INTERMEZZO chapter# 17 พิรุณาทอดสายตามองเปียโนตัวโปรด ผิวสีดำสนิทเป็นมันเงาที่เพิ่งถูกเช็ดไม่อาจดึงความสนใจของเจ้าของให้กลับมาที่มันได้เลย พิรุณาเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล เปล่า...ปองไม่ได้อาการแย่ลง คาดว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ในเร็ววัน คนที่อาการแย่ลง เห็นจะมีแต่พิรุณาคนเดียว พิรุณาถอนหายใจเบาๆแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเปียโน ปลายนิ้วคล้ายจะกดลงบนแป้นคีย์ แต่แล้วก็ชะงัก ลังเลที่จะกด หากแล้วก็เหมือนรวบรวมกำลังใจเพื่อกดอีกครั้ง แต่ก็ชะงักอีก พิรุณากำลังคิดถึงสิ่งที่ได้ทราบจากเมื่อเช้า
“ผมคิดว่ามิสเตอร์ทาร์เซต ควรจะพักยาวนะครับ อาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ข้อมือ รวมถึงก้อนซีสซ์ที่มือขวา ถ้าไม่ได้รับการรักษา และการพักฟื้นที่เพียงพอ ผมเกรงว่าจะไม่หาย” พิรุณาจำได้ว่าตัวเองเอาแต่จ้องมองนายแพทย์ผู้นั้นราวกับมึนชาจากการถูกฟาด
“ผมแนะนำให้ผ่าตัดนะครับ “พิรุณามองล่ามภาษามือ สลับกับนายแพทย์ รู้สึกทำอะไรไม่ถูก หลังจากรวบรวมสติที่ซ่านกระเซ็นได้ จึงส่งภาษามือกลับไปอย่างช้าๆ
‘ผมคิดว่าจะยังไม่ผ่าตัด จะยังไม่มีการรักษาและพักยาวเกิดขึ้น ผมยังไม่พร้อม’ พิรุณาลุกขึ้นเดินออกไปอย่างคนสิ้นไร้วิญญาณ สำหรับนักเปียโนแล้ว จะมีอะไรสำคัญไปกว่ามือ
พิรุณารวบรวมสมาธิอีกครั้ง กดลงบนคีย์ บรรเพลงช้าๆ ท่วงทำนองหวานโศก ที่เต้นระริก ดังแสงดาวดำเนินไป พร้อมๆกับความเจ็บปวดที่ทวีขึ้นเรื่อยๆตามภาระที่มากขึ้นตามเทคนิคที่ยากขึ้นเรื่อยๆของเพลง พิรุณานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่ยังไม่ยอมแพ้ กัดฟันเล่นต่อทั้งที่เจ็บทรมาน ทวงทำนองที่เต้นระริกนั้นยังดำเนินต่อไปท่ามกลางความทรมานและความดื้นรั้น สุดท้ายก็เงียบเสียงลงด้วยโน้ตตัวทุดท้ายที่เสียงแปลกแยกผิดจากตัวที่ถูกต้องและไม่แม้แต่จะจบท่อน พิรุณาลองใหม่อีกครั้ง แต่ผลยังเป็นเหมือนเดิม ความกดดันต่อตนเองถาโถม พิรุณาเลือกที่จะเริ่มใหม่ เริ่มตั้งแต่การไล่สเกล*ทุกคีย์ เหมือนเด็กหัดเปียโน ผลรับยังเหมือนเดิมคือผิดพลาดอย่างง่ายดายอย่างที่ไม่ควรจะเป็น พิรุณากำลังจะสูญเสียการควบคุมมือของตนเองให้เป็นได้ดั่งใจคิดไปอย่างช้าๆ
สูญเสียการได้ยินไปแล้ว ยังเสียมือไปอีก แล้วชีวิตจะเหลืออะไร? ธีรธรหอบงานเอกสารของตัวเองมาที่บ้านหลังติดกัน บ้านที่เขาเข้านอกออกในเหมือนเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง ชายหนุ่มตบหัวเจ้าหมาเป็นการทักทาย เช้าๆอย่างนี้พิรุณาน่าจะยังไม่ทานอะไร เขาจึงเดินเข้าครัว ทำอาหารเช้าอย่างง่ายๆสองชุด แล้วเดินตามหาเจ้าของบ้าน เสียงเปียโนดังมาตามทางเดิน เช้าวันอาทิตย์เช่นนี้ ดีเหลือเกินที่ได้ฟังเพลงเพราะๆแต่เช้า ธีรธรเห็นร่างโปร่งบางนั่งหน้าเปียโน สีหน้านั้น เคร่งเครียดกว่าปรกติ แม้เสียงที่ได้จะยังเพราะพริ้งและเต้นระยับชวนประทับใจ แต่สีหน้าที่ธีรธรเห็นนั่น ไม่ใช่สีหน้าของพิรุณา ผู้หลงใหลในเสียงเพลง
เกิดอะไรขึ้น? เสียงสุดท้ายที่แปล่งสะดุดหู เหมือนฉุดกระชากให้คนทั้งคู่ตื่นขึ้นจางห้วงคิด ธีรธรเดินเข้าไปหาพิรุณา สัมผัสแผ่นหลังนั้นเบาๆ หากพิรุณากลับสะดุ้งตกใจ ก่อนจะหันมาอย่างตื่นๆ ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงที่เคยฉายประกายรื่นรมย์ บัดนี้เอ่อคลอด้วยน้ำตา
“เป็นอะไรไป?”ธีรธรกระซิบเพียงแผ่วเบา แล้วนั่งลงเคียงใกล้ พิรุณาเบือนหน้าไปอีกทาง ซ่อนรอยน้ำตาไว้ รีบปรับอารมณ์ตนเอง ซุกซ่อนความอ่อนแอของจิตใจไว้ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าเบาๆ
“ทานอะไรหรือยัง? ผมมาหาคนทานของเช้าด้วยกัน ดีไหม?” พิรุณาไม่สบตา เอาแต่มองริมฝีปากของชายหนุ่ม
“ว่าไง?” มือแข็งแรงนั้นกุมมือบางนั้นไว้แล้วเขย่าเบาๆ
‘ระหว่างหน้าที่กับร่างกาย อันไหนสำคัญกว่ากัน’ ธีรธรพอเดาได้ว่าพิรุณาถามอย่างนี้เพราะอะไร เขาจึงตอบเป็นภาษามือ ที่ลอบศึกษามาบ้างเมื่อว่างจากงาน แม้จะไปไม่คีบหน้าสักเท่าใด
‘ร่างกาย’ พิรุณาเหยียดยิ้มบางๆ แก้ภาษามือที่ธีรธรทำผิดให้ แล้วทำให้ดูอีกครั้ง
‘ทำไมล่ะครับ?’ ธีรธรแนบริมฝีปากลงที่หน้าผากนวลๆนั้น
“เพราะ ร่างกายที่แข็งแรง ย่อมสร้างกำลังกาย กำลังใจ และบันดาลใจให้เกิดผลงานที่ดี” ดวงตาคู่สีน้ำตาลแดงหลุบต่ำ
‘แล้วถ้าผมเลือกหน้าที่ล่ะ’ ธีรธรโคลงศีรษะ
“เลือกตามที่พิรุณาอยากให้เป็นเถอะ เลือกในทางที่คุณคิดว่าจะไม่เสียใจทีหลัง”พิรุณามองลึกเข้าไปในดวงตาสีม่านราตรีนั้น ธีรธรไม่ใช่คนข้างบ้านที่พยายามบุกรุกชีวิตเขาให้วุ่นวายชวนปวดหัวอีกแล้ว ณ วินาทีนี้พิรุณาเพิ่งรู้สึก ธีรธรเป็นเพื่อนกายผู้ชิดใกล้ และเพื่อนใจที่ผูกพัน
“ทานอะไรเสียก่อนเถอะ”พิรุณาพยักหน้าให้เบาๆ ยอมให้ชายหนุ่มจับจูงมือแต่โดยดี
หลังอาหารเช้าแบบเบาๆ พิรุณาอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ธีรธรค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง พิรุณาเริ่มดูหนังจีนกำลังภายในอย่างตั้งใจ ราวกับเป็นซีรีย์ที่ต้องใช้สมาธิอย่างแรงกล้าในการดู ธีรธรจึงเริ่มหยิบงานของตนเองขึ้นมาอ่านๆพลิกๆ แต่ก็ไม่คืบหน้าไปสักเท่าใด เพราะสมาธิไปจดจ่อกับคนข้างๆและจอโทรทัศน์เสียส่วนใหญ่ ชักจะติดใจว่าหนังจีนกำลังภายในก็สนุกไม่เลว ครั้งสุดท้ายที่ดูเมื่อไหร่นั้นก็ยากจะจำได้ เสียงออดจากหน้าบ้าน ทำให้เจ้าหมาที่นอนหมอบในครัว ลุกมาคาบมือนายของมันตามหน้าที่ พิรุณาแงะมือออกจากปากเจ้าหมาที่คาบไว้หลวมๆ แล้วจับมือใหญ่แข็งแรงของธีรธรให้เจ้าหมาคาบแทน ธีรธรหัวเราะขันแล้วยอมตามเจ้าหมาไปแต่โดยดี
“ครับ” ธีรธรขานรับ พลางเปิดประตู คนที่ยืนยิ้มอยู่หน้าบ้าน ทำให้ธีรธรเปลี่ยนสีหน้าแทบทันที ดวงตาสีเทานั้นมองธีรธรแปลกๆ
“ผมมาผิดบ้านหรือเปล่านี่?”ชายหนุ่มอุทานด้วยสำเนียงแปล่งๆ
“ถ้าคุณมาหาพิรุณา ก็ถูกบ้านแล้วครับ มิสเตอร์..วิทเนอร์”น้ำเสียงที่ใช้ตอบ ฟ้องคู่สนทนาว่าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“เชิญครับ”ธีรธรเปิดประตูกว้างขึ้นเบี่ยงกายให้ผู้มาเยือนเข้ามา เอ็ดมันต์เห็นเจ้าของบ้านกำลังนั่งหน้าทีวี ท่าทางน่าสนุก
‘สนุกมากขนาดนั้นเชียว’ เอ็ดมันต์ยืนบังโทรทัศน์ไว้แล้วถามด้วยภาษามือ ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองคนยืนบังอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก เอ็ดมนต์คิดในใจ
เหมือนกันเลยทั้งคู่‘ไม่กอดทักทายหน่อยหรือ?’ ชายหนุ่มว่าพลางอ้าแขนรอรับร่างโปร่งบาง จุดประสงค์ไม่ใช่พิรุณา แต่เป็นพ่อบ้านจำเป็นที่จัดหนังสือเข้าตู้ทั้งที่มันเป็นระเบียบของมันอยู่แล้วต่างหาก แน่นอน ถ้าหนังสือในตู้เป็นตัวเขา ป่านนี้เป็นชิ้นๆไปแล้ว พิรุณายอมให้กอดทักทาย พลางตบหลังเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ หรือจะเรียกว่าเป็นอดีตคนรักแรงๆ
“ยังตัวเล็กเหมือนเดิม กอดไม่เต็มไม้เต็มมือเลย” เอ็ดมันต์พูดพลางคิดในใจว่าพิรุณาตบหลังตนแรงไปแล้ว ได้ยินเสียงปึงปังจากชั้นหนังสือประกอบการทักทาย
‘มีอะไรหรือ?’ พิรุณาถามทันทีที่คลายอ้อมแขน
‘เอาตารางงานใหม่มาให้’
‘ต้องมาเองเชียวหรือ? มาเพราะอย่างอื่นมากกว่ามั้ง?’เอ็ดมันต์ยิ้มเหย พิรุณเป็นคนจำนวนน้อยที่รู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่อง ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่คบกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม บางที เพราะการรู้เท่าทัน และอ่านคนออกอย่างเฉียบขาด อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเลิกกันก็ได้
‘รู้ทันเรื่อยเลย ดีนะที่เลิกกันไปแล้ว แผลงฤทธิ์กับคนนี้แล้วหรือยัง’
‘ไม่ได้นิสัยเสียเหมือนนายนี่ที่ไม่ชอบให้คนอื่นรู้ทัน ตอนนี้ฉันไม่เหมือนสมัยนั้นนะที่ไม่ค่อยยับยั้งชั่งใจ และคุณธีก็ไม่ใช่คนแบบนายด้วย’
‘แบบฉันนี่แบบไหน?’พิรุณายิ้มหยันอย่างไม่ปิดบัง นี่ละ พิรุณาอย่างร้ายๆที่เพื่อนฝูงรู้กันดี
‘ก็คนที่ ไม่ชอบให้คนอื่นรู้ทัน ทำเหมือนคนอื่นๆในโลกโง่งมไม่ลืมหูตา’
‘เจ็บนะเนี่ย’เอ็ดมันต์รู้ซึ้ง ว่าที่พิรุณาว่ามานั้นเป็นจริงเพียงใด ขอบคุณสวรรค์ที่ดลใจให้พิรุณาบอกเลิกเขาในตอนนั้น
‘ที่มาที่นี่ จะมาดูคุณธีใช่ไหม?’ เอ็ดมันต์หัวเราะ พิรุณาเคยอ่านเขาพลาดหรือ ไม่สิ เคยอ่านใครพลาดหรือ
‘ใช่ ท่าทางคิดมากน้อยใจนะเนี่ย’ ชายหนุ่มว่าแล้วหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม ขณะที่คนถูกกล่าวถึงไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
‘พอใจหรือยังล่ะ พอใจก็ไปได้แล้ว’ เอ็ดมันต์ยกมือยอมแพ้
‘โอเค พอใจแล้ว รีบไปดีกว่า เดี๋ยวโดนดูดสมองไปทำมิลค์เชค’ เอ็ดมันต์ทำหน้าทะเล้น
‘ไปสิ’
‘ตารางงานนั่น ดูดีๆนะ ไม่อนุญาตให้เพิ่ม แต่ลดได้ตามสะดวก’เอ็ดมันต์ออกจากบ้านไปโดยไม่ต้องกล่าวลาให้เมื่อย เขารู้เพียงแค่นี้พิรุณาน่าจะรู้ว่า ตารางงานใหม่ที่เขาจัดให้เองกับมือเป็นอย่างไร ถ้าอยู่นานกว่านี้ พิรุณาต้องบ่นแบบลืมเมื่อยมือแน่นอน
พิรุณาพิจารณาตารางงานใหม่ที่ดูแล้วโหวงเหวงกว่าเก่าไปมากกว่าครึ่ง พลางนึกบ่นในใจว่าเขาทำงานไหว ไม่เห็นต้องมาลดงานของเขาลงเลย เสียดายที่ไล่กลับไปเสียก่อนจะได้บ่น หลังจากเอาตารางงานใหม่ไปเก็บ พิรุณาถึงรู้สึกได้ว่า ใครบางคนหายไปอย่างลึกลับ ไปพบธีรธรนั่งกอดคอเจ้าหมาอยู่หลังบ้าน ราวกับมันเป็นเพื่อนตาย เมื่อได้ยินเสียงเปิดจึงหันมายิ้มให้ แค่มองตาพิรุณาก็รู้ คนตัวโต น้อยใจเสียแล้ว
“คุยกันเสร็จแล้วหรือ?”ธีรธรเปรย เมื่อพิรุณานั่งลงข้างเจ้าหมา พิรุณาพยักหน้า แล้วเล่นขอมือกับเจ้าหมา ที่พยายามส่งขาขวาให้ ทั้งที่พิรุณาขอขาซ้าย
“ทำไมเร็วจัง”
‘ไม่อยากให้อยู่นานๆนี่’ ธีรธรหันมามองพิรุณาที่ส่งภาษามือ เห็นแต่หน้าเจ้าหมาเต็มๆเลยต้องชะโงกตัวไปข้างหน้า ร่องรอยน้อยใจลึกๆอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้สาเหตุยังปรากฏอยู่จางๆ
‘อยากรู้ไหมว่า ผมกับเอ็ดมันต์มีความสัมพันธ์กันยังไง?’ ธีรธรส่ายหน้า
“ผมไม่ได้สนใจคนที่อดีตของเขา”พิรุณาหันมองธีรธร เห็นแต่เจ้าหมาที่แลบลิ้นหอบหายใจแหะๆอยู่ใกล้ๆหน้า จึงต้องเป็นฝ่ายชะโงกตัวมาบ้าง
‘ข้อนั้นผมทราบ’พิรุณายิ้มบาง ดวงตาสีน้ำตาลแดงเป็นประกายพราว
‘แต่ผมอยากให้คุณธีทราบ ไม่เข้าใจตรงไหนบอกนะครับ’ ธีรธรส่งภาษามืออย่างง่ายๆว่า โอเค
‘ผมเจอเอ็ดมันต์ตอนอายุสิบเจ็ดสิบแปด ตอนนั้นผมกำลังดิ้นรน หาทางเอาชีวิตรอดจากสังคมภายนอกนั่น ที่บีบบังคับให้ผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเลี้ยงชีพ ตอนนั้นผมเป็นนักดนตรีในคลับหลายๆที่ ทำให้เวลาของผมผิดไปจากคนอื่นที่ดำเนินชีวิตตอนกลางวัน ในขณะที่ผมตื่นเมื่อคนอื่นหลับ เอ็ดมันต์อายุมากกว่า5ปี เข้ามาชักชวนให้ผมไปทำงานกับเขาที่คลับที่เขาและเพื่อนๆร่วมหุ้นกันสร้างขึ้นมา แน่นอนว่าตาคู่สีเทานั้น ดึงดูดผมได้พอสมควร คืนหนึ่ง ลูกค้าเกิดชอบใจฝีมือผมเลยเลี้ยงเครื่องดื่ม ไม่ดื่มก็ดูเสียมารยาท สุดท้ายเลยเมาหัวทิ่ม ขนาดเห็นเปียโนกลับหัวทั้งหลังเห็นภาพเหมือนทีวีรุ่นคุณปู่ที่รับสัญญาณได้ไม่ชัด วันนั้นเอ็ดมันต์เลยเอาผมไปทิ้งไว้ห้องเขา ส่วนตัวเขากลับมานอนร้านเลยเริ่มรู้สึกเหมือนติดหนี้บุญคุณ น่าขันที่มันแหมือนนิยายน้ำเน่าไม่มีผิด ในที่สุดผมก็คบกับเอ็ดมันต์โดยที่เราทั้งคู่ต่างไม่ได้ออกปากบอกกล่าวอีกฝ่ายว่าชอบพอหรือรัก หรืออะไรทำนองนั้นเลย แต่ก็คบกันได้สามเดือน เราก็เหมือนคู่รักปรกติ กินข้าว สนทนาด้วยเรื่องสัพเพเหระ แน่นอน เซ็กซ์ก็เกี่ยว แต่อาจจะน้อยหน่อย เพราะเราต่างไม่มีเวลา’พิรุณาลอบสังเกตธีรธร ที่แอบทำหน้าเบี้ยวนิดหน่อย เจ้าหมาหาวแลบลิ้นยาวก่อนจะลุกจากไปเหมือนเบื่อเต็มที
‘สิ่งที่เราไม่เหมือนคู่รักอื่นๆแน่ๆคือ เราต่างไม่รู้ใจตัวเองว่า รักอีกฝ่ายหรือเปล่า หลังจากอึดอัดมาพักใหญ่ และหลังจากเซ็กซ์ครั้งแรกของผม สามวันหลังจากนั้น ผมก็บอกเลิก แล้วไม่มีโอกาสเจอกันอีกหลายปี เพราะผมเริ่มเข้าเรียนและทำงานหนัก ส่วนเอ็ดมันต์ก็เริ่มจับงาน งงภาษามือตรงไหนไหม?’ ธีรธรแอบกรอกตา ถึงใช้ภาษามือได้ไม่คล่อง แต่คราวนี้ครบทุกเนื้อหาเชียวล่ะ
‘น้อยใจหรือ?’
‘เปล่าครับ’คนปฎิเสธหูแดง พิรุณาหัวเราะ ก่อนต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ธีรธรสะกิดพิรุณาเบาๆ ดวงตาสีม่านราตรีคู่สวยฉายประกายลุ่มลึก
“ที่ไม่ยอมรักษาก่อน เพราะกลัวใช่ไหม?”น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา แม้พิรุณาจะไม่ได้ยิน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายประกายบางอย่างชัด พิรุณาตกตะลึง มือนวลนั้นยึดแขนเสื้อธีรธรไว้ อันจนหนทางใดจะบอกกล่าว
พิรุณาเพิ่งเข้าใจความรู้สึก ของคนที่ถูกพูดจี้ใจ ธีรธรไม่เพียงอบอุ่นอ่อนโยนทว่าคิดอ่านลึกซึ้งกว่าที่ตาเห็นอยู่มากนัก
ปล.ขอบคุณทุกแรงใจ(กดดัน)ที่ทำให้น้องเมศของเราคลอดผลงานตอนใหม่มาได้ครับ
เพราะทุกคอมเมนท์คือตัวเร่งปฎิกิริยาครับ