INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง  (อ่าน 158537 ครั้ง)

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #90 เมื่อ15-12-2007 18:12:30 »

ว้า..............ธีรธร น่าสงสารๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อิอิ

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #91 เมื่อ24-12-2007 02:24:01 »

ทำไงจะเอาชนะใจพิรุณาอย่างไรนี่
 :mc2: :mc2: :mc2:

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #92 เมื่อ24-12-2007 22:33:08 »

ยังไม่มีวี่แววว่าใจจะตรงกันลยยย มาต่อเร็ว นะครับ  :m1:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #93 เมื่อ25-12-2007 04:01:14 »

ขอโทษเพื่อนๆนะครับที่มาอัพช้าพอดีติดสอบอ่ะครับ(สร้างภาพ :oni3:)

วันนี้สอบเสร็จแล้วล่ะเลยมาอัพซะเลยหลังที่ดองมานาน

ต่อกันเลยเน๊าะ :a1: :a1: :a1:
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
             เสียงสรวลเสเฮฮาของเหล่านักดนตรีที่เพิ่งลงเวทีเมื่อราวๆสองชั่วโมงที่ผ่านมาดังสนั่นกลบทับเสียงเพลงสบายหูที่คลับแห่งหนึ่งเปิดไปสนิท ซึ่งวันนี้ปิดร้านให้สำหรับวงนี้โดยเฉพาะ ด้วยเส้นสายของยอดหญิงเกรซเช่นเคย   เคนนั่งทางด้านขวาของพิรุณาคอยตักอาหารนั่นนิดนี่หน่อยเอาใจพิรุณาซึ่งดูจะไม่ค่อยสนใจเคนมากนัก  เกรซนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเติมเบียร์จากเหยือกใหญ่ใส่แก้วพิรุณาอย่างสนุกสนาน ที่แก้มของเธอมีผ้าก็อชปิดแผลไว้เรียบร้อยแล้ว 

‘ฉันไม่ใช่นักดนตรีขี้เมานะ ขยันเติมจัง เบียร์เนี่ย’

‘น่า จะได้หายเหนื่อยไง’

“คุณเกรซ จบงานนี้แล้วจะทำอะไรต่อหรอคะ?” นักศึกษาแผนกไวโอลิน ซึ่งเล่นไวโอลินที่1 ถามขึ้น เพราะเธอดูจะเป็นคนที่สนิทกับเกรซมากที่สุดในบรรดานักศึกษาในวงทั้งหมด

“ถามตอบยากนะเนี่ย  ที่แน่ๆก็ต้องพาลูกรักไปรักษาตัวก่อน” เกรซหมายถึงไวโอลินของเธอที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องสีแดงติดสติ๊กเกอร์จนเลอะเทอะของเธอ

“แล้วหลังจากนั้นละคะ?” นักศึกษาสาวคนนั้นยังคงเซ้าซี้

“ไม่รู้สินะ  อาจจะไปนอนกลิ้งที่บ้านพิรุณาสักเดือนสองเดือน  แล้วหลังจากนั้นอาจจะกลับเข้าวง หรือไม่ก็วางแผนทำอะไรสักอย่างอีก  แต่คิดอีกทีเรื่องกลับเข้าวงฉันคงไม่สนเท่าไหร่หรอก  เพราะมันน่าเบื่อสำหรับฉัน สู้ไปทำอะไรที่ท้าทายกว่านั้นดีกว่า”

“อย่างเปิดหมวกแถวโซโหนะหรอ?” ทีน่าแซวถึงวีรกรรมเก่าๆที่เพื่อนสาวสร้างไว้  ด้วยการโดดงานไปเล่นไวโอลินอยู่ย่านโซโหจนคนตามหาตัวกันให้ขวัก

“อย่าแซวสิ  ทำอย่างกับเธอมีแผน”

“มีสิยะ  ฉันไม่ใช่พวกลอยชายเป็นแม่พวงมาลัยอย่างเธอนิ  ฉันจะกลับไปเล่นให้วงเหมือนเดิมน่ะแหล่ะ” เทรสและอเล็กซ์พยักหน้าเห็นด้วย  เกรซจึงหันไปทางลีอองซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเธอ   ดวงตาสีฟ้าใสสบตาดุดันของลีออง

“ลีอองเองก็ถูกทาบทามให้ไปคอนดักเตอร์ให้วงนี่”ทีน่าบอกชื่อวงออเคสตร้ามีชื่อทำให้ทุกคนตาโตส่งเสียงอู้ฮู~ ออกมา

“อือ” ลีอองรับคำด้วยเสียงในคือเพียงพยางค์เดียว  เกรซรู้สึกขัดใจเล็กๆจึงระบายด้วยการแทงส้อมแรงๆกับอาหารตรงหน้าเธอ

“แล้วพิรุณาล่ะ?” สายตาสงสัยมุ่งตรงมาให้พิรุณา พิรุณารีบวางแก้วเบียร์ที่กำลังจะยกขึ้นจิบลงแทบไม่ทัน

‘ก็....อาจจะลองกลับไปนั่งแต่งเพลงดู เผื่อว่าจะได้สักสิบเพลงอะไรเงี้ย’พิรุณาตอบอ้อมๆ ทำให้เพื่อนตาโต

“อัลบัมใหม่หรอ  จริงอ่ะๆ  ต้นสังกัดให้แล้วหรอ?”ทุกคนเซ้าซี้

‘ก็ตอนคุณปองไปรายงานเรื่องฟ้องร้อง  เขาก็ฝากให้มาบอกว่าให้ลองคิดดู  แค่นั้นเอง’ พิรุณาส่งภาษามือแล้วเม้มปากบางแน่นพยักหน้าน้อยๆ เหมือนพยายามทวนความจำตัวเอง

“อย่างนี้ต้องฉลอง!!!” เสียงเกรซแทบเป็นตะโกนเธอยกแก้วขึ้นสูงทำให้ทุกคนทำตาม

“แก้วนี้เพื่ออนาคตที่สดใสของเพื่อนๆ หมดแก้ว!!!” เสียงตอบรับจากทุกคนดังรับอย่างสามัคคีพิรุณาจึงต้องยกแก้วขึ้นตามก่อนจะดื่มหมดแก้วเช่นเดียวกันกับทุกคน พลางนึกในใจว่า  ถ้ายังโดนลากไปดื่มแบบนี้บ่อยๆ  สงสัยอีกหน่อยต้องได้เป็นนักดนตรีขี้เมาเข้าสักวันแน่ๆเลยเรา





         พิรุณาพาร่างปวกเปียกของปองที่เดินเซไปเซมาราวกับไม่รู้จักคำว่าเส้นตรงกลับมายังห้องพักในโรงแรมซึ่งสปอนเซอร์ใจปล้ำให้นักดนตรีทั้งหมดพักที่นี่ได้   พิรุณาโยนร่างปองลงบนเตียงในห้องพักโดยยังไม่เปิดไฟ  มีแต่เพียงแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น แล้วปลดกระดุมเสื้อให้ปองแค่พอหายอึดอัดก่อนจะห่มผ้าให้เรียบร้อย  เคนเดินเข้ามายืนพิงประตูมองอยู่นานแล้ว  พิรุณาหันไปยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเริ่มถอดโค้ตสีน้ำตาลที่สวมอยู่ออก ให้เหลือเพียงเชิ้ตขาวสะอาดตาเช่นที่ใส่ประจำ  เคนเดินเข้ามาใกล้พิรุณาจับโค้ตที่พิรุณากำลังจะถอดออกจากตัวเอาไว้  พิรุณาจึงหันมามองอย่างสงสัย

‘ง่วงหรือยัง? ออกไปเดินเล่นกันก่อนได้ไหม?’ พิรุณาสบตากับนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นนิ่ง  ก่อนจะพยักหน้าเบาๆแล้วสวมโค้ตกลับแล้วออกจากห้องไปพร้อมกับเคน



         เคนพาพิรุณาลงลิฟท์มายังชั้นๆหนึ่งซึ่งจัดไว้เป็นสวนลอยที่สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมจีนผสมผสานกับโมเดิร์น แสงไฟสลัวๆจากโคมที่ตกแต่งอยู่เป็นระยะทำให้ได้บรรยากาศโรแมนติก  เคนจูงมือพิรุณาให้เดินไปตามทางเดินหินสีขาวตรงไปที่ศาลาทรงจีนหลังน้อยที่ห้อยโคมจีนมีพู่ระย้าสีแดงดูน่ารัก  รอบข้างนั้นรายล้อมไปด้วยพันธุ์พฤกษ์นานาชนิดใหญ่น้อย และได้กลิ่นหอมจางๆจากดอกไม้บางชนิด  พิรุณามองภาพความสวยงามรอบด้านอย่างเพลิดเพลิน พลางดมกลิ่นหอมชื่นใจนั้นอย่างรื่นรมย์ นึกสงสัยในใจว่า เสียงของ ‘โลกภายนอก’ นั้นจะมีเสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงร้องอยู่หรือเปล่าหนอ?  เคนมองดวงหน้าเนียนใสที่ต้องแสงโคมและดวงจันทร์อย่างหลงใหล นัยน์ตาสีมรกตมองพิรุณาอย่างดื่มด่ำ  พิรุณารู้สึกตัวจนหันมามอง

‘มองอะไรหรอ?’

‘ มองพระจันทร์’ เคนส่งภาษามือให้ พิรุณาเอียงคอสงสัย  พระจันทร์อยู่นอกศาลา แล้วมองหน้าทำไม...

‘จำวันแรกที่เรารู้จักกันได้ไหม?’

‘ได้สิ  ใครกันล่ะที่โผล่พรวดมาจากชั้นหนังสือฝั่งตรงข้ามแล้วอ้าปากพะงาบๆถามว่า เธอคนนั้นน่ะ ชื่ออะไร’พิรุณาหัวเราะกับความทรงจำเก่าๆ  เคนใช้มือแตะปลายจมูกตัวเองอย่างเขินๆ

‘แถมยังหน้าด้านหน้าทน  พอคนเขาไม่สนก็วิ่งตาม แถมยังขี้ตื้อชะมัด’ พิรุณาส่งภาษามือแล้วระบายยิ้มอ่อนหวาน

‘ก็ถ้าไม่ตื้อแล้วจะรู้หรอว่าชื่ออะไร เรียนอะไร แล้วจะรู้หรอว่าเรียนวิทยาลัยดนตรีที่เดียวกัน’

         วันนั้นพิรุณาซึ่งเป็นนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเข้าห้องสมุดตั้งแต่วันแรกที่มาเรียนเนื่องจากเขาขาดเรียนไปตั้งแต่สัปดาห์แรก เพราะวุ่นอยู่กับการเรียนที่วิทยาลัยดนตรี  ซึ่งทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ว่าอะไรเพราะถือว่านักศึกษาจะเข้าเรียนก็ได้ไม่เข้าก็ได้แต่ต้องสอบผ่าน   เขาเดินไปตามชั้นหนังสือที่สูงท่วมหัว ด้วยความสูงอย่างพิรุณาทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวถูกบีบให้เล็กลงอีกเมื่อมาอยู่ในหอสมุดที่รวบรวมหนังสือทั้งเก่าใหม่ไว้หลากหลายกว่าแสนเล่ม  เขายืนตะลึงงันอยู่ข้างทางเดินซึ่งเบื้องหน้ามีโต๊ะอ่านหนังสือพร้อมโคมไฟสีเขียวๆตั้งเป็นแพแออัดอยู่เต็มไปหมด  นักศึกษาหลากหลายเชื้อชาติบ้างนั่งอ่านหนังสือแล้วแอบพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะ  บ้างกำลังเดินไปมาพร้อมถือหนังสือไว้ในมือ  บ้างกำลังคัดลอกข้อความบางอย่างใส่ในกระดาษอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง  หลังจากพิรุณายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่นานเขาก็ตัดสินใจ  ลองลัดเลาะไปตามชั้นหนังสือที่ใกล้ที่สุดดูบ้าง เพื่อหาหนังสือเกี่ยวกับกฎหมาย


         ในที่สุดเขาก็พบชั้นหนังสือที่ต้องการในชั้นหนังสือลึกมาก ซึ่งชั้นหนังสือนั้นต่างจากรอบนอกโดยสิ้นเชิงเพราะเป็นชั้นเหล็กที่ดูบอบบางเหมือนพร้อมจะถล่มใส่ทุกคนที่เดินเข้ามาในลอคนี้เพราะน้ำหนักของหนังสือมากมายบนชั้นนั้น  ในขณะที่ชั้นหนังสือด้านนอกเป็นตู้วางอย่างดี     พิรุณากำลังเลือกหนังสือที่น่าสนใจและคิดว่าง่ายแก่การเข้าใจที่สุด สำหรับเริ่มเรียนด้านนี้  สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือที่ถูกใจอยู่เล่มหนึ่งอยู่ในชั้นที่สูงขึ้นไปมาก ด้วยความสูงอย่างพิรุณาจึงหมดสิทธิ์หยิบอย่างแน่นอน  ต่อให้ลากบันไดเตี้ยๆที่ใช้สำหรับปีนขึ้นหยิบหนังสือมาต่อแล้วก็ตาม  ระหว่างกำลังตัดใจเลือกเล่มใหม่อยู่นั้น หนังสือที่กำลังเลือกอยู่ตรงหน้าก็แหวกออกอย่างแรง  ใบหน้าหนึ่งโผล่พรวด  พิรุณาผงะถอยหลังจนชนกับชั้นหนังสือด้านหลังทำให้ชั้นเจ้ากรรมนั้นสั่นไหวอย่างรุนแรงพิรุณาจึงต้องรีบจับมันไว้ให้นิ่ง ไม่อย่างนั้นเขาจะได้ลงข่าวหน้าหนึ่งอย่างแน่นอนว่า นักศึกษาปีหนึ่งถูกชั้นหนังสือทับตาย 



“เธอคนนั้นน่ะชื่ออะไร?” ดวงหน้าคมสันอย่างชายเชื้อสายอิตตาเลี่ยนนิดๆยื่นหน้าออกจากชั้นหนังสือฝั่งตรงข้าม  พิรุณาที่ตกใจและไม่ได้ยิน แต่ก็พยายามหลบจากชายผู้น่าสงสัยคนนั้น

“เดี๋ยวสิ  บอกก่อนเธอชื่ออะไร?” เคนวิ่งมาดักหน้าพิรุณา  พิรุณาจริงกลับหลังหันแล้วรีบเดินไปอีกทาง  แต่ก็ถูกมือแข็งแรงจับที่ต้นแขน

“เดี๋ยวสิ บอกชื่อ กับคณะก่อนสิ”  พิรุณากอดหนังสือไว้แนบอก  ไม่อยากสุงสิงกับใคร  จึงส่งภาษามืออย่างส่งๆเพราะรู้อยู่แล้วว่าคนๆนี้คงไม่รู้ว่าเขาจะสื่ออะไร

‘อย่ามายุ่งกับผม หลบไปซะ’ คนตัวเล็กกว่าสะบัดแขนอย่างแรงแล้วรีบเดินหายไปอย่างว่องไวท่ามกลางหมู่ชั้นหนังสือ  ทิ้งให้ชายผมทองร่างสูงใหญ่ยืนหงุดหงิดที่พลาดท่าปล่อยให้คนที่ตนสนใจหนีไปเสียได้





‘แล้วรู้หรือเปล่าว่าคนเขารำคาญ’

‘รู้แต่จะทำนี่นา’ เคนตอบ นัยน์ตาคู่สีมรกตพราวระยับ

‘แต่ก็ต้องขอบใจมาก  ถ้าไม่มีเคน ฉันก็ไม่มีวันนี้  ไม่มีเพื่อนที่น่ารัก  ไม่มีอนาคต  เพราะไม่มีใครลงทุนแบกโน้ตบุ๊คมานั่งข้างๆคอยพิมพ์สิ่งที่อาจารย์พูดให้ฉันเรียน  ขอบใจมากที่ยอมเป็นเพื่อนกับฉัน’  พิรุณาสบตาคู่นั้นของเคนที่มองตรงมานิ่ง

‘แค่เพื่อนเท่านั้นหรือ?’ ทั้งคู่จ้องตากันท่ามกลางความเงียบสงบ  มีเพียงแสงจันทร์และแสงจากโคมดวงเล็กๆส่องสว่าง    ดวงหน้าคมสันนั้นเลื่อนเข้ามาใกล้  นัยน์ตาสีมรกตพละจากดวงตาคู่สวยที่ตรึงลมหายใจเขาให้แทบหยุดนิ่งทุกครั้งที่เข้าใกล้ เหลือบมองริมฝีปากบางหากอิ่มสวยน่าลิ้มลองนั้นอย่างเผลอไผลราวตกอยู่ในห้วงภวังค์


         แขนแข็งแรงโอบเอวบางรั้งให้เข้ามาใกล้ตัวก่อนจะประทับริมฝีปากผ่าวร้อนลงบนกลีบปากบาง  ในสมองขาวโพลนไม่รับรู้สิ่งใดรอบข้างอีกแล้วนอกจากความหอมหวานที่ได้รับ  พิรุณายืนนิ่งปล่อยให้เคนทำตามใจอยากเสียให้เต็มทีโดยมือขาวนวลนั้นประคองหน้าคมสันของเคน   ในที่สุดเคนก็ถอนริมฝีปากออกช้าๆอย่างเสียดายและค่อยคลายวงแขนออกเหลือเพียงการโอบเบาๆ   ดวงตาคู่นั้นฉายประกายบางอย่างเจิดจรัสอยู่ภายใน คำพูดต่างๆนานาในหัวเหมือนตีกันยุ่งเหยิง  จนในที่สุดเขาก็ค้นเจอว่าสิ่งที่อยากพูดที่สุดนับแต่วันแรกที่ได้พบพิรุณาคืออะไร

‘พิรุณา ฉันรักเธอนะ  รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น  รัก...จนถึงวินาทีนี้และเดี๋ยวนี้’ พิรุณายิ้มน้อยๆให้เคน  เป็นรอยยิ้มที่ตราตรึงหากไม่แสดงถึงการตอบรับใดๆเลย จนเคนชักหวั่นใจ 

‘พิรุณารักฉันบ้างไหม?’ หัวใจของเคนเต้นระส่ำอยู่ในอก  เหมือนมันพร้อมจะกระดอนออกมาทางปาก  เขารอคำตอบจากคนตรงหน้าราวกับวินาทีนั้นยาวนานเป็นชั่วโมงๆ

‘ ฉันจะตอบถ้ารับปากว่า คำตอบที่ได้รับจะไม่ทำลายความสัมพันธ์ของเราให้เสื่อมสลายลง  เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นฉันจะลืมเสียว่าเคนบอกอะไรฉันในคืนนี้’


   

         พิรุณามองตาคู่นั้นของเคน  เขารู้มาตั้งแต่แรกว่าเคนไม่ได้คิดกับเขาอย่างเพื่อนธรรมดา  รู้มานานตั้งแต่ที่เคนเข้ามาให้ใกล้ชิด  แม้เริ่มแรกเคนยังไม่แสดงอย่างชัดเจน แต่พิรุณาสังเกตเห็นร่องรอยที่ ‘พิเศษ’ ซึ่งถูกซ่อนเร้นไว้  ต่อมาเคนเริ่มแสดงออกมากขึ้นๆจนเห็นได้ชัด  เขาดูแลเอาใจใส่พิรุณามากมาย  ตั้งแต่ยอมทำผิดให้ถูกมหาวิทยาลัยลงโทษให้มาดูแลเด็กพิเศษอย่างพิรุณา  ยอมแบกโน้ตบุ๊คที่น้ำหนักไม่น้อยมานั่งอยู่ข้างๆในคาบเรียนเพื่อพิมพ์ข้อความที่อาจารย์อธิบายให้พิรุณาได้เรียนเต็มที่ ยอมเรียนภาษามือเพื่อจะได้สื่อสารกันง่ายขึ้น    เป็นผู้พิทักษ์ประจำตัวพิรุณาเสมอเมื่อยามที่พิรุณามีเรื่อง  เช่นเดียวกันถ้าเคนมีเรื่องพิรุณาก็ออกหน้าเช่นกัน   นอกจากนั้นเคนยังเป็นคนสนับสนุนให้เขารับข้อเสนอของอาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น ที่พิรุณาตั้งแง่ว่า ตาแก่พิลึก  ไม่เห็นน่าสนใจ   สนับสนุนให้พิรุณาได้ทำงานพิเศษเพื่อส่งตัวเองเรียนจนจบ  คอยเป็นกำลังใจให้พิรุณาก้าวต่อ แม้ย่างก้าวนั้นจะยากเย็นขนาดไหน  หากลองพิจารณาดูแล้ว  เคนเป็นผู้มีพระคุณต่อเขาก็ว่าได้   


         เคนพยายามบอกเขาอย่างอ้อมๆด้วยทั้งวาจาและการกระทำอยู่เสมอๆอย่างทีเล่นทีจริง  แต่ทุกครั้งพิรุณาก็บอกปัดเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น  เพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากใจนั้น  แต่แล้ววันนี้ก็มาถึง  วันที่เคนถามอย่างตรงไปตรงมา  เขารู้ว่าสักวันต้องมาถึง  และในวันนี้เขาหมดสิทธิ์ที่จะหลีกเลี่ยงหรือบิดพลิ้วใดๆได้อีกแล้ว  ในคืนนี้  ในศาลาหลังน้อยแห่งนี้  เขาต้องมอบคำตอบให้เคน....


คำตอบนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!!!
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำตอบคืออะไรน้า.....
จบตอน 7 แล้ว หวังว่าเพื่อนๆจะชอบนะครับ :m13:

three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #94 เมื่อ25-12-2007 04:11:39 »

ชอบครับแต่ค้างคาอ่ะ :m23:
แต่ว่าไปนายเคนนี้ก็แสนดีจังนะครรับแต่เรื่งของหัวใจมันเกินควบคุมอ่ะ :oni2:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #95 เมื่อ25-12-2007 11:40:32 »


คำตอบ!

จะตอบว่า.......................................................?

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #96 เมื่อ25-12-2007 13:11:37 »

คำตอบพอจะเดาออก แต่ผลที่ตามมาเนี่ยสิ เดายากกกกกกกกกกกกแฮะ รอลุ้นตอนต่อไปดีกว่า

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #97 เมื่อ25-12-2007 13:27:15 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

niph

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #98 เมื่อ25-12-2007 16:32:09 »

คนที่ไม่ใช่
ยังไงก็คงไม่ใช่
 :mc1: :mc1: :mc1:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #99 เมื่อ26-12-2007 08:22:57 »

เข้ามาอัพก่อนกลับบ้าน(นอก)  :mc1:

มาต่อกันเลยเน๊าะ กำลังสนุก  :a1:
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO   chapter# 8




         พิรุณาสบตาเคนนิ่ง  ดวงตาคู่สวยซึ้งตรึงตรานั้นจ้องมองอย่างตรงไปตรงมา  ท่ามกลางบรรยากาศสงบยามค่ำคืน มีเพียงสายลมที่พัดเอื่อยๆส่งให้โคมดวงน้อยห้อยพู่ระย้าแกว่งไกวเบาๆ  เคนหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่าพิรุณาจะตอบคำถามของเขาอย่างไร  แต่ความพยายามนั้นไร้ผล เขาจำต้องพยักหน้าลงรับเงื่อนไขของพิรุณาจนได้

‘ฉันรับปาก ว่าไม่ว่าคำตอบที่ฉันกำลังจะได้จะเป็นอย่างไร  ความสัมพันธ์ของเราจะไม่เสื่อมถอย’ พิรุณาเม้มปากบางแน่น ก่อนจะก้มหน้าลงมองเท้าตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ  หลังจากรวบรวมความกล้าได้อีกครั้งเขาก็เงยหน้าขึ้นสบตากับสายตาคาดหวังนั้น

‘เคน....ฉันก็ขอยอมรับว่ารักนาย…’  สีหน้าของเคนแช่มชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนพิรุณานึกลังเลใจกับสิ่งที่จะพูดต่อไป

‘แต่สิ่งที่ฉันรักในตัวนาย  มันต่างจากสิ่งที่นายรักจากตัวฉัน   ฉันรักในมิตรภาพที่นายหยิบยื่นให้ รักในน้ำใจของนาย  นายเป็นเพื่อนแท้ของฉัน  ในชีวิตที่ผ่านมา ทำให้ฉันไม่อาจมอบความไว้วางใจใครได้สนิทใจ  จนมาเจอนาย’ เคนพยายามมองว่าพิรุณาต้องการสื่ออะไร  มอง...ราวกับจะให้ทะลุไปถึงเนื้อหัวใจ

‘ดังนั้นฉันจึงกลัวมากที่จะตอบคำถามนี้ กลัวว่าความทรงจำดีๆของเราที่ร่วมกันมาจะไม่เหลืออะไรเลยถ้าฉันตอบคำถาม  แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันจำเป็นต้องให้คำตอบ’พิรุณาสูดหายใจเข้าลึกๆ

‘ฉันดีใจและอยากขอโทษ....ดีใจที่นายมอบความรู้สึกดีๆให้  และขอโทษที่ฉันไม่อาจรับความรู้สึกนั้นไว้ได้’ เคนปล่อยมือที่โอบอยู่หลวมๆลงราวกับหมดเรี่ยวแรง พิรุณาจับมือแข็งแรงที่ทิ้งลงอย่างอ่อนล้ามากุมไว้ เคนสลัดมือออกแล้วส่งภาษามือให้อย่างอ่อนแรงเต็มที

‘หมายความว่า พิรุณาไม่ได้รักฉันสินะ ถ้าเป็นนายธีรธีนั่นก็ไม่แน่ใช่ไหม?’ แววตาเจ็บปวดของเคนทิ่มแทงหัวใจพิรุณา รู้สึกราวกับว่าได้กระทำสิ่งที่ไม่ควรให้อภัยต่อเพื่อนคนนี้ ทำร้ายเข้าที่ใจอย่างแรง

‘ฉันรักเคน  รักอย่างเพื่อน  นั่นไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น  ตอนนี้ตัวฉันเองไม่พร้อมที่จะรับใครอีกคนเข้ามาในชีวิต  ไม่พร้อมที่จะแบ่งครึ่งหนึ่งของชีวิตตัวเองให้ใคร  นายไม่เข้าใจหรอกว่าการอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีญาติ ไม่มีพ่อแม่  ไม่มีเพื่อน เรื่องง่ายๆอย่างการพูดหรือการฟังก็ทำไม่ได้ รู้ไหมว่ามันแย่ขนาดไหน!!!’พิรุณาทำท่าทางภาษามืออย่างกระแทกกระทั้นในตอนท้ายระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมา  ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ ทำให้เคนยอมอ่อนลง

‘ขอโทษ’ เคนสวมกอดพิรุณาไว้กับอกอีกครั้ง นึกโทษตัวเองที่ทำให้พิรุณารู้สึกไม่ดี 

‘แสดงว่าฉันยังมีโอกาสใช่ไหม ถึงนายจะยังไม่พร้อมในตอนนี้  แต่ต่อไปก็ไม่แน่ใช่ไหม?  ถ้าฉันยังพยายามต่อไปฉันจะยังมีโอกาสได้หัวใจดวงนั้นใช่ไหม?’ เคนถามเมื่อคลายอ้อมกอดแล้ว  พิรุณามองเคนอย่างงงๆก่อนจะหลุดยิ้มออกมา

‘ใช่  แล้วเวลาจะเป็นตัวตัดสิน’ วงแขนเรียวเนียนโอบรอบคอเพื่อนรักที่กำลังหัวเราะออกมาอย่างสดชื่นราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่  ก่อนจะใช้หน้าผากมนชนหน้าผากเพื่อนเบาๆ

‘อย่าเอาเถิกมาชนเซ่’ เคนส่งภาษามือให้พิรุณาอย่างอมรมณ์ดี ทำให้พิรุณาหัวเราะ แม้จะไม่มีเสียงออกมา  แต่ดวงหน้านั้นตราตรึงอยู่ในใจทำให้รู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน






         เหล่าเพื่อนพ้องทั้งแปดนั่งคุยกันรอเที่ยวบินที่จะกลับอยู่ในคาเฟ่ซึ่งจัดไว้มุมหนึ่งของสนามบิน  พิรุณายกแก้วคาปูชิโน่ของตัวเองขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะวางลง มองเพื่อนๆที่กำลังหัวเราะเขาอย่างงงๆ  ปองหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดจมูกให้ทั้งๆที่ยังขำ   เมื่อเช้าเขาและเพื่อนๆไปส่งเหล่านักศึกษาที่ร่วมแสดงในคอนเสิร์ตวันก่อนที่สถานีรถไฟ  หลังจากวันก่อนหน้านั้นออกเที่ยวกันเต็มที่จนเหมือนมาก่อม๊อบกลายๆ  ความผูกพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นในเวลาสามเดือนทำให้คนบางคนแถวนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่ง  จะเห็นได้จากหลักฐานที่ตาสีฟ้าใสแดงอยู่เล็กน้อย กับ ตาบวมนิดหน่อย  เคนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วพูดบางอย่างกับเพื่อนๆ  ก่อนจะเอามือมาหาพิรุณาที่นั่งอยู่ด้านขวาของเขา  ใช้มือแข็งแรงนั้นเปิดผมที่ปรกหน้าผากพิรุณาขึ้น แล้วประทับริมฝีปากลงไปเบาๆก่อนจะปล่อยผมสีน้ำตาลออกแดงของพิรุณาให้กลับเข้าที่เดิมโดยไม่ลืมเซตกลับให้เข้าที่ดูดีเหมือนเดิม

“คนทะลึ่ง ลามก โรคจิต!!” ทีน่าและเกรซรีบตะโกนแข่งกัน

“จะตะโกนทำไม  ถึงตะโกนไปไอ้คุณเคนมันก็ไม่อายหรอก”เทรสกล่าวอย่างหน่ายๆ  สายตาเหลือบไปเห็นคนสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี  คนหนึ่งคือเอ็ดเวิร์ด ฮอร์น  และอีกคนเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังสวยพริ้งแต่งตัวเก๋ไก๋โดยสวมหมวกสีดำใบ้เล็กเอียงนิดๆ

“มาแล้ว” อเล็กซ์รีบเรียกเพื่อนๆให้หันไปมอง  เอ็ดเวิร์ด  ฮอร์นเดินเข้ามาพร้อมภรรยาที่ควงแขนกันกระหนุงกระหนิง

“สวัสดีครับอาจารย์เอ็ด  นี่คงเป็นคุณนาย”  เทรสรับมือของคุณนายฮอร์นมาจุมพิตที่หลังมือเบาๆตามมารยาท

‘เมื่อวานนี้หายต๋อมไปทั้งคู่เลยนะฮะ  ไปแอบจู๋จี๋กันที่ไหน’ พิรุณาแซวอาจารย์  เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นจึงมอบมะเหงกให้เป็นของขวัญแกศิษย์รัก

‘ทำเป็นรู้ดี’

“อาจารย์ครับผมขอตัวก่อนนะครับได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”เคนกล่าวพลางรวบเสื้อตัวนอกพาดไว้กับท่อนแขน

“เฮ้ย  มาตามให้ไปพร้อมกันนี่แหล่ะ  ไฟลท์เดียวกัน” เคนทำหน้างงๆ แต่ก็หยักหน้ารับแต่โดยดี  ให้ไปบอกปอง

“คุณปองดูแลพิรุณาให้ดีนะ” ปองรับคำสั้นๆ

“คุณปองถ้ามีอะไรโทรหาผมก็ไ ด้นะครับ”เคนยังคงฝากฝังต่อไป

“พอแล้วเคน  ปองเขารับผิดชอบในหน้าที่น่า  อย่าไปเซ้าซี้เขานัก  เราไปได้แล้ว” เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น ตบบ่าเคนแรงๆ  คุณนายฮอร์นเข้าไปกอดพิรุณาแล้วส่งภาษามือให้อย่างชำนาญ  เธอเป็นครูสอนภาษามือมาก่อน

‘ดูแลตัวเองด้วยนะจ๊ะ  ครูไปล่ะ’

‘ฮะ เดินทางดีๆนะฮะครูหญิง’ พิรุณายิ้มกว้าง เขามักเรียกภรรยาของเอ็ดเวิร์ด ฮอร์นต่อหน้าว่า ครูหญิง  ถ้าเป็นลับหลังจะเรียกคุณนาย ทำให้เพื่อนๆเรียกตามไปด้วย

“เกรซดูและตัวเองดีๆนะเรา  อย่าหายไปเฉยๆบ่อยนักล่ะเดี๋ยวจะเดือดร้อนกันหมดอีก”

“แหม ถ้าเกรซไม่คอยหายตัวไปบ่อยๆ เพื่อนก็เบื่อแย่สิคะ” ทุกคนหัวเราะกับคำตอบเอาสีข้างเขาถูของเกรซ ก่อนจะบอกลา   หลังจากคนทั้งสามหายลับไปจากสายตาแล้ว เทรสก็ลุกขึ้น

“ได้เวลาแล้วหรอ?” ทีน่าถามอย่าง

“ยัง  แต่ก็ใกล้แล้วจะไปห้องน้ำหน่อย ไปไหม?”หลายคนพยักหน้าก่อนจะเดินตามกันไปจนเหลือเพียงเกรซและพิรุณาเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ

‘เมื่อคืนก่อนเคนถามฉันแล้วนะ’ พิรุณาเริ่มเล่าถึงเรื่องของตัวเอง  ทำให้เกรซเกาะขอบโต๊ะชะโงกหน้าเข้ามาอย่างสนใจ 

‘แล้วนายตอบว่าอะไร?’

‘ฉันตอบไปว่าฉันยังไม่พร้อมน่ะ’  เกรซพิงพนักเก้าอี้อีกครั้งพลางกอดอกครุ่นคิด

‘หมายความว่าเคนยังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม?’

‘คงงั้นมั้ง’ พิรุณาตอบอย่างไม่มั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่นัก

‘ถ้านายตอบจากใจจริงก็โอเคแหล่ะ  เคนไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เขาจะสู้ต่อไปจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการมา’

‘ชีวิตที่ผ่านมาของฉันมันสอนให้ฉันซื่อตรงต่อตัวเอง  ดังนั้นคำตอบที่เคนได้รับเป็นคำตอบที่มาจากใจฉันอย่างแท้จริง’
‘ดีแล้ว  อย่างน้อยเคนก็โรแมนติกกว่าคนบางคน’ เกรซหมายถึงคนบางคนที่กำลังจามสนั่นห้องน้ำชาย

‘ทำไมอ่ะ?’

‘จะบอกรักบอกชอบทั้งที  ดันมาบอกหน้าห้องน้ำ’ พิรุณาหัวเราะขำกลิ้งแทบตกเก้าอี้ ในขณะที่เกรซทำแก้มป่องลุกพรวดขึ้น

‘โกรธแล้วๆ  ขอโทษ..ที่ขำ’พิรุณาปาดน้ำตาที่หางตาพลางยกมือกุมท้องไว้

‘จะไปห้องน้ำ เฝ้าของให้ด้วย’ เกรซเดินตึงตังออกไปอีกคนเหลือเพียงพิรุณาเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว


       พิรุณาชะโงกหน้าข้ามโต๊ะไปเห็นกล่องใส่ไวโอลินสีแดงเปรอะๆของเกรซก็คิดขึ้นได้  หยิบกล่องขึ้นเปิดออกดู  ไวโอลินตัวสวยที่สายเส้นหนึ่งขาดไปนอนสงบนิ่งอยู่ในกล่องนั้น  พิรุณาไม่คิดจะหยิบมันออกมา เขาเพียงแต่ต้องการจะดูเท่านั้น  นิ้วมือเรียวสวยจับสายที่ขาดขึ้นพิจารณาดูตรงรอยขาด  ดวงตาคู่สวยเขม่นมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพของมันไว้พลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเก็บกลับให้คืนสภาพเดิมแล้วปิดกล่องวางลงอย่างเบามือยังที่เดิมที่หยิบมา


ภายในครึ่งเดือน เกรซจะต้องรีบมาบอกเรื่องน่าตกใจแน่....




         พิรุณาเดินมาตามทางเดินของเครื่องบินในชั้นeconomic พลางสอดส่ายสายตามองหาที่นั่งของตัวเอง  จนในที่สุดก็พบว่าอยู่ริมซ้ายสุดของเครื่อง  พิรุณาเอื้อมมือขึ้นไปยังชั้นสูงเหนือหัวเก็บกระเป๋าใบขนาดเล็กของตัวเองไว้บนนั้นเพื่อให้นั่งได้สบายขึ้นด้วยความช่วยเหลือของแอร์โฮสเตทสาวร่างสูง  ก่อนจะเข้าไปนั่งริมติดหน้าต่าง  ตามมาด้วยปองนั่งลงข้างๆกันส่วนเก้าอี้ตัวนอกสุดไม่มีใครนั่ง   ไฟลท์นี้คนไม่เต็มนั่นเป็นสิ่งที่พิรุณาพอใจ  เพราะการนั่งไฟลท์ที่คนเยอะๆนั้นทำให้เขารำคาญ  เพราะบางครั้งผู้ร่วมเดินทางก็มารยาทไม่ค่อยดีนัก

‘ได้กลับบ้านสักทีนะครับ’ปองส่งภาษามือให้พลางยิ้ม

‘นั่นสิ  ป่านนี้เจ้าหมาจะเป็นยังไงบ้างนะ’ พิรุณาตอบแล้วคาดเข็ดขัดนิรภัยตามที่สัญญาณไฟขึ้น

‘ไฟลท์นี้คนน้อยดีนะครับ’

‘นี่แหล่ะดี  เวลานอนจะได้สบาย’ พิรุณาหยิบหนังสืออ่านเล่นออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่ไม่ได้เก็บไว้บนช่องเหนือศรีษะออกมาพลิกหาหน้าที่อ่านค้างไว้ แล้วยิ้มหวานให้แอร์โฮสเตทที่เมียงมองเขาอย่างสงสัย

‘ต่อไปพวกเราคงเหงาหน่อยนะครับที่ไม่มีคุณเกรซมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้าน’ พิรุณายิ้มบางๆที่ริมฝีปาก

‘อะไร  เหงาหรอ   ย้ายมาอยู่เสียด้วยกันสิ’

‘ไม่ดีกว่าครับ  ผมคิดว่าคุณพิรุณาควรจะมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง  มิอย่างนั้นจะกลายเป็นว่าผมกับคุณพิรุณาติดหนึบกันตลอด อย่างนั้นออกจะไม่แฟร์ทั้งสำหรับคุณพิรุณาเองและตัวผมด้วย’  พิรุณาพยักหน้าเบาเขาต้องยอมรับความคิดของปอง และต้องให้เกียรติปองตัดสินใจเรื่องบางเรื่องด้วยตัวเอง

‘แล้วยังมีใครคอยตามตื้ออยู่หรือเปล่า?’ พิรุณาลองถามอ้อมๆถึงเรื่องเก่าๆที่ปองทำเหมือนพยายามจะลืมมันไปเสีย

‘ก็ไม่มีแล้วล่ะครับ’ ปองตอบไปอย่างนั้นทั้งที่จริงๆแล้ว  แม้คนที่คอยตามนั้นจะไม่เปิดเผยตัว  แต่ปองรู้ว่าเขาอยู่แถวนั้น คอยเฝ้ามองให้เขาเข้าบ้านอย่างปลอดภัย และรอจนกว่าเขาจะดับไฟเข้านอน

‘คุณปอง...โกหก’ พิรุณาส่งภาษามือมาให้พลางยิ้มอย่างเอ็นดู

‘คุณปองน่าจะรู้ตัวว่า เป็นคนโกหกไม่เนียน  หรือถ้าจะให้ร้ายกว่านั้นคงต้องบอกว่า โกหกได้แย่มากต่างหาก’ ปองทำหน้าเหรอ

‘คนโกหกจับผิดได้จากสีหน้า  แววตา และท่าทาง  คุณปองมีครบทั้งสามอย่างเลย’ พิรุณาหัวเราะกับท่าทางของปอง

‘แย่ถึงขนาดนั้นเลยหรอครับ’

‘น่า รู้ตัวแล้วว่าเป็นพวกโกหกไม่เก่ง  คราวหลังก็อย่าทำอีกสิ  คุณปองไม่งีบหน่อยเหรอ อีกตั้งสองสามชั่วโมงกว่าเขาจะเสิร์ฟอาหาร’ ปองพยักหน้าแล้วสวมหูฟังที่ทางสายการบินมีบริการก่อนจะหลับตาลงงีบหลับ




         พิรุณาอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมงๆ  โดยปองหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแถวยังโงกเงกจนพิรุณาออกจะรำคาญ ทนไม่ได้จริงต้องเอื้อมมือไปดึกศีรษะปองมาพิงไหล่ตัวเองก่อนจะอ่านหนังสือต่อไป  แอร์โฮสเตทสาวคนหนึ่งเดินเอียงอายเข้ามาหาพิรุณา พร้อมกับกระดาษและปากกาเพื่อขอลายเซนต์

“ขอโทษนะคะ  ใช่คุณพิรุณาหรือเปล่าค่ะ?” พิรุณาเงยหน้าจากหนังสืออ่านปากแอร์สาวพอได้ความจึงพยักหน้าแล้วยิ้มให้พอรักษามารยาท

“ช่วยเซนต์ให้หน่อยได้ไหมคะ?” พิรุณายิ้มรับ  แล้วรับปากกามาถือไว้  ก่อนจะนึกขึ้นได้หยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กที่พกติดตัวขึ้นมาเขียน

จะให้เขียนว่าให้ใครดีครับ?
พิรุณาชูกระดาษสีนวลๆนั้นขึ้น  แอร์โฮสเตทสาวก็ยิ้ม  แล้วพูด  พิรุณาอ่านปากได้คำว่าเกรซ


   
ชื่อเหมือนเพื่อนผมเลย   

พิรุณาเขียนข้อความต่อจากข้อความเก่าในกระดาษแผ่นเดิมนึกถึงเพื่อนสนิทที่ป่านนี้คงนั่งอยู่บนเครื่องบินเหมือกัน


“จริงหรอคะ ชื่อลูกสาวน่ะค่ะ  เกรซที่ว่าใช่เกรซหัวหน้าวงลอนดอนหรือเปล่าคะ?”พิรุณาจ้องริมฝีปากของแอร์สาวใช้ความสามารถพิเศษแกะข้อความจากริมฝีปากนั้น แล้วพยักหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงเซนต์ชื่อให้ตามที่ถูกขอร้อง 

“ถ้าไม่รังเกียจ เชิญไปถ่ายรูปกับพวกเราในครัวด้านหน้าหน่อยได้ไหมคะ?” แอร์โฮสเตทสาวถามอย่างมีความหวัง  พิรุณายิ้มน้อยๆ เริ่มเห็นดีด้วยที่จะได้ลุกเดินเปลี่ยนอิริยาบทเสียบ้าง อีกอย่าง ในครัวเท่ากับมีของกิน



         แอร์โฮสเตทสาวเดินนำพิรุณาเข้าไปในครัวด้านหน้าของเครื่องบินซึ่งติดกัน First Class เธอเปิดม่านหนาหนักออก  ในครัวพื้นที่แคบๆมีทั้งแอร์โฮสเตทและสจ๊วตเบียดตัวกันอยู่ในนั้น  พอม่านเปิดออก แอร์สาวบางคนกำลังจะอ้าปากค้างกำลังกินอาหาร  บางคนกำลังแต่งหน้า  พอเห็นพิรุณาเดินเข้ามาก็แทบจะกรี๊ด รีบเก็บทุกอย่างเข้าที่

“คุณพิรุณาน่ารักจัง  ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ” พิรุณายอมให้เหล่านางฟ้าและนายฟ้าบนเครื่องบินถ่ายรูปจนหนำใจ  ดูเหมือนพวกเขาจะลืมสังเกตไปว่ามีสัญญาณเรียกจากผู้โดยสาร first Class

“ขอกอดทีได้ไหมคะ  น่ารักจัง”


       แอร์สาวมะรุมมะตุ้มอยู่กับพิรุณา  เข้ามากอดโดยไม่ต้องรอคำตอบจากเขา  จนอดรู้สึกเหมือนถูกลวนลามนิดๆไม่ได้   ม่านหนาหนักปิดครัวนั้นเปิดขึ้น  ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตขาวโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับถ้วยกาแฟในมือ  ดวงตาคมกล้าสีนวลมองเหล่านางฟ้าและนายฟ้าทั้งหลายอย่างตำหนิ  ชายคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ ธีรธร

“มาอยู่นี่กันหมด ขอโทษ ผมกดเรียกหลายรอบไม่เห็นมีใครมาดูเลยเดินมาเอง” ประโยคแรกของเขาเหมือนพึมพำกับตนเอง  ต่อมาจึงพูดกับพนักงานบนเครื่อง   ดวงตาคมกริบนั้นเห็นร่างโปร่งบางที่คุ้นตา  ริมฝีปากหยักสวยเข้ากับดวงหน้าคมสันยกขึ้นแสยะยิ้ม

“คุณพิรุณา  ไม่นึกว่ามาสิงสูอยู่ที่นี่ด้วยอีกคน”  พิรุณาเสมองไปทางอื่นราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทำให้ธีรธรเริ่มโมโหนิดๆ

“ขอกาแฟด้วยครับ”ธีรธรส่งแก้วกาแฟในมือให้แอร์สาวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดรับไป

“นักดนตรีชื่อดัง ยอมนั่งชั้นecoข้ามทวีป  ประหยัดไปหรือเปล่าคุณ”ธีรธรเริ่มพูดจาเสียดสีพิรุณา ที่ทำท่าไม่สนใจเขา

       แอร์โฮสเตทสาวส่งแก้วกาแฟที่เติมแล้วให้ธีรธรอย่างงงๆ     มือใหญ่แข็งแรงของธีรธรเข้าฉุดรั้งข้อมือพิรุณาให้เดินตามออกมาโดยไม่ลืมแก้วกาแฟของตน  เขากึ่งลากกึ่งจูงพิรุณาไปตามทางเดินแล้วโยนแปะร่างโปร่งบางให้นั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างเขา  พิรุณามองธีรธรตาเขียวพลางคลำข้อมือตัวเองอย่างเจ็บๆ ในหัวกำลังคิดต่อว่าที่ทำให้เขาอดกินขนม

‘เจ็บนะ ไม่เห็นต้องลากถูลู่ถูกังอย่างงี้เลย’ พิรุณาส่งภาษามือต่อว่า  ธีรธรซดกาแฟอึกหนึ่งแล้วหันมา

“นั่งนี่แหล่ะจนกว่าจะถึง ทนนั่งอยู่ได้ชั้น eco  แคบจะตาย” ธีรธรพูดแล้วซดกาแฟอีกอึก  นึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงคุยกับพิรุณารู้เรื่องก็ไม่รู้  ทั้งที่พิรุณาไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด  และเขาเองก็ไม่รู้ภาษามือ

‘ผมนั่งได้หรือนั่งไม่ได้ก็ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณ’ พิรุณาทำท่าจะลุกเดินหนีเอาดื้อๆ  ธีรธรรีบ จับข้อมือบางนั้นไว้หลวมๆ  เพราะเกรงว่าถ้าออกแรงมากกว่านี้ ข้อมือบางนี่จะหักเสียก่อน

“เดี๋ยวสิ  ฉันซื้อเครื่องบินส่วนตัวให้สักลำดีไหม?”พิรุณากระพริบตาปริบๆแล้วส่งภาษามือโวยวาย

‘ไม่ต้องมาทำเป็นอวดรวย  ว่างนักหรือไงถึงเที่ยวยุ่งเรื่องชาวบ้าน’ ธีรธรหัวเราะกับท่าทางโวยวายแบบตื่นๆของพิรุณา

“ใครเขาจะยอมลงทุนซื้อให้จริงๆกันล่ะ  สู้เอาเงินไปลงทุนทำอย่างอื่นเสียดีกว่า”ธีรธรพูดด้วยเสียงและทำหน้าตายียวนที่สุด  จนพิรุณาอยากกระโดดบีบคอเสียให้ตายคามือ

‘หมดธุระหรือยัง ผมจะกลับไปนั่งเป็นเพื่อนคุณปอง’ พิรุณาแยกเขี้ยว ตั้งท่าเตรียมสู้ยิบตา

“นั่งนี่แหล่ะคุณ จะไปไหนอีกล่ะ  คุณปองไม่หายไปไหนหรอก”ธีรธรดื่มกาแฟแล้วเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์โดยที่มืออีกข้างจับข้อมือพิรุณาไว้ พิรุณาพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่สำเร็จ จนธีรธรรำคาญ

“นั่งนิ่งๆไม่เป็นหรือไงคุณ ยุกยิกอยู่ได้คนจะอ่านหนังสือพิมพ์”

‘ก็ใครใช้ให้คุณจับมือผมไม่ปล่อยแบบนี้ล่ะ  ปล่อยซะที’พิรุณาทำท่าทางภาษามืออย่างทุลักทุเลเนื่องจากมือถูกพันธนาการไว้ด้วยมือแข็งแรง พิรุณายังพยายามดิ้นยุกยิกต่อไป

“หยุดเสียทีน่า” พิรุณาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องยังคงพยายามเอาชนะมือที่เกาะกุมนั้นให้ได้

“บอกให้หยุดไง! แล้วช่วยถือหนังสือพิมพ์ข้างโน้นด้วย”ธีรธรออกคำสั่งกระแทกเสียง ดวงตาคมกล้านั้นวาววับน่ากลัว พิรุณาจึงทำได้เพียงเบ้ปาก ใช้มือข้างที่ว่างยกหนังสือพิมพ์ขึ้นให้อยู่ในระดับเดียวกับธีรธร ซึ่งสูงเกินไปสำหรับพิรุณา

‘คุณก็ยกข้างนั้นต่ำหน่อยสิ’ พิรุณาปล่อยหนังสือพิมพ์ข้างที่ถืออยู่แล้วส่งภาษามือให้อย่างทุลักทุเลอีกครั้ง

“โธ่เอ๊ย เรื่องมากชะมัด”ธีรธรบ่น แต่ก็ยอมลดระดับความสูงลงนิดหน่อย พิรุณากลับไปจับหนังสือพิมพ์ด้านเดิมให้อยู่ในระดับอีกครั้ง  เมื่อขัดขืนไม่ได้ เขาก็เลยเริ่มอ่านข่าวที่อยู่ตรงหน้าเขาเสียเลย


         ธีรธรอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปครู่ใหญ่เริ่มรู้สึกว่าพิรุณาเลิกยุกยิกแล้ว หลังจากฮึดฮัดอยู่พักหนึ่ง  เขาอ่านข่าวที่อ่านค้างอยู่จนจบ แล้วแอบชำเลืองมองคนนั่งข้างๆ เขาเห็นพิรุณากำลังตั้งใจอ่านข่าวตรงหน้าเช่นกัน  ดวงหน้าขาวเนียนหากไม่ขาวซีด ออกเป็นสีนวลๆนับสัมผัส  ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงที่ถูกล้อมด้วยขนตายาวกำลังกวาดมองตัวอักษรอย่างตั้งใจพลางขมวดคิ้วนิดๆ  ริมฝีปากแดงด้วยสีแห่งธรรมชาติเผยอเล็กน้อยช่างเย้ายวนให้ลิ้มลองดีแท้.....ธีรธรจ้องมองริมฝีปากนั้นอย่างเผลอไผล  โดยไม่รู้ตัวเขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ดวงหน้านวลนั้น ปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ และใช้มือข้างที่วางค่อยสัมผัสคางสวยให้หันมา  พิรุณาหันขวับมามองเมื่อถูกสัมผัสเข้าที่คาง   แต่แล้วก็ตะลึงค้าง  เมื่อริมฝีปากหยักสวยนั้นสัมผัสลงบนริมฝีปากตน 



         พิรุณาพยายามใช้มือข้างที่เพิ่งหลุดพ้นจากพันธนาการผลักอกแข็งแกร่งนั้นให้ถอยห่างออกไป  แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงที่มีระเหยหายไปสิ้น  ริมฝีปากนั้นยังคงตักตวงความหอมหวานอย่างเต็มที่ พิรุณารู้สึกราวกับจะหลอมละลายคาเก้าอี้นุ่มนิ่มตัวนี้เสียแล้ว  ในชีวิตเขาโดนกอดโดนจูบมาก็มาก  จากเพื่อนบ้างจากคนที่ชื่นชอบผลงานเขาบ้าง  แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึก...ร้อนรุ่ม...อย่างนี้  ธีรธรค่อยๆถอนริมฝีปากออกอย่างเชื้องช้า   ดวงตาสีนิลเป็นประกายนั้นสบกับดวงตาของพิรุณาจนพิรุณาไม่อาจสู้สายตาได้รีบเสมองทางอื่น รู้สึกดวงหน้าตัวเองร้อนไปหมด 

“รับเครื่องดื่มเพิ่มไหมคะ”เสียงแอร์โฮสเตทสาวดังแทรกความเงียบระหว่างพิรุณาและธีรธร  พิรุณารีบทิ้งหนังสือพิมพ์ในมือ ส่วนธีรธรพยักหน้าส่งแก้วกาแฟให้ไปอย่างส่งๆ แล้วรับกลับมาหลังจากได้รับการเติมเรียบร้อยแล้ว

‘ผมจะกลับไปนั่งที่’พิรุณากระวีกระวาดลุกจากเก้าอี้ตัวนุ่มข้างธีรธร  ใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปากจนรู้สึกแสบก่อนจะจ้ำพรวดกลับไปยังที่นั่งตัวเอง

         ธีรธรมองร่างโปร่งบางนั้นหายลับไปหลังม่านที่ใช้แบ่งชั้นระหว่างราคา    เขากำลังคิดถึงเจ้าของริมฝีปากนุ่มอุ่นที่เมื่อครู่ได้สัมผัส  ในตอนแรกเขายอมรับว่ารู้สึกสนใจพิรุณาที่ความสดใสด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นมิตรทำให้ใครเข้าใกล้ก็รู้สึกดี  ต่อมาเขาพบว่าพิรุณาน่าเอ็นดู น่ารักน่าแกล้งพอๆกัน  และตอนนี้เขารู้ว่าพิรุณาหอมหวานเกินกว่าจะห้ามใจได้ ไม่แปลกใจเลยที่ทายาท อานิโมโต  คนนั้นถึงได้วิ่งตามเหย่งๆ

ช่างเป็นสายฝนที่ทั้งหอมทั้งหวานชวนให้ลิ้มลองจริงๆ ...


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
« ตอบ #99 เมื่อ: 26-12-2007 08:22:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #100 เมื่อ26-12-2007 08:41:46 »

 :m4: วิ้ววววววววววววววววว จูบกันแล้ว ท่าทางจะติดใจทั้งคู่ด้วยสิ อิอิ  :o8:

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #101 เมื่อ26-12-2007 09:28:09 »

อ่า...ธีรธร รู้สึกดีแล้ว เหลือแต่ พิรุณา แล้วล่ะ จะมีใจโอนเอียงมาเมื่อไหร่ แต่เอ๊ะ คุณน้องแอร์ เห็นหรือเปล่าว่า ว่าเขาจุ๊บกัน  :m1:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #102 เมื่อ26-12-2007 10:40:49 »

 :m25: จุ๊บกันบนเครื่องเยย แอร์ฯแอบเหงป่าวเนี่ย  :m24:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #103 เมื่อ26-12-2007 12:57:50 »

โดนแลกลิ้นเข้าไปแล้ว ไม่หวั่นไหวเลยเหรอ
 :m25: :m25: :m25:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #104 เมื่อ26-12-2007 16:19:07 »

แหะๆว่าจะกลับบ้านตอนเช้าแต่ดันหลับก่อน

ตื่นมาเห็นเพื่อนๆมา Reply เลยดีใจอัพให้จบตอนเลยดีกว่า :a2:
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
      พิรุณาเดินกลับมายังที่นั่งของตัวเอง  ปองตื่นแล้วและท่าทางร้อนใจที่ไม่เห็นเขานั่งอยู่ด้วย  คอยชะแง้และหาคือยืดคอยาวอยู่นั่น  พิรุณาเดินเข้าไปหาปอง ส่งภาษามือขอโทษที่ทำให้ปองเป็นกังวลก่อนจะเข้านั่งที่ของเขาซึ่งติดกับหน้าต่าง  พิรุณามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นท้องฟ้ายามเย็นสีส้มสวยสดใสเบื้องล่างเป็นปุยเมฆดูนุ่มนิ่ม ทำให้นึกอย่างลองลงนอนเล่นบ้าง แม้ว่าความจริงแล้วจะไม่สามารถทำได้ก็ตาม  ปองลอบมองสีหน้าพิรุณา  เขาไม่แน่ใจนักว่าดวงหน้าพิรุณาขึ้นสีเรื่อๆนั้นเพราะแสงยามอัสดงภายนอกหรือเพราะจากอย่างอื่น  แต่ริมฝีปากแดงช้ำมันหลอกตาปองไม่ได้แน่นอน

‘ปากเป็นอะไรหรือครับ ดูช้ำๆ’ปองถาม  พิรุณานิ่งไปนิดหนึ่งแล้วส่งภาษามือตอบ

‘เมื่อกี้ปากมันเปื้อนน่ะ’ พิรุณารีบหาทางรอดหยิบช็อคโกแลตที่แอบพกใส่กระเป๋าขึ้นมาทาน

‘แล้วเมื่อครู่ไปไหนมาหรอครับ ไปนานจังผมนึกว่าโดนใครลากไปหมกท้ายเครื่องเสียแล้ว’ ไม่ใช่ท้ายเครื่องหรอก  ด้านหน้าตะหาก อยู่ใต้กองหนังสือพิมพ์อีกที  พิรุณาคิดเงียบๆ

‘ก็พวกแอร์เขาขอถ่ายรูปน่ะเลยไปนาน’ พิรุณาเล่าข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น

‘เริ่มหิวแล้วสิครับ’ ปองส่งภาษามือให้แล้วกดแผงบังคับด้านหน้าตัวเองให้เล่นเพลงเดิมซ้ำอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจ  เพียงแต่รู้สึกว่าชอบเพลงนี้

‘เพลงอะไรเห็นกดรีหลายรอบแล้ว  อะไรจะชอบขนาดนั้น’พิรุณาชะโงกตัวมาดูชื่อเพลง Canon in D Major

‘ชอบเพลงนี้หรอ  หน้าตาไม่ให้เลยนะกับเพลงสมัยบาโรค*เนี่ย  น่าจะเหมาะกับพวก j-pop หรือ k-pop มากกว่า’ ปองขมวดคิ้วสงสัย  เขาพอรู้จักเพลง popอยู่บ้าง  แต่ไม่รู้จัก ไอ้สิ่งที่พิรุณาบอกว่ามันคืออะไรนั่น  หรือว่าเป็นวงใหม่?... 

       พิรุณามองหน้าปองเห็นเครื่องหมายคำถามอยู่บนดวงหน้านั้นก็ยิ้มขัน  น่าแปลกที่ปองไม่รู้จัก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก  เพราะเหล่าศิลปินฝั่งตะวันออกไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักสำหรับคนที่อยู่ฝั่งตะวันตกมาเกือบตลอดชีวิตอย่างปอง  และตลอดชีวิตอย่างเขาเอง  แต่เพราะเขามีเพื่อนกระจายกันไปทั่วโลก  ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นหน้าต่างมองโลกภายนอกโดยเฉพาะใช้ฝึกภาษาเขาถึงได้รู้จัก

‘เดี๋ยวกลับไปจะลองหาให้ฟัง’ปองทำหน้าแปลกๆนึกอยากจะปฎิเสธแต่พิรุณาคงไม่เปลี่ยนใจหรอก  ลองดูก็คงไม่เสียหาย

‘เพลงนี้นี่เป็นยอดฮิตตลอดกาลจริงๆนะ  เป็นเพลงเดียวที่ดังมากของ โจฮัน  พาเชลเบล’ ปองสนใจในสิ่งที่พิรุณาสื่อสาร  เขาชอบฟังประวัติเพลงเหล่านี้  มันน่าสนใจดี

‘แล้วยังไงต่อครับ’ ปองจี้ถามเมื่อพิรุณาทำท่ายึกยักไม่ยอมเล่า

‘ท่าทางจะสนใจจริงนะเนี่ย พาเชลเบลเป็นนักดนตรีที่อุทิศตัวให้ศาสนา  ดูจากปีเกิดแล้วแก่กว่าบาค*เสียอีก   ซึ่งเขาเป็นอาจารย์ของพี่ชายบาคด้วย  เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเพลงของบาคได้รับอิทธิพลมาจากพาเชลเบลเช่นกัน  พาเชลเบลแต่งเพลงไว้เยอะมากโดยเฉพาะเพลงประสานเสียงในโบสถ์  แต่ก็ไม่มีเพลงไหนฮิตเท่าเพลงนี้’

‘ผมเคยฟังเพลงนี้ครั้งแรกในโบสถ์  แล้วรู้สึกว่าเพลงนี้มันฟังแล้วรู้สึกสงบ อบอุ่น สดใส  ทำให้สบายใจน่ะครับ’
‘จุดประสงค์ของพาเชลเบลที่แต่งเพลงนี้ ก็เพื่อจะให้คนที่มาโบสถ์รู้สึกอย่างที่ปองรู้สึกนี่แหล่ะ  แสดงว่าคุณปองบรรลุแล้ว’พิรุณายิ้มสดใส

‘อาหารมาแล้ว’ พิรุณาชี้ไปที่แอร์โฮสเตทสาวที่เข็นรถเข็นอาหารมาตามทางเดินอย่างกระตือรือร้นเพราะพยาธิในท้องมันเริ่มอาละวาดแล้วในตอนนี้



ถ้าเพลงของปองเป็น Canon แล้วเพลงของเขาจะเป็นอะไรหนอ....บางทีอาจจะเป็น
Fur Elise ของเบโธเฟนเสียกระมัง









         พิรุณาโผใส่เตียงนุ่มของตัวเองแล้วกลิ้งไปมาอย่างมีความสุข หลังจากเดินทางไกลและในที่สุดก็ถึงบ้านตอนหัวค่ำ  ปองกำลังไปเอาเจ้าหมากลับมาจากบ้านคุณลีแอน  เพราะก่อนหน้านี้เกรซเอาเจ้าหมาไป(บังคับ)ฝากไว้กับเพื่อนบ้าน  แต่เพราะเพื่อนบ้านของเขาก็มีธุระที่จะต้องเดินทางเช่นกัน จึงนำไปฝากไว้กับครอบครัวคุณลีแอน  หลังจากกลิ้งไปมาอย่างมีความสุขแล้วพิรุณาเด้งตัวขึ้น  เดินไปที่เครื่องแฟกซ์ของตัวเอง  เขาเห็นกระดาษแฟกซ์ยาวเป็นหางว่าว  มันล้นออกมาจากกล่องที่เขาวางไว้เพื่อรับการดาษเหล่านั้น  พิรุณาฉีกกระดาษแฟกซ์แล้วหอบหิ้วกระดาษเหล่านั้นไปนอนอ่านที่โซฟาสีแดงตัวโปรด  ข้อความสารพัดถูกส่งมาให้เขา ทั้งจากเพื่อนจากต้นสังกัดให้เขาค่อยๆคิดเรื่องอัลบัมใหม่  แต่ที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นอันนี้


ถึง  ไอ้หนู Preludes


      ทำไมต้องให้ติดต่อกันด้วยวิธีโบราณขนาดนี้ด้วยฟะ!  รู้จักไหมจดหมายน่ะส่งมาสิจดหมายปั๊ดโธ่! ได้ข่าวว่ากำลังจกเตรียมออกอัลบัมใหม่  เลยต้องรีบชิงตัดหน้ามาจองตัวก่อน ข้ากำลังจะทำอัลบั้มเพลงเลยอยากอัญเชิญไอ้หนูPeludeช่วยแต่งเพลงสวยๆให้สักเพลง จะได้ไปแต่งเนื้อร้องดีๆมาใส่

 
หวังว่าเอ็งจะว่างว่ะ
Jack and The Ripper




         พิรุณายิ้มเมื่อเห็นลงชื่อท้ายสุด  แล้วรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นไปเขียนแฟกซ์ตอบรับแบบไม่ต้องคิดซ้ำหลายรอบ  หลังจากนั้นเขาก็เดินไปยังระเบียง เลื่อนบานประตูกระจกออก แล้วนั่งลงหน้าเปียโนตัวเล็กสีแดงเข้มแล้วลองนึกหาเมโลดีสวยๆสักชิ้น  นิ้วเรียวสวยไล้ไปบนคีย์อย่างมีความสุข  การเริ่มแต่งเพลงง่ายเสมอสำหรับเขา เพราะถ้าอารมย์ดีไอเดียความคิดสร้างสรรค์มันก็กระฉูด




         ธีรธรเดินขึ้นบันไดหินเตี้ยหน้าบ้านของตัวเอง ระหว่างเขากำลังไขกุญแจประตูไม้บานสีเขียวหน้าบ้านหูของเขาก็ได้ยินเสียงเปียโนพริ้วไหวดังมาจากระเบียงเล็กสีขาวของบ้านข้างๆ ประตูกระจกเปิดออกกว้างทำให้ลมพัดเข้าไปภายในได้ช่างเป็นความรู้สึกสดชื่นโดยแท้   ร่างสูงใหญ่ของธีรธรหายเข้าไปหลับประตูอย่างอารมณ์ดี  การได้กลับมาฟังเสียงเปียโนอ่อนหวานที่เขาคิดถึงมาเกือบสามเดือนทำให้สบายใจอย่างน่าประหลาด







         ปองเดินเข้าอาพาร์ทเมนต์ของเขาพลางลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ผ่านลอคใส่จดหมายของแต่ละห้อง นึกหวั่นใจว่าจะลากเจ้ากระเป๋าใบยักษ์นี่ขึ้นไปยังชั้นสี่อย่างไร เพราะลิฟท์เจ้ากรรมที่คอบรับใช้คนร่วมสามสิบคนในอาคารนี้ดันมีป้ายสีแดงส้มที่สีแดงนั้นซีดจางไปมากแขวนไว้หน้าประตูลิฟท์ซึ่งเป็นเหล็กยืดว่าเสีย  กรรมจึงตกแก่ปองโดยแท้  ระหว่างที่เขานึกก่นด่าลิฟท์ที่เคารพรักในใจเขาก็สะดุดเข้ากับกล่องขนาดไม่ใหญ่มากเข้าอย่างจังจนแทบล้มคะมำ  การ์ดสีฟ้าอ่อนจางมากมายกระจายออกมาจากกล่องนั้น  ปองรีบโกยการ์ดเหล่านั้นกลับใส่กล่อง ด้วยเพราะเกรงว่าเจ้าของมันจะมาดุว่าเขาได้ว่าทำข้าวของเขาเสียหาย  แต่แล้วสายตาปองก็สะดุดกับตัวหนังสือที่เขียนโย้ไปเย้มาว่า  Mr.Pong  407  เลขสามตัวท้ายคือเลขห้องเขาเอง  การ์ดพวกนี้เป็นของเขาหรือนี่?  ปองเงยหน้าขึ้นมองลอคจดหมายของตัวเองทันที  การ์ดแบบเดียวกันอัดแน่นอยู่กับจดหมายนานาชนิด  ปองรีบดึงมันออกมาจากช่องนั้นแล้วโยนลงในกล่องรวดเดียวหมด ก่อนจะอุ้มกล่องไว้ด้วยมือซ้าย  แล้วใช้มือขวาลากกระเป๋าเดินทางขึ้นบันไดอย่างเร่งร้อน



         ปองโยนกระเป๋าเดินทางไว้ข้างประตูทันทีที่เข้าห้องได้  ใช้เท้าปิดประตู ในขณะที่มือขวาล้วงการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาอย่างสุ่มๆ  อ่านข้อความในนั้น  แล้วทิ้งมันลงพื้นแล้วหยิบใบใหม่ขึ้นมาอ่าน ทำซ้ำอย่างนี้เป็นชั่วโมงจนหมด  ปองไม่รู้ว่าความรู้สึกในอกนี่มันคืออะไร จะว่ายินดีก็คงใช่ที่ได้รับการ์ดมากมายเหล่านี้  เพราะเวลาเขาเดินผ่านตู้จดหมายเขาจะไม่พยายามมองมันเพราะมันว่างเปล่าเสมอจนน่าใจหาย  แต่อีกความรู้สึกหนึ่งที่ร้ายกาจกว่าเป็นสิ่งที่เขาสรุปไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าใคร...ที่เป็นคนส่งการ์ดเหล่านี้มา   ปองมองตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือหวัดผ่านม่านน้ำตา  ข้อความแสดงความเป็นห่วงมากมายที่เขาไม่กลับบ้านเกือบสามเดือนทำให้ปองรู้สึกผิด เขาลุกขึ้นจากปลายเตียงเดินไปที่หน้าต่างเปิดม่านออกแล้วมองฝ่าความมืดในยามค่ำลงไปยังทางเท้าเบื้องหน้า  เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบใคร  แต่วันนี้เขาเห็นชายคนหนึ่งผู้มีดวงหน้าคุ้นตา  ที่โหยหามานานยืนมองสบตาเขาจากเบื้องล่าง

“วิล....”ปองพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น  ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าของนามนั้น ลาจากไปไกลแสนไกลเสียแล้ว






         พิรุณาให้ปองพักสามวันเพื่อให้ปรับเวลาหลังจากไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่งเกือบสามเดือน  วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พิรุณาอนุญาตให้ปองพัก  แต่พิรุณากลับเป็นฝ่ายมาหาเอง  เขาเดินไปตามถนนที่มีคนค่อนข้างพลุกพล่านโดยที่แทบไม่มีใครจำเขาได้เลย พิรุณาลองพลิกๆดูในสมุดจดของตัวเองแล้วมองหาเลขที่ของอาคารเป้าหมาย  เขาเดินไปตามถนนอีกบลอคกว่าๆในที่สุดก็พบ  พิรุณาเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่สายตาของผู้ดูแลอาคารหน้าโหดมองเขาไม่วางตา  พิรุณายิ้มให้อย่างเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วตรงเข้าไปถามเขา

ผมมาพบคุณปองครับ  ไม่ทราบว่าเขาอยู่ห้องอะไรหรือครับ?

         ชายคนนั้นมองพิรุณาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างประเมิน แล้วพยักหน้า ยอมเขียนหมายเลขห้องให้พิรุณาในกระดาษเดียวกัน  พิรุณายิ้มให้อีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดินที่ทอดตัวลึกเข้าไปอีกตรงไปยังลิฟท์  นิ้วเรียวยาวตัดเล็บสั้นสะอาดกดปุ่มรอจนลิฟท์มาแล้วจึงดึงประตูเหล็กยืดให้เปิดเลื่อนไปข้างหนึ่งแล้วเข้าไปกดหมายเลขสี่ก่อนจะปิดประตู  โดยไม่รู้เลยว่าลิฟท์เจ้ากรรมนี้กำลังจะก่อเรื่อง


         พิรุณายืนมองหลอดไฟและเข็มแสดงเลขชั้นเหนือศีรษะอย่างลุ้นระทึก ลิฟท์ตัวนี้มันเหมือนถูกใช้งานมาอย่างโชกโชนจนจวนเจียนจะพังและอายุของมันคงมากกว่าอายุเขาคูณสองแน่นอน  พิรุณามองไฟกระพริบและเข็มชนิดตาไม่กระพริบ  มันกำลังค่อยเบี่ยงไปหาเลขสี่อย่าช้าๆ ปลายเข็มแตะเลขสี่อย่างใจเย็น พิรุณาลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแต่ความโล่งอกนั้นก็หายไปสิ้นเมื่อลิฟท์กระชากตัวอย่างแรง จนทรงตัวไม่อยู่ล้มลงนั่งพับเพียบในลิฟท์  ไฟสีเหลืองส้มภายในลิฟท์ดับวูบ  พิรุณารีบตะเกียกตะกายลุกยืนคลำหาปุ่มกดฉุกเฉินโดยอาศัยโทรศัพท์มือถือให้แสง  เขากดมันยาวนานและถี่แต่ดูเหมือนจะไม่มีใคร เพราะสัญญาณฉุกเฉินในลิฟท์นั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เสียเช่นกัน 


         พิรุณาใช้มือทุบกับผนังให้เกิดเสียงดัง เนื่องจากเขาไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือได้  หลังจากทุบอยู่นานก็ยังไม่มีสัญญาณของการช่วยเหลือ พิรุณาจึงตัดสินใจพิมพ์ข้อความขอความช่วยเหลือจากปอง และได้แต่หวังว่าปองจะได้รับข้อความนั้น ไม่อย่างนั้นคืนนี้เขาคงต้องนอนที่นี่ในลิฟท์ที่ค้างอยู่ระหว่างชั้นสี่  หรืออันที่จริงคือระหว่างชั้นสามกับสี่ล่ะนะ  หลังจากนั่งหมดเรี่ยวแรงรอความช่วยเหลืออยู่เขาก็ลุกพรวดขึ้นใหม่ เปิดประตูเหล็กยืดอย่างแรง ชะโงกหน้ามองด้านบนเห็นว่าเขามาเกือบถึงชั้นสี่แล้วเห็นเป็นช่องพอให้ตัวเขาลอดออกไปได้พิดี  ท้าตะเกียกตะกายอีกนิดหน่อยคงขึ้นไปได้ พิรุณาแอบคิดในใจว่า  นี่เขากำลังเล่นหนังเรื่อง Ressidet Evil  อยู่หรือนี่...หวังว่าข้างบนนั้นจะไม่มีซอมบี้รอทึ้งเขาอยู่หรอกนะ



         พิรุณาปีนประตูเหล็กยืดส่งตัวเองขึ้นไป แล้วใช้ท่ากายกรรมนิดหน่อยเพื่อให้โหนตัวขึ้นไปได้  พิรุณาออกแรงเกาะพื้นคอนกรีตของชั้นสี่ไว้แน่น พลางหาที่วางเท้าเพื่อจะได้ปีนต่อไป  ปองวิ่งมาตามทางเดินเห็นมือนวลๆกับศรีษะที่โผล่มาเพียงครึ่งเดียว  ปองรีบคว้าข้อมือนั้นไว้ก่อนจะร่วงลงไปได้ทันด้วยและด้วยแรงช่วยจากฝรั่งมุงแถวนั้นอีกที ทันทีที่ช่วงขาพ้นจากขอบพื้นคอนกรีต  เสียงโลหะบางอย่างครูดอย่างแรงก่อนจะดังโครม! ฝุ่นตลบอบอวนไปทั่วบริเวณที่เคยมีลิฟท์อยู่  พิรุณาไอคอกแคกกับฝุ่นที่สูดเข้าไปเต็มที่ แล้วหันกลับไปมองลิฟท์เจ้ากรรมที่เพิ่งจะพ้นจากมันมา  แต่มันไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว! รอดตายหวุดหวิด... ปองรีบโทรแจ้งข้างล่างว่าลิฟท์ตกลงไปแล้วและพิรุณาปลอดภัยดี ก่อนจะหันมาส่งภาษามือให้พิรุณา

‘เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?’

‘ไม่มั้ง  อย่างน้อยก็ไม่เป็นผีเฝ้าลิฟท์’

‘ยังจะล้อเล่นอีก’ ปองดุให้ เหลือบเห็นท้องแขนข้างขวาของพิรุณาถูกครูดจนเลือดไหลซิบ แต่เจ้าตัวดูจะไม่ค่อยใส่ใจกับมันนัก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2007 16:22:57 โดย snowblack »

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #105 เมื่อ26-12-2007 16:29:23 »

‘ยังจะล้อเล่นอีก’ ปองดุให้ เหลือบเห็นท้องแขนข้างขวาของพิรุณาถูกครูดจนเลือดไหลซิบ แต่เจ้าตัวดูจะไม่ค่อยใส่ใจกับมันนัก

‘ไปห้องผมก่อนเถอะครับ เลือดไหลใหญ่แล้ว’ ปองประคองพิรุณาให้ลุกขึ้นแล้วทำท่าจะประคองเดิน พิรุณารีบห้าม

‘ไม่ได้ขาหักหรือเป็นอะไรมาก ไม่ต้องประคองหรอกน่าเสียลุคฮีโร่หมด’ พิรุณาหมายถึงฮีโร่ที่ช่วยชีวิตตัวเองมาจากลิฟท์มรณะ   ปองได้แต่ถอนใจอย่างขันๆ


‘แน่ใจนะครับว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลสักหน่อย’พิรุณารีบส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก

‘ไม่เป็นไรหรอก ทำแผลพอให้เลือดหยุดก็พอ’





‘ใส่ยาเบาๆสิ มันแสบนะ’ พิรุณาอุธรณ์หลังจากสะดุ้งสุดตัวไปแล้ว

‘เบาแล้วครับ แต่ยามันแสบ’ ปองกำลังใส่ยาอย่างตั้งใจแล้วจัดการปิดแผลอย่างเรียบร้อย

‘แล้วมาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ?’

‘ก็ตอนแรกว่าจะชวนไปกินข้าว  แต่ก็กินฝุ่นไปจนอิ่มแล้วก็เลยเปลี่ยนใจมาชวนปองไปนอนบ้านดีกว่า’ พิรุณาลอบสังเกตปฎิกิริยาของปอง  ปองมีท่าทางลังเลใจเล็กน้อย

‘คุณพิรุณาไม่อยาอยู่เงียบๆสักหน่อยหรือครับ จะได้แต่งเพลงที่รับปากเขาไว้’

‘เงียบน่ะ  เงียบมานานแล้ว’ พิรุณานึกขึ้นได้นึกตีอกชกหัวตัวเองไม่น่าเลย  ปองรู้สึกผิดเหมือนตนได้ไปตอกย้ำปมด้อยของคนอื่น

‘ผมขอโทษครับ’ ปองส่งภาษามืออย่างรู้สึกผิด แต่คนที่รู้สึกผิดกว่าคงเป็นพิรุณา

‘ไม่เป็นไร’ พิรุณาแกล้งทำหน้าตึงเหมือนโกรธ ของอย่างงี้มันต้องมีชั้นเชิงกันนิดนึง

‘เปลี่ยนใจแล้ว   ไปหาอะไรทานกันข้างนอกดีกว่า’ พิรุณาผุดลุกอย่างรวดเร็วแล้วคว้าข้อมือปองเดินนำลิ่วๆออกไป และแน่นอน..ลงบันได





         พิรุณาเดินคุยกับปองไปตามถนนย่านการค้าใกล้ไชน่าทาวน์  กำลังคุยกันว่าจะกินอะไรดี  เพราะอาหารในไชน่าทาวน์ก็อร่อยทีเดียว  พิรุณาชี้ชวนให้ปองดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยและทุกครั้งที่ข้ามถนนปองจะจับมือพิรุณาเสมอ  มันเป็นปฎิกิริยาของร่างกายหลังจากเหตุการณ์นั้น ที่เห็นน้องสาวถูกรถชนต่อหน้าต่อตา  พิรุณาเดินนำไปยังตู้โชว์ของร้านเล็กแห่งหนึ่ง แล้วส่องดูของภายในตู้อยู่นาน ปองชะโงกดูตามจึงเห็นว่าของที่พิรุณาดูอยู่นั้นคือสร้อยคอ ข้างๆตั้งภาพเล็กของพิรุณากำลังแสดงดนตรีอยู่ที่ไหนสักแห่ง ตัวสายสร้อยทำจากเชือกหนัง แต่ตัวจี้ทำจากเงิน  ตัดเป็นสามเหลี่ยม พิรุณาแตะสร้อยที่คล้องคอตนเองอยู่นึกสงสัยไปว่า เจ้าร้อยที่สวมอยู่มันดูดีขนาดนั้นเชียว ถึงขนาดมีคนอย่างได้สร้อยแบบนี้ไปสวมบ้าง

‘คุณปอง  สร้อยนี่มันดูดีขนาดนี้เชียวหรอ’ พิรุณาล้วงสร้อยที่สวมอยู่กับคอออกมาให้ปองดู

‘มันก็ดูดีนะครับ ดูดีแบบของเก่า’ ปองตอบแล้วหันไปมองของในตู้อีกครั้ง  ภายในนั้นมีของที่ดารา นักร้อง นักแสดงใส่ติดตัวทำเลียนแบบขายมากมายหลายแบบ

‘เอาสักเส้นไหม?’ พิรุณาถามล้อๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าปองไม่เอาหรอก  ก่อนจะเดินนำออกไปตามถนน



         สี่แยกใหญ่ที่รถพลุกพล่าน ตอนนี้ก็ยังมีรถมากอยู่เช่นเคย  แต่เพราะสัญญาณไฟทำให้รถทางตรงข้ามยังติดไฟแดงอยู่   พิรุณาและปองมาถึงตอนที่ไฟเขียวสัญญาณสำหรับคนเดินกำลังจะกระพริบพอดี  กลุ่มคนกลุ่มใหญ่เดินเกาะกลุ่มกันอยู่ด้านหน้า  พิรุณาก้าวเท้าลงไปบนถนน  แล้วหันมายิ้มให้ปองที่เดินตามหลัง  ปองรู้สึกไม่ดีเช่นทุกครั้งที่ข้ามถนน  โดยเฉพาะคนที่เขาห่วงไม่ได้เดินอยู่ด้วยกัน   รถยุโรปสภาพเก่าแก่ที่ทรุดโทรมจนไม่น่าเชื่อว่ายังวิ่งบนถนนได้  แซงรถทุกคันขึ้นมาด้วยเลนที่ว่างอยู่นั้น  เสียงแตรสนั่นหวั่นไหวทำให้ผู้คนขวักไขว่ริมทางเท้าหันมามอง  ปองเห็นรถคันนั้นวิ่งรี่เข้ามาหาพิรุณาจึงหลุดปากตะโกนออกไป  แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว


โครม!!!!




         เสียงที่ปองไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต  มันดังสนั่นก้องกลับไปกลับมาในหัวเขา โลกทั้งโลกเหมือนจะเงียบสงัดลงในทันทีมีเพียงเสียงของแข็งกระทบกันเมื่อครู่ดังราวกับจะหลอกหลอน  ปองเห็นภาพที่พิรุณาถูกชนเข้าเต็มตา ร่างโปร่งบางนั้นกระแทกกับรถอย่างแรงก่อนจะกระเด็นกลิ้งไปตามแรงชนนั้น  ปองถึงกับเข่าอ่อน ภาพในอดีตซ้อนทับเข้ามาในมโนสำนึก   ร่างโปร่งบางนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนนท่ามกลางคนและรถจำนวนมาก 

พระเจ้า....ได้โปรดอย่าพรากสิ่งใดไปจากผมอีกเลย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอน 8 แล้วนะครับเป็นไงครับหวังว่าคงชอบผลงานของน้องเมศกันนะครับ :m13:
โอกาสนี้เลยขออวยพรปีใหม่เพื่อนๆเลยนะครับ
ขอให้เพื่อนๆทุกคนมี"ความสุข"...ตลอดไปครับ :mc3:


ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #106 เมื่อ27-12-2007 04:25:38 »

ทำไมต้องเข้าโหมดเศร้าด้วย อ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :o12:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #107 เมื่อ27-12-2007 08:30:34 »

ทำไมต้องเข้าโหมดเศร้าด้วย อ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :o12:

 :m20: :m20: :m20:

three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #108 เมื่อ27-12-2007 09:23:58 »

ไรอ่ะเศร้าอีกและ :o12:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #109 เมื่อ27-12-2007 12:43:53 »

 :o :o :o
อะไรเนี่ยะ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้

ว่าแต่ปองทำไมไปอยู่อะไรที่อะไรน่ากลัวแบบนั้นหล่ะ
 o12

พิรุณานี่ก็ไม่มีอะไรให้กลัวเลยแหะ
เดินไปให้รถชนเล่นอีก
 :m29: :m29: :m29:

ธีรธรรู้จะเป็นไงนี่

ว่าแต่คนที่มายืนมองปอง ตอนนี้อยู่ไหนหนอ
 :m13: :m13: :m13:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
« ตอบ #109 เมื่อ: 27-12-2007 12:43:53 »





myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #110 เมื่อ28-12-2007 01:06:39 »

ธีรธร จะมาเฝ้า พิรุณา มั๊ย เมื่อไหร่เขาจะบอกรักกัน ลุ้น ๆๆๆ :m13: :o8:

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #111 เมื่อ28-12-2007 23:31:31 »

ง่า...

เพิ่งเข้ามาอ่านครับ...

เป็นกำลังใจให้นะคับ

สุขสันต์ปีใหม่ล่วงหน้าจ้า

 :pig3:  :pig3:  :pig3:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #112 เมื่อ29-12-2007 00:20:09 »

ทำไมต้องเข้าโหมดเศร้าด้วย อ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :o12:

 :m20: :m20: :m20:

 :o มาหัวเราะด้วย สงสัยมาแนวมาโซอีกคน ชอบเห็นคนแถวนี้เสียน้ำตา   o7

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #113 เมื่อ29-12-2007 13:01:36 »

^
^
เปล่าน้า :m23: :m23: :m23:

อยากอัพตอนต่อไปจังแต่ลืมเอาต้นฉบับกลับมาด้วย :เฮ้อ:

เดี๋ยวไปค้นๆดูไม่ก็รอน้องเมศสอบเสร็จจะไปขอมากใหม่ :m4:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #114 เมื่อ01-01-2008 03:38:08 »

INTERMEZZO   chapter# 9




      ธีรธรวิ่งหัวกระเซิงไปตามระเบียงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเลขาสาวว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้น เธอได้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว  ธีรธรวิ่งตรงไปยังเคาเตอร์พยาบาล แล้วถามพยาบาลร่างใหญ่คนหนึ่งว่าคนที่เขาต้องการพบตอนนี้อยู่ห้องไหน เมื่อได้คำตอบเขาก็กล่าวขอบคุณอย่างละล้ำละลักเพราะลมหายใจตัวเอง เขาออกวิ่งไปยังห้องเป้าหมายโดยไม่สนใจเสียงตะโกนไล่หลังจากพยาบาลว่า ห้ามวิ่งบนระเบียง     ธีรธรพบห้องเป้าหมายเขาเคาะพอเป็นมารยาทแล้วเปิดพลัวะเข้าไปอย่างร้อนใจ


      ร่างสองร่างกำลังกอดกัน  มือนวลๆลูบเรือนผมสีดำอย่างปลอบโยนพลางโยกตัวน้อยๆเหมือนปลอบเด็กๆ  ธีรธรขมวดคิ้วกับภาพที่เห็น เขาชักไม่แน่ใจว่าตกลงใครเป็นคนบาดเจ็บกันแน่  เขาหันไปสบตากับอีกคนในห้อง  เลขาสาวที่ยืนอยู่ปลายเตียงลูบหลังลูบไหล่คนที่พิรุณากอดไว้กับอกอย่างปลอบใจเช่นกัน  ธีรธรอ้าปากพะงาบๆเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็คิดว่าอย่าเพิ่งถามจะดีกว่า  พิรุณาคลายอ้อมกอดช้าๆ ทำให้คนนั้นที่ถูกกอดมองเขาทั้งที่น้ำตายังนองหน้า  พิรุณาเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างเบามือแล้วส่งยิ้มอ่อนให้เหมือนจะปลอบใจว่าไม่เป็นไรแล้ว

‘ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยนะ  หน้ามอมเป็นแมวเลย’พิรุณาส่งภาษามือให้ พอเห็นน้ำตายังหยาดหยดจึงซับให้เบาๆ  ปองพยักหน้าช้าๆ แล้วลุกเดินไปยังห้องน้ำ  ธีรธรมองร่างโปร่งบางที่นั่งอยู่บนเตียง

“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” พิรุณาส่ายหน้า เปิดลิ้นชักจากโต๊ะข้างเตียงหยิบดินสอไม้และกระดาษออกมา

หัวกระแทกนิดหน่อย ช้ำตามตัว แล้วก็ เอวเคล็ดอีกนิดนึง...

“คุณลี คุณไปคุยกับทางโรงพยาบาลหน่อยให้ดูแลเรื่องนักข่าวให้ดี  อย่าให้ขึ้นมารบกวนได้ถึงบนนี้” เมื่อตอนที่เขามาถึงเริ่มมีนักข่าวมาป้วนเปี้ยนแล้ว เขาไม่อยากให้วุ่นวาย

“ทราบแล้วค่ะ”




         เสียงประตูเปิดทำให้คนในห้องหันไปมองอย่างสนใจ  แพทย์หนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวมีผ้าปิดปากคล้องคอเดินเข้ามาในห้องโดยยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากชาร์จคนไข้เลยแม้แต่น้อย  มือแข็งแรงนั้นพลิกกระดาษไปมาพลางเดินมาหยุดหน้าเตียง  พิรุณาลอบสังเกตนายแพทย์คนนั้นอย่างพิจารณา  ในที่สุดนายแพทย์ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลก็เงยหน้าขึ้นกล่าวทักทายพิรุณาและคนในห้อง

“ดูจากอาการแล้วไม่เป็นอะไรมากนะครับ  แค่ฟกช้ำนิดหน่อย  เอวเคล็ดก็ต้องระวังหน่อยนะครับเวลาจะลุกเดินไปไหน  ส่วนศีรษะที่กระแทกผลแสกนปรกติดีครับ” พิรุณาอ่านริมฝีปากแพทย์หนุ่มไม่ทัน  เขาจึงเหลือบมองไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของหมอหนุ่ม  ปองทำภาษามือมือให้เขาเข้าใจอยู่ด้านหลัง  ดวงตายังแดงก่ำจากการร้องไห้เช่นเดิม  แพทย์หนุ่มเห็นคนไข้ของเขาไม่ได้มองที่หน้าเขาเลยกลับมองไปด้านหลัง เขาจึงหันไปมองตาม

“ปอง.....”


         ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเขาทำให้เขาแทบอ้าปากค้าง  คนตรงหน้าคือคนที่เขาเฝ้ารอมาตลอด  ไม่นึกว่าจะได้พบกันที่นี่  ปองเองก็เช่นกัน เขาตกตะลึงที่แพทย์คนนี้คือคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นที่สุด  มากเสียจนเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้เห็น  พิรุณาส่งภาษามือให้ปอง  เขาจึงต้องละสายตาไปมองท่าทางนั้น  ปองอ้าปากพยายามพูดแต่ดูเหมือนเสียงของเขาจะหายไปหมด....หายไปพร้อมกับการสบตากับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น

“เอ่อ....คุณพิรุณาอยากให้ ‘คุณหมอ’ ตรวจมือน่ะครับ  รู้สึกเจ็บ”ในที่สุดปองก็เอาชนะร่างกายของเขาสำเร็จ

“ได้ครับ  เจ็บตรงไหน”แพทย์หนุ่มหันกลับไปหาคนไข้ของเขา จับมือขาวนวลนั้นเพื่อตรวจ พิรุณาส่งภาษามือให้ปอง

“คุณพิรุณามีประวัติการเป็นซีสซ์มาก่อนน่ะครับที่ข้อมือข้างขวา  แต่เพราะว่าขนาดยังเล็กเลยยังไม่ได้ผ่าออก เมื่อตอนประสบอุบัติเหตุคงไปกระแทกเข้ากับอะไร เลยรู้สึกเจ็บๆ” หมอหนุ่มคลำกระดูกมือจนเจอตัวปัญหา แล้วเริ่มใช้นิ้วหัวแม่มือกด

“เจ็บไหมครับ?” พิรุณาพยักหน้าทั้งที่หน้าตาเหยเกเต็มทีเนื่องจากเจ็บที่แพทย์หนุ่มกดลงไป   ธีรธรเห็นดวงหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดแล้วอย่างเข้าไปบ้องหูเจ้าหมอคนนั้นที่ทำให้พิรุณาเจ็บตัว

“อักเสบน่ะครับ  ผมจะให้ยาไปทานแก้ปวดนะครับ ยานี่ต้องทานหลังทานอาหารเสร็จใหม่ๆนะครับ  ห้ามทานตอนท้องว่างเด็ดขาด”

“ไม่เป็นไรมากแล้วใช่ไหมครับ”ปองถามอย่างเป็นห่วงพิรุณา  แพทย์หนุ่มหันกลับมาสบตาปอง เขาอยากเป็นคนที่ปองห่วงใยบ้าง  แต่มันคงเป็นไปไม่ได้

“ครับ  ถ้าดูอาการคืนนี้แล้วไม่เป็นไร” ปองเดินเข้าไปจับมือพิรุณาไว้ แล้วหันมากล่าวขอบคุณ  แพทย์หนุ่มรับคำขอบคุณนั้นไว้ ก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป

“ลีไปจัดการเรื่องนักข่าวก่อนนะคะ” ลีแอนทำท่าจะเดินออก ไป แต่พิรุณารีบอ้าแขนรออย่างคนป่วยขออ้อน   ลีแอนหัวเราะคิกคักที่ได้กอดพิรุณา ทั้งที่บอสของเธอพยายามให้ตายก็ไม่ได้กอด....แต่ก็เฉพาะตอนนี้เท่านั้นแหล่ะ

“ปล่อยเถอะค่ะ เดี๋ยวลีจะได้ไปคุยกับทางโรงพยาบาล  อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?” พิรุณาคลายอ้อมแขนแล้วส่ายหน้า เลขาสาวเหมือนเป็น Big  Sister ของเขา  เธอเป็นคนแรกที่มาถึงที่นี่ด้วยซ้ำ   

“คุณปองไปด้วยกันหน่อย”ลีแอนรีบลากปองออกไปเสียด้วยกัน  ลีเคลียร์ทางให้บอสแล้วนะคะ  อย่าชวนทะเลาะเชียว...




      หลังจากลีแอนและปองออกไปแล้ว  ธีรธรนั่งลงที่ปลายเตียงโดยมีดวงตาสีน้ำตาลแดงของพิรุณาจ้องมองอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร   ธีรธรมองสำรวจร่างโปร่งบางคนนี้อย่างละเอียด  เขาเห็นผ้ากอชที่ศีรษะเนื่องจากพิรุณาหัวแตก  เห็นรอยฟกช้ำใหญ่น้อยตามร่างกาย  จนเขาอดรู้สึกสงสารไม่ได้  คนร่างบางตัวเล็กนิดเดียวต้องมาเจอเรื่องแบบนี้  แถมยังเกือบเอาชีวิตไปทิ้งกับลิฟท์นั่นอีก  มือใหญ่แข็งแรงลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลออกแดงนั้นอย่างอ่อนโยน  ทะนุถนอม

‘ไม่ต้องมาทำเป็นสมเพชเวทนาเลย’ พิรุณาส่งภาษามือใส่แล้วโยนมือธีรธรออกไป

“ไม่ได้สมเพชเวทนา  สงสารต่างหาก”ธีรธรพูดเสียงนุ่ม  น่าเสียดายที่พิรุณาไม่อาจได้ยิน

“เจ็บมากไหม?” เสียงทุ้มนุ่มทอดอย่างอ่อนหวาน  แม้พิรุณาจะไม่ได้ยินว่าเสียงนั้นว่าอบอุ่นถึงเพียงไหน  แต่ดวงตาคู่นั้นแสดงชัด  พิรุณาจ้องมองดวงตาคู่นั้นอย่างค้นหา 

‘ไม่เจ็บแล้วครับ’  พิรุณายิ้มน้อยๆเมื่อเขาได้คำตอบที่พบ ใช้มือนวลนั้นสางเส้นผมที่กระเซิงยุ่งของอีกฝ่ายเบาๆ  ธีรธรกุมมือนั้นไว้แนบอก  ดวงตาสีดำสนิทสบตากับคนเจ็บ  พิรุณาดื่มด่ำกับความอบอุ่นที่ได้รับผ่านทางรอยสัมผัส  ธีรธรยกมือบอบบางขึ้นจุมพิตที่หลังมือนวลเนียนนั้นอย่างฉาบฉวย

‘ขอบคุณครับที่เป็นห่วง’ 



         ปองเดินกลับขึ้นมายังชั้นที่พิรุณาพัก หลังจากเดินไปส่งเลขาสาวของบอสกลับบ้าน  ทางเดินในชั้นพิเศษนี้เปิดไฟไว้สว่างจ้า  แต่กลับร้างผู้คน  แม้แต่เคาท์เตอร์ เนิร์สสเตชั่นก็ยังไม่มีนางพยาบาลหรือหมออยู่เลยแม้แต่คนเดียว  เสียงฝีเท้าของเขาดังสะท้อนก้องไปในความเงียบของชั้น ร่างโปร่งบางเดินไปตามทางเดินอย่างช้าๆ เขากำลังคิดถึงเรื่องคนที่เขาไม่อยากพบที่สุด


“ปอง”เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ปองชะงัก เขาเพียงแค่ผินใบหน้ามามองด้านหลังเท่านั้น

“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”

“เราคงไม่มีอะไรต้องคุยกัน  ถ้าไม่ใช่เรื่องอาการบาดเจ็บของคุณพิรุณาครับ คุณปีเตอร์ ทีวซ์”

“ปอง”  ปองทำท่าจะเดินหนีเอาดื้อๆ  มือใหญ่แข็งแรงนั้นจึงเข้าจับยึดที่ต้นแขน

“ปองคุณให้โอกาสผมหน่อย”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวผมด้วย”ปองบิดแขนออกจากการเกาะกุมได้สำเร็จ แล้วหันไปเพชิญหน้ากับคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด

“ปอง  คุณจะไม่เปิดใจให้ผมหน่อยหรือ?”
“ครับ  โอกาสที่จะเป็นแบบนั้นคงเป็นไปไม่ได้เลย”ปองจ้องมองชายผู้มีดวงหน้าเหมือนคนที่เขารักที่สุดด้วยสายตาว่างเปล่า   ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นแฝงแววแห่งความเจ็บปวดชัดเจน

“ปองผมไม่ได้ตั้งใจให้เหตุการณ์พวกนั้นเกิด  ผมเองก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น....”

“คุณยังมีจะพูดอย่างนั้นอีกหรือ คิดว่าผมฟังคำแก้ตัวของคุณแบบนื้มากี่ร้อยกี่พันครั้ง    คุณทำให้ผมเสียทุกอย่าง  คุณยังต้องการอะไรอีก คิดจะเอาชีวิตผมด้วยเลยใช่ไหม?!!!” ปองตะโกนสุดเสียงราวกับลืมไปแล้วว่าที่นี่คือโรงพยาบาล เขาพูดแล้วรีบเดินจากไป  กลัวน้ำตาของตนจะรินไหลลงมา  เขาสัญญากับตัวเองไว้แล้ว ว่าจะไม่ร้องไห้เพราะชายคนนี้อีก  พีทได้เพียงแต่มองตามแผ่นหลังที่เขาโหยหาอย่างอาวรณ์  ความหวังเพียงริบหรี่ที่มียิ่งสั่นไหว ราวเปลวเทียนต้องลม





         วันนี้พิรุณาออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เนื่องจากหลังจากดูอาการหนึ่งคืนก็พบว่าปรกติดีทุกประการ   พิรุณาให้ปองกลับไปนอนบ้านเมื่อคืนนี้ เพราะสีหน้าไม่สู้ดีนัก  แล้วค่อยไปหาเขาที่บ้านในตอนเย็น  นี่เองเป็นโอกาสที่ทำให้พิรุณาได้คุยกับนายแพทย์หนุ่ม  ในสายตาพิรุณา  แพทย์หนุ่มคนนั้น ไม่เลว  แต่พิรุณาก็ไม่มีสิทธิ์เจ้ากี้เจ้าการให้คนนั้นทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้  ดูอย่างตอนนี้สิ  เขากำลังทำเรื่องชำระค่ารักษาพยาบาลโดยมีอีกคนพยายามเหลือเกินที่จะออกค่ารักษาให้เขา

‘อะไรของคุณ  เอาการ์ดคุณคืนไป ผมจ่ายเองได้’ พิรุณาหยิบเครดิตการ์ดของธีรธรทำท่าจะโยนทิ้ง  แล้วส่งการ์ดของตัวเองให้เจ้าหน้าที่การเงิน

“น่า คุณตัวแค่นี้ผมมีปัญญาจ่ายค่ารักษาน่า” ธีรธรยังยัดเยียด จนพิรุณาทนไม่ไหวฉุนขาด

‘ผมก็มีปัญญาจ่ายค่ารักษาตัวเองเหมือนกันแหล่ะ  เอาคืน’ พิรุณายัดบัตรเครดิตใส่มือธีรธรแล้วจ่ายของตัวเอง

“คุณพนักงานอย่านะครับ  บัตรนั้นเป็นหนี้ตั้งแสนเหรียญ” พนังงานการเงินมองหน้ากันเลิกลัก

‘ผมไม่ใช่คุณนะที่รูดเอารูดเอา  แล้วก็ไม่เคยเป็หนี้ด้วย  บ้าชิบ!!!’ พิรุณาตาไวมองเห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามา

‘คุณลีจัดการบอสคุณทีกวนผมไม่เลิก’ลีแอนยิ้มเครียดให้พิรุณา  แล้วหันไปจัดการกับบอสเธอ  เธอรายงานเรื่องงานที่ส่อเค้าปัญหาจำเป็นต้องให้บอสกลับไปจัดการ  พอดีกับที่พิรุณาจัดการชำระเงินเรียบร้อย

“ขอผมจ่ายเงินค่ารักษาพิรุณาก่อน”

“ไม่ต้องแล้วมั้งคะ”ลีแอนพยักเพยิดไปทางพิรุณาที่โบกใบเสร็จหลักฐานการชำระเงินไปมาอย่างเยาะเย้ย  ธีรธรเม้นปากแน่น

‘ก็บอกแล้วว่าผมมีปัญญาจ่ายเอง ลาล่ะ’ พิรุณากอดเลขาสาวแล้วทำลอยหน้าลอยตาหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ








         พิรุณากลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ  ทันทีที่เขาก้าวเข้าในบริเวณบ้าน เจ้าหมาโกเด้นก็รีบวิ่งรี่เข้ามาพลางกระดิกหางเสียยกใหญ่  พิรุณาตบหัวมันอย่างหมั่นไส้แล้วเปิดประตูเข้าบ้าน   กลิ่นหอมของอาหารลอยมาแตะจมูก  ปองคงมาทำอาหารรอเขาอยู่แล้ว  พิรุณาเดินเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น  เขาก็ได้พบกับแขกไม่ได้รับเชิญทันที  หญิงสาวผมแดงนอนแผ่อยู่บนโซฟาของเขาอย่างสบายอารมณ์  ก็คงไม่ใช่ใคร  ถ้าไม่ใช่เกรซ....พิรุณาสะกิดเพื่อนสาวโดยมีเจ้าหมาเป็นลูกคู่เอาหางฟาดโซฟาจนเกรซตื่น

‘ว่าไงยัยอ้วน’พิรุณาส่งภาษามือให้เมื่อเห็นว่าดวงตาสีฟ้าใส่โผล่พ้นเปลือกตาแล้ว

‘นั่นเป็นคำทักทายที่แย่ที่สุดเลยนะขอบอกให้รู้’เกรซลุกขึ้นนั่งแล้วเอามือลูบหน้า

‘เป็นไง  ลูกรักของเธอหายป่วยแล้วหรอ?’

‘แม่นแหล่ว  แต่ลูกรักไม่ได้ป่วยเอง  ป่วยเพราะถูกวางยา’ พิรุณาหัวเราะ ดวงตาสีน้ำตาลแดงเป็นประกายประหลาด เพราะสิ่งที่คาดเดาถูกต้อง

‘ช่างบอกว่า มีคนเอาของมีคมพยายามตัดมันน่ะ’

‘เป็นรอยคัตเตอร์นะฉันว่า  เพราะลักษณะการขาดมันไม่ได้ขาดปรกติ  มันมีรอยถูกตัดอยู่ด้วย  ก่อนขึ้นคอนเสิร์ตไม่เห็นหรอ?’

‘ไม่ทันมองหรอก พอจะเดาได้ไหมว่าใครเป็นคนทำ’ดวงหน้าสวยแย้มริมฝีปากยิ้มเย็น  ดวงตาสีน้ำตาลแดงฉายประกายเจิดจ้า เกรซยิ้มอย่างพึงพอใจกับท่าทางของเพื่อน เพราะเพื่อนมีคำตอบให้แน่  และรับประกันได้ว่า  คนหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตากระเบื้องดูบอบบางนี่แหล่ะ แสบนักเชียว

‘ซิลเวอร์  อากิระ’






         อากิระรับดอกไม้แสดงความยินดีมากมายเต็มอ้อมแขน  เขาพลิกดูการ์ดแต่ละใบอย่างตั้งใจพลางยิ้มน้อยๆอย่างยินดีที่ได้การ์เหล่านี้   ช่อดอกกุหลาบสีแดงจัดราวกับสีโลหิตส่งกลิ่นหอมรวยรินชวนชื่นใจ อากิระใช้มือสัมผัสกลีบดอกหนานุ่มราวกำมะหยี่นั้นเบาๆพลางนึกว่าใครหนอที่ตามมอบกุหลายดอกสวยพวกนี้ให้เขาทุกครั้งที่ขึ้นคอนเสิร์ต  ก่อนจะหันไปมองการ์ดที่เสียบมา  เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย  นี่เป็นอีกครั้งที่การ์ดว่างเปล่า เขากวาดตามองหาในบริเวณนั้นเผื่อว่าผู้มอบจะอยู่แถวนั้นแต่เขาก็กลับพบแต่ความว่างเปล่า

“คุณหนู เรากลับกันเถอะครับ”เสียงบอร์ดี้การ์ดทำให้อากิระหลุดจางภวังค์นั้น  เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามชายร่างสูงใหญ่ที่ทำหน้าที่ปกป้องเขาไป

“เดี๋ยวแวะเข้าบ้านแล้วออกไปทานอาหารกัน”

“จะดีหรอครับ คุณป้าแม่ครัวคงทำอาหารรอไว้แล้ว”

“โทรไปบอกสิว่าฉันจะไปกินข้างนอก” เสียงห้วนๆเอาแต่ใจทำให้ชายในสูทสีดำแอบอมยิ้มแล้วยอมโทรไปแจ้งแก่แม่บ้านว่าไม่ต้องเตรียมอาหารรอ

อากิระทำราวกับว่าลืมเลือนไปเสียแล้วว่า  ตนได้ก่อเหตุใดไว้ในคอนเสิร์ตที่เมืองจีน  ลืมไปเสียแล้วว่ามีคนต้องหลั่งเลือดบนเวที  แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจล่มงานนั้นลงได้

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #115 เมื่อ01-01-2008 11:15:12 »

สงสารธีรธร พิรุณาคงไม่ใจอ่อนง่ายๆแน่ๆ อิอิ

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #116 เมื่อ06-01-2008 14:31:48 »

ไม่มีวี่แววว่า พิรุณา จะมีใจให้ ธีรธร เลย เหนื่อยจริงๆ  :เฮ้อ: :m29:

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #117 เมื่อ06-01-2008 21:33:53 »

ท่าทางจะไม่ง่ายเลยนะสำหรับธีรธร

อยากรู้จังว่าจะเปงงายต่อปาย

เป็นกำลังใจให้งับป๋ม

 :m23:  :m23:  :m23:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #118 เมื่อ06-01-2008 22:11:33 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #119 เมื่อ07-01-2008 22:39:03 »

พิรุณาเปิดประตูระเบียงออกไป ปล่อยให้สายลมจากข้างนอกพัดพาเอากลิ่นหอมอ่อนๆของหญ้าเข้ามาภายในบ้าน  เขานั่งลงหน้าเปียโนตัวเล็กสีแดงมองเกรซที่หยิบไวโอลินตัวเก่งออกมาเช็ด  หลังจากเถียงกันอยู่พักใหญ่เรื่องเพลงที่ถูกขอให้แต่งให้ เกรซว่ามันยังขาดเสียงอะไรบางอย่างไป ซึ่งพิรุณารู้ว่าอันที่จริงแล้วเกรซนั่นแหล่ะที่อยากแจม  พิรุณาโคลงศรีษะไปมาอย่างช่วยไม่ได้เขาหยิบกระดาษที่ตีเส้นไว้เป็นบรรทัดห้าเส้นเรียบร้อยขึ้นมาพร้อมกับดินสอ  แล้วเริ่มเล่นเพลงที่อยู่ในความทรงจำโดยมีเกรซคอยเสริมและเสนอแนะจนสมบูรณ์


         ปองกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เขาได้ยินเสียงเปียโนท่วงทำนองอ่อนหวานสไตล์หวานเย็นอย่างที่พิรุณาถนัดบรรเลงแล้วหยุดบ้างเป็นช่วงๆ ก่อนจะบรรเลงต่อ  เขาเยี่ยมหน้าออกมาจากห้องครัวหลังจากจัดเตรียมอาหารสำหรับสามที่เรียบร้อยแล้ว  โดนไม่ลืมให้อาหารเจ้าหมาด้วยเช่นกัน  เกรซเปลี่ยนมานอนเอกขเนกดูโทรทัศน์เสียแล้ว  เขาจึงตรงเข้าไปบอกหญิงสาวผมแดงอย่างสภาพว่าอาหารเรียบร้อยแล้ว  เธอลุกขึ้นหอมแก้มเขาหนึ่งทีอย่างฉวยโอกาสก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในครัว จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องปิดโทรทัศน์ให้เรียบร้อย 


       ปองหันไปหาพิรุณาซึ่งกำลังเขียนบางอย่างอยู่หลังเปียโนโดยชันเข่าบนเก้าอี้เปียโน  สองเท้าที่ยืนออกมากระดิกดุ๊กดิ๊กอย่างอารมณ์ดี  ใช้ศอกข้างซ้ายเท้าแขนลงกับหลังเปียโนตัวสีแดงนั้นโดยให้ทับกระดาษไว้ไม่ให้เลื่อน  ส่วนมือขวากำลังเขียนบางอย่างขยุกขยิก  ปองชะโงกหน้าไปมอง เห็นบรรทัดห้าเส้นถูกตีเส้นกั้นห้องไว้อย่างเรียบร้อย  ลายมือหวัดนิดๆที่เขียนกุญแจซอลและกุญแจฟาตวัดหางกำลังสวย  มือนวลๆนั้นกำลังเขียนโน้ตที่รูปร่างเหมือนถั่วงอกอย่างสนุกมือ

‘ทำอะไรครับ  วาดถั่วงอกอยู่หรอ’พิรุณาแทบอยากจะเขวี้ยงดินสอทิ้ง หน้าหงิกหน้างอขึ้นมาทันที

‘ถั่วงอกที่ไหน  โน้ตตะหากล่ะโน้ต’ ปองยิ้มขันกับท่าทางของพิรุณา

‘ก็เขียนหัวโตๆแล้วมีหางนี่ครับ’

‘ไหนลองเขียนดูมั่งซิ  ดูซิว่าจะเป็นถั่วงอกเหมือนกันไหม’ พิรุณายื่นกระดาษและดินสอให้ปอง

‘ผมเขียนโน้ตไม่เป็นหรอกครับ’

‘น่า ไม่ลองไม่รู้  เดี๋ยวสอน’พิรุณายัดดินสอใส่มือปองจนได้  แล้วค่อยเริ่มอธิบาย

‘ตัวโด เขียนเส้นน้อยก่อนแล้วค่อยเขียนหัวถั่วงอกแล้วลากหากขึ้นมาถึงช่องที่สองนับจากข้างบน ตรงนั้นคือตำแหน่งของตัวโดในออกเตป*ต่อไป’ พิรุณาค่อยจับมือปองลากไปจนเสร็จเป็นโน้ตสมบูรณ์ 

‘เส้นน้อยก็เหมือเส้นในบรรทัดห้าเส้น  ลองดูสิ  ถ้าเราไม่ขีดมันขึ้นมามันก็อ่านเป็นโน้ตตัวอื่น  ก็เหมือนกฎเกณฑ์ ถ้าเราไม่สร้างขึ้นมา เราก็มองมันในมุมมองที่ต่างออกไปจริงไหม?’ ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีนิลของปองด้วยแววตาที่ปองไม่อาจสรุปได้ และสิ่งที่พิรุณาอธิบายมันสะดุดใจเขาอย่างประหลาด

‘โน้ตตัวอื่นๆก็เขียนคล้ายกัน ตัวเรจะคาบเส้น ส่วนตัวมีจะอยู่ในช่องแรกจากบรรทัดล่างสุด แล้วสลับแบบนี้ไปเรื่อย’ พิรุณาอธิบายเสร็จก็หันเหลังเดินเข้าครัวไป  ทิ้งปองให้อยู่กับความคิดตัวเอง





         ช่วงค่ำธีรธรกลับจากที่ทำงาน รู้สึกเหนื่อยกับการทำงานเช่นปรกติ  แต่วันนี้เหนื่อยน้อยกว่าทุกวันอย่างไม่ทราบสาเหตุ  เขาเดินไปตามทางเดินในบ้านมุ่งตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง  เขาหย่อนกระเป๋าเอกสารไว้กับเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์  ก่อนจะโยนเสื้อสูทเรียบสนิทหากหรูหราราคาแพงลิบไว้บนเตียงโบราณสี่เสาขนาดใหญ่  ธีรธรตั้งใจจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ  แต่เขาเดินผ่านรูปขนาดใหญ่ที่สะดุดใจเขา   รูปภาพเขาตั้งใจอัดขยายมาเองกับมือ  ภาพของ ‘คนของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร’ ซึ่งสวยจับจิตจับใจของพิรุณาที่เขาแอบเก็บไว้คนเดียว  เขายิ้มให้คนในภาพน้อยๆ  เริ่มรู้สึกอยากทำงานอดิเรกของตัวเองที่พักไว้เสียนาน  ธีรธรเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ค่อนข้างรกแล้วหยิบกล่องบนสุดออกมาอย่างถนอม    กล้องตัวหนึ่งที่มีอุปกรณ์เสริมครบครันจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ในนั้น  ธีรธรยิ้มกับตัวเองแล้วหยิบมันออกมาอย่างเบามือ  รู้สึกคันไม้คันมืออยากถ่าย  และแน่นอนไม่ได้ถ่ายตัวเอง



         ธีรธรแอบย่องๆไปบ้านข้างๆตอนแรกเขาว่าจะปีนระเบียง  แต่ไหนๆจะมาขอเขาถ่ายรูปแล้ว ครั้นจะมาแบบแมวขโมยก็ดูไม่ค่อยจะดี  เดี๋ยวคนสวยอารมณ์เสียขึ้นมาอาจเดือดร้อนถึงกล้องของรักของหวงได้  วันนี้เขาจึงยอมกดกริ่งหน้าบ้านแต่โดยดี  หลังจากรออยู่อึดใจ พิรุณาก็ยอมเปิดประตู  แต่ดวงหน้าขาวนวลๆนั้นไม่ค่อยยินดีต้อนรับสักเท่าไหร่  ผิดกับเจ้าหมาที่กระดิกหางต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี  ธีรธรเยี่ยมหน้าเข้าไปในบ้านพิรุณาอยู่เพียงลำพัง

“ไปไหนกันหมดแล้ว  ได้ข่าวว่าเกรซมาอยู่ด้วย”

‘คุณปองกับเกรซออกไปซื้อของ ผมขี้เกียจเลยเฝ้าบ้าน’ ธีรธรเริ่มรู้ว่าทำท่าทางอย่างไรคือปองอย่างไรคือเกรซเลยพอเข้าใจ

“นี่คุณ  ผมขออะไรหน่อยได้ไหม?”พิรุณามองธีรธรอย่างสงสัย  ดวงตาสีน้ำตาลออกเดงแอบเห็นว่ามือธีรธรซ่อนบางอย่างอยู่ข้างหลัง เขาจึงหยิบมือถือมากด

คงไม่ใช่เรื่องแผลงๆหรอกนะ  เพราะผมอยู่กับคุณทีไรมีแต่เรื่องแปลกๆแผลงๆทั้งนั้น

“ไม่ใช่น่า  ไม่ไว้ใจกันมั่งเลย”

จะให้ไว้ใจได้ไง ชอบขโมยจูบอยู่เรื่อย


            พิรุณาพิมพ์ข้อความแล้วยื่นให้ธีรธรดูตามที่ตัวเองคิด  แต่ลืมกลั่นกรอง  หลังจากนึกขึ้นได้พิรุณารีบคว้าโทรศัพท์กลับมาจากมือธีรธร แล้วลบข้อความอย่างด่วน  แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว  ธีรธรหัวเราะชอบใจกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของพิรุณา อาการคันมือกลับมาอีกครั้งจนอดใจไม่ไหวถ่ายภาพเก็บไว้เสียเลย  พิรุณาเห็นกล้องรีบโดดใส่ ส่งภาษามือใส่เป็นพัลวัน ก่อนเกมส์ไล่จับกล้องจะเริ่มขึ้น

‘คนอะไรไวอย่างกะลิง’พิรุณาส่งภาษามือแล้วเข้าตะปบกล้องในมือธีรธร  แต่ไม่สำเร็จคนร่างสูงตัวใหญ่เหมือนกำแพงยังคงเคลื่อนไหวแคล่วคล้อง

“เขาเรียกพลิ้ว  หันซ้ายอีกนิดกำลังสวย”ธีรธรว่าพลางกดชัตเตอร์ไปด้วยก่อนจะหลบมือนวลที่หมายใจจะคว้ากล้องได้แบบเฉียดฉิว   ปีนขึ้นโซฟาถ่ายภาพต่อไปจากมุมบน

“เตี้ยอ่ะดิ  ไม่ถึงๆ”ธีรธรเยาะเย้ย  จากทักษะพิเศษของพิรุณาทำให้รู้สิ่งที่ธีรธรกล่าว  ริมฝีปากบางเม้มอย่างเริ่มโมโห เริ่มออกแรงในการไล่จับมากขึ้น  มือใหญ่แข็งแรงดันศีรษะพิรุณาไว้ไม่ให้ปีนตามขึ้นมา

‘ปล่อยนะ  มาหาว่าคนอื่นเตี้ยแล้วคิดจะชิ่งหรอ ไม่มีทาง’ พิรุณาดิ้นรนจะหลุดจากมือใหญ่นั้น แล้วไล่จับต่อ  แต่ธีรธรไวกว่า หลบหลีกไปเรื่อยจนทั่วบ้าน 



         ธีรธรหลบเข้าห้องนั้นออกห้องนี้อย่างคล่องแคล่วจนพิรุณาที่ตัวเล็กกว่าแรงก็น้อยกว่าไล่จับไม่ทัน  ธีรธรหลบไปหลบมาจนมาถึงห้องสุดท้ายเขาถอยหลังเข้าไปในห้องโดยไม่ได้สังเกตว่าเป็นห้องนอนพิรุณา  เขาถอยร่นไปเรื่อยโดยไม่ทันได้ดูข้างหลังให้ดีจึงตะดุดเตียงล้มหงายลงนอน  พิรุณาหัวเราะสะใจ แต่เจ้าหมาผู้ซื่อสัตย์ก็ดูจะเอาใจช่วยธีรธรเป็นพิเศษ มันนัวเนียอยู่ที่ขาจนพิรุณาเซล้มลงนอนทับธีรธร กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายจางๆลอยมาปะทะจมูก พิรุณาแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆนึกนิยมกับกลิ่นหอมนี้ 

“อะไรถึงกับเคลิ้มไปเลยหรอ?”ธีรธรยังคงยั่วเย้า  พิรุณาจึงตะเกียกตะกายไปแย่งกล้องจากมือใหญ่แข็งแรงมาได้ในที่สุด

‘อยากโดนถ่ายรูปมั่งไหมล่ะ?’ พิรุณาส่งภาษามืออย่างทุลักทุเลเล็กน้อย แล้วเริ่มเล็งกล้องถ่ายธีรธรที่นอนอยู่ใต้ร่างเขา  ดวงหน้าคมสันแย้มยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่ดูดีมากสำหรับพิรุณา  แต่เขาแอบสะดุดใจกับดวงตาสีนิลที่พราวระยับเจ้าเล่ห์

‘หัวเราะอะไร?’

“คุณจงใจจะยั่วผมหรือไง  ลงไปได้แล้ว”พิรุณาอ่านริมฝีปากหยักสวยนั้นแล้วรู้สึกตัวเองหน้าร้อนผ่าน  เพราะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั่งคร่อมอยู่บนตัวชายที่อันตรายที่สุด  เขารีบตะกายลุกขึ้นทันทีที่เรียกสติกลับมาได้  แต่ถูกมือใหญ่แข็งแรงดึงไว้



         ดวงตาสีน้ำตาลแดงขึ้นสบตากับดวงตาสีนิลงามโดยไม่ตั้งใจ  ดวงตาคู่นั้นเหมือนมีแรงดึงดูด เหมือนมีพลังแผ่ซ่านออกมาจากดวงตาคู่นั้นเพื่อสะกดพิรุณาให้นิ่ง  แล้วยอมโอนอ่อนไปตามที่ธีรธรต้องการ  ในทางกลับกัน  ธีรธรก็รู้สึกว่าดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่งามนี้ช่างเชิญชวนให้เข้าไปค้นหาเหลือเกิน มันสวยซึ้งจนอยากจะเก็บไว้เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว  ธีรธรพลิกกายขึ้นใช้แขนสองข้างกั้นพิรุณาไว้กับที่  เพื่อมองให้ชัดๆ  ริมฝีปากสีแดงเรื่ออย่างธรรมชาติทำให้หวนนึกถึงรสสัมผัสหอมหวานที่เคยลิ้มลอง   ดวงหน้าคมสันค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้มากขึ้นจนสัมผัสถึงความอุ่นในลมหายใจกันละกัน  ดวงตาสีม่านราตรีที่พราวระยับราวกับมีดาวนับพันกำลังพอประกายแข่งกันมองสบตากับดวงตากลมสีน้ำตาออกแดงใสนั้นก่อนจะเลื่อนมาจ้องมองริมฝีปาก เห็นลาดไหล่และแผ่นอกขาวนวลใต้เสื้อเชิ้ตที่พิรุณาสวมแบบขอไปทีที่โผล่พ้นเนื้อผ้าซึ่งไม่ติดกระดุมบนสองเม็ด  พิรุณาดวงหน้าร้อนผ่าวทันทีที่รู้ว่าดวงตาคมกล้านั้นมองอะไร  มือเรียวรีบคว้ากำคอเสื้อตัวเอง

“ไม่ต้องเขินหรอกน่า เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”ปากหยักสวยขยับอยู่ใกล้ๆทำให้พิรุณาหน้าร้อนฉ่า ผิวเนื้อตามร่างกายเริ่มซับสีเลือด

“คนอะไรแปลกพิลึก อายจนตัวแดง”ธีรธรยังหยอกเย้า พิรุณากำหมัดแน่น
“อ๊ะอย่าต่อยหน้าหล่อๆเชียวนะ ไม่งั้นจับปล้ำไม่รู้ด้วย”ธีรธรรีบกดแขนเล็กที่เขาเคยรู้ฤทธิ์มาแล้วว่าหมัดหนักไม่ใช่เล่นเอาไว้  แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ดังเดิมริมฝีปากหยักสวยคลอเคลียอยู่เหนือริมฝีปากบางอย่างน่าหวาดเสียว จมูกโด่งเป็นสันรับกับดวงหน้าวนเวียนอยู่ใกล้จมูกโด่งรั้นที่น่ารักน่าชัง  พิรุณาหลับตาปี๋ จะทำอะไรก็รีบทำเข้าสิ!!!อ๊ากกกกกกกก  ทนไม่ไหวแล้ว



โป๊ก!!!



         เสียงของแข็งกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว ธีรธรร้องโอ๊ยก่อนจะกลิ้งตกจากเตียงลงไปนอนบนพื้นพรม  เจ้าหมารี่เข้ามาดมๆเหมือนจะช่วยดูอาการรบาดเจ็บ  ในขณะที่พิรุณานอนเจ็บจี๊ดขดตัวกลมอยู่บนเตียง  ทั้งคู่คลำศีรษะตัวเองป้อย  น้ำตาเล็ดจากหางตา  ธีรธรนอนแผ่กับพื้นดวงตาจ้องมองเพดานห้อง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ  กล้องสุดรักสุดหวงยังปลอดภัยดีแถมยังรู้สึกเป็นสุขดีแท้...นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้หัวเราะร่าเหมือนเด็กๆแบบนี้

‘เป็นอะไรหรือเปล่า?’ พิรุณาชะโงกหน้ามาจากบนเตียง ธีรธรส่ายหน้าเพราะยังมึนๆก่อนจะลุกขึ้นนั่ง แล้วสังเกตเห็นว่าหน้าผากนวลใสของพิรุณามีรอยแดงปูดขึ้นมา

“หัวปูดเลย ไปหาอะไรประคบดีกว่า”ธีรธรลุกขึ้น แล้วช่วยดึงพิรุณาลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัว  แล้วเปิดช่องฟรีซได้ห่อเนื้อหมูกับห่อแฮมออกมาส่งให้พิรุณา

“ประคบซะหัวจะได้หายโน”

‘คุณนั่นแหล่ะรีบประคบซะ หัวปูดเป็นลูกมะนาวยังจะมาห่วงคนอื่นอีก’

       พิรุณาหยิบห่อเนื้อหมูประคบให้ธีรธร แต่ออกจะเมื่อยสักหน่อยเพราะส่วนสูงต่างกันไม่น้อย  ธีรธรลอบมองดวงหน้าขาวนวลใสที่เม้มริมฝีปากนิดๆ ตั้งใจกับการประคบ นี่เป็นอีกครั้งที่เขาได้เห็นอีกมุมหนึ่งของพิรุณา  นอกเหนือจากไอ้หนุ่มหน้าสวยที่ติดจะขี้โมโหอยู่สักนิด หรือหนุ่มน้อยนัยน์ตาพราวที่แสดงความสามารถโลดแล่นบนเวที  นี่เป็นอีกด้านที่นุ่มนวลอ่อนหวาน  ธีรธรรู้แล้วว่าทำไมใครๆถึงรักพิรุณา เห็นได้ชัดจากปองที่ถึงจะรู้จักพิรุณาไม่นานนัก แต่กลับเอาใจใส่คอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆเสมอ

“ผมทำเองคุณจัดการตัวคุณเองเถอะ”นิ้วใหญ่แข็งแรงช่วยเกลี่ยผมสีน้ำตาลออกแดงที่ตกลงมาใกล้ตาออกไปอย่างเบามือ  ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองนิ่ง แต่ธีรธรไม่อาจอ่านได้ว่าร่างโปร่งบางนี้คิดอะไร

“คิดอะไร?”เสียงนุ่มนวลอย่างที่เจ้าตัวยังแปลกใจถาม ริมฝีปากบางหากอิ่มสวยแย้มยิ้ม

‘กำลังคิดว่าที่นี่มีหมอผีเก่งๆหรือเปล่า’ พิรุณาหัวเราะกับความคิดตัวเอง  ธีรธรงงทำไมต้องหาของพันธุ์นั้น

‘เพราะคุณโดนผีเข้าสิงน่ะสิ  บางทีอยากจะเป็น...ผีบ้า’

“อ้าว  คุณครับทำงี้ไม่สวยนะ  หรือจะให้ผมเรียกตำรวจเพราะถูกประทุษร้ายล่ะครับ” ร่องรอยในกระแสเสียงหายไปแล้วเริ่มกลับมากวนๆเหมือนเดิม พิรุณาไม่อาจได้ยินแต่อ่านได้จากดวงตาว่าธีรธรเริ่มรวนกวนอารมณ์

‘งั้นผมจะได้แจ้งข้อหาว่าคุณพยายามจะกระทำชำเรา’

“เออดี พรุ่งนี้จะได้ขึ้นหน้าหนึ่งด้วยกัน”

‘ใครจะไปขึ้นกับคุณไหว  มีคิวก่อนหน้าตั้งยาวเหยียดไม่ใช่รึไง?’ธีรธรขมวดคิ้ว  เขาค่อนข้างมั่นใจว่าพิรุณาเป็นพวกไม่สนใจข่าวไร้สาระ  แต่ทำไมถึงรู้ ‘วีรกรรมคนโสด’ ของเขาได้ ถึงช่วงนี้จะเพลาๆลงมากแล้วก็เถอะ  ต้องมีคนเอาให้ดูนั่นแหล่ะ  ไม่น่าใช่ปอง คุณลียิ่งไม่ใช่ใหญ่....หรือว่าแม่ปีศาจสาว ดาบสองคมชัดๆ

“ของอย่างงี้มันลัดคิวกันได้”ธีรธรรีบกลบเกลื่อนมองนาฬิกาเห็นว่าได้เวลาซีรี่ย์ชื่อดังกำลังจะมาพอดี

“ไปดูทีวีกันดีกว่า”ธีรธรกึ่งลากกึ่งจูงพิรุณาไปนั่งแหมะที่หน้าโทรทัศน์ได้สำเร็จ  เป็นการเอาตัวรอดแบบเนียนๆที่ใช้สีข้างเข้าถูเล็กน้อย






         เกรซช่วยปองถือของพะรุงพะรังเข้าไปในบ้าน  ทันทีที่เปิดประตูก็เห็นแขกไม่ได้รับเชิญ  แต่จะว่าไม่รับเชิญก็พูดไม่ได้เต็มปากนัก  เพราะคนแถวนี้เช่นเกรซและปองออกจะยินดี ‘ต้อน’ รับ  พิรุณากำลังตั้งอกตั้งใจดูโทรทัศน์ไม่วางตาจึงไม่รู้ว่าเกรซและปองกลับมาแล้ว  ธีรธรเองก็แค่พยักหน้าให้น้อยๆตอนที่ทั้งสองคนเข้ามา  ปองและเกรซรีบขนของเข้าในครัวทันทีก่อนที่พิรุณาจะทันเห็น เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศให้บอสหนุ่ม  แต่ดูเหมือนฟ้าดินจะกลั่นแกล้ง  เสียงแฟกซ์ดังขึ้นเจ้าหมาที่กำลังเล่นกับเกรซอยู่ในครัวหูตั้งชันขึ้นทันที  เกรซพยายามตะครุบมันไว้

“ไม่เอา เจ้าหมาอย่าไปนะ” แต่ไม่เป็นผลเลย  เจ้าหมาวิ่งออกจากห้องครัวไปหาพิรุณาทันทีตามที่ถูกฝึกไว้

         พิรุณาเดินตามที่เจ้าหมางับข้อมือพามาที่เครื่องแฟกซ์  มือนวลๆนั้นฉีกแฟกซ์ออกอ่าน  ดวงตาสีน้ำตาลแดงกวาดมองตัวอักษรอย่างถี่ถ้วน  เจ้าของข้อความเหล่านี้คงกำลังทำงานอยู่ หลังจากโดดงานมาหาเขาที่คอนเสิร์ต  ข้อความในแฟกซ์เนื้อหาใจความเกี่ยวกับเรื่องที่เขาประสบอุบัติเหตุ  ไม่รู้ว่าข่าวไปถึงเคนได้อย่างไร เคนเป็นห่วงเขามากแต่ก็ไม่อาจมาหาได้เพราะงานมากมายที่ยังไม่สะสาง   พิรุณาลดกระดาษลงจากระดับสายตาพลางเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องนั่งเล่นที่ธีรธรนั่งดูโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์  ดวงหน้าขาวนวลนั้นเอียงคอน้อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลแดงฉายประกายครุ่นคิดอยู่เงียบๆ






         ห้องทำงานของเคนยังเปิดไฟสว่าง  แม้ว่าจะเลยเวลางานมามากแล้ว  แต่งานที่ยังคั่งค้างสะสางไม่สิ้นก็มีมากมายเกินกว่าจะละมือไปได้  เคนผลักกองเอกสารตรงหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย  แล้วลูบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะเอามือคลึงขมับตัวเองเบาๆ   ข่าวที่เขาเห็นจากโทรทัศน์ไม่ชวนให้เขาสบายใจนัก ทั้งด้านธุรกิจ และข่าวของ ‘คนสำคัญ’ ปัญหาด้านธุรกิจเขารับมือได้ แต่เรื่องคนๆนั้น.....พิรุณาไม่บอกเขาสักคำว่าประสบอุบัติเหตุจนเขาต้องโทรถามจากปอง  ทำไมถึงไม่โทรมาบอกสักคำ  ทำไมต้องให้เขารู้จากคนอื่น    คำถามอีกมากมายถาโถมเข้ามาในใจ  โดยเฉพาะคำถามที่เสียดแทงใจเขาที่สุด  ทำไมพิรุณาถึงไม่รักเขาบ้าง....หรือ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องตามที่พิรุณาบอกเขาคือ ทำไมถึงไม่รักเขาแบบคนรักบ้าง  ทั้งที่เขาเองก็ทุ่มเทและเอาใจใส่  ทั้งที่เขาทำทุกวิถีทาง 


หรือพิรุณาจะยังไม่แน่ใจในตัวเขา?....
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนเก้าแล้วคร้าบบบ :m13:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด