มาต่อตอนสามกันเลยดีกว่าเน๊าะ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO chapter# 3
พิรุณาย้ายเข้าบ้านใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน เคนช่างรู้ใจแต่งบ้านได้ถูกใจเขามาก แต่เดิมบ้านนี้เป็นบ้านเก่า เขานั่งรถผ่านแล้วเกิดชอบใจจึงซื้อไว้เพราะชีวิตของเขาต้องมาทำงานที่นี่บ่อยครั้ง เคนให้ตกแต่งบ้านนี้ด้วยศิลปะจีนประยุกต์ทำให้บ้านนี้มีโทนสีแดงส้มและขาว ห้องรับแขกขนาดเล็กทำให้รู้สึกอบอุ่นมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันออกจะเกินๆด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เขาไม่อาจได้ยิน แต่ในบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายดันมีวิทยุมาด้วย พิรุณาส่ายหน้านึกขำกับเพื่อน....
มันจะให้มาทำไมวะเนี่ย... กล่องกระดาษบรรจุข้าวของจากบ้านเก่าถูกเก็บออกไปแล้ว ข้าวของต่างๆจัดเข้าที่เข้าทางอย่างเป็นระเบียบ เหลือของอย่างสุดท้ายที่ยังมาไม่ถึง ระหว่างรอนี้เขาอารมณ์ดีเกินกว่าจะนั่งดูทีวี พิรุณาเดินไปที่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น เปียโนหลังเล็กสีแดงเข้มตั้งอยู่ติดกับหน้าต่าง ใกล้ๆนั้นมีประตูเปิดออกสู่ระเบียง พิรุณาเปิดประตูออกไปรับลมเย็นจากข้างนอกบ้าง ก่อนจะนั่งลงแล้วพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดอย่างรื่นรมย์
**************************************
ธีรธรเดินขึ้นบันไดหินเตี้ยๆไม่กี่ขั้นพลางล้วงกุญแจออกมาไขเปิด พลันได้ยินเสียงบางอย่างมากระทบหู เขากวาดตามองหาแหล่งที่มาในความมืด ไฟบ้านข้างๆที่เคยมืดมิดมาหลายปีนับตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่บ้านนี้กลับสว่างขึ้นอย่างน่าประหลาด เขาไม่เคยพบเจ้าของบ้านคนใหม่และแต่เดิมก็ไม่เคยนึกอยากรู้จัก แต่วันนี้เขากลับสนใจเจ้าของเสียงบรรเลงเปียโนแว่วหวานนั้น ธีรธรพยายามเพ่งมองแต่ก็ไม่อาจเห็นตัว เห็นเพียงระเบียงที่มีบานประตูกระจกใสที่เลื่อนเปิดออก บอสหนุ่มเสยผมสีเข้มที่ยุ่งๆของตัวเองพลางยิ้มน้อยๆ
ไม่แน่คนข้างบ้านอาจจะเป็นพิรุณาก็ได้ รูปพวกนั้นยังคงอยู่ในโทรศัพท์มือถือของเขา เขายังไม่ได้ส่งให้สำนักพิมพ์ใด แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นดูเหมือนพิรุณาจะยิ่งรู้สึกขัดเคืองในตัวเขามากขึ้น แม้แต่วันที่พิรุณาเชคเอาท์ออกไปหน้ายังไม่โผล่มาให้เห็นด้วยซ้ำ
ป่านนี้ขึ้นเครื่องร้องไห้แงๆกลับบ้านไปแล้วมั้ง บอสหนุ่มแทรกตัวเข้าไปหลังประตูไม้บานสีเขียว ก่อนจะปิดประตูลงเขาเห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดลงที่บ้านหลังนั้น ประตูถูกเปิดออก ก่อนก้อนขนปุกปุยสีน้ำตาลอ่อนจะกระโดดลงมาและวิ่งหายไปทันที เขาปิดประตูลงพลางเงี่ยหูฟังอีกครั้ง ไม่มีเสียงเปียโนแว่วหวานนั้นแล้ว
**************************************
ปองยิ้มตอบเมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านยืนยิ้มร่าให้อยู่ที่ประตูโดยมีสุนัขพันธุ์โกลเดนรีทีฟเวอร์ร่างปุกปุยนัวเนียอยู่ใกล้ๆอย่างรักใคร่ ร่างสูงโปร่งนั้นยิ้มหวานพลางชวนเขาเข้าบ้าน เมื่อเขาก้าวเข้าไปในบ้านเขาก็พบว่าบ้านนี้ตกแต่งอย่างน่าอยู่มากทีเดียว มองลึกเข้าไปเป็นครัวขนาดย่อมๆที่มีเคาเตอร์เหมาะสำหรับทำอาหาร ห้องนั่งเล่นเล็กๆมีโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ตรงหน้ามีโซฟาท่าทางน่าสบายอยู่หน้าทีวี ที่ตู้ใต้ทีวีมีเครื่องเพลย์สเตชั่นอยู่รวมทั้งสารพัดแผ่นเกมส์ แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือกำแพงด้านหลังมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่มากสองชั้นหนังสือทุกรูปแบบจัดเรียงตามตัวอักษรทำให้สีของหนังสือปะปนกันเป็นที่น่าดู ที่ชั้นล่างๆของตู้มีกล่องอะไรบางอย่างเรียงเป็นตับ ปองเดินเข้าไปเพ่งมองตัวหนังสือที่ข้างกล่องอย่างสนใจ มันคือหนังจีนกำลังภายในทั้งชุดมากมายหลายเรื่องเสียจนน่าปวดหัว พิรุณาทันสังเกตเห็นท่าทางของปองก็หัวเราะแล้วส่งภาษามือให้
‘พอดีว่าชอบน่ะ โม้ดี’ ปองหัวเราะ
‘ต้องสั่งทางเน็ตสินะครับ” พิรุณาพยักหน้าให้
‘เรียนเป็นอย่างไรบ้าง สอนดีหรือเปล่า’ พิรุณาถามปอง วันนี้เขาไปเรียนภาษามือ เรียกว่าเป็นการติวท่าจะดีกว่า เพราะเขาเองก็พอมีพื้นฐานมาบ้าง
‘ดีครับ สอนสนุกทีเดียว เรียนแล้วรู้สึกจำแม่นขึ้น’
‘เหลืออีกสามวันก็จบแล้วนี่ แล้วคุณปองจะมาพักกับผมไหม ผมมีห้องพักว่างอีกสักสองห้องได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน’
‘อย่าดีกว่าครับผมเกรงใจ อีกอย่างผมมีน้องสาวอีกคน จะปล่อยเธออยู่คนเดียวคงไม่ดี’ พิรุณาพยักหน้าเข้าใจ
‘ไม่เป็นไร แต่ถ้าจะมาพักเมื่อไหร่ก็มาได้ทุกเมื่อนะ ว่าแต่ชอบชอปปิ้งหรือเปล่า?’ ปองงง
‘หิวแล้วล่ะ แต่ว่ายังไม่มีของสดในตู้เลย ก็เลยคิดว่าจะไปซื้อแต่ไปคนเดียวคงถือไม่ไหว เลยจะหาคนไปเป็นเพื่อน’ พิรุณายิ้มหวานให้ปอง จนใจอ่อนยอมไปด้วย
**************************************
ซูปเปอร์มาร์เกตแหล่งที่ใกล้ที่สุดบัดนี้คนบางตาลงไปมากแล้ว พิรุณาและปองเดินเลือกของกันอย่างเพลิดเพลิน ปองทึ่งกับสิ่งที่พิรุณาหยิบใส่ตะกร้าแบบไม่ต้องคิดซ้ำ เห็นตัวนิดเดียวแต่เท่าที่เห็นพิรุณาซื้อของกินเยอะมาก ทั้งของสดของแห้งโดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่า
ผมมันพวกอดอยาก มีกินต้องรีบกิน ในขณะเดียวกันพิรุณาก็ทึ่งในความสามารถในการเลือกของๆปองที่เลือกของดีๆทั้งนั้น
‘เหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่างนะ’ พิรุณาส่งภาษามือให้ปอง
‘ไม่ขาดแล้วมั้งครับ เยอะขนาดนี้’ ปองพูดพลางเปลี่ยนขอจากตะกร้าใส่รถเข็นแทน
‘มันต้องขาดสิรู้สึกเหมือนยังไม่ครบน่ะ รอเดี๋ยว’ พิรุณาหยิบสมุดจดเล่มเล็กที่มักพกติดตัวเสมอขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวสีน้ำตาลที่ใส่ประจำ แล้วพลิกไปสองสามหน้า ก่อนจะเช็คของตามรายการที่เขาจดไว้
‘ขาดน้ำตาลน่ะ’
‘ผมเห็นอยู่มุมโน้น เดินเลยมาสองลอคน่ะครับ’
‘งั้นผมไปเอาเอง’ ปองมองตามร่างโปร่งบางนั้น ก่อนจะก้มลงหยิบตะกร้าอีกใบที่พิรุณาใส่ของไว้เต็มมาถ่ายของใส่รถเข็น
พิรุณากำลังพยายามเลือกน้ำตาลแต่หลังจากพยายามอยู่นานก็ยังไม่สำเร็จ เขาไม่แน่ใจนักว่าควรจะเอาอันไหนดี น้ำตาลทรายธรรมดา หรือว่าน้ำตาลทรายแดง แต่จะว่าไปแล้วเขาก็ชอบน้ำตาลกรวดนะ ระหว่างตัดสินใจนั้นพิรุณาไม่รู้เลยว่ากำลังทำตัวเกะกะคนอื่น ร่างสูงใหญ่ที่สูงกว่าเขาตั้งเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ พึมพำขอโทษจากด้านหลังก่อนจะเอื้อมมือใหญ่ไปหยิบถุงน้ำตาลที่อยู่สูงสุดของชั้น พิรุณาตกใจสะดุ้งแทบสุดตัวก่อนจะหันไปนึกสบถอยู่ในใจยาวเหยียด แต่ทันทีที่เห็นหน้าคนที่เขานึกแช่งชักหักกระดูกในใจ เขาก็ต้องกลืนถ้อยคำเหล่านั้นดังเอื๊อกลงคอ ใบหน้าคมสันของธีรธร ที่คุ้นตาที่สุดปรากฏแก่สายตา คิ้วเข้มๆคู่นั้นขมวดเข้าหากันแทบจะผูกเป็นโบว์ ริมฝีปากนั้นขยับเหมือนจะพูดบางอย่าง เส้นผมที่เคยเสยขึ้นเวลาไปทำงานนั้น บัดนี้กลับลงมาปรกที่ใบหน้าโดยเจ้าตัวพยายามปัดไปข้างๆทำให้ดูดีไปอีกแบบ พิรุณากระพริบตาถี่ๆพยายามไล่เรียงความคิดใหม่ ก่อนจะได้สติรีบทิ้งทุกอย่างแล้วพยายามจะเดินหนีไป แต่มือใหญ่ๆนั่นก็คว้าตัวไว้
“เดี๋ยว จะรีบไปไหนล่ะ”นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงของคนตัวเล็กกว่าวาวโรจน์พลางพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม ธีรธรยิ่งจับข้อมือบางนั้นแรงขึ้น แล้วสาวเท้าต้อนไปยังมุมติดกับลอควางน้ำตาล ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างกันคนตัวเล็กไว้ไม่ให้หนี พิรุณาอึกอักพยายามหาทางหนี
“อย่าหนีเลยน่า ไม่มีทางซะหรอก” ธีรธรเห็นท่าทางตื่นๆของพิรุณาแล้วนึกอยากแกล้ง
“บอสครับ” ปองผู้ช่วยชีวิตเรียกบอสของเขา
หลังจากสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแสดงตัว เพราะเขารับรองได้ว่าถ้ามาช้ากว่านี้ล่ะก็พิรุณาสู้ยิบตาแน่ และแน่นอนเขาจำรอยช้ำขนาดใหญ่ที่หน้าบอสหนุ่มเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนได้ แต่ดูเหมือนว่าการเรียกบอสของเขาเป็นการให้สัญญาณหนีแก่พิรุณา หน้าผากเนียนใสของคนตัวเล็กกว่ากระแทกเข้าใส่หน้าธีรธรแบบเต็มรัก ทั้งสองต่างยกมือขึ้นกุมส่วนที่เจ็บแทบจะพร้อมๆกัน ปองไม่อาจทำอะไรได้อีกนอกจาก.....ขำ
“หัวเราะอะไรคุณปอง!” บอสหนุ่มแทบจะตวาดแห้วใส่อดีตโฮสต์หนุ่มที่ขณะนี้ หัวเราะจนแทบลงไปกองกับพื้น
“ชามู ชามูชัดๆ!”
“ฮ๊ะ ว่าอะไรนะ?”ธีรธรได้ยินสิ่งที่ปองพึมพำ พยายามนึกทบทวนว่าเจ้าของชื่อชามูนี้คืออะไร (*ปลาวาฬเพชรฆาต ดาวเด่นของซีเวิร์ล ที่ออแลนโด้ ฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา)
“ปลาวาฬงั้นหรอ” ธีรธรกลั้นหัวเราะไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง อย่างที่น้อยคนนักจะเคยได้ยิน ในขณะที่พิรุณายังคงเอามือถูตรงที่โหม่งเข้าเต็มๆ มองคนทั้งสองที่หัวเราะงอหายด้วยตาเขียวปั๊ด
‘หัวเราะกันเข้าไป ไว้เป็นตัวเองบ้างเหอะแล้วจะรู้สึก’ พิรุณาส่งภาษามืออย่างฉุนจัดก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไป ปองบุ้ยใบ้ให้ธีรธร
“รีบตามไปสิครับ เดี๋ยวก็งอนป่องกลับซีเวิลด์หรอก”ธีรธรได้ฟังก็ยิ้มก่อนจะรีบตาม ‘ชามูพิรุณา’ ออกไป
**************************************
‘ชามูพิรุณา’ ทำหน้ากระเง้ากระงอดนั่งอยู่เบาะหน้าคู่กับธีรธรจนถึงบ้าน เขาอาสาไปส่งปองและพิรุณา ด้วยข้ออ้างว่า
ของเยอะ...ถือกันไม่ไหวหรอก ปองเองก็ทำท่าเป็นคนอ่อนแรงถือนั่นก็ไม่ไหวถือนี่ก็ไม่ไหวขึ้นมาทันที พอพิรุณาใจอ่อนมาขึ้นรถคันหรู พอจะไปนั่งเบาะหลังปองก็ขัดขึ้น
เดี๋ยวผมนั่งดูของให้ครับ ไปนั่งเบาะหน้าสบายๆดีกว่า พอพิรุณาเถียงว่าของเอาไว้ท้ายรถก็ได้ ปองก็รีบโต้ทันทีว่า
เดี๋ยวไข่มันจะแตกเลอะรถบอสนะครับ ผมเกรงใจไม่อยากจ่ายค่าทำความสะอาด รถยุโรปคันหรูจอดสนิทริมทางเท้า ธีรธรมองบ้านของพิรุณาอย่างทึ่งๆ ไม่ใช่เพราะมันสวย แต่เพราะมันติดกับบ้านเขานี่เอง!
“ที่แท้ก็อยู่ข้างบ้านนี่เอง”ธีรธรพึมพำ แต่ก็ดังพอให้ปองได้ยิน
“บอสว่าอะไรนะครับ” ธีรธรไม่ตอบ สายตาเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนกดออดอยู่บ้านเขา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเปิดรับจึงเดินลงบันไดหินขั้นเตี้ยๆลงมา พลางกดโทรศัพท์มือถือ มือถือของบอสหนุ่มสั่นจนพิรุณารู้สึกได้ มือบางๆตบบนบ่าคนตัวใหญ่กว่าค่อนข้างแรงแล้วชี้ไปที่โทรศัพท์ ธีรธรหยิบโทรศัพท์กดรับ
“บอสคะ ลีเอาเอกสารมาให้ค่ะ เเต่บอสไม่อยู่บ้านจะให้ลีเอากลับไปก่อนๆไหมคะ?”
“ผมอยู่หน้าบ้านคุณรอหยุดเดินก่อน หยุดๆๆ”ผู้หญิงคนที่เดินคุยโทรศัพท์หยุดเดินทันทีด้วยท่าทางงง ธีรธรก้าวลงจากรถ โบกมือน้อยๆให้เลขาสาว ก่อนจะเปิดประตูหลังช่วยถือของที่ค่อนข้างหนัก ขณะเดียวกันทั้งปองและพิรุณาก็ต่างลงจากรถแล้วช่วยกันถือข้าวของ เตรียมขนเข้าบ้าน
“อ้าวคุณลี”ปองร้องทักทันทีที่เห็นผู้หญิงคนเมื่อครู่ชัดๆ
“คุณปอง มาทำอะไรแถวนี้คะ หรือว่ามาหาบอส อ้าว!นั่นคุณพิรุณา”พิรุณารับการทักทายจากเลขาสาวอย่างงงๆ
“เปล่าครับ บอสมาส่งผมกับคุณพิรุณาต่างหาก”ปองและลีแอนต่างมองกันงงๆ
“ผมว่าขนของเข้าบ้านก่อนเถอะ หนัก” ธีรธรบอกพลางส่งสายตาไปให้พิรุณา พิรุณาทำได้แต่เพียงพยักหน้าน้อยๆเหมือนจำใจ ก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน
“บ้านสวยจังนะคะ”ทันทีที่ลีแอนเข้ามาในบ้านของพิรุณาเธอก็ถึงกับต้องอุทานออกมา ปองแปลให้พลางยิ้มน้อยๆ
“คุณพิรุณาบอกว่า ขอบคุณครับ แต่ว่าไม่ได้เป็นคนแต่งบ้านเอง ให้เพื่อนมาจัดการให้” ธีรธรคิดตาม
เพื่อน....ใคร? พิรุณาส่งภาษามือให้ปองก่อนปองจะพยักหน้าแล้วแปลให้
“คุณพิรุณาอยากเชิญคุณลีอยู่ทานข้าวด้วยกันจะได้ไหมครับ?” ลีแอนยิ้มกว้าง ตกปากรับคำแต่ก็นึกขึ้นได้
“แล้วบอสล่ะคะ”ปองรีบทวงถามกับพิรุณา คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ขำ
“คุณพิรุณาบอกว่า ก็ให้เขากลับไปกินข้าวบ้านเขาสิ”ธีรธรได้ฟังก็ถึงกับฉุน
“คุณทำร้ายร่างกายผมนะ ไม่คิดจะจ่ายค่าเสียหายหรือไง” พิรุณาจำใจต้องยอม เพราะรอยแดงๆบนหน้าผากของคนตัวโตกว่าแม้จะจางลงแล้วแต่ก็ยังแดงอยู่ จึงต้องยอมตกลง แล้วส่งภาษามือให้ปอง ก่อนจะหายตัวไปอยู่ในครัวเริ่มลงมือทำอาหารเย็นสำหรับสี่ที่
“จะให้ฉันช่วยไหมคะ?” ลีแอนเสนอตัว เธอไม่ค่อยเชื่อใจนักว่าผู้ชายจะทำอาหารให้ทานได้ ดูอย่างสามีเธอที่บ้านสิ
“ไม่ต้องหรอกครับแค่ผมกับคุณพิรุณาก็พอ คุณลีกับบอสคุยงานกันดีกว่านะครับ” ปองกล่าวก่อนจะหายไปอยู่ในครัวเสียอีกคน ธีรธรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ชมห้องนั่งเล่นนั้นอย่างสบายอารมณ์
“บอสคะ ลีเอาเอกสารที่บอสโทรไปทวงว่าให้เอามาให้ ‘ด่วน’ มาให้แล้วค่ะ” เลขาสาวบอกด้วยเสียงที่ฟังดูโหดกว่าปรกติ รู้สึกว่าตั้งแต่บอสรู้จักกับคุณพิรุณาก็เปลี่ยนไป จากที่เคยมีแต่งาน งาน และงาน วินัยการทำงานเป็นเยี่ยม เขร่งขรึม ยิ้มยาก ตอนนี้กลายเป็นทำตัวเป็นเด็กๆไปเสียแล้ว
ธีรธรยอมนั่งลงคุยงานกับเลขาสาวแต่โดยดี หลังจากถูกขู่ไปก็หลายหน เขากำลังเซนต์เอกสารบางอย่างอยู่ที่ชุดรับแขกที่แสนจะสบายกับคุณลี เลขาสาวอธิบายข้อข้องใจให้บอสของเธอพลางลูบหัวลูบหางสุนัขพันธุ์โกเด้นรีทีฟเวอร์ที่เอาคางวางบนเข่าเธออย่างเอ็นดู เสียงสัญญาณบางอย่างร้องอยู่ไกลๆทำให้มันผงกหัวขึ้นก่อนจะไปหายเข้าไปในครัว และกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพิรุณาในชุดผ้ากันเปื้อนที่ถูกมันคาบที่ข้อมือ ธีรธรมองสีหน้ายุ่งๆของพิรุณาก่อนจะมองเจ้าหมาที่ดูจะมีความพยายามดีเหลือเกินในการพาเจ้านายของมันไปไหนสักแห่งในบ้าน แล้วพิรุณาเดินหายครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมกับแฟกซ์ที่ยาวเป็นหางว่าว ธีรธรมองภาพที่เกิดขึ้นแล้วเอ่ยกับเลขาสาว
“เขาว่าหมากับเจ้าของมีอะไรคล้ายๆกัน” ลีแอนมองตามหลังพิรุณาเข้าไปในครัวอีกครั้ง
“เหมือนๆกันกับโซลเมตละมังคะที่คนเขาว่ามักหน้าตาคล้ายๆกัน”
.
.
.
.
“อาหารเสร็จแล้วครับ”ปองเยี่ยมหน้าออกมาจากในครัว รอให้คนทั้งคู่เดินตามมา
อาหารท่าทางน่าทานถูกจัดวางบนโต๊ะทานอาหารที่ค่อนข้างเล็กที่ละอย่างๆ กลิ่นหอมชวนน้ำลายหกโชยมาแตะจมูกเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ร้องครวญคราง ไม่ใช่แค่ธีรธรและลีแอนเท่านั้น ยังมีอีกชีวิตที่ดูจะทนไม่ไหวกันกลิ่นอันรัญจวนใจนี้ เจ้าหมากระดิกหางฟาดทุกอย่างที่ขวางหน้า พลางส่งสายตาเชื่อมหวานให้พิรุณาและปองทุกครั้งที่เดินผ่านมัน ลิ้นสีชมพูเลียปากอยู่หลายครั้งจนลีแอนนึกสงสาร และธีรธรอดขันไม่ได้กับท่าทางนั้น
“น้ำลายหกแล้วเจ้าหมา”ธีรธรพึมพำ ก่อนจะแอบหยิบหมูชิ้นเล็กๆจากจานอาหารโยนให้เจ้าหมาที่รับได้อย่างแม่นยำราวกับเป็นแคชเชอร์มือดี เขาแอบหัวเราะชอบใจ
“อีกชิ้นๆ”มือใหญ่แอบหยิบหมูชิ้นเล็กตั้งท่าเตรียมโยนอีก เจ้าหมาหูตั้งเลียปากรอรับเต็มที่ แต่ยังไม่ทันได้โยนเสียงเพียะ!! ก็ดังขึ้น ทุกคนหยุดกิจกรรมต่างๆที่ทำหันมามองพิรุณาและธีรธรเป็นตาเดียว พิรุณาส่งภาษามือใส่ธีรธรเป็นชุด
“คุณพิรุณาบอกว่า อย่าแอบให้ของกินเดี๋ยวมันจะเสียนิสัยนะครับ แล้วก็จะอ้วนด้วย ” ปองอธิบายยิ้มๆ พิรุณานั่งลงประจำที่พลางส่งสายตาหงุดหงิดใส่ธีรธร
“ทานกันเถอะครับ” ลีแอนและปองเริ่มสวดภาวนาก่อนจะรับประทานอาหาร ธีรธรและพิรุณาได้แต่นั่งมองหน้ากันรอคนทั้งสอง
“คุณไม่ได้นับถือคริสต์หรอกหรอ?”ธีรธรถามโดยมีปองเป็นล่ามแปลให้หลังจากที่ปองเสร็จกิจกรรมดังกล่าวแล้ว
“จริงๆแล้วควรจะเรียกได้ว่าไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งน่าจะถูกกว่า สรุปง่ายๆก็คือนับถือครับ แต่นับถือหลายศาสนาพร้อมๆกัน”
“เดี๋ยวนี้คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็ไม่นับถือศาสนากันแล้วนะคะ อาจเป็นเพราะสภาพสังคมในปัจจุบันก็ได้ก็เลยไม่ค่อยศรัทธาในศาสนาอะไรอีก”ลีแอนเสนอความคิดเห็นพลางตักกับข้าวใส่จาน
“ของผมกับคุณพิรุณาเหมือนกันครับ เป็นเพราะสภาพการเลี้ยงดูตอนเด็กๆก็เลยเป็นแบบนี้”
.
.
.
.
.
“อาหารอร่อยจังค่ะ ไม่น่าเชื่อนะคะว่าผู้ชายจะทำอาหารได้อร่อยถึงขนาดนี้”
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ”ปองถามยิ้มๆอย่างที่มักทำเสมอ เลขาสาวยิ้มตอบอย่างมีความสุขกับอาหารตรงหน้า
“ก็ดูอย่างสามีลีที่บ้านสิคะ ทำอะไรถ้าทานได้ละก็เป็นของแปลกเลยล่ะค่ะ”เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นประสานกัน และยังคงดังต่อเนื่องต่อไปอีกนานกว่าชั่วโมงก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันกลับโดยธีรธรอาสาขับรถไปส่งเลขาสาวและปอง
**************************************
ปองเดินขึ้นบันไดแฟลตของตัวเองอย่างเลื่อนลอย ความสุขสนุกสนานเมื่อหัวค่ำพลันมลายหายไปสิ้นหลังจากรับโทรศัพท์สายหนึ่งจากโรงพยาบาล พลางหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าตัวเอง เสียงกรุ๊งกริ๊งของลูกกุญแจกระทบกันดังไปตลอดทางเดินที่สลัวๆด้วยแสงไฟไม่กี่ดวงจนถึงหน้าห้อง บัดนี้แฟลตทั้งชั้นเงียบสงบราวกับไม่มีคนอยู่ ปองไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป ทันทีที่เขาจะปิดประตูมือใหญ่ของใครบางคนก็จับประตูไว้พลางออกแรงดันไม่ให้ปิด ปองตกใจพยายามกระแทกประตูให้ปิดด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่ก็ดูเหมือนว่าแรงของเขาจะไม่อาจสู้แรงที่ดันประตูอยู่อีกฟากได้
“ปอง! เราต้องคุยกันนะ”เสียงห้าวๆของคนที่อยู่อีกฟากประตูร้องบอก ปองส่ายศีรษะแรงๆน้ำตารื้นขึ้นในทันที
“ยังจะต้องคุยอะไรอีก! คุณออกไปจากชีวิตผมแล้วนี่!”
“ปองฟังก่อน”เสียงนั้นบอกอย่างนุ่มนวล หวังเพียงว่าปองจะใจอ่อนเลิกดึงดันเสียที
“คุณคิดว่าผมฟังมาไม่มากพอหรือไง พอเสียที! ผมไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว ผมเสียอะไรๆไปมากมายแล้ว และกำลังจะเสียน้องสาวผมไปอีกคน ก็เพราะการฟังคำบ้าๆของคุณไงล่ะ” ปองปล่อยประตูอย่างหมดเรี่ยวแรง ในขณะเดียวกันคนที่อยู่ข้างนอกนั่นก็หยุดออกแรงใดๆเช่นกัน
“ปองว่าอะไรนะ?”เสียงห้าวที่ฟังแหบระโหยถามแต่ ไม่มีเสียงตอบจากคนที่ถูกถามจน คนข้างนอกตัดสินใจผลักประตูให้เปิดก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง เขาเห็นคนที่เขาอยากพบหน้าที่สุดยืนอยู่ตรงหน้า ห่อไหล่ลงราวหนาวจัด น้ำตาไหลอาบแก้มเนียนทั้งสอง
“ปองว่าอะไรนะ?”ชายร่างสูงผมสีน้ำตาลทองในสูทเรียบสนิทสีกรมท่าก้าวเข้าใกล้ปอง นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมองร่างบางๆที่กำลังสั่นด้วยอาการสะอื้น
“หมอกำลังจะลงความเห็นว่าน้องของผมสมองตาย”เสียงตอบของปองที่เบาราวกับกระซิบหากแทงเข้าไปในหัวใจคนฟัง
“สมองตาย...เพราะผมสินะ”ชายร่างสูงได้แต่พึมพำกับตนเอง ปองเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า ดวงตาฉายแววแห่งความรวดร้าว
“ใช่ คุณกลับไปเสียเถอะ”ปองพูดพลางปาดน้ำตาทิ้งไปแล้วเปิดประตูให้ชายคนนั้นออกไป ก่อนจะปิดประตูลงอีกครั้งเขาพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่ากระซิบ
“อย่าให้ผมรู้อีกว่าคุณออกค่ารักษาพยาบาลน้องผม เงินส่วนที่จ่ายไปแล้วผมจะโอนคืนให้”ประตูปิดลงแล้วโดยที่ชายร่างสูงคนนั้นยังคงยืนจ้องมองประตูบานนั้นอย่างเหม่อลอย รู้สึกเสียใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้
รอยยิ้มของปองที่มอบให้แก่เขาเริ่มจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ....คงจะตั้งแต่รู้จักเขาเมื่อสี่ปีก่อนสินะ**************************************
พิรุณาเปิดประตูรับปองเช่นทุกครั้งที่ปองมาที่บ้านมันเหมือนกับมีประสาทสัมผัสบางอย่างแม้หูของพิรุณาจะไม่ได้ยินเสียงออด แต่เขามักรู้สึกได้ว่ามีคนมาซึ่งนั่นไม่รวมการมีผู้ช่วยเป็นเจ้าหมาโกลเด้นฯที่ถูกฝึกมาให้ช่วยเหลือผู้พิการทางหูโดยเฉพาะ พิรุณายิ้มกว้างอย่างที่เคยทุกครั้ง แต่วันนี้ปองแปลกไปไม่ได้แลกยิ้มกันเหมือนเก่า พิรุณาเห็นดวงตาคู่สวยที่มีร่องรอยแห่งความเศร้าหมองอย่างปิดไม่มิด เขาอ้าแขนกว้างรับปองไว้ในอ้อมกอดอย่างปลอบโยนพลางโยกตัวน้อยๆเหมือนปลอบเด็กตัวเล็กๆ กลิ่นจางๆของน้ำยาฆ่าเชื้อลอยมาแตะจมูกเช่นทุกครั้งที่กอดปอง พิรุณารู้ว่าปองไปโรงพยาบาลมาบ่อยๆเพราะกลิ่นมักติดตามเสื้อผ้าเสมอ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าไปทำไม
‘เข้ามาก่อนสิ’ พิรุณาส่งภาษามือให้ปองก่อนจะปาดน้ำตาที่ร่วงรินให้อย่างเบามือ แล้วพาเข้าบ้าน.
‘นั่งก่อนเถอะ อยากดื่มอะไรอุ่นๆหน่อยไหม?’ ปองส่ายหน้าช้าๆ พิรุณาถอนหายใจแล้วนั่งลงข้างๆปอง จ้องมองดวงหน้าเนียนละเอียดนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
‘รู้ไหมว่าทำไมพระเอกหนังกำลังภายในยิ่งเล่นยิ่งตัวดำ’ ปองมองพิรุณาอย่างงงๆ ก่อนจะส่ายศีรษะช้าๆ
‘ เพราะต้องคอยคิดหาทางหนีทีไล่ไม่ให้รถไฟชนกันไง ผู้ชายคนเดียวคนจ่อคิวจะเป็นนางเอกเพียบ พอยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดหน้าก็เลยหมอง พอหมองแล้วก็เลยดำ’ ปองแอบยิ้มทั้งที่เพิ่งจะเอามือปาดน้ำตาไปหยกๆ
‘ไม่เห็นจะตลกเลยนี่ครับ’
‘ถึงจะไม่ตลกแต่คุณปองก็แอบยิ้มใช้ไหมล่ะ มานี่สิ’พิรุณาจูงมือปองเดินเข้าใกล้ชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่เข้าทึ่งทุกครั้งที่ได้เห็น หนังสือบางเล่มดูจะขยับไปจากที่เดิมบ้างเล็กน้อย พิรุณาเลื่อนตู้ฝั่งขวาออก เผยให้เห็นทางเดินของอีกส่วนหนึ่งของบ้าน
ที่แท้ก็เป็นประตูด้วยนี่เองมิน่าถึงว่าบ้านแคบๆ พิรุณาพาปองเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่ทั้งห้องเป็นสีขาวโพลนไปหมดโดยปราศจากเฟอร์นิเจอร์ใดๆอีก กลางห้องคือแกรนด์เปียโนสีดำมันวับ พิรุณาเดินตรงไปที่เก้าอี้ไม้บุหนังสีดำเข้ากับเปียโน เขาดึงเบาะนั่งขึ้นหยิบบางอย่างออกมาพร้อมกับโน้ตเพลงปึกหนึ่งที่แต่ละเพลงโน้ตแต่ละแผ่นถูกต่อเรียงหน้าแล้วแปะด้วยเทปใสออกมา
‘นั่งสิ’พิรุณาตบลงที่นั่งข้างตัวที่พิรุณานั่งเพียงครึ่งเดียวของเก้าอี้ไม่มีพนักนั้น
‘โชว์พิเศษสำหรับคุณปองนะ ผมจะซ้อมเพลงที่ต้องขึ้นคอนเสิร์ตเร็วๆนี้ให้ฟัง ถ้าจะให้ดีก็เปลี่ยนหน้าให้ด้วย’พิรุณาวางโน้ตลงบนชั้นวาง
‘ผมอ่านโน้ตไม่เป็นหรอกครับ’
‘ไม่เป็นไร หลับตาลงแล้วเป็นกำลังใจให้ก็พอแล้ว’