[แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55  (อ่าน 316323 ครั้ง)

ออฟไลน์ Pepor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-3
อย่างนี้ต้องมีคู่แข่ง จะได้เร่งให้อะไรเร็วขึ้น ^________________^

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3

ออฟไลน์ CHADMM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
เมื่อไหร่คู่นี้เค้าจะได้กุ๊กกิ๊กกันอ่ัะ   :laugh:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
อ่านแล้ว ชอบความเรื่อย ๆ ชิลล์ ๆ ในการใช้ชีวิตของคุณพนิตจังเลยค่ะ
แต่ถ้าเป็นเรื่องรักแล้ว คงยอมให้คุณพนิตชิลล์แบบนี้ไม่ได้ ( อายุเยอะแล้วนะ มัวแต่ชิลล์จะเหลืออะไร )
ต้องให้คุณสุภาพงษ์รีบเข้าหา ตอนนี้เนียนจับมือ + ได้ข้ออ้างไปชาร์ทโทรศัพท์มือถือให้ที่บ้าน
ก็ถือว่ามีพัฒนาการขึ้นมาหน่อย สู้ต่อไป...คุณสุภาพงษ์ !!!

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
คุณพนิต คิดในใจเก่งจริงๆ
แล้วเมื่อไหร่สองคนนี้จะได้คุยกันให้เข้าใจซะที

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
คุณพนิตเปลี่ยนไปเล็กๆ
สงสัยเริ่มชอบคุณสุภาแล้ว  :-[

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อยากได้คนมาช่วยชาร์ตแบตฯ บ้างจัง  :o8:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
เมื่อไรจะได้....รักกันเสียทีนะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ตอนนี้คอมเสีย+ป่วยค่ะ ทุกท่าน เพราะงั้นทุกเรื่องจะยังดองไม่มีกำหนดต่อไปนะคะTAT

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
ตอนนี้คอมเสีย+ป่วยค่ะ ทุกท่าน เพราะงั้นทุกเรื่องจะยังดองไม่มีกำหนดต่อไปนะคะTAT
เศร้าอ่าT^T
อยากอ่านๆๆๆ
คอมเสียนี่สุดวิสัย แต่เรื่องป่วย ขอให้หายไวๆนะ :L2:
******************
ดิทคำผิด

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
** หนีน้ำท่วมจากนนทบุรี มาอยู่บนเขาชั่วคราวค่ะ...

ใครรอสายลับเล่ม7อยู่ คาดว่าถ้าไม่มีปัญหาน้ำท่วมจนกลับเข้านนฯไม่ได้ น่าจะส่งได้ตามกำหนดนะคะ...

นั่งมึนกลางสวน เขียนเรื่องเฉื่อยๆ นี้ออกมาได้อีกตอนล่ะค่ะ (แบบเฉื่อยๆ และออกทะเลจริงๆ)
--------------------------------------------

Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่5
   วันนี้ระหว่างที่ผมกำลังนั่งนึกเรื่องพ่อกระแตอยู่ รถเก๋งฮอนด้าสีเทาคันหนึ่งก็แล่นมาจอดหน้าบ้านผม สักพักเด็กผู้หญิงอายุสักสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่งก็ก้าวลงมาจากรถ
   “ลุงนิตคะ!”
   ผมรีบลุกจากเก้าอี้หน้าเครื่องพิมพ์ดีด ตรงไปที่ประตูรั้วทันที เด็กผู้หญิงคนนั้นพอเห็นผมก็ยิ้มกว้าง แล้วยกมือไหว้ทันที “ลุงนิต สวัสดีค่ะ”
   “อืม สวัสดี” ผมยกมือรับไหว้ ผู้หญิงอายุสักสี่สิบกว่าอีกคนก้าวเท้าลงมาจากรถ “พี่นิต เป็นไงบ้างคะ”
   “ก็ดี เข้ามาก่อนสิ” ผมตอบ เธอชื่อพิไลลักษณ์ เป็นน้องสาวผมเอง ส่วนเด็กผู้หญิงที่เดินเข้ามาทันทีที่ผมเปิดประตูรั้วคือหลานสาวคนโตของผมเอง ชื่อพรรณแพรว ชื่อนี้ผมเป็นคนตั้งให้ด้วยล่ะ
   “นึกไงแวะมาหาพี่ล่ะ” ผมเอ่ยทักน้องสาว เพราะปกติถ้าจะแวะมา พิไลลักษณ์มักจะโทรเข้ามาหาผมที่บ้านก่อน น้องสาวผมตอบยิ้มๆ “จะแวะไปรับพี่ศุภชัยที่สุวรรรณภูมิน่ะค่ะ แต่พอดีเครื่องมันดีเลย์ ก็เลยแวะมาหาพี่ก่อน”
   ศุภชัยคือชื่อน้องเขยผมเอง เป็นคนเอาการเอางาน อยู่ไม่ค่อยติดบ้าน เพราะทำงานเกี่ยวกับการนำเข้า ต้องบินไปนั่นไปนี่บ่อย เขานั่งเครื่องบินเยอะจนสะสมไมล์แลกตั๋วฟรี พาลูกพาเมียไปเที่ยวต่างประเทศได้ปีหนึ่งหลายหนเลยทีเดียว ถึงเขาจะไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่ก็ดูจะดูแลเอาใจใส่น้องสาวผมดี แต่งงานกันมาเกือบยี่สิบปี ยังไม่มีปัญหาทะเลาะอะไรกันใหญ่โตกันเลยสักครั้งเดียว ผมเลยพลอยดีใจไปกับน้องสาวของผมด้วยที่ได้สามีดี แล้วก็ดีใจกับตัวเองที่ได้น้องเขยดีๆ แบบเขาด้วย
   “ลุงนิตคะ แพรวมีข่าวดีจะบอกด้วยล่ะคะ” พรรณแพรวพูดกับผมระหว่างที่เดินเข้ามาในตัวบ้าน ผมหันไปมองหลานสาว “ข่าวดีอะไรล่ะ?”
   หลานสาวผมยิ้มน่ารัก แล้วตอบออกมา “แพรวกำลังจะได้เป็นรุ่นน้องลุงนิตล่ะค่ะ”
   ผมทำตาโต “ประกาศผลสอบเอ็นฯแล้วหรือ?”
   “ค่ะ” หลานสาวผมตอบ แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “แพรวสอบติดล่ะค่ะ จะได้เป็นรุ่นน้องลุงแล้ว”
   ผมเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวที่เดินมาด้วยกัน พิไลลักษณ์ยิ้มแล้วพยักหน้า “แพรวจะได้เป็นรุ่นน้องพี่นิตแล้วนะคะ”
   ผมหันกลับไปมองหลานสาวที่กำลังยิ้มกว้าง แล้วยกมือลูบศีรษะ “เก่งจริงหลานลุง”
   “กะมาเซอร์ไพรส์ลุงเลยนะคะเนี่ย” พรรณแพรวตอบผม ผมหัวเราะชอบใจ “ลุงดีใจจริงๆ เอางี้สิ เดี๋ยวรับคุณพ่อแล้ว ไปเลี้ยงฉลองกัน เดี๋ยวลุงเลี้ยงเอง”
   “เย้! ที่ไหนดีคะ?” หลานสาวถามผมเสียงแจ๋ว ผมนิ่งไปพัก ก็นึกถึงร้านอาหารที่สุภาพงษ์พาผมไปวันก่อนขึ้นมาได้ ผมเลยตอบหลานไป
   “แล้วพี่นิตไม่ติดเขียนต้นฉบับหรือคะ?” น้องสาวผมถามหลังจากนั้น ผมหันไปมองต้นฉบับที่อยู่ในเครื่องพิมพ์ดีด แล้วสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไร ยังเหลือออีกหลายวันน่ะ”
   อันที่จริงแล้วคือยังเหลือเวลาอีกสักห้าวันเห็นจะได้ แต่ว่าผมยังนึกเรื่องไม่ออก นั่งไปก็ไม่รู้ว่าจะเขียนต่อได้รึเปล่า แล้วหลานสาวผมสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันแบบนี้ ผมต้องเลือกออกไปเลี้ยงฉลองหลานอยู่แล้วล่ะ
   “งั้นลุงนิตไปด้วยกันเลยไหมคะ รับคุณพ่อแล้วจะได้เลยไปร้านอาหารเลย” พรรณแพรวเสนอ ผมพยักหน้ารับทันที จากนั้นก็แต่งตัวเตรียมพร้อมไปเลี้ยงฉลองหลาน แล้วติดรถน้องสาวไปที่สนามบิน
--------------------------------------------------------
   ศุภชัยเดินลากกระเป๋ามาตามทางเดินในสนามบิน พอเห็นผมก็ยกมือไหว้ทันที “พี่นิต เป็นไงบ้างครับเนี่ย”
   “สบายดี” ผมพูดและยกมือรับไหว้ ศุภชัยเป็นรุ่นพี่น้องผมปีหนึ่ง แต่ก็ยังเป็นรุ่นน้องผมล่ะ สองคนนี่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันมาก่อน แต่คนละมหาวิทยาลัยกับผมนะ พรรณแพรววิ่งไปรับถุงสองสามใบจากพ่อ แล้วพูดขึ้นบ้าง “ลุงนิตจะพาแพรวไปเลี้ยงฉลองล่ะค่ะ แพรวจะได้เป็นรุ่นน้องลุงนิตแล้ว”
   “อื้อหือ หนีไปเป็นรุ่นน้องลุงนิตซะแล้ว ไม่ยอมเป็นรุ่นน้องพ่อกับแม่นะเนี่ย” ศุภชัยพูด ได้ยินเสียงน้องสาวผมพูดเสริมต่อ “ไม่รู้ว่าเรียนจบมาแล้วจะเป็นนักเขียนแบบพี่นิตรึเปล่านะคะ”
   “เป็นนักเขียนไส้แห้งนะ ดูลุงสิ ผอมเอาๆ จนจะเป็นกุ้งแห้งอยู่แล้ว” ผมว่า พลางทำหน้าขึงขัง ชี้ให้หลานดูหุ่นตัวเอง หลานสาวผมหัวเราะ แล้วพูดขึ้นบ้าง “อย่างลุงนิตเรียกว่าหุ่นดีนะคะ ดูพ่อหนูสิ หุ่นอาเสี่ยแล้ว พ่อคะ เดี๋ยวนี้เขารณรงค์ลดอ้วนแล้วนะคะ”
   ศุภชัยที่โดนพาดพิงกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดแก้เก้อ “ลุงเขาผอมไปต่างหาก วัยพ่อต้องหุ่นแบบนี้แหละ” พูดพลางตบพุงน้อยๆ แข่งกับผม น้องสาวผมเลยพูดขึ้นบ้าง “หุ่นยังไง ขอให้ไม่มีโรคก็พอแล้วล่ะค่ะ คุณเองก็ระวังๆ ไว้หน่อยดีกว่า ลูกพูดเพราะเป็นห่วงนะคะ”
   “จ้าๆ” ศุภชัยว่า แล้วหันมาหาผม “พี่นิตบอกว่าไส้แห้ง แล้วแบบนี้จะเลี้ยงฉลองหลานไหวหรือครับเนี่ย”
   ผมทำหน้าขึงขังตอบเขา “ไส้แห้งไม่ใช่ว่ากระเป๋าแห้งสักหน่อย หลานคนเดียว ทำไมพี่จะเลี้ยงไม่ได้ แต่เลี้ยงพ่อหลานนี่สิ พี่ชักไม่ค่อยจะแน่ใจว่าจะเลี้ยงไหวหรือเปล่า”
   ศุภชัยทำคิ้วย่น ส่วนน้องสาวกับหลานผมหัวเราะออกมา เราเดินกันไปคุยกันไปจนถึงรถ
   
   ที่ร้านอาหาร ผมฟังพรรณแพรวเล่าเรื่องการเตรียมตัวสอบ แล้วก็ตอบคำถามเรื่องการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ซึ่งข้อนี้ผมก็ตอบไปกันตัวเองไป เพราะประสบการณ์ของผมมันก็ตั้งยี่สิบกว่าปีมาแล้ว สมัยนี้มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้วก็ได้
   คุยกันไปได้สักพัก พรรณแพรวก็พูดถึงเรื่องหนังสือของผม
   “ลุงนิตคะ เพื่อนแพรวฝากมาขอลายเซ็นลุงด้วยล่ะค่ะ” เธอพูด แล้วหยิบหนังสือรวมเล่มเรื่องล่าสุดของผมขึ้นมา “ของบิ๋มเพื่อนแพรวเองนะ นี่ฝีมือแพรวแนะนำนะคะเนี่ย บิ๋มฝากมาบอกลุงด้วยล่ะค่ะ ว่าลุงน่าจะลองเขียนนิยายรักดูบ้าง เพราะภาษาลุงสวยดี จะได้แข่งกับนิยายวัยรุ่นสมัยนี้น่ะค่ะ”
   ผมรับหนังสือมา แล้วหัวเราะ “อืม ลุงไม่ถนัดเขียนนิยายรักหรอก แต่ดีใจนะที่คนรุ่นแพรวอ่านงานของลุงด้วย”
   หลานผมทำตาโต “โห... มีคนสนใจงานลุงเยอะออกนะคะ แต่ลุงไม่ค่อยรวมเล่มนี่สิ จะซื้อแมกกาซีนมาอ่านเป็นตอนๆ ก็ไม่ไหวอ่ะค่ะ พวกหนูยังไม่มีลูกนี่คะ” พรรณแพรวพูดแล้วหยุดไปหน่อยหนึ่ง “ลุงบอกที่สำนักพิมพ์ไม่ได้หรือคะ ว่าช่วยทำเป็นรวมเล่มด้วย จะได้ขายลูกค้ากลุ่มอื่นได้ด้วยไงคะ”
   ผมยิ้มให้หลานอย่างเอ็นดู “ไว้เดี๋ยวจะบอกน้องที่สำนักพิมพ์ให้แล้วกันนะ แต่ลุงไม่รับประกันหรอกนะว่าเขาจะทำรวมเล่ม เขาขายแค่หนังสือที่มีอยู่ก็กำไรเยอะแล้วน่ะ”
   พรรณแพรวทำหน้ายู่ “งั้นลุงก็รวมเล่มเองเลยสิคะ หนูเห็นเดี๋ยวนี้มีโรงพิมพ์ที่พิมพ์ตามจำนวนเยอะหรอกค่ะ”
   ผมได้แต่หัวเราะ เซ็นหนังสือแล้วส่งให้หลานสาว เจ้าตัวคงไม่รู้หรอก ว่าการออกรวมเล่มมันยากเย็นขนาดไหน นอกจากจะต้องเขียนให้จบแล้ว ยอดขายก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าสำนักพิมพ์ดูแล้วว่าไม่คุ้ม เขาก็ไม่ทำออกมาเป็นรวมเล่มหรอก ยิ่งโดยเฉพาะนิยายที่แทรกอยู่ในนิตยาสารรายปักษ์สำหรับครอบครัวแบบนี้ ผมคิดว่าที่ผมมีรวมเล่มออกมาได้ตั้งหลายเรื่องนี่ถือเป็นเรื่องโชคดีมากแล้วล่ะ เพราะปกติไม่ค่อยมีใครเขาตามซื้อรวมเล่มนิยายที่ลงแบบนี้หรอก
   เราคุยกันอยู่จนถึงราวๆ สามทุ่ม ถึงจะได้กลับออกมาจากร้านอาหาร ครอบครัวน้องสาวผมขับรถมาส่งถึงบ้าน แต่พอใกล้ๆ จะถึง ผมก็เห็นรถเก๋งโตโยต้าสีขาวคันหนึ่งจอดอยู่
---------------------------------------------
   “คุณพนิต!” ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาที่แม้จะมีแค่ไฟสลัวๆ ของแสงไฟตรงเสาไฟฟ้าสาธารณะ และไฟจากรถส่อง ก็พอจะมองรู้ว่าดีไม่หยอก เอ่ยเรียกชื่อทันทีที่เห็นผมลงจากรถ ผมมองหน้าเขา แล้วเอ่ยทักอย่างแปลกใจ “คุณสุภาพงษ์ มีธุระอะไรหรือครับ?”
   สุภาพงษ์ทำหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนไม่รู้จะพูดอะไร หลานสาวผมที่เดินออกมาด้วยก็เลยกระซิบถาม “ใครน่ะคะ ลุงนิต”
   “บก.นิตยาสารที่ลุงเขียนเรื่องให้อยู่น่ะ” ผมตอบหลานสาวไป พรรณแพรวทำตาโต “ดูเด็กจังค่ะ” เธอพูด แล้วหันไปยกมือไหว้เขา ผมเลยจำต้องแนะนำให้สุภาพงษ์รู้จักด้วย
   “นี่หลานผม ชื่อแพรว ส่วนนั่นน้องสาวกับน้องเขยผม” ผมหันไปทางน้องสาวที่เพิ่งเปิดประตูรถออกมา และน้องเขยที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ก่อนจะพูดต่อ “นี่คุณสุภาพงษ์ บก.พี่ตอนนี้”
   น้องสาวผมพยักหน้า ในขณะที่สุภาพงษ์ยกมือขึ้นไหว้ “สวัสดีครับ ขอโทษนะครับที่มารบกวน”
   “อืม..” ผมครางในคอ “มีเรื่องอะไรล่ะ?”
   “ครับ..” สุภาพงษ์พูด แต่ก็ไม่มีอะไรอีก ได้แต่ยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่แบบนั้น น้องสาวผมเห็นท่าทางว่าอาจจะเป็นธุระสำคัญ เลยขอตัวกลับก่อน พอรถฮอนด้าสีเทาแล่นออกไปแล้ว ก็เหลือผม เขา และรถโตโยต้าสีขาวคันนั้น ผมเห็นว่าดึกแล้ว จะคุยกันนอกบ้านก็กะไร เลยชวนเขาเข้าไปในบ้าน
   “มีเรื่องอะไรก็ไปคุยกันข้างในแล้วกัน” ผมพูด แล้วเปิดประตูบ้าน พลางคิดว่าสุภาพงษ์มีธุระอะไรกันนะ เขาเดินตามหลังผมมาเงียบๆ พอเข้ามาในตัวบ้าน เปิดไฟเปิดอะไรแล้ว ผมก็หันมาพูดกับเขา “มีธุระอะไรล่ะ?”
   สุภาพงษ์มองหน้าผม เม้มปากหน่อยๆ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าหน้าตาเขาดูเปลี้ยๆ พิกล เลยรีบถามต่อ “ไม่สบายหรือ?”
   “เปล่าครับ” เขาตอบออกมาในที่สุด “ผมมาหาคุณตั้งแต่ตอนเย็น ไม่เห็นอยู่บ้าน โทรเข้าโทรศัพท์มือถือก็ปิด ผมก็เลย....”
   “หืม?” ผมมองหน้าเขาทันที “คุณมาหาผมตั้งแต่ตอนเย็น?” ผมว่า แล้วหันไปมองนาฬิกา “อย่าบอกนะว่า.. รออยู่จนถึงป่านนี้น่ะ?!”
   “ครับ” สุภาพงษ์ตอบออกมา แล้วพูดต่อ “ผมมาชาร์ตแบ็ตเตอรี่โทรศัพท์ให้คุณน่ะครับ”
   ผมเกือบร้องออกมา ลืมไปเลยว่าเมื่อสักสามสี่วันก่อน เขาบังคับซื้อโทรศัพท์มือถือให้ผมเครื่องหนึ่ง ด้วยความกลัวว่ามันจะส่งเสียงร้องน่ารำคาญ ผมเลยเอาไปวางไว้ให้ห่างจากโต๊ะพิมพ์ดีด ไม่นึกว่าเขาจะตามมาชาร์ตแบ็ตฯโทรศัพท์ให้อย่างที่พูดเอาไว้วันนั้น ผมคิดว่าเขาพูดเล่นเสียอีก
   ขณะที่ผมกำลังนึกว่าจะพูดกับเขายังไงดี สุภาพงษ์ก็พูดขึ้นอีก “โทรศัพท์ล่ะครับ?”
   ผมอึ้งไปพักหนึ่ง ความทรงจำสุดท้ายของผมเกี่ยวกับเจ้าเครื่องมือรบกวนความเป็นส่วนตัวนั่นคือ วางมันเอาไว้ให้ไกลจากหูที่สุด ปัญหาคือ ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าวางมันเอาไว้ตรงไหน…..
   พอเห็นผมเงียบ สุภาพงษ์ก็หน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด อืม... ปกติเขาหน้านิ่งนะ เวลาหน้าเจื่อน คิ้วเขาจะตกลงหน่อยๆ ปากเม้มนิดๆ ตาก็เรื้อๆ ขึ้นมา
   “ทิ้งไปแล้วหรือครับ” เขาพูด แล้วช้อนตาขึ้นมองผม แย่ล่ะสิ ผมเผลอมองหน้าเขาตาค้างอีกแล้ว พอเห็นว่าเขามองขึ้นมา ผมเลยต้องรีบตีหน้าจริงจังทันที “เปล่า พอดีผมเห็นว่ามันราคาแพงอยู่ ก็เลยเอาไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว”
   “!” สุภาพงษ์เงยหน้าขึ้นมองผม ด้วยสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด “ที่ปลอดภัย?”
   ไม่บ่อยนักหรอกที่สุภาพงษ์จะทวนคำพูดผมทันควันแบบนี้ แล้วก็ดันทวนคำพูดที่ผมพูดออกไปแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดเสียด้วยสิ
   ผมอับจนคำพูดไปชั่วขณะ ตอนนั้นเองที่สุภาพงษ์พูดขึ้นต่อ “เอ่อ.... โทรศัพท์พกไว้กับตัวก็ได้ครับคุณพนิต ไม่ต้องเก็บรักษาขนาดนั้นหรอก”
   ข้อนั้นผมรู้ล่ะ แต่ครั้นจะหันมาบอกเขา มันก็จะกลายเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองที่พูดออกไปตะกี้อีก ให้ตายสิ ทำไมผมไม่คิดข้อแก้ตัวอะไรที่มันฟังดูเข้าท่ากว่านี้หน่อยนะ
   ผมปั้นหน้าขรึม กลั้นใจพูดต่อ “พกของแพงไว้กับตัวแบบนั้น อันตรายจะตาย ผมเก็บไว้น่ะดีแล้วล่ะ”
   สุภาพงษ์มองหน้าผม ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็พูดไม่ออก เราอึ้งกันไปอีกสักพัก ในที่สุดเขาก็พูดออกมาจนได้ “เก็บไว้ตรงไหนน่ะครับ?”
   ผมมองหน้าเขา นึกสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้เสียที ผมบอกว่าเก็บดีแล้วก็ควรจะกลับบ้านไปได้แล้วสิ ไม่ใช่มาทู่ซี้ถามผมอยู่แบบนี้ นี่ผมอุตส่าห์ตอบเพื่อรักษาน้ำใจเขานะ ไม่บอกว่าลืมไปแล้วก็ดีแค่ไหน เขาควรจะหยุดถามได้แล้วล่ะ
   “ผมเก็บไว้ดีที่สุดแล้วล่ะ” ผมตัดสินใจตอบเขา และรู้สึกว่าทำตัวงี่เง่าสิ้นดี สุภาพงษ์มองผม จากนั้นก็พูดขึ้นต่อ “แต่ผมอยากให้คุณพกเอาไว้นะครับ... ช่วยกรุณาพกไว้ด้วยเถอะครับ”
   “อืม” ผมส่งเสียงในคอ ภาวนาให้เขากลับบ้านไปเสียที เดี๋ยวผมจะได้มีเวลาหาไอ้เจ้าเครื่องรบกวนความเป็นส่วนตัวนั่น เขาจะได้เลิกห่วง แต่สุภาพงษ์พูดแล้วยังยืนนิ่ง ผมเลยต้องพูดต่อ “กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวผมจะพกเอาไว้กับตัวแล้วกัน”
   สุภาพงษ์มองหน้าผม เออ เขาหล่อ ผมรู้แล้วเขาหล่อ แต่ช่วยหยุดมองหน้าผมแล้วกลับบ้านไปเสียทีเถอะ จะมองหน้าผมทำไมบ่อยๆ นะ
   เขามองอยู่สักพักก็พูดออกมา “คุณพนิตทิ้งไปแล้วใช่ไหมครับ?” พูดจบก็เม้มริมฝีปาก จากนั้นก็หันหน้าไปอีกทางหนึ่ง “ผมขอโทษที่รบกวนนะครับ”
   ไม่รู้ทำไม พอเห็นเขาทำท่าแบบนั้น หัวใจผมก็หล่นวาบทันที หลุดปากพูดออกไป “เดี๋ยวก่อน”
   สุภาพงษ์หันกลับมามองหน้าผม มองด้วยหน้าหล่อๆ ของเขานั่นแหละ แล้วก็ไม่พูดอะไรด้วยนะ เดือดร้อนผมต้องพูดต่อ “ผมไม่ได้ทิ้งโทรศัพท์คุณหรอก แค่จำไม่ได้ว่าวางเอาไว้ตรงไหนเฉยๆ”
   ท้ายที่สุดผมก็ต้องยอมรับออกไปตรงๆ คิดอยู่นะว่าเขาต้องทำหน้าเสียใจแน่ๆ ที่ผมลืมแบบนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเขายิ้มออกมา สุภาพงษ์ยิ้มล่ะ พอผมพูดจบปุ๊บ เขาก็ยิ้มออกมาเลย
“งั้น... มาช่วยกันหาเถอะครับ” เขาพูด แล้วเดินเข้ามาหาผม “คราวที่แล้วตอนซื้อมา ผมเห็นคุณวางเอาไว้ใกล้ๆ โต๊ะรับแขก เดี๋ยวไปลองหาให้นะครับ”
“อืม” ผมจำใจต้องพยักหน้ารับออกไป เขามองหน้าผม ยิ้มบางๆ บนหน้า หล่อจริงๆ ให้ตายสิ
ไม่รู้ว่าเผลอมองหน้าเขาอยู่นานเท่าไหร่ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขาหันกลับ แล้วเดินไปตรงโต๊ะรับแขกนั่นแหละ
“เดี๋ยวผมจะดูในตู้ให้แล้วกัน” ผมพูดออกไปอย่างคนที่ไม่รู้ว่าจะแก้เกี้ยวอย่างไรดี เขาหันมามองผม แล้วยิ้มอีก “ครับ”
สุภาพงษ์ตัวสูงมาก สูงสักร้อยแปดสิบร้อยเก้าสิบเห็นจะได้ แต่ด้วยหุ่นของเขา พอมองรวมๆ กันแล้วก็กำลังพอดี ไม่ดูสูงโย่ง ตอนเขาก้มลงหาโทรศัพท์บนโต๊ะรับแขก ทั้งไหล่ทั้งสะโพกของเขาก็สมส่วนกำลังดี ผมมองเพลินๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมา “ไม่มีนะครับ คุณพนิต”
“อ้อ.. เอ้อ” ผมนึกด่าตัวเองที่เผลอมองเขาจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกแล้ว รีบส่งเสียงงึมงำออกไป พอเห็นเขายังมองนิ่ง ก็ต้องพูดขึ้นต่อ “อาจจะอยู่ในตู้ก็ได้มั้ง”
พูดจบผมก็รีบหันหน้าหนีเขาไปอีกทาง โชคดีมีตู้ติดผนังที่เอาไว้ใส่ของอยู่พอดี ผมเลยพอจะหาอะไรเนียนกลบพฤติกรรมน่าอายของตัวเองได้ ผมลากเก้าอี้ไม้ตรงโต๊ะพิมพ์ดีดมา แล้วต่อเพื่อปีนไปดูตรงตู้พวกนั้น อันที่จริงก็ไม่นึกว่าตัวเองจะอุตริเอาโทรศัพท์มือถือมาไว้อะไรบนนี้หรอก แต่ก็นะ ผมพูดไปแล้วว่าตู้ ก็ต้องทำให้มันสมจริงสมจังหน่อยล่ะ ได้ยินเสียงสุภาพงษ์พูดออกมา “ระวังนะครับ”
ผมส่งเสียงในคอตามเรื่อง แล้วปีนเก้าอี้ขึ้นไปดูในตู้ อืม... โทรศัพท์น่ะไม่มีหรอก แต่มีหนังสือเก็บเอาไว้เพียบเลย กองนั้นตั้งแต่สมัยผมเขียนเมื่อสักสิบกว่าปีที่แล้วล่ะมั้ง อีกกองก็เก่ากว่านั้นอีก มองไปมองมาก็เห็นหนังสือปกหนาเล่มสีเขียวที่ไม่ได้เขียนสันเอาไว้เล่มหนึ่ง นึกขึ้นมาได้ว่ารู้สึกจะเป็นนิยายแปลที่ชอบมากเล่มหนึ่ง ถึงขั้นลงทุนเอาไปทำปกแข็งเก็บเอาไว้ นานแล้วที่ไม่ได้หยิบมาอ่าน
พอนึกได้อย่างนั้นผมก็เลยเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา เผอิญมันซ้อนอยู่เกือบจะใต้สุด จะเอาออกมาก็ต้องออกแรงดึงพอสมควร ผมเอื้อมๆ ดึงๆ อยู่พักก็เอามันออกมาได้สำเร็จ แต่ตอนที่จะหยิบออกมา ก็ดันหลุดมือ ผมเลยเอื้อมไปคว้าหนังสือเอาไว้ ทันใดนั้นเองเก้าอี้ที่ผมยืนอยู่ก็เกิดเสียหลัก เอียงวูบลงทันที
“คุณพนิต!”
ผมได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อผม ขณะที่ผมเอื้อมมือคว้าหนังสือที่กำลังจะหล่นเอาไว้กลางอากาศ พลางคิดว่าคราวนี้ถ้าไม่ขาหักก็คงเจ็บหนัก ผมไม่ทันจะอ้าปากร้องด้วยซ้ำตอนที่หล่นลงมาบนพื้น แต่ขาหมดไม่หักล่ะ ร่างกายผมไม่มีอะไรบุบสลายเลย เพราะสุภาพงษ์รับผมเอาไว้ทันพอดี
“คุณพนิต!!”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ผมใจเต้นตึกๆ กอดหนังสือเล่มนั้นเอาไว้แน่น ยังตกใจไม่หาย ผมเห็นอกเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนของสุภาพงษ์ รู้สึกถึงลำแขนของเขาที่รับผมเอาไว้ รู้สึกด้วยว่าเขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ดูจากอาการหายใจหอบของเขานะ
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” เขาขยับตัวออกหน่อย แล้วก้มหน้าลงมาถามผม ผมสั่นศีรษะ ตกใจจนพูดไม่ออก สุภาพงษ์มองแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดอีก “โชคดีจัง”
ผมเองก็นึกเห็นด้วยกับเขาหรอกว่าโชคดีจริงๆ เพราะถ้าเขารับผมไม่ทัน ผมคงต้องเจ็บหนักแน่ๆ แต่ว่า... ถูกเขากอดแบบนี้ มันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือกัน เหมือนว่าเขาจะแนบหน้าเข้ากับศีรษะผมด้วยล่ะ
“ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ” ผมว่า แล้วก็ถือโอกาสผลักเขาออกเนียนๆ สุภาพงษ์มองหน้าผมอึ้งๆ แต่ก็ยอมถอยออกไปโดยดี ผมมองเขา จากนั้นจึงค่อยนึกถึงหนังสือในมือขึ้นมาได้ จึงก้มลงดู โชคดีจริงๆ ที่ไม่มีอะไรบุบสลาย หนังสือเก่าสักสามสิบปีได้แล้วมั้งเนี่ย
“คุณพนิตครับ...”
ผมสะดุ้งเฮือก จากนั้นก็รีบปิดหนังสือ เงยขึ้นไปก็เห็นสุภาพงษ์กำลังมองลงมาอยู่ เอาล่ะ ถึงเขาจะหน้านิ่งขนาดไหน แต่ตอนนี้ผมว่าเขากำลังไม่พอใจหรือไม่ก็งงอยู่พอสมควรเลยล่ะ มันก็น่าอยู่ เขากำลังพยายามหาโทรศัพท์ ผมที่ทำเนียนปีนขึ้นไปหาบนตู้ หล่นลงมาให้เขาช่วยอุ้มเอาไว้ก็แล้ว ยังจะมายืนอ่านหนังสืออีก
“นิยายเก่าสมัยผมเด็กๆ น่ะ” ผมว่า แล้วเดินเอาหนังสือไปวางตรงโต๊ะพิมพ์ดีด จากนั้นก็หันมามองหน้าเขา “ในตู้ก็ไม่มีนะ”
“ครับ” สุภาพงษ์รับคำผมเรียบๆ จากนั้นก็พูดขึ้นต่อ “ถ้าจะหาที่สูงๆ บอกผมนะครับ เดี๋ยวผมปีนให้”
“อืมๆ” ผมส่งเสียงในคอ จากนั้นเราก็สาละวนช่วยกันหาโทรศัพท์มือถือกันอีกพักใหญ่ ผมนึกสงสัยตัวเองว่าทำไมจะต้องมาตามหาไอ้เครื่องมือรบกวนความเป็นส่วนตัวตอนดึกๆ แบบนี้ด้วย ครั้นจะไปหาใกล้ๆ สุภาพงษ์ ก็กลัวว่าจะเผลอมองหน้าเขาอีก เกิดโดนเขาจับได้ขึ้นมาสักวัน คงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ไหน นึกแล้วผมนี่เหมือนตาแก่โรคจิตเข้าไปทุกที แอบมองเขาอยู่ได้... ไม่รู้สิ ผมชอบมองของผมเฉยๆ ผมไม่อยากได้อย่างอื่นจากเขาเลย... จริงๆ นะ
ก็แค่ชอบมองหน้าเขาตอนที่เขาไม่รู้ตัวเฉยๆ น่ะ
“คุณพนิตครับ พอนึกออกไหมครับ ว่าเอาโทรศัพท์ไปตรงไหนบ้าง” สุภาพงษ์ถามออกมา หลังจากหากันไปพักใหญ่แล้ว ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อ พลางสั่นศีรษะ “ไม่รู้สิ ผมนึกไม่ออกเลย”
สุภาพงษ์มองหน้าผม จากนั้นก็จับมือผมเอาไว้ บีบเบาๆ “ไปนั่งแล้วค่อยๆ นึกกันเถอะครับ”
ผมเงยหน้ามองเขา อยากจะพูดอยู่หรอก เรื่องจับมือโดยไม่ขออนุญาตน่ะ แต่... พอเงยหน้าขึ้นไปแล้ว เจอเขากำลังมองอยู่ ด้วยสีหน้าจริงจังขนาดนั้น สมองผมก็เกิดตื้อขึ้นมากะทันหัน ปากก็ขยับไปออกชั่วคราว สุดท้ายก็ถูกเขาจูงมือไปนั่งตรงเก้าอี้ยาวจนได้ ผมเลยจำต้องทำเป็นนั่งนึกว่าวางโทรศัพท์เอาไว้ตรงไหน ทั้งๆ ที่ใจยังเต้นตึกๆ อยู่เลย ก็เขาดันจับมือผมเอาไว้ไม่ปล่อยนี่สิ...
   “พอนึกออกไหมครับ?” สุภาพงษ์ถามหลังจากเห็นผมนั่งเงียบ ผมล่ะอยากจะหันไปบอกเขาจริงว่า เอามือออกไปจากมือผมเสียที ผมจะได้นึกอะไรออกบ้าง แต่พอหันไปเห็นหน้าเขา สมองผมก็หยุดทำงานเพราะหน้าหล่อๆ ของเขาอีกแล้ว
   บ้าจริงเชียว!
   “คุณพนิต...” สุภาพงษ์เรียกชื่อผมอีก แล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ โอ๊ย ตายแล้ว ใกล้เกินไปแล้วนะผมว่า แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ หน้าตาเขาดีก็จริง ผมชอบมองก็จริง แต่แบบนี้.......
   “โทรศัพท์หาดูมั้ย!?” ผมโพล่งออกมา เพราะคิดขึ้นได้ว่า ไอ้เจ้าเครื่องมือรบกวนความเป็นส่วนตัวนี่มันโทรเข้าแล้วจะส่งเสียงนี่นา ถ้าได้ยินเสียง ก็คงพอจะหาเจอล่ะมั้ง หน้าของสุภาพงษ์ขยับถอยออกไปหน่อยหนึ่ง ได้ยินเสียงเขาพูดตอบ “แต่ผมลองโทรแล้ว เหมือนว่าแบ็ตมันจะหมดนะครับ”
   “ไม่เป็นไร ลองโทรดู โทรศัพท์ผมก็ได้” ผมพูดเร็วปรื๋อ แล้วรีบฉวยจังหวะนั้น เดินดุ่มๆ ไปที่โทรศัพท์บ้านที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กใกล้กับประตูครัวทันที
   ผมยังรู้สึกชื้นตรงมือที่เขาจับอยู่เลย ตอนที่เดินออกมา
   “สุภาพงษ์” ผมเรียกชื่อเขา ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะวางโทรศัพท์ ได้ยินเสียงสุภาพงษ์พูดตอบ “อะไรหรือครับ?”
   ผมหันไปหาเขา แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ชูโทรศัพท์มือถือในมือให้เขาดู “ผมเจอแล้วล่ะ วางอยู่ตรงโทรศัพท์นี่เอง”
   สุภาพงษ์เดินเข้ามาหาผม แล้วยิ้มบางๆ บนหน้า เล่นเอาหัวใจผมเต้นตึกๆ ผมเลยต้องรีบพูดออกไปอีก “สงสัยผมจะคิดว่า วางไว้ใกล้กันจะได้รับง่ายๆ ล่ะมั้ง”
   “อืม.. ดีแล้วล่ะครับที่เจอ” สุภาพงษ์ว่า จากนั้นก็ยื่นมือมารับโทรศัพท์... พร้อมกับมือผม เออ ผมว่าคราวนี้ชัดเลย เขาชอบเนียนจับมือผมจริงๆ ด้วย แต่... ผมดันนึกไม่ออกว่าจะต่อว่าเขาเรื่องนี้ยังไงนี่สิ...
   “จริงสิ ต้องชาร์ตแบ็ตใช่มั้ย?” ผมรีบพูดออกมา เพราะกลัวจะพูดอะไรไม่ออก แล้วถูกเขาทำอะไรมากกว่าจับมือ สุภาพงษ์มองหน้าผม แล้วพยักหน้า ผมเลยรีบดึงมือออก แล้วหันหลังกลับไป หยิบกล่องใส่โทรศัพท์ซึ่งวางอยู่ตรงชั้นใต้โต๊ะเล็ก หยิบสายชาร์ตแบ็ตเตอรี่ออกมา แล้วรีบยัดใส่มือเขา แต่เขาก็ยังไม่วาย... จับมือผมเอาไว้อีกตั้งพักหนึ่งแน่ะ
   “สุภาพงษ์ แบ็ตมันหมดอยู่นะ” ผมพูดออกมาในที่สุด เพราะเขาเล่นยืนจับมือผมนิ่งๆ ไม่ยอมปล่อยสักที สุภาพงษ์มองหน้าผม แล้วก็ยอมปล่อยมือในที่สุด ผมล่ะแทบจะถอนหายใจออกมาเลย ถ้าไม่เกรงใจเขานะ
   พอสุภาพงษ์เดินไปเสียบสายชาร์ตโทรศัพท์ ผมก็เลยนั่งปุลงบนเก้าอี้ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ พอเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาก็เกือบอุทานออกมาด้วยความตกใจ
   ตายล่ะ นี่ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วหรือเนี่ย ไม่รู้เลยว่าใช้เวลาหาโทรศัพท์ไปนานขนาดนี้ มิน่าล่ะ เริ่มรู้สึกง่วงๆ ขึ้นมาแล้ว
   ผมหันไปมองสุภาพงษ์ที่เพิ่งเสียบสายชาร์ตแบ็ตเตอรี่โทรศัพท์เสร็จ แล้วหลุดปากพูดออกไป “คุณสุภาพงษ์ ดึกแล้ว ถ้าไม่ลำบาก จะค้างที่นี่ก็ได้นะ”
   สุภาพงษ์หันมามองหน้าผม ผมเห็นเขาเม้มปากจนเป็นเส้นบาง ถ้าไม่คิดไปเองนะ ผมว่าเขากลั้นยิ้มอยู่นะ ไม่รู้ทำไม พอนึกแบบนั้นแล้วผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาเลยล่ะ
   นี่ผมพลาดไปแล้วรึเปล่านะ
   “ขอบคุณนะครับ” สุภาพงษ์พูดเรียบๆ จากนั้นเราก็สองคนก็เงียบกันไปพักหนึ่ง ไหนๆ ผมเองก็หลุดปากชวนเขาไปแล้ว คงต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีเสียหน่อย
   เอาน่า... ก็แค่ให้เขานอนค้าง เพราะมันดึกมากเท่านั้นแหละ
   “ขึ้นไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมหยิบผ้าเช็ดตัวให้” ผมว่า เพราะชั้นหนึ่งผมมีแต่ห้องส้วม ห้องอาบน้ำแยกไปด้านบนต่างหาก อาบแล้วน้ำก็จะไหลลงท่อ ไปตามราง ลงไปตามร่องน้ำที่ผมขุดเอาไว้ ผมจะได้รดน้ำต้นไม้ได้ทุกวันโดยไม่ต้องแบกน้ำหนักๆ ไงล่ะ
   สุภาพงษ์พยักหน้า เขารอจนผมปิดประตูบ้านเสร็จ แล้วเดินตามผมขึ้นไปชั้นบน ผมหยิบผ้าเช็ดตัวให้เขาผืนหนึ่ง
   “คุณพนิตอาบก่อนก็ได้ครับ” เขาว่า ตอนที่ยื่นมือมารับผ้าเช็ดตัว ดีนะคราวนี้เขาไม่ฉวยโอกาสจับมือผมอีก ผมเลยพอจะพูดตอบเขาแบบคนปกติธรรมดาได้ “ไม่เป็นไร อาบก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะได้เตรียมเสื้อเตรียมที่นอนไว้ให้”
   “ขอบคุณนะครับ” เขาพูด แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป ผมมองตามหลังเขา จากนั้นก็หันไปมองหาเสื้อผ้าและเครื่องนอนในตู้
   ที่จริงชั้นบนมีห้องว่างอีกห้อง มีเตียงนอนอยู่ ผมเอาไว้เผื่อว่าจะมีใครมาค้างที่บ้าน แต่หลังๆ นี้ไม่ค่อยมีใครมา หนังสือที่ผมซื้อก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นที่เก็บหนังสือไปแล้ว นี่ถ้ารู้ล่วงหน้า ผมก็พอจะทำความสะอาดห้องไว้ให้เขาทันหรอก แต่ดึกขนาดนี้แล้ว จะทำความสะอาดแบบลวกๆ ให้เขาเข้าไปนอนก็กระไร
   ผมหันมองเตียงตัวเอง อืม... มันก็กว้างอยู่นะ แต่.... ให้เขานอนด้วยคงไม่เหมาะ จะให้ไปนอนเก้าอี้ยาวด้านล่างก็น่าเกลียด มีที่ว่างๆ อยู่ข้างเตียงผม หรือว่าจะให้เขาปูผ้านอนตรงนี้ดีนะ... แต่ก็คงไม่เหมาะอีกล่ะมั้ง ผมชวนเขาค้าง จะให้เขานอนที่พื้นได้ไง
   สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจไปเปิดห้องอีกห้องที่มีเตียง พยายามจะหยิบกองหนังสือที่กองสุมกันอยู่ไปวางรวมๆ กันไว้ไม่ให้เกะกะ หยิบไม้กวาดมากวาดฝุ่นไปจามไป เพราะไม่ได้เปิดใช้มานานมากแล้ว ระหว่างที่มัวแต่จาม เสียงเรียกก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง
   “คุณพนิต”
   ผมหันไปมอง แล้วก็เกือบจะลืมกะพริบตา สุภาพงษ์ยืนอยู่ตรงประตู ท่อนล่างนุ่งผ้าเช็ดตัว ท่อนบนเขาเอาเสื้อตัวเดิมมาคลุมเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ติดกระดุมหรืออะไร ผมเลยได้เห็นทั้งหน้าอกแน่นๆ ของเขา หน้าท้องตึงเปรี๊ยะ โอย... หุ่นเขาดีจริงๆ นะเนี่ย แต่ไม่ต้องเอามาโชว์ให้ผมเห็นก็ได้
   เดี๋ยวก็ความดันขึ้นตายกันพอดี
   “เอ่อ... มีกางเกงตัวใหญ่ๆ ไหมครับ?” สุภาพงษ์ถามออกมาด้วยสีหน้าแปลกๆ สงสัยว่าจะเห็นผมยืนอึ้งๆ อยู่ ผมจามอีกฟืด ถึงพอจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้
   “อ้อ... อืม เดี๋ยวผมไปหาให้แล้วกัน” ผมว่า แล้วรีบวางไม้กวาด เดินออกจากห้องไปทันที เพราะกลัวว่าจะทำหน้าตาน่าเกลียดให้เขาได้เห็น แต่ตอนเดินผ่าน สายตาผมก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองร่างเปลือยของเขา
   ทั้งขาวทั้งหุ่นดีจริงๆ นะเนี่ย....
   “คุณพนิต...”
   ผมสะดุ้งเฮือก ได้สติขึ้นมาทันที เลยทำเป็นกระแอมขึ้นมา แล้วตีหน้าขรึม พูดตอบเขาไป “ผมกำลังคิดว่า จะมีกางเกงตัวใหญ่พอจะให้คุณใส่ได้รึเปล่า”
   สุภาพงษ์มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที “เอ่อ... งั้นผมใส่กางเกงตัวเดิมก็ได้ครับ”
   ผมรีบสั่นศีรษะ “น่าจะมีแหละ เดี๋ยวผมหาให้ก่อนแล้วกัน”
   จากนั้นผมก็เดินกลับมาที่ห้อง ค้นตู้เสื้อผ้าอย่างจริงๆ จังๆ ในที่สุดก็ได้กางเกงแพรสีเขียวเข้มที่เพื่อนคนหนึ่งลืมทิ้งเอาไว้ คาดว่าเขาน่าจะพอใส่ได้ล่ะ ผมหยิบเสื้อยืดตัวใหญ่ที่สุดในตู้ให้เขาอีกตัว แล้วเตรียมจะไปกวาดพื้นอีกห้องต่อ แต่สุภาพงษ์เรียกผมเอาไว้
   “คุณพนิต ผมนอนที่พื้นก็ได้ครับ คุณจะได้ไม่ต้องลำบากไปเก็บห้อง”
   “อ้อ.... อืม” ผมส่งเสียงในคอ พยายามสูดหายใจอย่างเนียนๆ เพื่อไม่ให้น้ำมูกใสๆ ที่เกิดจากอาการจามไหลออกมาให้เขาเห็น รอจนเขาเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้ง ผมถึงได้ไปหยิบทิชชู่ตรงหัวเตียงมาสั่งออกทีหนึ่ง
   เขาอาสาจะนอนพื้นเองก็ดี เพราะผมก็เหนื่อยจะจามแล้วเหมือนกัน
   สุภาพงษ์เดินออกมาจากห้องน้ำ ในตอนที่ผมกำลังรื้อเอาผ้านวมออกมาจากตู้ เขารีบตรงมาช่วยรับผ้านวมจากผม แต่พอผมหันไปมองเขานะ แทบจะหยุดหายใจเลยล่ะ
   ผมจำได้ว่าเอาเสื้อให้เขาแล้ว แต่ไหงเขาออกมาไม่ใส่เสื้อล่ะ?!
   “คุณพนิต?!” สุภาพงษ์เรียกชื่อผม ด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นได้ชัดว่าแปลกใจ เออ ผมคงทำหน้าแปลกๆ ให้เขาเห็นเข้าจนได้ แต่เขาไม่ใส่เสื้อ โชว์ทั้งหัวไหล่ แผงอก หน้าท้อง ให้ผมเห็นเต็มๆ ตา แบบนี้ผมไม่ทำหน้าแปลกเลยก็ยากแล้วล่ะ ผมเงยหน้ามองเขา แล้วถามออกไป “ทำไมไม่ใส่เสื้อล่ะ?”
   สุภาพงษ์มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที “ผมใส่แล้ว แต่มันคับเกินไป ก็เลยถอดออกครับ... งั้นเดี๋ยวผมใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดิมก็ได้”
   ผมรู้สึกอยากเป็นลมขึ้นมา ไม่รู้จะโทษใครดี เสื้อผมตัวเล็กเกินไป เขาเลยต้องถอดออก หุ่นเขาก็ดีนะ แบบนี้ให้ผมมองทั้งวันก็ยังได้ แต่.... ผมจะไปมองเขาแบบนั้นได้ไง น่าอายจะตายชัก ถึงอย่างนั้น ให้เขาใส่เสื้อตัวเดิมนอนมันก็สกปรกมาทั้งวันแล้ว
   “เดี๋ยวนะ ผมจะลองหาเสื้อตัวใหม่ให้คุณ” ผมว่า แล้วค้นตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง ได้เสื้อเชิ้ตมาตัวหนึ่ง พอเอาให้เขาใส่ ก็อย่างกับผู้ใหญ่ใส่เสื้อเด็ก ผมทำหน้าคิดไม่ตก สักพักก็ได้ยินเขาพูดอีก “ไม่เป็นไรครับ ผมใส่เสื้อตัวเดิมก็ได้”
   “เสื้อตัวเดิมใส่มาทั้งวันแล้ว” ผมว่า แล้วนิ่งไปอีก สุดท้ายก็ต้องยอมพูดออกไป “แต่เอาเถอะ คุณใส่ไปก่อนแล้วกัน ดีกว่าเป็นหวัด”
   สุภาพงษ์พยักหน้า แล้วเดินไปหยิบเสื้อที่แขวนอยู่มาใส่ โอ้โห... แผ่นหลังเปลือยด้านหลังเขาก็ดูดีนะ ผมมองจนเขาใส่เสื้อนั่นแหละ ถึงได้หันไปมองอย่างอื่นได้
   กว่าจะได้นอนจริงๆ ก็เกือบจะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว เขาปูผ้านอนข้างเตียงผมนี่แหละ ใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดิม แต่กางเกงแพรน่ะของเพื่อนผม
   ทั้งๆ ที่ดึกขนาดนี้แล้ว ผมดันนอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาในความมืดอยู่พัก ก็ได้ยินเสียงเรียกของสุภาพงษ์อีก
   “คุณพนิต นอนหรือยังครับ?”
   “อืม.. ยัง”
   เขาเงียบไปพัก แล้วพูดต่อ “ผมเรียกคุณว่าพี่นิตเหมือนเมื่อก่อนได้มั้ย?”
   “......................”
   “คุณพนิต......?”
   “อืม.. ก็ได้” ผมตอบออกไป เพราะไม่รู้ว่าจะห้ามไม่ให้เขาเรียกเพราะอะไร ได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อผม
   “พี่นิต.... ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
   ไม่รู้สินะ... เวลาผมเห็นหน้าเขา ผมเดาอารมณ์ของเขาจากสีหน้าไม่ออกเลย ตอนนี้ผมนอนอยู่บนเตียง เขานอนบนพื้นด้านล่าง พูดคำว่าราตรีสวัสดิ์กับผม ผมได้ยินแค่เสียงของเขาเท่านั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึก
   นี่ผมใจร้ายเกินไปหรือเปล่านะ ที่ปล่อยให้เขานอนอยู่ที่พื้นแบบนั้น....
-------------------------------------------------------
** แอร๋ยย คุณพนิตตต พี่นิตตต ลุงนิตตต :-[ต (เวิ้นเว้อไปแล้วว :really2:)

นั่งเขียนเรื่องนี้ไปพลาง ดูข่าวน้ำท่วมไปพลาง จะพาคุณพนิตไปลุยน้ำท่วมทุกทีสิน่าาาา :o8:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
กรี๊ดดดดด
คุณพนิตมีเริ่มมีอาการแฮะ  น้ำลายสอเชียวเวลาเห็นกล้ามเป็นมัดๆ
สงสัยไปกระตุ้นสิ่งที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมา คริคริ
บก.หนุ่มเริ่มรุกคืบทีละนิดแล้ว

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เฒ่าลามกนะเนี่ยะ  พี่นิตน่ะ

MM.Dog

  • บุคคลทั่วไป
โหยยยยยยยยยย  คุณสุภาพงษ์รุกสุด ๆ ไปเลย
คุณพนิตเธอก็ชิลล์แบบเอาจริงเอาจังมาก

เรื่องนี้น่ารักมากมายค่ะ
สถานการณ์ใกล้เคียงกับคุณนพ+คุณไพฑูรย์  แต่เป็นอารมณ์ที่แตกต่าง   o13

ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
อร๊ายยยยยยยยย

เริ่มขยับระยะห่างจากคุณพนิต  มาเป็น  พี่พนิตแล้ว

ลุ้นต่อไปว่าคุณ บก.จะได้ขยับมานอนเตียงหรือเปล่า  คริคริ

ออฟไลน์ Heisei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ทำไมไม่ขึ้นไปนอนด้วยกัน...ห๊าาาา !!!!!
แล้วแบบนี้จะอีกกี่ปีเนี่ย  :serius2:
คนอ่านเหนื่อยจะเชียร์ 5555

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
คุณพนิตจะช้าอยู่ใย
หลงเด็กซะขนาดนนี้แล้วรวบหัวรวบหางไปเลยค่า!!~ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ Pepor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-3
เรื่องนี้จะลุ้นให้เขาหวานกันโจ่งแจ้งเห็นจะยากแฮะ ก็ต่างสงวนท่าทีกันจัง
อยากให้สุภาพงษ์เจ้าเล่ห์มากกว่านี้จัง เพราะให้คนแก่เผยความในใจคงรอจนแก่แน่ๆ  :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
โอ๊ยยยยยยยยยย เลือดโอจิค่อนพลุ่งพล่านนนนนน
คุณพี่นิต
โอ๊ยยยยยย อยากกริ๊ดให้สลบไม่รู้จะเลือกสิงใครดีระหว่างสุภาพงษ์กับคุณพนิต

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อยากให้คุณสุภาพงษ์รู้จังว่า คุณพนิตคิดอะไรเวลาที่มองตัวเอง  :laugh:  :laugh:

ชอบคุณพนิตอะ ฮาดี

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
คุณพนิตน่ารักจังเลย แอบมองเขาตั้งหลายรอบ กิ๊วๆ ><

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ปล่อยไว้ทำไมค๊าาาาาคุณพนิ๊ตตตตตตต

RanJeri

  • บุคคลทั่วไป
เริ่มเป็นห่วงคุณพนิตแล้วสิ อยู่กับสุภาพงษ์บ่อยๆแล้วเลือดกำเดาจะพุ่งปรี๊ดดดดดดด :pighaun:

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
  “ทิ้งไปแล้วหรือครับ” เขาพูด แล้วช้อนตาขึ้นมองผม แย่ล่ะสิ ผมเผลอมองหน้าเขาตาค้างอีกแล้ว
> ขำคุณพนิตตรงช่วงนี้
ส่วนตอนอื่น :-[ คุณพนิต
คุณสุภาเนียนมากก รู้สึกว่าคุณสุภาเจ้าเล่ห์อะ

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
แหมเรียกพี่นิต เนียนเชียวน้า

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
คุณนิตคิดหนักเลยนะเนี่ย แบบว่าชอบมอง แต่ถึงขั้นให้เปิดใจมันคงทำให้ลุงป๊อดไม่หยอก >_<

alterlyx

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักอ้ะะ ... น่ารักมากๆทั้ง 2 คนเลย >__<

ออฟไลน์ j_world

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-4
อุอุ
เห็นชื่อคุณjuon ที่ไหน
ก็ต้องตามมาอ่านเรื่องค่ะ
เพราะชอบภาษา และการใช้ถ้อยคำบรรยาย รวมทั้งพล็อตเรื่องด้วยค่ะ :3123:



ตอนแรกอ่านชื่อเรื่อง จะงงๆอยู่หลายวิ  บกvsนักเขียน "บก" อะไรฟระ "บนบก"รึ??
สักพักก็อ๋อ  บ.ก. อักษรย่อของ  บรรณาธิการ   =   บ.ก. ค่ะ ไม่ใช่ บก หรือ บก.
อิอิ..แต่สารภาพว่าพึ่งรู้เหมือนกันว่าย่อไงจะถูก เลยต้องไปเช็คดู

จะคอยเป็นกำลังใจให้ทั้งเรื่องนี้และเรื่องต่อๆไปค่ะ
ถึงจะไม่ได้เข้ามาเม้นท์แต่ก้ตามอ่านตลอดค่ะ

  :L1::กอด1: :L1:



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด