักอย่างบ

         
         ธีรธรยังคงพยายามทำตนดั่งปรกติ ทั้งที่ในใจมาดหมาย คืนนี้เขาจะทำใจแข็งคุยกับพิรุณา จะลองโกรธพิรุณาดูบ้าง     ความคิดฟุ้งซ่านคนเดียวเช่นนี้จะได้หยุดลงเสียที  ให้เขากลับมาเป็นคนเดิม คนที่มั่นคงและมั่นใจ   คนที่เป็นตัวของตัวเอง  คนที่คิดอ่านอย่างรอบคอบ   มิได้วิตกกังวลกับคนเพียงคนเดียวเช่นทุกวันนี้  แล้วหากผลของการเปิดอกคุยคืนนี้ ไม่เป็นไปตามสิ่งที่หวัง....ธีรธรยังตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าจะทำอย่างไร

         บอสหนุ่มเหลือบสายตาขึ้นมองนาฬิกา วันนี้เป็นอีกวันที่เขากลับบ้านเย็นกว่าปรกติ เรียกว่าดึกคงไม่ผิดนัก  ก่อนจะแวะลงไปชั้นล่าง ตรวจความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย ทักทายลูกค้าประจำรายใหญ่บางรายที่โฮตส์คลับด้านล่าง  และดื่มอีกนิดหน่อยพอให้รู้สึกอุ่น ก่อนจะขับรถกลับบ้าน  การจราจรยามค่ำคืนโปร่ง ธีรธรเลือกจะฟังเพลงเบาๆจากไอพอดแค่เพียงเสียบอุปกรณ์เพิ่ม เสียงเพลงเบาๆก็เริ่มขับกล่อมจากลำโพงรถยนต์  เทคโนโลยี ยิ่งทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเท่าไหร่  ความห่างไกลก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นง่ายดายมากขึ้นเท่านั้น  เสียงเปียโนกับเสียงนุ่มของนักร้องชายขับกล่อมแผ่วเบา   เนื้อความของเพลงนั้นซึมซาบโดยไม่รู้ตัว  ธีรธรยิ้มกับตัวเอง เพิ่งรู้วันนี้เองว่าทำไมคนเราถึงชอบฟังเพลง

คนเรามีความนึกคิดอย่างไร บทเพลงก็สะท้อนภาพเหล่านั้น ไม่มุมใดก็มุมหนึ่ง


         พิรุณาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาได้อย่างเรียบร้อยเช่นทุกครั้ง  สัมภาระมีเพียงกระเป๋าเป้ใบเดียวมันไม่หนักเกินกว่าพิรุณาจะแบก แต่สิ่งที่พิรุณากำลังคิดอาจจะหนักแทบแบกไม่ไหวเลยก็ว่าได้  พิรุณาเพิ่งทราบว่าปองไม่สามารถบินตามมาทำงานกับเขาได้ เพราะการเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาหมาดๆ ยังคงฝังใจ ในถานะนายจ้าง พิรุณาไม่ได้ว่าอะไร  เพียงแต่เป็นห่วงและกังวลเท่านั้นว่าปองจะยังสบายดีหรือไม่  พิรุณาเป็นห่วงหลายๆสิ่งรอบตัวเขา เรื่องงาน ที่ยกเลิกกะทันหัน เพราะเหตุความไม่สงบที่เกิดกับประเทศที่จะไปแสดง  แต่ที่ห่วงที่สุดคงจะเป็นเรื่องคน      การหายเงียบไปเฉยๆ หลายเดือน ไม่มีการติดต่อกันด้วยทางใดทางหนึ่ง โหดร้ายไปไหมกับคนที่เรารู้สึกดีๆด้วย  การติดต่อกลับไปแค่วันไหนจะกลับ เวลาไหน  ครั้งเดียวในรอบหลายเดือน จะดูใจร้ายไปไหม เพราะทำราวกับคนรับข้อความเป็นของตายกระนั้น นึกจะใช้ก็ใช้ นึกจะทิ้งก็ไม่เหลียวแล พิรุณายังคงคิดต่อไป พลางเดินไปทางประตูทางออก  เห็นคนมายืนรอที่ผู้โดยสารคนอื่นหนาตา แต่ไม่เห็นใครคนนั้น หัวใจเริ่มบีบตัวแรงๆทำให้รู้สึกวิบโหวงอย่างบอกไม่ถูก  ยิ่งกวาดตาไปไม่เห็นคนที่คิดอยากเจอยิ่งปวดใจ  เอาน่า...อาจจะติดงานมาไม่ได้  หรือไม่ อาจจะติดอย่างอื่น เลยมาไม่ได้  พิรุณาส่ายหน้าเบาๆขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป สูดลมหายใจเข้าลึกๆคล้ายการปลอบประโลมหัวใจตนให้ก้าวต่อไป 

“เดินดูทางด้วย” พิรุณาเงยหน้าขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาได้ยินน้ำเสียงของใคร เพราะเขาเห็นปลายรองเท้าคุ้นตาของใครอีกคน  หนึ่งในของไม่กี่อย่างที่พิรุณาเป็นคนเลือกให้  ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นฉ่ำชื้น มองเห็นชายหนุ่มตรงหน้าหอบหายใจน้อยๆ  ผมเผ้ายุ่งเหยิงจากการขยี้ของเจ้าตัว 

“ขอโทษที่มาช้า กลัวว่าจะหิวเลยไปหาซื้ออะไรมาให้รองท้องก่อน ลืมนึกไปว่าในนี้ไม่ค่อยมีของกินหนักท้องเท่าไหร่ เลยได้มาแค่นี้” ธีรธรยื่นช๊อคโกแลตให้พิรุณา  ดวงตาคู่สวยนั้นมองดวงหน้าคมสันนั้นด้วยดวงตาแดงจัด  ในลำคอตีบตัน เพิ่งเข้าใจวันนี้เอง  เวลาที่เหนื่อยทั้งกายใจการที่มีคนทำดีด้วยแบบนี้ รู้สึกดีขนาดไหน

“ไม่เอา อย่าร้อง อายเขานะ” พิรุณาพยักหน้า ยิ้มจางๆให้

“กลับบ้านกันนะ?” แทนคำตอบใด มือนวลนั้นจับแขนเสื้อคนตัวสูงกว่า แล้วเดินไปพร้อมกัน  พิรุณาลอบมองด้วยหัวใจที่รู้สึกผิดเหลือเกิน

“นั่งหลังดีกว่ามั้งจะได้งีบสักหน่อยก่อนถึงบ้าน?”ธีรธรรีบเปิดประตูตอนหลังของรถให้พิรุณา เมื่อเห็นว่าจะนั่งหน้า

‘นั่งหน้าก็ได้ จะได้ไม่เหงา”พิรุณาส่งภาษามือ ธีรธรยิ้ม  มือใหญ่ๆนั้นลูบศีรษะพิรุณาเบาๆ

“ งีบสักหน่อยเถอะ สีหน้าดูเหนื่อยเหลือเกิน”สุดท้ายพิรุณาก็ต้องยอม  เขานอนคู้อยู่ที่เบาะหลัง มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพลขับกิตติมศักดิ์ ที่ ปรับเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิไม่หนาวไม่ร้อนเกินไป หันมายิ้มเอ็นดู แล้วหันไปเปิดเพลง ก่อนจะออกรถ

พิรุณานึกต่อว่าตัวเองในใจ ว่าช่างใจร้ายเหลือเกิน…ขณะเดียวกันธีรธรก็นึกต่อว่าตนเองอย่างขบขันว่า ช่างใจอ่อนได้ง่ายดายเหลือเกิน


------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในที่สุดก็ได้อัพซะที o7
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 27-06-2008 09:19:49
 :o8:อ่านแล้วสัมผัสได้ถึงความคิดถึงของคนรักกันที่ต้องอยู่ห่างกันเลย


 :serius2:เหมือนคนอ่านคิดถึงคนแต่ง อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 27-06-2008 09:57:51
ดีใจจังไอ้อ่านนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน แล้ว

แต่ตอนนี้อ่านแล้วน้ำตาซึมเลยน่ะ พิรุณาใจร้ายอ่ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 29-06-2008 23:31:55
 :m1: ดีใจมากครับที่ได้อ่านเรื่องนี้ต่อ

คิดว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ตอนนี้

พิรุณาต้องเอาใจใส่ต่อความรู้สึกของธีรธรมากขึ้น

 :m13:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 30-06-2008 14:43:12
อ้างถึง
“ไม่เอา อย่าร้อง อายเขานะ”

คนแต่งบอกคนอ่านรึเปล่า  :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 05-07-2008 22:55:07
สงสารปองจัง กลายเป็นว่ากลัวเครื่องบินไปเลย

ทำไมมันโหดร้ายอย่างนี้เนี่ย นั่งแถวเดิมที่เดิม คนเเต่งใจร้าย  :o12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 06-07-2008 11:42:04
ช่วงนี้โดนว่าๆเป็นคนใจร้ายบ่อยมาก555 :laugh:

โดนว่าว่าใจร้ายจากหลายๆสาเหตุ เช่น จะฆ่าหรือทำร้ายตัวละครสุดเลิฟของบางคนบ่อยครั้้้ง(จากที่เคยเขียนลงเวบทั้งหมด เพิ่งตายไป2เองนะ :o8:)
จากการดองเค็มขนาดหนักมั่งล่ะ ...ซึ่ง ...เอิ่ม...อืมมมม...อันนี้ยอมรับความจริงเเบบพลิ้วไม่ได้ค่ะ o7

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์เช่นเดิม เเอบอยากเม้าท์ตัวเองว่า จริงๆเเล้ว INTERMEZZOวางกำหนดปิดเรื่องไว้ให้ปิดเรื่องภายในต้นเดือนนี้ เเล้วก็เลท5555+ด้วยหลายสาเหตุนะคะ(เรื่องนี้มันน๊อคปีเเล้วค่ะ :o)

ขอบคุณอีกครั้งที่ยังตามอ่านนิยายดองเค็มนะคะ :a11:


"ไม่เอา อย่าร้อง อายเขานะ"----->คนเขียนเอาไว้บอกตัวเองด้วยค่ะ เวลาลืมวิธีอัพ(ประมาณว่าดองจนมึนว่ามันอัพยังไงฟะ..) :เตะ1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 07-07-2008 00:11:38
จิ้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมเลย ดองเก่งนัก อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 18-07-2008 07:08:30
(ประมาณว่าดองจนมึนว่ามันอัพยังไงฟะ..)


ดอง...นานขนาดนั้นเชียว ....


ไม่นะ ไม่เอา อย่าทำ

 :serius2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 19-07-2008 00:51:45
อย่าดองเลยน้า :m13:

กลับมาเถอะนะคนเเต่งคนดี 


 :L2:   :L2:   :L2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 21-07-2008 21:39:40
เข้ามาให้กำลังใจคนแต่งกับคนโพส  จะตามอ่านให้ทั้นเน้ออออ

 :L2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 29-07-2008 21:49:58


         ปองผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงในห้องของตัวเองเหลือบมองนาฬิกาที่มีตัวเลขดิจิตอลค่อยๆเปลี่ยนไปช้าๆ  ยามค่ำคืนที่เงียบเหงาเช่นนี้ ทุกวินาทีที่ผ่านไปเชื่องช้าอ้อยอิ่งเสียเหลือเกิน  นั่นเองยิ่งยื้อความทรมานจากการนอนไม่หลับให้ยาวนานออกไป ทั้งที่ร่างกายอยากพัก แต่กลับหลับไม่ลง   ความคิดหลายอย่างมันตีกันอยู่ในหัว  โดยเฉพาะเรื่องอาการกลัวเครื่องบิน  อาจเพราะปองเอาแต่คิดเรื่องนี้ ทำให้ข่มตานอนไม่ลง  เขาเพิ่งรู้สึกกลัวที่สุดในชีวิตครั้งนี้เป็นครั้งแรก   ทำให้เขานึกไปถึงงาน หากเดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้แบบนี้  จะทำงานได้อย่างไร คุณพิรุณายังต้องเดินทางเช่นนี้บ่อยๆ แล้วเขาจะยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยได้อยู่อีกหรือ  ปองนั่งชันเข่าพลางแกะริมฝีปากตนเองเล่นด้วยความเคยชิน ทั้งที่รู้ แกะไปแกะมา เดี๋ยวเจ็บตัว

“โอ้ย!”  ในปากรู้สึกถึงรถเลือดจางๆ  ปองคลำหากล่องทิชชูจากหัวเตียง  ซับเลือดตัวเองพลางนึกถึงเรื่องเก่าๆ

“อย่าแกะปากเล่น”เสียงใครคนหนึ่งดุเข้าให้ ปองยังจำความรู้สึกอบอุ่นของปลายนิ้วที่ช่วยซับเลือดให้อย่างเบามือได้แม่นยำนัก

“ก็มันติดนิสัย”

“แก้เสียสิ”

“แก้ไม่ได้หรอก มันก็เหมือนที่วิลชอบเกาหัวเวลาคิดอะไรเพลินๆไง ระวังเถอะสักวันหัวจะล้าน”

“เท่ห์สิ สกินเฮด”ปองจำได้ว่าตัวเองหัวเราะพลางขยี้ศีรษะคนรักเล่น  โดยมีใครอีกคนเดินเข้ามาหาพร้อมกับแปรงฟันไปด้วย  ก่อนจะส่งลิปมันให้พี่ชายอย่างรู้หน้าที่ 

“จะได้ไม่เจ็บเวลาแผลเริ่มแห้ง” เสียงพูดนั้นอู้อี้เพราะพูดพลางแปรงฟันไปด้วย  ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

         ปองเบิกตากว้างตกใจกับความคิดของตนนี่เป็นครั้งแรกที่เมื่อคิดถึงอดีตแล้ว มีพีทร่วมในความทรงจำดีๆบ้าง  นี่เป็นสัญญาณบอกหรือเปล่านะว่า ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ปอง ‘พร้อม’ สำหรับการเปิดรับใครอีกคนเข้ามา......ยังหรอก....  เขามั่นใจว่า ทุกอย่างยังไม่ก้าวไปไกลกว่าการเปลี่ยนมุมมอง  อย่างที่ปองเคยสัญญากับตัวเอง ตราบใดที่คนที่อยู่ในใจคนนั้นยังคงฝังลึกในทุกห้วงคิด  ใครอีกคนที่ เหมือนเขาอย่างน่าตกใจนั้น จะไม่มีวันก้าวเข้ามาได้   ปองเชื่อ ไม่มีใครแทนใครได้  จนกว่าหัวใจจะพร้อมอีกครั้ง อาจเป็นเดือน  เป็นปี หรือหลายปี จนกว่าปองจะมั่นใจว่าพร้อมจะรักใครสักคนที่เนื้อแท้  ไม่ใช่ภาพลวงหลอกหลอนของเงาอดีต

         ปองตวัดผ้าห่มออกจากตัว เดินเท้าเปล่าเข้าไปในครัว หยิบแก้วน้ำออกจากชั้นวางอย่างเงียบเชียบแม้จะไม่ได้เปิดไฟ  เหลือบมองนาฬิกาพลางไพล่นึกถึงเวลาออกเวรของคุณหมอ ดวงตาดำขลับนั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง   ถนนโล่งมีเพียงแสงจากสัญญาณจราจรที่สะท้องพื้นถนนแฉะๆ  ปองดื่มน้ำอีกใหญ่ ก่อนจะสำลักพรวด! ชายร่างสูงพอประมาณ กับเสื้อแจ๊คเก็ตัวใหญ่สีเขียวเข้มเดินมาหยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน แล้วแหงนเงยมองขึ้นมายังหน้าต่างห้องนั่งเล่นของเขาก่อนจะเลื่อนสายตามาที่หน้าต่างห้องครัว  ปองหลบวูบ ซ่อนกายในความมืดลอบสังเกตพฤติกรรมคนที่อยู่ข้างล่างนั้น พีทเพียงแหงนเงยขึ้นมองส่งยิ้มให้ใครอีกคนที่ คงไม่อยู่ในห้องนั้น เพราะเขาได้ข่าวว่าปองจะเดินทาง ทั้งที่เขายังคงเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้   ลมหนาวยามค่ำคืนพัดเบาๆ หอบละอองฝนเบาๆให้กระจายสู่อากาศ พัดความหนาวเย็นให้เกาะกุมทุกชีวิต พีทเพียงแต่ยิ้ม ยืนอยู่ตรงนั้นอีกอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป....กลับสู่บ้าน ที่ไม่มีใครรอคอย

ปองมองชายคนนั้นไปจนลับจากสายตา พลางคิดทบทวนหลายสิ่ง ด้วยหัวใจที่สงบขึ้น





         ธีรธรมองคนตาปรือปรอย ที่นั่งดูทีวีอยู่ใกล้ๆ มือนั้นยังถือบะหมี่สำเร็จรูปที่กินไม่หมดเสียที มองดูข่าวต่างประเทศที่เกิดเหตุความไม่สงบจึงจำต้องยกเลิกคนเสิร์ตของพิรุณาไปอย่างน่าเสียดาย  เจ้าของดวงตาสีม่านราตรี แอบนึกยินดีในใจ  ดีแล้ว พิรุณาจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองสามวันก็ยังดี   ดวงตาสีม่านราตรีนั้น มองสำรวจคนนั่งเคียงใกล้อย่างพิจารณา  ผมสีน้ำตาลออกแดงนั้น เริ่มยาวเลื้อย  ดวงตาคู่สวยปรือปรอยด้วยความง่วงงุน  ข้อมือบางๆนั้น ยิ่งบางกว่าเมื่อครั้งก่อนไป ไปทำงาน กินนอนเต็มอิ่มไหม? เหนื่อยมากหรือเปล่า? คำถามเหล่านี้ ธีรธรตอบได้ด้วยตัวเอง เขาสะกิดพิรุณาให้หันมอง

“ง่วงแล้วก็ไปนอนเถอะ”พิรุณาพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ยอมลุกขึ้นเสียที

‘ขอดูทีวีอีกหน่อยดีกว่า’

“จะนอนบ้านตัวเองไหม? ระหว่างที่ไปทำงานเจ้าหมาย้ายมานอนบ้านนี้แล้วนะ” ธีรธรลองทำภาษามือผิดๆถูกๆประกอบดูบ้าง พิรุณาเพียงแต่มองอย่างขบขันในแววตา ก่อนจะส่ายหน้า

“งั้นหรือ” มือแข็งแรงนั้นขยี้ผมพิรุณาอย่างนึกหมั่นไส้น้อยๆ  พลางคิดว่าควรจะให้พิรุณานอนห้องไหน  เพราะห้องนอนสำหรับผู้มาเยือน ตอนนี้ก็แทบจะกลายเป็นห้องเก็บของไปเสียแล้ว ห้องนอนตัวเองรกอย่างกับรังหนู  ที่สำคัญ   ผู้ชายสองคนนอนเตียงเดียวกัน มันยังไงๆอยู่ชอบกล

‘ถ้าอย่างนั้น เตรียมนอนเลยดีกว่า’พิรุณาลุกขึ้นปิดโทรทัศน์ก่อนเดินไปมาในบ้านราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง ทั้งที่ น้อยครั้งเหลือเกินที่พิรุณาจะเข้ามาเหยียบบ้านนี้  ธีรธรที่เดินถือกระเป๋าเป้ของพิรุณามานึกสงสัยว่า พิรุณารู้ได้อย่างไร พอเห็นพิรุณาทำท่าจะเปิดประตูเข้าไป ก็จะร้องห้าม แต่ก็ไม่ทันแล้ว

         พิรุณามองสภาพห้องที่ไม่ได้รกอะไรหนักหนา เพียงแต่ดูจะวางของผิดที่ผิดทางไปบ้างเท่านั้น  บนเตียงนอน มีกองเอกสารวางเป็นตั้งเล็กตั้งน้อยประปราย   มีแก้วกาแฟที่หมดแล้วตั้งอยู่บนหัวเตียง ข้างกองถุงเท้า ที่มุมห้องมีกองเสื้อกองใหญ่ที่โยนสุมกันไว้  พิรุณากวาดสายตามองสภาพห้อง ก่อนจะมองเจ้าของห้องที่ เกาแก้มตัวเองอย่างขัดๆเขินๆ 

‘รกเสียไม่มีดี’พิรุณาส่งภาษามือให้อย่างหยอกล้อ

“ทราบแล้วครับๆ” ธีรธรกล่าวพลาง หยิบจับจัดของให้เข้าที่เข้าทาง พิรุณามองภาพนั้นอย่างขบขัน 

“อาบน้ำก่อนไหม? ...”ธีรธรเว้นประโยคหลังไว้ ว่าตนจะได้จัดข้าวของให้เข้าที่เขาทาง ไม่ได้มีเจตนาสิ่งใดลึกซึ้งมากมายไปกว่านั้น  พิรุณายอมไปอาบน้ำชำระกายแต่โดยดี  ก่อนจะพบว่า ห้องนอนนั้นคืนสภาพสะอาดเรียบร้อยได้ในเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พิรุณาเห็นเจ้าของบ้านเหงื่อโทรมกาย

‘เหงื่อออกเหมือนอาบน้ำเลย’ธีรธรหัวเราะ เมื่อพิรุณาทำท่ารังเกียจไม่อยากเข้าใกล้เนื่องจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว  และยิ่งขบขันขึ้นอีก เมื่อคนตัวเล็กใส่เสื้อตัวใหญ่กว่าขนาดตัวมาก

“ถึงกับรังเกียจกันเชียว” แขนแข็งแรงนั้นเอื้อมคว้าพิรุณา มือนวลๆนั้นผลักดันคนตัวใหญ่ให้อย่าเข้าใกล้

‘ไม่เอา  เน่าขนาดนี้ อย่ามายุ่ง’ เมื่อพิรุณายืนยันดังนั้น ธีรธรจึงไปอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่เช่นกัน

      
         ห้องนอนที่เคยรกรุงรังนั้นบัดนี้เป็นระเบียบเข้าที่เข้าทาง พิรุณาสำรวจห้อง กล้องติดเลนซ์ใหญ่ตัวหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างบรรจง พิรุณาทราบว่างานอดิเรกที่ธีรธรชอบนั้นคือการถ่ายภาพ ทว่ายังไม่เคยเห็นฝีมือกับตา ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั่งมองภาพที่ติดบนผนังห้องมากมาย กลับสะดุดตากับภาพโทนฟ้าอมเขียวหากมองใกล้ๆจะเห็นหยาดฝนที่เกาะพราวบนผิวหน้าของกระจกรถ เหมือนสายตาคนเราที่มองผ่านกระจกออกไป ไกลออกไปนั้น เป็นเสาไฟถนน ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว พิรุณายิ้มพลางไล้มือแผ่วเบาลงบนภาพนั้น ก่อนจะเดินชมภาพอื่นๆต่อไป  พลันสายตาเหลือบไปเห็นของที่วางอยู่หลังตู้หลังใหญ่ ในซองหนังสีดำที่ฝุ่นจับหนา  พิรุณานึกอยากรู้จึงปีนขึ้นไปหยิบมันลงมา

   
         เสียงกีต้าที่ผิดเพี้ยนจากการไม่ได้ขึ้นสายทำให้ธีรธรสงสัย  นานแล้วที่บ้านนี้ไร้ซึ่งเสียงดนตรี นานแล้ว ที่เขาละเลยและเลอะเลือนกับการเล่นดนตรี ด้วยภาระหน้าที่ยุ่งและเหนื่อยอยู่ทุกวัน แค่ฟังดนตรีสักเพลงแต่ก่อนนั้นก็ยากหนักหนา  แต่เมื่อมีพิรุณาเข้ามาก็เหมือนเสียงดนตรีที่ดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงเจรจาวุ่นวาย  ดนตรีที่นับวัน เขาจะพยายามเงี่ยหูฟัง แม้ชีวิตจะวุ่นวายสักเพียงไหน  ธีรธรอ่อนจาง เมื่อเห็นพิรุณานั่งลงบนเตียงของเขา  ขานั้นไขว่ห้างโดยมีกีต้าวางบนหน้าขา มือนวลๆนั้นดีดพยายามให้เป็นเพลง  ทำนองกระท่อนกระแท่นนั้นเต็มที

“ทำไมเล่นแต่สายล่าง?”พิรุณาทำท่ายอมแพ้ ก่อนจะส่งภาษามือ

‘จำไม่ได้ว่าสายอื่นเสียงอะไรบ้าง  เล่นยาก  ตั้งสายเองก็ไม่ได้  คุณธีเล่นได้ไหม?’ ชายหนุ่มไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่เดินเข้าไป รับกีต้าตัวนั้นมา ก่อนจะทรุดกายลงนั่งเคียงข้าง  ตั้งสายเพียงไม่นานก็เป็นอันใช้ได้

“อยากให้เล่นหรือ?” พิรุณาพยักหน้าแรงๆ แล้วใช้มือทัดเส้นผมที่เปียกลู่ไว้หลังหู  ราวกับตั้งใจฟังเต็มที่

“ได้ยินหรือ?” ดวงตาสีม่านราตรีนั้นฉายประกายเป็นกังวล 

‘ดนตรี ไม่จำเป็นต้องเสพย์สุนทรียรสผ่านทางหู  มนุษย์เรารับรู้ได้หลายทางก็จริง จะใช้ตา ใช้มือ หรือใช้หูก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก  สำคัญที่ใช้ใจเสพย์ความสุนทรีย์ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว’ ธีรธรยิ้มเอ็นดู คนท่าทางอ่อนเยาว์จริงแท้มิได้ไร้เดียงสาเลย แม้แต่น้อย

“ไม่ได้เล่นมาหลายปีแล้ว  จะเล่นละนะ”พิรุณาปรบมือ แล้วย้ายลงมานั่งกับพื้นแทน  ธีรธรยิ้มเขินๆ แล้วลองขยับนิ้วจับคอร์ตบางคอร์ต


         นิ้วแข็งแรงนั้นกดลงบนสายบนช่วงเสียงต่างๆ ในตอนเริ่มมันดูไม่มั่นคง และไม่แน่ใจ ต่อมาทำนองจึงเริ่มมั่นคงและมั่นใจขึ้น  พิรุณามองมือแข็งแรงนั้นที่กดไล้ไปตามสายกีต้าเบาๆ ดวงตาสีม่านราตรีนั้นเป้นประกายพราวชวนมอง  เมื่อไรที่สบตากระแสบางอย่างมันจะเล่นเข้าสู่ใจ  พิรุณาเห็นว่าปากหยักสวยของนักดนตรีจำเป็น กำลังขยับ  คำร้องอ่อนหวานกำลังพลั่งพรู และเอ่อล้นทุกห้องใจ  พิรุณาเสียดายเหลือเกิน  เสียดาย....ที่ไม่อาจได้ยินเสียงนั้น  มันจะทุ้มนุ่มนวลไหม  เสียงหล่อหรือเปล่า   พิรุณาได้แต่เดา และจดจำ ‘ภาพ’ ตรงหน้าไว้ 

“อ้าว..เล่นผิดเสียแล้ว” ธีรธรอุทาน พลางพยายามรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นใหม่ 

‘ขอเพลงๆ เอาเพลง save me from myself’ พิรุณาส่งภาษามืออย่างกระตือรือร้น ราวกับเด็กๆที่อยากให้เล่านิทานต่อ

“เพลงเมื่อกี๊ ยังเอาตัวไม่รอดเลย” ธีรธรตบฟูกนอนข้างตัวเบาๆ ให้พิรุณาขึ้นมานั่งด้วยกัน

‘ผมมีเพื่อนเป็นนักกีต้าคลาสสิคอยู่ คุณธีอยากคุยกับเขาไหม?’ ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นแลดูใสซื่อย์ จนธีรธรอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ มือแข็งแรงนั้น ลูบลงบนเส้นผมนุ่มเบาๆ

“ไม่เอา...คุยกับนักเปียโนดีกว่า” 

‘ว่ามาได้เลย’

“เหนื่อยไหม? เห็นต้องเดินทางตลอด”

‘ยิ่งทุ่มเทมาก ก็ยิ่งเหนื่อยมาก เป็นธรรมดานี่ครับ  แต่เหนื่อยแล้วมีความสุข ผมก็ยอม’ยามพูดถึงสิ่งที่รักดวงตาคู่สีน้ำตาลออกแดงนั้นพราวชวนมอง 

“แล้วมือล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ?” พิรุณานิ่งอยู่อึดใจ

‘ก็ไม่เป็นอะไรมาก’ธีรธรแค่มองท่าทางนั้นก็รู้  อาจไม่ถึงกับโกหก เพียงแต่บอกไม่หมดเท่านั้น มือแข็งแรงนั้น ค่อนจับมือนวลนั้นขึ้นเบาๆ

“แน่ใจหรือ?” พิรุณาอึกอัก ลุกลี้ลุกลน เหมือนเด็กถูกจับได้  ดวงหน้าคมสันนั้นยื่นเข้าไปใกล้ๆก่อนถามย้ำ

“แน่ใจหรือ?”

                               ยามพูดลมหายใจอุ่นๆกระทบผิวแก้ม เคลียเคล้าอยู่ใกล้หู นิ้วแข็งแรงนั้นจี้เข้าเอว พิรุณาสะดุ้งสุดตัวรีบปัดป้องมือนั้นออกจากตัว  ธีรธรหัวเราะ เขาไม่ยอมแพ้หรอก  มือแข็งแรงนั้นยังตามจั๊กจี้ราวีไม่เลิก พิรุณาดิ้นรนพลางหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล  เมื่อหยุดหอบหายใจด้วยกันทั้งคู่ เสียงเพลงเบาๆจากเครื่องเสียงในห้องครวญ เพลงช้า  เสียงกีต้ากระซิบหยอกเย้า  พิรุณาพลิกกาย หยิบรีโมตที่ตนนอนทับอยู่ ออกมา  ธีรธรหัวเราะ  ดวงตาเมื่อยามแลสบกันนั้น แฝงรอยอบอุ่นรักใคร่ไว้  ทว่าครั้งนี้ อะไรบางอย่างมันรบกวนหัวใจ  มันร้องร่ำอยู่ในอกราว กลองรัว  มือแข็งแรงนั้น จับมือนวลที่บางลงจากร่างกายที่ผ่ายผอมลงเล็กน้อย มากุมไว้แผ่วเบา ทุกสัมผัส อ่อนโยน แผ่วเบา ทว่าอุ่นร้อนจนน่ากลัว  ริมฝีปากหยักสวยนั้น แตะเบาๆลงบนข้อมือนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าลงบนรอยนูนผิดปรกติ ราวกับพยายามจะทำให้มัวเลือนหาย

‘ทำอะไร?’พิรุณายื้อข้อมือตนมากุมไว้เสียเอง  รู้สึกใบหน้าร้อนจัด ดวงตาสีม่านราตรีนั้นระยับชวนให้ลุ่มหลง

“เสกคาถา” ดวงหน้าคมสันยังเคล้าเคลียไม่ห่างหาย  พิรุณาทำตัวแข็ง

“ไม่ดีหรือ?” พิรุณาหลับตาแน่น  เมื่อรับรู้สัมผัสอ่อนนุ่มที่ใบหู  รู้สึกถึงหัวใจตัวเองเต้นหนักๆในอก   รู้สึกตัวอีกที พิรุณาก็นอนนิ่งอยู่บนที่นอนแล้ว  คนตัวใหญ่นอนหนุนร่างเขาราวกับพิรุณาเป็นหมอนข้าง   ใบหูนั้นแนบอยู่บนอกพิรุณา

“หัวใจเต้นแรงดีจริงๆ ถ้าไม่รู้ว่าเพราะอะไร คงนึกว่าไปเล่นไตรกีฬามา” พิรุณามองคนนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ตาเขียว  นึกอยากทำร้ายร่างกายเสียให้เจ็บ แล้วมันเพราะใครกันล่ะ!

“สังสัยมันคงตะโกนว่า รักคุณธีๆ จนเหนื่อย”ธีรธรหัวเราะกับมุขตัวเอง

‘เข้าข้างตัวเอง’ มือนวลนั้นหมายจะตบเบาๆลงบนเส้นผมสีดำสนิท  แต่มือแข็งแรงนั้นจับไว้เสียก่อน

“แล้วจริงไหมล่ะ?”  แทนคำตอบใดๆ ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงนั้นกลับฉายประกายร้ายๆออกมา  ก่อนจะพลิกร่างตนออกไปอีกทาง  ธีรธรมองตามอย่างงงงัน

‘ไม่รู้สิ’พิรุณาส่งภาษามือ แล้วชะโงกกายเหนือร่างสูงใหญ่นั้น  ริมฝีปากอ่อนนุ่ม สัมผัสกึ่งปากกึ่งแก้มอยางชักลังเล มืออบอุ่นนั้น ไล้นิ้วมือไปตามตีนผม ลามไล้ไปตามคอ

“เอียงซ้ายไปนิด แต่ก็โอเค ...หวานดี” ธีรธรยิ้มให้ก่อนจะเป็นฝ่ายมอบสัมผัสหวานที่รุ่มร้อนกว่าเก่าให้ 

ใครสักคนในกลุ่มเพื่อนเขาเคยพูดไว้  รักกับ ดิน ฟ้า ลม ฝน ต้องทำใจ เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างหนึ่งล่ะ สองคือ เดาทางเดาใจยากนัก  แต่หากลองได้รักแล้ว เชื่อเถอะ จะหลงเสียแทบงมงาย ....ธีรธรยังจำได้ วันนั้นหัวเราะเสียไม่มีดี พลางว่า ทฤษฎีนี้จะจริงหรือ  เพราะวันนั้นเป็นวันที่เขาเองยังไม่มี ฝน มาหล่อเลี้ยงหัวใจ เป็นวันที่ยังไม่มีใครให้ห่วงหา  แต่วันนี้ เห็นจะหัวเราะไม่ออกเสียแล้ว เพราะนอกจาก จะเป็นฝนที่หวานล้ำแล้ว ยังเริงร้อนและสัตย์ซื่อต่อความรู้สึกทุกการกระทำเสียด้วย ดังนั้นคำถามที่ธีรธรเฝ้าอยากถามใครอีกคน เป็นอันตกไป คำตอบมันติดอยู่กับใจนี่ล่ะ!!


          เสียงเพลงที่ไร้คนฟังยังครวญแผ่วเบา  เสียงหวานๆของนักร้องนั้น พ่ายแพ้ต่อเสียงกีต้าทุ้มนุ่ม ที่คล้อเคล้าหยอกล้อไวโอลินเสียงหวาน ให้สนองรับความสอดคล้องราวเสียงลมหายใจแผ่วเบา   ท่วงทำนองทุ้มนุ่มนั้นเป็นจังหวะเนิบช้าใจเย็น ราวหยอกเย้าให้ไวโอลินเพรียกหา   พอไวโอลินราเสียงกลับเป็นฝ่ายต้อนให้ต่างประสาน เฝ้ากระซิบกระซาบเคลียเคล้าแลกเปลี่ยนความละมุนหวานแก่กันราวเกรงว่า ต่างจะลืมถ้อยสำเนียงอ่อนหวานนี้ ว่ายวนเย้าอ่อนโยนถึงเพียงไหน   ท่วงทำนองเหล่านี้ยังคงบรรเลงต่อไปท่ามกลางราตรีอันพร่างพราวด้วยแสงสุกสกาวของดวงดาว จวบจนเหล่าดวงดาวเหล่านั้นเหนื่อยล้าจึงเงียบหายไปกับกระแสลม



         
         นิ้วเรียบที่ตัดเล็บสั้นรียบติดเนื้อกดลงบนแป้นคีย์เบาๆ เสียงโน้ตเพียงตัวเดียวดังขึ้นตามค้อนไม้ กลไกภายในดีดตัว  พิรุณาจดจ่อกับการกดโน้ตทีละตัว  การเล่นดนตรีของพิรุณาเหมือนกับการออกกำลังกาย ทุกครั้งเขาจะเล่นเบาๆด้วยเพลงบทง่ายๆ หรือการไล่สเกลจากง่ายไปยาก อาจเพราะการขยับนิ้วให้ได้ดั่งใจชักจะยากขึ้นทุกที  นิ้วเรียวยาวนั้นกดลงแผ่วเบา บรรเลงเป็นท่วงทำนองหวานๆทว่าเล่นง่ายๆ รู้สึกปวดนิดที่ข้อมือ แต่นี่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น พิรุณาทราบดี ว่าของจริงนั้นเจ็บปวดและชวนตกใจกว่านี้ขนาดไหน  นิ้วเรียวที่กดลองบนแป้นคีย์อย่างแม่นยำนั้น อยู่ๆก็ค้าง ด้วยอาการนิ้วหัวแม่มือขวา ไม่สามารถขยับได้มันซ้อนอยู่กับฝ่ามือราวกับมีกาวติด ยังความเจ็บปวดมาให้ ....นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เป็นแบบนี้  พิรุณามองนิ้วตัวเองที่อยู่ในลักษณะผิดธรรมชาติอย่างปลงๆ พลางใช้มืออีกข้างพยายามง้างนิ้วออกมา

“ตื่นเช้าจัง” แขนอบอุ่นแข็งแรงนั้นโอบล้อมรอบกาย  พิรุณาตกใจรีบใช้มือกุมมือข้างดีกุมมืออีกข้างไว้ ด้วยเกรงว่า ธีรธรจะตกใจ

“มีอะไรหรือ?ทำไมทำท่าตกใจ” พิรุณาส่ายหน้าแรงๆ

“แล้วมือเป็นอะไร?” มือแข็งแรงนั้น จับเบาๆอย่างขออนุญาต ดวงตาคู่นั้นมองสบตรงๆด้วยแววตาที่พิรุณาเห็นเมื่อไร ต่อให้ความลับใหญ่แค่ไหน ก็เห็นจะปิดไม่อยู่   

“มือเป็นอะไรน่ะ!!  ไปโรงพยาบาลไหม?!!!”

‘ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวก็หลายแล้ว เพียงแค่นิ้วล๊อคเท่านั้น’ พิรุณาส่งภาษามืออย่างทุลักทุเล

“แล้วอย่างนี้ คอนเสิร์ตครั้งต่อไป จะไหวหรือ?”พิรุณาพยักหน้า

‘อย่าห่วงเลยครับ เดี๋ยวก็หาย ไม่ได้เจ็บอะไรมาก’ พิรุณา ยิ้มน้อยๆ ก้มลงใช้มืออีกข้าง กดลงบนหลังมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้  ธีรธรมองมือนวล ที่บัดนี้ มีเส้นเลือดปูดโปนมากมายอย่างสงสารรู้สึกตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่อยู่ด้วยกันตรงนี้ ใกล้กันถึงเพียงนี้

“ขอกอดได้ไหม?”พิรุณาพยักหน้า  วงแขนแข็งแรงนั้นโลบไล้แผ่นหลังโปร่งอย่างปลอบประโลม  พิรุณาหัวใจเต้นแรงกับคนที่นั่งซ้อนหลัง..คนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด...คนที่ในปัจจุบันนี้สำคัญที่สุด

‘คิดว่าความรักคืออะไร?’ภาษามือที่ไม่ค่อยถนัดนักถามคนตัวใหญ่ที่โอบร่างโปร่งนั้นไว้อย่างถนอม

‘ความผูกพันอันเหนียวแน่นของหัวใจและความรู้สึก ที่มีต่อใครสักคนอย่างจริงจัง’มือแข็งแรงนั้นทำภาษามือช้าๆ แม้จะผิดบ้างถูกบ้าง ทว่าจับใจพิรุณานัก

‘แล้วพิรุณาล่ะ’ พิรุณายิ้มบาง หันไปแตะริมฝีปากลงบนปลายคางอีกฝ่าย ธีรธรหัวเราะอย่างเอ็นดู

‘ถ้าชีวิตเหมือนอุปรากรสักเรื่อง ความรักก็เหมือนเพลง Intermezzo เป็นแค่เพลงสำหรับสลับฉากที่สวยงาม  มันไม่ใช่ส่วนใหญ่ของชีวิต  เพียงแต่มันแทรกสอดเข้ามาเพิ่มสีสัน ความหลากหลายให้  ทั้งสุข ทุกข์ปะปนกันไป  และในเวลานี้คุณธีเป็นคนบรรเลงมันให้ผมฟัง’

“แล้วเพราะไหม?” พิรุณาทำท่าคิดหนัก

‘ไม่ทราบเหมือนกันสิครับ’พอเห็นธีรธรทำหน้าเศร้าๆ พิรุณาจึงรีบส่งภาษามือต่อ

‘รู้แต่ตอนนี้ ชอบที่สุดเท่านั้น’ ธีรธรเบิกตากว้าง คว้ามือนวลนั้นไว้ ทั้งสองข้าง

“หายแล้วนี่!  ยังเจ็บอยู่ไหม?” พิรุณาส่ายหน้า พลางมองมือ ที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะผิดธรรมชาติอีกต่อไป ก่อนจะนึกขึ้นได้หยิบกระดาษอาบมัน สีครีมที่มีตัวหนังสือสีน้ำตาลออกแดง ให้ธีรธร

‘ตั๋วคอนเสิร์ตรอบสุดท้าย’ ดวงตาสีน้ำตาลแดงยามนึกถึง ‘วันสุดท้าย’ แฝงรอยหวาดหวั่น  ทว่าไม่ย่อท้อ ธีรธรพยักหน้า พลางกล่าวขอบใจ เขาแน่ใจว่าพิรุณาต้องรู้  ธีรธรคนนี้แม้ไม่อาจอยู่เคียงกาย แต่หัวจิตหัวใจนั้น อยู่เป็นกำลังช่วยผลักดันกันเสมอ

         พิรุณารู้ตัวดี การจะเป็นที่รักของใครสักคนโดยเฉพาะคนอย่างเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับทั้งคนที่ต้องการจะรักและคนถูกรัก  ความรักที่มั่นคงนั้น ไม่ใช่แค่รัก ส่วนผสมของมันซับซ้อนกว่านั้น เหมือนอาหาร ที่ปรุงอย่างไรถึงจะถูกปากคนทาน เหมือนบทเพลงที่ประพันธ์อย่างไรของจะเรียกว่าไพเราะอย่างเป็นตนเอง   ส่วนผสมอันเหมาะสมของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน  พิรุณาหวัง...ว่าความอดทนอันยอดเยี่ยมของธีรธรจะยาวนาน นานพอที่จะผ่านพ้นสิ่งที่พิรุณาผลักดันให้เกิด อดทน..ต่อไปอีกสักนิด  จนกว่า ‘หน้าที่’จะเสร็จสิ้น  แม้ ‘หัวใจ’ จะร้องร่ำด้วยความโหยหา   อดทนและรอ...จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย


จบตอนแล้วครับ  :m13:
หลังจากที่ผ่านการหมักดองเค็มมานาน
(พอกันทั้งคนแต่งคนโพสเลย :laugh:)
ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนที่มีให้ทั้งคนเขียนและคนโพสนะครับ :L2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-07-2008 22:37:33
อิอิ มาแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววว ตอนนี้น่ารักน่ะเนี่ย อิอิ

แต่รู้สึกตะหงิดๆว่า ต้องมีอะไรแน่ๆ เฮ้อออออออออออออ คนเขียนอ่ะชอบทิ้งปมไว้ให้เครียดนานๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 29-07-2008 22:37:53
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 29-07-2008 22:58:03
ตอนนี้หวานนะ.... แต่มันเศร้า ๆ อย่างไรไม่รู้  :m15:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 29-07-2008 23:28:04
ในที่สุดก็ได้ลง ฮ่าๆๆๆๆ ดองกันลืมเลยทีเดียว 

ตอนนี้เศร้าหรอคะ  ฮ่าๆๆๆๆ  ไม่หรอกน่า..นะ

ไม่เครียดๆ ต้องไม่เครียด  เรา ต้อง...จงชิล....(เครียดคะเเนนสอบอย่างเดียวพออย่างอื่น ต้องจงชิล) :laugh:


ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์เเละการเข้าอ่านเช่นเคยนะคะ

เมศร๊ากกกกกกทุกคนเลยยยยยย ฮี๊ววววว~:กอด1:




หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 30-07-2008 00:00:48
 :m13: หวานจริงๆๆๆเลยยย  นานๆๆมาที
แต่เหมือนๆจะใกล้จบไม๊เนี่ย หรือไงจ๊ะ...... :a4:
อีกนานไหมหนอจะมาลงต่อ :a1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 30-07-2008 22:27:24
^
^
^

ถามถูกใจน้องมากเลยเจ้  :laugh:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 02-08-2008 19:43:36
มันให้ความรู้สึกหวานๆเศร้าๆ ยังไงๆพิกล

อยากให้พิรุณาไปรักษาไวไวจัง   :o12:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 01-10-2008 15:19:49
มาหา จขกท  :L2: :L2: :L2:


หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 19.1
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 24-10-2008 02:08:45
^
^
^
^ :o8: :m1: :oni1:


INTERMEZZO   chapter# 19



         ปองแต่งกายเรียบร้อยด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำเช่นเดียวกับกางเกงแสลคสีเดียวกันแม้อากาศจะอุ่นขึ้นมากจากฤดูหนาวอันยาวนาน  เขามองสบกับเงาร่างของตนเองในกระจก  ก่อนจะเหลือบไปมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้าเตี้ยๆไม่ไกลจากกระจกบานใหญ่นัก ภาพคนสองคนกอดกันอย่างรักใคร่  ชาวเอเชียผู้มีผมและดวงตาแจ่มกระจ่างในรูปนั้น ดูช่างอ่อนเยาว์ ดวงตานั้นทอประกายรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง ปองยิ้มให้ตนเองเมื่อครั้งอดีตบางๆ ก่อนจะหันไปมองเงาสะท้อนในกระจก ชายชาวเอเชียคนเดียวกัน ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับไม่ฉายประกายแจ่มเหมือนคนในภาพ  อาจด้วยเพราะเวลาทำให้อายุล่วงเลย อาจเพราะอายุที่ล่วงเลยนั้นผ่านช่วงเวลาหลากหลาย  และอาจเพราะช่วงเวลานั้นพบเจอเรื่องไร้สุขมากกว่าความสุข   ปองคนที่เคยซื่อตรงและเปิดเผยต่อความรู้สึกอย่างคนมองโลกในแง่ดีจึงหายลับ..และไม่กลับมา  ปองหยิบของจำเป็น ก่อนจะเดินออกจากที่พัก นั่งแท็กซี่ออกจากตัวเมือง

         ปองทอดสายตามองแผ่นป้ายหินสลักชื่อของคนคุ้นใจไว้อย่างวิจิตร  ใต้ผืนฟ้าสีฟ้าสดใส เนื้อหินสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์เจิดจ้า  ทว่ารอบกายกลับเงียบงัน  ปองย่อกายลงนั่งยองๆ ไล่อ่านอักษรบนแผ่นหินนั้นราวกับจะจดจำทุกตัวอักษร แน่ล่ะ ปองจำได้ทุกข้อความ แม้แต่ตำหนิเพียงเล็กน้อยบนแผ่นหินนั้น ดวงตาสีนิลหยุดอยู่ที่ตัวเลขของวันที่ ...วันนี้เมื่อหลายปีก่อน  ปองวางดอกทานตะวันที่ได้จากร้านใกล้ๆลงหน้าแผ่นหินนั้น พลางนึกขำ ดอกทานตะวัน ไม่ได้เข้ากันเลยสำหรับสถานที่เช่นนี้  ทว่าทุกปีปองจะนำดอกทานตะวันช่อใหญ่มาวางไว้ เพราะเมื่อครั้งอดีต ปองเคยเปรียบใครคนนั้นเหมือนดอกทานตะวัน  คนที่สดใส ให้ความรู้สึกแช่มชื่น  คนที่เบิกบานไม่ชอบถือระเบียบพิธีการ  คนที่มักอ้างว่าโดดเดี่ยวแต่ไม่เคยเดียวดาย เหมือนทานตะวันที่มีดวงตะวันเป็นประหนึ่งสหายสนิท

“ตั้งกี่ปีมาแล้ว” ปองพูดเบาๆ มือนั้นไล้เบาๆลงบนรอยสลัก

“ลืมไม่ได้สักที และคิดว่าคงจะไม่ลืม” มือบางนั้น หยิบเศษหญ้าที่ถูกลมหอบพัดออก

“จำได้ไหม ช่วงที่เราอยู่ด้วยกัน  เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด มีความสุขมาก มากเสียจนคิดว่าความสุขนั้นจะเป็นของตัวไปอีกยาวนาน แต่ก็นะ.... ไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์” ปองพูดราวกับเจ้าของป้ายหินสลักนั้นนั่งอยู่ต่อหน้า มีเลือดเนื้อและจิตใจ ไม่ใช่เพียงร่าง  แน่ล่ะ..สำหรับปอง วิลยังคงมีลมหายใจในหัวใจของเขา

“ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดในชีวิต” ปองพูดประโยคเดิม ที่เคยกล่าว ณ ที่แห่งนี้ ในทุกครั้งที่มาเยี่ยมเยือน

“และขอบคุณสำหรับความอดทน” ปองกล่าวเบาๆ

“ได้ยินไหมพีท” ชายร่างสูงในสูทสีดำเรียบร้อย ยืนอยู่ข้างหลังเขาเมื่อไหร่นั้นปองเองก็ไม่แน่ใจ

“ได้ยินแล้ว” ความเงียบงันโรยตัวเชื่องช้า   พีทมองแผ่นหลังโปร่งบางตรงหน้าแววตาคู่นั้นฉายประกายครุ่นคิด

“เรื่องของเรา....เป็นไปได้ยากใช่ไหม?” ปองนิ่งมองป้ายหินนั้นอยู่อึดใจจึงพยักหน้าช้าๆ พีทอยากให้ดวงตาคู่นั้นหันกลับมามองเขาเหลือเกิน  ทว่ามันคงเป็นฝันที่ยากเหลือเกิน  เขาแพ้วิลเสมอ....แพ้พี่ชายราบคาบตั้งแต่วิลยังมีชีวิตอยู่ จนถึงตอนนี้ วันที่วิลจากไปเนิ่นนานหลายปี เขาก็ยังคงแพ้อย่างหมดทางสู้

“พีท...ผมไม่อยากให้คุณเอาเวลาทั้งชีวิตมาทุ่มเทที่ผม ชีวิตคนสั้นและยากจะคาดเดา  สักวัน...บางที คุณอาจมีคนที่อยากดูแลเขามากกว่าผม อยากให้ความรัก และได้ความรักอย่างเหลือล้นตอบแทน”

“แต่...”

“จะพูดว่า มันยังมาไม่ถึงใช่ไหม?” ชายหนุ่มพูดไม่ออก

“อย่าปฎิเสธเลย คนเราล้วนโหยหาความรัก  ผมนับถือความอดทนของคุณ  มันมาก...เสียจนผมรู้สึกอึดอัดและผิดบาป”

“ทำไมถึงเอาแต่ปฎิเสธผม ทั้งที่ผมเองก็ไม่ด้อยไปกว่าวิล  ผมไม่ดีตรงไหน! คุณถึงไม่เห็นค่าของผม”

“คุณไม่ได้ด้อยกว่าใครที่ตรงไหน เพียงแต่ความรักของผมมันยังคงฝังลึก อย่าดันทุรังอีกเลย เราจะเจ็บกันทั้งคู่ ...หรือเราเจ็บกันมาไม่พออีกหรือ?”พีทรู้สึกเจ็บในหัวใจ

“ลองคิดดูให้ดีนะ ชีวิตคนเรา แม้จะสั้น ทว่าหนทางยังอีกยาวไกล.....อีกอย่างคือ แก้วที่แตกละเอียด ไม่อาจเก็บกู้เศษซากมาประกอบให้ดีดังเดิมได้  คุณคงเข้าใจใช่ไหม?”  ปองไม่ได้เบือนหน้ากลับไปมองชายร่างสูงคนนั้น แต่เขารู้ น้ำตากำลังหยาดหยด  ทว่าดวงตาของปองกลับแห้งผาก อาจเพราะหัวใจข้างในอกนี้ หลั่งเลือดและน้ำตาอย่างเงียบๆมานานหลายปี
         
“คิดดูให้ดีๆ”น้ำเสียงนั้นทอดแผ่วเบาและอ่อนโยน  อ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น โอบรอบร่างปองจนเซนั่งลงกับพื้น เพียงอึดใจก็ปล่อย  ก่อนจะเดินจากไป  ทิ้งไว้แต่น้ำตาหยดใหญ่ที่อุ่นร้อน บนหลังมือบาง   ปองมองตามร่างนั่นจนลับสายตา

“วิล คุณรู้ไหม  พีทได้ทุนไปทำวิจัยที่ต่างประเทศ  น่าภูมิใจใช่ไหม? ผมรู้ว่าเขาจะไม่ไปโดยไม่มีผม ผมทำผิดหรือเปล่า?  นี่ดีสำหรับทั้งผมและเขาแล้วหรือเปล่า?   มันดีแน่ๆแล้วใช่ไหม?” ปองเฝ้าถามก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เพียงกระพริบตา น้ำตาหยดหนึ่งจึงร่วงริน  ตลอดเวลาปองรู้ ว่าตนเองไม่ได้แข็งแกร่ง และเจิดจ้าอย่างเพชร เหมือนพิรุณา  เขาเป็นเพียงแก้วใสบางที่มีรอยร้าวลึกจนเกินเยียวยาเท่านั้น


ใครที่เคยกล่าวไว้ ว่าความรักจะจืดจางเมื่อถูกเวลาเยียวยานั้น บัดนี้ปองได้พิสูจน์กับตนเองแล้วว่าคำกล่าวนี้ใช้ไม่ได้กับตัวเขา  ความรักอันจริงแท้....แม้ผ่านเวลาไปยาวนาน แม้ผู้เป็นที่รักจะจากไปแสนไกล ทว่าความรักยังคงฝังลึกในทุกห้วงขณะจิต  ราวกับต้นไม้ใหญ่ที่รากนั้นหยั่งลึกมั่นคง  แม้ความรู้สึกนั้นจะไม่ยั่งยืน แต่ปองเชื่อ...มันจะไม่ลบจากความทรงจำ


------------------------------------------------------------------------------------------------------

เศร้าง่ะ :sad2: :o12: :serius2:

สงสารปอง :a6:

สำหรับการเฝ้ารอ(คนแต่ง)อันยาวนาน

ในที่สุดตอนจบก็มา

เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะครับ

เอาไปเท่านี้ก่อนเดี๋ยวจะเอามาลงอีกครับ  :oni1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 24-10-2008 10:57:33
 :o12: ทำไมปองต้องปิดกั้นตัวเองขนาดนั้นด้วย
ที่จริงถึงแม้จะรับรักพีทก็ใช่ว่าใจจะต้องลืมวิลนี่นา
ความรักมันก็อยู่ในใจเราเสมอ  :m15:
แต่เราที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีความสุขด้วย o7
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 24-10-2008 12:53:39
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 24-10-2008 18:31:59
สงสารปองงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ที่จมอยู่กับอดีต
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 26-10-2008 15:24:55
ทำไมยังไม่มาลงอีก ได้ข่าวว่าที่อื่นลงแล้วนะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.1
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 26-10-2008 21:45:30
^
^
^
^
ต้องกราบขออภัยท่านพี่ เนื่องด้วยน้องไปเที่ยวกับที่บริษัทมาที่ ปราณบุรี ตอนนี้ปวดตามเนื้อตัวและไข้รับประทาน
แต่น้องก็สามารถมาลงให้ได้ครับ (เรียกคะแนนความสงสารสุดๆ)

เชิญรับชมกันได้เลยครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
         พิรุณามองเงาตนเองในกระจก พลางเสยเส้นผมด้านหน้าขึ้นให้ดูเรียบร้อยก่อนจะเลื่อนมือลงมาจัดคอเสื้ออกแข็งให้เข้าที่  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงในกระจกเงานั้นสะท้อนประกายเจิดจ้า  คนในเงาสะท้อนกระจกนั้นไม่มีเค้าของความหวาดหวั่นแม้แต่น้อยแม้สื่อจะต่างเสนอข่าวว่านี่เป็นคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการเป็นครั้งสุดท้ายของนักดนตรีหูพิการคนนี้  ทว่าสำหรับพิรุณา นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย มันฟังดูสิ้นหวังเกินไป  สำหรับพิรุณานี่คืองานชิ้นสุดท้ายก่อนการพักร้อนระยะยาวที่กำลังจะมาถึง  ในหัวของพิรุณาคิดวางแผนสำหรับก้าวต่อๆไปเสมอ  แน่นอน...ช่วงระยะหยุดพักนี้เขามีแผนมากมายที่คิดอยากจะทำ   ประตูห้องแต่งตัวเปิดออก สต๊าฟคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาแล้วพยักหน้าให้เบาๆ  เป็นสัญญาณว่าจวนได้เวลา พิรุณาพยักหน้าตอบเบาๆเช่นกันพลางยิ้มจางๆ   ก่อนจะเบือนสายตากลับมามองกระจกเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองอีกครั้ง  ใบหน้าในเงาสะท้อนของกระจกนั้นกำลังยิ้มให้กำลังใจตนเองเช่นทุกที


         พิรุณาเดินมาจนถึงสุดทางเดินข้างเวที ที่สุดทางเดินนั้นเห็นแสดงสว่างสีเหลืองนวลๆจากบริเวณหน้าเวทีสาดส่อง  พิรุณาหยุดสูดหายใจเข้าลึกๆ คลี่ยิ้มจางๆนำหน้าไปก่อน ก่อนจะก้าวออกจากเงาสลัวสู่ความสว่างไสวท่ามกลางแสงไฟหน้าเวที  เสียงปรบมือดังกระหึ่มรอบกายไม่อาจทำให้พิรุณารับรู้ นับแต่นี้ ทุกย่างก้าว ทุกกิริยา ทั้งท่าเดิน การโค้งคำนับและการนั่งลงหน้าเปียโนอย่างสำรวม คือการรวมสมาธิอย่างสูงสุด  เขาสูดลมหายใจช้าๆ ก่อนจะแตะนิ้วเรียวลงบนแป้นคีย์ เสียงเปียโนกรุ๊งกริ๊งราวแสงแปร่งประกายอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของบทเพลงนั้นๆ สะท้อนออกมาอย่างชำนิชำนาญ  พิรุณารับทุกสัมผัสที่ผ่านปลายนิ้ว  ทุกช่วงจังหวะการเปลี่ยนเพเดิล  ทุกช่วงขณะการเคลื่อนไหวร่างกายลื่นไหลไม่มีสะดุด เช่นเดียวกับเสียงดนตรีอันไม่ขาดตอน บางคราวรัวเร็ว บางคราวอ่อนหวาน  บางคราวน้ำเสียงหนักแน่น เพียงชั่วอึดใจต่อมากลับแผ่วเบาราวกระซิบ สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความไพเราะรื่นหู  พิรุณาไม่ทราบว่าในบรรดาผู้ชมทั้งหลายมีใครบ้าง  เขารู้เพียงแต่ ทำทุกอย่างให้สมบูรณ์จนกว่าจะสิ้นซึ่งพละกำลังตน

“คุณคะ จำได้ไหมว่าครั้งแรกคุณว่าเด็กคนนี้ไม่มีมือของนักเปียโนด้วยซ้ำ แล้วจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร”หญิงสูงวัยผู้เป็นภรรยาบุรุษที่พิรุณาเรียกอย่างเต็มปากว่า ‘อาจารย์’กระซิบขึ้น

“นั่นสิ บางที่พระเจ้าอาจลืมประทานมือของนักเปียโนให้พิรุณา  แต่ท่านไม่ได้ลืมเอาหัวใจของนักดนตรีใส่ให้ ดูท่านับวันมันจะยิ่งพองใหญ่คับอก…ระวังเถอะเดี๋ยวจะหายใจไม่ออกตาย”ผู้เป็นอาจารย์กล่าวเย้าให้ภรรยาค้อนใส่เสียวงหนึ่ง  ตามจริงแล้ว พิรุณามีรูปมือที่ไม่เหมาะกับการเล่นเปียโน ปลายนิ้วเรียวเกินไป ทำให้เมื่อเล็บยาวออกมาเพียงเล็กน้อยเมื่อวางมือบนคีย์บอร์ดแล้วไม่ได้รูปมือที่สวยงามดังนั้น เขาจึงต้องกำชับให้พิรุณาตัดเล็บสั้นเสมอ สั้นชนิดที่เรียกว่าเสมอเนื้อ   และด้วยความดื้อดึงของพิรุณา ทำให้แกล้งลืมๆไปบ้างว่าต้องวางมืออย่างไรให้สวย ดังนั้น การวางรูปมือของพิรุณาในช่วงแรกนั้นนับว่าใช้ไม่ได้  ยิ่งโตเท่าไหร่ยิ่งแก้ไขยาก  แต่ความพยายามของเขาก็เห็นผลในสองปีต่อมา  ทว่าปัญหาบางประการยังอยู่ การวางรูปมือที่ไม่ถูกต้องมาหลายปี ส่งผลให้บางเทคนิคทำได้ยาก พิรุณาจึงต้องซ้อมหนักขึ้นและใช้ความพยายามหนักขึ้นเป็นเท่าตัว

“นอกจากหัวจิตหัวใจ แล้ว ท่าทางพระเจ้าจะทรงใส่ความดื้อดึงมาเสียเต็มร้อย”

“อ้อ..อย่าลืมพรสวรรค์ชนิดฟ้าประทานเสียล่ะ”ผู้เป็นอาจารย์พูดเสริม


         เสียงถ้อยทำนองอ่อนหวานปนโศกได้บรรยากาศหนาวเย็น นิ้วเรียวนั้นถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเสียงเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม   ทั้งหนักเบาราวสายลมผ่านพัด เสียงสั้นยาวราวกับหิมะปรอย  ผู้เป็นอาจารย์ลอบยิ้มอย่างภาคภูมิใจด้วยเกรงคนนั่งข้างกายจะรู้   สิ่งที่ทำให้นักดนตรีแต่ละคนจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้  แค่เทคนิคชั้นสูงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ความไพเราะอันเป็นแบบฉบับของตนเอง   สิ่งนี้คือเส่นห์อันหาได้ยากยิ่ง  ในปีหนึ่งๆมีนักเรียนการดนตรีมากมายที่มีเทคนิคการเล่นแพรวพราวจบจากสถานศึกษา แต่จะมีสักกี่คนที่มีพรสวรรค์ดังกล่าวอย่างแรงกล้า  พิรุณาเมื่อสมัยนั้น นอกจากเป็นนักเรียนนอกคอกที่เทคนิคต่ำเตี้ย พิการทางหูแล้ว  พรสวรรค์อันเป็นขุมพลังนี้กลับฉายประกายเด่นชัดกว่าใครๆมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเพียงเด็กใหม่   เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นยิ้มรับ เขาเลือกไม่ผิด และได้แต่ภาวนา ให้การรักษาที่กำลังจะมาถึงไม่ช้าเกินแก้


         เสียงปรบมือดังสนั่น  เมื่อแสงไฟที่เคยหรี่ลงจนมืดสลัว  กลับค่อยๆสว่างเจิดจ้าขึ้นราวกับต้อรับบทเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้  สุภาพสตรีที่แม้วัยจะล่วงเลยไปมาก ทว่ากลับยังดูสดสวย มิใช่แรกแย้มดั่งดรุณีรุ่นๆ ทว่าเป็นความสวย อันประกอบจากความงามสง่า  ยืนกลางเวที ส่งยิ้มน้อยๆให้ผู้ชม และนักดนตรีของตน พิรุณายิ้มรับกว้างขวาง ตอบรับ  เสียงดนตรดังกรุ้งกริ้งบรรเลงนำ  ก่อนเสียงอ่อนโยน หากยังคงความงามสง่าไว้ในทีจะค่อยครวญเพลง  ขับกล่อมให้ผู้ฟังหลงท่องตกภวังค์ไปกับห้วงอากาศอันมีเสียงเพลงครวญหวาน


Edelweiss, Edelweiss
Every morning you greet me
Small and white, clean and bright
You look happy to meet me
Blossom of snow may you bloom and grow
Bloom and grow forever
Edelweiss, Edelweiss
Bless my homeland forever


from the Sound of Music
Music: Richard Rogers
Lyrics: Oscar Hammerstein


         ธีรธรเฝ้ามองพิรุณาจากที่นั่งของตน  ‘หนุ่มน้อยนัยน์ตาพราว’ คนนั้นยังเป็นคนเดิม  คนที่มีความสุขอย่างยิ่งกับเสียงเพลง แม้หูทั้งสองข้างจะไม่ดีพร้อม  คนที่ต่อสู้กับตนเอง แม้จะเจ็บปวด หลายครั้งที่เขาลอบห็นพิรุณาไม่สบายใจกับการบาดเจ็บ แต่ไม่เคยแสดงให้ใครเห็น เขาเชื่อ ว่าพิรุณาทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาดินแดนแห่งเสียงเพลงของตนไว้กับตัวเองให้นานที่สุด พิรุณายื้อการรักษา อาจเพราะหัวแข็ง แต่เขาเข้าใจ พิรุณาเพียงแค่อยากรักษาช่วงเวลาที่เป็นสุขที่สุดไว้ให้เนิ่นนาน     เพราะหลังจากนั้น....จะไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีกต่อแล้ว   ธีรธรส่งยิ้มให้พิรุณาที่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข พลางนึกย้อนกลับไป ถึงวันเวลาที่อยู่ด้วยกันครั้งล่าสุดก่อนพิรุณาจะต้องกลับมาสานต่องานของตนให้สมบูรณ์

‘อะไรทำให้คนเรารักเสียงดนตรี?’

‘ถามตอบยากจริงๆ’พิรุณาตอบ พลางครุ่นคิด

‘เอางี้...งั้นถามง่ายๆเลย ว่าทำไม พิรุณาถึงชอบเสียงเพลง’ธีรธรยิ้มขันเมื่อพิรุณาตีหน้ายุ่งอย่างไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร

‘ไม่รู้สิ  อาจเพราะผมผูกพันกับมันก็ได้  เมื่อตอนยังเด็กๆ  ผมไม่ค่อยมีใครอยากเล่นด้วย เพราะแปลกกว่าคนอื่น   เลยได้ดนตรีเป็นเพื่อนไง’ 

‘เศร้าจัง เดี๋ยวร้องไห้เลย’

‘ตัวโตเสียเปล่า’ ธีรธรหัวเราะร่า  แล้วเร่งให้เล่าต่อ

‘พอโตขึ้นมาหน่อย ก็ท่าทางจะฉายแววเอาดีทางดนตรี เพราะอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่  สารพัดเพลงมากมายที่ถุกบังคับเล่นก็ เล่นจนเบื่อ เลยเริ่มปรับเปลี่ยนไปเรื่อย และต้องขอบคุณที่ไม่ได้ยินเสียง มันทำให้จินตนาการโลดไปไกล  ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่เข้าเรียนดนตรีอย่างจริงจัง อาจารย์แทบจะไล่ผมออก เพราะผมเล่นแต่ในสิ่งที่ผมคิด ผมยังเถียงอาจารย์...แน่นอนว่าด้วยภาษามือ ว่าทำไมถึงบังคับให้ผมเล่นแต่ไอ้โน้ตที่มีอยู่ในกระดาษมาสักร้อยปีได้ มันเก่าเก็บจะตายไป’

‘แล้วยังไงอีก’

‘ก็เบื่อน่ะสิ แล้วพอเบื่อเมื่อไหร่ ผมก็จะไม่สนใครๆแล้ว  เล่นแต่ในสิ่งที่ผมคิดเท่านั้น  ผมเลยกลายเป็นเด็กเหลือขอในสายตาใครๆ  จนเจออาจารย์..คุณเคยเจอแล้วนี่  ครั้งแรกที่ท่านเขาสอน ท่านถามผมว่า บ้านเกิดอยู่ที่ไหน ผมตอบไม่ได้ เลยตอบส่งๆ’ พิรุณา ไม่ยอมเล่าต่อ กลับหยุดดื่มน้ำเสียเฉยๆ จนธีรธรทนไม่ไหวต้องเร่งให้เล่าต่ออีก

‘แล้วตอบว่าอะไร?’พิรุณามองอย่างขำๆ

‘ก็ตอบว่า ดนตรีที่ผมสร้างขึ้นมานี่แหล่ะ เป็นบ้านเกิดของผม เพราะมันอยู่ในหัวผมนี่ มันติดตัวไปด้วยตลอด   ตลกดีใช่ไหม ..ตอนนั้นคิดอะไรเด็กๆ แถมยังดื้อมากๆเลย ใครพูดอะไรไม่เชื่อสักอย่าง ไร้เหตุผลชะมัด’

‘แล้วตอนนี้ยังดื้อไหม?’

‘เอ..อันนี้ก็แล้วแต่ว่า กับใคร’

ธีรธรเข้าใจ ว่าทำไมพิรุณาถึงเลือกเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้าย  ดินแดนของพิรุณา จะยังคงอยู่ ในหัวคนช่างคิดคนนั้นตราบชีวิตสิ้นลมหายใจ   แม้มันอาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิม ไม่กว้างไกลอย่างเก่า  ทว่ายังคงแปร่งประกายจรัสจ้าและงดงามอยู่ในความทรงจำ ...ตลอดไป


         เสียงเพลงสุดท้ายลอยหายไปกับเสียงปรบมือราวห่าฝนกระหน่ำ  พิรุณาลุกขึ้นอย่างสง่างามค้อมกายให้ผู้ชม สวมกอดนักร้องรับเชิญของตน ก่อนดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงทอดมองไปไกล เพื่อจดจำเสี้ยวนาทีนี้ไว้  ผู้คนมากมาย ลุกขึ้นปรบมือให้เขา  ผู้คนเหล่านี้กำลังแสดงให้เขาเห็นว่า งานที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจมานานก่อประโยชน์ มันสร้างความรื่นย์รมย์ให้ผู้ฟัง ได้จริง  พิรุณาได้ทำความฝันเล็กๆของตนให้สำเร็จลุล่วงแล้ว พิรุณาค้อมกายให้ผู้ชมอีกนับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะขอบคุณโดยที่เขาเองก็ไม่อาจรู้สาเหตุแน่ชัด  อาจเพราะตอนนี้สมองของเขาตันตื้อ   ความภูมิใจมันก่อตัวขึ้นในอก  พิรุณา... คนที่เริ่มทุกอย่างแทบจะจากศูนย์เดินมาตามเส้นทางที่หัวใจรักได้ไกลถึงเพียงนี้  วันนี้พิรุณาได้ดื่มด่ำความภาคภูมิใจนั้นแล้ว และจะจดจำทุกเสี้ยววินาทีนี้ไว้เป็นกำลังใจให้กับตัวเองในวันข้างหน้า ที่อาจต้องแพ้พ่ายหรือล้มลุกคลุกคลานยิ่งกว่าที่เคยประสบมา พิรุณาจำได้แม้แต่รอบยิ้มของตัวเอง ว่ามันกว้างขวางถึงเพียงไหน  จำได้ติดตาว่าผู้ชมเบื้องล่างมีสีหน้าแววตาอย่างไร


         หลังช่วงเวลาบนเวทีและการสัมภาณ์เล็กๆน้อยๆผ่านพ้นไป พิรุณากลับเข้าห้องแต่งตัวพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ที่มีดอกไม้หลากชนิดปะปนกันไปจากการรวมดอกไม้ช่อเล็กช่อน้อยให้เป็นช่อเดียว  เปลี่ยนชุดกลับเป็นชุดสบายๆเตรียมพร้อมที่จะออกไปจากห้องนี้  ดวงตาคู่สวยกวาดมองห้องนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย  ก่อนจะถอนหายใจยาวๆกับตัวเอง  แล้วตัดสินใจเปิดประตูออกไปจากที่แห่งนั้น เดินไปบนทางเดินหินขัดมันที่ทอดยาวออกไปไกลและร้างผู้คน  ที่สุดปลายทางนั้น ชายหนุ่มร่างสูง ยืนยิ้มน้อยๆให้  พิรุณายิ้มรับ มือแข็งแรงนั้นช่วยถือดอกไม้ช่อใหญ่

“ไปกันเถอะ”ธีรธรพูดเบาๆ พิรุณาพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามกันไปบนทางเท้าเล็กๆ ท่ามกลางลมกลางคืนและแสงดาวกระพริบพราวอยู่ไกลๆ มือนวลบาง ยื่นไปจับมือแข็งแรงข้างที่ว่างไว้เบาๆ ธีรธรหันกลับมามองอย่างแปลกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พิรุณาเป็นฝ่ายต้องการบางอย่างจากเขา โดยปราศจากคำพูดใดๆ ทว่าดวงตานั้นสื่อความหมายที่เข้าใจกัน แม้ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงที่ธีรธรนึกชมว่าสวยนักหนาจะมีม่านน้ำตาอุ่นๆบดบังเพียงบางๆ มือแข็งแรงที่อบอุ่นนั้นจับกระชับแน่นขึ้น  แล้วเดินต่อไปเบื้องหน้า เดินไป...พร้อมๆกัน
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.2
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 26-10-2008 23:30:15
อิอิ มาแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

ตอนหน้าพิรุณาจะได้ยินแล้วใช่มั้ยเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.2
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 27-10-2008 00:26:08
^
^
^
^
ต้องกราบขออภัยท่านพี่ เนื่องด้วยน้องไปเที่ยวกับที่บริษัทมาที่ ปราณบุรี ตอนนี้ปวดตามเนื้อตัวและไข้รับประทาน
แต่น้องก็สามารถมาลงให้ได้ครับ (เรียกคะแนนความสงสารสุดๆ)

เชิญรับชมกันได้เลยครับ

อ้าวเที่ยวซะป่วยไปเลย ขอให้หายไวๆนะค่ะ ขอโทษที่ใช้แรงงานคนป่วย :กอด1:

แต่ตอนนี้ทำไมอ่านแล้วใจหายยังไงไม่รู้น่ะซิ ไม่ชอบคำว่า"ครั้งสุดท้าย"เลย o7
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.2
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 28-10-2008 01:11:10
ไอ้โน็ตสู้สู้
ไอ่โน็ตสู้ตาย  :ped149: :ped149: :ped149:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง ตอนที่ 19.2
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 02-11-2008 17:36:04
^
^
^
^
เชียร์หรือว่าแช่งกันแน่วะพี่  o12
.
.
.
.
.
.
.
.
.
         
         เคนมองร่างโปร่งบางของโดลเชที่สวมกอดมารดาอย่างรักใคร่เพื่อส่งขึ้นเที่ยวบินเที่ยวดึกกลับประเทศทันที พิรุณาได้ขอร้องกึ่งบังคับว่า อยากได้นักร้องสักคนมาร้องเพลงสำคัญของค่ำคืนนี้ จึงได้มารดาของโดลเชมาเป็นนักร้องรับเชิญอย่างฉุกละหุก ทว่าทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นและน่าประทับใจ เคนยิ้มรับเมื่อมารดาของโดลเชหันมาฝากฝั่งลูกชายแล้วตกปากรับคำอย่างยินดี ขณะที่โดลเชท้วงมารดาเป็นภาษาฝรั่งเศสให้เข้าใจกันเพียงแม่ลูก  จนได้เวลาอันควรมารดาของโดลเชจึงหายลับเข้าไปในด่านตรวจ เหลือเพียงเคนและโดลเช

“ดีจังที่คอนเสิร์ตผ่านไปอย่างราบรื่น   นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว”โดลเชถอนหายใจโล่งอก

“คิดว่าเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“น่าเสียดายนะครับ ที่คุณพิรุณาอาจจะไม่ได้กลับมาในวงการนี้”

“ใครว่าพิรุณาจะไม่กลับมาในวงการนี้  ทั้งชีวิตพิรุณามีเพียงดนตรีในหัวตันๆนั่นนะ ผมเชื่อว่าเขาจะกลับมา แม้อาจจะไม่ได้โด่งดังอย่างเก่า แต่จิตวิญญาณของพิรุณายังคงความเป็นนักดนตรีไว้ครบถ้วน” โดลเชฟังแล้วช่วยพิรุณาท้วง ว่าเคนไปว่าพิรุณาให้เขาเสียหาย แต่ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เคนกล่าวต่อมา

“ตอนคุณเล่นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย รู้สึกยังไงบ้างหรือครับ?”เคนหันไปยิ้มให้คนยืนเคียงใกล้

“มันหลากหลายความรู้สึกนะ ตื่นเต้น เสียดาย เสียใจ แต่ก็ฮึกโหม เพราะผมรู้ว่าถึงต่อไปจะไม่ได้มีโอกาสแบบนี้ แต่ดนตรียังอยู่ในหัวใจผม” 

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คุณจะเลือกใหม่ไหม? ระหว่างคุณในตอนนี้ กับ คุณ ที่เป็นนักเชลโล่” เคนมองคนหน้าหวานนัยน์ตาดุ ก่อนมือแข็งแรงนั้นจะขยี้เส้นผมอ่อนนุ่มจนเป็นกระเซิง

“ถ้าผมยังเป็นนักเชลโล่ แล้วผมจะได้เจอคุณไหม  จะได้เริ่มรู้สึกดีๆกับคุณหรือ? เอ๊ะหรือว่าไม่อยากให้ผมรู้สึกดีๆด้วย”

“ทำไมจะไม่เคยเจอ ผมยังเคยยอมซื้อตั๋วไปนั่งดูคุณเล่นเลย  แต่ใครก็ไม่รู้ ไม่เคยจะเห็นผมในสายตา เอาแต่ใจละที่หนึ่ง  ไม่ได้สนใจคนรอบข้างเลย”

“อย่าดุสิครับ”เคนยิ้มเอาใจ

“ตอนนี้ผมสนคุณที่สุดนะ”เคนพูด ทว่าตาเผลอมองแอร์โอสเตสสาวกลุ่มหนึ่งที่ทิ้งสายตาให้อย่างอดไม่ได้ โดลเชหันไปมองบ้าง

“น่าเชื่อตายล่ะ ให้ตายสิ!” โดลเชว่าแล้วบ่นต่อเป็นภาษาฝรั่งเศสยาวเหยียด

“ไม่เอาน่าผมแค่ล้อเล่น”โดลเชทำหน้าเมื่อย  โดยไม่ทันระวังจะโดนชายร่างสูงชนจนเกือบล้ม ดีที่ชายคนนั้นมีความรับผิดชอบพอที่จะช่วยพยุงโดลเชไว้

“ขอโทษครับ เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มถามด้วยภาษาอังกฤษปนสำเนียงแปล่งๆถามขึ้น โดลเชมองคนช่วยพยุงตนก่อนจะกล่าวขอบคุณไม่เต็มเสียง  รู้สึกผิวหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย จะไม่เขินได้อย่างไร  ชายตรงหน้านี่ใช่หน้าตาขี้ริ้วเสียที่ไหน

“ปล่อยแฟนฉันนะเว้ย เอ็ดมันต์ ไม่เจอนานก็ยังนิสัยเสียเหมือนเดิมนะ”เคนกล่าวเสียงเข้ม ดวงตาสีมรกตนั้นฉายประกายเย็นชา  เอ็ดมันต์ปล่อยมือแต่โดยดี ไม่วายทิ้งสายตากรุ้มกริ่มใส่คนหน้าหวานนัยน์ตาดุ ที่พอปล่อยตัวก็หลบหลังเคนทันที

“ไม่เจอนาน ยังปากคอไม่ค่อยดีเหมือนเดิมนะ แอนนิโมโต มาดูคอนเสิร์ตของพิรุณาหรือ?”

“ใช่ พิรุณาขอให้ช่วยหานักร้องให้”

“ยังโดนเขาใช้เหมือนเดิม”คิ้วเข้มนั้นยกสูงเป็นเชิงถาม เรียกโทสะที่สุมอกเคนให้ยิ่งโหม

“ก็ยังดีกว่าคนถูกลืมนะครับ”เคนยิ้มอย่างมาดร้าย โดลเชเห็นท่าจะไม่ดีจึงต้องพูดแทรกขึ้น

“เอ่อ ...ถ้าพอมีเวลาไปดื่มกาแฟคุยกันก่อนไหมครับ”เคนหันมามองคนพูด คล้ายจะบอกว่า ไม่มีคำพูดที่ดีกว่านี้แล้วหรือ โดลเชได้แต่ยักไหล่

“ต้องขอโทษด้วยครับ พอดีว่าไฟล์ทที่ผมจะบินออนบอร์ดเสียแล้ว  ขอเป็นโอกาสหน้าแล้วกันนะครับคุณ...?”

“โดลเชครับ”

“ชื่อหวานสมตัวเลยนะครับผมเอ็ดมันต์ วิทเนอร์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วพบกันใหม่นะครับคุณโดลเช ..อ้อ แอนนิโมโตก็ด้วย”เอ็ดมันต์ยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเดินหายไปกับความจอแจของคนที่พลุกพล่านในที่นี้

“เขาเป็นใครหรือครับ ท่าทางสนิทกันดี”

“ศัตรูตามธรรมชาติของผมน่ะสิ ชอบใจเขาเหมือนกันล่ะสิ”

“เขาก็ดูสุภาพดีนี่ครับ  ทำไมพูดเหมือนแค้นๆอย่างไรชอบกล” เคนทำเสียงขึ้นจมูก ดวงตาชวนมองคู่นั้นฉายประกายน้อยใจ

“เหมือนกันเลย ทั้งคุณทั้งพิรุณา หมอนั่นเป็นแฟนเก่าพิรุณา”เคนพูดแล้วนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรเอ่ยถึงพิรุณา โดลเชมักน้อยเนื้อต่ำใจเสมอว่าเป็นคนมาทีหลัง โดลเชชะงัก แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ที่เคืองเขาเพราะอย่างนี้นี่เอง  คุณพิรุณาต้องหัวเราะเยาะแน่ๆ จริงๆผมก็น่าจะมองออกนะว่าทำไมคุณพิรุณาถึงไม่คิดเกินเลยไปกว่าเพื่อนกับคุณทั้งที่คุณออกจะเปิดเผยขนาดนั้น”เคนทำหน้าไม่เข้าใจ มือบางจับดวงหน้าคมสันนั้นไว้

“เพราะคุณเป็นเด็กน้อยน่ะสิ”

“อายุอย่างผมไม่เด็กแล้วมั้งโดลเช?”

“เด็กสิ อย่างที่คุณทำใส่ ‘ศัตรูตามธรรมชาติ’ของคุณนั่นไงเรียกว่าเด็ก  เอาน่า....คุณบอกว่าชอบคนอายุมากกว่า ผมน่าจะถ่วงดุลให้พอดีๆสำหรับคุณได้นะ”โดลเชยิ้มหยอกเย้า

“นั่นสิ  ว่าแต่คุณจะช่วยเอ็นดูผมหรือเปล่าล่ะ?”ดวงตาสีมรกตนั้นส่งสายตาอ้อนๆมาให้อย่างรอคำตอบ โดลเชไม่ตอบเพียงแต่โน้มกายเข้าไปใกล้ แตะริมฝีปากแผ่วเบาลงบนแก้มชายคนที่เป็นที่รักเบาๆ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 02-11-2008 23:22:00
คู่นี้ก็น่ารักดีน่ะเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 02-11-2008 23:53:25
หมักดองๆ  :laugh:

จิ้มคนบนทะลุถึงเจ้าของประทู้  :jul3:

ขอบคุณสำหรับการเข้าอ่าน เเละคอมเม้นต์นะคะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
เริ่มหัวข้อโดย: วิหคท่องนภา ที่ 04-11-2008 20:10:38
 :m29:เอ่อ.....คือว่าเพิ่งอ่านหน้าแรกค่ะ ถึงตอนที่นายเอกเล่นเปียโนอ่ะ....

เสียงโทรศัพท์ยังไม่ได้ยินเลย.....เล่นดนตรีกันยังไงเหรอคะ  :a6:  :a6:

 o2คิดภาพคนไม่ได้ยินเสียงแล้วเล่นดนตรีไม่ออกจริงๆ  เคยเห็นแต่คนตาบอดเล่นอ่า

 :oหรือเราจะงงไปเองคนเดียวหว่า ถ้าได้ยินเสียงดนตรีก็น่าจะคุยกันรู้เรื่องสิ :m29:

ปล.(กลับมาตอบต่อ) เจ้ย  งงไปเองจริงๆด้วย  เขายังได้ยินอยู่นี่หว่า....โห สุดยอดเลยเนอะ  เล่นดนตรีได้โคดเทพเลย o13 :m4:

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 08-11-2008 14:18:13
ในที่สุดก็อ่านทันจนได้

ใกล้จบแล้วใช่ไหมคะ    ยังไงเอามาลงเร็วๆนะคะ  :oni3:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 2/11/2551
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 12-11-2008 16:24:42
ได้ข่าวว่าคนลงน้องโน้ตกำลังยุ่งรับปริญญา ยินดีด้วยนะคะ :L2:


เราก็รอคอยกันต่อไปนิ :impress2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 3/12/2551
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 03-12-2008 21:59:00
มาแล้วครับ (หลังจากอู้ไปนาน)

มาต่อกันเลยเน๊าะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
         

         ธีรธรมองเข็มวินาทีที่กระดิกถี่ๆแล้วถอนหายใจ การประชุมเสร็จสิ้นลงหลังเวลาเลิกงานเล็กน้อย  เขาฟังเลขาสาวรายงานคร่าวๆเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำพรุ่งนี้ว่ามีนัดหมายอะไรบ้าง โดยไม่ลืมเตือนให้เขาพักผ่อนอย่างเพียงพอ และดูแลสุขภาพตัวเองเสียบ้าง  อย่ามัวแต่ดูแลคนอื่นจนลืมตัวเองแถมแซวส่งท้ายว่า วันนี้ยิ้มหน้าบานเป็นพิเศษ ธีรธรยิ้มรับกว้างขวาง จะไม่ให้หน้าบานได้อย่างไร   ‘บีโธเฟ่นผู้น่ารัก’ ยอมอยู่เฉยๆ กลับบ้านตัวเองถูกเสียที หลังจากเทียวไปเทียวมาทั่วไปหมด เรียกว่าแทบจะทั่วโลกอยู่เกือบสองปี จน ‘ท่านชาย’ ถึงกับทรงตั้งสมญานามให้พิรุณา ว่า ‘นกขมิ้น’ ที่ธีรธรและเพื่อนๆของพิรุณาเอง อย่างเกรซ คุณแม่ลูกหนึ่ง อดีตแม่นกขมิ้นยังช่วยกันลงความเห็นว่า ควรจะเติมคำว่า ตัวใหม่ หรือเบอร์สองเข้าไปด้วย   ธีรธรเปิดประตูห้องทำงานด้วยใจหวังว่า จะมีพิรุณายิ้มหวานๆต้อนรับให้หายเหนื่อย แต่เขาพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่สัมภาระสักชิ้นให้เห็นว่าพิรุณามาแล้ว

“คุณลีเห็น พิรุณาบ้างไหม?”

“อ้าว ไม่อยู่ข้างในหรือคะ?”ธีรธรส่ายหน้าให้อย่างเอือมๆ

“อาจจะอยู่ข้างล่างก็ได้นะคะ”

       บอสหนุ่มเห็นดีด้วยจึงลงมาตามถึงชั้นล่าง กลิ่นกาแฟ และนมเนยจากมุมกาแฟเล็กๆภายในล๊อบบี้ทำให้บอสหนุ่มนึกขึ้นได้ว่า ท้องหิวแล้วเช่นกัน  ทว่าเสียงดนตรีสดใสนั้นสะดุดหู  แผ่นหลังโปร่งบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเส้นผมสีน้ำตาลแดงเคลียไหล่ ทำให้ธีรธรยิ้มบาง  มองผู้บรรเลงบทเพลงระรื่นหูนั้นอย่างแสนรัก  จวบจนเพลงนั้นบรรเลงจนจบ ผู้ชมต่างปรบมือให้  นักดนตรีลุกขึ้นยืน โค้งให้ผู้ชมราวนักแสดงเอก แม้เวทีจะเป็นเพียงยกพื้นเตี้ยๆ ผู้ชมมีอยู่เพียงหยิบมือ ทว่าด้วยหัวจิตหัวใจของคนเป็นนักดนตรีอย่างพิรุณา ต่อให้ไม่มีเวที ไม่มีผู้ชม ทุกครั้งที่เขาได้ถ่ายทอดเสียงดนตรีของเขาล้วนแต่เป็นความสุขทั้งสิ้น

“เหนื่อยไหม?”ธีรธรถามเมื่อพิรุณาลงจากเวที แล้วเดินมาหา

‘ผมต้องถามต่างหากว่าเหนื่อยไหม เห็นว่าประชุมตั้งแต่บ่าย’

‘ไม่หรอก ถึงเหนื่อยก็หายแล้ว’ พิรุณาเม้มปาก แล้วเสมองไปทางอื่น บอสหนุ่มหัวเราะกับกิริยา ‘น่าดู’ ที่นานทีปีหนจะได้เห็นสักครั้ง

‘ไปเถอะ กลับบ้านกัน’ ธีรธรยิ้มเอ็นดูพลางกระชับมืออุ่นๆนั้นที่ก็จับกระชับตอบสนองเช่นกัน


         พิรุณานั่งกับพื้นหน้าเตียงพลางรื้อของในกระเป๋าส่วนตัวออกมากองไว้  ธีรธรมองมือนวลๆที่แบ่งของออกเป็นกองอย่างนึกขำก่อนจะนั่งลงวางคางสากๆวางบนไหล่บาง พลางโอบรอบเอวนั้นไว้ด้วยสองแขน  พิรุณาหันมาเอาหัวโขกเบาๆทีหนึ่ง  นี่ก็อีกที่เป็นเรื่องแปลก คนรักกันคู่อื่นๆ เขาคงไม่เอาหัวโขกกันเป็นการแสดงความรัก แต่พิรุณาทำและที่น่าแปลกใจไปกว่าคือธีรธรกลับชอบการกระทำเล็กๆน้อยๆเหล่านี้  พิรุณายื่นสมุดเล่มหนึ่งให้เขา หน้าปกสีแดงเป็นรูปกบตัวสีเขียวแขนยาวเก้งก้าง บนหัวมีมงกุฎ กำลังยิ้มปากกว้าง ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย พิรุณาเพียงแต่ยิ้มรับบางๆ นิ่งรอให้อีกฝ่ายเปิดสมุดดู ภายในมีภาพถ่ายแปะทีละหน้า มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาไทยโย้ไปเย้มา ว่าไปที่ไหนมาบ้าง

“ส่งรายงานหรือ?”ธีรธรถามพิรุณาหัวเราะ

‘หน้ามันเหมือนคุณธีดีออก’พิรุณาชี้ที่ปกสมุด ธีรธรยิ้ม พลางว่าตนไม่ได้ตัวสีเขียวเสียหน่อย

“ไปเที่ยวมาหลายที่เลยนะ ลายมือก็สวยขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย ไปเที่ยวไกลๆคิดถึงกันมั่งไหม?” พิรุณายิ้ม มือนวลจับหน้าคมสันไว้ หอมซ้ายขวาแรงๆ

‘หอมสบู่’

‘แต่พิรุณาหอมช๊อคโกแลต กินแล้วแปรงฟันหรือยังเนี่ย’ พิรุณายิ้มเก้อๆ เอนหลังพิงอกแข็งแรง  ธีรธรหัวเราะเบาๆ กางสมุดวางบนหน้าขาเจ้าของผลงาน พลางพลิกดูเรื่อยไป บางภาพเขาเห็นแล้วถึงกับต้องยิ้มตาม

‘ถ่ายสวยขึ้นไหม? อุตส่าห์ตั้งใจเรียนกับคุณธีเลยนะ’ ชายหนุ่มตอบคำถามด้วยการแตะริมฝีปากลงบนขมับคนถาม  นึกขำที่สอนพิรุณาถ่ายรูป เจ้าตัวดูจะจำอะไรไม่ได้มากนัก บางรูปจึงถ่ายมาเห็นแค่ปาก บางรูปก็ขาดๆเกินๆ

“สอนไปไม่เห็นจำได้เลย ลงโทษเสียดีไหมนี่” นิ้วมือแข็งแรงจี้เอว พิรุณาทำท่าจะหนีแต่แล้วก็ถูกมือนั้นคว้ากลับมา

‘ไอ้นี่อะไร?’ ธีรธรถามก่อนจะหยิบถุงพลาสติกใบเล็กๆที่ถูกม้วนไว้เสียเกือบเป็นก้อนกลม มาคลี่ดู ภายในเป็นเศษอุปกรณ์ มือนวลบางเทมันลงบนฝ่ามือ

‘เครื่องช่วยฟัง วันก่อนทำหล่นแล้วถูกเหยียบพัง’

“จะซ่อมได้ไหมเนี่ย สภาพแย่ขนาดนี้ คงต้องซื้อใหม่” พิรุณาส่ายหน้าเบาๆ

‘ไม่ต้องซื้อใหม่หรอกครับ ต่อไปผมคงไม่ต้องใช้แล้ว’ เมื่อเห็นว่าธีรธรมองอย่างสงสัย พิรุณาจึงยิ้มบาง

‘ผมรู้สึกว่า หลายปีมานี้ถึงจะใส่เครื่องช่วยฟังแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว   คิดว่าคงหนวกสนิทแล้วล่ะครับ’  พิรุณามองรอยยิ้มที่ค่อยๆแห้งเหือดลงเรื่อยๆของธีรธรแล้ว ก็ทำได้เพียงกุมมือใหญ่นั้นไว้  ปล่อยให้วงแขนอบอุ่นนัดกอดรัดแนบอก

‘ผมไม่ได้อยากได้ความสงสาร  แค่อยากเป็นเหมือนๆคนทั่วๆไป….ใช้ชีวิตได้อย่างปรกติ โดยที่ไม่มีใครดูถูก หรือส่งสายตาเวทนา เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกด้อยค่า’

‘พิรุณาทำสำเร็จแล้วนี่ คุณได้แสดงให้เห็นคนทั้งโลกเห็นแล้วว่า การที่ร่างกายไม่ได้ดีพร้อม ปิดกั้นความสามารถของคุณไม่ได้’

‘แต่ไม่ใช่กับคนพิการทุกคน ที่จะโชคดีอย่างผม...ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนที่ถูกรัก  หรือเป็นผู้มอบความรักได้อย่างเปิดเผย บางคนรังเกียจที่จะมีคนพิการอยู่ในบ้าน หรือเป็นคนรู้จัก เรื่องแบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสังคม’

‘แต่ผมไม่เคยรังเกียจพิรุณานะ’ พิรุณายิ้ม รับรู้ว่าตนโชคดีถึงเพียงไหนที่ได้รู้จัก ได้รัก คนๆนี้

‘หวังว่าจะมีคนอย่างคุณเยอะๆ  ดีไหม?’

‘คงไม่ดีถ้ามีคนแบบผมเยอะๆแล้วพิรุณารักไปเสียทุกคน’ ทั้งคู่หัวเราะให้แก่กัน ก่อนธีรธรจะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตนส่งเสียงร้องมาจากบนเตียง  แค่เพียงเอื้อมไปคว้ามาก็พูดธุระได้ โดยที่ยังมีพิรุณาอยู่ในอ้อมแขน

         พิรุณาเงยหน้ามองดวงหน้าคมสัน เจ้าของมือแข็งแรงที่เริ่มมาหนุบหนับอยู่แถวคอ เมื่อแตะถูกหู พิรุณารีบเอียงศีรษะหนี  ปากหยักสวยที่พูดโทรศัพท์อยู่นั้นยกยิ้มขัน ทว่าไม่ยอมเลิกรา  จนพิรุณาแก้เผ็ดด้วยการปีนขึ้นไปนั่งบนตัก  เป่าหูอีกข้างที่ไม่ได้แนบโทรศัพท์ให้ธีรธรได้เอียงหลบบ้างมือแข็งแรงนั้นเลิกแกล้ง เปลี่ยนมาปิดหูแทน พิรุณาหัวเราะสะใจ แต่แล้วมือนวลบางนั้นกลับยื้อมือที่ปิดหูออก ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ สูดหายใจแรงๆ
“ข...ขอบคุณ..ที่ร..รักผม”เสียงพูดที่แหบพร่าและเบาเสียแทบไม่ได้ยินนั้นทำให้ธีรธร นิ่งค้าง ดวงตาสีม่านราตรีนั้นเบิกกว้าง ละล้ำละลักบอกปลายสายว่าแล้วจะโทรกลับ ก่อนจะมองพิรุณาอย่างเหลือเชื่อ!

“เมื่อกี้ พูดหรือ?”

‘ได้ยินด้วยหรือครับ?’ ธีรธรพยักหน้าเร็วๆ พิรุณาดวงหน้าซับสีเลือดจางๆเสสายตามองทางอื่น

“พูดได้ด้วย!!”ธีรธรอุทาน ก่อนจะรู้ตัวว่า ได้พูดอะไรแปลกๆออกไป

‘พูดได้เพราะ หูหนวกหลังจากพูดได้แล้วแต่พูดได้แค่ง่ายๆเท่านั้น  หลังจากนั้นก็ถูกพาไปฝึกออกเสียงบ้าง  เพราะส่วนใหญ่ในกรณีไม่ได้พิการแต่กำเนิด ถ้าหูไม่ได้ยินจะพูดไม่ได้ เพราะไม่ยอมพูด นานวันเข้ากล่องเสียงจะใช้งานไม่ได้ เลยต้องฝึก แต่ผมไม่ได้ฝึกออกเสียงมานานแล้วเหมือนกัน...เลยไม่แน่ใจว่าเสียงยังออกอยู่ไหม’

‘ยังได้ยิน ถึงจะเบามากก็เถอะ’ ธีรธรยังอดอุทานกับตัวเองอีกไม่ได้ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่เขาพบว่าตลอดทั้งชีวิต!

‘อยากได้ยินเสียงคุณธี’ ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงนั้น มองมาอย่างยากจะอธิบาย ดวงตาคู่สวยนั้นกำลังอ้อนวอนผสมกับความเศร้าจางๆ เพราะรู้ว่าคำขอนั้นยากนักจะเป็นจริง  ริมฝีปากหยักสวยแตะบนหน้าผากมนเบาๆ มือแข็งแรงกุมมือน้อยไว้วางแนบหัวใจ

“ต่อให้ไม่ได้ยินเสียงนี้ แต่หัวใจนี่จะยังคงส่งเสียงบอกต่อความรู้สึกให้พิรุณาเสมอ ดีไหม?”พิรุณายิ้มรับ ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความปิติ น้ำตาหยาดจากหางตาโดยไม่รู้ตัว ยินดีรับสัมผัสอุ่นนุ่มจากริมฝีปากหยักสวยนั้น

ตลอดมาพิรุณาอาจเคยโกรธเคืองต่อโชคชะตาที่ทำให้ไม่อาจเป็นเหมือนคนทั่วไปได้ ทว่าวันนี้ พิรุณารู้ว่าตนช่างโชคดีเพียงไหนที่ได้มีโอกาสได้รับความรักลึกซึ้งจากใครสักคน  ใครคนนั้น คนที่พิรุณาเองก็รักจนหมดทั้งหัวใจเช่นกัน

         ธีรธรยังกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว ลำคอแห้งผากและเจ็บคออย่างมากท่าทางอาการตั้งท่าจะไม่สบายมาหลายวันวันนี้คงเอาจริงเสียแล้ว  รู้สึกจักกระจี้เพราะมีอะไรมาถูไถแถวจมูก  สัมผัสอุ่นๆไล้ไปตามริมฝีปาก ก่อนจะไล้ไปตามแนวขนตา  ชายหนุ่มลืมตาโพลง เห็นพิรุณาทำตาโตตกใจ  มือแข็งแรงกุมข้อมือนวลบางที่มีรอยแผลเป็นจางๆปรากฏก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา

‘มือร้อนจัง ไม่สบายหรือเปล่า?’ พิรุณาว่าแล้วยื่นมือไปแตะหน้าผากคนเพิ่งตื่นเทียบกับตัวเอง

“พิรุณาตัวเย็นต่างหาก”

‘ยังไม่ตายตัวจะเย็นได้ยังไง คุณธีนั่นล่ะตัวร้อน วันนี้หยุดสักวันไม่ดีกว่าหรือ?’ธีรธรนอนคิดว่าวันนี้เขาต้องทำอะไรบ้าง
‘ถ้าไม่ยอมหยุดวันนี้ เกิดป่วยหนักต้องหยุดงานหลายวันกว่าเดิมนะ’ ธีรธรมองคนเจ้าเหตุผลแล้วก็ต้องยอมรับ หยุดวันเดียวดีกว่าหยุดหลายวัน ก่อนจะยอมโทรหาเลขาสาว

“คุณลีครับ  วันนี้ผมไม่เข้าออฟฟิซนะครับ”เลขาสาวที่ปลายสาวทำเสียงตกใจ ร้อยวันพันปีบอสหนุ่มไม่เคยขอลางานสักครั้ง สงสัยฝนจะตกเสียละมั้ง

“รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย พิรุณาเลยบังคับให้หยุด” เลขาสาวแอบคิดในใจ นั่นไงว่าแล้ว ฝนตกจริงเสียด้วย

“ให้ลีแวะซื้ออะไรเข้าไปให้ไหมคะ?”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” ธีรธรพูดเรื่องงานอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสาย  นึกวางแผนในใจเหมือนกันว่าวันนี้จะได้อยู่กับพิรุณาตามลำพักสักวัน

         ธีรธรแต่งตัวสบายๆ เดินออกมาที่ห้องครัว ได้ยินเสียงรายงานข่าวจากโทรทัศน์และเสียงถ้วยชามกระทบกัน กลิ่นกาแฟหอมกรุ่น และเจ้าหมาที่กระดิกหางตัวสั่นราวกับไม่เจอกันมาสักปีทั้งที่ เจ้าหมาเจอเขามากกว่าเจ้าของมันจริงๆเสียอีก  ที่โต๊ะอาหาร มีอาหารเช้าอย่างง่ายๆรอท่าอยู่แล้ว นอกจากพิรุณาที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีส้มสดใสที่ขับให้บรรยากาศในบ้านสดชื่นกว่าทุกวันแล้ว ยังมีแขกที่เจ้าของบ้านจำไม่ได้ว่าเชิญมาเมื่อไหร่  ปองยิ้มกว้าง ส่งภาษามือให้พิรุณาจากมุมหนึ่งของห้องครัว  ก่อนทั้งคู่จะหันมาเห็นธีรธร

“อรุณสวัสดิ์ครับบอส” ธีรธรตอบรับ พลางส่งสายตาให้คนทำไม่รู้ไม่ชี้

“เห็นพิรุณาว่า บอสไม่ค่อยสบาย”

“นิดหน่อยเท่านั้นแหล่ะ  คุณปองก็ดูสดชื่นขึ้นมากนะครับ” จากครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบปอง ปองเปลี่ยนไปมาก ดูสดใสขึ้นมากเช่นกัน

“คงเพราะดอกไม้สวยๆจากคุณพิรุณามังครับ ส่งมาให้ทุกอาทิตย์”

‘สวยใช่ไหม? เพิ่งให้เขาลองผสมHybrid ให้ปักแจกันได้นานๆหน่อย อยากให้กุหลาบตัดดอกหอมด้วยทนด้วย’พิรุณาเล่าอย่างร่าเริงในขณะที่ธีรธรคิดในใจ ไม่เห็นได้สักดอกเลย

‘ว่างๆไปเที่ยวไหม?’ พิรุณาถามอย่างตื่นเต้น ปองบุ้ยใบ้ไปทางชายหนุ่มที่นั่งเงียบไม่สนทนาอะไรเลย  มือนวลบางจึงเอื้อมไปกุมมือแข็งแรงนั้นไว้แล้วตบลงเบาๆ

‘คุณธีไม่เหมาะกับกุหลาบหรอกครับ  ขนาดกระบองเพ็ชรในบ้านเลี้ยงไว้ยังตาย’ปองขำออกมา ก่อนจะแสร้งเป็นกระแอมกระไอเพราะรู้ว่าเสียมารยาท.

‘ต้นไหนจำไม่เห็นได้ว่ามี’
‘ต้นในห้องทำงานไง ที่ตั้งไว้ริมหน้าต่าง’พิรุณาว่ามี แต่เจ้าของบ้านว่าไม่มี

‘เห็นมันคอพับคออ่อนอยู่ในกระถาง ไม่เชื่อไปดูด้วยกันเลย’พิรุณาทำท่าจะลากอีกคนไปดูให้เห็นกับตาจริงๆ ปองจึงช่วยไกล่เกลี่ย

“เอาเป็นว่า ทานก่อนแล้วค่อยไปดูไม่ดีกว่าหรือครับ” บอสหนุ่มส่งสายตาขอบคุณปนขำๆให้ปองที่ช่วยห้ามศึกบนโต๊ะอาหารให้แต่เช้าก่อนจะเปิดประเด็นใหม่เมื่อเห็นว่าพิรุณายังฮึดฮัดอยู่เล็กน้อย

“ได้ยินว่าคุณปองทำงานแปลหนังสืออยู่”

“ครับ อ่านไปด้วยแปลหนังสือไปด้วย เพลินดีเหมือนกัน”

‘ได้ข่าวว่า คุณหมอพีทได้ทุนวิจัย’

‘สละสิทธิ์ไปแล้วล่ะครับ  ตอนนี้ไปเป็นแพทย์สนามของUN ครั้งล่าสุดนี่เห็นว่าถูกส่งไปแถวอิรัก’ปองนึกแปลกใจ ตอนนี้เขาสามารถพูดถึงใครคนนั้นได้โดยไม่ลำบากใจ กลับมีความสุขจางๆที่นึกถึงเสียด้วยซ้ำ

‘น่าตื่นเต้นจัง คุณปองไม่ห่วงหรือ?’พิรุณาทำตาโต  ทำเป็นไม่สนใจมือใหญ่ที่สะกิดสะเกา

‘ก็ห่วงครับ แต่เขาก็ติดต่อมาเป็นระยะ’

“เอายามั่ง ไม่สบาย ตัวร้อน ปวดหัว” ปองมองคนตัวโตส่งสายตาอ่อนอ้อนแล้วนึกขำ ธีรธรเป็นชายหนุ่มที่เกือบถอยไปเป็นเด็กหนุ่มช่างอ้อนเมื่ออยู่กับพิรุณา ไม่มีเค้าของธีรธรที่เป็นบอสหนุ่มไฟแรงในเวลางานหลงเหลือ

‘อายคุณปองไหมเนี่ย บ้านใครน่าจะรู้นะว่ายาอยู่ไหน’เจอแบบนี่ บอสหนุ่มเลยยอมถอย หลบไปให้ยาให้น้ำตัวเองแต่โดยดี

‘คุณพิรุณาใจร้ายนะครับเนี่ย  จริงๆแล้วอายก็บอกมาดีกว่า’

‘เปล่าสักหน่อย’ ปองหัวเราะขันกับท่าทีทำเฉย แต่หน้าเนียนแดงซ่าน

‘ว่าแต่คุณปองเถอะ สดใสขึ้นมากเลยนะครับ มีเรื่องอะไรดีๆหรือเปล่า’ ปองรีบส่ายหน้า

‘อาจเพราะคิดได้ว่า ถึงจะทำตัวทะมึนอย่างไรก็ไม่ได้ประโยชน์มังครับ เลยดูแลตัวเองเสียหน่อย’ พิรุณาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง

‘คุณปองผมมีเรื่องไหว้วาน’ปองนิ่งรออย่างตั้งใจ

‘ผมอยากเรียนต่อน่ะครับ ยื่นหนังสือแล้ว ทางมหาวิทยาลัยอยากให้ผมมีผู้ช่วยมาเรียนด้วยอีกคน เพราะผมจัดว่าเป็นนักศึกษาพิเศษ’ปองพยักหน้าเข้าใจความหมายนั้น

‘เรียนเกี่ยวกับกฎหมายต้องเก่งภาษามากๆ ผมเกรงว่าจะช่วยอะไรคุณพิรุณาได้ไม่มาก’

‘คิดมากจัง  เอาน่า เราเรียนไปด้วยกันไง’ เมื่อเห็นพิรุณายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ปองจึงตอบรับด้วยความเต็มใจ

‘ก็ได้ครับ  แต่ได้ปรึกษาบอสแล้วหรือยังครับ?’

‘คุณธีมีเรื่องให้คิดเยอะแล้ว เอาไว้เรียบร้อยก่อนแล้วบอกทีเดียวดีกว่า’ปองพอเดาได้ว่าเมื่อบอกแล้วต้อง ‘บ้านแทบแตก’แน่ๆที่ไม่ยอมบอกแต่เนิ่นๆ  แต่เชื่อเถอะ ร้อยทั้งร้อย คุณพิรุณาต้องชนะ



         บ่ายคล้อยหลังส่งปองกลับบ้านแล้ว พิรุณาจัดการข้าวของของตัวเองให้เข้าที่ อาบน้ำเจ้าหมาให้สะอาดเอี่ยมแล้ว เห็นบ้านเงียบๆ แอบย่องๆไปแง้มประตูดู เห็นธีรธรทำงานในห้องทำงาน บนโต๊ะตัวใหญ่นอกจากเอกสารแล้ว ยังมีกระบองเพ็ชรกระถางเล็กที่อาการร่อแร่เลื่อนมาวางบนโต๊ะด้วย  ทีแรกพิรุณาว่าจะเข้าไปเตือนให้พัก แต่พอคิดถึงตัวเองแล้วว่าตนเองก็ไม่ต่างจากคุณธีนัก ต่อให้ไม่สบาย แต่คนเคยทำงาน ขอแค่ทำนิดทำหน่อยแล้วค่อยพักก็ยังดี จึงได้แต่ปล่อยให้ทำงานเงียบๆ โดยไม่ลืมแปะโน้ตไว้ที่หน้าประตู ถึงเวลาทานยา  ก่อนจะหลบออกไปอยู่บ้านตัวเอง  เปียโนสีดำสนิทยังคงสะอาดเอี่ยมภายใต้ผ้าคลุมผ้าสักราดสีแดงเลือดห้อยระบายเล็กๆจนรอบ  นิ้วเรียวแตะไล้ไปบนฝาเปียโนตัวนั้น แผ่วเบา ก่อนจะยกฝาขึ้น  พิรุณารู้ ว่าถึงอย่างไร ทุกอย่างก็ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม  เขาอาจไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอาชีพอีกต่อไป แต่หัวใจเขายังคงรักในเสียงดนตรี เสียงที่ไม่อาจได้ยินด้วยหู กลับสัมผัสชัดเจนด้วยหัวใจ

         นิ้วเรียวกดลงบนแป้นคีย์อย่างแม่นยำเป็นท่วงทำนองของเพลงแจ๊สคุ้นหู  แม้จะขาดสีสันจากเครื่องดนตรีอื่นๆ ทว่ายังคงรักษาความนุ่มละมุนของเพลงแจ๊สไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ช่วงเวลาในการพักฟื้นที่ยาวนาน ไม่ได้ทำให้ฝีมือพิรุณาตาลงแม้แต่น้อย  พิรุณายิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นใครย่องๆเข้ามานั่งซ้อนหลัง   ความอบอุ่นจากอกนั้นแผ่นซ่านและโอบล้อมร่างโปร่งบางนั้นไว้ราวกับจะหลอมละลายหัวใจนั้นจนผสานเป็นดวงเดียว นิ้วมือแข็งแรงชี้นิ้วชี้ออกมานิ้วเดียวทำท่าจะกดลงบนคีย์เลยโดนมือนวลบางตีเข้าให้โดยที่เสียงดนตรีไม่ได้ขาดหายหรือสะดุดลงเลยแม้แต่น้อย ธีรธรบ่นงึมงำว่าใจร้ายพลางหัวเราะร่า ก่อนจะเงี่ยหูฟังท้วงทำนองละมุนหวานที่คุ้นหู แล้วเริ่มครวญเพลงคลอตามเบาๆ

People
You can never change the way they feet
Better let them do just what they will
For they will
If you let them
Steal your heart from you
People
Will always make a lover feel a fool
But you knew i loved you
We could have shown them all
We should have seen love through

Fooled me with the tears in your eyes
Covered me with kisses and ties
So goodbye
But please don't take my heart

GEORGE MICHAEL lyrics - Kissing A Fool


         ท่วงทำนองอ่อนหวานลอยหายไปกับอากาศแล้ว ทว่าความอ่อนหวานในหัวใจยังคงอยู่ มือแข็งแรงที่มีไว้สำหรับกอบกุมมือนวลบางนี้เชยคางพิรุณาใหเบือนหน้ามา ดวงตาสีม่านราตรีอ่อนแสงลงจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลแดงที่เขาหลงใหลหนักหนา เขาหลงรักดวงตาคู่นี้ในยามที่มันสะท้อนเงาร่างของเขาในดวงตาคู่นั้น  หลงรักดวงตาคู่นี้ที่ยอมเผยความรู้สึกทั้งสุขเศร้าให้เขาร่วมแบ่งปันและช่วยแบกรับ และดวงตาคู่นี้เองที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขพันธนาการหัวใจให้เขาอยากทุ่มเทใกล้ชิดใครสักคนด้วยทั้งหมดของชีวิต

ธีรธรเชื่อว่าผลของการรอคอยอย่างอดทนงดงามเสมอ  และหากความรักของพิรุณาเป็นเพียงเพลงINTERMEZZOที่บรรเลงคั่นฉากในอุปรากรณ์ใหญ่ อย่างมหรสพชีวิต  เขาหวังว่าบทเพลงนั้นจะบรรเลงเนิ่นนาน แม้จังหวะจะไม่ได้เร่งเร้าให้เริงร้อน ทว่าหวานล้ำ ประณีตและ ละเมียดละไมกว่าเพลงไหนๆทั้งหมดทั้งสิ้น สุดท้าย เขายินดีจะนิ่งฟังเพลงนั้นแม้ว่าเสียงของมันจะเบาบางสักเพียงไหน  เขาจะเงี่ยหูฟังทุกถ้อยทำนองหวานเหล่านั้น และซึมซับไว้ด้วยทั้งหมดของหัวใจ.
.
.
.
.
จบตอน 19 แล้วครับ :L2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 3/12/2551
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 03-12-2008 23:53:05
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆได้เจอ พิรุณาแล้ว อิอิ

แถมตอนเนี่ย แฮปปปี้สุดๆ เป็นปลื้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมน่ะเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 3/12/2551
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 04-12-2008 19:27:42
อ่านแล้วอบอุ่นจังเลยตอนนี้ :o8:
อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป :L1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง 3/12/2551
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 13-12-2008 12:29:15
 :L2: :L2: :L2:

ในที่สุดก็ได้อ่านต่อแล้ว

คุณธีน่ารักจัง
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 14-12-2008 23:11:04
อยากจะบอกเพื่อนๆว่าตอนต่อไปนี้เป็นตอนจบแล้วนะครับ


ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนิยายของน้องเมศนะครับ

เป็นปีเหมือนกันนะครับกว่าเรื่องนี้จะจบได้(คนเขียนเก่งมากน้อง)

แล้วไปอ่านบทส่งท้ายกันเลยครับ
.
.
.
.
.
.

บทส่งท้าย


         พิรุณาเอียงศีรษะพลางเพ่งสายตาผ่านกรอบแว่นอ่านตัวอักษรตามความเอียงของหน้ากระดาษที่ถูกยกขึ้นจนตั้งฉาก พลางจิบกาแฟจากถ้วยในมืออย่างไม่รู้ตัวก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าดื่มผิดถ้วย แล้วส่งต่อให้ชายหนุ่มดวงหน้าคมสันที่เอียงศีรษะอ่านตัวอักษรที่เอียงตามหน้ากระดาษเช่นกัน  มือแข็งแรงจับมือนวลให้ถือหูถ้วยกาแฟไว้ ขณะที่ตนดื่มอึกใหญ่  ก่อนจะพยักหน้าโดยที่สรุปไม่ได้ว่ากาแฟอร่อยหรือไม่ พลางอ่านบทสัมภาษณ์ นักเปียโนชื่อดัง ดังขนาดไหนล่ะ? ...นั่งอยู่ข้างๆกันนี่ล่ะ

เมศ : จากอัลบัมชุดนี้ รู้สึกว่าเป็นเพลงแจ๊ส ฟังดูอ่อนหวาน รื่นเริง มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจหรือเปล่า?
พิรุณา: จริงๆแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หันมาจับเพลงแจ๊สแบบเต็มตัวกับเขาบ้างนะครับเลย อยากนำเสนอแง่มุมที่สนุกสนาน เพราะผมว่า เพลงแจ๊สมันสนุกสนานให้อารมณ์รื่นเริงจึงทำเพลงแนวที่ฟังสบายๆ ที่ทุกคนจะได้หยิบมาฟังได้สบายหู

เมศ : แล้วคิดว่าระหว่างแนวเพลงคลาสสิคกับแจ๊สนี่ อย่างไหนที่รู้สึกเป็นพิเศษ
พิรุณา : คลาสสิคกับแจ๊ส ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันครับ แนวคลาสสิคผมรู้สึกพิเศษตรงที่มันรักษาความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ของบทเพลงนั่นที่ส่งต่อผ่านเวลามาเป็นร้อยๆปี จะว่ารู้สึกพิเศษในแง่ของความเคารพก็ได้ครับ ส่วนเพลงแจ๊สนี่ ผมคิดว่ามันพิเศษตรงที่ให้อิสระกับนักดนตรีดีนะครับ นักดนตรีจะได้โชว์ทักษะ ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์และอีกหลายๆอย่างออกมาได้อย่างเต็มที่

เมศ : ทราบว่านอกจากจะเป็นนักดนตรีแล้วยังเป็นเจ้าของไร่กุหลาบด้วย กิจการเป็นยังไงบ้าง?
พิรุณา : ไร่กุหลาบนี่ผมหุ้นกับเพื่อน ช่วยกันคิด ค่อยประคับประคองกิจการเล็กๆให้โต เหมือนปลูกต้นไม้สักต้นเลยครับ วันนี้นำมาฝากด้วย เป็นกุหลาบก้านยาว ไม่รู้ว่าชอบสีไหน เอาเป็นว่าเอาไปทั้งสองสีเลยแล้วกันนะครับ
 
เมศ: นอกจากการเป็นนักดนตรี นักธุรกิจ แล้ว ยังคาดหวังอะไรอีกไหม?
พิรุณา : เรียนจบโทครับ ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร

เมศ : ขอทราบเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวนิดหนึ่ง ถามตรงๆเลย มีคนรักหรือยัง?
พิรุณา : มีแล้วครับ (ตอบแบบไม่ลังเลเลย)

เมศ: เป็นคนแบบไหนคะ คิดว่าอะไรทำให้รู้สึกชอบ
พิรุณา: จริงๆก็หน้าตาธรรมดาๆ แต่ว่าดูสง่า มีความเป็นผู้ใหญ่ดี เป็นที่ปรึกษาที่ดี

เมศ: คุณพิรุณาน่ารักขนาดนี้  ‘คนนั้น’ ขี้หึงหรือเปล่า?
พิรุณา: จะว่าหึงคงไม่ใช่ เอาเป็นว่าหวงกับห่วงดีกว่าครับ ว่าแต่คนนั้นนี่คนไหนครับ

         ธีรธรมองเจ้าของบทสัมภาษณ์ ที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดกับตัวอักษรอ่านยากตรงหน้า ที่เงยหน้ามาส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ริมฝีปากหยักสวยยิ้มรับจางๆอย่างเอ็นดู ก่อนชะโงกหน้าไปใกล้...แทบเอาจมูกฝังแก้ม พิรุณาชี้ที่คำเจ้าปัญหาก่อนจะจ้องมองอย่างรอความหวัง ธีรธรอ่านพาดหัวบทสัมภาษณ์นักธุรกิจหนุ่มสุดฮอต ก็ไม่ใช่คนไกลตัวอีกนั่นล่ะ เห็นหน้าตัวเองยิ้มบาดใจอยู่ในหน้ากระดาษ หล่อขนาดนี้พิรุณายังว่าหน้าตาธรรมดาเสียอีก ธีรธรอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่เดี๋ยวเป็นเรื่อง จะงานเข้ามิใช่น้อย

‘คำไหน? คำนี้หรือ?’ พิรุณาพยักหน้า

‘อ่านว่า เศรษฐกิจ’ มือใหญ่จับมือนวลบางแบออกแล้วใช้นิ้วเขียนเป็นคำอ่านให้

‘เจอตัวแปลกๆแล้วอ่านไม่ค่อยออกทุกที’

‘อ่านไม่ออกหรือไม่ยอมอ่าน’พิรุณาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  ดูนาฬิกา

‘อ๊ะ สายแล้ว ไปเรียนก่อนนะครับ’ร่างโปร่งบางกระโดดแทบจะพุ่งตัวออกจากโซฟา แต่ก็ไม่ทันแขนแข็งแรงที่คว้าเอวไว้ทัน

‘ไปด้วย วันนี้ว่าง’ธีรธรยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่พิรุณายิ้มเหย

‘คุณลีโทรมาบอกว่ามีงานด่วนไม่ใช่หรอครับ’พิรุณายังพยายาม ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผล

“มุสา”

‘แปลว่าอะไร’

‘ภาษาพระ ท่านว่าโกหก’

‘หกแล้วทำยังไง เอาผ้ามาเช็ด’ธีรธรกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง จะขำก็คงใช่หรอก

‘ตลกมาก มุขใหม่ประจำปีนี้หรือไง  แค่ไปเรียนด้วยจะกลัวอะไรนัก’

‘ก็คุณธีทำหน้าดุ เพื่อนๆก็ไม่อยากเข้าใกล้ผมน่ะสิ ครั้งที่แล้วเพื่อนๆนึกว่าผมเอาเจ้าหนี้มาเรียนด้วย’  หลังจากพิรุณามาบอกเรื่องเรียนต่อ ก็ ‘บ้านแทบแตก’ อย่างที่ปองคิดไว้ แต่พิรุณายังยืนยัน และชนะด้วยประโยคเดียว ว่า

‘คุณธีจะเก็บผมไว้ในบ้านเฉยๆ ผมจะเหี่ยวเหมือนกระบองเพ็ชรต้นนั้นแหล่ะ แล้วสุดท้ายก็ผอมซีด แล้วก็ตายไปเลย’ แล้วพอยอมปล่อยให้ไปเรียน ‘สาย’ ก็รายงานอยู่เนืองๆว่า เพื่อนใหม่แต่ละคนหูตาแพรวพราวดูแล้วไม่น่าไว้ใจ สบโอกาสธีรธรเลยมาเป็นผู้ช่วยคอยเฝ้าระวังเสียเอง ผลคือ พิรุณาบ่นไปเป็นอาทิตย์ว่าเพื่อนๆไม่กล้าคุยด้วย

‘เจ้าหนี้ก็เจ้าหนี้’ ธีรธรว่าพลางหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊คมาถือไว้พร้อมกับเสื้อนอกทั้งของตัวเองและพิรุณา พิรุณาทำตาวาว

‘ยืมเงินมาซื้อขนมหน่อยเดียว ทำอย่างกับเป็นหนี้ทั้งชีวิต’พิรุณาทำท่าจะบ่นต่อว่า เงินก็คืนแล้ว แต่มือแข็งแรงนั้นรวบมือนวลบางทั้งสองข้างไว้  พิรุณาเงยหน้าจะทำตาดุใส่เสียหน่อย กลายเป็นว่า ส่ง ‘มุมถนัด’ให้บอสหนุ่มเสียแล้ว ริมฝีปากหยักสวยประทับลงบนกลีบปากบาง  มอบจุมพิตอ่อนหวานทว่ารุ่มร้อนจนแทบหลอมละลาย  ดวงตาสีม่านราตรีพราวระยับ 

“เป็นหนี้สิ เป็นหนี้หัวใจ อยากให้เป็นไปตลอดชีวิตเลย”  ธีรธรหัวเราะ และยิ่งหัวเราะดังขึ้นอีกเมื่อพิรุณาลนลานออกไปนอกบ้านจนเกือบเดินชนประตู

         น่าแปลกที่พวกเขาแทบไม่เคยส่งภาษาบอกรักกัน จะทำอย่างนั้นไปทำไมเล่า..ในเมื่อ ดวงตาเมื่อยามมองสบกัน มันบอกทุกถ้อยคำรักออกมาโดยไม่ปิดบัง จะมีถ้อยคำจากภาษาใดบอกรักได้ลึกซึ้งเท่าแววตาคู่นั้น ที่ทอดมองอย่างอาทร และจงรักอย่างเต็มหัวใจ


END


หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 14-12-2008 23:34:26
อ้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย จบแล้วเหรอ

ประทับใจสุดๆ เลยขอบคุณมากเลยน่ะคับ

หวังว่าจะได้อ่านนิยายดีแบบนี้ อีกน่ะค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 15-12-2008 00:09:19
จบได้อย่างน่ารัก คนอ่านสมหวังกันเป็นแถว :-[
 ขอบคุณน้องเมศที่เขียนเรื่องราวสนุกๆน่าประทับใจให้อ่านกันค่ะ
รอติดตามกันต่อไป :กอด1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 15-12-2008 00:49:56
ขอบคุณสำหรับทุกการเข้าอ่านนะคะ :กอด1:

ไม่รู้ว่าจะมีตอนพิเศษหรือเปล่า ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ

ขอบคุณพี่โน้ตด้วยเน้อ

ปล.เเว๊บกลับไปอ่านหนังสือก่อน  :z10:

หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 15-12-2008 13:46:42
^
^
^
จิ้มน้องภานุเมศ

จบอย่างน่าประทับใจ น่ารักทั้งคู่

หวังว่าเรื่องอื่นๆน้องเมศจะไปต่อให้จบเหมือนกัน (ไม่ได้ทวงนะ แค่หวังว่าเฉยๆ)

ยังไงตั้งใจเรียน  อ่านหนังสือเยอะๆนะคะ  เกรดจะได้ดีๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 23-12-2008 11:42:38
มารอตอนพิเศษค่ะ ได้ข่าวว่าน้องเมศสอบเสร็จแล้ว ขอตอนพิเศษของปองนะคะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 24-12-2008 03:58:11
 :-[
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: speedboy ที่ 25-12-2008 15:07:40
อ่าน  2 วันจบตาเกือบพัง  อิอิ

ขอบคนผูแต่ง  มากๆนะคร้าบ  ตัวละครน่ารักมากคร้าบ

ขอบคุณอีกทีคร้าบ


 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 27-12-2008 02:05:50
พิ่งอ่านจบตรับ
จอคอมผมเกือบพัง
มดตอมเต็มโต๊ะเลย
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: LOT ที่ 13-01-2009 18:51:46
คลาดสายตาไปได้ยังไงนะ เรื่องนี้ หวานดีจริงๆเลย
ตอนเริ่มแรกอ่านแล้วก็เหมือนจะงงนิดหน่อย แต่พอหลังๆ ก็เริ่มอ่านไหลลื่นมากขึ้น
ที่สำคัญทำให้รู้เรื่องเกี่ยวกับดนตรีเพิ่มไปด้วย สงสัยต้องไปหาพวกเพลงคลาสสิคแบบนี้มาฟังบ้างแล้ว

ที่ชอบอีกอย่างคงเป็นความอบอุ่นระหว่างคุณธีและพิรุณาที่สื่อถึงกัน ดวงตามันสื่อได้หมด สุดยอดจริงๆ

ส่วนคู่เคนไม่ค่อยห่วงเนอะ หวานๆ สบายๆ

แต่แอบอยากได้ตอนพิเศษของปอง พีท ถ้าทิ้งเรื่องไว้แบบนี้เราก็คิดเองแหละว่าสองคนนี้คงคู่กันแน่ๆ แต่อยากได้ความมั่นใจ แค่นั้นเอง  :L2:

ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องหวานๆ แบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: meadthat ที่ 17-01-2009 13:11:32
สนุกมากเลยครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 15-11-2009 11:46:13
สนุกมากๆเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบ

ได้ความรู้ด้านดนตรีเพิ่มด้วย  สนุกดี  o13
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 22-11-2009 16:29:17
สนุกมากๆเลยอ่ะ
เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วแทบวางไม่ลงเลย
ชอบบบบบบบบ ชอบบบบบบบบบคร้าบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: runglovely3 ที่ 01-12-2009 20:14:22
สนุกมากๆเลยครับ o13
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 30-12-2009 20:52:32
ชอบเรื่องนี้จังครับ เลยขอโพสต์หนังจีน ที่คุณภาณุเมศพลัง ได้กล่าวไว้ เพราะเป็นหนังที่ผมชอบมากอีกเรื่องหนึ่ง

ขอบคุณ ผู้แต่ง และ ผู้เขียน นะครับ

http://www.youtube.com/v/XGz77eZaIPo&hl=en_US&fs=1& 
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 11-01-2010 01:21:34
เพิ่งเห็นครับว่าเอามาโพสในนี้ด้วย

ตอนที่อ่านเรื่องรักไม่รู้ชื่อ

ก็ตามอ่านที่เด็กดี

ดีใจมากเห็นหลายเรื่อง

ได้อ่านเรื่องนี้ด้วย

นึกว่าไม่มีได้เว็บนี้ครับ

ชอบจังครับ

ธีกับพิรุณา

คิดถึงครับ

ปล.เห็นใจพีทจัง.... :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 12-01-2010 02:05:38
รอได้และเป็นกำลังใจให้เสมอ

ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 13-01-2010 03:48:44
สวัสดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 13-01-2010 08:46:28
สนุกมาก ๆ เลย   :impress2:

ขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ แบบนี้นะจ๊ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 14-01-2010 02:02:33
 :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 15-01-2010 03:24:35
ฝันดีครับ

เป็นกำลังใจให้เสมอ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 16-01-2010 01:38:41
เป็นกำลังใจใหัเสมอครับ
ฝันดีนะครับ
 :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 17-01-2010 00:44:51
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 18-01-2010 01:46:36
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 19-01-2010 00:47:37
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 20-01-2010 00:21:32
 :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 20-01-2010 21:44:38
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 22-01-2010 01:51:41
เป็นกำลังใจให้เสมอ
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 22-01-2010 23:23:39
น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก :-[
เป็นเรื่องที่น่ารัก อมยิ้ม อิ่มเอมหัวใจ มีความสุข บทโต้ตอบระหว่างพอรุณากันธีรธร น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 23-01-2010 01:35:34
ราตรีสวัสดิ์ครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 24-01-2010 02:15:03
เป็นกำลังใจให้ครับ ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 25-01-2010 03:34:48
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 26-01-2010 00:49:49
เป็นกำลังใจให้เสมอ
ฝันดีครับ   :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 27-01-2010 02:35:37
ราตรีสวัสดิ์ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 28-01-2010 02:03:25

 ราตรีสวัสดิ์  :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 29-01-2010 00:37:35
 :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 30-01-2010 03:29:41
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: mysunsa ที่ 30-01-2010 09:27:06
 :sad4: : ซึ้งในหลายๆมุม

เนื้อเรื่องน่าสนใจดี

แม้บางทีจะเรียบเรียงงงไปบ้าง

แต่ก็อ่านได้เรื่อยๆดี อิอิ

เป็นกำลังใจให้นะ
  o13
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 02-02-2010 01:54:49
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 03-02-2010 01:41:13
เป็นกำลังใจให้เสมอ
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ชะนีแก่ ที่ 06-02-2010 15:16:02
 o13 เปิดมาอ่านรวดเดียวจบ   เขียนมาให้อ่านไหมอีกนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: harusame ที่ 06-02-2010 15:31:41
ว้าาาา จบซะแล้วเหรอเนี่ยย

สนุกมากๆเลยฮะ หวานซึ้ง อบอุ่น

ขอบคุณคนโพสท์+คุณเมศจ้าาาา

ปล.ถ้าคุณเมศว่างๆก็ไปอัพอีกเรื่องก็ได้น้าาา รออยู่จ้าาาา
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 07-02-2010 23:23:50
 :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: veevee ที่ 07-04-2010 02:41:25
อ่านรวดเดียว จบเลย


ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆ มาให้อ่าน

 
:pig4:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: kboom ที่ 25-06-2010 16:03:06
ขอบคุณครับ

เป็นเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจมาก ๆ

ทำให้เราได้รู้ว่าชีวิตของคนคนหนึ่งนั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

อยู่ที่เราจะมองเห็นเส้นทางของตัวเองหรือเปล่า

ประทับใจจริง ๆ  ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: GAYLOVELOVE ที่ 26-07-2010 14:35:24
อ่านแล้วประทับใจสุดๆเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: kaowkong ที่ 08-09-2010 01:28:19
ชอบเรื่องนี้จัง...

น่ารักดีคร้าบบ :o8:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 05:34:55
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: treerat002 ที่ 06-01-2011 21:13:11
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ

อ่านจบแล้วมีความรู้สึกว่าเต็มตื้นมากเลยค่ะ  :-[

ขอบคุณที่สร้างสรรสิ่งดี ๆ แบบนี้มาให้ได้ชมนะคะ  o13

ขอบคุณ..ทั้งไรเตอร์และคนโพสท์ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 25-01-2011 00:40:19
เพิ่งมาอ่านค่ะ เรื่องนี้น่ารักมากเลย ไม่แน่ใจว่าไรท์เตอร์จะยังมาอ่านเมนท์มั้ยน้า แต่ไงก็จะ้เม้น 555

ยังอ่านไม่จบค่ะ แปะไว้ก่อน พรุ่งนี้มาต่อ อิๆ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 25-01-2011 04:18:45
ยังเข้ามาอ่านค่ะ

ทุกครั้งที่ เห็นคอมเม้นต์ว่ากระทู้เด้งมาหน้าเเรกของนิยายจบเเล้ว ก็ยังเเวะเข้ามาอ่านเรื่อยค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 25-01-2011 19:02:33
โอ๊ะ ไรท์เตอร์มา  :o8:

ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ มีทุกรสชาติ และไม่ทรมานคนอ่านจนเกินไป (หรือเพราะมาอ่านตอนจบแล้วก็ไม่รู้ 55)

ภาษาสวยมากค่ะ อ่านแล้วซาบซึ้งดี

แต่มีข้อตินิดนึงตรงไม่เข้าใจว่าคนหูไม่ดี เป็นนักดนตรีได้ไง กับบางครั้งที่เรารู้สึกว่า พิรุณา ไม่ได้ยินใช่มั้ย เพราะบางทีตอบโต้กับคนอื่นๆเหมือนได้ยินปกติน่ะค่ะ

อีกอย่างคือ ซิลเวอร์ อากิระ ค่ะ คือปูพื้นมาความแค้นดูรุนแรง ถึงขั้นต้องตายกันไปข้าง แต่ตอนที่ยอมเลิกรา มันง่ายไปนิด คือถ้าเป็นคนที่น้ำใจนักกีฬาจริงๆ น่าจะยอมรับในฝีมือนายเอกมานานแล้ว และเป็นคู่แข่งแบบที่แข่งกัน แต่ก็นับถือกันมากกว่า

แต่อย่างที่บอก แม้จะมีความรู้สึกไม่สมจริงในบางจุด แต่ความลำเอียงทำให้อดจะชอบไม่ได้อะนะ ก็พระนางเค้าน่ารัก 555 แถมมีคู่อื่นประกอบอีก นอกจากที่ติไปข้างต้นแล้วเราชอบส่วนที่เหลือหมดเลยนะ ทั้งตัวละคร พล็อตเรื่อง เหตุการณ์ต่างๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่ทำให้อ่านไปยิ้มไป บวกน้ำตาซึมบางตอน อิๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 29-03-2011 14:56:47
ปองงงงงงงงงงง  จริง ๆ ในเรื่องนี้ชอบปองนะ
เพราะดูนิสสัยน่าทะนุถนอมดียิ่งตอนอยู่กับพิรุณาดูน่ารักกันดี
อยากได้ตอนพิเศษของปองบ่างจัง

ขอบคุณคนแต่งคนโพสต์มากนะครับที่นำนิยายดี ๆ มาให้อ่าน ชอบมากครับดูซาบซึ้งดี
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 19-11-2011 23:50:38
เพิ่งจะอ่านจบ
เป็นนิยายเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งเลยค่ะ
แม้ไม่ได้ยิน และแม้ไม่ได้บอกรักกัน แค่ความรักของที่ทั้งสองแสดงใส่กันก็รู้แล้วว่ารักกันมากมาย
 o13
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Hikaru23 ที่ 25-07-2012 20:51:05
ชอบเรื่องนี้จัง แต่ละคู่น่ารักดีกว่าจะลงเอยกันได้ก็ย่อมมีอุปสรรคเป็นธรรมดา แต่แอบลุ้นคู่ปอง สุดท้ายก็เป็นได้แค่เพื่อนกันเสียดายนิดนึง คู่หลักน่ารักมาก ชอบคุณธีจัง^///^ เป็นชายหนุ่มที่เจอคนที่ใช่ก็มั่นคงดีเสมอต้นเสมอปลายแม้จะแอบน้อยใจนิดนึงก็ตาม
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: mulli ที่ 26-07-2012 14:13:09
 :pig4:อิ่มเอมเนอะ ได้ฟังเพลงเพราะด้วย
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: na-au ที่ 21-10-2012 20:41:25
สนุกดีจ้า..... แต่สงสารปองจังเลย........ :monkeysad: :monkeysad:

ขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ เรื่องนี้  o13 o13
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: wews ที่ 01-11-2012 21:19:51
อ่านแล้วอมยิ้ม
 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-02-2013 09:43:34
จบแล้ว

แม้ว่าคู่ของปองจะไม่สมหวังก็ตาม

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆขอรับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 03-05-2013 16:53:30
ขอแปะไว้ก่อน
กลัวหาไม่เห็น :L2:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: raviiib❁ ที่ 07-10-2013 21:30:27
เนื้อเรื่องน่ารักมาก เชียร์พี่ธีมาตั้งแต่เนิ่นๆ
เนื้อเรื่องอุ่นสุดๆ ไม่มีความรู้เรื่องดนตรีก็เข้าใจค่ะ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 22-02-2014 22:30:49
ชอบมากเลยยย ในเรื่องเต็มไปด้วยเพลงหวานๆฟังแล้วมีความสุขจริงๆนะ
ในเรื่องเนี่ย พีทน่าสงสารที่สุดเลย ปองก็ใจร้ายสุดๆ อยากมีตอนพิเศษที่ทั้งคู่ได้เริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะ

ส่วนคุณธีเนี่ย น่ารักสุดๆ ชอบผู้ชายที่ดูขรึมๆ แต่ขี้อ้อนน น่ารักอะ!
พิรุณา ในที่สุดก็มีความสุขที่แท้จริงได้ซักที
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: - lloJ!จิ้a - ที่ 24-02-2014 11:00:34
หวานซึ้งตรึงตราใจ ปลื้มปริ่มสุดๆหับเรื่องนี้  :hao5: :jul3:

กอดแรงๆหนึ่งทีเป็นการให้รางวัล  :man1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 07-07-2014 14:36:00
หวานกันจนอิจฉาเลยนี่
ขอบคุณทั้งคนแต่งและคนอัพเลยค่า
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 25-07-2014 02:44:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 06-12-2014 00:18:17
อ่านแล้วมีความสุขมากครับ โรแมนติค หวานซึ้ง แต่เรื่องของปองก็เศร้ามากเช่นกัน

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 25-08-2015 09:31:05
ตามมาอ่านเรื่องนี้จากในกระทู้แนะนำนิยาย
แล้วก็ไม่ผิดหวัง เนื้อเรื่องแปลกดี ภาษาสวย อ่านแล้วไม่เบื่อเลยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 00:32:48
 :mew1:
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 12-03-2022 21:04:45
  ประตูลิฟท์เปิดอีกครั้งที่ชั้น7 ชายร่างสูงโปร่งสวมโค้ดสีน้ำตาลทับเสื้อเชิ้ตขาวก้าวเข้ามา  คิ้วเรียวขมวดอย่างอารมณ์เสีย สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นด้วยเสียงที่ดังมาก มันทิ่มแทงโสตประสาทของบอสหนุ่มเข้าอย่างจัง  แต่ดูเหมือนเจ้าของมันจะไม่ได้รับรู้เลยสักนิด  และในที่สุดความอดทนของบอสหนุ่มก็หมดลง

“คุณ โทรศัพท์” ชายร่างสูงโปร่งนั่นก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยิน
“คุณ!”บอสหนุ่มเพิ่มความดังของเสียงขึ้นอีก  ซึ่งฟังดูเหมือนตวาดมากกว่าการเรียกอย่างสุภาพ แต่ผลก็เหมือนเดิม  จนในที่สุดลิฟท์ก็เลื่อนตัวจนถึงชั้นหนึ่ง  ชายร่างบางในโค้ตสีน้ำตาลเดินออกจากลิฟท์ไปอย่างไม่สะทกสะท้าน  บอสหนุ่มเสยผมอย่างหัวเสีย คนบ้าไรวะ!!
เอาไงแน่ เลือกมาซักอันสิ
หัวข้อ: Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 15-03-2022 00:00:59
 :pig4: