INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง  (อ่าน 158550 ครั้ง)

three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #60 เมื่อ26-11-2007 15:48:59 »

เป็นกำลังใจให้นะครับผม :m11:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #61 เมื่อ27-11-2007 11:19:38 »

ไม่ต้องตกใจนะครับ
สองกับจ๋อมเขาร้อนวิชา ชอบแสดงอภินิหาร แต่เจตนาดีครับ

แต่งต่อเลยครับ
ตอนนี้ผมบ้า รักแห่งสยามอยู่ ตามอ่านไม่ทัน อิอิ

niph

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #62 เมื่อ28-11-2007 13:56:25 »

เอ้อ พี่ ๆ ครับ

ผมเห็นเม้นพี่จ๋อมแล้วมึนอ่ะ รู้เรื่องเป็นบางท่อน ใครช่วยแปลให้อ่านได้มั๊ยอ่ะ
(มะได้ก็ไม่เป็นไรนะ) :try2:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #63 เมื่อ29-11-2007 00:23:42 »

      ธีรธรกลับมาบ้านตัวเอง หลังจากเห็นว่าพิรุณามีแขกมาที่บ้าน เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานบิดขี้เกียจสองสามครั้ง ก่อนจะเริ่มหยิบงานมาสะสาง และทำไปเรื่อยๆ เรื่องราวต่างๆที่นำเสนอมาในกระดาษไหลผ่านหัวเขาไปอย่างช้าๆละเอียดรอบคอบจนกลายเป็นว่าเขาอ่านและเซนต์เอกสารเหล่านั้นจนถึงเช้าของอีกวันหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ  เพื่อนของเขาหลายคนบอกเขาว่า เขาเป็นมนุษย์บ้างาน  ทำงานได้อย่างกับหุ่นยนต์คือไม่มีพัก หรือถ้าให้พูดแรงกว่านั้นคือ ทำไปเรื่อยจนกว่าจะตายกันไปข้าง  ไม่งานก็ตัวเขาเอง    มันเป็นนิสัยเสียส่วนตัวของเขาที่คุณลีทราบดี และมักจะพยายามส่งงานทยอยให้เพื่อให้ได้พักบ้าง  แต่เพราะเธอต้องบินไปจีนทำงานบางอย่างให้เขาเกี่ยวกับการเปิดสาขาใหม่ที่เสฉวนซึ่งปัจจุบันพร้อมเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว  ธีรธรอ่านเอกสารเกี่ยวกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์รีสอร์ตแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิดนี้ โดยร่วมกับสถานทูตจีนประจำประเทศจัดคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิคแบบผสมผสาน บราๆๆ บอสหนุ่มพึมพำแล้วกวาดตาอ่านคร่าวๆแล้วเซนต์รับรองเอกสาร ฝ่ายประชาสัมพันธ์คงจัดการได้เรียบร้อยนั่นแหล่ะ

********************************

          ปองรีบขึ้นแท็กซี่จากสนามบินตรงดิ่งมาที่บ้านของพิรุณาโดยด่วน  วันนี้พิรุณาไปเล่นคอนเสิร์ต ด้วยเวลาขนาดนี้คงกลับถึงบ้านแล้ว  ปองคาดหวังว่าเปิดประตูบ้านเข้าไปคงไม่ต้องเก็บซากพิรุณาแทน  เพราะทุกครั้งที่ไปขึ้นคอนเสิร์ตพอกลับมาพิรุณาจะหลับเป็นตาย  เพราะก่อนหน้านั้นจะซ้อมแบบลืมตายแล้วหยุดก่อนเวลาแสดงจริงประมาณหนึ่งวันเต็มๆ ระยะนี้จะเป็นระยะเหงาหลับของพิรุณาคือเซื่องซึมกว่าปรกติ ในหัวจะคิดแต่เพลง เพลงและเพลง แล้วจะไประเบิดเอาเวลาขึ้นคอนเสิร์ต อย่างที่เห็นในรวมภาพประทับใจตามนิตยาสารดนตรีทั้งหลายที่เห็นพิรุณายิ้มหวานนัยน์ตาพราวเล่นเปียโนได้อย่างสุดยอด  ใครจะรู้ว่าก่อนหน้าและหลังจากนั้นพิรุณาอาการหนักขนาดไหน  ปองรีบลงจากแท็กซี่ เขาเห็นแท็กซี่อีกคันเข้ามาจอดต่อท้ายคันที่เขานั่งมา  คุณลีก้าวลงจากรถอย่างรีบร้อนด้วยอาการคล้ายๆกัน  ปองหันไปยิ้มเจื่อนให้คุณลีก่อน แล้วทั้งสอง‘ผู้ดูแล’ ก็รีบเผ่นไปดูนายจ้างตัวเองว่าเป็นซากไปแล้วหรือยัง

   
         พิรุณาหลับสนิทอยู่บนเตียง  ดีหน่อยตรงที่ถอดเสื้อตัวนอกโยนไว้ที่โซฟาหน้าทีวีแล้ว  ถอดรองเท้าเก็บเรียบร้อย ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวลงมาสองสามเม็ดก่อนจะนอนหลับเป็นตาย  ปองถอนหายใจกับสภาพของพิรุณา แล้วห่มผ้าให้อย่างเบามือ  ก่อนจะแอบไปชะโงกหน้าต่างดูบ้านข้างๆ  ลีแอนเองหลังจากไขกุญแจเข้าบ้านบอสของเธอ ซึ่งเธอรับรองได้ว่าเธอเป็นคนส่วนน้อยที่ได้เข้ามาเหยียบบ้านนี้  เธอก็พบว่าบอสของเธอสลบเหมือดไปแล้วเช่นกัน  คาโต๊ะทำงานเลย   เอกสารต่างๆที่เธอขนมาถูกอ่านแล้วลงนามเรียบร้อย  ช่วงวุ่นๆเรื่องสาขาใหม่นี้คงผ่านไปแล้ว  เธอหาผ้าห่มผืนบางๆมาห่มให้บอสหนุ่มอย่างเอ็นดู  เธอเคยมีน้องชายร่างใหญ่แบบนี้ให้ดูแลเหมือนกัน  แต่ตอนนี้แต่งงานย้ายเมืองไปแล้วหน้าที่ดูแลต่างๆจึงตกเป็นของน้องสะใภ้   เธอเดินไปชะโงกหน้าต่างบ้าง เห็นปองรออยู่แล้ว เธอยกหัวแม่มือข้างขวาขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าบอสเธอยังอยู่รอดปลอดภัยดี เช่นเดียวกับปอง  ลีแอนยิ้มให้ปองพลางนึก

บอสกับคุณพิรุณาเนี่ย มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกันจริงๆเลยน๊า~




      เสียงกดออดหน้าบ้านทำให้ปองเดินไปเปิดประตูโดยที่หน้าประตูนั่นมีเจ้าหมานั่งกระดิกหางรออยู่แล้ว  ปองตบหัวมันสองทีก่อนจะเปิดประตู  หญิงสาวผมแดงยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หน้าบ้าน  นัยน์ตาสีฟ้าใสพราวอย่างนึกสนุกทันทีที่เห็นว่าคนมาเปิดประตูไม่ใช่พิรุณา  เธอกล่าวทักทายแล้วขอพบพิรุณาทันทีที่ได้คำตอบว่าพิรุณายังหลับอยู่เธอก็ออกปากขอนั่งรอในบ้าน ปองเปิดประตูให้เธอเข้ามาด้วยความยินดี 

“คุณเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของพิรุณาหรอคะ?” ปองรับคำสั้นๆ ไม่แน่ใจว่าผู้มาใหม่คนนี้เป็นใคร
“ฉันเป็นเพื่อนสนิทเขาน่ะค่ะ  รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน  นี่พิรุณาคงเพิ่งกลับมาถึงได้สลบเหมือดแบบนั้น”ปองรับคำสั้นอีกครั้ง พลางสรุปในใจว่าผู้หญิงคนนี้คงเป็นเพื่อนพิรุณาจริงๆ  เกรซยังคงเล่าเรื่องต่อไปไม่หยุด

“แต่ก่อนเขามีฉายาด้วยนะ  เจ้าชายน้ำแข็ง  หรือไม่ก็ บีโธเฟนผู้น่ารัก โดยเฉพาะอันหลังนี่เป็นที่เลื่องลือเชียวล่ะ ถ้าลองพูดชื่อนี้ละก็รับรองไม่ว่าที่สถาบันไหนก็รู้จัก” เกรซยังคงพูดต่อไปอย่างมีความสุข ขณะที่ปองเริ่มชักจะสนใจฟัง

“รู้จักคอนดักเตอร์ที่ดังๆไหม ที่ชื่อ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น นั่นล่ะอาจารย์ของพิรุณา  หลังจากขึ้นปี2 บีโธเฟนผู้น่ารักของแผนกเปียโนก็โด่งดังมากเลย เพราะเป็นนักเรียนที่อาจารย์ท่านคัดเป็นพิเศษ แข่งที่ไหนก็ชนะที่นั่น  เยี่ยมเลยใช่ไหมล่ะ”

“ต่อมาก็ได้ถูกเชิญให้มาเป็น soloist ให้วงออเครตราของสถาบันในคอนเสิร์ตจบปีการศึกษา  ก็เลยได้เจอกับฉันและก็คนอื่นๆ”

‘นินทาอะไรอยู่หรอ?’ มือขาวบางส่งภาษามือให้เกรซจากด้านหลังโดยทำมือข้ามไหล่เธอ เกรซอุทานเสียงหลง
‘ว่าไงคุณปอง นินทาอะไรผม’ พิรุณาในสภาพสุดโทรมหัวยุ่ง เสื้อยับ นัยน์ตาปรือราวกับพร้อมจะปิดทำให้ปองขำ

‘ไปอาบน้ำก่อนดีไหมคับ? สภาพดูไม่ได้เลย’พิรุณาพยักหน้ารับแล้วเดินหายไป  ปองหันมาให้ความสนใจกับผู้มาเยือนอีกครั้ง

“ในถานะเพื่อนสนิทสุด love love ของพิรุณา  ฉันจะสอนวิธีรับมือเวลาเขางอแงให้” เกรซประกาศกร้าวแล้วยืดอกอย่างภาคภูมิใจ






      เกรซผลักพิรุณาลงจากตอนหลังของรถแท็กซี่หลังจากจอดสนิทอยู่หน้าย่านเริงรมย์ของนักท่องราตรี  หลังจากกึ่งลากกึ่งจูงพิรุณาถูลู่ถูกังข้ามถนนแล้วเข้าไปในซอยมืดๆแห่งหนึ่ง พิรุณาพยายามผลักไสยอดหญิงเกรซแต่เธอแข็งแกร่งเกินไป  จนในที่สุดเธอก็พามองหยุดหน้าคลับแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปแทบสุดซอยป้ายไฟหน้าร้านเขียนเป็นตัวอักษรว่า Cubana โดยที่หลอดไฟรูปตัวบีแตกไปแล้ว  ส่วนตัวเอตัวสุดท้ายหลุดออกมาห้อยอย่างน่าหวาดเสียวว่าจะหล่นใส่หัวใคร  พิรุณาสบตากับปองเป็นเชิงถามว่ารู้จักที่แห่งนี้หรือไม่  ปองส่ายหน้าเบาๆ  เกรซผู้ห้าวหาญพาเขาเปิดประตูพลัวะเข้าไปโดยที่กล่องใส่ไวโอลินสีแดงเลอะๆของเธอที่สะพายอยู่กระแทกกับประตูนิดหน่อย  ข้างในมืดสลัวจนพิรุณาแทบมองหน้าใครไม่เห็น  จุดเดียวที่สว่างของร้านนี้คือบนเวทีที่มีนักดนตรีแจ๊สกำลังบรรเลงเพลงกันไปอย่างไพเราะ

“มิสเตอร์เอบาโต้อยู่ไหมคะ?”เกรซตะโกนถามบาเทนเดอร์หลังบาร์
“โอนเนอร์หรือครับ?  อยู่หลังร้านครับมิส”
“บอกเขาที่ว่าเกรซไวโอลินมาหา” เกรซตะโกนและทำท่าสีไวโอลินให้  บาเทนเดอร์คนดังกล่าวยิ้มน้อยๆแล้วผงกศีรษะให้ทีหนึ่งแล้วหายเข้าประตูหลังร้านไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาใหม่ พร้อมกับชายคนหนึ่งที่ใส่เสื้อลายดอกสีชมพูแปร๋น  หัวล้านเตียนโล่งเป็นมันวับ

“ว่างายยยยเกรซไม่เจอกันนาน  ตำรวจหยุดตามหาตัวเธอรึยัง?”
“โอ้ย หยุดแล้ว วันนี้พาเพื่อนมาด้วยหาโต๊ะวิวดีๆให้สักที่สิคะ”
“โอ้ย  จองไว้ให้แล้วโต๊ะเกาะขอบเวทีเลยล่ะ”
“หน้าห้องน้ำไม่เอานะ”
“อือน่า  ไม่เชื่อใจฉันแล้วจะเชื่อใจใคร”เกรซขยับปากขมุบขมิบอย่างหมั่นไส้เต็มแก่แล้วเดินไปตามเต็มที่เอบาโต้บอก


      นักดนตรีกลุ่มใหม่ขึ้นมาบรรเลงเพลงแจ๊สนุ่มๆ   เกรซกำลังตกลงกับปองว่าจะสั่งเครื่องดื่มอะไรดี  พิรุณาลองลอบสังเกตคนบนเวทีที่กำลังเล่นเปียพลางนึกในใจว่า ฝีมือไม่เลว ก่อนจะสำรวจรอบข้างต่อไป  คนในคลับนี้ส่วนใหญ่เป็นนักดนตรี มืออาชีพบ้าง อย่างตัวเขาเองและเกรซ  ไม่ก็นักดนตรีสมัครเล่นซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันท่ามกลางบรรยากาศแจ๊สนุ่มๆที่เป็นกันเอง  เป็นความรู้สึกที่ดีทีเดียว  เจ้าของร้านก็ดูเป็นมิตรดี แม้ว่าเสื้อตัวที่ใส่จะสีแยงตาไปหน่อย ก็เถอะ  ปองสะกิดพิรุณาให้หันมามองแล้วส่งภาษามือให้

‘จะดื่มอะไรไหมครับ?’ พิรุณาพยักหน้า
‘เอาNocturneกับเตกิลา’ ปองงงๆกับคำตอบที่ได้  ไม่นึกว่าจะ ‘ดื่มเก่ง’ แบบนี้  ซัดขนานนี้แต่ต้นงานเลย  เกรซหัวเราะกับปฏิกริยาของปอง

“ก็อย่างนี้แหล่ะ  นานๆทีจะเที่ยวก็เลยสั่งใหญ่น่ะ  สมัยก่อนใครอาสาเลี้ยงเหล้าละก็จ่ายอาน  แต่ที่สำคัญคือชวนยังไงถึงจะยอมมาต่างหาก” เครื่องดื่มถูกทยอยเสิร์ฟ  ปองและเกรซจิบทีละน้อยผิดกับพิรุณาที่จับซดโฮกรวดเดียวหมด  ปองมองอย่างอึ้งๆ

      นักดนตรีเซ็ตนี้ลงจากเวทีเร็วกว่าวงอื่นๆทำให้เวทีว่าง โอนเนอร์ของร้านในเสื้อสีชมพูสดยืนอยู่กลางเวที เมื่อไฟสาดแสงใส่สีชมพูนั้นยิ่งสะท้อนแสงแยงตามากกว่าเดิมจนผู้ชมด้านล่างต้องรีบเอามือป้องปิดที่ตา  โอนเนอร์เคาะไมค์สองสามครั้งเป็นการเช็คก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้แขกในคืนนี้แล้วเริ่มพูด

“คืนนี้เรามีแขกพิเศษ มาร่วมงานด้วยนะครับทุกคนอยากพบพวกเขาหรือเปล่า?”ชายกลางเวทีทำท่าเงี่ยหูฟัง คนรอบข้างพิรุณาต่างส่งเสียงตอบรับอย่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“เสียงแค่นี้ท่าจะไม่ยอมขึ้นมาละม๊าง  เอาใหม่  ทุกคนอยากพบกันพวกเขาหรือเปล่า?”เสียงตอบรับดังกว่าเดิม เกรซถอดเสื้อตัวนอกออกพับวางแล้วเปิดกล่องไวโอลินขึ้นมา  ไวโอลินตัวสวยถูกหยิบขึ้นมาอย่างถนอมพร้อมกับคันชัก เกรซใช้คันชักในมือสะกิดเรียกพิรุณาที่บัดนี้ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ดวงหน้าเริ่มแดงซ่านดวงตาเริ่มฉ่ำเยิ้มอย่างกรึ่มๆ แต่ยังไม่เมา

‘Show Time’ เกรซป้องปากบอกพิรุณา ซึ่งเขาก็รับแต่โดยดี ยืนขึ้นถอดเสื้อตัวนอกโยนไว้กับพนักเก้าอี้ แล้วเดินตามเกรซขึ้นเวทีไป เหลือเพียงปองที่อยู่เฝ้าโต๊ะ


      ปองมองพิรุณาที่ขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงเกรียวกราวของแขกอื่นในคลับนี้ คนพวกนี้รู้จักพิรุณาและเกรซดี  พิรุณาเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นที่กล่าวขวัญว่าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของ เอ็ดเวิร์ด  ฮอร์น วาทยากรชื่อก้องที่ฝากผลงานเลอค่าไว้มากมาย  นอกจานั้นพิรุณายังเป็นนักดนตรีที่เก่งมากในสายตาเขา เพราะพิรุณาพิเศษกว่าคนอื่น  แม้หูจะไม่ได้ยินแต่ความสามารถของเขาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่นๆที่ได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจนเลย สมแล้วที่เป็นบีโธเฟนผู้น่ารัก  ส่วนเกรซนั้น เขาไม่แน่ใจนักว่าเธอมีชื่อจากอะไรรู้เพียงว่าเธอเป็นหัวหน้าวงของวงออเครซตามีชื่อ เมื่อประมาณสองปีก่อนเคยออกอัลบัมของตัวเอง 

      เกรซพยักหน้าให้พิรุณาที่นั่งประจำที่หลังเปียโนเรียบร้อย ให้พิรุณาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน  พิรุณาพยักหน้ารับน้อยๆ  มือเรียวสวยสีนวลๆนั้นให้เสียงนุ่มหูแบบเพลงแจ๊ส ทันใดนั้นแขกอื่นๆก็เริ่มหันไปสนทนากันเอง เป็นเสียงฮือฮาอย่างทึ่งในความสามารถ  เสียงเพลงคลาสสิคอย่าง  Nocturne ของ Chopin ถูกแปลงเป็นแจ๊สละมุนหูได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ทั้งๆที่ตรงหน้าไม่มีแม้แต่โน้ตสักแผ่นเดียว   เกรซยิ้มก่อนจะตั้งท่าเตรียมเล่นต่อจากพิรุณา  ทันทีที่เมโลดีของพิรุณาเริ่มจางลงเหลือเพียงเสียงคลอประสานเบาๆ  เสียงไวโอลินทรงพลังหากอ่อนหวานในเพลงเดียวกันหากถูกดัดแปลงให้โลดโผนมากกว่าก็ดังขึ้น  ทุกเส้นเสียงที่กรีดเข้ามาในโสตล้วนคมชัดราวกับจะเชือดเฉือดหัวใจคนฟังให้เลือดรินไหล  พิรุณาเหลือบตามองเกรซที่หลับตาพริ้มพลางโยกตัวน้อย ๆ  อันเป็นอาการแสดงให้เห็นว่าเกรซกำลังมันส์ในอารมณ์  พิรุณายิ้มกว้าง เล่นประสานจนเกรซหันมาขยิบตาให้เขาจึงเปลี่ยนจากการประสานมาเป็นโซโล  นิ้วที่พรมลงบนคีย์อย่างรวดเร็วนั้นทำให้เกิดเสียงระรัวราวกับห่ากระสุน แสดงถึงความสามารถของผู้เล่นว่ายอดเยี่ยม  หลังจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าอ่อนหวานอย่างเมโลดีต้นแบบ 

“เล่นกันสองคนเบื่อจัง  ใครอยากเล่นกับเราบาง ลุยเลย!!” เกรซกลอกเสียงใส่ไมโครโฟนสนั่นหวั่นไหว   เสียงฮือฮาอย่างนึกสนุกของผู้ชมดังไป  ทันใดนั้นมีนักดนตรีสมัครเล่นเป่าฟลุตลุกขึ้นแล้วเริ่มเล่นเสียงต่างๆไปพร้อมกับเสียงประสานจากเปียโนที่พิรุณากำลังเล่น  คนที่นึกสนุกอยากร่วมด้วยต่างหยิบเครื่องดนตรีที่ติดมือมาเตรียมไว้  ส่วนคนที่ไม่มีเครื่องดนตรีใดก็ช่วยกันผิวปากบ้างก็ปรบมือ การvariation*(= การแปลงหรือดัดแปลงองค์ประกอบดนตรีบางอย่างในการบรรเลงเที่ยวหลังๆ)  ยังคงดังอย่างต่อเนื่องจนสุดท้ายจบลงด้วยที่ทุกคนต่างกลับไปเล่นตามแบบฉบับดั้งเดิม  เสียงปรบมือดังสนั่นคลับแห่งนั้น ช่างเป็นคืนที่น่าประทับใจจริงๆ
.
.
.
.



       ในคืนนั้นทั้งสามกลับบ้านด้วยอาการทุลักทุเล โดยพิรุณาต้องรับผิดชอบคนเมาทั้งสอง ทั้งที่เขาเป็นคนที่ดื่มไปเยอะที่สุด  หลังจากลงจากเวทีผู้ชมต่างผลัดกันเลี้ยงเครื่องดื่มจนดื่มกันแทบไม่ทัน  เกรซประกาศกร้าวว่าต้องรับเลี้ยงทุกคนไม่อย่างนั้นจะเป็นการผิดมารยาท  ผลสุดท้ายแม้แต่ตัวตายตัวแทนกินแทนเกรซอย่างปองก็น็อคสนิท ไปตามๆกัน  พิรุณาพาทั้งสองคนที่เมาแอ๋ไม่รู้เรื่องกลับมาบ้านได้สำเร็จตอนประมาณตี3 โดยไม่รู้เลยว่าเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ จะมีคนมาทุบประตูช่างเหมือนกันแรงบันดารใจของบีโธเฟนที่แต่งซิมโฟนี หมายเลข5อันลือลั่นนั้นเสียเหลือเกิน   
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนแล้วครับขอโทษที่ดองลงนานไปหน่อยมัวแต่อู้ :m23:
หวังว่าเพื่อนคงชอบกับงานเขียนของน้องเมศนะครับโน้ตว่ากำลังสนุกเลย(รู้สึกเหมือนกันไหม)
ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับรักทุกคนคร้าบ... :give2:

three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #64 เมื่อ29-11-2007 10:34:20 »

 :give2:ขอบคุณมากนะครับสู้ๆเป็นกำลังใจให้นะครับผม :m11:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #65 เมื่อ29-11-2007 10:59:11 »

อะ ไปเมาเละเทะ ไม่ชวนธีรธรงี้
สงสัยจะได้ฟังเสียงกัมนาทแทนแน่ๆ
 :m26: :m26: :m26:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #66 เมื่อ29-11-2007 11:43:37 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #67 เมื่อ29-11-2007 11:57:37 »

ไม่น่าเชื่อ  พิรุณาคอแข็งวุ้ย   :m4:
งี้ก็โดนบอสมอมไม่ได้ง่ายๆ อะจิ อิอิ

รออ่านต่อจ้า  ชอบอ่านตอนพิรุณาเจอกับธีรธร  หนุกดี  :m3:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #68 เมื่อ29-11-2007 12:22:47 »

อ่านไปอ่านมาบรรยากาศเหมือนในหนังฝรั่งเลยอ่ะ  :m3: หนุกดีๆๆ รีบมาต่อน๊า

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #69 เมื่อ08-12-2007 19:57:44 »

เย้ๆเว็ปเข้าได้แล้ว

เดี๋ยวแอบหนีไปดูเข็มทิศทองคำก่อนนะครับแล้วจะมาต่อ

หลังจากที่ดองมานาน ขอโทษด้วยนะก๊าบ.. :m5:

(มีคนหรือไม่มีคนรอแอ๊บว่ามีไว้ก่อนแล้วกัน...สร้างภาพ... :o11: :undecided:)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
« ตอบ #69 เมื่อ: 08-12-2007 19:57:44 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #70 เมื่อ08-12-2007 20:48:10 »

ทำไมทำกันอย่างนี้อ่ะครับ :เฮ้อ:
แต่ไม่เป็นไรดูหนังให้สนุกด้วยนะครับ :m3:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #71 เมื่อ09-12-2007 06:31:37 »

แหะๆ มาซะเช้าของอีกวันเลย ขอโทษนะก๊าบบบ.. :m23:

มีช้าดีกว่าไม่มาเน๊าะ.... :m12:

แต่แอบดีใจมีคนมา reply ต่อจากเราด้วยแสดงว่ามีคนติดตาม ปลื้มมากครับ(ปลื้มแทนน้องเมศ) :m2:

ว่าแล้วก็เอาสะเลยแล้วกัน :a9:
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

INTERMEZZO   chapter# 5


ปัง ปัง ปัง!!


         เสียงทุบประตูโครมๆเพราะกดออดแล้วไม่ทันใจของผู้มาเยือนยามเช้าแทบจะไม่อาจเรียกวิญญาณของคนสามคนที่เมาหลับไปเมื่อก่อนรุ่งสางไม่กี่ชั่วโมงให้กลับเข้าร่างได้  พิรุณาที่นอนอยู่ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์เครื่องใหญ่ผวาลุกขึ้นเพราะเจ้าหมายเอาหางแข็งๆของมันฟาดโดนขา แล้วใช้จมูกเย็นๆแตะแก้มจนพิรุณาต้องตื่น  มันรีบคาบข้อมือพิรุณาที่ได้จังหวะแล้วออกแรงยื้อนิดๆเช่นทุกครั้ง  พิรุณาพลิกกายเตรียมจะลุกแต่โลกดูเหมือนจะหนักอึ้งและเอียงวูบไปเสียอีกทางหนึ่งจนต้องล้มแพละกลับลงไปนอนใหม่  เจ้าหมายังพยายามยื้อร่างเจ้านายให้ลุกขึ้น  พิรุณาพยายามต่อสู้กับแรงดึงดูระหว่างโซฟากับแผ่นหลังที่พยายามจะแตะกันให้ได้ไปที่ประตูจนสำเร็จ เขาเปิดช่องเล็กตรงประตูออกดูว่าใครมาซึ่งมักไม่ค่อยทำแบบนี้มากนักในเวลาปรกติ  ดวงหน้าคมสันล้อมด้วยเส้นผมสีทอง  และดวงตาสีเขียวมรกตที่ทอประกายไม่พอใจหงุดหงิดทำให้พิรุณารู้ว่าคนๆนั้นคือ เคน  พิรุณาเปิดประตูรับอย่างเสียไม่ได้  แทบจะทันทีที่ประตูเปิด เคนรีบแทรกกายเข้ามาภายในบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วส่งภาษามือให้อย่างเร็วไม่แพ้กัน

‘ไอ้หมอนั่นอยู่ไหน?’ พิรุณาพยายามถ่างตาดูว่าเคนต้องการสื่ออะไรแต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่  เลยได้แต่บอกเคน

‘ครายอ่ะ  ไว้ค่อยถามทีหลังนะ’ พิรุณาเดินขยี้ผมตัวเองแล้วกลับไปนอนบนโซฟาตามเดิม 


       เมื่อไม่มีใครให้ความร่วมมือในการตามหาตัวผู้ต้องสงสัย เคนก็เลยต้องจัดการพลิกศพด้วยตัวเอง  เคนเดินตรงเข้าไปหาร่างอีกสองร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่บนโซฟาในส่วนห้องรับแขก เคนพลิกร่างแรกที่ใกล้ตัวที่สุดพบว่าเป็นเกรซก็พลิกร่างนั้นกลับไปตามเดิม  ก่อนจะย่างสามขุมไปยังอีกร่างที่สภาพแทบไม่ต่างจากร่างเมื่อครู่เลย  เขาพลิกศพขึ้นมาพิจารณา ผู้ชายใช่ แต่หน้าไม่ใช่ คนวันก่อนมันต้องเข้มๆสิ  นี่หน้าอ่อนคล้ายๆพิรุณา  หรือว่าจะใช่  แต่เวบแคมมันไม่ได้หลอกตาขนาดนั้นนี่นา  ไม่ใช่แล้ว....หมอนั่นมันเป็นใครวะ



         ธีรธรเข้าที่ทำงานของตนแต่เช้าเช่นที่ทำเป็นปรกติทุกวัน  คุณลีจะเดินเข้ามาพร้อมกาแฟหนึ่งถ้วยหอมฉุยที่มือซ้าย  และสมุดบันทึกที่มือขวา เธอวางกาแฟแล้วเปิดสมุดบันทึกออกแล้วเริ่มบอกกำหนดการของวันนี้ซึ่งตารางงานก็ยังคงแน่นเหมือนเดิม  หลังจากหยุดเคลียร์งานที่บ้านหนึ่งวันแล้วก็ตามแต่จำนวนงานก็แทบไม่ลกลงเลยแม้แต่น้อย  ธีรธรขยับปมเนคไทให้หลวมก่อนจะเริ่มอ่านรายงานการประชุมสำหรับเช้านี้  ธีรธรเหลือบไปเห็นโน้ตที่แปะไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ลายมือภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนที่เขียนไว้ด้วยตัวหนังสือค่อนข้างใหญ่ทำให้ธีรธรสงสัย  มันไม่ใช่ลายมือของเลขาสาวแน่นอน  ข้อความในกระดาษโน้ตบอกนัดหมายคืนนี้ที่ร้านอาหารระดับหรูใจกลางเมืองที่เขาเห็นแล้วยิ้ม เงินทองไม่รั่วไหล พอเหลือบไปดูลงชื่อบอสหนุ่มก็ถึงบางอ้อ ของแม่สาวคริสติน่า มิลเลอร์ที่พักนี้เขาไปพัวพันด้วยนั่นเอง  ธีรธรอยากปฎิเสธที่จะไปพบแต่คิดอีกที นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะจบความสัมพันธ์กับหล่อนเสียที หลังจากควงกันไปงานสังคมเพียงไม่กี่งานจนเป็นข่าวขึ้นมา  เขาจำได้ว่าต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อรับโทรศัพท์เจ้ากรรมของรันดาที่โทรมาซักไซ้ไล่เรียงเสียหมดจด 



          ธีรธรเดินผ่านฝ่ายต้อนรับของภัตรคารหรูกลางเมืองเข้ามาโดยมีพนักงานต้อนรับคนหนึ่งเดินนำหน้าไปยังโต๊ะที่จองไว้  ไม่ว่าจะมองทางไหนก็พบแต่คนดังทั้งนั้น  ไม่ว่าจะนักธุรกิจชื่อดัง  ดารานักร้อง หรือแม้แต่นางแบบร่างอวบอัดในชุดรัดรูป   ที่โต๊ะในส่วนที่ราคาแพงที่สุดของร้านมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งคอยเขาอยู่แล้ว  เธอคือคริสตินา มิลเลอร์ในชุดผ้าซาตินสีดำเนื้อบางเบา คว้านคอลึกจนเห็นเนินอกอวบรำไร บนคอระหงมีสร้อยเพชรเส้นเล็กๆกำลังล้อแสงไฟวูบวาบ  ธีรธรจูบมือเรียวบางที่ส่งให้ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ

“มาช้าจริงนะคะ  นึกว่าจะต้องคอยเก้อเสียแล้ว”หล่อนพูดหลังจากบริกรรับออเดอร์เรียบร้อยแล้ว

“ผมติดงานน่ะครับ”ธีรธรตอบอย่างสงวนคำ อยากให้บรรยากาศน่าอึดอัดนี่หมดไปเสียโดยเร็ว

“เรื่องสาขาใหม่ที่ปักกิ่งเป็นอย่างไรบ้างคะ คริสตี้ได้ข่าวว่าจะจัดคอนเสิร์ตเป็นการประชาสัมพันธ์ด้วย”

“ครับ ก็เรียบร้อยดี เหลือแค่เรื่องการประชาสัมพันธ์เท่านั้นแหล่ะครับ”

“ผูกพันธมิตรกับประเทศแบบนั้นเป็นวิธีที่ฉลาดดีนะคะ”หญิงสาวพูดแล้วจิบเครื่องดื่มในแก้วก้านสูง  ธีรธรลอบมองหล่อนอย่างชั่งใจ

“คุณพ่อคุณก็ทำนี่ครับ”

“อุ้ย  คริสตี้ไม่ค่อยทราบหรอกค่ะว่าคุณพ่อทำอะไรบ้าง” ความเงียบอันน่าอึดอัดโรยตัวลงอย่างช้าๆ หลังจากบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟก็มีเพียงการพูดคุยกันด้วยเรื่องจิปาถะเล็กน้อยเท่านั้น  จวบจนการทานอาหารค่ำจะจบลงธีรธรจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง

“คุณคริสติน่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับข่าวของเราครับ?”

“ทำไมหรือคะ  คริสตี้ก็คิดว่ามันก็เป็นความจริงนี่คะ” ธีรธรนึกในใจ จริงกะผีเดะ 

        เขาไม่เคยคบผู้หญิงตรงหน้าเป็นแฟน แค่ควงเล่นเฉยๆเหมือนคนอื่นๆนั่นแหล่ะเบื่อแล้วก็ทิ้งไป  ยิ่งผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีสติอย่างคนนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่น่าเป็นแฟนด้วยอย่างแรง  หล่อนผิดจากผู้เป็นบิดามากมาย หล่อนไม่สนใจว่าโลกเป็นอย่างไรไปถึงไหนแล้ว คำพูดง่ายๆก็ส่อถึงระดับความรู้ของเธอแล้ว

“แต่ผมคิดว่ามันออกจะเกินไปหน่อยนะครับ” ธีรธรกล่าวเสียงเรียบ

“คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ?  เราแค่ไปงานด้วยกันไม่กี่ครั้งก็ลงพาดหัวทุกฉบับแล้วว่าเป็นแฟนกัน ทั้งที่ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณเลย” คริสติน่า มิลเลอร์ ตะลึงงัน  ริมฝีปากอิ่มสวยที่เคลือบด้วยสีแดงเม้นเข้าหากัน  เธอไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนกล้าปฎิเสธเธอ  ธีรธรเป็นคนแรกที่กล้า

“คุณว่าอะไรนะคะ?” ธีรธรมองเธออย่างใจเย็นก่อนจะตอบเสียงเบาหากหนักแน่น

“ผมว่าเราควรจะจบข่าวพวกนี้สักทีนะครับ”ดวงตาสีนิลเป็นประกายคมกล้าหรี่มองหล่อน  คริสตินา มิลเลอร์กำลังตัวสั่นด้วยความโกรธ

“คุณช่างกล้าอะไรแบบนี้  ฉันไม่เคยอับอายขนาดนี้มาก่อนในชีวิตถ้าเรื่องนี้ถึงหูคุณพ่อ  ธุรกิจของคุณก็จบรู้ไว้เสียด้วย!!” หล่อนกระแทกเสียงก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ครับ  แต่ผมไม่ค่อยแคร์” ธีรธรตอบแล้วยิ้มที่มุมปาก  หญิงสาวตรงหน้า สั่นด้วยความโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น เพราะคนรอบข้างเริ่มหันมาสนอกสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงได้แต่ฮึดฮัดแล้วเดินปึงปังออกไป


         
        ธีรธรที่นั่งอยู่เพียงคนเดียวที่โต๊ะเสยผมอย่างเซ็งนิดๆ  ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในที่แห่งนั้น  เขาไม่แคร์ที่จะถูกมองว่าไปเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว  แต่เขาไม่ชอบการถูกผูกมัดมันน่าเบื่อเกินไป  แม้กระทั่งคำสาบานคนเราที่เคยสาบานไว้ต่อหน้าสิ่งที่ตนเคารพศรัทธายังไม่อาจรักษามันไว้ได้ประสาอะไรกับการผูกมัดบ้าๆนี่ที่เพียงไม่กี่วันกี่เดือนก็จืดจาง  ผู้หญิงสวยน่ารื่นรมย์  แต่ผู้หญิงสวยที่ไม่มีสมองไร้ประโยชน์ เป็นได้แต่เพียงเครื่องบำบัดความกระหายมันก็เท่านั้น 

           ธีรธรจิบเครื่องดื่มในมือ พลางมองไปรอบข้าง  ที่โต๊ะริมหน้าต่างในมุมสงบจุดหนึ่งของร้าน  ชายคนหนึ่งผมสีเทาด้วยอายุ กำลังนั่งหัวเราะร่ากับคนฝั่งตรงข้าม  ธีรธรเหลือบมองคู่สนทนาของชายสูงวัยคนนั้น  ร่างโปร่งบางกับเสื้อเชิ้ตขาวโดยมีเสื้อตัวนอกสีน้ำตาลพาดกับพนักเก้าอี้เบื้องหลังทำให้เขานึกถึงคนบางคน   



         

        พิรุณากำลังคุยกับอาจารย์ของตนที่ไม่เจอกันมานานอย่างออกรส  ท่านกำลังเล่าถึงเรื่องตลกๆที่เกิดขึ้นในวงออเครสตาที่ทำควบคุมอยู่ พลันสายตาพิรุณาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินกระแทกส้นเท้าออกไป ซึ่งโต๊ะที่เธอเดินจากมามีชายคนหนึ่งท่าทางคุ้นหน้าคุ้นตาเขานัก  นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นหน้าชัดๆพิรุณาถึงกับอ้าปากค้างก่อนจะรีบตะปบรายการอาหารใกล้มือมาเปิดบังหน้าตัวเองไว้จนอาจารย์สงสัยว่าอยู่เขาเป็นอะไร ท่านเคาะนิ้วลงบนเมนูที่พิรุณายึดไว้พลางตัวอย่างเหนียวแน่น   พิรุณายื่นหน้าออกมาจากหลังเมนูแบบเสียไม่ได้ แล้วส่งภาษามือให้

‘เราเปลี่ยนร้านกันตอนนี้จะยังทันไหมฮะอาจารย์’ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นทำหน้าสงสัย
‘ร้านนี้บรรยากาศไม่ค่อยดี  ผมอึดอัดน่ะฮะ’ คนเป็นอาจารย์ส่งภาษามือตอบศิษย์ แม้จะผิดๆถูกๆอยู่บ้างแต่ก็พอรู้เรื่อง

‘แต่เธอเป็นคนเลือกร้านนี้เองนะ’

‘ก็ตอนแรกตั้งใจจะหลอกอาจารย์ให้เลี้ยงข้าวแพงๆนี่นา  แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว  เราไปหาร้านถูกๆแต่อร่อยๆกินกันดีกว่า’

‘เอ้า แล้วแต่ฉันเป็นคนขอให้เธอพาเที่ยว ก็ต้องยอมเธอล่ะ’ชายสูงวัยลุกขึ้นแล้วหยิบเสื้อตัวนอกของตัวพาดแขน พิรุณารีบคว้าเสื้อตัวเองมาถือบ้างแล้วเดินออกไปพร้อมกัน พลางนึกไชโยโห่ฮี้วในใจว่ารอดแล้ว


         พิรุณาและอาจารย์ของตนกำลังยืนคุยกันอยู่หน้าลิฟท์เพื่อรอที่จะลงไปชั้นล่างสุด พิรุณาเหมือนจะเห็นที่หางตาว่ามีคนยืนเมียงๆมองๆอยู่ตรงนั้น  พิรุณาจึงหันไปมองอย่างเต็มตา เธอคือคุณลีนั่นเอง  พิรุณาออกจะแปลกใจที่พบเธอที่นี่ ไม่ใช่เพราะคิดจะดูถูกเธอ แต่คิดว่าเวลาขนาดนี้เธอน่าจะอยู่บ้านกับลูกและสามีของเธอแล้วต่างหาก  ลีแอนยิ้มให้พิรุณา เขาจึงยิ้มตอบอย่างยินดี แล้วแนะนำเธอให้อาจารย์รู้จัก 

“คุณนี่เองที่พิรุณาเล่าให้ฟังบ่อยๆ” ลีแอนยิ้มกว้างดวงหน้าเริ่มซับสีเลือดอย่างเขินๆ  เธอเองก็ไม่นึกว่าวาทยากรผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกจะทักทายเธออย่างเป็นมิตรถึงเพียงนี้

“ขอบคุณที่คอยดูแลลูกศิษย์งี่เง่าของผมนะครับ”ชายสูงวัยพูดอย่างสุภาพ

“มิได้ค่ะ  จริงๆแล้วดิฉันก็ไม่ได้ดูแลอะไรเท่าไหร่เลย  คุณปองผู้ช่วยคุณพิรุณาต่างหากละคะที่เป็นคนจัดการอะไรๆเสียส่วนใหญ่”

‘อาจารย์ ลิฟท์มาแล้วฮะ’ พิรุณาส่งภาษามือให้ชายสูงวัย แล้วหันมาโบกมือบ๊ายบายให้ลีแอนที่โบกมือตอบอยู่ไหวๆเช่นกัน  คนทั้งคู่ก้าวเข้าไปในลิฟท์แล้วประตูลิฟท์ก็ค่อยปิดลง พิรุณากดปุ่มที่มีเครื่องหมายตัวGแล้วถอยมายืนข้างอาจารย์  ทันใดนั้นประตูก็กลับเปิดขึ้นอีกครั้ง  ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในสูตรสีดำสนิทเข้ากับสีผมและดวงตาคมกล้าก้าวเข้ามาในลิฟท์ โดยมีคุณลีแอนก้าวยาวๆตามมา  พิรุณารีบซุกกายหลังผู้เป็นอาจารย์ทันทีที่เห็นชายคนนั้นอย่างถนัดตา มันจะตามมาทำไมฟะ

“สวัสดีครับมิสเตอร์ ฮอร์น คุณพิรุณา” น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลกล่าวอย่างสุภาพกับชายสูงวัยกว่า  โดยที่คำว่าพิรุณาออกจะเน้นหนักอยู่เล็กน้อย 

“สวัสดีครับ คุณคือ...”

“ผม ธีรธร  พาณิชยกิจวิโรจน์  ประธานกลุ่มบริษัท PVK.ครับ”

“อ้อ คุณคือสปอนเซอร์ คอนเสิร์ตที่เราจะจัดสินะครับ”ธีรธรได้ฟังก็ยิ้มน้อยๆ  เป็นรอยยิ้มเพื่อธุรกิจโดยแท้  ดวงตาสีม่านราตรีมองกลุ่มเส้นผมสีออกน้ำตาลแดงที่ซ่อนอยู่หลังชายสูงวัยอย่างเงียบเชียบ

“นี่คือลูกศิษย์ของผมเองคุณคงรู้จักกันแล้ว”ชายสูงวัยเบี่ยงกายออกจากการเป็นที่กำบังให้พิรุณา  ดวงหน้าขาวใสนั้นงอง้ำ ไม่ได้อยากจะเจอเล๊ย ไอ้คนเนี้ย  อาจารย์ใจร้าย

“สบายดีนะครับคุณพิรุณา” จากการอ่านปากของพิรุณาทำให้พอจะรู้ว่าธีรธรถามอะไร จึงได้แต่พยักหน้ารับทั้งที่ในใจตะโกนดังๆว่า  สบายดีกะผีดิ

“ไม่ทราบว่าทางร้านเราทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่าครับ? ผมเห็นพวกคุณเดินออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย เลยอยากสอบถามไว้ปรับปรุงน่ะครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เจ้าพิรุณาบอกว่าอึดอัด เลยอยากเปลี่ยนร้านเสียดื้อๆเท่านั้นเอง” ดวงตาคมกล้าหรี่มอง อึดอัดอย่างนั้นหรอ? พิรุณาหลบไปอยู่หลังอาจารย์ตัวเองอีกครั้ง แล้วเริ่มเขียนบางอย่างในกระดาษโน้ตสีนวลๆที่มักพกติดตัวเสมอ

ก็อึดอัดเพราะนายนั่นแหล่ะรู้ไว้ซะด้วย

            ธีรธรอ่านตัวอักษรในกระดาษสีนวลๆที่โผล่พ้นไหล่ผู้สูงวัยที่สุดในที่นี้แล้วมันคันปาก หมู่นี้ไม่ค่อยได้ต่อปากต่อคำกันเท่าไหร่เลย  ธีรธรยิ้มให้มิสเตอร์ฮอร์น พอผู้สูงวัยเผลอ เขาก็ถลึงตาให้คนตัวเล็กที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเสียทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้  สิ่งที่ได้กลับมาคือดวงหน้าขาวนวลๆนั้นกำลังทำลอยหน้าลอยตามาราวกับเด็กเล็กๆ  ลีแอนที่ลอบสังเกตการณ์อยู่นานหลุดขำออกมา ทำให้มิสเตอร์ฮอร์นสงสัย

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ไม่เป็นไรค่ะ  แค่คันคอนิดหน่อย”

“หากว่ามิสเตอร์ฮอร์นว่างละก็คืนนี้เชิญไปดื่มที่คลับของเราก็ได้นะครับ”ธีรธรเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างมีแผน พิรุณารีบดึงชายเสื้อของอาจารย์แล้วรีบส่ายหน้า

‘คืนนี้อาจารย์บอกว่าจะอยู่ดูผมซ้อมเปียโนนี่ฮะ ลืมแล้วหรอ?’

‘ไว้วันหลังก็ได้’

‘จะก๊งละสิ ผมจะโทรไปฟ้องคุณนาย’ พิรุณาส่งภาษามือให้อย่างเป็นต่อ  เพราะอะไรในโลกนี้อาจารย์ก็ไม่กลัว กลัวคุณนายคนเดียวนี่แหล่ะ 

‘คุณนายไม่อยู่หรอก  ไปฝรั่งเศสโน่น’

“เอาสิครับผมกำลังนึกอยากดื่มอยู่พอดี  คงจะดีมากถ้าคุณจะให้เกียรติเป็นเพื่อนดื่มให้ผม”

“ยินดีครับ เชิญ” ธีรธรผายมือให้ผู้สูงวัยกว่าออกจากลิฟท์ก่อนเมื่อมีเสียงสัญญาณบอกว่าถึงชั้นเป้าหมายแล้ว



         พิรุณานั่งทำหน้ากระเง้ากระงอดอีกครั้งหลังจากวันก่อนถูกบังคับให้นั่งหน้าคู่กับธีรธรเมื่อวันที่ย้ายเข้าบ้านใหม่  แต่คราวนี้เป็นการนั่งในคลับหรูระดับไฮโซห้าดาวและแน่นอนว่ามื้อนี้ไม่ต้องจ่าย เพราะเจ้าของคลับ  เอ๊ย โรงแรมนี่เลยต่างหาก  นั่งดื่มเครื่องดื่มสีอำพันคุยกับอาจารย์อย่างออกรส  ราวกับว่าพิรุณาและลีแอนไม่มีตัวตน  พิรุณาเบื่อเต็มทีที่จะต้องนั่งอยู่ตรงนี้โดยที่มีธีรธรอยู่ใกล้ๆ นัยน์ตาสีม่านราตรีนั้นเมื่อไหร่ที่มองมายังตัวเขา มันทำให้รู้สึกอึดอัด  คุณลีก็เช่นกัน อยากกลับไปหาลูกจะแย่อยู่แล้ ว  พิรุณาจึงแอบตกลงกับลีแอนว่าหลังจากนี้ไปยี่สิบนาทีถ้าสองคนนี้ยังก๊งไม่เลิกเขาจะกลับแล้ว  อาจารย์ก็อาจารย์ บอสก็บอส จะทิ้งให้เหมือนขยะเลย คอยดู!  พิรุณาที่กำลังเซ็งเต็มแก่ดื่มน้ำเมาในแก้วตัวเองไปเรื่อยโดยที่รู้สึกว่ามันไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อย  แล้วหยิบมือถือขึ้นมากดพิมพ์ข้อความหยอกล้อคุณลีที่ท่าทางจะเบื่อพอๆกันจนหัวเราะคิกคัก เวลาน่าเบื่อเริ่มไหลผ่านไปเรื่อยๆ จนธีรธรสังเกตเห็นจึงเอ่ยกับคู่สนทนา

“ดึกขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย”

“นั่นสิครับ  ผมเห็นทีต้องขอตัว”ผู้สูงวัยที่ดวงหน้าแดงซ่านด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ลุกขึ้นยืน  ทำให้ทั้งสามคนยืนตาม  พิรุณาทำท่าจะเก็บของเตรียมตามอาจารย์ไป

‘ไม่ต้องขึ้นไปส่งหรอกพิรุณา ขึ้นลิฟท์ไปก็ถึงห้องแล้ว กลับบ้านเถอะ’ พิรุณาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ช่างเป็นภาพที่น่าประหลาดสำหรับธีรธร

“เดี๋ยวผมไปส่งคุณพิรุณาให้ครับ  มิสเตอร์ฮอร์นไม่ต้องห่วงครับ”ธีรธรกล่าวอย่างสุภาพ  ชายสูงวัยยื่นมือขวามาให้ชายหนุ่มจับมือ พิรุณากอดอาจารย์ของตนทีหนึ่ง  อาจารย์กล่าวราตรีสวัสดิ์แก่คนทั้งหมดแล้วจากไป

“ดิฉันขอตามไปส่งมิสเตอร์ฮอร์นแล้วตรงกลับบ้านเลยนะคะ” ลีแอนรีบเสนอตัวก่อนจะก้าวยาวๆตามวาทยากรชื่อดังไปติดๆ  เหลือเพียงพิรุณาและธีรธรยืนอยู่เบื้องหลัง

“มองตาเยิ้มเชียวนะ” ธีรธรค่อนคนตัวเล็กกว่า  ถึงไม่ได้ยินพิรุณาก็รู้ได้ว่าชายคนนี้สื่ออะไร  พิรุณากดข้อความลงในมือถือแบบแค้นๆแล้วยื่นให้ธีรธรดู

คิดอกุศล  ขนาดหูไม่ได้ยินยังรู้เลย

         ธีรธรยิ้มขัน  ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองมากดบ้าง

รู้ใจจริงๆ  อยู่ดื่มต่ออีกหน่อยไหม?


ไม่  ผมจะกลับบ้านนอน  เมื่อคืนก่อนกลับมาตอนตี3แถมไม่ได้เมาอีกตะหาก

ก็นี่ไง  อยู่เมาเสียด้วยกันคืนนี้  พรุ่งนี้จะได้นอนยาว


         พิรุณาส่ายหัวดุ๊กดิ๊กอย่างเสียมิได้ แล้วนั่งลง พับฝามือถือตัวเองเก็บ  พลางมองมือใหญ่ๆของธีรธรรินน้ำสีอำพันใส่แก้วแล้วส่งให้ ก่อนจะรินของตัวเองพิรุณารับมาจิบ  ธีรธรยกแก้วของตนจิบบ้างเช่นกัน แล้วหยิบปากกาออกมาเขียนลงกับกระดาษรองแก้ว  ลายมือหนักเขียนด้วยปากกาหมึกแห้งสีดำสนิทตวัดหางแต่พองามถูกเลื่อนเข้ามาใกล้พิรุณา


คุณคงไม่ได้ดื่มแล้วล่ะ...มาโน่นแล้ว


         พิรุณาอ่านแล้วสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณ  ร่างโปร่งของปองเดินเข้ามาในคลับนี้อย่างคุ้นเคย  เสียงทักทายจากพนักงานรอบข้างทำให้ปองหยุดสนทนาด้วยบ้าง ก่อนจะเดินมายังมุมที่พิรุณาและธีรธรนั่งอยู่ก่อนแล้ว  พิรุณาเห็นปองก็ยิ้มให้  ก่อนจะเห็นคนที่เดินตามปองมา  ร่างสูงใหญ่นั้นดูเป็นเงาทะมึนน่ากลัว ดวงตาสีมรกตของเคนออกจะตัดพ้อเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองอีกคนที่อยู่ในที่นั้น  เคนขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดว่าเคยเห็นชายชาวเอเชียร่างสูงใหญ่คนนี้จากที่ไหน  ดวงตาสีม่านราตรีคมกล้ามองเคนเพียงครู่เดียวก่อนจะหันไปสนใจกับเครื่องดื่มในมือ  ชั่วแวบเดียวนั้นเองทำให้เคนระลึกได้ทันที  ไอ้หมอนี่มัน!


“นายใช่คนที่บ้านพิรุณาเมื่อวันก่อนหรือเปล่า?”เคนถามด้วยเสียงต่ำกว่าปรกติ  ธีรธรดูจะไม่ใส่ใจกับคำถามมากนัก

“ถ้าใช่แล้วไง”เสียงเข้มๆตอบกลับมาอย่างไม่แยแส

“นายมาอยู่กับพิรุณาได้ยังไง วันนี้พิรุณามากับอาจารย์เอ็ดเวิร์ดไม่ใช่หรอ?” เคนยิ่งคำถามใส่ ปองขยับตัวทำท่าจะเข้าไปตอบแทนอดีตนายจ้างตัวเอง  แต่มืออุ่นๆของพิรุณาคว้าไว้ นัยน์ตาสีสวยพราวอย่างนึกสนุก

“ใช่มิสเตอร์ฮอร์นมากับพิรุณาวันนี้  แต่มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยถ้าผมจะมาตรวจความเรียบร้อยกิจการของผมเอง” เคนอ้าปากเหมือนจะพูดแต่แล้วก็ชะงักไป ตะกี้พูดว่ากิจการของตัวเอง....ไอ้โรงแรมนี้มันของ PVK.ไม่ใช่หรอวะเนี่ย?



           พิรุณาเห็นปองทำหน้ายุ่งๆกับบทสนทนาระหว่างเคนกับธีรธรก็เลยนึกขำพลางเผลอซดโฮกน้ำสีอำพันในมือจนหมดแก้วอีกครั้งซึ่งพิรุณาเองก็ดูจะไม่ได้นับเหมือนกันว่าแก้วนี้เป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้ว  รู้เพียงว่าเริ่มรู้สึกมึนๆ และร้อนที่หน้า  ดวงตาสีน้ำตาลแดงฉ่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใบหน้าแตะแต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม  ปองหันมาเป็นท่าทางพิรุณาที่ดูแปลกไปจากปรกติก็รู้เลยว่าคนที่บ่นเมื่อตอนบ่ายว่ายังไม่ทันได้เมา ตอนนี้เมาสมใจอยากแล้ว  ปองดึงแก้วในมือพิรุณาออกเป็นเชิงว่าอย่าดื่มอีกเลย  แต่พิรุณาที่ดูจะรื่นรมย์ต่อทุกสิ่งยังต้องการดื่มมากกว่านี้ จึงคว้าแก้วใสใบนั้นกลับมาแล้วเติมน้ำสีอำพันนั้นลงไปอีก ก่อนจะจรดที่ริมฝีปากดื่มต่อไป


“คุณคือ ประธานกลุ่มPVK!!.”เคนพูดด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับจะหมดแรง  ธีรธรมองเคนอย่างนึกเยาะในใจ

“คุณคงเป็น ทายาทของอานิโมโต”ธีรธรกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย  ปองเริ่มทนไม่ได้กับบทสนทนาที่หาสาระไม่ได้  มัวแต่ถามชื่อแซ่กันอยู่นั่น  คุณพิรุณาเมาเละแล้ว   

“ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ?” ธีรธรถามอย่างใจเย็นมองเคนอย่างประเมิน จนเคนรู้สึกได้และเริ่มกรุ่นๆขึ้นมาแล้ว

“ผมมาตามเพื่อนกลับ”เคนตอบเสียงห้วนพยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้สงบไว้  การเป็นฝ่ายปะทุก่อนจะทำให้เสียเปรียบ...ซึ่งตอนนี้ก็เสียเปรียบมากอยู่แล้ว

“แค่เพื่อนเท่านั้นหรอกหรอ?” น้ำเสียงของธีรธรฟังดูเหมือนเยาะเสียมากกว่าจะถาม  ทำให้เคนหงุดหงิดมากขึ้น  รู้สึกอยากต่อยกับไอ้ประสาทตรงหน้านี่เต็มแก่

“ แล้วคุณล่ะ คงไม่ใช่แฟนพิรุณาแน่!!!”

“อนาคตตะหากล่ะเด็กน้อย”ธีรธรกล่าวกลั้วหัวเราะ

“มันจะมากไปแล้วนะคุณ!!” เคนเสียงแข็งเตรียมจะโดดเข้าใส่ธีรธร  ปองจึงรีบเข้าไปห้ามทัพ

“พอเสียทีเถอะครับ คุณพิรุณาเมาจะแย่แล้ว ทะเลาะกันเป็นเด็กๆไปได้ ไม่อายคนเขามั่ง” ปองพูดเสียงดังทำให้เคนและธีรธรเลิกแยกเขี้ยวใส่กัน  เคนจึงได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่าน ส่วนธีรธรก็ทำหน้าเซ็งๆแบบเสียเส้น


       พิรุณายิ้มหวานให้คนทั้งสาม  ร่างโปร่งบางๆนั้นลุกขึ้นกระโดดเกาะคอเคนซึ่งเป็นคนที่ยืนใกล้ตนที่สุด  ดวงหน้านวลใสนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆจมูกโด่งสวยของเคน  เคนยิ้มน้อยๆที่มุมปากอย่างเอ็นดูพลางใช้มือโอบคนตัวเล็กให้ยังทรงตัวอยู่ได้  ช่างเป็นภาพบาดตาบาดใจธีรธรนัก โดยลืมไปแล้วว่าปองอยู่แถวนี้และกำลังพยายามปลดแก้วเครื่องดื่มออกจากมือพิรุณา  ธีรธรมองดวงหน้านวลสวยนั้นคลอเคลียอยู่ใกล้ริมฝีปากของเคน ช่างเหมือนลูกแมวน้อยที่คลอเคลียอยู่กับเจ้าของเสียเหลือเกิน ช่างน่ารักน่าชังเสียจนอยากชิงมาไว้ในอุ้งมือตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด!




“บอสครับ ผมคงต้องพาคุณพิรุณากลับบ้านแล้วล่ะครับ  คุณเคนครับผมขออาศัยรถคุณกลับนะครับ คุณพิรุณาเมามากแล้ว”ปองรีบพูดก่อนที่จะยืดเยื้อไปกว่านี้พลางประคองพิรุณาให้ยืนตรงๆ เคนพยักหน้ารับ

“ขอตัวนะครับ”เคนกล่าวอย่างสุภาพให้ธีรธร ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเคนก็กรีดเสียงร้องขึ้น เคนรับก่อนจะชะงักนิ่ง แล้วเลี่ยงออกไปคุยยังมุมสงบและกลับมาสมทบกับปอง ดวงหน้าคมสันนั้นซีดอย่างน่ากลัว

“คุณปองผมคงส่งไม่ได้  ผมต้องรีบกลับอิตาลี เลขาผมโทรมารายงานว่าคุณแม่ของผมประสบอุบัติเหตุ ต้องกลับเที่ยวบินห้าทุ่มสิบห้า” ปองยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู  สี่ทุ่มสามนาที
“คุณไปเถอะครับ  ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ก็ได้” ปองกล่าวพลางหยิบเสื้อตัวนอกของพิรุณามากางออกแต่เมื่อเห็นว่าเคนทำท่าลังเลจึงรีบเอ่ยออกไปว่า

“ถ้าไม่รีบคุณจะไปไม่ทันนะครับ  ผมจัดการทางนี้ได้”ปองกล่าวเสียงเรียบ แล้วสวมเสื้อตัวนอกให้พิรุณาได้สำเร็จ   เคนสูดหายใจแรงๆครั้งหนึ่งแล้วหันหลังเดินก้าวยาวๆจากไป  ปองมองตามเพียงครู่เดียวก็รู้สึกว่าแขนของพิรุณากำลังเกาะคอตนเองบ้าง ดวงหน้านวลใสนั้นเคล้าเคลียอยู่ใกล้ๆ  ธีรธรเห็นแล้วขัดตาจึงรั้งแขนพิรุณามาใกล้

“คุณปองถือของตามมา” ธีรธรบอกเสียงเข้มแล้วลากตัวพิรุณาเดินลิ่วๆออกไป ปองจึงทำได้เพียงโกยของทุกอย่างของพิรุณามาถือไว้แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป



         ธีรธรจัดแจงให้พิรุณานั่งหลังแล้วกำชับปองให้คาดเข็มขัดนิรภัยให้พิรุณาด้วย  ก่อนจะเข้าประจำที่คนขับ   ปองเอื้อมมือมาจัดท่าให้พิรุณาซึ่งขณะนี้ดูจะสิ้นฤทธิ์กับการเลื้อยเกาะคนอื่นไปแล้วให้นอนสบายขึ้น    ปองเห็นบางอย่างที่ดวงหน้าขาวนวลๆนั้น  มันคือน้ำตาที่หยาดหยดลงอย่างเงียบเชียบ  ปองควานหาทิชชูออกมาแล้วซับให้อย่างเบามือ  ธีรธรที่มองจากกระจกมองหลังเห็นปองทำบางอย่างจึงถาม

“คุณพิรุณาเป็นอะไรหรือ  หรือว่าจะอ้วก”

“เปล่าครับ  แค่...น้ำตาไหล”ปองตอบด้วยเสียงเรียบๆ พลางซับน้ำตาที่ยังคงหยาดหยด

“ร้องไห้หรือ?” ปองรับคำสั้นๆ 

       หลายครั้งตลอดการเป็นโฮสต์ของปองเคยเห็นคนเมามาแล้วก็หลายรูปแบบ  แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนเมาแล้วร้องไห้กับตาตัวเอง   ว่ากันว่าคนที่เมาแล้วร้องไห้ แสดงว่าเขาซ่อนบางความทุกข์บางอย่างไว้ในใจ  พิรุณาเป็นคนร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสทำให้ปองแปลกใจว่าดวงหน้าที่แย้มยิ้มอยู่เสมอนั้นทำไมถึงได้ร้องไห้แบบนี้    แต่อีกใจหนึ่งก็หวนคิดถึงเหตุการณ์เรื่องร้ายๆของเขาที่พิรุณาเป็นคนประคับประคองให้ปองยืดหยัดได้ บางเวลาพิรุณาก็เด็กอย่างน่าเอ็นดู  แต่ในทางกลับกันนั้นก็เป็นผู้ใหญ่จนน่ากลัว นัยน์ตาคู่สวยนั้นสะท้อนแววบางอย่างที่เหมือนผ่านอะไรๆมามากมาย

“ผมต้องลงไปดูหรือเปล่า?”เสียงของบอสหนุ่มฟังนุ่มนวลกว่าทุกครั้งทำให้ปองยิ้มน้อยๆ

“ไม่เป็นไรครับ  ขับให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยก็พอ”

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #72 เมื่อ09-12-2007 20:58:36 »

เข้ามาเม้นต์ให้เสียเส้นเล่น 

1. มันรีบคาบข้อมือพิรุณาที่ได้จังหวะแล้วออกแรงยื้อนิดๆเช่นทุกครั้ง  = รบกวนคุณน้องช่วยแปลประโยคนี้ให้เจ้เข้าใจหน่อยได้มะ  อ่านแล้วไม่เข้าใจ  ขนาดพยายามแปลไทยเป็นไทยแล้วนะ  อิอิ

2. เจ้าหมายังพยายามยื้อร่างเจ้านายให้ลุกขึ้น = ไม่ทราบน้องเคยอ่านเรื่อง "มอม" ของอาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ ไหมเคอะ  ความแตกต่างระหว่าง "เจ้านาย" กับ "นาย" น่ะ มีนะ  แก้ไขดีไหมเอ่ย?  ประมาณว่า เจ้าหมายังพยายามยื้อร่างของนายมันให้ลุกขึ้น  อิอิ

3. “ทำไมหรือคะ  คริสตี้ก็คิดว่ามันก็เป็นความจริงนี่คะ” ธีรธรนึกในใจ จริงกะผีเดะ = ขยะ ในชิ้นงานของคุณน้อง  เอามันออกดีกว่าไหมเคอะ  เสียดายความสวยของสำนวนอื่นๆ ที่ทำได้ดีมาตั้งนานแล้ว


ส่วนอย่างอื่นไม่เม้นต์แระส์  เด่วคนเขียนจะงอน  ไม่ลงเรื่อง  ตาเฒ่าเรย์ได้ด่าเจ้อีก

กลุ้ม  เป็นโมบอร์ดนี้ต้องนอบน้อม กระด้างกระเดื่องไม่ได้  เด่วลูกเป็ดไม่พอใจมันด่าเราได้  แต่โมด่ามันกลับไม่ได้  ลบเม้นต์ที่มันด่าเราก็ไม่ได้  ต้องใจกว้างให้เค้าด่า อิอิ

ไปแระส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2007 21:21:22 โดย oaw_eang »

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #73 เมื่อ09-12-2007 23:38:03 »

คนอ่านคนเม้นต์น้อย ไม่เป็นไรค่ะ  เเต่เม้นต์ที่ได้มาเเต่ละครั้ง ก่อประโยชน์สำหรับเมศมาก
ขอบคุณสำหรับการวิจารณ์ตักเตือนอันละเอียดอ่อนของคุณ oaw_eang นะคะ เมศจะรับไปพิจารณาปรับปรุงเเก้ไข

ยังคงมีพิมพ์ตกพิมพ์หล่นเล็ดลอด ต้องเป็นคำว่าทันที ('ทัน'หายเสียอย่างนั้น)

เเละยังมีขยะหลุดมาด้วย อืม สองจุดทีเดียว

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ

ปล.คนเขียน เขียนไปไกลเเล้ว  ถ้าดองที่บอร์ดนี้เเสดงว่าคนเเปะอู้  หึหึหึหึ(เข็มทิศทองคำสนุกไหม 55+)



snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #74 เมื่อ10-12-2007 00:03:28 »

ปล.คนเขียน เขียนไปไกลเเล้ว  ถ้าดองที่บอร์ดนี้เเสดงว่าคนเเปะอู้  หึหึหึหึ(เข็มทิศทองคำสนุกไหม 55+)

 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:

ขอบคุณพี่สองแทนน้องเมศด้วยนะครับที่คอยตรวจนิยายให้น้องเมศ แล้วอย่าหนีหายไปนะครับโน้ตจะเอามาลงเรื่อยๆและช่วยกันตรวจเน๊าะทั้งพี่สองทั้งคนอ่านท่านอื่นและคนแปะ(แค่ตรวจคำผิดก็จะแย่แล้วเรา  ไม่ใช่ว่าผิดเยอะมากมายจนเหนื่อยแต่เพราะมีความสามารถทางภาษาอันน้อยนิดนัก T T) :m23:

มาต่อกานเลยเนาะ :a1:
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พิรุณาลืมตามองฝ้าเพดานอันคุ้นเคยก็ระลึกได้ว่าตนกำลังอยู่บนที่นอนของตัวเอง  ศีรษะหนักราวกับข้างในบรรจุตะกั่วไว้หลายตัน  แต่แม้ว่าจะรู้สึกอย่างนั้นพิรุณาก็ยังฝืนกายลุกขึ้นเดินโซเซไปตามทางเดินในบ้านตัวเอง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไม้ขีดที่หัวโตตัวลีบ  พิรุณาตะเกียกตะกายมาถึงห้องนั่งเล่นได้สำเร็จ กลิ่นหอมของกาแฟโชยมาแตะจมูกเป็นอย่างแรก   ต่อมาคือภาพเกรซกำลังยืนสีไวโอลินโดยมีโน้ตที่จับใส่รวมไว้เป็นแฟ้มเดียวตั้งพิงไว้กับโซฟา เธอสีไปพลางมองโน้ตไปด้วยพอสุดหน้าก็ใช้คันชักเขี่ยให้พลิกหน้าต่อไป พิรุณายิ้มขันกับท่าทางตลกๆของเพื่อน  ที่อีกด้านหนึ่งปองกำลังเดินเข้าๆออกๆห้องครัว โดยมีเจ้าหมาเดินตามต้อยๆ 

‘ตื่นแล้วหรอ   เห็นปองว่าเมื่อคืนเมาแอ๋เลย  แก้แค้นที่คืนก่อนต้องกระเตงฉันกับปองกลับบ้านหรือไง?’

‘ถูกต้องและคร้าบ’ พิรุณาส่งภาษามือให้อย่างอารมณ์ดี  ปองเดินออกจากห้องครัวมาเห็นเข้าพอดีจึงตรงรี่เข้ามาหาแล้วส่งภาษามือให้

‘แฮงค์หรือเปล่าครับ ปวดหัวไหม?’

‘ไม่เป็นไรแค่มึนนิดหน่อย’พิรุณาเดินไปนั่งที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ แล้วเปิด ปองเดินตามมาใกล้ๆ

‘ทานอาหารเช้าหน่อยนะครับ’ พิรุณาพยักหน้า

‘ขอกาแฟไม่ใส่น้ำตาลด้วย  อ้อ  ยกโหลกาแฟออกมาเลยก็ได้’   ปองทำหน้างงๆ

“พิรุณาของกาแฟไม่ใส่น้ำตาลล่ะสิ”เกรซส่งเสียงแซวปอง ก่อนจะเริ่มสีไวโอลินอีกครั้ง โดยมีเจ้าหมานั่งหูตั้งเป็นผู้ฟัง  แต่สีไปได้ไม่นานเสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นเกรซลดไวโอลินลงแล้วเดินไปเปิดประตูราวกับว่าเป็นบ้านตัวเอง  ในขณะที่พิรุณากำลังยัดแผ่นเกมส์เข้าไปในเครื่องเพลย์อย่างไม่ค่อยสนใจว่าใครจะไปใครจะมา


         ชายร่างสูงหนาผมสีดำสั้นชี้ๆดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวน้อยๆ ยืนอยู่หน้าบ้าน  ด้วยชุดหนังที่เขาใส่ทำให้ดูเหมือนพวกแก๊งซิ่งสิงห์นักบิดอยู่บ้างเล็กน้อย เกรซมองชายตรงหน้าแล้วอ้าปากค้าง  ไม่มีใครทำให้เธอตกใจได้เท่าชายคนนี้อีกแล้ว  เขาคือลีออง ซึ่งไม่ได้มาแค่คนเดียวยังมีชายสูงวัยอีกคนที่วันนี้แต่งกายแบบสบายๆถ้าไม่มีใครบอกคงไม่มีใครรู้ว่าตาลุงแก่ๆคนนี้คือหนึ่งในวาทยากรชื่อก้องโลก   เกรซเปิดประตูออกกว้างแล้วอ้าแขนโอบรอบคอลีออง ก่อนจะกอดเอ็ดเวิร์ด ฮอร์น แล้วเชื้อเชิญเข้ามาในบ้านทั้งที่ไม่ใช่บ้านเธอเลยแม้แต่น้อย  ส่วนเจ้าของบ้านตัวจริงกำลังตักผงกาแฟสำเร็จรูปใส่ลงในแก้วกาแฟตัวเองแบบไม่ยั้ง โดยมีปองยืนดูอยู่อย่างหวาดเสียวว่ากาแฟนั้นกินได้แน่หรือ  เสื้อหนังสีดำหล่นปุ๊ลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลออกแดง พิรุณาดึงมันลงจากหัวตัวเองแล้วแหงนหน้ามองเจ้าของเสื้อที่ยืนยิ้มเผล่ให้ด้วยหน้าโหดๆนั้น

‘สวัสดีลีออง  มาลากตัวเกรซกลับหรอ?’

‘ มาช่วยทำงานตะหาก’ลีอองตอบด้วยภาษามือที่กระท่อนกระแท่นเต็มที พิรุณาเห็นอาจารย์ตัวเองก็รีบลุกขึ้นอาจารย์เขกกะโหลกศิษย์รักให้หนึ่งที

‘ไหนใครงอแงเมื่อคืนว่าจะซ้อมๆ ทำไมวันนี้ยังนั่งเล่นเกมส์อยู่อีก’พิรุณายิ้มเหย

‘ซ้อมครับ ห้องอยู่ข้างใน’ พิรุณารีบซดกาแฟขมปี๋ให้หมด โยนจอยซ์ให้ลีอองเล่นต่อ  แล้ววิ่งหายเข้าไปในครัวเพื่อล้างแก้วโดยไม่ลืมตะปบไส้กรอกที่ปองทำไว้ให้เข้าปาก ก่อนพาอาจารย์ไปยังห้องซ้อม



         การเตรียมงานคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นในอีกประมาณสามเดือนหลังจากนี้เท่าที่พิรุณาเห็นพอจะบรรเทาความกังวลของเขาไปได้บ้างแล้วเพราะ ทุกคนดูจะรู้งานมาก่อนหน้านั่นคือ มีการคัดเพลงที่จะใช้ในการแสดงไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงบางเพลงเท่านั้นที่เกรซมอบหมายให้พิรุณาเลือกโดยเลือกเอาเฉพาะเพลงประกอบหนังจีนชุดที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เน้นเพลงที่ทำนองไม่ช้าไม่เร็วมากนัก ซึ่งในบรรดาเพลงที่คัดมาเกรซดูจะถูกอกถูกใจกับเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เป็นพิเศษ   แต่เพลงที่เด่นสะดุดตาพิรุณามากคือ The Butterfly Lover Concerto จำได้ว่าพิรุณารู้จักเพลงนี้ครั้งแรกด้วยแผ่นจีนแดงที่เพื่อนในวงBSO* (บางกอกซิมโฟนี ออเคสตร้า) ส่งมาให้เนื่องจากไปเดินเที่ยวแถวเยาวราชแล้วพบเข้าพอดีเลยหวังดีซื้อเผื่อเพราะสนนราคาไม่แพงเลยเนื่องจากเป็นแผ่นจีนแดงแท้ๆ  แต่บรรเลงได้หมดจดหยดย้อยทีเดียว  เพลงนี้เป็นเพลงที่ไพเราะมากลักษณะการบรรเลงเป็นแบบดับเบิลคอนแชร์โต้ คือเป็นคอนแชร์โต้สำหรับไวโอลินและเชลโล่ ที่มาของเพลงนี้มาจากอุปรากรจีน ซึ่งพิรุณาก็มีเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง และโยนใส่กระเป๋าเกรซแล้วเรียบร้อย



         พิรุณาเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นพบว่าเกรซกำลังนั่งดูหนังเรื่องดังกล่าวอยู่ที่หน้าทีวีโดยมีอาจารย์และลีอองขนาบข้าง พิรุณาสังเกตเห็นว่ามีแขกคนอื่นอีกคือนักโอโบ วิโอล่า  และนักเชลโลซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนของเขาทั้งนั้นนั่งรวมๆอยู่ด้วย ใครหาที่เบียดไม่ได้ก็นั่งกับพื้น โดยมีปองส่งกล่องทิชชูให้คนที่ส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความคัดจมูกจากการดูหนังเศร้า  พิรุณายิ้มขันเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้เศร้ามากซึ่งเขาเองดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจมากนักเพราะมีเนื้อหาเกี่ยวกับประเพณีจีนซึ่งพิรุณาแทบไม่รู้อะไรเท่าไหร่นัก  แต่พอรู้เรื่องคร่าวๆ

        นางเอกด้วยความว่าสมัยโบราณไม่สนับสนุนให้ผู้หญิงเรียนหนังสือแต่เธออยากเรียน  จึงได้ปลอมตัวเป็นชายเข้าไปเรียนหนังสือในวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จนได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาเขาดูจะเป็นคนเดียวที่ยอมคบหาสมาคมกับเธอ ซึ่งคนอื่นๆมองว่าเป็นผู้ชายที่ตุ้งติ้งเหลือเกิน     แต่เรื่องก็เศร้าน่ะนะระหว่างที่พระเอกนางเอกรักกัน พร้อมๆกับที่จะจบการศึกษา  นางเอกก็ถูกตามตัวกลับบ้านให้ไปแต่งงาน   พระเอกพอรู้ว่าคนรักของตัวเองแต่งงานกับคนอื่นก็หัวใจสลายจนตาย  บังเอิญในวันแต่งงานขบวนเจ้าสาวของนางเอกผ่านหลุมศพของพระเอก  เธอเห็นดังนั้นจึงกระโดดลงจากเกี้ยวร้องไห้เสียยกใหญ่ปานจะขาดใจ  พร้อมกับอธิฐานว่าชาติหน้าขอให้ได้เคียงคู่กันตลอดไปไม่พลัดพราก  ช่วงที่นางเอกกำลังใกล้จะหมดลมเต็มที ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมา เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ทำให้ร่างของคนทั้งคู่กลายเป็นผีเสื้อโบยบินไปพร้อมกัน  พิรุณาคิดว่าหนังเรื่องนี้ควรจะให้คอนดักเตอร์ได้ดูด้วย เพราะจะต้องเป็นคนตีความเพลงทั้งหมด  เพลงจะออกมามีความหมายอย่างไรขึ้นกับคอนดักเตอร์คนนั้นๆตีความ  เพลงเดียวกันตีความได้หลายแบบดังนั้นต้องตีความให้ดีและเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับเพลงนั้นๆ  ไม่เช่นนั้นอาจเปลี่ยนเพลงหวานซึ้ง เป็นตื่นเต้นอย่างกับยุคตื่นทองก็เป็นได้

“เกรซเธอเปิดหนังอะไรอ่ะ เศร้ามากเลยฉันไม่ได้มาบ้านพิรุณาเพื่อร้องไห้นะ” ทีน่านักวิโอล่าปาดน้ำตาป้อยๆ

“ไม่รู้ ก็พิรุณายัดใส่กระเป๋าฉันนี่นา” เกรซเถียงด้วยเสียงอู้อี้ ก่อนจะรับทิชชูจากลีอองมาสั่งน้ำมูกเสียงดัง

“จะจบหรือยังเนี่ย” นักโอโบหนุ่มนามอเล็กซ์ถามเบาๆ พอเห็นว่าเพลงจบดังขึ้นแล้วก็ถอนใจโลกอก ก่อนหันมาเห็นพิรุณาที่ยืนยิ้มอยู่ที่มุมห้อง  ด้วยดวงตาแดงก่ำ

“ตัวดีมาเเล้ว นั่นไง”

‘หนังเป็นไง  สนุกหรือเปล่า?’พิรุณาถามยิ้มๆ โดยมีปองช่วยแปลเป็นคำพูดให้กับสมาชิกใหม่บางคนที่ไม่สันทัดภาษามือเท่าไหร่

‘สนุกจนน้ำตาไหลเลย’เกรซส่งภาษามือตอบ 

‘ดูหนังจบแล้วก็มาประชุมกันดีกว่า’ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

‘ตกลงว่าเราจะเล่นแบบบิ๊กแบนด์หรือว่าอะไร?’

‘ฉันอยากเล่นบิ๊กแบนด์* นะ  แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าทำยังไงเราถึงจะได้คนครบ’ เกรซออกความเห็น

“เราต้องใช้คนเยอะพอสมควร  แต่จะให้ไปชวนเพื่อนๆเราที่เล่นอาชีพมาช่วยทุกคนคงทำได้ยากน่ะนะ” เทรส นักเชลโล่บอกพลางยักไหล่

“แล้วถ้าเรายืมคนจากวงท้องถิ่นล่ะ”

‘ไม่ได้หรอก  เพราะว่าอีกสามเดือนข้างหน้า วงของที่นั่นก็จะจัดงานเหมือนกัน’พิรุณาส่งภาษามือโดยมีปองแปลเป็นคำพูดให้แทบจะเรียกได้ว่าเหมือนซับไตเติลเลยทีเดียว

“เราเคยมีโปรเจคนักเรียนนี่หว่า”อเล็กซ์ร้องขึ้น ทำให้ทุกคนหันมาเป็นตาเดียว

“วงของนักเรียนวิทยาลัยดนตรีนะหรอ?”ลีอองกล่าว ในดวงตามีเค้าเห็นด้วย

“ของที่นี่เราไม่เคยติดต่อไว้นะ  แต่ถ้าของจีนล่ะมีชัวร์เพราะปีก่อนเราเพิ่งไปกันมา พิรุณาไม่ได้ไปด้วย เด็กที่นั่นใช้ได้เลยล่ะ”ทีน่ากล่าวยิ้มๆอย่างเห็นด้วยและมีความหวัง 

“ติดต่อต้นสังกัดดิ ให้ทางนั้นเค้าคัดตัวไว้ก่อนเลยแล้วส่งมาให้เรา” เทรสสะกิดเกรซแหยงๆ  เพราะเกรซดูจะเป็นคนเดียวที่พอจะคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ของต้นสังกัดได้

“ส่งมาให้เราหรอเทรส  รู้ไหมว่าการส่งคนเป็นสิบข้ามประเทศเนี่ยมันเรื่องใหญ่ขนาดไหน ใช้เงินเท่าไหร่  เขาคงอนุมัติหรอก”เกรซเริ่มเอาเสียงดังเข้าข่ม

‘เราก็ไปเสียเองสิ เราคนน้อยกว่าอยู่แล้วเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ไม่แปลก  ทางสปอนเซอร์เองก็ตกลงใจกันไม่ได้ว่าจะจัดที่นี่หรือที่จีนดีไม่ใช่หรอ เราก็ชิงไปก่อนเลยแล้วถ้าเขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะจัดที่ไหนเราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินอีก’ พิรุณาเสนอความคิดเห็นเจ้าเล่ห์บ้างทำให้ทุกคนพยักหน้ายอมเจ้าเล่ห์ตาม

‘เหลือแต่อาจารย์นี่แหล่ะ ตอนนี้สื่อกำลังวิจารณ์อาจารย์ว่ากำลังเล่นขายของกับเด็กๆอย่างพวกเราอยู่’

       ทุกคนหันไปหาชายสูงวัยที่สุดที่อย่างขอคำตอบ  เพราะตั้งแต่เริ่มคุยกันมา ผู้สูงวัยที่สุดยังไม่ได้เอ่ยปากอะไรเลย  เอาแต่กอดอกนิ่งศีรษะตกลงเหมือนคนตั้งหน้าตั้งตาคิดอะไร  พิรุณาหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปิดเสียงที่เคยอัดไว้ แล้วยื่นไปใกล้หูอาจารย์ เสียงแผดร้องของผู้หญิงมีอายุก็ดังขึ้น  ‘เอ็ดเวิร์ด  ฮอร์น!!!!!’   ทุกคนกลั้นยิ้มทันทีที่เจ้าของชื่อผวาลุกขึ้นมองหาต้นเสียง  เพราะเสียงนี้เป็นเสียงที่ทั้งรักทั้งกลัวเลยล่ะ  มันจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกเสียจากคุณนายฮอร์นนี่แหล่ะ  ทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่า ศิษย์อาจารย์คู่นี้ร้ายกาจพอๆกันเลย ถนัดนักเรื่องแกล้งชาวบ้านเนี่ย


‘ตะกี้ถึงไหนนะ?’

‘ถึงตรงที่ว่าอาจารย์จะไปจีนกับพวกเราไหมฮะ  สื่อตอนนี้กำลังคิดว่าอาจารย์จะเล่นขายขนมกับพวกเรา’

‘ช่างหัวสื่อสิ แต่จะตามไปเมื่อไหร่ต้องขอเวลานิดนึง’

‘ไปปรึกษากับคุณนายก่อนสินะฮะ’ พิรุณาพยักหน้ารับหงึกหงักเข้าใจ อย่างน่าหมั่นไส้

“โด่  ที่แท้ก็กลัวเมีย”อเล็กซ์พึมพำ ทำให้เพื่อนๆขำกลิ้ง




         ธีรธรเปิดมือถือตัวเองออกมาขณะที่รถติดไฟแดงอยู่แถวสี่แยกใหญ่  กดเข้าโหมดแกลลอลีภาพ ก่อนจะเลื่อนดูภาพล่าสุดที่เมื่อคืนถ่ายไว้  ภาพดวงหน้าขาวนวลกำลังหลับตาพริ้ม เส้นผมสีน้ำตาลแดงกระจายเต็มหมอนทำให้ธีรธรแอบอมยิ้มกับตัวเอง   เมื่อคืนนี้เขาพาพิรุณาที่เมาหลับไปในรถมาส่งบ้าน  หลังจากปองพยายามประคองร่างพิรุณาที่ปวกเปียกกลับเข้าบ้านทำให้ธีรธรรู้สึกขัดตาจึงเข้าไปช่วยอุ้มพิรุณาไปส่งให้ถึงห้องนอน แล้วโยนแปะลงบนเตียง  ปองเดินหายไปจัดการกับเจ้าหมาที่หิวไส้กิ่ว  เขาจึงต้องรับหน้าที่ดูแลพิรุณา  มือใหญ่เอื้อมไปปลดกระดุมบนออกสองเม็ดให้คนตัวเล็กนอนสบายขึ้นแล้วดึงเสื้อออกจากกางเกงให้ด้วย  ปองเอาอ่างเล็กพร้อมผ้าชุบน้ำหมาดเข้ามาขณะที่กำลังจะเช็ดให้นั้นเสียงแฟกซ์ก็ดังขึ้นทำให้ต้องพละออกไป  ธีรธรจึงต้องรับหน้าที่แทนอีกครั้ง  เขาบรรจงเช็ดหน้าให้คนเมาแอ๋ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วเช็ดแขนให้  ส่วนที่อื่นๆนั้นขอสารภาพว่าไม่กล้าเช็ดให้  รอปองมาจัดการดีกว่า ธีรธรจึงได้มองดวงหน้าขาวๆนั้นอย่างถนัดถนี่จนเขาอดไม่ไหวต้องหยิบมือถือมาถ่ายภาพเก็บไว้...... เสียงแตรจากรถคันหลังทำให้บอสหนุ่มหลุดจากภวังค์ หากเป็นเวลาปรกติเขาคงหัวเสียหงุดหงิด  แต่คราวนี้เขากลับยิ้มขันๆให้ตัวเองที่หมู่นี้ชักเป๋อๆอย่างไรชอบกล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2007 04:29:01 โดย snowblack »

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #75 เมื่อ10-12-2007 03:26:34 »

ตอนนี้พระเอกน่ารักดี

อ่านแล้วอมยิ้มเลย อิอิ

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #76 เมื่อ10-12-2007 04:26:45 »

เราว่าเราแปะครบแล้วพอแก้ปุ๊ปหายเลย เอามาแปะใหม่ให้ครบก็ด่ะ  :m16:
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
‘ คุณเคนส่งแฟกซ์มาให้เมื่อบ่ายนี้ครับ’ ปองยื่นแฟกส์ยาวเป็นหางว่าวให้พิรุณาหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ   พิรุณากวาดตาอ่านบ้างข้ามบ้างเนื่องจากมันยาวเกินความสูงของพิรุณาด้วยซ้ำ  ในเนื้อความไม่มีอะไรเลยนอกจากขอโทษขอโพยที่ไปส่งพิรุณาไม่ได้  กับบ่นว่าต้องรีบกลับอิตาลีเพราะคุณแม่ประสบอุบัติเหตุเล็กน้อยเอวเดาะ แต่เลขารายงานเสียเป็นเรื่องใหญ่ 

         

       พิรุณาเดินกลับไปเขียนแฟกซ์ส่งกลับไปให้เคน ด้วยการสรุปเหตุการณ์ปัจจุบันแบบประหยัดน้ำหมึกสุดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องซ้อมที่ดูจะแออัดไปถนัดตาเมื่อมีคนถึงห้าคนอัดตัวกันอยู่ในห้องโดยรวมเขาเป็นคนที่หก  ส่วนอาจารย์นั้นกลับที่พักแล้วเนื่องจากพรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีกงานหนึ่งซึ่งเป็นงานสุดท้ายของฤดูกาลนี้  นักดนตรีทั้งหลายต่างกำลังซ้อมเพลงตรงหน้าตัวเองจนเสียงดังล้งเล้งตีกันวุ่นวายไปหมดไม่เว้นแม้แต่ลีอองที่ถึงจะเป็นคอนดักเตอร์แต่ด้วยความเบื่อหน่ายก็พกแบนโจ*มาเล่นฆ่าเวลาด้วย  จนปองต้องเอื้อมมือไปปิดประตูไว้ ด้วยเกรงว่าข้างบ้านจะมาทุบประตูด่าเอา พิรุณาเดินไปนั่งหน้าเปียโนแล้วเริ่มซ้อมของตัวเองบ้าง

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย  เปิดท้ายขายของกันหรือไง?”เสียงเข้มของธีรธรดังจากข้างหลังปอง

“เปล่าครับ เขามาซ้อมดนตรีกันต่างหาก”

“ด้วยเสียงที่ตีกันขนาดนี้เนี่ยนะ” ธีรธรมองผ่านกระจกใสเข้าไปเห็นทั้งหกคนต่างคนต่างซ้อมอย่างเมามันส์  ทุกคนมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ

“ขอต้อนรับสู่โลกของคุณพิรุณาครับ” ปองกล่าวยิ้มๆ 



         ปองกำลังเตรียมอาหารว่างใส่จานสำหรับ8ที่อยู่ในครัว  ธีรธรกำลังนั่งเล่นกับเจ้าหมาอยู่ในห้องนั่งเล่น  เสียงดนตรีที่สอดคล้องกันอย่างสวยงามแม้จะขาดเสียงของเหล่าเครื่องทองเหลืองและเครื่องตีไปบ้าง  เล็ดลอดออกมาจากห้องซ้อมเก็บเสียงที่ปิดประตูไม่สนิท  ธีรธรเดินตามเสียงนั้นเข้าไปถึงห้องด้านใน โดยลืมสังเกตไปว่าห้องนั่งเล่นวันนี้กว้างกว่าปรกติเพราะชั้นหนังสือขนาดใหญ่ทั้งสองหายไปเพราะถูกเลือนออกทั้งสองข้าง  ธีรธรมองเข้าไปในห้องซ้อมเห็นร่างหนาๆของชายคนหนึ่งในชุดหนังยืนหันหลังให้  กำลังทำมือโบกไปมาแม้ว่าในมือจะไม่มีไม้บาตอง  นักวิโอล่าและนักโอโบกำลังเล่นคลอไปกับเสียงส่วนรวมเช่นเดียวกับพิรุณาที่เล่นคลอประสานอยู่เบาๆ  ปล่อยให้เทรสโซโล่เชลโลอย่างสนุกมือเสียงเชลโช่ทุ้มๆนั้นบรรเลงด้วยสำเนียงหนักแน่นหากค่อนข้างเศร้า  เมื่อเทรสค่อยๆรามือลงแล้ว เกรซก็โซโล่บ้างๆเธอเป็นนักดนตรีคนเดียวที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้   ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงและล้ำลึก  ดูราวกับว่าเป็นคนละคนกับแม่สาวผมแดงขี้เล่นวันนั้น  เสียงไวโอลินแว่วหวาน    หากเฉียบคมกำลังบรรเลงอย่างเศร้าสร้อยเสียงที่ออกมานั้นราวกับเสียงสะอื้นปานจะขาด  จนผู้ฟังรับรู้ถึงความทรมานที่แฝงอยู่ในเสียงนั้น  ทำให้ธีรธรประจักษ์ในฝีมือของเกรซว่ายอดเยี่ยมสมเป็นมืออาชีพจริงๆ 


       ว่ากันว่าไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่มีวิญญาณ และเป็นเครื่องดนตรีปีศาจ  นักไวโอลินฝีมือเยี่ยมมักถูกกล่าวหาว่ามีปีศาจอยู่ในร่าง   ถ้าเขาจะขอยืมใช้ ‘ปีศาจ’ ไปพิชิตใจบางคนจะได้ไหมหนอ?....
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ห้าแล้วหวังว่าเพื่อนๆจะชอบกันนะครับ :m13:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #77 เมื่อ10-12-2007 11:50:16 »

ถูกใจที่สุด ขยันอัพน่ะค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ชอบเรื่องนี้มากมาย

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #78 เมื่อ10-12-2007 16:31:19 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #79 เมื่อ11-12-2007 00:01:53 »

ถูกใจที่สุด ขยันอัพน่ะค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ชอบเรื่องนี้มากมาย
เป็นกำลังใจให้ครับ

น่ารักจังสองคนนี้  :m3: :m3: :m1: :m1: :give2: :give2: :o8: :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
« ตอบ #79 เมื่อ: 11-12-2007 00:01:53 »





snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #80 เมื่อ11-12-2007 00:35:56 »

มาต่อตอนต่อไปแล้วคร้าบบบบบ.... :m11:

(ช่วงนี้ขยันอัพผิดวิสัยเน๊าะ :m23:)

(เพราะมีคนอยากอ่านงายยยไม่ใช่ที่น้องเมศพูดซะหน่อย....ร้อนตัว o17)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO   chapter# 6



         คณะของพิรุณามาถึงประเทศจีนเมื่อสองสัปดาห์ ก่อนในฐานะอาจารย์รับเชิญพิเศษ  ซึ่งเหล่าอาจารย์ ‘ผู้มีเกียรติ’ ที่มักจะมาทำโครงการพัฒนาคุณภาพนักศึกษาวิชาดนตรีเสมอทุกปีกำลังอยู่ในความสนใจของนักเรียนนักศึกษาที่นี่  เพราะปีนี้มีนักดนตรีดังๆมาด้วย และไม่เพียงเท่านั้น  ผู้ที่พบเห็นตัวจริงมาแล้วลือกันปากต่อปากว่า ทุกคน น่ารักมาก   โดยเฉพาะคุณพิรุณากับคุณเกรซ ข่าวลือนี้เองทำให้นักศึกษาแม้จะต่างสถาบันก็อยากจะมาร่วมโครงการด้วยจนเกิดโกลาหลเล็กน้อยเรื่องการขอเข้าร่วมโครงการ  ในวันแรกที่มาถึงทุกคนถูกเชิญไปที่หอประชุมเพื่อแนะนำตัวแก่นักศึกษา เสียงปรบมือดังกระหึ่มที่ต้อนรับเหล่าผู้มาใหม่ทั้งหลายทำให้ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุข  ก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้ามาสเตอร์คลาสของตัวเองตามเครื่องดนตรีที่ตนถนัด


         ปองต้องติดตามพิรุณาชนิดทุกฝีก้าวเพราะอยู่ที่นี่เขาต้องเป็นปากและหูให้พิรุณา  อย่างที่พิรุณาแนะนำตัวทุกคนในหอประชุมในวันแรกที่มาถึง แต่มันก็เป็นงานหนักมากสำหรับปอง เพราะเขาไม่มีความรู้ด้านดนตรีเลย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมาก ปองสามารถช่วยได้เพียงแค่แปลเป็นคำพูดอธิบายพื้นๆเท่านั้น  หากเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นพิรุณาจะเขียนสัญลักษณ์ซึ่งรู้กันของนักดนตรีลงในโน้ต แล้วเขียนอธิบายสั้นๆ ด้วยดินสอ เช่นตอนนี้พิรุณากำลังเขียนตัวอักษรลงระหว่างโน้ตสองบรรทัดด้วยตัวอักษร pp    แล้วลากเส้นเป็นเครื่องหมายเหมือนเครื่องหมายน้อยกว่า ก่อนจะส่งภาษามือให้ปองแปล

“ตรงนี้ต้องเล่นเบาๆแล้วค่อยดังขึ้น ส่วนตรงที่ต้องเสียงดังใช้แรงจากทั้งแขนนะครับอย่าใช้แค่ที่มือ”ปองอธิบายตามที่พิรุณาส่งให้ด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าหญิงสาวคนนี้จะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

“นอกนั้นใช้ได้แล้วนะครับ” หญิงสาวคนนั้นพยักหน้ารับแล้วกล่าวขอบคุณแล้วลุกจากหน้าเปียโน  อาจารย์ผู้รับผิดชอบกระซิบปองว่าหมดเวลาแล้วเขาจึงหันไปสบตากับพิรุณา  พิรุณาพยักหน้ารับทราบดวงหน้านั้นมีเค้าเหนื่อยเล็กน้อย

“วันนี้พอแค่นี้นะครับ  ขอบคุณทุกคนมากที่ตั้งใจกันขนาดนี้” เสียงปรบมือจากเหล่านักเรียนของวันนี้ดังขึ้นเกรียวกราวก่อนจะทยอยกันออกไป

‘เหนื่อยมากไหมครับ  ไปซ้อมกับวงไหวหรือเปล่า?’ปองถาม โดยพิรุณากำลังพยายามเกาที่ใบหูซึ่งใส่เครื่องช่วยฟังไว้จนแดงไปหมด

‘ไม่เป็นไร  แต่ไอ้นี้มันคันชะมัด’ พิรุณาแงะมันออกจากหูให้เกาได้สนุกมือขึ้น

‘อย่าเกาแรงสิครับ เดี๋ยวหลุดออกมาละแย่เลย’ ทั้งคู่ต่างหัวเราะขำขัน ก่อนจะเดินเคียงกันออกจากห้องเรียนนี้ไป โดยพิรุณาเอาเปรียบอยู่หน่อยตรงที่กระโดดโดยใช้ไหล่ปองเป็นหลักเพราะตัวพอๆกันแล้วทิ้งน้ำหนักตัวเขาลงบนไหล่ปองเช่นนี้ไปจนปองเซเกือบล้มจึงหยุด

‘อย่าแกล้งกันสิครับ เดี๋ยวเอาคืนซะเลย’

‘แน่จริงก็เอาสิ’ ปองอมยิ้มให้กับแผ่นหลังบางๆที่เจ้าตัวรีบจ้ำอ้าวไปก่อนปองจะเอาคืนจริงๆ




         เสียงดนตรีกระหึ่มจากจากหอประชุมวิทยาลัยดนตรี ทำให้เหล่านักศึกษาที่เดินไปเดินมากันขวักไขว่ชักเริ่มๆจนสนใจว่าที่ข้างในนั้นมีอะไร  เพราะเสียงที่ซ้อมวันนี้มันช่างต่างจากวันก่อนๆไปโดยสิ้นเชิง  ถึงแม้ว่าการมีเสียงดนตรีมาจากหอประชุมนี้จะเป็นเรื่องปรกติวิสัยก็ตามที เนื่องจากวงของวิทยาลัยก็ซ้อมที่นี่  แต่ไม่ใช่กับคราวนี้ที่มีเสียงเครื่องดนตรีจีนอ่อนหวานบรรเลงเคล้าเคลียไปกับเครื่องดนตรีสากล  ที่นั่งในหอประชุมเริ่มถูกจับจองโดยผู้ที่สนใจเสียงดนตรีดังกล่าว  ที่เวทีดังกล่าววงออเคสตร้ากำลังบรรเลงเพลงที่นักศึกษาที่นี่ออกจะรู้จักดีว่าเป็นเพลงอะไร เนื่องจากผู้ประพันธ์เพลงนี้ก็เป็นเคยนักศึกษาที่นี่เช่นกัน  แม้จะหลายสิบปีล่วงไปแล้วแต่ทุกคนยังจำได้ 

       พิรุณาและปองเดินลัดเลาะไปตามช่องทางเดินด้านริมซ้ายสุดของหอประชุมเพื่อจะขึ้นไปสมทบกับเพื่อนที่ตอนนี้กำลังซ้อมร่วมกับวงนักเรียน โดยพิรุณารอจนกว่าจะหยุดบรรเลงในท่อนนั้นดูจนนักดนตรีลดเครื่องดนตรีลงแล้วฟังลีอองซึ่งเป็นคอนดักเตอร์อธิบายแก้ไขว่าจุดใดบกพร่องจึงค่อยขึ้นไปประจำที่เปียโนด้านข้างซ้ายมือสุดของวง แล้วยิ้มเก้อให้ทุกคนรวมทั้งคอนดักเตอร์หน้าดุที่ส่งสายตาเป็นเชิงตำหนิ  ลีอองยกไม้บาตองขึ้นอีกครั้งเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังแทรกขึ้น ทำให้คอนดักเตอร์เกิดอาการหัวเสียทิ้งมือลงราวกับหมดแรง หน้าโหดๆนั้นยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นอีก

“พักสิบห้านาที!”เสียงแหบห้าวนั้นประกาศกร้าวอย่างน่ากลัวทำให้ทุกคนตัวสั่นงันงกกันไปหมด โดยเฉพาะเจ้าของโทรศัพท์

“ไม่เอาน่าลีออง ทำหน้าโหดแบบนี้เด็กก็กลัวหมดสิ” เกรซที่นั่งอยู่ในตำแหน่ง Concert Master *(หัวหน้าวง)ซึ่งใกล้กับลีอองที่สุดพูดขึ้น  ในขณะที่ผู้ร่วมวงคนอื่นๆบ้างลุกจากที่นั่งบ้างจับกลุ่มคุยกัน

“ก็มันหงุดหงิดนี่ ทำทุกคนเสียสมาธิหมด”

“มันก็จริง  แต่เขาเป็นเด็กนะ นี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่ได้ร่วมวง”

“แล้วไง”

“แล้วไงล่ะ  ก็อภัยให้เขาไปเถอะ แค่ลีอองมองเขาก็กลัวหัวหดแล้ว”

“เธอก็อย่างงี้ทั้งปี  ถึงได้เอาแต่เหลวไหลอยู่แบบนี้ไง”ลีอองเถียงโดยวกเข้าเรื่องส่วนตัวของเกรซตรงๆ เกรซหน้าชา

“ใช่! ฉันยอมรับว่าเหลวไหล  แต่ไม่เห็นต้องต่อว่าฉันต่อหน้าคนอื่นๆเลยนี่” เกรซเถียงบ้าง เธออยากจะลุกขึ้นแล้วเอาไวโอลินฟาดลีอองสักที  หรือไม่ก็เอาคันชักแทงให้ทะลุถึงด้านหลังเสียให้รู้แล้วรู้รอดกันไป!!!

“ทำไมเธอถึงไม่ช่วยดูเด็กในพาร์ทเธอบ้าง  เด็กนั่นสีเพี้ยนไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

“จะต้องให้ฉันบอกอีกสักกี่ครั้ง  ว่าเขาเพิ่งจะมาซ้อมร่วมกับพวกเราจะให้เล่นได้เลิศเลอเพอร์เฟคล่ะก็ ไปคัดคนมาใหม่สิ  อีกอย่างนะเด็กนั่นก็ไม่ได้ฝีมือเลวร้ายอะไร  ถ้าเป็นโรคประสาทพอหงุดหงิดแล้วคุมตัวเองไม่ได้ละก็ออกไป!!!” เกรซใช้คันชักในมือชี้หน้าลีอองอย่างน่าหวาดเสียวว่าจะจิ้มเข้าให้ แล้วชี้ไปที่ประตูทางออกหลังจากพูดจบ   ลีอองเดินหุนหันออกไปเกรซจึงถอนใจยาวปลอบใจตัวเองว่า เย็นไว้ๆ ทำงานก่อน อย่าสติแตกตามกันไป ถึงงานมันจะจี้เข้ามาแล้วก็เหอะ เสียงMoonlight sonata ของบีโธเฟ่น บรรเลงโดย ‘บีโธเฟ่นผู้น่ารัก’ ลอยมากระทบโสต เกรซหันขวับ

“ยังไม่มีใครฆ่ากันตายเสียหน่อย!” เสียงหัวเราะจากคนอื่นๆทำให้บรรยากาศเป็นมลพิษเมื่อครู่จางหายไปอย่างรวดเร็ว กลับมาสดชื่นเหมือนเดิม (* เพลง Moonlight sonata ถูกใช้ประกอบในฉากหนังฆาตกรรมบ่อยครั้ง)

“มาซ้อมกันต่อเถอะ” เกรซกล่าวด้วยอารมณ์ที่กลับมาดีเหมือนเดิม เธอเริ่มให้คำแนะนำกับนักไวโอลินคนอื่นที่ด้อยประสบการณ์กว่า  พิรุณายิ้ม เกรซเหมือนคนสองบุคลิก แต่แยกแยะถูกว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ  แต่ลีอองเป็นคนใจร้อน พอโมโหก็พ่นออกมาทุกอย่างนั่นแหล่ะ สองคนนี้จะถ่วงดุลกันได้พอดีถึงจะดุลกันแบบแปลกๆก็เถอะ  ถ้าเมื่อกี้คันชักเป็นดาบหรืออาวุธอะไรสักอย่างละก็  ป่านนี้ลีอองอาจได้เลือดไปแล้ว...ชี้ได้หวาดเสียวดีชะมัด





“ทุกคนอย่าเพิ่งกลับนะคะ  เราจะคุยเรื่องชุดกันก่อน”เกรซรีบบอกทุกคน หลังจากซ้อมเสร็จ

“คือธีมของคอนเสิร์ตนี้คือแฟนซีด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราจะใส่อย่างปรกติก็ดูจะปรกติเกิน”เสียงหัวเราะเบาๆแทรกขึ้นเพราะคำว่า ปรกติเกิน

“ทุกทีผู้หญิงจะใส่เดรสแบบไหนก็ได้แต่เป็นสีดำใช่ไหม  ส่วนผู้ชายก็ใส่ทักซิโด้สีดำ  แบบนั้นมันน่าเบื่อ  ฉันก็เลยคิดว่าเราควรจะรีบจัดการเรื่องชุด จะได้รีบทำโฆษณาให้เสร็จ เพราะนี่ก็ใกล้งานมากแล้ว”

“ ฉันแต่งยังไงก็ได้อยู่แล้วนะ  แต่ถ้าแต่งอะไรที่อลังการเกินไปมันจะเกะกะ” ทีน่าที่นั่งอยู่ฝั่งขวาของวงเสนอความคิดเห็น

“แต่ได้แบบที่ดูเป็นทีมเดียวกันก็ดีเหมือนกันนะคะ”นักศึกษาสาวใจกล้าเสนอความคิดเห็นด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปลกๆ

“แน่นอนจ๊ะที่รัก  ด้วยความว่าเราต้องรีบดังนั้นฉันจึงสั่งตัดชุดไว้แล้ว”เกรซยักคิ้วหลิ่วตาอย่างเจ้าเล่ห์ให้ทุกคน

“เกรซ” เสียงเรียกจากด้านล่างเวทีทำให้เธอหันไปตามเสียงนั้น  เจ้าของเสียงเป็นชายชาวเอเชียสวมแว่นหนาเตอะ มากับผู้หญิงอีกคนหนึ่งเธอลากเอาราวที่แขวนเสื้อที่ห่อพลาสติกไว้อย่างดีมาด้วย

“ เอาละทุกคนชุดมาถึงแล้ว  ไปลองกันเถอะ” เกรซพูดอย่างมีความสุข ความสุขของผู้หญิงก็คือได้ลองเสื้อผ้าสวยๆนี่แหล่ะ เสียงกรี๊ดกร๊าดของนักศึกษาหญิงทำให้เกรซยิ้มกว้าง เชื้อเชิญพวกเธอให้ทยอยกันไปลองชุด  ส่วนพวกผู้ชายเธอก็ไล่ให้ไปต่อแถว ไม่เว้นแม้แต่ลีอองหน้าโหดที่พอเห็นว่าเกรซถือคันชักตรงดิ่งมาหาเขา เขาก็รีบต่อแถวพวกผู้ชายทันที

‘ตัดเสื้อไว้ก่อนแบบนี้ไม่กลัวว่าจะไม่พอดีขนาดตัวหรอ?’ พิรุณาส่งภาษามือถามเกรซ

‘ไม่หรอก เสื้อพวกนี้ไม่ได้เย็บติดทีเดียวหมดเหมือนเสื้อปัจจุบันที่พวกเราใส่น่ะนะ เพราะฉะนั้นหายห่วงเรื่องขนาดได้เลย  แค่ให้ความยาวพอดีก็โอเคแล้ว’

‘แล้วคนที่เอาเสื้อมาคนนั้นเป็นใคร  ไม่เคยเห็นหน้า’

‘เพื่อนฉันเอง  เขาเป็นดีไซเนอร์อยู่ที่ปักกิ่ง พอรู้ว่าเราต้องใช้ชุดเขาก็เลยอาสาทำให้เลย ฉันเห็นแบบแล้วถูกใจก็เลยตกลง’

‘เพราะชอบหายตัวไป ก็เลยมีเพื่อนทั่วไปหมดงั้นสิ’

‘จะว่างั้นก็ได้  นายเองก็ไปลองสิ  ฉันอยากลองเสื้อจะแย่แล้ว’ เกรซรุนหลังพิรุณาให้ไปต่อแถวบ้าง ก่อนจะคว้าข้อมือปองที่ไปแอบยืนหลบมุมอยู่ข้างเวทีมาต่อด้วย

“คุณเกรซ ผมไม่ต้องลองชุดหรอกมั้งครับ  ไม่ได้ขึ้นแสดงด้วยนี่นา”

“ไม่ได้ ก็มาด้วยกันนี่ แล้วอีกอยากก็คือฉันอยากเห็น” เกรซบอกแล้ววิ่งไปต่อแถวของสาวๆที่ส่งเสียงอุทานอย่างตื่นเต้น


         ครั้งแรกที่เกรซเห็นปองเธอรู้สึกว่าหนุ่มน้อยคนนี้น่ารัก  เธอยังเคยคุยกับอาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นเลยว่าปองคล้ายพิรุณาจนน่ากลัวจะเป็นพี่น้องกัน   จึงลองแอบถามวันเกิดปอง ปองอายุน้อยกว่าเธอสองปี  แต่พอถามวันเกิดพิรุณากลับไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ ด้วยการตอบที่ว่า เด็กกำพร้าอย่างฉันมีวันเกิดด้วยเร๊อะ เกรซจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย


‘คุณปอง  ไอ้เสื้อนี่มันใส่ยังไง?’พิรุณาแง้มประตูห้องน้ำออกมาถามปองที่อยู่ห้องข้างๆ ซึ่งปองเองก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกันคือไม่รู้ว่ามันใส่ยังไง เพราะเสื้อไม่มีกระดุมเลยแม้แต่เม็ดเดียว  มีเพียงผ้าผืนยาวๆสีเขียวอมฟ้าที่เดินลายทองเท่านั้น

‘เดี๋ยวนะครับ  ผมจะลองถามคนอื่นให้’ ปองสอดส่ายสายตา แล้วพุ่งตัวเข้าไปถามดีไซเนอร์คนนั้นที่กำลังดูลูกมือแต่งตัวให้นักศึกษาหญิงคนหนึ่งอยู่

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเสื้อตัวนอกใส่ยังไง?” ดีไซเนอร์คนนั้นยิ้มอย่างขบขัน  ชุดแบบนี้ใส่ค่อนข้างยาก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนไม่เคยใส่จะใส่ไม่ได้

“ผมช่วยดีกว่าครับ” ปองพาดีไซเนอร์คนนั้นกลับมายังห้องที่เขาใช้เป็นห้องแต่งตัวชั่วคราว

       ดีไซเนอร์จัดการผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้มาใส่บนตัวปองอย่างเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แล้วถอยออกมาดูผลงานอย่างชื่นชม ปองผิวขาวละเอียดรับกับผมสีดำสนิท ด้วยเสื้อสีแดงตัวนอกจะช่วยขับให้ผิวหน้ายิ่งผ่อง  ดีไซเนอร์แว่นหนารีบเรียกลูกมือมาทางนี้แล้วสั่งการเป็นภาษาจีนเร็วปรื๋อ  เธอรับคำแล้วพาปองไปอีกมุมหนึ่งของห้องน้ำ  พิรุณาเปิดประตูออกมาอีกครั้งพบดีไซเนอร์คนนั้นยืนยิ้มให้ทำให้ตกใจเลยปิดประตูกลับแล้วตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆแง้มอีกครั้ง  หนุ่มแว่นเตอะยังอยู่ที่เดิมคราวนี้ร้อยยิ้มนั้นยิ่งกว้างขวางมากขึ้น

“ผมช่วยนะครับ” ดีไซเนอร์คนนั้นรีบแทรกตัวเข้าไปในห้องเล็กที่พิรุณาอยู่ จับเสื้อผ้าที่ใส่ผิดๆเสียใหม่ให้ถูกต้องและเรียบร้อยขึ้น ก่อนจะใส่ส่วนที่เหลือเข้าไปจนครบตบท้ายด้วยผ้ารัดเอวกว้างหนึ่งคืบสีเขียวอมฟ้าที่เดินดิ้นทองเป็นลายดอกกลมๆ ซึ่งเมื่อผูกไว้เรียบร้อยแล้วลายกลมนี้จะอยู่ตรงกลางเหมือนหัวเข็มขัด

‘คุณปองช่วยด้วย!!’ พิรุณาส่งภาษามือขอความช่วยเหลือ

‘ช่วยอะไรล่ะครับ  ก็โดนเหมือนๆกัน’ ปองตอบแล้วขำขัน  พิรุณาเห็นหน้าตาปองเปลี่ยนไปเล็กน้อย  เลยรีบวิ่งเข้ามาหาโดยดีไซเนอร์คนนั้นตามมาจัดชายผ้าด้านหลังให้ผูกกันเป็นปมสวย

‘ปองมีหาง!!!’

‘หางที่ไหนผมตะหากล่ะ ผม’ เกรซส่งภาษามือให้พิรุณาที่กำลังทำตาโตกับผมสีดำสนิทเป็นมันเงาที่ถูกต่อในลักษณะให้เป็นหางม้าจนยาวถึงเอว

‘น่ารักจัง คุณปองเป็นเจ้าสาวของผมเถอะ’พิรุณายิ้มหวานให้ปอง  เกรซคิดในใจ ฟ้าผ่า!! โธ่ นายเคนกับคุณธีรธรก็แย่สิ

‘ไม่ละครับคุณพิรุณา  คุณดีไซเนอร์เดินมานี่แล้ว’ ปองเห็นดีไซเนอร์คนนั้นหยิบอุปกรณ์บางอย่างมาด้วย ท่าทางคุณพิรุณาจะโดนเหมือนกัน

‘คุณปองช่วยด้วย’ พิรุณาขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แต่เกรซก็รีบดึงปองไปทางอื่นแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้พิรุณา

“ปฏิเสธได้เนียนดีนะคะ  ขืนเอาจริงละก็ถูกนินทาว่าเป็นเลสเบี้ยนแน่ๆเลย”เกรซหัวเราะคิกคัก อย่างชอบอกชอบใจที่ได้แซว แต่ปองยังงงว่าหมายถึงอะไร

“ไปแอบถ่ายรูปพิรุณากันดีกว่า”เกรซหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมถ่ายรูปอย่างหมายมั่นปั้นมือ



         พิรุณาเดินตามปองและเกรซเข้ามาโดยพยายามก้มหน้าก้มตาไม่อยากให้ใครเห็นหน้า  มือของข้างรั้งชายผ้าให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้สะดุดล้มอีกหลังจากเมื่อครู่ลงไปวัดพื้นมาแล้วเรียบร้อย  รอบข้างมีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าว เด็กสาวบางคนก็ช่วยกันจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่สวยงาม แต่พอปอง เกรซ และพิรุณามาถึงหน้าเวทีก็ต่างสะกิดกันให้มาสนใจคนทั้งสาม  เกรซในชุดเหมือนกับคนอื่นรวมผมสีแดงเกล้าเป็นมวยแล้วปักด้วยปิ่นไม้เรียบๆที่ปลายด้านหนี่งมีผีเสื้อตัวเล็กๆสองตัวห้อยยาวลงมา ทำให้เธอดูอ่อนหวานขึ้นมาก ไม่ห้าวจัดเหมือนที่เห็นกันจนชินตา ปองช่วยจับมือพิรุณาให้เป็นหลักในการก้าวขึ้นบันไดด้านข้างเวทีท่ามกลางสายตาของทุกคน พอก้าวขึ้นเวทีได้กล้องมือถือจากแทบทุกยี่ห้อก็ประดาหน้าเข้ามาแบบไม่ยั้ง 

“คุณพิรุณาสวยจัง”

“คุณผู้ดูแลก็น่ารัก” เสียงสาวๆกรี๊ดกร๊าดเรียกสติของเหล่าบุรุษเพศที่ล่องลอยไปไกลกลับเข้าร่าง รวมทั้งเรียกให้มือหนาๆของลีอองให้รีบยกขึ้นปิดหูตัวเองด้วย

“แหมทีฉันแต่งตัวสวยๆไม่เห็นมีใครชมมั่งเลย” ทีน่าบ่นกับเทรส  ทำให้ชักเชลโล่หนุ่มยิ้ม

“สวยไหมมันแล้วแต่คนมอง  แต่ของพิรุณากับคุณปองเขา born to beให้เป็นของแปลกโดยธรรมชาติ”

“นั่นสินะ  ทั้งๆที่หน้าตาน่าเอ็นดูออกจะตายแต่ทำไม๊ทำไม ไม่ทำตัวให้น่าเอ็ดดูน๊า~” ทีน่าเท้าคางมองเพื่อนที่กำลังถูกรุมล้อม


         ดวงหน้าขาวนวลๆนั้นเมื่อรวบผมสีน้ำตาลออกแดงขึ้นไป แล้วต่อให้เป็นหางม้ายาวถึงเอวยิ่งทำให้ดวงหน้าสวยๆนั้นดูหวานขึ้นอีกเป็นกอง เสื้อตัวนอกสีแดงเองก็ยิ่งขับให้ผิวนวลๆนั้นผุดผาดกว่าที่เคย  มือนวลๆที่โผล่พ้นชายแขนเสื้อออกมาเพียงครึ่งเดียว เมื่อพิรุณาพยายามพับทบให้ไม่เกะกะกลับทำให้เห็นผิวขาวนวลรำไร จนคนที่พบเห็นต้องนึกในใจว่าเซ็กซี่  ทั้งๆที่เห็นเพียงแค่มือเท่านั้น  ทีน่ายิ้มขันให้ความคิดตัวเอง

“เกรซช่างถ่ายภาพมาแล้วนะ”ลีอองซึ่งหายหงุดหงิดแล้วเดินมากระซิบบอกเกรซที่เข้าไปช่วยพิรุณาจากการถูกฝูงกล้องมือถือรุม

‘ลีอองเหมือนพวกมือปราบเลย’ พิรุณาส่งภาษามือแล้วปรบมือ เพราะลีอองร่างสูงใหญ่ด้วยหน้าที่เข้มดุทำให้ดูเหมือนพวกมือปราบในหนังจีนที่พิรุณาชอบ


“ถ่ายกันพอแล้วนะ กลับไปเข้าที่ได้แล้วเราจะเริ่มถ่ายภาพประชาสัมพันธ์คอนเสิร์ตแล้วจะได้กลับบ้านนอนกันเสียที” ทุกคนเลิกถ่ายภาพแต่โดยดีแล้วกลับไปประจำที่ตัวเองพลางจับเครื่องแต่งกายตัวเองให้กลับมาดูดีหลังจากลุกไปเบียดเสียดกันมา

“ช่วยหรี่ไฟดวงข้างหน้าลงอีกนิดนะครับ...ครับดีครับ...”ช่างภาพคนหนึ่งรีบจัดการแสงให้กำลังเหมาะ

“จะขอถ่ายภาพรวมก่อนนะครับ ช่วยเล่นสักเพลงได้ไหมครับ?” ลีอองพยักหน้าก่อนจะขึ้นประจำตำแหน่ง  พอเห็นว่าทุกคนมีสมาธิดีแล้วก็โบกไม้บาตองในมือ  เริ่มบรรเลงให้ช่างภาพเก็บภาพ  หลังจากช่างภาพได้ภาพสวยสมใจแล้วจึงปล่อยนักศึกษาทั้งหลายกลับบ้านแม้ว่าพวกเด็กๆจะอิดเอื้อนอยากอยู่ต่อ แต่พอเจอลีอองทำหน้าดุให้กลับไปซ้อมให้ดีก็หน้าจ๋อยต้องยอมกลับ

“ขอถ่ายภาพทีละคนเลยนะครับ” ช่างภาพตามเก็บภาพแต่ละคนโดยเริ่มจากลีออง  ในระหว่างนั้นเพื่อนๆที่ยังไม่ถึงคิวถ่ายก็จัดการถ่ายภาพกันเองโดยมีเกรซเป็นหัวโจก  โดยไม่รู้เลยว่าเกรซจ้องจะถ่ายแต่พิรุณา และจะยิ่งชอบมากถ้าพิรุณาถ่ายกับปองหรือทำท่าตลกๆ

ไม่มีใครทันเงาของปีศาจเกรซเลยแม้แต่น้อย....




           ธีรธรเดินเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองที่ปราศจากเงาของพนักงานคนอื่นๆเนื่องจากเลยเวลาเลิกงานไปเกือบชั่วโมงได้แล้ว  พลางคลายปมเนคไทอย่างเหนื่อยๆ หลังจากประชุมอย่างยาวนานเป็นเวลาสี่ชั่วโมงเต็มโดยไม่มีพักเบรคแม้แต่น้อย  เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เหมือนคนหมดแรงพิงศีรษะไว้กับพยักเก้าอี้แล้วเอียงคอไปมองคอมพิวเตอร์ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจจะเปิดมันแต่ก็คร้านเกินกว่าจะเอื้อมมือไปเปิดจึงใช้ปากกาจิ้มที่ปุ่มเปิดเครื่อง ระหว่างรอบูทเครื่อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ธีรธรเปิดฝามือถือเห็นภาพเจ้าของข้อความแล้วนัยน์ตาพราวระยับ  หญิงสาวผมแดงทำท่ายกหัวแม่มือขวาทำให้รู้ว่าเป็นเกรซ สายสืบของเขาเอง

ถึงบอส...
วันนี้ถ่ายภาพสำหรับโฆษณาคอนเสิร์ตแล้ว ภาพเบื้องหน้าฉันจะไม่ขอพูดถึงเดี๋ยวคุณก็ได้เห็น  ฉันขอนำเสนอภาพเบื้องหลัง  ลับเฉพาะพิรุณาสเปเชียล
ปล.กรุณาสร้างภูมิต้านทานความน่ารักก่อนเสพย์ - -+


         ภาพแรกเป็นภาพพิรุณากำลังถูกรุมด้วยมือใครต่อใครมากมายเข้ามาจัดการผมและหน้าทำให้เจ้าตัวหรี่ตาปรือมาแต่ไกล  ภาพที่สองเป็นด้านหลังของคนสองคนใส่ชุดแปลกๆ คนหนึ่งผมหางม้าสีดำ อีกคนหางม้าสีน้ำตาลแดง  ภาพที่สามเป็นภาพพิรุณากับเกรซทำหน้าลิง สองคนเอาแขนมาต่อกันเป็นรูปหัวใจ ธีรธรขำกับท่าทางน่ารักน่าชังของพิรุณาที่เขาไม่เคยเห็น  ภาพที่สี่ซึ่งเป็นภาพสุดท้าย พิรุณากำลังเล่นเปียโน ดวงหน้านวลใสนั้นยิ้มกว้างดูมีความสุข ธีรธรเผลอยิ้มกว้างไม่ทันเห็นว่าคุณลีเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาแล้ว

“มีเรื่องอะไรดีๆหรอคะบอส?” ธีรธรรีบปรับสีหน้ามาเป็นเขร่มขรึมเหมือนปรกติแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักพลางปิดฝามือถือลงอย่างรวดเร็ว 

“เปล่าครับ  คุณลียังไม่กลับอีกหรอครับเย็นมากแล้วนะ?”

“ลีคิดว่าบอสอาจอยากเห็นไฟล์ด่วนพวกนี้ก่อนใครๆ ดิฉันก็เลยไปบังคับขู่เข็ญจนได้มานี่ล่ะค่ะ” ลีแอนส่งทัมป์ไดรฟ์ให้บอสหนุ่ม

“ลีกลับก่อนนะคะ”  ธีรธรรับคำ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบทัมป์ไดรฟ์มาเสียเข้ากับคอมพิวเตอร์ โดยไม่ลืมแสกนไวรัสก่อนเสมอ


         ธีรธรเปิดไฟล์ออกดู  ภาพตัวอย่างโปสเตอร์คอนเสิร์ตปรากฏขึ้นในทันทีแต่เขากลับไม่สนใจที่ข้อความอะไรบนโปสเตอร์เลย ดวงตาคมกลับกวาดมองหาคนบางคนในภาพ  แล้วคลิกดูภาพถัดไปที่ถ่ายทั้งวง ทุกคนแต่งกายเหมือนกับที่ภาพจากเกรซส่งมา  ธีรธรดูภาพต่อๆไปอย่างพิจารณาและลงความเห็นว่าช่างภาพถ่ายได้สวยมากทีเดียว ในฐานะที่เขาก็เป็นนักถ่ายภาพเหมือนกันแม้จะเป็นมือสมัครเล่นเพราะต้องทำงานที่บริษัทจนไม่อาจยึดเป็นงานหลักได้ โดยเฉพาะภาพสุดท้ายที่เขาดูอยู่นานที่สุด ภาพป่าไผ่ที่ขึ้นจนเขียวครึ้มท่ามกลางแสงสลัวอย่างยามอัสดง ที่ใต้ต้นไผ่นั้นมีคนๆหนึ่งกำลังแหงนเงยชมชื่นอยู่กับใบไผ่ที่ร่วงลงเมื่อยามต้องลม  สองมือนวลๆยกขึ้นอย่างหมายจะจับใบไผ่เหล่านั้น  แม้ดวงหน้าจะไม่ชัดเพราะแสงที่น้อยแล้วยังเพราะส้นผมยาวนั้นถูกลมพัดจนปลิวมาระใบหน้าทำให้รู้สึกราวกับว่าคนในภาพเป็นเทพเซียนผู้งดงามกำลังชื่นชมธรรมชาติก็ไม่ปาน  ธีรธรเซฟภาพนั้นอย่างไม่ต้องคิดแล้วลบออกจากทัมป์ไดร์ฟ ของดีเขาต้องเก็บไว้ดูคนเดียว    เสียงเคาะประตูดังอีกครั้ง ก่อนลีแอนจะเข้ามาอีกครั้ง

“บอสคะ อย่าลืมอาบน้ำให้เจ้าหมาด้วยนะคะ” ลีแอนกลับออกไปด้วยรอยยิ้ม



         ขณะเดียวกันนั้นเองสายสืบสาวกำลังหัวเราะคิกคักให้โน้ตบุ๊คของเธอท่ามกลางความสงสัยของหมู่เพื่อน  เกรซคลิกส่งอีเมล์ให้ผู้ที่เป็นเจ้าของอีเมลล์    KEN_sonata-allegro  เธอเงยหน้ามองพิรุณาที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลบๆแก้ๆโน้ตตรงหน้าด้วยมือขวา  ส่วนมือซ้ายกำลังถือช้อนตักอาหารเข้าปาก  โดยมีปองพยายามเตือนให้ทานให้เรียบร้อยแล้วค่อยทำงาน  ทีน่า เทรสและอเล็กซ์ ต่างมองมาที่เกรซอย่างสงสัย ว่าอะไรทำให้เธอเป็นคนบ้าอยู่ๆก็หัวเราะคนเดียว จนในที่สุดอเล็กซ์ก็ทนไม่ไหวจนต้องถามขึ้น

“เป็นอะไรเกรซ  ซ้อมมากจนสติแตกหรือเหนื่อยมากจนเพี้ยน”

“เปล่า แค่กำลังสนุกน่ะ” เกรซตอบอ้อมๆ ทำให้เพื่อนที่รอคำตอบแทบจะเขวี้ยงกระดาษเช็ดปากใส่เกรซ เพราะตอบไม่ตรงข้ามถาม


ขอโทษนะคะบอส  เพราะบอสคิดจะยืมมือปีศาจใช้ เพราะฉะนั้นปีศาจก็ต้องขอสิ่งตอบแทนนิดหน่อย เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆ   หวังว่าบอสคงเข้าใจนะ....เพราะมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ก็บอสสมัครใจให้ปีศาจช่วยนี่คะ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #81 เมื่อ11-12-2007 00:59:58 »

เขียนได้ดี  นะ

แต่ว่างๆ ก็ช่วยกระชับเนื้องเรื่องนิดดดดดดดดดดดดดดส์นึง

อิอิ

แต่ว่าจะรออ่านต่อนะ  ติดๆๆๆๆๆ

three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #82 เมื่อ11-12-2007 12:40:15 »

ขอบคุณฮะ o14
ชอบจังเรื่องนี้ได้รู้เรื่องศัพย์ทางดนตรีเยอะ :m3:เลยฮะขอบคุณ

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #83 เมื่อ11-12-2007 17:51:19 »

น้ำเยอะจริงๆ หึหึหึหึ  เยิ่นเย้อได้อีกตอนนี้ :เฮ้อ: ขอบคุณค่ะที่ชอบ ที่ติด เเค่นี้ก็ดีใจเเล้ว

/meนิยายเราเเอบมีสาระเหมือนกันนะเนียะ หึหึหึหึหึหึ

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #84 เมื่อ11-12-2007 19:43:06 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #85 เมื่อ11-12-2007 20:28:54 »

‘ลีออง  ตรงนี้ฉันจะเล่นดังขึ้นอีกนิดนะ  แล้วค่อยเบาในช่วงนี้’ พิรุณาส่งภาษามือโดยมีปองแปลให้พลางชี้ออกความเห็นกับโน้ตในมือในช่วงพักเบรคสิบนาที

“ดีนะ คิดอยู่เหมือนกันว่าเบาเกินไป   ส่วนตรงนี้อย่างให้เน้นที่ Staccato* ตรงนี้นิดเดียว...นิดเดียวพอนะ  แล้วเหยียบ  pedal*” 

‘เข้าใจแล้ว’  พิรุณาเดินกลับไปซ้อมหน้าเปียโนอีกครั้ง  เสียงที่ออกมาดีอย่างที่ลีอองต้องการ เขายิ้มเพราะพิรุณาไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง

“ตั้งใจซ้อมกันดีนี่นา” เสียงคุ้นหูจากข้างหลังทำให้ลีอองหันไปดู เจ้าของเสียงยิ้มเครียดให้เห็น  เขาคือเอ็ดเวิร์ด  ฮอร์น

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ลีอองถามเสียงห้วนตามปรกติของเขา

“เมื่อเช้านี่เอง  คุณปองบอกพิรุณาทีว่า รู้จักยืดหยุ่นดี”ปองรีบทำตามที่อาจารย์ของพิรุณาสั่ง  พิรุณาจึงหันมายิ้มกว้างให้อาจารย์ เพราะนานๆอาจารย์จะชมสักครั้ง

‘มาแล้วหรอฮะ จะได้ครบทีมเสียที’  อาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น รั้งแขนพิรุณาให้ออกมาจากบริเวณที่ซ้อมซึ่งมีคนพลุกพล่าน

‘อาจารย์รีบมาเพื่อจะเตือน’ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น ส่งภาษามือในมุมลับตามุมหนึ่ง  ดวงตาสีน้ำตาลแดงของพิรุณาไม่มีเค้าแห่งความสงสัย  หากแต่สงบรอรับข่าวที่ทำให้อาจารย์ต้องรีบมาเตือนเขา แน่นอนมันต้องเป็นข่าวไม่ธรรมดา

‘ซิลเวอร์ อากิระกลับมาแล้ว’ อาจารย์หมายถึง คู่แข่งคนสำคัญคนหนึ่งของพิรุณา ที่เมื่อหลายปีก่อนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองทะยานขึ้นมาเหนือพิรุณาให้ได้ แต่ก็พ่ายแพ้จนผูกใจเจ็บ   ผลของความแค้นทำให้พิรุณาเจ็บตัวนิดหน่อย

‘แล้วจะทำไมละฮะ  ครั้งนั้นเขาถูกปรับออกจากการแข่งทุกรายการแล้วไง....แล้วก็เลยแค้นฝั่งหุ่นมาลงเอากับผมที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยเนี่ยนะ  ไร้สาระชะมัด  หลังจากนั้นก็พยายามจองล้างจองผลาญผมอยู่เรื่อยแล้วก็จมหายไป  นึกว่าไปผุดไปเกิดแล้วเสียอีก’

‘ยังหรอก เขากลับมาเพราะมีคนหนุนหลังน่ะ....’ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นบอกชื่อคนสนับสนุนคนนั้นทำให้พิรุณาถึงบางอ้อ  เพราะคนดังกล่าวขัดผลประโยชน์กับต้นสังกัด เบื้องหลังกว่านั้นเขาไม่ทราบ เพราะไม่สนใจ

‘อย่างกับสงครามโมสาร์ต กับบีโธเฟ่น’ พิรุณาติดตลก

‘ไม่ตลกนะพิรุณา  ครั้งก่อนเธอซี่โครงหัก  ครั้งนี้จะเจ็บขนาดไหนอีกไม่รู้  ระวังตัวไว้ดีกว่า’   

‘ผมไม่เป็นไรหรอกฮะ ขอบคุณที่ห่วง  แต่พิรุณาคนนี้เอาตัวรอดเก่งอยู่แล้ว’

       เมื่อส่งภาษามือเสร็จพิรุณาก็เก๊กท่าเสียหน่อย จนผู้เป็นอาจารย์หมั่นไส้ พอได้ยินเสียงคนตามหาตัวเขาและพิรุณาก็เลยขยี้ผมลูกศิษย์รักไปทีหนึ่งแล้วไล่ให้ไปนั่งประจำที่ ส่วนตนเดินไปรับหน้าที่เป็นคอนดักเตอร์ในเพลงที่รับผิดชอบ  ทำให้เด็กต่างส่งเสียฮือฮาว่าคนตรงหน้าคือวาทยากรชื่อก้องโลก เพิ่งได้เห็นตัวเป็นๆก็วันนี้เอง   อาจารย์เริ่มอธิบายการตีความเพลงโดยมีปองแปลให้พิรุณาอยู่ใกล้ๆ  หลังจากนั้นก็ซ้อมจนฟ้ามืด  โดยก่อนกลับอาจารย์หันมากำชับพิรุณาว่าให้ระวังตัว แล้วบอกปองให้ดูแลพิรุณาดีๆ อย่าให้คลาดสายตา



      ธีรธรกำลังซักฟอกเจ้าหมาอยู่ที่สนามหลังบ้าน  เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาที่ใส่ไปทำงานเปียกปอนเนื่องจากเจ้าหมาสะบัดขนทุกครั้งที่บอสหนุ่มเลิกฉีดน้ำใส่มัน อย่าพูดถึงกางเกงสแลคที่ใส่อยู่เพราะมันเปียกจนไม่รู้จะเปียกอย่างไรแล้ว  บอสหนุ่มเทแชมพูสำหรับสุนัขแล้วโปะลงบนตัวมันก่อนจะขยุ้มขยำอย่างหมั่นไส้โดยออกแรงให้สมกับความรู้สึก เจ้าหมาก็ดูจะไม่ว่าอะไรออกจะชอบเสียด้วยซ้ำที่มีคนเล่นแรงๆด้วย เพราะปรกตินายกับคุณปองจะเอ็นดูมันเกินกว่าจะกล้าลงไม้ลงมือกับมัน ธีรธรฟอกแชมพูไปที่หน้าเจ้าหมาอย่างเมามันส์จนสนามหญ้าบริเวณที่เขาอาบน้ำเจ้าหมามีแต่ฟองเต็มไปหมด  เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาทำให้ธีรธรต้องละมือจากความหมั่นเขี้ยวไปล้างมือแล้วรับโทรศัพท์

“พี่ธีคะ  อยู่ไหนคะเนี่ยโทรเข้าบ้านก็ไม่รับ โทรเข้าที่ทำงานก็มีคนบอกว่ากลับมาแล้ว” เสียงเจื้อยแจ้วของรันดาดังมาตามสัญญาโทรศัพท์จนธีรธรต้องรีบกดหรี่เสียงลงแทบไม่ทัน

“พี่อยู่บ้าน แต่อยู่ในสนามหลังบ้านน่ะ”

“ปรกติพี่ธีไม่ได้เป็นพวกชื่นชมธรรมชาติไม่ใช่หรอคะ?”รันดาถามติดประชดนิดๆตามนิสัย

“พอดีพี่อาบน้ำให้หมาอยู่น่ะเลยไม่ได้รับ…เฮ้ย!อย่าสะบัดสิวะ ยังไม่เสร็จ” ธีรธรโวยวายเมื่อเจ้าหมาสะบัดขนแรงๆทำให้น้ำจากแชมพูกระเซ็นไปทั่ว

“พี่ธีเลี้ยงหมาแล้วหรอคะ รันไม่นึกว่าพี่จะมีเวลาดูแลนะคะเนี่ย”เสียงใสพูดกลั้วหัวเราะ 

“เขาเอามาฝากไว้น่ะ” ธีรธรตอบแล้วนึกย้อนไปถึงเมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่เกรซมาทุบประตูบ้านเขาตั้งแต่ตีห้าแล้วยัดเจ้าหมาเข้ามาในบ้านเขา พร้อมทั้งส่งกระดาษปึกใหญ่ ‘คู่มือการเลี้ยง’ ให้เขาในนั้นมีเขียนถึงวิธีเลี้ยงด้วยลายมือหวัดๆของเกรซ และภาษามือที่ใช้สั่งเจ้าหมาซึ่งอาจจะเขียนโดยพิรุณา 

“โทรมามีอะไรหรือเปล่า?” ธีรธรถามเพราะเริ่มอยากจะรีบวางโทรศัพท์สายนี้เร็วๆ ก่อนเจ้าหมาจะหนีไปคลุกกับดินให้ตัวเปื้อนอีก

“อ้อ  รันจะโทรมาบอกว่างานเปิดตัวสาขาเราจะปิดบ้านตามไปแสดงความยินดีค่ะ”

“แสดงความยินดีหรืออยากมาดูคุณพิรุณาของเธอ...ฮ๊ะยัยรัน”

“แหมก็ทั้งสองอย่างล่ะค่ะ  อย่าลืมจัดการเรื่องที่พักให้ด้วยนะคะ” เสียงใสของลูกพี่ลูกน้องสาวกล่าวก่อนจะวางหูไป  ธีรธรหันไปจัดการกับเจ้าหมาที่ทำท่าจะวิ่งหนีอีกครั้งอย่างเมามัน

“แกหนีไม่รอดหรอก รวมทั้งนายแกด้วย”



         วันซ้อมใหญ่มาถึงทำให้ความวุ่นวายถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง  ปัญหามากมายเหมือนถูกสร้างขึ้นมาทำลายขวัญและกำลังใจของทุกคนในทีมทั้งนักดนตรีและทีมงานที่ถูกส่งตัวมาเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ลางร้ายเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อ ต้นสังกัดโทรมาแจ้งว่าเปลี่ยนสถานที่จัดการแสดงกะทันหัน แผนการขนย้ายข้าวของเสียกระบวนแทบไม่เป็นท่า ต่อมาก็มีปัญหาเรื่องรถที่จะขนของซึ่งตกลงกันไว้ก่อนบอกปฎิเสธการส่งของไปยังสถานที่ใหม่ ดีที่แม่ยอดหญิงเกรซเข้าไปฟาดหัวฟาดหางจนยอมไปส่งจนได้  ต่อมาคือจองตั๋วเครื่องบินไปยังเมืองที่จัดแสดงไม่ได้ จึงต้องจับรถไฟไปแทนในตอนกลางคืน  เช้าวันถัดมาปัญหาต่างๆยังคงประดังเข้ามาไม่ขาด เช่นนักดนตรีส่วนหนึ่งเกิดอาการอาหารเป็นพิษ  ระหว่างซ้อมอยู่สปอร์ตไลท์ดวงหนึ่งตกลงมาแตกต่อหน้าต่อตาทุกคน  เสื้อผ้านักแสดงหายไปจำนวนหนึ่ง  ปัญหาเหล่านี้ทำให้เกรซที่เป็นหัวหน้าวงและเป็นคนรับงานจากต้นสังกัดปวดหัวถึงเธอจะบ่นแต่มือยังคงแก้ปัญหาได้ยอดเยี่ยม  โดยทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีปัญหาจึงคลี่คลายลงได้ในที่สุด  ในตอนย่ำค่ำของวันนั้นสมาชิกทั้งเจ็ดจึงนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่กลางเวทีที่จะใช้แสดงในเร็ววันนี้


“เหนื่อยหน่อยนะครับคุณเกรซ” ปองพูดทั้งที่ตัวปองเองก็หมดสภาพไม่ต่างกัน ผมสีดำสนิทยุ่งเหยิงจากการวิ่งวุ่นไปตามจุดต่างๆเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา

“ขอบคุณค่ะที่วิ่งวุ่นช่วยเราแก้ปัญหา”

“คุณเกรซเป็นเพื่อนของคุณพิรุณานี่ครับ ถ้าเราไม่ช่วยกันงานคงไม่สำเร็จ”ปองพูดแล้วนั่งลงข้างๆพิรุณาที่ดูสภาพดีกว่าคนอื่นๆเนื่องจากความสามารถทางกายของพิรุณาจำกัดจึงรับหน้าที่ดูแลคนในวงช่วงที่เกรซไม่ว่างกับให้คำปรึกษานิดหน่อย

‘เหนื่อยไหมคุณปอง?’ พิรุณาถามแล้วส่งกระป๋องน้ำอัดลมให้ปองและเพื่อนๆ

‘นิดหน่อยครับ’

“อาจารย์เอ็ดเวิร์ด ทางนั้นเป็นไงมั่งครับ”อเล็กซ์ถามเมื่อเห็นแรงงานทาสผู้ทรงเกียรติคนสุดท้ายเดินเข้ามา  อาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นรับหน้าที่ไปประสานงานกับฝ่ายควบคุมสถานที่ให้จัดเตรียมเวทีให้เหมาะสำหรับการแสดง รวมทั้งเข้าไปควบคุมระบบเสียงด้วยตัวเอง  เพราะไม่มีใครรู้เรื่องเหล่านี้ดีเท่าอาจารย์อีกแล้ว

“เรียบร้อยแล้ว” ทุกคนถอนหายใจโล่งอก

“ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”เทรสเริ่มชักชวนเมื่อกระเพาะของเขาร่ำร้องหลังจากทนทรมานมาทั้งวัน

“ใครบ่นว่าจะหาของกิน” เสียงคุ้นของคนหนึ่งดังมาจากประตูด้านข้างเวที ทำให้ทุกคนหันไปมองร่างสูงของชายหนุ่มผมสีทองที่สวมชุดสบายๆ  ในมือถือถุงหลายใบที่บรรจุอาหารมาด้วย

“เคน!!” ทีน่าร้องอย่างยินดี เคนเข้าไปทักทายอาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์น  ก่อนจะกอดทีน่าและเกรซที่อ้าแขนรออย่างสิ้นสภาพ แล้วพยักหน้าทักทายลีออง เทรสและอเล็กซ์  ก่อนจะจับมือปอง เพราะเขายังไม่สนิทกับผู้ช่วยคนใหม่ของพิรุณาเท่าไหร่นัก   เคนหันไปหาพิรุณาที่ยิ้มยินดีที่เขามา  มือแข็งแรงเอื้อมไปรั้งผมสีน้ำตาลออกแดงที่ปรกหน้าผากเนียนของพิรุณาขึ้นก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ 

“คนทะลึ่ง  ลามก โรคจิต!!!” เสียงเกรซกับทีน่าล้อเลียนดังขึ้นทันทีทำให้เคนหัวเราะ พิรุณาขมวดคิ้วลูบหน้าผากที่ถูกสัมผัสเมื่อครู่ป้อยๆ

‘เดี๋ยวสิวขึ้นนายต้องรับผิดชอบนะ’พิรุณาส่งภาษามือต่อว่า

‘ก็เอาสิ  จะให้รับผิดชอบไปทั้งชีวิตเลยก็ได้’ ปองสำลักน้ำอัดลมที่เพิ่งดื่มเข้าไป ไอคอกเคกจนแสบคอไปหมด 

‘เก็บไว้หยอกแม่สาวๆของนายเหอะ’ พิรุณางอนป่องหนีไปเบียดกับปอง เคนได้แต่หัวเราะชอบใจ

“แล้วนี่มายังไงเนี่ยพ่อนักธุรกิจหนุ่มอนาคตไกล” เทรสถามเพื่อนสนิทของเขา

“เก๊อะนั่งเครื่องมาสิวะ  จะให้แจวเรือมาหรือไง” ฝ่ามือล้วนๆของนักเชลโล่หนุ่มตบกะโหลกเพื่อนรักเสียงดังป๊าบ

“โทษว่ะ  วางไม้พายแรงไปหน่อย”เทรสออกปากพลางทำหน้าเสียใจท่ามกลางเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง

“เออ..ได้ทีละเอาใหญ่” เคนฝากความแค้นไว้กับเทรสโดยคนรับฝากบอกว่าอย่าลืมรีบมาเอาคืนไม่มีดอกเบื้อจะให้  เสียงสรวลเสเฮอายังคงดังอย่างต่อเนื่องจนมืดค่ำ ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนและจะกลับมารวมตัวกันใหม่พรุ่งนี้เพื่อซ้อมใหญ่จริงๆ  โดยไม่รู้ถึงสายตาอาฆาตจากใครบางคนในเงามืด

      
เปรี้ยง!!
         เสียงแจกันจีนใบสวยในห้องรับรองของบ้านซิลเวอร์กระทบกับพื้นหินอ่อนอย่างแรงจนแตกเป็นเสี่ยง  ร่างเล็กบางอย่างคนเอเซียของซิลเวอร์ อากิระ ที่เพิ่งจะเหวี่ยงข้าวของต่างๆไปกันคนละทิศละทางเพราะความโมโหอย่างร้ายกาจกำลังหอบหายใจโดยแรงด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดที่ดูเหมือนจะไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย  แม้แม่บ้านจะพยายามปรามแล้วแต่คุณหนูของเธอก็ไม่ได้ฟังเธอเลยแม้แต่น้อย  ไม่ฟังแม้กระทั่งบอดี้การ์ดคนสนิทที่อากิระไว้ใจให้ติดตาม

“คุณหนูพอเถอะค่ะ”

“อย่ามาห้ามนะ  ทำไม...ทำไมมันยังไม่ฉิบหายกันไปให้หมด  ทำไมมันยังแก้ปัญหางี่เง่าพวกนั้น”เสียงที่แผดร้องอย่างคั่งแค้นทำให้คนฟังไม่สบายใจ

“ปล่อยคุณอากิระไว้สักพักเถอะครับ” บอดี้การ์ดของอากิระกระซิบบอกแม่บ้านเพราะตอนนี้ใครก็เข้าหน้านายของเขาไม่ติดแล้ว

“แต่ว่า...” บอดี้การ์ดหนุ่มมองตาแม่บ้านวัยกลางคนครู่หนึ่งก่อนจะยอมถอยออกจากห้องนั้นไปอย่างเงียบๆ

“คุณอากิระ”เสียงทุ้มที่เรียกเบาๆทันให้เจ้าของชื่อหันขวับ

“พอเถอะครับคุณอากิระเดี๋ยวมือจะเจ็บเอานะครับ”อ้อมแขนแข็งแกร่งกอดร่างบางๆของอากิระเอาไว้จากด้านหลัง เพื่อล็อคมือทั้งสองข้างของคนตัวเล็กเอาไว้  ดวงหน้าหวานหากยโสและดวงตาสีดำสนิทเหมือนเรือนผมแสยะยิ้มอย่างหมายมาด

“คอยดูเถอะ พวกมันต้องมีคนเสียเลือดต่อหน้าคนดูเป็นพันๆคน”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนหกแว๊วก๊าบหวังว่าเพื่อนๆจะชอบกันนะ :m13:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #86 เมื่อ12-12-2007 11:33:08 »

ตัวร้าย ท่าทางจะร้ายยยยยยยยยยน่าดู

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #87 เมื่อ12-12-2007 12:09:06 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #88 เมื่อ13-12-2007 12:11:40 »

สู้ๆนะครับเป็นกำลังใจให้อ่านเรื่องนี้แล้วรู้จักเครื่องดนตรี ศัพย์ และก็วงออเครต้าเพิ่มขึ้นเยอะเลยขอบคุณมากๆนะครับผม :m1:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #89 เมื่อ15-12-2007 16:31:22 »

มาต่อแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบบ....
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO   chapter# 7




         วันแสดงมาถึงในที่สุด พิรุณาตื่นแต่เช้าและวิ่งวุ่นไปรอบงานพอๆกับทุกคน เที่ยงวันแล้วจึงจะได้ซ้อมครั้งสุดท้ายกับวงจนถึงบ่ายสามและให้แยกย้ายกันไปพักผ่อนหนึ่งชั่วโมงก่อนจะกลับมารวมตัวกันอีกทีเตรียมแสดงค่ำนี้  สื่อมวลชนมากมายเข้ามาทำข่าวนี้อย่างคับคั่งเนื่องจากเป็นการเปิดตัวสาขาใหม่ของบริษัทชื่อดัง และเป็นการรวมตัวกันของนักดนตรีคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตามองกับวาทยากรชื่อก้องโลก  สื่อช่วยกันประโคมข่าวจนบัตรราคาต่างๆขายได้หมดเกลี้ยง  สร้างกำลังใจให้ทีมงานเป็นล้นพ้น  และในเวลาห้าโมงเย็นไปจนถึงหกโมงจะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้ามาสัมภาษณ์ประธานกลุ่มบริษัท PVK.  ตัวแทนสถานทูตและเหล่านักดนตรี ด้วยเหตุนี้เองพิรุณาจึงได้เจอลีแอนและคนที่เหม็นขี้หน้าที่สุด...ธีรธร

“รู้สึกอย่างไรมั่งคะที่ได้มาร่วมวงกับเด็กจากวิทยาลัยดนตรี?”ผู้สื่อข่าวสาวถามหลังจากถามคำถามหลักเกี่ยวกับการจัดคอนเสิร์ตไปแล้วกับประธานPVKซึ่งให้เกียรติมาให้สัมภาษณ์ด้วยตัวเอง และตัวแทนสถานทูต

“รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยค่ะ แล้วก็สนุกดีที่ได้ร่วมงานกับทุกคน ทำให้รู้สึกอายุน้อยลงหลายปีเลยค่ะ”ทีน่าตอบอย่างฉะฉานสมกับเป็นสาวมั่น

“แล้วคุณพิรุณาล่ะคะ?” ปองแปลคำถามให้พิรุณาโดยพิรุณาส่งภาษามือตอบกลับมาอย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องคิด

“คุณพิรุณาตอบว่า รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้งน่ะครับ”

“คุณพิรุณาครับ คอนเสิร์ตครั้งนี้คุณได้กลับมาร่วมงานกับ มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นด้วยใช่ไหมครับ อย่างที่ทุกคนทราบว่าท่านไม่รับใครเป็นลูกศิษย์อีกนอกจากคุณพิรุณา  ไม่ทราบว่าอาจารย์เข้มงวดมากไหมครับ?” ปองแปลไปพร้อมกับที่ผู้สื่อข่าวถาม พิรุณายิ้มกว้างแล้วส่งภาษามือตอบ

“เข้มงวดไหมถามเอาจากทุกคนที่ซ้อมด้วยกันก็ได้ครับ เพราะโดนมาพอๆกัน” เพื่อนฮาครืนกับคำตอบที่พิรุณาตอบผ่านปอง

“ไวโอลินเล่นให้นิ่งกว่านี้! วิโอล่าต้องเล่นอย่างนี้  เอ้า! พวกเครื่องเป่า เป่าให้มันเป็นภาษาคนหน่อยสิฟะ   หัดอ่านโน้ตเสียบ้างสิ! ยืดหยุ่นน่ะรู้จักไหมยืดหยุ่น!คิดว่าโซโล่อยู่หรือไง”เกรซทำเสียงล้อเลียนวาทยากรชื่อดังที่นั่งทำคอแข็งอยู่ข้างเธอ

“ประโยคเด็ดก็นี่เลย  พิรุณาห้ามอู้!” เพื่อนหัวเราะอีกครั้งกับสิ่งที่เทรสพูด ทำให้นักข่าวทั้งหลายสงสัยทำไมพิรุณาถึงต้องห้ามอู้

“เพราะว่า เพลงที่เราเลือกบรรเลงบางเพลงไม่ต้องใช้เปียโนทำให้ช่วงที่ซ้อมเพลงนั้นพิรุณาจะแอบอู้หลับบ้าง กินขนมมั่ง ไม่ก็แหย่คนอื่นบ้างน่ะครับ อาจารย์จึงต้องพยายามให้พิรุณาอยู่นิ่งๆโดยให้อ่านโน้ตหรือไปทำอย่างอื่นข้างนอกห้องซ้อม คนอื่นจะได้ไม่เสียสมาธิ”อเล็กซ์ตอบแทนเจ้าตัวที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้  เหล่าสื่อมวลชนหัวเราะกับความน่ารักของพิรุณา

“แล้วคุณธีรธรละคะ  ได้มาชมการซ้อมบ้างหรือเปล่า?”

“ผมได้ชมเป็นไฟล์ภาพเท่านั้นล่ะครับ  วันนี้คงได้ชมคอนเสิร์ตที่ยอดเยี่ยมพร้อมทุกคนในที่นี้” ธีรธรตอบคำถามนิ่งรักษามาดสุขุมไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม  พิรุณาคิดในใจ ทำเป็นขี้เก๊ก...

“คุณลีอองคิดว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้จะน่าประทับใจไหมครับ?”

“ครับแน่นอน เราซ้อมและเตรียมความพร้อมกันมาเต็มที่”ลีอองตอบสั้นและตรง ตามนิสัยเพราะดวงหน้าโหดๆนั้นทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าถามเขามากนัก

“ขอเป็นคำถามสุดท้ายแล้วนะคะ”คุณลีแอนรีบประกาศ

“ค่ะ  สุดท้ายนี่มีอะไรจะฝากถึงผู้ที่จะมาชอมคอนเสิร์ตในคืนนี้ไหมคะ?” เกรซกับทีน่ารีบพยักหน้าทันที

“อย่าลืมแต่งแฟนซีมานะคะ” เกรซกับทีน่าพูดพร้อมกันสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคน ก่อนจะหมดเวลาสัมภาษณ์



         หลังการสัมภาษณ์พิรุณาตกอยู่ในภาวะ ‘เหงาหลับ’ ทันทีที่โน้ตถูกวางตรงหน้าพิรุณา ดวงตาสีสวยกวาดมองโน้ตทุกตัวราวกับจะจดจำทุกรายละเอียดไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีก แม้ว่าจะถูกคนนั้นคนนี้ลากไปแต่งตัวอย่างไรก็ไม่ได้สนใจ ไม่บ่นกับแขนเสื้อรุงรังที่เมื่อครั้งลองเสื้อบ่นอุบว่ามันยาวเกินไป  ไม่บ่นแม้แต่กับผมที่ถูกต่อจนยาวถึงเอวนั้นแม้แต่น้อย  ซึ่งคนอื่นๆก็ไม่ต่างกันคือพยายามรวบรวมสมาธิตัวเองให้ดีที่สุด  ตั้งใจเล่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้   จนในที่สุดเวลาสำคัญก็มาถึง นักดนตรีทุกคนถูกพาเดินไปตามทางเดินยาวไปสู่ประตูข้างของเวที  นักศึกษาผู้ร่วมวงต่างวิตกกังวลกันไปต่างๆนานาจนไม่อาจยืนอยู่นิ่งๆได้  และทึ่งกับความนิ่งของเหล่ามืออาชีพทั้งหลายที่ดูไม่สะทกสะท้านกับช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นนี้เลย

         ทุกคนถูกเรียกให้ยืนเป็นวงกลมแม้จะซ้อนกันหลายวงไปบ้าง แล้วกุมมือกันไปเป็นทอด เกรซมองหน้าทุกคนที่ร่วมเหนื่อยกันมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา  แล้วส่งยิ้มให้เหล่านักดนตรีมือใหม่ที่ตื่นเต้นเสียจนแสดงออกที่สีหน้า เหงื่อเริ่มซึมที่ไรผม และแน่นอนว่ามือไม้สั่นจนถ้าเล่นผีถ้วยแก้วตอนนี้ แก้วคงกระเด็นออกนอกกระดานไปแล้ว

“ขอบคุณสำหรับความอดทนและความพยายามที่สู้ร่วมกันมาตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา”เกรซกล่าวเสียงเบาแล้วยิ้มจางๆให้ทุกคน ดวงตาสีฟ้าใสมองทุกคนอย่างเชื่อมั่น

“วันนี้จะต้องผ่านไปได้ด้วยดี อย่ากลัวไปเลย ออกไปข้างนอกนั่นแล้วจงสนุกกับมันให้เต็มที่  ทิ้งความหวาดหวั่นความตื่นเต้นไว้เบื้องหลัง  คิดเสียว่าไม่มีอะไรจะเสีย”  เสียงออดอันเป็นสัญญาณว่าได้เวลาแสดงแล้วทำให้ทุกคนชะงักบางคนแหงนมองเสียงเจ้าปัญหานั้นทั้งๆที่เสียงไม่อาจมองเห็น

“คิดไว้หัวคนเป็นหัวมัน”เสียงใครสักคนพูดขึ้น ก่อนจะถูกต้อนให้ตั้งแถว โดยพิรุณา ลีอองและนักดนตรีบางส่วนแยกตัวออกมาจากคนอื่นๆเนื่องจากเพลงแรกที่บรรเลงใช้คนไม่ทั้งหมด



         แสงไฟหน้าเวทีหรี่ลงจนเกือบมืดสนิท เสียงพูดคุยจอแจค่อยเงียบลงเมื่อเสียงออดเริ่มแสดงดังขึ้น  นักดนตรีเข้าประจำที่เกือบครบทุกตำแหน่งเรียบร้อยเมื่อไฟสว่างขึ้น  เสียงปรบมือสนั่นของผู้ชมให้การต้อนรับเป็นอย่างดีทำให้เหล่านักดนตรีหน้าใหม่ค่อยโล่งอก  เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งเมื่อวาทยากรชื่อก้องเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผยแล้วโค้งให้ผู้ชุมในชุดแบบเดียวกับคนอื่นแต่สีเข้มกว่าซึ่งพิรุณาเคยล้อเอาไว้ว่า เป็นผู้อาวุโส หรือเจ้าสำนัก   คนที่เดินตามออกมาคือเกรซ เธอยิ้มหวานให้ผู้ชมอย่างคนอารมณ์ดีแล้วโค้งให้ผู้ชม ตามด้วยเทรสและอเล็กซ์ที่วันนี้หล่อเป็นพิเศษ  และสุดท้ายเป็นนักบรรเลงเครื่องดนตรีจีนอีกสามคน


         ธีรธรในเสื้อสูทสีดำรับกับดวงตาและเส้นผมทำให้ดูสง่ายิ่งกว่าปรกติ  เส้นผมถูกเสยขึ้นมากกว่าปรกติเล็กน้อยช่วยทำให้ดวงหน้าคมสันน่าดูมากขึ้น เมื่อเพิ่มผ้าพันคอสีขาวครีมผืนยาวที่พาดคอทำให้ธีรธรดูราวกับมาเฟียฮ่องกง  นี่เป็นการแต่งแฟนซีที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เขาจะต่อกรกับเลขาสาวและบรรดาน้องสาวทั้งหลายที่อุตส่าห์บินมาจากเมืองไทยเพื่องานนี้โดยเฉพาะได้   เขานั่งลงที่เก้าอี้ในบลอคที่ดีที่สุดของฮอล์ลนี้ แย่หน่อยตรงที่เขาไม่อาจไปนั่งรวมกับเหล่าน้องสาวของเขาได้เพราะต้องนั่งกับบรรดาผู้บริหารระดับสูงและแขกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายที่มาในงานนี้อย่างคับคั่ง ซึ่งเมื่อครู่เขาได้กล่าวทักทายกับบุคคลสำคัญด้านการบริหารประเทศของประเทศนี้ไปหมาดๆ   ธีรธรถอนหายใจช้าๆขับไล่ความเหน็ดเหนื่อยจากการต้อนรับขับสู้กับแขกเหรื่อทั้งหลายแล้วมุ่งสมาธิไปที่เวที 


         เขาขมวดคิ้วเมื่อพบว่าที่เปียโนว่างเปล่าไม่มีคนที่มองหา พลางนึกในใจถึงเหตุผลว่าทำไมคนๆนั้นถึงยังไม่ออกมา    วาทยากรโบกไม้บาตองขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้ว เสียงกระแอมจากชายชราข้างๆทำให้ธีรธรหลุดจากห้วงความคิดมาสนใจเวทีอีกครั้ง  เสียงเพลงแรกที่บรรเลงผ่านโสตของเขาเป็นเพลงจังหวะค่อนข้างสนุกสนานไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไปนักโดยมีเครื่องดนตรีจีนสอดประสานกับวงออเคสตร้าอย่างลงตัว  แต่ถึงกระนั้นธีรธรก็ไม่ค่อยมีอารมณ์ในการชมสักเท่าไหร่นัก จวบจนเพลงแรกจบลงเสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นแทนเสียงดนตรี  ที่เวทีนั้นมีทีมงานออกมาตั้งเก้าอี้เพิ่มและนักดนตรีส่วนที่เหลือเข้าประจำที่พร้อม    สักพักร่างสูงใหญ่ของลีอองก็เดินตัวตรงเข้ามาจับมือกับเอ็ดเวิร์ด ฮอร์น ที่เดินลงจากแท่นยืนสำหรับคอนดักเตอร์แล้วเดินสวนออกไป  ธีรธรคิดในใจ ไอ้แก่นี่มันกินแรงเด็กนี่หว่า...


         เสียงปรบมือต้อนรับวาทยากรคนที่สองยังคงดังอีกอึดใจหนึ่งก่อนจะซาลง และเริ่มปรบมืออีกครั้งเป็นครั้งที่ดังกว่าเดิมมากมายหลายเท่านัก  ร่างโปร่งบางๆที่คุ้นตาเดินขึ้นมาบนเวที  พิรุณาผู้ยิ้มกว้างนัยน์ตาพราวคนนั้นกลับมาอีกครั้ง  ดวงหน้าสวยราวตุ๊กตากระเบื้องชั้นดีดูหวานขึ้นมากจากการรวบผมขึ้นไป และยิ่งแลดูน่าดูมากขึ้นอีกที่ผมสีน้ำตาลแดงนั้นถูกต่อยาวจนเป็นหางม้า  เสื้อตัวนอกสีแดงขับผิวขาวนวลนั้นให้ผุดผาดยิ่งขึ้นเมื่อต้องแสงไฟก็ยิ่งน่ามอง  พิรุณาโค้งให้ผู้ชมอย่างสง่างามท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังราวกับห่าฝน ก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่หน้าแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ที่เปิดฝาขึ้นโดยมีไม้ค้ำไว้แล้วขยับปรับที่นั่งให้ได้ระยะที่เหมาะสม   ลีอองเชิดหน้าขึ้นแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นักดนตรีเตรียมพร้อมรอสัญญาณจากลีอองและเริ่มบรรเลงเพลงที่เร้าใจ  โดยไม่มีใครรู้ว่าสายตาของคนๆหนึ่งในจำนวนผู้ชมร่วมพันคนกำลังมองมาอย่างมาดร้าย



         ช่วงพักครึ่งสิบนาทีพิรุณาเดินออกมากดน้ำเผื่อทุกคนที่ทางเดินหลังเวทีจากตู้อัตโนมัติ  โดยมีปองช่วยถือ  ที่ทางเดินตอนนี้ไม่ค่อยพลุกพล่านเหมือนเมื่อก่อนเริ่มแสดงเนื่องจากเจ้าหน้าที่เข้าสแตนด์บายตามจุดที่รับผิดชอบแล้ว  พิรุณาหยดเหรียญแล้วก้มลงหยิบกระป๋องน้ำอัดลมยี่ห้อคุ้นหน้าคุ้นตาขึ้นมาระหว่างที่เขาก้มลงหยิบนั้น หางตาเหมือนๆจะเห็นคนบางคน  ซึ่งมักพกพาความโชคร้ายมามอบให้พิรุณาเสมอ  ซิลเวอร์  อากิระ  พิรุณาหันกลับไปมองในทิศที่เขาเห็นเมื่อครู่อย่างเต็มตา แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่าจนทำให้ปองสงสัย

‘มีอะไรหรือเปล่าครับ?’ ปองถามพลางมองไปตามทิศที่พิรุณามองบ้างแต่ก็ไม่พบอะไร

‘เปล่า คุณปองน่ารักจนต้องมองทางอื่นตะหาก’พิรุณายิ้มเผล่เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยคลางแคลงสงสัย  เพราะการแสดงอาการผิดสังเกตจะสร้างความกังวลให้ปองแน่นอน

‘ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณพิรุณาถึงเป็นเพื่อนกับคุณเคน คุณเกรซได้   ไปเถอะครับจวนถึงเวลาแล้ว’ ปองรีบรุนหลังพิรุณาให้เดินกลับไปในห้องพักนักแสดง  ทำให้มองเผินๆแล้วเหมือนพี่น้องหลงยุคกำลังหยอกล้อกัน  พิรุณาอดคิดในใจไม่ได้

ขออย่าให้เกิดเรื่องร้ายๆขึ้นเลย


   
         เสียงออดเริ่มการแสดงดังขึ้นอีกครั้งทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อย เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นเดินนำเข้ามาอย่างสง่างามเช่นเคย  ตามด้วยเกรซ และ เทรส  เพลงที่จะบรรเลงต่อไปนี้เป็นเพลงสำคัญของคืนนี้ เพลง The Butterfly Lover Concerto เสียงปรบมือเกรียวกราวต้อนรับทำให้เกรซยิ้มกว้าง  เธอหนีบไวโอลินไว้ด้วยไหล่และคาง ยกคันชักเตรียมพร้อม  เช่นเดียวกับเทรสที่นั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าพาดคอเชลโล่ไว้กับไหล่ซ้ายของตัวเองแล้วตั้งท่าเตรียม  ในหัวของเกรซเริ่มทบทวนเรื่องราวของเพลงนี้และดำดิ่งสู้ห้วงอารมณ์นั้น   เมื่อวายากรโบกมือไปในอากาศเสียงเพลงก็ดังขึ้น

         บทเพลงท่อนแรกดำเนินไปด้วยการนำของเสียงเชลโล่ซึ่งเปรียบเสมือนพระเอกของเรื่องนี้  ด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ไพเราะและท่วงทำนองน่าประทับใจ  ตามด้วยเสียงไวโอลินแว่วหวานหากอบอุ่นหยอกล้อกันชวนให้นึกถึงความเป็นพี่น้อง  เกรซหลับตาลงดื่มด่ำกับบทเพลง เธอโยกตัวน้อยๆจนเครื่องประดับรูปผีเสื้อแกว่งไกวล้อประกายแสงวูบวาบ  ทำนองเพลงในช่วงท้ายของท่อนเริ่มเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าบอกเล่าถึงตอนที่นางเอกต้องกลับบ้าน


         เพลงท่อนที่สองนับว่าเป็นท่อนของการโซโล่โดยแท้  เสียงไวโอลินอันทรงพลังและพริ้วไหวจากฝีมือของเกรซทำให้ผู้ฟังตกอยู่ในภวังค์ เสียงนั้นเหมือนพยายามต่อสู้กับเสียงออร์เคสตร้าที่กระหึ่มทะมึน     เสียงไวโอลินแหลมสูงและคมชัดทุกเส้นเสียงกรีดลงในความรู้สึก ถ่ายทอดให้คนฟังรับรู้ถึงความทรมานตามเนื้อเรื่องได้อย่างสมบูรณ์  ทำนองแปลเปลี่ยนเป็นสงบลง เสียงเชลโล่ทุ้มนุ่มนวลหากโศกเศร้านั้นราวกับกำลังกระซิบบอกถึงความรักและความทรมานไม่แพ้กัน ก่อนเสียงไวโอลินจะกรีดเสียงตามมาฟังดูโศกสะอื้นปานจะขาดใจ



เพียะ!!!



         เสียงสายไวโอลินขาดแล้วสะบัดฟาดเข้าอย่างแรงราวกับแซ่เข้าที่แก้มของเกรซเต็มรัก  เลือดสีแดงสดเริ่มซึมออกมาจากแผลนั้นจนในที่สุดก็แดงฉานไปหมด แต่ไม่มีอะไรหยุดหรือฉุดรั้งเกรซได้ในวินาทีนี้  ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้ชมและเพื่อนร่วมวง เธอยังคงสีต่อไปพลางโยกตัวน้อยๆ เสียงที่ไพเราะและลึกซึ้งนั้นล้ำลึกเกินกว่าผู้ฟังจะใส่ใจกับเสียงที่ขาดหายไป  พิรุณาทราบว่าเพื่อนของเขากำลังดำดิ่งในห้วงภวังค์ ยากที่อะไรจะมาทำลายช่วงเวลานี้ของเกรซได้   นัยน์ตาสีฟ้าสดที่ดูเข้มจัดราวกับเป็นสีน้ำเงินไม่ทอประกายแห่งความตระหนกหรือหวั่นไหวใดๆเลยแม้แต่น้อย  เสียงออเคสตร้าโหมกระหึ่มขึ้นอีกอีกครั้งทำให้ผู้ฟังตื่นเต้นเร้าใจ จนเสียงฉาบทองเหลืองของเครื่องดนตรีจีนเคาะเป็นจังหวะทำให้นึกถึงภาพนางเอกและพระเอกได้สิ้นชีวิตลงแล้ว

         ท่อนที่สามเสียงขลุ่ยจีนและพิณเริ่มบรรเลงอย่างร่าเริง เหมือนผีเสื้อสองตัวบินไปคู่เคียงกัน  ก่อนเมโลดีเฉกเช่นในท่อนต้นจะกลับมา และตบท้ายของท่อนสุดท้ายนี้ด้วยเสียงกระหึ่มของวงออเคสตร้าด้านหลังอันสื่อถึงความสุขนิรันดร์ของคนทั้งคู่ เกรซและเทรสชักคันชักไปจนสุดแล้วปล่อยพร้อมกับที่วาทยากรให้สัญญาณ  เกรซวาดแขนลงหลังจากบรรเลงเสร็จดวงหน้านั้นแม้จะเปื้อนเลือดที่แก้มหากยิ้มกว้างสดใสให้ผู้ชมที่ลุกขึ้นปรบมือให้เกรียวกราว เสียงตะโกน บราโว่ ดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะ 


“อ๊า..เจ็บชะมัดเลยอ่ะ”เกรซโวยวายหลังจากลงจากเวทีเรียบร้อยแล้ว  เธอดึงผ้าเช็ดหน้าที่กดไว้ห้ามเลือดออกให้ปองและพิรุณาดูแผล

“เยี่ยมมากเกรซ ฉันนับถือกับความเป็นนักแสดงของเธอ”เทรสกล่าวแล้วตบหัวเพื่อนสาวเบาๆ

“ดีนะที่ลีอองเอาไวโอลินมาอีกตัวไม่งั้นละแย่แน่เลย”ทีน่าถองอกลีอองซึ่งทำหน้าปุเลี่ยนจะเข้าไปปลอบเกรซก็ไม่กล้า  ลีอองก่อนจะได้เรียนคอนดักเคยเรียนไวโอลินมาก่อนนี่เองทำให้รู้จักกับเกรซ  และถึงแม้ว่าลีอองจะไม่ได้เล่นไวโอลินอย่างจริงจังแล้วแต่เขาก็ยังคงชอบนำเครื่องดนตรีสักชิ้นติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเผื่อไว้แก้เบื่อ

“แผลไม่ลึก แต่ต้องดูแลดีๆนะครับ เดี๋ยวเป็นแผลเป็นล่ะแย่เลย”ปองทำแผลให้เกรซ แต่พอจะติดพลาสเตอร์ปิดแผลเกรซก็รีบร้องห้าม

“คุณปองอย่าเพิ่งติดค่ะเดียวต้องเล่นอีกเพลง  แล้วยังต้องออกไปถ่ายรูปอีก” เพื่อนๆและคนในวงหัวเราะ

“ห่วงสวยก็บอกมาเหอะเกรซเอ๊ย”อเล็กซ์แซว

‘เอาน่าคืนนี้เกรซเป็นดาราของเรานะ จะห่วงสวยก็ไม่แปลก  ตบมือให้เธอหน่อย’ พิรุณาส่งภาษามือแล้วปรบมือให้ทุกคนจึงปรบมือตาม  แล้วเรียงแถวกันอีกครั้งเตรียมออกไปเล่นเพลงสุดท้ายหลังจากผู้ชมยืนขึ้นปรบมือให้นักดนตรีทั้งหมดยาวนานกว่ายี่สิบนาทีแล้ว

“โค้ตเพลง 101”เสียงตะโกนต่อๆกันไปทำให้ทุกคนที่รู้กันหัวเราะขำ  ไม่นึกว่าจะได้เล่นเพลงนี้ เมตเล่ห์เพลงหนังจีนชุด ที่พิรุณาเรียบเรียงมาโดยเฉพาะสำหรับแก้เบื่อ  แต่ทุกคนกลับซ้อมเพลงนี้อยากจริงๆจังราวกับเป็นหนึ่งในเพลงที่ได้คัดไว้  นึกไม่ถึงว่าจะได้เล่นต่อหน้าผู้ชมจริงๆ



      
         เสียงปรบมือของผู้ชมเกรียวกราวขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟเวทีสว่างขึ้นอีกครั้ง  นักดนตรีทยอยเดินเข้าประจำที่ คราวนี้เปียโนหลังใหญ่ถูกเลื่อนมาหน้าสุด เสียงปรบมือกึกก้องปรบให้วาทยากรทั้งสองคน  เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นขึ้นประจำยังยกพื้น ส่วนลีอองไปเคาะเครื่องเคาะด้านหลัง  ตามด้วยพิรุณาและเกรซที่ออกมาพร้อมๆกัน  ทั้งสองคนโค้งให้ผู้ชมอย่างน่าดู  พิรุณาเดินเข้าไปนั่งประจำที่ ส่วนเกรซยืนอยู่ใกล้ๆนั่นเอง เธอวางผ้าเช็ดหน้าลงตรงส่วนที่ใช้วางคางของไวโอลินก่อนจะยกไวโอลินขึ้นในท่าเตรียม  วาทยากรยกมือขึ้นสูงกว่าปรกติพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้ววาดมือลงอย่างรวดเร็ว เสียงดังกระหึ่มของวงออเคสตร้าดังกึกก้องขึ้นเปิดฉากเพลงสุดท้ายได้อย่างสวยงาม




         ประตูหอประชุมเปิดออกโดยแรง ร่างเล็กบางในชุดทักซิโดสีเขียวเข้มติดกระดุมทองเดินหุนหันออกมาอย่างหัวเสีย  เขามองพนักงานประจำหอประชุมที่เปิดประตูให้เขาไม่ทันอย่างโมโหจัดราวกับพนักงานคนนั้นทำให้เขาเคียดแค้นหนักหนา  พนักงานผู้โชคร้ายได้แต่มองอย่างงงงันแล้วเอื้อมมือหมายจะปิดประตู แต่แล้วก็มีมือลึกลับมายันไว้  ร่างสูงในชุดดำๆโผล่พรวดออกมาจากเงามือภายในหอประชุม เสียงเพลงกระหึ่มทำให้ไม่อาจได้ยินว่าชายคนนี้ร้องเรียกใครหรืออะไรออกมาแล้วเจ้าของร่างสูงๆนั้นก็วิ่งลับหายไปในทิศเดียวกับชายร่างเล็กคนนั้น  พนักงานคนนั้นได้แต่โครงศีรษะไปมาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะปิดประตูไว้ตามเดิม



         


       นักดนตรีทั้งหมดยืนขึ้นแล้วโค้งให้ผู้ชมท่ามกลางเสียงปรบมือดังสั่นราวห่าฝน พิรุณายิ้มแย้มสดใสรับการแนบแก้มกับเกรซอย่างยินดี  เคนมองภาพนั้นราวกับจะจารึกในความทรงจำ เพื่อนของเขากำลังไปได้สวยในวงการดนตรีนี้  พิรุณาก็เช่นกันกำลังสนุกกับชีวิตที่แม้จะไม่อาจได้ยินเสียงพูดคุยหรือเสียงรอบกายใดๆ  แต่เสียงปรบมือของผู้ชมที่ปรบมือให้อย่างยินดียังคงดังก้องในใจเสมอ   และจะอีกนานกว่าพิรุณาจะยอมวางมือจากวงการแห่งเสียงดนตรีและยอมไปอยู่กับเขา บางทีวันนั้นอาจมาไม่ถึง....เพราะไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะกับพิรุณาเท่าบนเวทีเช่นนี้อีกแล้ว






“ขอถ่ายภาพหน่อยค่ะ”เสียงช่างภาพร้องตะโกนบอกพิรุณา  ปองจึงรั้งแขนพิรุณาไว้ให้ถ่ายรูปก่อน พอปองทำท่าจะหนีออกจากกล้องพิรุณาก็รีบคว้าไว้ให้ถ่ายรูปคู่กัน  เมื่อมีช่างภาพเรียกไว้ได้สำเร็จกล้องอีกนับสิบตัวก็พุ่งเข้ามาถ่ายภาพ แสงไฟจากแฟรชทำให้พิรุณาและปองตาพร่าไปเลยทีเดียว

“คุณธีรธรครับ ขอถ่ายภาพคู่กับคุณพิรุณาหน่อยครับ” นักข่าวรีบเรียกบอสหนุ่มมาถ่ายรูปคู่กับพิรุณา  พิรุณาเมื่อเห็นว่าใครที่จะต้องถ่ายรูปด้วยก็แทบอยากจะเดินหนี

“เดี๋ยวสิคุณถ่ายรูปกันก่อน” ธีรธรพูดโดยไม่ขยับปากมือข้างหนึ่งโอบพิรุณาไว้ให้ถ่ายรูปคู่กัน พอเห็นว่าพิรุณาทำหน้าบอกบุญไม่รับก็เลยแกล้งก้มลงกระซิบข้างหู ทั้งที่รู้ว่าพิรุณาไม่ได้ยิน

“ทำหน้าดีๆสิคู๊ณ ทำอย่างกับภรรยาขอหย่าสามีอย่างนั้นแหล่ะ”

“พี่ธี! อย่าแกล้งคุณพิรุณานะคะ”รันดาเดินแหวกฝูงช่างภาพเข้ามาช่วยชีวิตพิรุณาไว้ทัน

“คุณปอง คุณพิรุณาน่ารักจัง  พี่รินพี่เรนมาถ่ายรูปกันเถอะค่ะ” รันดาชวนพี่สาวอีกสองคนเข้ามาเมื่อเห็นว่าฝูงช่างภาพเข้าไปรุมถ่ายเอ็ดเวิร์ด ฮอร์นกันหมดแล้ว

“สวัสดีครับคุณริน คุณเรน คุณรันด้วย” ปองกล่าวทักทายอย่างสุภาพให้หญิงสาวทั้งสามคน  ซึ่งเจ้าของชื่อรินและเรนยิ้มให้น้อยๆ  ทั้งสองมีดวงหน้าคมเช่นเดียวกับพี่น้องของเธอ แต่รินสวยที่ดวงตาเจิดจรัส ส่วนเรนน่ารักตรงที่มีลักยิ้ม เมื่อเธอแย้มยิ้มแก้มซ้ายจะมีรอยปุ๋มลงไปชวนให้น่าเอ็นดู   พิรุณามองหญิงสาวทั้งสามสลับกับมองธีรธรหลังจากได้รับคำอธิบายจากปองแล้วว่าหญิงสาวทั้งสามคนเป็นญาติของบอสหนุ่ม


ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดูสามคนนี้จะมีพี่ชายแบบไอ้คุณบอสคนนี้.....ดูสิ..แต่งตัวเหมือนมาเฟียฮ่องกงเลย


“ยัยรันปลื้มคุณมากเลยนะคะ  ไม่คิดว่าตัวจริงจะสวยน่ารักขนาดนี้” เรนกล่าวโดยที่ปองแปลให้  พิรุณาขมวดคิ้วเรียวสวยหน่อยหนึ่ง แล้วถามกลับ

‘คำว่าสวยในภาษาไทย  ใช้กับผู้ชายได้ด้วยหรอครับ?’ เรนหัวเราะเมื่อทราบว่าพิรุณาถามอะไร

“ของคุณพิรุณาเป็นกรณียกเว้นค่ะ” รินตอบแล้วหันไปยิ้มกับพี่สาวน้องสาวของเธอ  ธีรธรสะกิดรันให้ทำตามอย่างที่ตกลงกันไว้

“คืนนี้ถ้าคุณพิรุณาไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก รันอยากเชิญคุณพิรุณาไปทานอาหารค่ำร่วมกับเราสักหน่อยน่ะค่ะ”

“คุณพิรุณามีนัดไว้ก่อนแล้วล่ะครับ  ต้องขอโทษด้วย เอาไว้เป็นโอกาสหน้าแล้วกันนะครับ” ปองตอบให้อย่างสุภาพ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ไว้โอกาสหน้ารันจะชวนใหม่”รันดายิ้มหวานให้พิรุณาและปองอย่างไม่ถือโทษโกรธกัน   

“เจ้าของนัดตัวจริงมาแล้วครับ” ชายร่างสูงผมสีทองมองหญิงสาวทั้งสามแล้วยิ้มน้อยๆ  พลันนัยน์ตาสีมรกตก็เหลือบไปเห็นธีรธร อารมณ์ดีของเคนก็สะดุดลง  ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรพิรุณาก็เข้าสวมกอดเพื่อนรัก


‘คอนเสิร์ตเป็นไง  ดูดีไหม?’ พิรุณาถามอย่างกระหายใคร่รู้ แล้วกอดคอเพื่อนรักที่โน้มตัวลงให้เพื่อนตัวเล็กเกาะคอได้สะดวก  อีกครั้งที่จมูกโด่งๆเข้าใกล้แก้มขาวนวลนั้นอย่างน่ากลัวว่าพร้อมจะลอบชื่นชมความหอมหวานที่นวลแก้มนั้น

‘ดีมากเลยล่ะ ยอดหญิงเกรซเด็ดมาก’ พิรุณายิ้มกับคำตอบที่ได้รับ

“คุณเคนครับ  คุณเกรซเรียกให้ทุกคนไปถ่ายรูปแล้วล่ะครับ” ปองรีบบอกสองคนที่คุยกันราวกับโลกนี้ไม่มีใครอื่นอีกให้แยกห่างจากระเบิดเวลาอย่างบอสหนุ่ม  ปองรู้ว่าในหัวบอสหนุ่มที่นิ่งสงบนั้นกำลังปั่นเร็วจี๋

‘ยังไม่ได้ถ่ายรูปใช่ไหมครับ? เชิญครับ’ พิรุณาถ่ายรูปกับสามสาวอย่างยินดี 

‘ต้องขอตัวก่อนนะครับ’ พิรุณาส่งภาษามือให้แล้วยิ้มหวานให้กับหญิงสาวทั้งสาม โดยไม่เหลือบแลไปยังธีรธรเลยแม้แต่น้อย  ก่อนที่เคนจะจับมือบางๆนั้นแล้วพาเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

“พี่ธี หรือว่า  พี่ธีสนใจคุณพิรุณา” รันดากระซิบกับตัวเอง  เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะพี่ชายของเธอมีแต่สาวๆวิ่งตาม  นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ชายสุดหล่อของเธอวิ่งตามคนอื่น แถมยังเป็นคนสวยอย่างพิรุณาด้วย!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด