INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง  (อ่าน 158721 ครั้ง)

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #150 เมื่อ01-02-2008 17:08:09 »

เดลโชกับเคน  มีอีกคู่แล้วสิ   :m13:

เพลงเพราะดีจัง   :m1:  :m1:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #151 เมื่อ01-02-2008 19:41:16 »

อ้างถึง
“ปอง   ถามพ่อหนูพิรุณาทีสิว่าจะรับน้ำมะตูมเย็นๆสักแก้วไหม?”ปองหันไปรับคำกับหญิงวัยกลางคนเป็นญาติห่างๆของเขาเอง ก่อนจะส่งภาษามือให้พิรุณา  พิรุณายิ้มรับรีบหยักหน้าหันที

‘ทำไมเมืองไทยถึงมีแต่ของน่ากินนะ’พิรุณาส่งภาษามืออย่างมีความสุขก่อนจะหยิบขนมสอดไส้มากินอีกห่อ

‘เอาไว้เดี๋ยวเย็นๆเราไปเดินตลาดนัดกันนะครับ’ปองชวนพิรุณารีบหยักหน้ารับทันที

‘แต่ก่อนไปคุณพิรุณาจะไม่ติดต่อคุณเกรซหรือคุณเคนก่อนหรือครับว่าเราอยู่กันที่นี่’

‘ไม่ล่ะคุณปอง  แค่โทรบอกต้นสังกัดก็พอว่าจะรับงานที่วงที่นี่ชวน’ปองพยักหน้า



คือ ... เค้างงอ่ะ
ไอ้ตรงแดง ๆ ... ไมตาปองพยักหน้า แต่พิรุณาเป็นหยักหน้า เค้างง

ขอโทษคร้าบบบบบ ความผิดของข้าพเจ้าเองที่ตรวจไม่ดี

"พยัก"หน้าครับ, "ทัน"ที  o2

ขอบคุณที่ช่วยกันพิสูจน์อักษรนะครับ (อายจริงๆ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-02-2008 19:47:08 โดย snowblack »

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #152 เมื่อ01-02-2008 19:51:25 »

ขอบคุณที่ยังติดตามพิรุณานะคะ (ดีใจ)

:m20: อ่านคอมเม้นต์เเล้ว ตีความนานมากเรื่องพยักหน้า เป็นหยักหน้า  ถึงกับต้องระดมสมองกับพี่โน้ตเพื่อตีความคอมเม้นต์   หลังจากงงอยู่นาน ได้ข้อสรุปค่ะเมศพิมพ์ผิด พี่โน้ตก็ไม่ทันมอง สงสัยเบลอๆกันทั้งคู่ 55+ ต้องขออภัยนะคะ  จะเเก้ก็กลัวอักษรมันไม่เท่าเดิม

ปล.ก็บอกเเล้วอย่าพิมพ์ฟิคตอนดึกๆ (อย่าตรวจพิสูจน์อักษรดึกๆด้วย) กร๊ากกกกกกกกกก

(มันฮาตรงที่งงกันอยู่นานนี่เเหล่ะ55+)

ขออภัยในข้อผิดพลาดนะคะ


เพลงเพราะเน๊อะ เมศก็ชอบมากค่ะ   สำหรับเพลงA time for us เป็นเพลงที่กล่าวไว้ในเรื่อง"สุดปลายสะพาน"(น่าจะรู้จักกันหลายคนเน๊อะ) ซึ่งชอบนิยายเรื่องนี้มากๆเช่นกัน เพราะมันอ่านเเล้ว หดหู่ เศร้า ดึงอารมณ์ให้หม่นหมองได้สุดๆดี ลองหาอ่านดูได้นะคะ สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านเเละสนใจ ตามร้านหนังสือทั่วไป โดยเฉพาะที่นายอินทร์ เล่มละ160 (ไม่เเน่ใจว่าเท่าไหร่ เเต่ไม่เกิน200)มีนะคะ (เเต่ถ้าใครไม่ชอบเเนวเศร้าไม่เเนะนำนะ อาจหดหู่ไปหลายวันได้)

ขอบคุณอีกครั้งที่เข้ามาอ่านผลงานของเมศนะคะ :oni1:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #153 เมื่อ02-02-2008 00:22:26 »

จะรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเลยค้าบบบบบบบบบบบบบบ ชอบ อิอิ

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #154 เมื่อ07-02-2008 14:35:01 »

 :m1:อ่านทันแล้ว เย้ๆๆๆๆๆ
อ่านตั้งกะเมื่อคืน อิอิ :m29:
ไม่ได้ทำงานเลยอ่ะ   :m20: ถือโอกาส
หนุกดีน้องเมศ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจกันล่ะ  :m13:
ขอแบบตอน11 เยอะๆนะ พี่ชอบบบบ o13

three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #155 เมื่อ07-02-2008 15:07:08 »

ขอบคุณมากนะครับผม :pig4:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #156 เมื่อ09-02-2008 22:52:43 »

พิรุณาเดินตามปองไปตามทางเดินแคบๆที่สองข้างมีแผงลอยขายอาหารกลิ่นหอมฉุยลอยมากระทบจมูกตลอด  ดวงตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นอาหารที่ต้องใจจึงรีบคว้าเสื้อปองไว้ให้หันมา  ปองยิ้มเมื่อพิรุณาส่งภาษามือให้ว่าต้องการอะไร ก่อนจะซื้อให้แล้วส่งขนมเบื้องถุงใหญ่ให้พิรุณา พลางคิดในใจว่าพิรุณาตอนนี้ช่างเหมือนเด็กสาววัยรุ่นเสียจริง  เพราะพิรุณาขี้ร้อนจึงใส่เสื้อคอกลมสีเขียวสวมกางเกงขาสั้นสีขาวแถมยังมัดผมด้านหลังที่ยาวปรกต้นคอขึ้นไปจึงมองเผินๆแล้วเหมือนเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวสบายๆมาเดินเล่นเสียมากกว่า

‘ป้ายนี่อ่านยังไง?’พิรุณาส่งภาษามือให้ปองแล้วชี้ไปที่ป้าย ‘ขนมจีนแม่สวิง’

‘คำไหนหรือครับ?’ปองเองก็หยุดยืนมองป้ายนั้นด้วยจนคนผ่านไปผ่านมามองแบบสงสัยว่าสองคนนี้ดูป้ายอะไรกัน

‘คำนี้’พิรุณาชี้ไปที่คำว่า ‘สวิง’

‘ขนมจีนแม่swing??ตลกจัง  ชื่อแปลกชะมัด’ปองขำที่พิรุณาเข้าใจผิดจนออกอ่าวไปเสียไกล

‘อ่านว่า สะ-หวิง ครับ ภาษาไทยออกเสียง ห.หีบนำหน้า’ปองสะกดคำออกเสียงเป็นภาษาอังกฤษให้พิรุณาโดยเขียนลงบนฝ่ามือของพิรุณา

‘ยากจังเลยนะ ภาษาไทยเนี่ย ถ้าอ่านผิดก็ผิดความหมายหมดใช่ไหม?’

‘ครับ  แต่คงไม่ถึงกับเปลี่ยนภาษาให้เลยเหมือนคุณพิรุณาหรอก’ปองยิ้มขำกับพิรุณาที่ทำแก้มป่องมองป้าย อย่างพิจารณาจริงจัง

‘อยากอ่านภาษาไทยคล่องๆนี่นา’

‘พยายามอีกนิดก็ได้แล้ว ไปต่อกันดีกว่านะครับ’พิรุณาพยักหน้ารับแล้วเดินกันต่อไป ฝ่าฝูงชนที่มาจับจ่ายซื้อของเข้าไป

             พิรุณาอ้าปากกว้างพลางจับขนมที่ทำจากแป้งแผ่นบางมีครีมสีขาวหวานๆกับเส้นๆสีเหลืองๆโรยอย่างอร่อย โดยไม่ทันระวัง  พิรุณาก็ถูกกระแทกแทบเซถลา ดีที่มีมือแข็งแรงของใครบางคนช่วยคว้าไว้ได้ทัน  แต่ไม่เร็วพอจะคว้าขนมที่ร่วงลงพื้นไปเสียแล้ว พิรุณามองอย่างเสียดาย สร้อยคอเส้นยาวที่มันติดตัวเสมอเลื่อนไหลออกมาอยู่นอกเสื้อ  พิรุณาจึงรีบจับมันไว้มิให้แกว่งไกว

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”พิรุณามองคนที่ช่วยพยุงตนไว้แต่ไม่อาจอ่านคำพูดจากปากได้ เขาได้แต่พยักหน้าแบบส่งๆให้แล้วรีบพละจากมาอย่างเร่งร้อน  ไม่ทันได้สังเกตุเห็นแววตาพึงใจระคนสงสัยของชายคนนั้น       หลังจากพิรุณาพละจากไปแล้ว  เสียงโทรศัพท์มือถือของชายคนนั้นก็กรีดเสียงดังแทรกเสียงเพลงลูกทุ่งที่เปิดดังสนั่น เขารับโทรศัพท์เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอว่าเป็นใครที่โทรหาเขาในเวลาว่างอันน้อยนิด

“ว่าไงไอ้คุณธี  ฤกษ์งามยามดีอะไรเอ็งถึงโทรหาข้าได้วะเนี่ย?”

“เออน่า ข้าแค่โทรมาเซย์ฮัลโหลเว้ย  จะบอกว่าอยู่สุวรรณภูมิแล้ว  ว่างๆจะไปกลิ้งบ้านเอ็ง  บอกป๊ากับแม่เอ็งไว้ด้วย”เสียงจากอีกฟากของโทรศัพท์ยังมีเสียงเครื่องบินให้ได้ยินอยู่ไกลๆ

“เออ  มาเมื่อไหร่ก็มาเหอะ ไม่ก็ไปหาที่รพ.ก็ได้ จะได้หาอะไรกินที่ท่าน้ำ”

“เออ  แล้วนี่อยู่ไหนวะเสียงดังชิบ”ปลายสายบ่นอุบเมื่อเพลงลูกทุ่ง สาวน้อยบ้านนา สปาบ้านทุ่งดังเข้าไปในโทรศัพท์

“ตลาดนัดแถวบ้านว่ะ  เมื่อกี้เจอสาวน้อยคนนึงน่ารักชะมัด  ไม่รู้ลูกสาวบ้านไหน?”

“อ้าวเพื่อน  คิดจะพรากผู้เยาว์หรือเนี่ย”

“เปล่าเว้ย  แค่ติดใจ  เออๆแค่นี้นะ ไว้จะมาเมื่อไหร่บอกแล้วกัน แค่นี้นะ”ชายหนุ่มคนนั้นกดตัดสายแล้วเดินหาของกินต่อไปพลางคิดว่า เด็กสาวหน้าตาสะสวยคนนั้นเป็นลูกสาวบ้านไหนในระแวกนี้หนอ? ที่สำคัญสร้อยเส้นนั้นคุ้นตาเหลือเกิน







         เกรซในชุดราตรีเปิดหลังสีม่วงเข้มเกือบดำเดินตามแผ่นหลังอันคุ้นตาขึ้นไปบนเวทีเพื่อบรรเลงเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้  เสียงปรบมือสนั่นราวห่าฝนทำให้เกรซยิ้มกว้าง อย่างที่ทำทุกครั้ง ก่อนจะหยุดยืนแล้วโค้งให้ผู้ชมอย่างงดงามเช่นเคย   ร่างสูงผู้เป็นคอนดักเตอร์โค้งให้ผู้ชมอย่างสง่างามไม่แพ้กัน  ดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวน้อยๆมองเกรซอย่างชื่นชมครู่หนึ่งแล้วรีบกลบเกลื่อนเมื่อดวงตาสีฟ้าใสนั้นหันมาสบตากัน นี่เป็นโอกาสน้อยครั้งที่เขาได้ร่วมเวทีกับเกรซ  เมื่อเสียงปรบมือซาลงจนเงียบสนิท ลีอองพยักหน้าน้อยๆให้สมาชิกในวง และหันมาพยักหน้าน้อยๆให้เกรซ  เธอยิ้มรับอย่างมั่นใจในตัวเอง แล้วยกไวโอลินขึ้นเตรียมพร้อม  เสียงกระหึ่มโหมของวงออเครสตร้าดึงอารมณ์ผู้ชมให้พุ่งเข้าสู่ห้วงแห่งความสุนทรีย์อย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงไวโอลินหนักแน่น เสียงไวโอลินที่สีเน้นจังหวะแสดงถึงทักษะอันยอดเยี่ยมของผู้บรรเลงราวกับจะยั่วยุให้เครื่องดนตรีอื่นตอบรับ ดวงตาสีฟ้าใสที่แปลเป็นสีน้ำเงินเข้มนั้นมองวาทยากรที่โบกไม้บาตองเพื่อควบคุมเสียงทั้งหมด  นิ้วกดไล้ไปตามคอของไวโอลินอย่างเชียวชาญทำให้เกิดเสียงพริ้วไหวแผ่วเบา สลับกับการดีดให้เกิดเสียง โดยมีเสียงออเครสตราคลอประกอบเบาๆ  เกรซไหวตัวน้อยๆตามอารมณ์ของเพลงจนต่างหูผีเสื้อไหวล่อแสงไฟ ออเครสตร้าโหมขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้ราวกับไม่มีใครยอมใคร ลีอองเหลือบมองเกรซอย่างชื่นชมในฝีมือ  เขาเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน รู้สึกว่าบนดวงหน้าของตนมีเหงื่อซึมไปหมด จวบจนช่วงสุดท้ายของเพลง จังหวะเร่งเร้ามากขึ้น เขาแกว่งไม้บาตองไปมาอย่างรวดเร็ว สอดประสานท่วงทำนองให้เข้ากับการบรรเลงของเกรซที่เขาลงความเห็นว่าค่อนข้างเอาแต่ใจนักที่ชักจังหวะให้ยืดออกไปจากตอนซ้อม  แต่ก็เอาเถอะอย่างไรเสียเขาจะไล่ต้านจนถึงที่สุด  จังหวะเร่งเร้ารัวเร็วช่วงท้ายทำให้เขานึกนิยมในความเก่งกาจของเกรซยิ่งขึ้นไปอีก แม้ออเครสต้าจะเร่งร้อนเพียงไหน แต่เกรซก็สามารถต่อสู้กับเสียงรอบข้างได้อย่างยอดเยี่ยมและงดงามยิ่ง!!!  เสียงปรบมือราวห่าฝนทำให้เกรซหลุดจากห้วงแห่งการดำดิ่งนั้นช้าๆ  เธอโค้งอย่างสง่างามให้ผู้ชมอีกหลายครั้ง ลีอองลงจากยกพื้น แล้วโค้งให้ผู้ชมอย่างสง่างามก่อนจะหันไปจับมือเกรซ  ทีมงานเตรียมดอกไม้ช่อใหญ่มารอไว้แล้ว

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมบรรเลงกับคุณ”ลีอองกระซิบที่หูเพราะเสียงปรบมือยังคงดังสนั่น เกรซหัวเราะแล้วตอบ

“ไปกินอะไรมา ทำไมพูดเพราะจัง  ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย อย่ามาทำซึ้งน่า”ลีอองยิ้ม ดวงหน้าโหดนั้นวันนี้ดูดีขี้นจากการโกนหนวดเคลาเสียเกลี้ยงเกลา เส้นผมสีเข้มนั้นเสยขึ้นทำให้ดูสุภาพราวกับสุภาพบุรุษสมัยโบราณที่หลุดออกมาจากภาพยนต์  ลีอองมอบดอกไม้ช่อโตที่ทำเป็นทำเนียมทุกครั้งที่มีSoloistมาร่วมแสดง  แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น


         ลีอองสบตาสีฟ้าใสของเกรซอย่างมั่นคง แน่วแน่  ก่อนจะทรุดกายลงชันเขาข้างหนึ่ง  เสียงปรบมือเงียบลงจนน่าใจหาย  เขาเหงื่อแตกซิกที่ไรผม  รู้สึกมือสั่นจนไม่รู้ว่าตัวเองจะหยิบของในกระเป๋าถูกชิ้นหรือเปล่า  เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในหยิบบางสิ่งออกมา  เกรซมองกริยานั้นตาไม่กระพริบ รู้สึกงงๆจนทำอะไรไม่ถูก

“แต่งงานกับผมนะครับ”ดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวมองเกรซอย่างคาดหวังกับคำตอบที่จะได้รับ  แต่เกรซกลับขมวดคิ้วจนเขาชักหวั่นใจ

“ขอแต่งงานด้วยกุญแจรถเนี่ยนะ?”ลีอองถึงกับชะงัก กระพริบตาถี่ๆไล่ความงุนงงก่อนจะก้มลงดูสิ่งที่อยู่ในมือ

“เฮ้ย....!!!” ภาพของวาทยากรหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังเงอะงะล้วงกระเป๋าอกเสื้อตัวเองทำให้เกรซหัวเราะ

“เอาใหม่นะ เดี๋ยวก่อน ผมลืมไว้ไหนเนี่ย”ลีอองค้นกระเป๋าตัวเองเป็นที่วุ่นวายจนผู้ชมแอบหัวเราะอย่างสนุกสนานพร้อมกับลุ้นไปด้วย 

“คุณรออยู่นี่ก่อนนะ” ลีอองกระวีกระวาดลุกขึ้นแล้ววิ่งหายไปหลังเวทีราวกับที่นี่มีเพียงเละเกรซสองคน   เกรซมองตามร่างสูงนั้นแล้วอมยิ้มน้อยๆ รู้สึกตัวอีกทีเมื่อหันกลับมาเห็นว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางสายตาเป็นร้อยๆคู่  สายตาเหล่านั้นกำลังอยากรู้อยากเห็นเต็มที่   เกรซได้แต่ก้มลงมองดอกไม้ช่อใหญ่ในอ้อมแขนแก้อาการเขิน จนลีอองวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาอีกครั้ง  เขาคุกเข่าลงในท่าเดิม 

“เกรซ  แต่งงานกับผมนะ”ลีอองพูดพลางหอบพลาง เกรซมองหน้าที่เหงื่อซึมจนไหลย้อยก่อนจะมองแหวนวงน้อยที่หัวแหวนเป็นรูปผีเสื้อตัวน้อยทำจากไพลินน้ำงาม  เสียงเชียร์จากผู้ชมตะโกนมาว่า ‘yes yes’จนเสียงนั้นดังลั่นราวกับมีแข่งเบสบอลเสียมากกว่ามีคอนเสิร์ต

“ว่าไงครับ?”เกรซยกไวโอลินบังหน้าตัวเอง  ก่อนกลั้นใจส่งมือซ้ายให้เสียงเฮลั่นราวกับเชียร์ฟุตบอลทำให้เกรซรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไรแล้ว

“ผมรักคุณครับเกรซ ขอบคุณที่ยอมแต่งงานกับผม”ลีอองกอดเธอไว้แน่นแล้วกระซิบที่ข้างหูท่ามกลางเสียงปรบมือจากผู้ชมประกอบกับเสียงกระทืบเท้าอย่างยินดีจากสมาชิกในวง






 



         ปองกำลังมองหาห้องซ้อมให้พิรุณาสักห้องเขาลองติดต่อสตูดิโอที่คิดว่าใกล้ที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีห้องให้เช่าได้เลย   จึงลองสุ่มถามตามโรงเรียนดนตรี  แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการจำกัดเวลา และความเป็นส่วนตัว  ปองวางโทรศัพท์ลงอย่างเหนื่อยหน่าย นี่ล่ะคือปัญหาของการมาอย่างกระทันหัน พิรุณาได้รับรายชื่อเพลงที่แสดงแล้วแต่ก็ไม่ว่าอะไรดูจะกระตือรือร้นกับของกินมากกว่าซ้อมเสียอีก  แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ อย่างไรเสียพิรุณาก็ต้องมีห้องซ้อมก่อน แล้วหลังจากนั้นจะไปซ้อมกับที่วงก็ว่ากันอีกเรื่อง  ปองเดินไปนั่งที่ตีนท่าที่มีต้นไทรใหญ่เอนทอดลำต้นลงเหนือผิวน้ำ เสียงเสียดสีกันของใบไม้ช่วงให้ใจสงบลงจนได้ยินเสียงดนตรีแผ่วเบาอยู่ไกลๆ  เสียงเปียโน ที่แม้จะไม่พลิ้วไหวเพราะพริ้งเท่าฝีมือพิรุณา แต่ก็เป็นเสียงเปียโนแน่....แล้วถ้าลองขอยืมซ้อมสักหน่อยก็ไม่น่าจะเสียหาย  ปองรีบออกเดินไปตามเสียงนั้น ไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม ผ่านประตูไม้เก่าหนักที่เปิดข้างไว้เข้าไป


         เรือนไม้สีเข้มกึ่งตึกปรากฏออกมาจากหลังเงาร่มไม้ของต้นมะม่วงสูงใหญ่ที่กำลังออกผลสีเขียว เสียงสุนัขเห่าไกลๆทำให้เสียงเปียโนหยุดลง  ใครคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่าง  ดวงหน้าอย่างคนไทยเชื้อสายจีนเขม่นมองปองพลางพยายามนึกว่าเคยเห็นที่ไหนหรือไม่

“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าของบ้านถามอย่างสุภาพ

“เอ่อ  ผมมาจากบ้านฝั่งตรงข้ามนะครับ”

“ครับ บ้านคุณป้าติ๋มใช่ไหมครับ?”ปองยิ้มตอบรับเล็กน้อย ดวงตาของปองเลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่ตราบนอกเสื้อของชายหนุ่ม

“คุณเป็นหมอหรือครับ?”

“ครับ คุณคงเป็นหลานของป้าติ๋มที่เห็นว่าเพิ่งกลับจากต่างประเทศ”

“ครับ  ผมชื่อปอง  เอ่อ ...เข้าเรื่องเลยนะครับ  ผมได้ยินเสียงว่าบ้านคุณมีเปียโน  เลยอยากยืมห้องซ้อมหน่อยนะครับ  พอดีนายจ้างของผมต้องการห้องสำหรับซ้อมเปียโนที่ใกล้ๆบ้านเราหน่อย แต่หาไม่ได้เลย เลยตัดสินใจมาขอเช่าจากคุณ  คิดเป็นชั่วโมงก็ได้ครับ ถ้าคุณจะกรุณา” แพทย์หนุ่มมองปองอย่างพิจารณาแล้วตกปากรับคำอย่างแทบไม่ต้องคิด

“ได้ครับ  ผมให้ยืมห้องซ้อมฟรี ไม่คิดเงินหรอกครับ ผมเองก็อยากฟังเพลงฝีมือคนอื่นสดๆบ้าง”ปองยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

“ขอบคุณมากครับ   ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้นายจ้างผมมาซ้อมได้เมื่อไหร่ครับ?”

“เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ครับ  เอาเป็นว่าแล้วแต่สะดวกเลยแล้วกัน  เพราะผมเองก็ทำงานไม่ค่อยเป็นเวลา  เรือนนี้ก็ไม่มีคนเข้าออกอยู่เล้ว เดี๋ยวผมเรียนคุณแม่ไว้ว่าพวกคุณจะมาใช้แล้วจะฝากกุญแจไว้กับท่านนะครับ”

“ขอบคุณมากครับ”แพทย์หนุ่มหายไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมหญิงสูงวัยที่อยู่ในเสื้อสีเหลืองกับกางเกงผ้าสีเลือดหมูเข้ม  ดวงหน้านั้นบอกชัดว่าเป็นผู้มีสายเลือดร่วมกัน


“ป้าติ๋มเพิ่งบอกป้าเองว่าปองกลับมาแล้ว  ไม่พบกันนานนะ  เป็นอย่างไรบ้างล่ะเรา?”ปองมองผู้มาใหม่อย่างพิจารณารู้สึกคลับคล้ายคลับคลายอยู่ไม่น้อย

“ก็สบายดีครับ”

“แล้วน้องสาวเราล่ะ ไม่กลับมาด้วยหรือ?”ปองเงียบไปนานกว่าจะตอบ

“น้องป่าน เอ่อ...เสียเล้วครับ”จากคำตอบที่ได้รับทำให้ทั้งสามเงียบอยู่นาน

“อย่างนั้นหรือ? เสียใจด้วยนะ  เรื่องห้องเปียโนจะมาเมื่อไหร่ก็มาเถอะ ป้าให้กุญแจไว้เลย  เผื่อเด็กๆในบ้านไม่อยู่จะได้ไม่ต้องรอกันไปรอกันมา”ปองยกมือไหว้หญิงสูงวัยตรงหน้าแล้วรับกุญแจมา

“ฟ่งไปส่งน้องปองหน้าประตูนะ  กันไอ้แด่นด้วย  ไม่รู้เดินเข้ามาได้ยังไงโดยที่ไอ้แด่นไม่กัด”มารดาของแพทย์หนุ่มหัวเราะปองอย่างเอ็นดู  แต่ปองกลับสะดุดใจกับคำว่า ‘น้อง’เป็นพิเศษ

“ไม่ต้องลำบากพี่ฟ่งหรอกครับ ผมลาเลยจะดีกว่าครับ สวัสดีครับ”

“เดี๋ยวครับน้องปอง  พี่กำลังจะออกไปเข้าเวรพอดี”

“น้องปองกลับมาคราวนี้ จะอยู่นานแค่ไหนหรือครับ?”ฟ่งถามพลางเดินเคียงปองไปจนถึงหน้าบ้าน

“ยังไม่มีกำหนดหรอกครับ อย่างน้อยที่สุดก็2-3เดือน เพราะคุณพิรุณามีงานที่นี่”

“คุณพิรุณา?”

“นายจ้างของผมน่ะครับ”

“พิรุณา ตาเซท??นักเปียโนที่หูไม่ดีคนนั้นน่ะหรือ?”

“ครับ”ปองรับคำสั้นๆ ก่อนจะขอตัวแยกกลับเข้าบ้าน  เพราะชายคนนี้มีลักษณะหลายอย่างที่ทำให้เขานึกถึงใครอีกคน  ที่ควรถูกฝั่งไว้ในความทรงจำที่ลึกที่สุด......................พีท










         ธีรธรขับรถจากบ้านตนเองมายังย่านชานเมืองเพื่อมาเยี่ยมเยือนเพื่อนรักที่ไม่พบกันนานกว่าสามปี เขาขับรถไปตามย่านชานเมืองที่ค่อนข้างคุ้นตาเพราะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากมายนักพลางฟังเพลงบรรเลงเดี่ยวเปียโนพริ้วไหว กล่องซีดีที่ภาพปกเป็นรูปใบไม้สีเขียวสดดูแช่มชื่นกำลังถูกหยาดน้ำฝนคลอเคล้า ชวนให้นึกถึงเจ้าของเสียงเพลงเป็นอย่างยิ่ง   ระหว่างที่กำลังรอให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสีนั้นเขาหันไปมองความวุ่นวายของโลกภายนอก  ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ท่ามกลางแดดร้อนเริงแรง  ดวงตาสีม่านราตรีกาลสะดุดเข้ากับแผ่นหลังหนึ่งที่เดินอยู่ไวๆ  แผ่นหลังโปร่งบางนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมคราม  เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยน ธีรธรรีบเบี่ยงเลนขับตามหัวใจตัวเองทันที  เขากระโดดลงจากรถแล้ววิ่งตามร่างที่คิดถึงไป  อีกนิดเดียวจะถึงแล้ว  แค่เอื้อมมือคว้าก็ถึงแล้ว

“พิรุณา....”มือแข็งแรงแตะลงบนไหล่บางนั้นอย่างคาดหวัง  แต่ดวงหน้าที่หันกลับมา  กลับไม่ใช่คนที่เขาคนึงหา

“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”หญิงสาวดวงหน้าสดใสกล่าวอย่างงงงัน

“ขอโทษครับผมทักคนผิด” ธีรธรดินกลับมายังรถของตัวเองด้วยหัวใจห่อเหี่ยว  ระหว่างทางเดินกลับเขาแวะซื้อเค้กช็อคโกแลตที่เขารู้ว่าพิรุณาชอบมาด้วย  ทั้งที่เขาไม่ค่อยชอบของหวาน  แต่มันก็อดไม่ได้  ถือเสียว่าเป็นของฝากให้ไอ้ฟ่งก็ได้วะ  ธีรธรคิดพลางส่ายหัว



         รถเลี้ยวเข้ามาในบริเวณบ้านในย่านชานเมืองอันสงบเงียบ ธีรธรจอดรถอยู่ใต้ต้นมะม่วงใกล้กับบันไดหินขัดขั้นเตี้ยๆ  สิงโตหินจีนที่หัวบันไดทำให้ธีรธรนึกได้ว่า สิงโตหินเจ้ากรรมคู่นี้แหล่ะที่แขกไปใครมาก็ต้องจับหัวมันจนมันแผล็บไปหมด  และเขาก็เคยทำความคุ้นเคยกับหนึ่งในสองตัวด้วยการเอาศีรษะไปกระแทกจนได้เลือดมาแล้ว   เขาคิดอย่างขบขันก่อนจะก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมหยิบบางอย่างติดมือไปด้วย  เสียงสุนัขเห่าดังสนั่น ตามด้วยเสียงขู่เครือทำให้เขาหันไปหาต้นเสียง สุนัขพันธุ์บางแก้วขนสีน้ำตาลสลับขาวแยกเขี้ยวอวดฟันขาว

“ไงวะไอ้แด่น”ธีรธรทักสุนัขตัวนั้นอย่างคุ้นเคยหากแต่แฝงนัยน์หมายถึงเพื่อนตนที่ลงมายืนรอรับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ

“ไม่มานานจนมันลืมแล้วมั้งนั่นน่ะ  เอาแด่น  รีบๆนึกให้ออกว่านี่เพื่อนเก่า”แพทย์หนุ่มเจ้าของบ้านเอาเท้าเขี่ยสุนัขเลี้ยงของตนอย่างหมั่นไส้

“เออ  เพื่อนเก่าเพื่อนแก่เลยแหล่ะ”ธีรธรเน้นคำบางคำทำให้เพื่อนขมวดคิ้วธีรธรหัวเราะพลางฉีกซองโยนปลาหมึกให้ไอ้แด่นเป็นค่าผ่านทาง

“มาถึงก็กวนเลยนะ”

“แน่นอนว่ะไอ้ฟ่ง”ธีรธรยักคิ้วหลิ่วตาอย่ากวนๆ เสียงเปียโนเบาๆครวญเพลงอยู่ในอากาศ ทำให้ธีรธรสนใจ

“เปิดซีดีหรอ?”

“เปล่า แต่มีเจ้าของซีดีมาเล่นให้ฟังถึงบ้านเลยล่ะ”

“ใคร?”

“รู้แล้วจะทำไม  เอ็งเคยสนใจดนตรีคลาสสิคด้วยหรอวะ”ธีรธรเดินตามเสียงนั้นเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคยโดยไม่ฟังเสียงเจ้าของบ้านที่ทักให้เขาระวังเจ้าแด่นที่พันแข้งพันขา  เขาก้าวเดินไปตามเสียงนั้นด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้พบใครบางคน 

ขอให้ได้พบด้วยเถอะ.....ขอให้พบ พิรุณา....คนที่เขาเฝ้าตามหาจนแทบคลั่ง!!!
--------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอน 12 แล้วนะครับ :m13:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #157 เมื่อ10-02-2008 01:56:02 »

หายไปหลายวันคิดถึงน่ะเนี่ย

คู่ลีอองกับเกรซน่ารักดี ขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต

ใกล้เจอพิรุณาแล้วล่ะสิ แล้วหมอฟ่งนี้ จะมาคู่ใครล่ะเนี่ย อิอิ

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #158 เมื่อ10-02-2008 09:52:01 »

เจอกันซักทีนะ :a9:
แล้วจะเป็นไงต่อเนี่ย :a10:
ชักจะมีหลายคู่แล้วซิ o18

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #159 เมื่อ10-02-2008 12:11:55 »

หมอฟ่ง คู่ใครครับ ปอง หรือเปล่าเอ่ย อยากให้ปองมีความสุขบ้างจัง

ธีรธร จะเจอพิรุณาแล้ว เจอแล้วจะเป็นอย่างไรบ้างนา...  :m1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
« ตอบ #159 เมื่อ: 10-02-2008 12:11:55 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #160 เมื่อ11-02-2008 09:53:15 »

หายไปหลายวันคิดถึงน่ะเนี่ย

คู่ลีอองกับเกรซน่ารักดี ขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต

ใกล้เจอพิรุณาแล้วล่ะสิ แล้วหมอฟ่งนี้ จะมาคู่ใครล่ะเนี่ย อิอิ

คิดถึงโน้ตหรอ  :o8: :m1:

(กล้าเน๊าะ   :m23:)

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #161 เมื่อ11-02-2008 10:14:45 »

หายไปหลายวันคิดถึงน่ะเนี่ย

คู่ลีอองกับเกรซน่ารักดี ขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต

ใกล้เจอพิรุณาแล้วล่ะสิ แล้วหมอฟ่งนี้ จะมาคู่ใครล่ะเนี่ย อิอิ

คิดถึงโน้ตหรอ  :o8: :m1:

(กล้าเน๊าะ   :m23:)

แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ต้องคิดถึงสิ เพราะกลัวไม่ได้อ่านไง อิอิ  :a2:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #162 เมื่อ14-02-2008 11:03:46 »






three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #163 เมื่อ14-02-2008 11:19:16 »

รอๆๆ :oni2:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #164 เมื่อ14-02-2008 18:47:23 »

หายไปหลายวันคิดถึงน่ะเนี่ย

คู่ลีอองกับเกรซน่ารักดี ขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต

ใกล้เจอพิรุณาแล้วล่ะสิ แล้วหมอฟ่งนี้ จะมาคู่ใครล่ะเนี่ย อิอิ

คิดถึงโน้ตหรอ  :o8: :m1:

(กล้าเน๊าะ   :m23:)

แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ต้องคิดถึงสิ เพราะกลัวไม่ได้อ่านไง อิอิ  :a2:


ว้า...ช่างน่าน้อยใจ :o12:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #165 เมื่อ14-02-2008 19:37:56 »

INTERMEZZO   chapter# 13



         ปองเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ดวงตาดำขลับกวาดมองรอบบริเวณบ้าน เห็นเจ้าแด่นวิ่งรี่เข้ามาหา ปองตบหัวมันเบาๆแล้วปล่อยให้แด่นดมไปเรื่อย เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นความผิดสังเกต  รถยนต์คันใหญ่จอดอยู่ใต้ต้นมะม่วงใกล้กับบันไดตึก  ฟ่งในชุดอยู่บ้านสบายๆเดินมาหาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ยิ้มกว้างขวางเสียจนเห็นลักยิ้มบุ๋มชัดลงไปทั้งแก้มซ้ายและขวา

“สวัสดีครับพี่ฟ่ง  วันนี้ไม่ต้องไปทำงานหรือครับ?”

“เพิ่งกลับมานี่ล่ะครับ เปลี่ยนเสื้อเสร็จก็เห็นน้องปองเข้ามาพอดี”

“คุณป้ามีแขกหรือครับ?”

“เปล่าหรอก  เพื่อนพี่เองน่ะ”ปองยิ้มอย่างพอเป็นมารยาทก่อนจะก้มหน้าก้มตาจะเดินแยกออกไป แต่มือแข็งแรงคว้าต้นแขนไว้

“น้องปอง อย่าเพิ่งเข้าไปเลยครับ”

“เอ๊ะ!?”

“ปล่อยคุณพิรุณาไว้ข้างในอีกสักพักเถอะครับ”ฟ่งพูดพลางออกแรงยื้อเบาๆให้ปองยอมเดินตามไปที่ศาลาใต้ต้นมะม่วงสูงใหญ่ ริมคลอง




         ศาลาไม้ที่แกะสลักฉลุลายเครือไม้สวยงามตั้งโดดเดี่ยวอยู่ทามกลางสวยกว้าง เงาร่มไม้ต้องลมหวิว ไหวเบาๆราวขยับกิ่งก้านต้อนรับผู้มาเยือน  ฟ่งพาปองเดินขึ้นไปนั่งบนศาลา  ร่างสูงนั้นพิงเสาต้นหนึ่งพลางกอดอกแน่น มองร่างโปร่งบางที่นั่งมองเขาอย่างพยายามค้นหาว่าต้องการอะไร แต่เมื่อไม่ได้คำตอบปองจึงต้องออกปากถาม

“พี่ฟ่งมีอะไรหรือครับ?”

“น้องปองรู้จักคนชื่อ ธีรธร พาณิชกิจวิโรชน์หรือเปล่า  ผู้บริหารโรงแรมเครือPVK.”

“ถ้าไม่รู้จักคงเป็นเรื่องแปลกมาครับ”ปองตอบยิ้มๆ

“นั่นสินะ ไอ้ธีมันออกจะฮอต”ฟ่งหัวเราะเบาๆ

“ผมเคยทำงานให้บอสครับ”

“อย่างนั้นหรือ? ไม่เห็นไอ้ธีมันบอก”

“พี่ฟ่งรู้จักกับบอสหรือครับ?”

“ใช่  เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนน่ะ ตั้งแต่สมัยหัวยังเกรียน เผลอแป๊บเดียวอายุปูนนี้แล้ว”

“พูดอย่างกับแก่มากแล้ว”ปองหัวเราะอย่างขบขัน รอยยิ้มกว้างแตะแต้มบนดวงหน้าน่ามองยิ่งขับให้โลกนี้ดูสดใส

“แก่หรือไม่มันขึ้นกับคนมอง น้องปองว่าไหม?”ปองแย้มยิ้มอ่อนจางก่อนจะตอบ

“พี่ฟ่งก็ยังดูไม่เห็นจะแก่ตรงไหนเลยนี่ครับ ออกจะแนวเสียด้วย”ฟ่งขยับแว่นทรงเหลี่ยมกรอบหนาต้นเหตุของความแนวที่ปองว่า ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาอ่อนโยนซับสีเลือดขึ้นน้อยๆ

“พี่ฟ่งอย่าบอกนะครับว่า บอสอยู่ที่นี่”ปองกล่าวเสียงเบา

“ใช่ครับ ไอ้ธีมันอยู่ที่นี่  น้องปองช่วยเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมว่าไอ้ธีทำไมมันถึงได้เกาะคุณพิรุณาแจขนาดนี้”

“ผมก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก เพราะผมเองก็แค่เป็นผู้ช่วยให้คุณพิรุณา  ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว    เพียงแต่รู้ว่าคุณพิรุณาเจอบอสครั้งแรกตอนที่คุณพิรุณไปพักโรงแรมที่บอสบริหารอยู่  หลังจากนั้นก็งัดข้อกันเนืองๆ  จนอย่างไรไม่ทราบบอสวิ่งตามคุณพิรุณาเฉยเลย”ปองกล่าวแล้วหัวเราะเบาๆ

“ท่าทางคนนี้จะของจริงเสียกระมัง”ฟ่งมองปองอย่างขอความเห็น

“ผมไม่มีความเห็นหรอกครับ”ปองตอบพลางก้มหน้าลงซ่อนประกายตาไว้ใต้แพขนตายาว

“ไม่มีความห็นแต่เชียร์สุดตัวล่ะสิครับน้องปอง”ปองยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ

“มันก็น่าลุ้นไม่ใช่หรือครับ”ดวงตาสีนิลเป็นประกายระยับจนคู่สนทนาจับได้ถึงความท้าทาย

“นั่นสิ”









         ตึกเก่าครึ่งตึกครึ่งไม้ท่ามกลางความมืดสลัวยามอาทิตย์อัสดงที่แสงสีส้มอุ่นลอดผ่านช่องบานเกร็ดเข้ามาส่งให้เห็นไรฝุ่นจางๆในอากาศ  บัดนี้ห้องเก่าๆแห่งนี้ถูกห้อมล้อมด้วยเสียงเปียโนที่บรรเลงโดยใครคนหนึ่ง  คนที่ธีรธรคิดถึงห่วงหาเสียมากมาย  ร่างโปร่งบางสวมเสื้อคอกลมสีขาวลายการ์ฟิลด์แมวส้มที่กำลังทำท่านอนผึ่งพุงทำให้ธีรธรที่ยืนพิงประตูมองพิรุณาเล่นเปียโนเหยียดริมฝีปากยิ้มอย่างนึกเอ็นดู  เสียงเพลงอ่อนหวานปนโศกน้อยๆ แสดงถึงความเงียบเหงาทำให้ธีรธรสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ท่วงทำนองแผ่วเบากระซิบอยู่ที่ริมหู  ธีรธรคลายแขนตนเองแล้วเดินเข้าไปใกล้ร่างบางนั้น  ก่อนจะนั่งซ้อนลงไปด้านหลังพิรุณาที่นั่งเก้าอี้เปียโนเพียงครึ่งเดียว  วงแขนแข็งแรงโอบกระชับพิรุณาไว้ในอ้อมแขน ความชิดใกล้นั้นทำให้ได้กลิ่นหอมจางๆจากยาสระผม จมูกโด่งเป็นสันซุกไซร้ไปตามเรือนผม ข้างแก้ม  ต้นคอ  มือนวลๆยกขึ้นปิดริมฝีปากแล้วจมูกโด่งนั้นให้หยุดการกระทำ  ดวงตาสีน้ำตาลแดงแหงนเงยขึ้นสบกับดวงตาสีม่านราตรีที่พราวระยับน่ามอง

“พิรุณา  คุณยังโกรธผมหรอ?”พิรุณาเพียงแค่มองตาคู่สีม่านราตรีนั้นก็เข้าใจว่าชายตรงหน้าต้องการสื่อสิ่งใด ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆคลายฝ่ามือออก  มือแข็งแรงนั้นกุมข้อมือนวลบางนั้นไว้อย่างสุภาพ

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงไม่ติดต่อผมเลย  ทำไมแอบมาอยู่อย่างนี้เงียบๆ”พิรุณายังไม่แสดงปฏิกิริยาใด  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงหลุบลงต่ำ

“ว่าไงครับ คนดี  จะตอบได้หรือยัง?” พิรุณาชักมือกลับอย่างแผ่วเบา ก่อนจะส่งภาษามือให้  บัดนี้อุปสรรคในการสื่อสารของพิรุณาไม่มีผลต่อธีรธรอีกแล้ว เพราะเพียงแค่มองตา  ความเข้าใจต่างๆก็หลั่งไหล

‘คุณ....เคยถามตัวเองหรือเปล่าว่าทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาคุณคิดถึงอะไรเป็นอย่างแรก?’ธีรธรชะงักงันกับคำถามนั้น ธีรธรอ้าปากจะตอบคำหวานเอาใจอย่างหยอกล้อ  แต่ดูเหมือนพิรุณาจะไม่อยู่ในอารมณ์ร่วมเช่นนั้นเลย

‘แล้วคุณเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่คุณยึดถือมาตลอด?’

“พิรุณา เราพูดเรื่องของเราก่อนดีไหม?”

‘ผมกำลังพูดเรื่องของเรา’ดวงตาสีน้ำตาลแดงแม้จะไม่ได้สบกับดวงตาสีม่านราตรี หากเจ้าตัวรู้ว่าแววตานั้นฉายประกายจริงจัง

‘สำหรับผม สิ่งที่ผมคิดอยู่ทุกเช้าคือทำอย่างไรให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้า ทำให้ตัวเองมีการเคลื่อนไหว  เพราะเมื่อไหร่ที่ผมหยุดนิ่ง หมายถึงความล้มเหลวและพ่ายแพ้  เช่นเดียวกับสิ่งที่ผมยึดมั่น ผมยึดมั่นในอิสระและความซื่อสัตย์’

“แล้ว?....”ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงขึ้นสบกับธีรธร  ดวงตานั้นมั่นคงไม่ฉายประกายหวั่นไหวใดๆ มันสงบนิ่งจนชวนให้ใจหวิวๆ  ความพองฟูในหัวใจค่อยหายไปอย่างช้าๆ

‘ผมรู้ว่าคุณคิดกับผมอย่างพิเศษ แต่ผมเองคงจะยังไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกนั้นได้จนกว่าผมเองจะแน่ใจว่าจะยังสามารถยึดมั่นในอิสระและความซื่อสัตย์ได้’นี่พิรุณา....ปฏิเสธเขากรายๆแล้วหรือไม่หนอ

“พิรุณา ผมตามหาคุณแทบคลั่ง นั่นยังไม่พิสูจน์อีกหรือว่าผมจริงจัง”

‘ผมยอมรับครับว่าถึงแม้คุณจะกวนประสาทอยู่บ้าง  แต่คุณเป็นคนดี ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ชี้ให้ผมเห็นชัดขึ้นว่าคุณจะมอบสิ่งที่ผมต้องการได้’พิรุณาเป็นคนชัดเจนหนักแน่นจนธีรธรเองก็ชักลำบากใจ

“พิรุณา  ผมต้องทำอย่างไร คุณถึงจะเชื่อกันล่ะ?”ธีรธรรู้ว่าพิรุณาเป็นคนที่ซับซ้อนกว่าทุกคนที่เขาเคยรู้จักแต่เขาไม่คิดว่าจะซับซ้อนมากถึงเพียงนี้

‘เรื่องนั้นผมเองก็ตอบไม่ได้หรอกครับ’พิรุณาแตะปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดเบาๆ แล้วค่อยๆกดลงช้าๆ ไม่ให้เกิดเสียงใดๆ ธีรธรรู้สึกหนักอึ้งในอก รู้สึกเสียใจและเสียดายกับสิ่งที่ทุ่มเท

“พิรุณา ไม่รู้สึกเสียดายความรู้สึกดีๆที่ผมมอบให้บ้างหรือ?”พิรุณาไม่ได้ตอบอะไรอยู่นาน

‘ผมไม่สามารถตอบคำถามของคุณธีได้ในเวลานี้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ’ พิรุณาแกะมือของธีรธรออกแล้วลุกเดินจากมาอย่างนุ่มนวล ธีรธรมองตามแผ่นหลังโปร่งบางจนหายลับไปกับทางเดิน    ปองแม้จะยืนเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เมื่อเห็นพิรุณาเดินออกมาก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะพูดแทนธีรธร

‘ทำอย่างนี้จะดีหรือครับ?’ พิรุณามองปอง ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงนั้นฉายประกายที่ปองเองก็อ่านไม่ออก

‘คำตอบที่ผมจะให้คุณธีรธรผมมีมันอยู่ในใจแล้ว  แต่เขาจะได้มันไปหรือไม่นั้นสุดแท้แต่ความอดทนกับความพยายามของเขาเอง เรากลับบ้านกันเถอะ’


นี่คงเป็นการวัดใจกันครั้งสุดท้าย....ความรักไม่ใช่การทดลอง  แต่พิรุณาต้องการความมั่นใจ ตัวชี้วัดมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นคือ  หัวใจ และเวลา...แต่ถึงอย่างนั้นพิรุณาเองก็ไม่แน่ใจว่าทั้งหมดที่กล่าวมานั่น หลอกตัวเองอยู่หรือเปล่า






         พิรุณนั่งพักอยู่หน้าเปียโน  พิรุณาเดินทางไปยังที่นัดหมายเพื่อซ้อมร่วมกับวง  วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงกวาดมองรายชื่อเพลงที่ใช้แสดงซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหมายใจจะจำให้ขึ้นใจเสียให้ได้   ปองเดินนำน้ำเปล่าแช่เย็นมาส่งพิรุณาที่ดูมีสมาธิดี แต่เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจตลอด นั่นเป็นสิ่งที่ปองเองก็ไม่ทราบ  เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นมาพิรุณาก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังอีก บอสเองก็เงียบหายพี่ฟ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบอสเป็นอะไร  ปองสะดุ้งเมื่อมือถือของตนดังขึ้น

“ครับ ปองพูด”ปองรับสายแล้วกรอกเสียงไปตามสายนั้น

“ครับ  ว่าอะไรนะครับ แต่คุณพิรุณาก็ตั้งใจทำงานที่นี่ดีนะครับ”ปองเงียบเสียงฟังปลายสายพูด  ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน

“ครับผมทราบดี ให้เวลาคุณพิรุณาสักหน่อยนะครับ  อาจต้องรอให้งานที่นี่สิ้นสุดก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่”พิรุณามองท่าทางแปลกๆของปองแล้วเอียงคอสงสัยเมื่อเห็นว่าปองวางสายแล้วจึงถามด้วยภาษามือ

‘มีอะไรหรือเปล่า?’พิรุณาดึงมือปองเบาๆให้นั่งลงข้างกันบนเก้าอี้เปียโน

‘ทางบริษัทโทรมาบอกผมว่า อยากให้คุณพิรุณากลับไปทำอัลบัมของตัวเองต่อให้เร็วที่สุดครับ  ตอนนี้ตลาดทางยุโรปเริ่มๆจะลืมคุณพิรุณากันแล้ว  เพราะคุณซิลเวอร์ อากิระ กำลังดังมากทางฝั่งนั้น’

‘แน่สิ  เขาพยายามยึดพื้นที่ทุกที่ที่ผมเคยไปเหยียบนี่นา’พิรุณายิ้มหยันส่งภาษามือให้ก่อนจะชิ้ไปยังกลุ่มนักร้องประสานเสียงที่ตั้งแถวเรียงสวยงาม  กำลังฟังนัดหมายชี้แจงจากผู้ควบคุมเสียง ก่อนเสียงร้องประสานกันจะค่อยๆดังขึ้น และสะท้อนกระจายไปในอากาศ เสียงร้องต่างระดับกันที่เปร่งออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำนั้นผสมกลมกลืนกันจนเป็นเสียงเดียว ไพเราะอ่อนซึ้งน่าประทับใจ

‘ความสุนทรีย์ก็เหมือนงานฝีมือชิ้นหนึ่ง  ศิลปินคนหนึ่งๆเมื่อต้องการจะสร้างมันขึ้นมาต้องค่อยปลุกปั้นเริ่มจากน้อยนิดจนเสร็จสิ้นสวยงาม  แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันในวงการแห่งเสียงดนตรีสูงมากเสียจนหลายคนลืมไปว่าความสุนทรีย์ต้องใช้ใจสร้าง ไม่ใช่เครื่องจักรที่จะยัดเยียดเสียงที่พอฟังได้ให้คนฟัง ไม่ใช่การตลาดที่แก่งแย่งแข่งขัน’

‘แต่อย่างนี้ก็ลำเอียงนะครับ มองในแง่นักดนตรีคุณพิรุณาอาจจะถูก  แต่มองในแง่นายทุน มันไม่ยุติธรรมเลย ถ้าศิลปินทุกคนคิดแบบนี่ นายทุนก็ขาดทุนแย่’พิรุณาหัวเราะ

‘นั่นสิ คืนนี้โทรบอกพวกตาลุงแก่ๆเถอะ ว่ายอดขายตก ดาวอังคารพุ่งชนโลก  โดนหมาเหยียบขา หรืออะไรก็ตามแต่  ถ้าเพลงไม่สมบูรณ์พร้อม ก็อย่าหวังจะได้เห็น’

‘เอาอย่างนั้นเลยหรอครับ’ปองยิ้มเหย  พิรุณาพยักหน้าให้พลางยิ้มน้อยๆ  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงทอประกายงาม มือขาวนวลๆช่วยปัดผมที่ระลงใกล้ตาปองออกอย่างเบามือ

‘เสร็จงานนี้แล้วจะอยู่ที่นี่เลยไหม?’ปองตกใจกับสิ่งที่พิรุณาถาม

‘ทำไมถามอย่างนี้ละครับ ยังไงเสียผมก็ต้องตามคุณพิรุณากลับไปอยู่แล้ว’

‘แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ต้องล่ะ’

‘บ้านปองมีคนเยอะแยะก็จริง  แต่ไม่มีลูกหลานอยู่ด้วยเลย ไม่คิดอยากกลับมาอยู่บ้านบ้างหรือ?’ปองส่ายหน้าเบาๆ

‘พวกลุงๆป้าๆจริงๆก็มีลูกหลานอยู่หรอกครับ  ที่ดินนี่เป็นของคุณตา ที่พวกญาติๆจ้องจะแย้งกัน ผมจะว่าอย่างไรดี  คุณตายกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของแม่  พอพ่อกับแม่เสียก็เลยตกลงกันไม่ได้ ว่าจะเป็นของใคร ตัวผมที่ต้องไปอยู่ที่โน่น เป็นเพราะพวกลุงๆป้าๆต้องการตัดผมกับป่านออกจากเรื่องนี้ คล้ายๆกับการปิดหูปิดตาไม่ให้พวกผมรู้อะไร แต่อีกครึ่งหนึ่งคือการตัดสินใจที่จะออกจากปัญหานี้ไปเสียให้พ้นๆของผม หลังจากไปอยู่ที่นั่นผมก็กระเสือกกระสนหางานทำเอง  เงินที่ส่งไปให้ผมที่นั่นก็พอมีมาบ้าง แต่จะเอาอะไรมาก ก็ป้าติ๋มเป็นคนเดียวที่ยังคิดถึงพวกผมอยู่   แค่ค่าเรียนอย่างเดียวก็ไม่พอแล้ว ผมเลยเป็นโฮสต์เพราะเงินดี พอเรียนจบก็ได้สัญชาติเลยทำต่อไปเรื่อย เปลี่ยนที่ทำงานบ้างจนมาลงตัว ทำงานกับบอส’  ปองลดมือลงนิดหนึ่งก่อนจะส่งภาษามือต่อไป



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2008 16:58:15 โดย snowblack »

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #166 เมื่อ14-02-2008 19:43:24 »

 :c1: :o8:

ให้เพื่อนๆทุกคนนะคร้าบบบบ... :L2:

ปล.วันนี้น้องเมศเค้าลงตอนพิเศษฉลองวันวาเลนไทน์ด้วยนะครับที่เด็กดี
เพื่อนๆสนใจไปหาอ่านกันได้นะครับ  :m1:

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #167 เมื่อ14-02-2008 21:07:59 »

ขอบคุณคร๊าบบบ งั้นเดี๋ยวผมไปหาตามอ่านตอนพิเศษ ก่อนนะครับ  :m4: :m1:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #168 เมื่อ14-02-2008 22:14:17 »

 :m1:อย่าใจแข็งนักเลยพิรุณา  ใจอ่อนซะทีนะ

แล้วตกลงปองกะฟ่งเนี่ยมีแนวโน้มไม๊ค่ะ :m13:


 :c5:ส่งจดหมายรักให้น้องโน้ตกะน้องเมศ  ใสความรักไปให้ด้วยนะ

 :c1:จร้า

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #169 เมื่อ14-02-2008 22:56:37 »

 :c2:เช่นกันค่ะ  ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ
ทั้งพี่โน้ต ทั้งคนอ่านทุกคนเลยค่ะ :L2:



* ภาณุเมศพลัง จุ๊บๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
« ตอบ #169 เมื่อ: 14-02-2008 22:56:37 »





snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #170 เมื่อ15-02-2008 09:37:46 »

เช่นกันน้าน้องเมศกับพี่ฟาง  :L2:

แล้วก็เพื่อนๆทุกคนครับ :L2: :m1:

three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #171 เมื่อ15-02-2008 12:44:27 »

ขอบพระคุณมากๆนะครับผม :L2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #172 เมื่อ15-02-2008 13:35:52 »

เศร้าจัง ทั้งปอง ทั้งพิรุณา

แต่ไงก็  :c2: น่ะคับ

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #173 เมื่อ15-02-2008 17:00:54 »

กด แก้ทีไร ชอบหายทุกจินะเนี่ยะ  :sad2:
------------------------------------------------------------------------------------------------------
‘บางครั้งผมก็รู้สึกว่าที่ดินผืนนั้นเป็นก้อนเนื้อชิ้นโตที่ทุกคนอยากจะได้  แต่ผมไม่อยากเล่นด้วย มันไม่สนุกที่เห็นญาติพี่น้องทะเลาะกันเพราะความละโมบ’พิรุณากุมมือปองเอาไว้แล้วบีบเบาๆ

‘แต่อย่างน้อย คุณปองก็ยังสัมผัสได้นะว่า ยังมีคนอีกหลายคนที่มีเชื้อสายเดียวกัน  แต่ผมสิไม่มีใครเลย’พิรุณาเผลอตัวจับสร้อยคอที่สวมติดกายเบาๆ มันเป็นของชิ้นเดียวที่ติดตัวเขามา นานเกินกว่าจะจำได้

‘ผมนี่ไง’

‘นั่นสิ เห็นหลายคนแซวแล้วว่าเป็นแฝดตัวติดกัน แฝดหรือแฟนนะ?’ปองหัวเราะกับพิรุณาที่มองเขาตาใสแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียจริงๆ

‘แฝดต่างหาก  เดี๋ยวบอสก็ตามมาแหกอกผมหรอก’

‘เกี่ยวอะไรกับคนนั้นล่ะ’พิรุณาทำแก้มป่องเอื้อมมือมาหยิกแก้มปองทำให้ปองคลำป้อยๆด้วยความเจ็บๆคันๆ










         ยามสายของวันเคนเดินเข้าบริษัทของครอบครัวพลางผิวปากเป็นเพลงแจ๊สเบาๆจนพนักงานหลายคนทักว่าอารมณ์ดีแต่เข้า เคนยิ้มรับแม้จะเสียดายอยู่บ้างที่ตื่นมาไม่เจอคนชื่อหวาน นัยน์ตาดุ  เขาไม่ทันเอะใจเลยว่าวันนี้ออฟฟิซแปลกไป ไม่มีเงาร่างโปร่ง สวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนสบายตาเดินไปเดินมา  ไม่มีกาแฟกรุ่นกลิ่นอวลในอากาศ ไม่มีเสียงข่าวภาคเช้าดังมาจากมุมเล็กๆของห้องครัวรวม   ร่างสูงสง่างามเดินพลางเสยเส้นผมสีทองของตนขึ้นเล็กน้อย ห้องส่วนตัวของเขาเงียบสนิท  เคนโยนสูทสีน้ำตาลลงบนโซฟาใกล้ประตู  นึกแปลกใจที่โต๊ะเลขาประจำตัวเขาดูโล่งผิดปรกติ มีเพียงเอกสารวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จัดเรียงตามลำดับก่อนหลังและความสำคัญอย่างรอบคอบ  แต่สิ่งที่ดูจะผิดที่ผิดทางคือซองจดหมายสีขาวที่จ่าหน้าซองถึงเขา  เคนหยิบมันขึ้นพิจารณา เนื้อความในจดหมายที่พิมพ์ออกมาและลงนามท้ายจดหมายด้วยลายมือหวัดทำให้เคนขมวดคิ้ว  เขาแทบโยนจดหมายทิ้งหลังจากอ่านจบ มือควานหาโทรศัพท์มือถือตนรีบต่อเบอร์ปลายทางทันที

“อยู่ไหน?!!!”เคนตะโกนใส่โทรศัพท์ทันทีที่ปลายสายรับ เสียงที่ปลายสายยังไม่ได้ตอบอะไรมีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ ยิ่งทำให้เคนคลั่ง

“หนังสือลาออกวางอยู่บนโต๊ะครับ”

“ผมไม่ได้ถามว่าจดหมายบ้าๆนั่นอยู่ไหน  ผมถามว่าคุณอยู่ที่ไหน!!!”แสงกุหลาบแตะแต้มขอบฟ้าสาดส่องเข้ามาในโบกี้รถไฟ ตกต้องเสี้ยวหน้าขาวเนียน ริมฝีปากบางนั้นแย้มยิ้มน้อยๆอย่างนึกขันกับตัวเอง ดวงตาสีเขียวอมเทาทอดทอออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านทิวต้นไม้สองข้างทางที่เคลื่อนหายไปอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถไฟไปยังท้องทุ่งผืนกว้าง

“ผมอยู่ในรถไฟ เช้านี้มิสเตอร์แอนิโมโตมีประชุม ไปเตรียมตัวได้แล้วนะครับ  ผมวางเอกสารไว้ให้บนโต๊ะแล้ว”โดลเชพูด ตั้งใจจะวางสายเสียทีแล้วงีบสักหน่อย อีกสักพักคงถึงบ้านแล้ว

“อย่าวางนะ!!! จะไปไหนน่ะ กลับsienaใช่ไหม?”

“แล้วแต่จะเดาครับ ผมลาออกแล้ว ต่อให้คุณไม่เซ็นต์อนุมัติผมก็จะออก”โดลเชวางสายทันทีที่พูดจบ   เคนหัวเสียเขาคว้ากุญแจรถก่อนจะพุ่งตัวออกจากห้องทำงานไป 

โดลเชยังคงถือโทรศัพท์ไว้ในมือ เขากำลังคิดอยู่ว่า อดีตเจ้านายของเขาเดาเก่งหรือว่าเขาเป็นพวกไม่มีที่ไปกันแน่

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #174 เมื่อ15-02-2008 18:28:12 »



         เสียงเพลงบรรเลงด้วยสำเนียงไทยผสมกลมกลืนกับความคลาสสิคตามแบบเครื่องดนตรีสัญชาติตะวันตกขับกล่อมท่วงทำนองหวานสนิทชวนให้เคลิบเคลิ้มไปในห้วงภวังค์  มือขาวนวลสัมผัสคีย์บอร์ดกำเนิดเสียงอย่าแม่นยำคมชัด หากนุ่มนวลอ่อนหวานในที  ธีรธรทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้เหล็กแข็งๆที่โยกคลอนราวกับจะหักพังเสียให้ได้ เฝ้ามองการซ้อมอยู่เงียบๆ หางตามองเห็นใครบางคนในชุดสบายๆลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆเขา

“นึกว่าบอสจะน้อยใจไม่อยากพบคุณพิรุณาเสียแล้ว”ปองยิ้มหยอกล้อมองบอสทีสีหน้ามีเค้าหม่นเศร้า

“คิดถึง  ห้ามกันได้ด้วยหรือ”

“คิดถึงแต่ไม่ยอมไปหาที่บ้านนี่ครับ”

“จะไปได้ยังไง ก็พิรุณาบอกแบบนั้น”ธีรธรถอนหายใจหนักๆ ปองแอบยิ้มกับท่าทีของบอส

“แอบยิ้มอะไร”เสียงห้าวๆถามเสียงตวัด

“เปล่าครับ  แค่แอบยิ้มให้คนกำลังกลุ้มใจเรื่องความรัก”

“ใช่สิ รักจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว  คุณปองรู้ไหม  พิรุณาเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกลึกซึ้งขนาดนี้  เพราะอะไรนะ  หรือว่าเพราะตาคู่โตนั่น ก็อาจมีส่วน....อืม”บอสหนุ่มทำท่าครุ่นคิดยิ่งทำให้ปองยิ้มกว้าง

“แล้วมาบอกผมทำไมละครับ”ธีรธรมองหน้าปองอย่างหาความหมาย  ดวงตาสีนิลกระจ่างใสจ้องมองตรงมาพลางยิ้มกริ่ม

“บางทีบอสอาจลืมอะไรไปนะครับ  กำแพงหัวใจแม้มันอาจดูหนาหนักเกินจะฝ่าเข้าไปได้แต่บางทีอาจเป็นแค่กระดาษบางๆแผ่นเดียวก็ได้  จริงไหม?”

“ไหงมาย้อนถาม”ปองไม่ตอบ เขาเปิดดูสมุดปกหนังสีแดงเข้ม ใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามบันทึกอย่างชำนาญ

“วิธีโบราณชะมัด”ธีรธรค่อนเข้าให้ ปองเหลือบตาขึ้นมองค้อนวูบหนึ่ง

“หลังซ้อมวันนี้คุณพิรุณาว่างถึงห้าโมงเย็นวันพรุ่งนี้ครับ”ปองกล่าวแล้วลุกขึ้นยืน

“จะไปไหนเสียล่ะ”

“คุณพิรุณาจวนได้เวลาเลิกซ้อมแล้วน่ะสิครับ”ธีรธรขมวดคิ้วน้อยๆอย่างใช้ความคิด

“พอมีเวลาอีกสักเดี๋ยวไหม  อยากขอความช่วยเหลืออีกสักหน่อย”ปองหัวเราะ

“ได้เสมอครับบอส”







         การซ้อมเสร็จสิ้นพิรุณายืนขึ้นปิดฝาเปียโนลงอย่างเบามือทนุถนอม   ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้เปียโนเข้าเก็บเรียบร้อย  วาทยากรสูงวัยที่อยู่ในชุดเครื่องแบบแสดงยศยิ้มให้เขาบางเบาอย่างนึกเอ็นดู   พิรุณาก้าวเข้ามาหาแล้วไหว้อย่างอ่อนน้อมน่าชม จนสายสร้อยหนังเส้นยาวออกมาแกว่งไกวอยู่นอกเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา  ผู้สูงวัยกว่ารับไหว้แสงจากจี้เงินสะท้อนเข้าจนสังเกตุเห็น  เขานึกเอะใจกับสายสร้อยเส้นนี้ แต่นึกขึ้นได้ว่าคงพูดคุยกันลำบากหากไม่มีล่าม  โชคดีที่ปองกำลังเดินยิ้มหวานมาทางนี้

“เหนื่อยหน่อยนะครับ”ปองพูดอย่างสุภาพ

“ไม่หรอก  ได้พบคนมีฝีมือายุยังน้อยก็ชื่นใจหายเหนื่อยแล้ว”ปองส่งภาษามือให้พิรุณา  พิรุณาจึงตอบกลับมาโดยมีปองทำหน้าที่อย่างขันแข็ง

‘ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะจุดบกพร่องให้นะครับ’

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พรุ่งนี้เริ่มซ้อมช้าหน่อยอย่าลืมเสียล่ะ”วาทยากรสูงวัยกล่าวกับปอง

“ครับท่าน”

“เรียกลุงนันเถอะ”

“พวกผมเกรงใจน่ะครับ ท่านเป็นถึงนาวาเอก”

“เฮ้ย ไม่เอาน่าคุ้นหน้าคุ้นตากันเหมือนเป็นลูกเป็นหลานอย่าไปคิดมาก  ว่าแต่พิรุณาเถอะ ใครเข้าใจตั้งชื่อ”นาวาเอกนันทพลกล่าวอย่างเอ็นดู ปองแปลเป็นภาษามือให้พร้อมกับที่ผู้สูงวัยถาม

‘ไม่ทราบสิครับ  รู้แต่ว่าบนสร้อยนี่มีชื่อผมเขียนอยู่ เลยอาจจะเรียกตามของที่ติดตัวผมมาก็ได้’

“ขอดูสักหน่อยได้ไหม?” พิรุณาถอดสร้อยออกจากคอส่งให้วาทยากรผู้ทรงเกียรติอย่างนอบน้อม


         ท่านนาวาเอกนันทพลรับสร้อยเงินมา สายหนังเปื่อยเสียจน   แทบจะขาดคามือ  ท่านพิจารณาจี้เงินอย่างตั้งใจ  จี้รูปสามเปลี่ยม ด้านหน้าสลักชื่อเป็นภาษาอังกฤษตวัดหางอ่อนช้อยมีภาษาไทยเคียงคู่ด้วยตัวอาลักษณ์งาม แม้จะจางแทบเลือนหายแต่ยังอ่านได้ชัด  เมื่อพลิกไปด้านหลัง ตราสัญลักษณ์บางอย่างที่เลือนเกือบหายไปสิ้นตามกาลเวลาทำให้ผู้สูงวัยชะงักงัน  ตรา...คุ้นเสียจนหลับตาแทบเห็นภาพ แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าตราอะไรแน่  ท่านนาวาเอกนันทพลส่งสร้อยคืนให้พลางครุ่นคิด

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”ปองถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร  แค่จะบอกว่าสายสร้อยเปื่อยจนจะขาดอยู่แล้ว”

‘ขอบคุณมากครับ ผมก็ว่าจะเปลี่ยนสายสร้อยใหม่อยู่ทีเดียว’

“ลุงจะกลับล่ะ กลับบ้านกันดีๆนะ”

“ครับ”ปองรับคำพร้อมกับที่พิรุณายกมือสวัสดีอย่างน่าเอ็นดู วาทยากรผู้สูงวัยกำลังจะก้าวเดินออกไปก็ฉุกคิดขึ้นได้

“เออ  หนูปอง ไอ้โอเมก้าสามนี่มันซื้อกันได้ที่ไหน?”

“เอ๋??”

“ไอ้พวกน้ำมันตับปลาที่ช่วยให้ความจำดีๆน่ะ เขาซื้อกันที่ไหน เดี๋ยวนี้ลุงว่าความจำชักแย่”

“ร้านขายยาทั่วไปละมังครับ  ผมเองก็ไม่แน่ใจ”

“อย่างนั้นหรือ ขอบใจมากนะ”ท่านนาวาไปแล้วปองหัวเราะพรืดจนพิรุณาสงสัย  ปองจึงเล่าให้พิรุณาทราบ


         ทั้งคู่เดินออกจากห้องประชุมเดินลัดเลาะพุ่มเฟื่องฟ้าไปยังรถที่ปองขับมา รถกระบะสีฟ้าคันใหญ่ที่ดูแล้วไม่สมตัวคนขับเท่าไรนัก  ปองไขปรดล็อคประตูอย่างใจเย็น เขาเห็นเงาตะคุ่มๆที่ข้างหลังพิรุณาแล้วแอบยิ้มกับตัวเอง ปองเข้าไปในรถแล้วพิรุณาเองก็กำลังจับที่เปิดประตู  ทันใดนั้นมือแข็งเรงก็ตะครุบจับที่ข้อมือบอบบางกว่าในทันที  พิรุณาบิดมือออกอย่างว่องไวตามวิชาป้องกันตัวที่พอมีอยู่บ้างด้วยควมตกใจ ก่อนจะสวนหมัดดุ้นๆเข้าหมายใจจะให้โดนหน้าแบบเฉี่ยวๆแต่แล้วมือกลับถูกพันธนาการด้วยมือแข็งแรงอีกข้าง ๆ ธีรธรเข้าประชิดร่างของพิรุณาล็อคแขนที่สวนหมัดกลับมาไว้ทันท่วงที

“มือไวเหมือนเดิม ดีนะที่จับไว้ทัน”

“ระวังนะครับ เดี๋ยวจะเป็นรอยช้ำไปสองอาทิตย์เหมือนคราวนั้นอีก”ปองเปิดกระจกฝั่งตรงข้ามแล้วพูดพลางสตาร์ทรถ

“น่าคราวนี้จะสวนกลับด้วยจูบเลย”ปองหัวเราะ

“ไม่ใช่เพราะครั้งที่แล้วแย๊บด้วยปากหรือครับ เลยถูกคุณพิรุณาต่อย”ธีรธรส่งเสียขัดใจในคอ

“เอาน่า มันผ่านไปแล้ว แล้วนี่เมื่อไหร่จะหยุดดิ้นเนี่ย”

‘ก็ปล่อยสิ’พิรุณาตาวาวอย่างโมโห

“โมโหอะไรครับ ตัวโมโหอยู่บนปลายจมูกหรือยังไง คุณปองหมดหน้าที่แล้ว ไปได้แล้ว กลับบ้านดีๆล่ะ”ปองหัวเราะชอบใจแล้วปิดหน้าต่าง พิรุณาส่งสายตาอ้อนวอนให้ปองช่วยก่อน แต่ก็ไม่เป็นผล  ปองออกรถไปแล้วโบกมืออำลาอยู่ไหวๆ

“เราก็ไปกันเถอะ”

‘ไปไหน!!! ไม่ไป!!’พิรุณาพยายามยื้อแขนตัวแองออกจากมือปลาหมึกของธีรธร  บิดก็แล้ว งอก็แล้ว หมุนแล้วหมุนอีกก็ไม่ออก ธีรธรไม่สนใจลากไปยังรถโฟร์วีลสีบลอนซ์ของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะรุนหลังพิรุณาให้ขึ้นไป แล้วคาดเข็มขัดให้  แล้ววิ่งอย่างรวดเร็วมายังด้านคนขับแล้วรีบขับออกถนนใหญ่

‘นี่จะไปไหน  ไม่ไปนะ!!’พิรุณาส่งภาษามือโวยวาย พอธีรธรไม่สนใจหนักเข้าก็ตบลงที่คอนโซลรถให้เกิดเสียงดัง  จนธีรธรเบนความสนใจกลับมาหา คว้ามือนวลข้างขวามาวางลงบนเกียร์ แล้ววางมือตนเองทับลงไปเพื่อเปลี่ยนเกียร์

“อย่าซนนะ เดี๋ยวรถชนไม่รู้ด้วย”ธีรธรขู่  ทั้งที่มือของเขายังทาบทับมือของพิรุณาเพื่อเปลี่ยนเกียร์ ทดไปเรื่อย

‘ก็คุณลวนลามผมนี่’พิรุณาพยายามส่งภาษามือทั้งที่มือข้างหนึ่งอยู่ใต้มือแข็งแรงนั้น  ความอุ่นซ่านผ่านผิวสัมผัสทำให้พิรุณาหน้าแดง โชคดีที่ไฟถนนช่วยกลบเกลื่อนไปได้ ดวงตาสีน้ำตาลแดงเสมองไปทางอื่นแก้เขินไปเจอกับวัตถุบางอย่างสะท้อนแสงสีน้ำเงินม่วงๆ จึงใช้มือข้างที่ว่างหยิบมันขึ้นมาจากซอกประตู  ตุ๊กตาขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือ สีดำสนิทหูยาวสองข้าง หน้ายิ้มน่ารักน่าขย้ำให้พิรุณาจับปลายเชือกที่ผูกมันไว้แล้วแกว่งไปแกว่งมาเพื่อมองมันชัดๆ

“อะไร ค้นเจอโมโคน่าเสียอย่างนั้น”ธีรธรหัวเราะ  พิรุณาจับที่ดูดสูญญากาศที่พ่วงติดกับเชือกของตุ๊กตาแล้วแตะกับกระจกหน้าต่าง แล้วออกแรงดึงออกจนเกิดเสียงดังจุ๊บ  พิรุณาหัวเราะชอบใจแล้วทำเช่นนั้นซ้ำๆอย่างถูกอกถูกใจ

“ซนจริงวุ้ย”ธีรธรพูดพลางยิ้มกริ่มไปกับความน่ารักของพิรุณา 

‘นี่คุณ  เปิดหน้าต่างเถอะ’พิรุณาส่งภาษามือให้แล้วจัดแจงปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างฝั่งตนเองลงสายลมยามราตรีพัดเข้าปะทะใบหน้า  ธีรธรตามใจคนร่างโปร่งบาง เขาเปิดหน้าต่างฝั่งเขาลงเล็กน้อย แล้วเหลือบไปเห็นพิรุณากำลังสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอมยิ้มไปกับสายมแรงที่เข้าปะทะ

“ชอบตอนกลางคืนหรือ”

‘ชอบนั่งรถตอนกลางคืน  นี่จะพาไปไหน’พิรุณาเหลือบเห็นป้ายข้างทางบอกว่าสุดเขตกรุงเทพฯแล้วทำหน้าฉงน

“ไปดมกลิ่นทะเลกัน”ธีรธรพูดแล้วจับมือขาวนวลนั้นกลับมาวางที่เกียร์อีกครั้งแล้วทาบมือตนลงไป ทดเกียร์ไปด้วยโดยแทบไม่ปล่อยมือไปตลอดทาง




         




            
         ปองกลับถึงบ้านสวนในเวลาไม่นานนักด้วยเพราะการจราจรวันนี้ไม่คับคั่งมากนัก  หลังจากเขาถอยรถเข้าจอดในโรงรถเป็นที่เรียบร้อยโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น  ปองมองหน้าจอแล้วยิ้มว่าที่เจ้าสาวโทรมบอกข่าวดีแน่ๆ และอาจจะแถมบ่นให้ด้วยที่คุณพิรุณาไม่ได้พกมือถือไปด้วย ปองกดรับสายกล่าวทักทายพลางเดินไปที่ศาลาตีนท่า  ลมเย็นสบายโชยพัดทำให้กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งคลองไหวพร้อมเสียงซ่านซ่าของใบไม้ที่เสียดสีกัน บ้างร่วงหล่นลงสู่ผิวน้ำ บ้างปริดปลิวเข้ามาในศาลา

“คุณปอง พิรุณาไม่พกมือถืออีกแล้วใช่ไหม?”

“ ครับ  ชอบทำเป็นลืมไว้ที่บ้านทุกที”ปองหัวเราะอารมณ์ดี

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง  ไม่รู้เลยหรือไงนะว่าคนอื่นเขาเป็นห่วง”

“ไม่เป็นไรมังครับ เพราะเวลาไปข้างนอกก็ไปพร้อมผม  ยกเว้นวันนี้”

“ทำไมล่ะวันนี้ไปไหน?”เกรซถามอย่างเป็นห่วง

“บอสรับไปไหนแล้วไม่ทราบครับ”ปลายสายหัวเราะเสียงใสเช่นกัน

“บอสนี่ก็หน้าทนได้ที่เหมือนกันนะเนี่ย  ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก!!”เกรซทำเสียงตื่นเต้น

“วันนี้บอสขอให้ผมสอนภาษามือให้ด้วย”

“สงสัยจะตกล่องปล่องชิ้นกันเสียทีละมั้ง”

“ก็ดีสิครับ  แต่พวกเราจะเหงาหน่อย  เอ...หรือผมจะเหงาหน่อยก็ไม่รู้สิ”ปลายสายโวยวายที่ปองแซวเธอ

“จะโทรมาบอกว่า อีกสกเดือนสองเดือนจะจัดงานแต่ง”

“เร็วปานนั้นเชียว เจ้าบ่าวใจร้อนหรือเจ้าสาวใจร้อนกันนี่”ปองแซวอย่างอารมณ์ดี

“เดี่ยวเถอะคุณปอง  อย่าแซวสิคะเกรซเขินเป็นนะ ไม่เอาแล้วไม่คุยด้วยแล้ว  แค่จะโทรมาบอกว่า บางทีเราอาจได้เจอกันที่กรุงเทพนะ  วางแผนกับลีอองไว้ว่าจะจัดปาร์ตี้สละโสดเสียหน่อย”

“จัดที่นี่จะสะดวกหรือครับ? ส่วนใหญ่อยู่กันทางยุโรปหมด”

“ฮื่อ!ไม่เป็นไร  ลองบอกว่าจัดที่กรุงเทพนะ ขี้คร้านจะลางานมากันแทบไม่ทัน ตกลงเอาตามนี้ล่ะ บอกพิรุณาเตรียมชุดเท่ห์ไว้ด้วย ให้เลือกเอาจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรือเพื่อนเจ้าสาว”

“ต้องเพื่อนเจ้าบ่าวสิครับ”ปองตอบแล้วขำก่อนจะกล่าวอำลาแล้ววางสายรอยยิ้มค่อยจางจากใบหน้า  ดวงตาสีนิลทอดมองผืนน้ำเบื้องหน้า สดับเสียงลมและคลื่นน้ำที่กระซิบอยู่ริมหู


         ระหว่างที่คนส่วนใหญ่กำลังมีความสุข  อะไรทำให้เขารู้สึกเหงา  ทั้งที่รอบกายกรุ่นกลิ่นไอแห่งความรักชื่นหวาน แต่ใจเขากลับแห้งผาก คิดถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ในอีกซีกโลก  ทั้งที่รู้ว่าอดีตอันยังมาซึ่งความเจ็บปวดยังคอยทิ่มแทงหัวใจ  แต่การที่พี่ฟ่งวนเวียนอยู่เคียงใกล้ ยิ่งทำให้เขาคิดถึงคนที่อยู่ไกล....และบางทีอาจจะไกลเกินคว้าก็ได้  กำแพงหัวใจที่เขาสร้างหนาแน่นและปิดตายมาช้านาน.....นานเกินกว่าจะเปิดรับใครเข้ามาอีกคน      ปองยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง กดหมายเลขปลายทางที่เขาจำได้ขึ้นใจแล้วรอฟังเสียงที่ปลายสาย  หลังสัญญาณเรียกสายไม่นาน ระบบก็ตัดเข้าการฝากข้อความ


“สวัสดีครับ ผมปีเตอร์ ทีวซ์ขณะนี้ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ กรุณาฝากข้อความไว้นะครับ โอ้ย!!อะไรกันวะ”เสียงอุทานนั้นตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขสองเสียงประสานกัน เสียงหนึ่งคือเสียงของคนที่ขึ้นเรือข้ามฟากไปสู่ห้วงมรณะเสียแล้ว และอีกเสียงคือเสียงของเขาเอง  เสียงหัวเราะที่เขาเองก็จำไม่ได้ว่าหัวเราะมีความสุขถึงเพียงนั้น ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่รู้แน่คือ



พีทไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก  รวมถึงนิสัย  หรือแม้แต่หัวใจ ......เขาไม่เคยเปลี่ยนมันเลยแม้สักนิดเดียว












         

          ลมทะเลโชยพัดรุนแรงจนธีรธรได้ยินแต่เสียงลม  เขาวิ่งอ้อมหน้ารถมาเปิดประตูให้พิรุณา  พอพิรุณาจะก้าวลงมา มือแข็งแรงก็ดันบ่าไว้  ร่างสูงงามสง่าย่อกายลงพับขากางเกงให้  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงทอประกายอ่อนหวานไปกับการกระทำอันอ่อนโยนของธีรธร ดวงตาสีม่านราตรีแหงนขึ้นสบกันก่อนมือแข็งแรงนั้นจะค่อยจับจูงอย่างสุภาพ ให้คนทั้งคู่เดินเคียงกันไปตามชายหาดที่บัดนี้แสงจันทร์ทอประกายงาม แตะแต้มยอดคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นระรอกจนเป็นประกายบางเบา  ธีรธรแกว่งมือที่ตนกุมไว้แรงๆเหมือนเด็กๆ พิรุณายิ้มกว้างนัยน์ตาพราวช่วยออกแรงแกว่งด้วย เมื่อเดินไปสักพักธีรธรก็ปล่อยมือ พิรุณาจึงหันกลับมามองอย่างสงสัย  โดยไม่ทันระวังตัว ธีรธรช้อนร่างโปร่งบางขึ้นในอ้อมแขน  ทำให้พิรุณาผวารีบเกาะบ่าแข็งแรงนั้น แล้วทุบแรงๆ  ธีรธรหัวเราะวิ่งตัวปลิวลงทะเล


‘ทำอะไร!!! ไม่เอา!!’พิรุณาส่งภาษามือ แล้วทุบอกธีรธรแบบไม่กลัวเจ็บ เมื่อธีรธรหยุดยืนกลางทะเล  น้ำสูงขึ้นเหนือเข่า

“เจ็บน่า เดี๋ยวก็ปล่อยจริงๆหรอก”ธีรธรทำท่าจะปล่อยจริงๆพิรุณายิ้มเกาะแน่นขึ้น ธีรธรหัวเราะเสียงดัง ดวงตาสีม่านราตรีสะท้อนประกายกระจ่างใสน่ามอง

“ไม่แกล้งๆ”ธีรธรรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ พลางตีหน้าจริงจัง พอพิรุณาเผลอก็ปล่อยแขน กะว่าจะต้องได้ยินเสียงดังตูม!เป็นลูกแมวตกน้ำแน่นอน  แต่ที่ไหนได้ พิรุณาเหนี่ยวคอเขาลงไปด้วย





ตูม!

         ร่างสองร่างเปียกปอน  พิรุณาโผล่ขึ้นหายใจเหนือผิวน้ำ บัดนี้เปียกทั้งตัวแล้ว  เขานึกอยากจะจับคนหาเรื่องให้เปียกกดน้ำเสียให้ขาดใจตายคามือ ดวงตาสีน้ำตาลแดงกวาดมองไปทั่ว แต่ไม่มีแม้แต่เงาร่างนั้น พิรุณาจึงลองคลำหาดูตามพื้นทรายรอบกายใต้ผิวน้ำ  แต่ก็ยังไม่พบอะไรที่พอจะเข้าเค้า  พิรุณาฉุกคิดได้ว่า ธีรธรไม่ใช่ปู จะได้อยู่ตามผืนทรายใต้น้ำจึงเลิกคลำหาเปลี่ยนเป็นมองไปมองรอบๆ  เขาหันไปสบตากับใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปราวสองเมตร ด้วยสภาพเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำทะเลไม่แพ้กัน  ดวงตาสีม่านราตรีคมกล้าฉายประกายอย่างที่พิรุณาเคยนึกชมว่าน่ามอง แต่ก็น่าหวั่นใจ เส้นผมสีดำสนิทเปียกปอนตกลงระใบหน้า ดูๆไปแล้วธีรธรก็ไม่ใช่คนหน้าตาเลวร้าย  ออกจะดูดีเสียด้วยซ้ำ  หน้าตา...ก็พอใช้ได้น่า สูสีกับเคน  พิรุณาทำท่าจะขยับเข้าไปหาแต่ธีรธรทำท่าไม่ยอมให้เข้าไปใกล้

“อยู่ตรงนั้น แล้วดูให้ดีนะ!!!”แม้พิรุณาจะไม่ได้ยินแต่เขาเดาได้จากท่าทางนั้นว่าธีรธรต้องการอะไร เขาตั้งใจดูธีรธรตามที่อีกฝ่ายอยากให้เขาทำ







         แสงจันทร์กระจ่าง แม้ไม่เต็มดวงดีแต่กลับให้แสงสว่างกระจ่าง ร่างสูงสง่าที่ครึ่งตัวแช่อยู่ในน้ำทะเลถูกคลื่นใหญ่น้อยซัดสาดไม่ว่างเว้น แต่ยังคงหยัดกายมั่นอยู่กลางผืนทราย   มือแข็งแรงนั้นชี้เข้าที่อกตัวเองอย่างช้าๆพลางออกปากท่องบางอย่างไปด้วย  ก่อนจะเลื่อนมือซ้ายแล้วขวามาประสานกันแล้วนาบลงที่หัวใจนานช้าแล้วชี้นิ้วมายังพิรุณา  พิรุณาตกตะลึงมือขาวนวลทั้งสองข้างยกขึ้นปิดปากตนเอง  ไม่รู้เมื่อไหร่ที่น้ำตารื้นขึ้นมาแทบล้นขอบตา  ธีรธรยังคงทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามือทำไปพลางปากท่องไปด้วย  พิรุณาลุกขึ้นยืนอย่างซวนเซ  เดินฝ่ากระแสคลื่นที่โถมเข้าใส่ฝั่งมาหาชายหนุ่ม  ธีรธรแหงนหน้าขึ้นมองดวงหน้าเนียนใสนั้นหมายใจจะมองหน้าพิรุณาให้ชัด แต่เงากลับทาบทับเสียจนไม่อาจมองเห็น  เขารู้แต่เพียงว่ามีพยดน้ำอุ่นร้อนหยดใส่ใบหน้าเขา  หยดน้ำที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นน้ำจากเส้นผมที่เปียกปอนหรือน้ำตาที่กำลังรินไหล      พิรุณาทรุดกายลงตรงหน้าเขา  คราวนี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่าพิรุณากำลังหลั่งน้ำตาอย่างมิขาดสาย 

“ร้องไห้ทำไม?”กระแสเสียงนั้นนุ่มนวลอ่อนหวาน  แม้พิรุณาจะไม่ได้ยิน แต่เขารับรู้ได้ว่าธีรธรอบอุ่นถึงเพียงไหน  พิรุณายิ้มให้ทั้งน้ำตา แล้วเลื่อนกายขึ้นสัมผัสริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนหน้าผากกว้าง ก่อนจะถอนสัมผัสออกช้าๆ ธีรธรช่วยเช็ดหน้าตาให้ทั้งที่มือของตนก็เปียก ทำให้ยิ่งเช็ดยิ่งเปียกดวงหน้านั้น  พิรุณาหัวเราะทั้งน้ำตา  ดวงตาสีม่านราตรีคมกล้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลออกแดงงาม  ดวงตาหวานซึ้งพราวระยับนี้เองทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว ดวงตาคู่นี้เองกำลังบอกเล่าความรู้สึกจากภายในออกมาโดยปราศจากซึ่งถ้อยคำใดๆ  แต่มันกลับตรงไปตรงมาและสื่อถึงใจของกันและกันได้อย่างน่าประหลาด




         ธีรธรโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจของทั้งเขาและพิรุณากำลังเต้นโครมครามแทบจะกระดอนออกมา ดวงตาสีอ่อนนั้นจ้องมองริมฝีปากของเขาอยู่ ธีรธรยิ้ม ค่อยๆสัมผัสริมฝีปากอุ่นร้อนนั้นอย่างสุภาพ รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆเป่ารดบนดวงหน้าของเขา  สัมผัสอุ่นร้อนอ่อนหวานดำเนินไปราวห้วงเวลารอบกายหยุดนิ่งก่อนจะค่อยๆคลายออกอย่างแสนเสียดาย

“หนาวไหม?”พิรุณาส่ายหน้าช้าๆดวงหน้านั้นแดงซ่านอย่างเห็นได้ชัด ธีรธรก็รู้สึกตัวเช่นกันว่าดวงหน้าของตนร้อนผ่าน ถ้าเอาปลาหมึกมาวางสักตัวคงได้กินปลาหมึกย่างกันล่ะ





เขานึกขำตัวเองที่อยู่ก็รู้สึกเขินทั้งที่พิรุณาไม่ใช่แฟนคนแรกที่เขาจูบสักหน่อย  เอ....แต่จะว่าไปก็เป็นคนแรกที่เขาจริงจังด้วย  และคงเป็นคนสุดท้ายเสียด้วยสิ


.....ผมรักคุณนะครับ คุณบีโธเฟ่นผู้น่ารัก....





    










-----------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 13 แล้วครับ :m13:
ตอนนี้ของน้องเมศหวานเข้ากับเทศกาลดีจัง :o8: :L1:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #175 เมื่อ15-02-2008 18:42:15 »

ปลาหมึก  Vs หน้าแดงซ่านเพราะเขินอาย

ช่างเข้าคู่กันเสียนี้กระไร

เขียนไปได้

แต่ก็เอาวะ

เพราะมันสวีทกันกลางทะเลนี่นา

อิจฉาเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


ปล.  :L2:  อันนี้ให้คนเขียน  และ คนโพสต์ นาจ๊ะ

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #176 เมื่อ15-02-2008 21:26:38 »

สวีทมากมาย กลางทะเล  :m1:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #177 เมื่อ15-02-2008 21:48:46 »

 :o8:สวีทวิ๊ดวิ้วจริงๆ  ทะเลหวานไปแล้ววว

แต่ปลาหมึกย่างมาได้ไง :a6:


ทำให้อยากกินเลย :m20:

มามะมาหวานกันต่อปายยย :oni2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #178 เมื่อ16-02-2008 20:03:08 »

หวานกันกลางทะเล น่าอิจฉา อิอิ  :m1:

niph

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #179 เมื่อ18-02-2008 10:04:32 »

อิจฉาอ่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด