[แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55  (อ่าน 316843 ครั้ง)

pmnet

  • บุคคลทั่วไป
โจ นายกล้าม๊ากก o13   คุณพินิตนี่กังวลเรื่องช่องว่างระหว่างวัยมากจริงๆ

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
โจ ป่วยครั้งนี้อ้อนพี่นิตให้สุดๆ เลยนะ พี่นิตจะได้เกทเร็วขึ้น 555

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ของคุณjuon วันนี้เอง
เห็นบุคลิกของสุภาพงษ์แล้วคิดถึงคุณไพฑูรย์จัง
เพราะมีหลายส่วนที่คล้ายกัน โดยเฉพาะความเนี้ยบ
ดืค่ะ ความรักระหว่างคนค่อนข้างสูงอายุ กับคนที่อยู่ในวัยกลางคน
อาจจะดูเรียบๆเรื่อยๆ แต่ภายใต้ความเรียบเรื่อย ก็มีอะไรให้ใจเต้นตึ้กตั้กๆได้เหมือนกันนะคะ
โดยเฉพาะตอนล่าสุดนี่ เหมือนจะเจือด้วยรสหวาน และความรู้สึกซึ้งนิดๆด้วยแหละ

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3

ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
“พี่นิต... ชีวิตนี้ ผมชอบพี่แค่คนเดียว”

เจอประโยคนี้เข้าไปพี่นิตเป็นอันไปไม่ถูกเลยนะ  คริคริ

แหม  คุณโจ  ให้สถานการณ์ตอนไม่สบายนี้เป็นประโยชน์เลยนะ

มีอ้อนด้วยอ่ะ  แถมได้กอดพี่นิตตั้ง 2 ครั้งแน่ะ  ถือว่าคุ้มนะ   :o8:    :o8:   :o8:

ตอนเป็นปกติคงทำแบบนี้ไม่ได้แน่  คริคริ

ออฟไลน์ murasakisama

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-4
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนหวานแบบผู้ใหญ่มากค่ะ เรื่อยๆ ละมุนละไม ไม่เร่าร้อน แต่อ่อนหวาน ใสเย็นชื่นใจ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
โจกลายเป็นลูกแมวน้อยไปซะแล้ว
อ้อนพี่นิตน่าดูเลย ><

คุณพนิตขา โจเขาก็อ้อนน่ารักเสียขนาดนี้แล้ว
รับใจเขาสักทีเถอะค่ะ

MM.Dog

  • บุคคลทั่วไป
สุดยอดมากค่ะ  คุณโจขา........
เจ็บไข้คราวนี้ได้ทีรุกคืบอย่างเป็นทางการแล้ว

แล้วตกลงว่าคุณกั้งเธอเป็นแฟนเก่าของคุณโจใช่มั้ยคะ
อย่างนี้ต้องยกนิ้วให้เลยนะ  ที่ยอมเป็นกามเทพให้สองหนุ่ม (?) แบบนี้

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
หรือแท้จริงแล้วที่ไม่รุกซะทีเป็นเพราะสุพาพงษ์เป็นเคะกันแน่!!

ไหนๆก้ะไหนๆ...

โจอ่อยขนาดนี้ พี่นิตกดเลยค่ะ!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
อนึ่ง....เดาว่าโจกับกั้งต้องเปนแฟนกันมาก่อนแน่ๆ

+ตากั้งไม่น่าเปนเคะ

= ตาโจเป็นเคะ

แอร้ยยย ช่างเปนสมการที่น่าจิ้นเสียนี่กระไร

ถึงบก.คนนี้จะสุงกว่าหน่อยแต่ก้ะไม่เปนอุปสรรคทางราบนะค้าาา

ออฟไลน์ pak_kikkok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
โอยย ไม่ไหวคค่ะ ตอนนี้อ่านไป อยากจะดิ้นไปพลาง
กั้งนี้ก็เป็นพ่อสื่อชั้นดีมากเลยค่ะ ฮ่าฮ่า
เอายาวิเศษมาให้โจถึงที่
สุภาพงษ์เองก็เถอะนะ แหม ป่วยหน่อย พูดแต่พี่นิต พี่นิต อยู่นั่นเองงแหล่ะ
ถือว่าคุณพนิตเก่งมากที่ทนลูกอ้อนโจได้เนี่ย อ๊ากกกกไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆค่ะงานนี้!!

ตอนแรกเนียนจับมือ ต่อมาขอเนียนกอด ไม่ไหวแล้วๆๆๆๆ
เมื่อไหร่คุณพนิตจะใจอ่อนเนี่ย อ๊ากกกกกก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่8
   โจ.....
   ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าเคยเรียกเขาชื่อนี้เมื่อนานมาแล้วรึเปล่า จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วของเขาเป็นแบบไหน เขาใช่เด็กที่เคยมาเล่นที่บ้านผมจริงๆ หรือ
   โจ........
   ผมเหลือบมองขนคิ้วหนาๆ ของผู้ชายอายุสามสิบเศษที่นั่งทานข้าวต้มอยู่บนโซฟาข้างๆ ผม เลยลงไปหน่อยก็เห็นแพขนตายาวสวยเชียว อืม... สันจมูกก็โด่งดี ให้ตายสิ นึกหน้าเขาตอนเด็กๆ ไม่ออกเลย ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้กลายมาเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์นะ
   “โจ...” ผมเรียกชื่อเขา สุภาพงษ์เงยหน้าจากถ้วยข้าวต้มขึ้นมองผม “ครับ?”
   “ทำไม จู่ๆ ถึงมาทำอาชีพนี้ล่ะ?”
   “?” สุภาพงษ์เลิกคิ้วมองผม ตาเขาดูง่วงๆ หน่อย คงเพราะอาการไข้ ท่าทางจะงงว่าผมถามเรื่องอะไร ผมเลยต้องพูดซ้ำอีก “ทำไมถึงได้มาทำหนังสือล่ะ?”
   สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ มองผมพักหนึ่ง แล้วถึงตอบออกมา “เพราะพี่นิตน่ะครับ”
   ดีนะที่ผมกลืนข้าวต้มไปหมดแล้วถึงค่อยถาม ไม่งั้นได้พ่นข้าวต้มใส่เขาแน่ ผมจ้องหน้าเขากลับ แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร สุภาพงษ์ก็พูดต่อ “ผมอยากเจอพี่นิตน่ะ”
   ผมกะพริบตามองเขาปริบๆ แล้วหัวเราะออกมา “อยากเจอไปหาที่บ้านก็ได้ แบบนี้อยากเป็นบ.ก.พี่ล่ะสิ”
   สุภาพงษ์จ้องหน้าผม เม้มปากนิดๆ อีก “ไม่เป็นบ.ก.ก็ไปได้หรือครับ?”
   “อืม..” ผมพยักหน้า “ก็ไหนบอกเคยอยู่แถวนั้นไง”
   สุภาพงษ์เม้มปากอีก.. ไม่สิ ผมว่าเขายิ้มนะ แต่ยิ้มแบบยกปากนิดๆ แล้วมันดันเหมือนเม้มปากเอาน่ะสิ
   “ไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ใช่ไหมครับ?”
   เอ่อ... เดี๋ยวนะ นี่ผมว่าเราไปกันผิดประเด็นแล้วล่ะ ผมตั้งใจจะถามว่าทำไมเขาถึงได้เลือกมาทำหนังสือ ไงมันคล้ายๆ กับว่ากลายเป็นผมชวนเขาไปบ้านแทนล่ะเนี่ย ผมรีบปั้นหน้าจริงจังตอบโต้เขาไป “ไปเวลาจำเป็นเถอะ พี่ไม่ชอบให้ใครรบกวน”
   สุภาพงษ์หยุดเม้มปากทันที เขากะพริบตามองผมอยู่อีกพัก ก่อนจะพยักหน้าหน่อยๆ “ครับ...”
   “อืม” ผมส่งเสียงในลำคออย่างไร้ความหมาย ก่อนจะก้มหน้าทานข้าวต้มต่อ เราทานกันเงียบๆ สักพัก สุภาพงษ์ก็ผุดลุกขึ้น “พี่นิต เดี๋ยวผมล้างถ้วยให้นะ”
   ผมเงยหน้ามองเขา แล้วพูดออกไป “ไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องก็ได้”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาตอบผม จากนั้นก็ยืนรออยู่แบบนั้น จนผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เลยพูดออกไปอีก “โจ.. ไม่ต้องยืนรอแบบนั้นก็ได้ พี่ยังทานไม่หมด”
   สุภาพงษ์ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่อีกพัก สุดท้ายก็นั่งลงเหมือนเดิม “พี่นิต....”
   ผมหันไปมองเขา “นี่ ไม่สบายก็ไปนอนพักเถอะน่า ในห้องนอนก็ได้ เดี๋ยวพี่จัดการตรงนี้ให้”
   สุภาพงษ์มองหน้าผม เม้มริมฝีปากล่างนิดๆ “ผมอยู่ใกล้ๆ พี่ได้ไหม?”
   ผมถึงกับยกช้อนค้าง ไม่รู้จะตอบเขาว่าอะไร เลยได้แต่ยิ้มๆ สุภาพงษ์เม้มปากอยู่พัก ก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ไม่รู้ทำไม ผมดันใจเต้นตึกๆ ก็เลยหันไปมองถ้วยข้าวต้มแทน
   โชคดีที่สุภาพงษ์ไม่ได้ขยับมาใกล้ขนาดไหล่ชนกัน พอเห็นว่าเขานั่งนิ่งๆ แล้ว ผมเลยมีอารมณ์จะทานข้าวต้มถ้วยนั้นจนหมด แล้วลุกขึ้นพร้อมหยิบถ้วยของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะไปด้วย สุภาพงษ์เห็นแล้วก็รีบฉวยถ้วยพร้อมมือผมเอาไว้ทันที
   “ผมล้างเอง” เขาว่า ผมเลยหันมองหน้าเขา แล้วเริ่มนับในใจ
   หนึ่ง... สอง.... สาม.... สี่.... ห้า.....
   เขาจับมือผมไว้ประมาณห้าวิฯล่ะมั้ง ถึงได้ยอมเอาถ้วยพวกนั้นจากมือผมไปล้าง ผมสงสัยจริงๆ ว่าทำไมเขาไม่เอามือผมไปล้างด้วยเสียเลย ชอบฉวยโอกาสจับมือผมแบบนี้หวังผลอะไรรึเปล่า... เขาไม่กลัวถูกผมเอ็ดบ้างหรือไงนะ
   สุภาพงษ์ยืนล้างชามอยู่หน้าอ่างในบริเวณครัวของเขา พอมายืนล้างอยู่ในครัวสมัยใหม่แบบนี้แล้ว ผมก็นึกว่าดูฉากหนึ่งของหนังฉายหลังข่าวอยู่ อืม... แต่ปกติไม่มีพระเอกเรื่องไหนยืนล้างถ้วยล้างชามอย่างนี้หรอกมั้ง ถึงหน้าตาเขาจะเหมือนพระเอกหนังก็เถอะ
   ผมยืนมองสุภาพงษ์ล้างจานเฉยๆ ก็เกิดรู้สึกอายตัวเองขึ้นมา เลยพยายามถอนสายตาจากเขาหันไปมองอย่างอื่นบ้าง พอดีหันไปเห็นต้นฉบับตัวเองสอดซองวางอยู่บนโต๊ะ ผมเลยหยิบขึ้นมา พลางนึกว่าตัวเองตั้งใจจะเอาต้นฉบับไปส่งก่อนกำหนดแท้ๆ แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าผมมาเฝ้าไข้เขาเสียได้ แต่ก็นะ เห็นเขาป่วยแบบนี้ จะทิ้งให้อยู่คนเดียวผมก็ทำไม่ลง
   ขณะที่ผมกำลังนึกว่าเดี๋ยวถ้าเขานอนแล้วผมจะกลับไปดูบ้านก่อน แล้วค่อยกลับมาอีกที หรือว่าจะทำยังไงต่อดี เสียงของสุภาพงษ์ก็ดังขึ้น “ต้นฉบับมีอะไรหรือครับ?”
   “อ้อ เปล่า” ผมพูด เพราะนึกได้ว่ามือถือต้นฉบับอยู่ สุภาพงษ์ขยับตัวเข้ามาใกล้อีก ผมรู้สึกว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ไปแล้ว เลยรีบพูดต่อ “โจ... พักผ่อนเถอะ จะได้หายไวๆ”
   “ครับ” สุภาพงษ์รับคำ แต่กลับยืนนิ่งๆ สักพัก ก็พูดออกมา “พี่นิต...”
   “มีอะไรล่ะ” ผมถามออกไป สุภาพงษ์ช้อนตาขึ้นมองผม เม้มปากนิดๆ จากนั้นก็ยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้ แล้วก้มหน้างุด ผมมองเขา รออยู่ว่านายคนนี้จะพูดอะไรประกอบท่าทางที่ทำอยู่
   “พี่อยู่เป็นเพื่อนผมได้มั้ย...?” เขาพูด พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองผมอีก ผมเผลอสบตาสีดำคู่นั้นของเขาอย่างจัง เล่นเอาอึ้งไปพักใหญ่ รู้สึกเหมือนสุภาพงษ์จะบีบมือผมแน่นขึ้น อืม.... ผมเข้าใจว่าไม่มีใครอยากนอนป่วยอยู่คนเดียวหรอก แต่ว่า เขาจะให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเขาที่นี่ทั้งคืนเลยหรือไง ผมเองก็มีบ้านช่องต้องกลับ มีข้าวมีแกงที่ทำเอาไว้เมื่อเช้าต้องเอาไปอุ่นหรือเก็บเข้าตู้เย็นเหมือนกันนะ คิดได้อย่างนั้น ผมเลยปั้นหน้ายิ้ม เตรียมจะปลอบเขาและบอกให้เข้าใจความจำเป็นของผม
   ผมแค่จะออกมาส่งต้นฉบับ และเผอิญถูกพาตัวมาที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจจะมาเฝ้าไข้ใกล้ชิดเขาสักหน่อย
   “...................” ปรากฏว่าผมไม่ได้พูดอะไรหรอก เพราะระหว่างที่ผมกำลังนึก สุภาพงษ์ก็ซบหน้าลงบนไหล่ผม โดยที่ยังจับมือผมไว้แบบนั้น หน้าผากเขาร้อนจี๋อีกแล้วล่ะ ผมว่าเขาควรทานยาลดไข้ แล้วพักผ่อนล่ะ
   “พักผ่อนเถอะ” ผมพูดกับเขา เหมือนจะได้ผล สุภาพงษ์ปล่อยมือที่จับมือผมเอาไว้...... แล้วขยับมาโอบตัวผมเอาไว้แทน... เอาล่ะ ท่าทางเขาจะลืมแล้วว่ากลัวผมจะติดหวัด ผมเลยพูดเตือนสติเขาไป “โจ เป็นหวัดอยู่นะ”
   เขายังกอดผมอยู่แบบนั้นสักพัก ถึงยอมเงยหน้าขึ้นมา “ขอโทษนะครับ”
   ผมพยักหน้า ที่จริงก็ไม่ได้จะถือโทษโกรธอะไรเขาหรอก อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แค่ทำสิ่งที่ทำให้ผมทำตัวไม่ค่อยถูกเท่านั้นเอง
   สุภาพงษ์ไม่ได้กอดผมแล้ว แต่ยังยืนนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน ผมเลยต้องจับมือเขา แล้วจูงมาที่โซฟา เพื่อที่จะให้เขานอนพักรอไข้ลด สุภาพงษ์ก็ว่าง่าย นั่งปุลงบนโซฟา แต่กลับจับมือผมแน่นไม่ยอมปล่อย เอ่อ... ผมพลาดเองแหละที่เผลอไปจับมือเขา ลืมไปเลยว่าปกติเขาก็จับไม่ค่อยปล่อยอยู่แล้ว
   ผมไม่รู้จะทำไง เพราะจะดึงมือออกก็น่าเกลียด เลยจำต้องนั่งลงข้างๆ เขา พอผมนั่งแล้ว สุภาพงษ์ก็พูดขึ้น “พี่นิต... ผมนอนนะ....”
   “อืม..” ผมพยักหน้า เพราะตั้งใจจะพาเขามานอนพักอยู่แล้ว สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ แล้วค่อยๆ เอนตัวลง วางศีรษะลงบนตักผม... เอ่อ... เดี๋ยวนะ... ที่บอกว่านอนตะกี้น่ะ นอนแบบนี้เหรอเนี่ย?!
   สุภาพงษ์นอนลงแล้วก็ช้อนตาขึ้นมองผม พอดีกับที่ผมมองลงไปเหมือนกัน เราสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเขาก็เป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน
   แต่ผมสิ ใจเต้นตึกๆ ขึ้นมาเลย.....
   สุภาพงษ์นอนหนุนตักผมอยู่ อันที่จริงมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอก เพียงแต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไหร่ เลยเตรียมจะเรียกให้เขาลุกขึ้น
   “โจ” ผมเรียกชื่อเขา ด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบาจนเกินไปนัก หวังจะให้เขาลืมตาขึ้น เผื่อจะรู้สึกเกรงใจผมหน่อย แต่เรียกแล้วก็เห็นเขายังหลับตาเฉย ผมเลยลองเรียกอีก “โจ..”
   ดวงตาของสุภาพงษ์หลับสนิท ขนตาเป็นแพยาวของเขาปรกอยู่บนเปลือกตาล่าง แก้มและปากของเขาเป็นสีแดงนิดๆ คงเพราะพิษไข้ ผมมานึกได้ว่าบางทีเขาอาจจะหลับไปแล้วก็ได้ เลยไม่กล้าเรียกอีก
   สุภาพงษ์เป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ปกติเวลาเขาเผลอ ผมก็ชอบแอบมองเขาอยู่แล้ว ไม่รู้ผมควรดีใจหรือเปล่า ที่ตอนนี้มีโอกาสได้มองเขาใกล้ๆ มองชัดๆ โดยที่เขาคงจะไม่รู้ตัวว่าผมมองเขาอยู่
   สายลมยามบ่ายพัดลอดหน้าต่างกระจกที่เปิดแง้มไว้หน่อยๆ เข้ามาเอื่อยๆ พาเอาไอร้อนเข้ามาด้วย โชคดีที่ยังมีพัดลมตั้งพื้นแบบแนวตั้งเปิดอยู่อีกตัวหนึ่ง เลยไม่ค่อยจะร้อนอะไรเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าปกติสุภาพงษ์เปิดแอร์รึเปล่า แต่เป็นหวัดแบบนี้อยู่ในห้องแอร์ไม่ดีแน่ นอกจากจะแพร่เชื้อได้ง่ายแล้ว เผลอๆ จะไข้หนักกว่าเดิม เพราะอากาศเย็นอีก ดังนั้น พอเห็นเขาเริ่มเหงื่อซึมๆ ผมก็เอื้อมมือไปหยิบซองใส่ต้นฉบับที่วางอยู่ตรงโต๊ะใกล้มือ มาพัดให้เขาเบาๆ แล้วก็ยกมือขึ้นปัดปอยผมให้เขาหน่อย
   เห็นเขานอนไข้ไม่สบายคนเดียวแบบนี้ ผมก็นึกสงสารขึ้นมา ความจริงเขาน่าจะหาคนรู้ใจมาอยู่ด้วย แทนที่จะมาหวังอะไรที่เป็นไปไม่ได้จากคนอย่างผม
   เขาจะชอบผมเพราะอะไรผมไม่รู้ แต่จะให้ผมเป็นอะไรที่เกินกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้กับเขา ผมคงเป็นไม่ไหว
   จริงอยู่ว่าผมยังโสด จริงอยู่ที่ผมอาจจะชอบมองผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ผมไม่เคยคิดหรอกว่าตัวเองจะใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้ชายได้ เอาเข้าจริงคือผมไม่แน่ใจเลยว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใครได้
   ผมพอใจกับชีวิตชายโสดแสนอิสระของผมมาหลายสิบปี และยังไม่อยากจะไปจับคู่ตุนาหงันกับใคร ถึงแม้ว่าผมจะชอบมองเขาเอามากๆ ก็เถอะ
   ผมแค่ชอบมอง ก็เท่านั้นเอง....
   ผมปล่อยให้สุภาพงษ์นอนหนุนตักอยู่พักใหญ่ ก็จำต้องลุกออก เพราะถูกนอนทับแบบนี้นานๆ เหน็บมันเริ่มจะกินขาเอาแล้ว ผมค่อยๆ ช้อนศีรษะเขาออก แล้วหยิบหมอนอิงมาหนุนไว้แทน  จากนั้นก็ค่อยไถลตัวลงมายืนขาตรงพื้น ดีที่เขาหลับสนิทเพราะพิษไข้ ท่าทางจะไม่รู้สึกอะไรเลย ผมยืดขาจนเลือดลมไหลเวียนดีแล้ว ก็หันมองเขาอีก เห็นเขานอนขาพาดอยู่กับที่เท้าแขนของโซฟา ก็เลยลุกขึ้น ค่อยๆ ดึงตัวเขาให้นอนดีๆ อืม... ผมพลาดเองแหละที่พาเขามานอนตรงนี้ ตัวเขายาวกว่าโซฟาซะอีก รู้งี้พาไปที่เตียงก็ดีหรอก
   แต่เขาหลับแล้ว จะให้ปลุกไปนอนที่เตียงตอนนี้คงไม่ได้ ผมเลยพยายามจัดท่าทางที่คิดว่าน่าจะสบายที่สุดสำหรับตัวสูงๆ ของเขา แล้วก็เอาผ้าห่มมาคลุมหน้าอกไว้ ขยับพัดลมให้เข้าที่เข้าทางอีกหน่อย เขาคงจะได้พักผ่อนเต็มที่ล่ะ
   ผมจัดการให้เขานอนเรียบร้อยแล้วก็เกิดอาการว่างงาน จะกลับบ้านตอนนี้ก็กลับไม่ลง เลยพยายามมองหาอะไรทำฆ่าเวลาไปพลางๆ
   อย่างที่บอกไว้แล้วว่าห้องของสุภาพงษ์ไม่รก และไม่ค่อยจะมีของอะไรเท่าไหร่ ยกเว้นแต่พวกหนังสือนิตยาสารที่วางกองกันอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือในเครือสำนักพิมพ์ของเขาทั้งนั้นแหละ จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกัน ที่ได้มาบ้านของบรรณาธิการ เพราะปกติบรรณาธิการมักจะไปบ้านผมตลอด ไม่ก็นัดเจอกันนอกสถานที่ มานึกดูแล้วก็ตลกดี ผมพยายามเขียนต้นฉบับให้เสร็จก่อนเวลา เพื่อจะดูว่าเขายังอยากจะไปบ้านผมรึเปล่า แต่สุดท้ายก็ดันกลายเป็นว่าผมต้องมานั่งเฝ้าไข้เขาแทน... แล้วก็ได้รู้ด้วยว่า ต่อให้ไม่มีต้นฉบับ เขาก็น่าจะยังอยากไปหาผมที่บ้าน
   ผมควรจะทำตัวยังไงดี......
   เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ผมเลยเดินไปเดินมาอยู่ในห้องเขา อย่างกับชะมดเช็ด จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือที่ผมได้รับเป็นอภินันทนาการจากการเป็นนักเขียนให้เขาอยู่แล้ว หนังสือพวกเนชันแนลจีโอกราฟฟิกที่พอมีให้เห็น หรือพวกต่วยตูน ผมก็รับเป็นประจำ เห็นปกก็นึกถึงเนื้อหาด้านในออก
   ผมเดินมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย ก็บังเอิญเห็นกรอบรูปหลายกรอบวางอยู่ตรงชั้นโชว์ ถัดจากเคาน์เตอร์ครัวมาหน่อย มันถูกวางปนๆ กับพวกตุ๊กตาหรือของที่ระลึกเล็กๆ เลยเดินเข้าไปดู หลายรูปเป็นรูปถ่ายตัวเขา คงถ่ายเมื่อไม่นานมานี้แหละ ถ่ายกับเพื่อนบ้าง ลูกน้องที่ทำงานบ้าง บางรูปก็เหมือนถ่ายในงานรับรางวัลอะไรบางอย่าง ถัดไปหลังๆ รูปเก่าสักหน่อย ท่าทางจะเป็นรูปครอบครัวของเขา แต่ไม่ยักจะมีผู้ชายแฮะ ผมเห็นมีผู้หญิงพอจะมีอายุหน่อยสองคน ท่าทางเหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่าแม่ลูก แล้วก็เด็กผู้ชายอายุสักสิบสามสิบสี่คนหนึ่ง หน้าตาคุ้นๆ อยู่เหมือนกัน อืม...
   ผมมองรูปถ่ายเก่าๆ รูปนั้น เที่ยบกับรูปถ่ายที่เพิ่งถ่าย เอาล่ะ ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงจำเขาไม่ได้ เวลายี่สิบปี เด็กผู้ชายอายุสิบสามสิบสี่กลายเป็นหนุ่มใหญ่วัยสามสิบสี่ อะไรๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน เมื่อก่อนเขายังตัวเล็กนิดเดียวอยู่เลย ผอมด้วย ตอนถ่ายรูปกับแม่และอีกคนอาจจะเป็นน้า ก็ยังก้มหน้าไม่กล้ามองกล้องเลย เขาคงจะขี้อายอยู่นะ
   ผมดูรูปถ่ายได้พัก ก็เกิดเบื่อขึ้นมาอีก หันไปก็เห็นเขายังหลับอยู่ ดูนาฬิกาก็เพิ่งบ่ายสองกว่า ผมเลยตัดสินใจว่าจะกลับบ้านก่อน เพราะเป็นห่วงกับข้าวกับปลาที่ทำไว้เมื่อเช้า ขืนปล่อยทิ้งไว้ คงจะบูดหมดแน่ๆ
---------------------------------------------
   ผมกลับบ้านไป เก็บกับข้าวกับปลา แล้วก็แวะเด็ดผักเด็ดหญ้าข้างบ้าน ติดไม้ติดมือกลับไปทำมื้อเย็นให้สุภาพงษ์ต่อ แล้วก็เตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนด้วย เพราะมันใกล้ได้เวลารถติดเต็มที ขืนนั่งรถเมล์ไป อาจจะไปถึงตอนค่ำก็ได้ ผมเลยเรียกแท็กซี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เพื่อกลับไปที่คอนโดฯของสุภาพงษ์
   ผมไปถึงหน้าประตูห้องเขาก็ล้วงเอากุญแจที่คุณากรทิ้งไว้ออกมาไข เพราะไม่อยากเคาะ กลัวจะไปปลุกให้เขาตื่น ปรากฏว่า พอผมเปิดประตูเข้าไป สุภาพงษ์ก็ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัวแล้ว
   “ไปซื้อของมาหรือครับ?” เขาถาม พร้อมกับยิ้มกว้างเสียจนทำเอาผมเกือบไม่ได้ยินที่เขาพูดเลย จำได้ว่า ตั้งแต่เริ่มเขียนเรื่องให้เขา ผมเคยเห็นเขายิ้มกว้างขนาดนี้แค่สองครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง แต่ละครั้งทำเอาแทบหยุดหายใจจริงๆ เพราะเขายิ้มจนเห็นฟันสวย แถมตายังเยิ้มอีกต่างหาก
   ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไรออกไป รู้ตัวอีกทีตอนที่เขาเดินเข้ามาใกล้ “ผมช่วยถือนะครับ”
   ผมสะดุ้งเฮือก เกือบจะปล่อยของทั้งหมดหลุดมือ ดีที่สุภาพงษ์ขยับมารับไว้ได้ทัน ผมเห็นอกเสื้อของเขา ขยับเข้ามาใกล้แทบจะชิดหน้า พอเงยขึ้นไปก็เห็นรอยยิ้มเขาเต็มๆ
   อาการตาพร่าเข้ามาแวะทักผมทันทีทันใด
   “พี่นิต!” สุภาพงษ์ร้อง น้ำเสียงฟังดูตกใจ อืม... มันก็น่าตกใจอยู่หรอก ต่อให้เป็นคนเฉื่อยแฉะหรือนิ่งกว่านี้ ก็สมควรจะตกใจล่ะ เพราะผมที่ยืนอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็เกิดหน้าคะมำ ล้มทิ่มใส่เขาเฉยเลย ดีนะที่เขาตกใจอย่างเดียว ไม่ขยับตัวหลบด้วย ไม่งั้นผมคงได้ล้มฟาดพื้นแน่
   “หน้ามืดเหรอ.. ผมพาไปที่โซฟานะ” สุภาพงษ์พูดเร็วปรื๋อ แล้วทำท่าจะพาตัวผมไป ผมเลยรีบยึดไหล่เขาไว้ เงยหน้าขึ้นเพื่อจะบอกเขาว่า ผมไม่ได้หน้ามืด แค่วูบนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่พอเงยขึ้นไปเห็นหน้าเขาที่มองลงมา ผมถึงรู้ว่าผมหน้ามืดจริงๆ น่ะแหละ
   “พี่นิต!!”
   สุภาพงษ์สมควรตกใจซ้ำสอง เพราะคราวนี้ผมถึงกับเข่าอ่อน ไม่ใช่แค่เอาหน้าซบอกเขาแล้ว เข่ามันพาลจะไปซบพื้นด้วยน่ะสิ ผมเลยคว้าแขนเขาเอาไว้แน่น เพราะกลัวว่าขืนปล่อยให้ล้มลงไปแบบนี้ จะเจ็บหนักเอา จากนั้นก็....
   เอาล่ะ ผมรู้ว่าผมน่ะผอม ผอมจนนั่งชิงช้าไกวใต้กิ่งฉำฉาที่บ้านตัวเองได้ แต่ผมไม่เคยคิดหรอกนะว่าจะผอมขนาดมีใครมาอุ้มได้ ประเด็นคือ ตอนนี้สุภาพงษ์กำลังอุ้มผมอยู่
   โอย... ตาผมพร่าอีกแล้ว!
    ระยะทางจากหน้าห้องไปที่โซฟาไม่ไกลหรอก แต่ผมรู้สึกอย่างกับเป็นปีๆ เกิดมาไม่เคยถูกใครอุ้มซะด้วย ก็ลูกผู้ชาย พ่อแม่เขาก็อุ้มตอนแบเบาะเท่านั้นแหละ
   หัวใจผมเต้นตึกๆ พยายามบอกตัวเองให้หายใจลึกๆ เข้าไว้ เขาก็แค่หวังดี ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เขาก็แค่ยิ้ม ยิ้มจนใจผมเต้นแรงเกินไปเท่านั้นเอง..
   ทำใจดีๆ ไว้พนิต...
   ในที่สุด สุภาพงษ์ก็อุ้มผมมาถึงโซฟาจนได้ ผมโล่งใจจริงๆ ที่ในที่สุดเขาก็วางผมลง จะได้เลิกใจเต้นไปกับแผงอกแผงไหล่ของเขาสักที ระหว่างที่ผมหอบหายใจเฮือกๆ สุภาพงษ์ก็พูดขึ้นอย่างร้อนใจ “ทำใจดีๆ ไว้นะครับพี่นิต”
   ผมน่ะ พยายามทำใจดีๆ อยู่หรอก แต่เขาสิ พูดแล้วแทนที่จะออกไปห่างๆ ผม ดันเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อผมซะงั้น เล่นเอาผมแทบหน้ามืดซ้ำสอง
   “โจ!” ผมโพล่ง พยายามยกมือขึ้นปัดมือเขาออก แต่ก็แค่นึกเท่านั้นแหละ เพราะมือผมมันไม่มีเรี่ยวมีแรงเอาเสียเลย ได้แต่นอนใจเต้นตุบๆ ดูสุภาพงษ์ปลดกระดุมเสื้อผมออก
   นี่ผมหน้ามืดอยู่นะ เขาคิดจะทำอะไรของเขากันแน่เนี่ย!!
   ขณะที่ผมกำลังเขม็งเคร่งเครียด กล้ามเนื้อบนหน้าเต้นตุ๊บๆ เพราะมือของเขาที่กำลังปลดกระดุมผมอยู่ จู่ๆ สุภาพงษ์ก็ผละออกไป หยิบอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เอามาจ่อที่จมูกผม
   กลิ่นหอมของพิมเสนทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันที ค่อยมีสติคิดขึ้นมาได้หน่อยว่า เขาคงพยายามคลายเสื้อผ้าเพื่อให้ผมรู้สึกสบายตัวขึ้น
   สุภาพงษ์เอาพิมเสนจ่อจมูกผมอยู่พัก ก็เริ่มขยับมือนวดแขนนวดขาผมตามเรื่อง ตอนแรกๆ ผมก็รู้สึกจั๊กจี๋อยู่หรอก เลยขยับตัวยุกๆ ยิกๆ แต่พอปล่อยให้เขานวดไปเรื่อยๆ ชักรู้สึกสบายดีเหมือนกัน เอียงหน้าไปดูก็เห็นสุภาพงษ์ก้มหน้าก้มตานวดอย่างจริงๆ จังๆ ผมเลยยิ้มออกไปอย่างเอ็นดู พอดีกับที่เขาเงยหน้าขึ้นมา
   ดวงตาสีดำของเขาหยีขึ้นนิดๆ พร้อมกับริมฝีปากที่ระบายรอยยิ้มออกมา
   วินาทีนั้นผมรู้สึกเลยว่าเขาน่ารักจริงๆ
   “โจ...”
   “ครับ....” สุภาพงษ์ส่งเสียงแล้วขยับหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ ของเขา รู้สึกถึงปลายจมูกของเราที่แตะกันเบาๆ
   แย่ล่ะสิ!
   “ไม่ต้องแล้วล่ะ!” ผมรีบพูด ก่อนที่เขาจะขยับเข้ามาใกล้มากกว่านั้น สุภาพงษ์ถอยออกไปหน่อยหนึ่ง แล้วเม้มริมฝีปากเป็นเส้นบ้าง “พี่นิต.....”
   “พี่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจนะ” ผมพูดต่อ สุภาพงษ์กัดริมฝีปากล่างนิดๆ แล้วขยับเข้ามาอีก คราวนี้ผมไม่รอให้ปลายจมูกแตะกันหรอก เพราะดูจากความเร็วในการขยับของเขาแล้ว ต้องไม่ใช่แค่แตะปลายจมูกแน่ๆ เลยรีบยกมือปิดปากเขาไว้ “เป็นหวัดอยู่นะ”
   สุภาพงษ์สูดหายใจลึก ช้อนตาขึ้นมอง จากนั้นก็ขยับมือมาจับมือของผมข้างที่ปิดปากของเขาเอาไว้ แล้วแนบแก้มลงไป
   “พี่นิต... พรุ่งนี้ไปตรวจสุขภาพเถอะครับ” สุภาพงษ์พูดหลังจากแนบหน้าลงบนแก้มของผมพักใหญ่ จนผมรู้แล้วว่าไข้เขาลดลงพอสมควรแล้ว พอได้ยินประโยคที่เขาพูด ผมก็ขมวดคิ้วทันที “ไปทำไมน่ะ”
   “ก็พี่หน้ามืดบ่อย ผมว่าตรวจหน่อยเถอะครับ เผื่อจะมีปัญหาเรื่องหัวใจ” เขาตอบผม ผมถึงกับอึ้งไปหน่อยหนึ่ง
มีปัญหาเรื่องหัวใจ?!
เอาล่ะ ปีนี้ผมอายุสี่สิบห้า นับแล้วถือว่าเข้าข่ายมีความเสี่ยงต้องตรวจสุขภาพประจำทุกปีอยู่แล้วล่ะ จำได้ว่าผลตรวจตอนต้นปีก็ปกติ ทั้งความดัน เบาหวาน เก๊า ไม่เคยมีมากวนใจผม เรื่องโรคกระเพาะ โรคปอด โรคไตก็ไม่มี สุขภาพผมปกติทุกอย่าง จู่ๆ จะมามีปัญหาเรื่องหัวใจได้ยังไงล่ะ?
“พี่เพิ่งตรวจไปช่วงต้นปีนี้เอง ไม่มีโรคหัวใจอะไรหรอก” ผมตอบเขาไป สุภาพงษ์มองผมแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “เช็กอีกทีเถอะครับ พี่นิตเป็นลมมาครั้งหนึ่งแล้วนะครับ วันนี้ก็หน้ามืดอีก ถ้าเกิดเป็นตอนอยู่คนเดียวมันอันตรายนะครับ”
ผมเกือบพูดออกไปแล้วว่า คนที่ทำให้ผมหน้ามืดเป็นลมน่ะ คือคนที่กำลังพูดกับผมอยู่นี่ล่ะ แต่เพราะเห็นแก่กุศลเจตนาของเขา ผมเลยพยายามจะยิ้ม แล้วพูดออกไป “ผมไม่เป็นอะไรหรอก อย่าเป็นห่วงเลย”
สุภาพงษ์เม้มปากอีก จากนั้นก็บีบมือผมแน่น “ไปเช็กสักหน่อยเถอะนะครับ ผมออกค่าตรวจให้เอง”
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง” ผมตอบอย่างมีน้ำโห บอกว่าไม่เป็นก็ไม่เป็นสิฟะ เจ้าเด็กนี่นี่!
“ถ้าพี่เป็น พี่ตายไปนานแล้วล่ะ”
สุภาพงษ์ทะลึ่งตัวขึ้นมาทันที ก่อนจะคว้าตัวผมเข้าไปกอดอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว “ห้ามพูดว่าตายนะครับพี่นิต”
ผมที่ถูกกอดกะทันหัน ถึงกับอึ้งกิมกี่ โวยวายอะไรต่อไปไม่ถูก ได้แต่นอนนิ่งๆ ให้เขากอดไว้ ได้ยินเสียงสุภาพงษ์พูดอีก “สัญญาสิครับว่าจะไม่พูดว่าตาย สัญญานะครับ”
ผมรู้สึกว่าอ้อมกอดของเขาแน่นขึ้น ตัวของเขาอุ่นจัด น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก จากนั้นจู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมา คงเพราะนึกไม่ถึงว่าเขาจะห่วงผมมากขนาดนี้ล่ะมั้ง
“พี่นิต....” สุภาพงษ์เรียกชื่อผม จากนั้นก็ค่อยขยับออก ผมเลยรีบก้มหลบเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของเขาจนได้
“พี่ร้องไห้เหรอ?!”
ผมสั่นศีรษะ พยายามจะขยับตัวหนี แต่ก็ถูกมือของเขาจับหน้าเอาไว้ โธ่... จะดูอะไรให้ได้ในเวลาแบบนี้เล่า ไม่เคยรู้มารยาทหรือไงว่าไม่ควรจะดูน้ำตาของคนอื่นน่ะ
สุดท้ายผมเลยต้องหันกลับมามองเขา ทั้งๆ ที่ยังแน่ใจว่าบนหน้าต้องมีรอยน้ำตาเหลืออยู่แน่ๆ พอสุภาพงษ์เห็นหน้าผมก็ทำหน้าสลด “พี่นิต...”
“อืม...”
“พี่เกลียดผมขนาดนี้เลยเหรอ?”
ผมอึ้งไปหน่อย ด้วยไม่คิดว่าท่าทางประกอบน้ำตาโดยบังเอิญของผม จะไปทำให้เขาเกิดคิดอะไรแบบนั้นขึ้นมาได้ พอเห็นเขาทำหน้าเศร้า ผมเลยรีบพูดออกไป “เปล่า พี่แค่ไม่นึกว่า เธอจะห่วงพี่ขนาดนั้น”
ผมเห็นเขาเงยหน้าขึ้นมา มองผมด้วยสายตางุนงงหน่อยๆ สักพักก็ยิ้มออกมา
เออ... นี่แหละ สาเหตุที่ทำให้ผมหน้ามืด
หลังจากที่แสดงความดีใจผ่านรอยยิ้มที่ไม่มีเหนียมของเขาเรียบร้อยแล้ว สุภาพงษ์ก็ยิ้มเล็กๆ อีกหลายครั้ง พาลเอาผมจะวูบอีกรอบ ชักรู้สึกแล้วว่า นอนนิ่งให้เขารุกต่อแบบนี้ ไม่ผมเป็นลมซ้ำอีก ก็คงต้องเสียพื้นที่ความรู้สึกในใจบางส่วนให้เขาแน่ๆ
พอคิดแบบนั้นได้ ผมเลยยันตัวลุกขึ้นทันที “เดี๋ยวพี่ทำมื้อเย็นให้ทานแล้วกัน จะได้ทานยา”
สุภาพงษ์ช้อนตามองผมอีก จากนั้นก็ยิ้มบางๆ บนใบหน้า ผมเลยต้องรีบเบือนสายตาไปทางอื่น เพราะกลัวจะหน้ามืด กลัวจะวูบอีก กลัวว่าต้องไปตรวจโรคหัวใจ
กลัวจะเสียหัวใจให้รอยยิ้มอย่างคนขี้อายของเขา
----------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   มื้อเย็นของพวกเราในวันนั้น เป็นข้าวต้มที่เหลือจากช่วงกลางวัน เอามาทรงเครื่องด้วยฟักที่ผมเก็บมาจากบ้าน ตุ๋นกับไข่ รสชาติก็อร่อยใชได้ อันนี้ผมชมของผมเองนะ เพราะสุภาพงษ์ไม่ได้พูดอะไร เห็นก้มหน้าก้มตาทานจนหมดอย่างเดียว ไม่ยอมพูดอะไรสักอย่าง แต่เพราะทานจนเกลี้ยง ผมเลยพอจะอนุมานได้ว่า มันคงจะอร่อยถูกปากเขาอยู่เหมือนกัน ทานเสร็จแล้วเขาก็อาสาล้างถ้วยชามให้เหมือนช่วงกลางวัน ผมเห็นว่าท่าทางเขาดีขึ้นมากแล้ว เลยไม่ได้ห้ามอะไร ปล่อยเขาล้างไปตามเรื่อง ส่วนตัวผมก็เดินมาเปิดโทรทัศน์ เพื่อดูข่าวภาคค่ำ
   สุภาพงษ์เดินมานั่งข้างผมหลังจากนั้นไม่นานนัก พอดีเห็นมีข่าวนักเรียนตีกัน ผมเลยชวนเขาคุยตามประสา “เจ้าเด็กพวกนี้มันตีกันแรงขึ้นทุกทีนะ สมัยก่อนยังไม่มีเอาปงเอาปืนมายิงกันขนาดนี้ นี่ไปโดนเอาคนที่ไม่รู้เรื่องตายด้วย ไม่รู้จักคิดกันหรือไงนะ”
   “ครับ” สุภาพงษ์พูดออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็เงียบไม่มีอะไรเพิ่มเติมอีก เจอแบบนี้ผมก็ไปต่อไม่ออก ได้แต่หันกลับไปนั่งจ้องโทรทัศน์ สักพักก็มีข่าวแม่ใจยักษ์ทิ้งลูกลงชักโครกอีก ผมอดไม่ได้ต้องบ่นออกมา
   “อีกแล้ว ผู้หญิงสมัยนี้นี่ ทำไมใจหินกันแบบนี้นะ ผู้ชายก็เหมือนกัน ทำอะไรไม่รับผิดชอบเอาซะเลย สงสารเด็กที่เกิดมาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เรียนสูงไปก็ไม่ได้ทำให้จิตสำนึกดีขึ้นมาเลย พวกนี้นี่ รักสนุกกันลูกเดียวจริงๆ”
   “..........................”
   ผมหันไปมองสุภาพงษ์ ก็เห็นเขามองผมอยู่ พอผมหันไปก็หลบสายตาทันที “อืม.. ครับ.....”
   แล้วก็แค่นั้นแหละ เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ.... เอาล่ะ ผมยอมรับ ปกติผมอยู่บ้านคนเดียว ดูข่าวดูอะไรก็ไม่ได้บ่นบ้ากับตัวเองคนเดียวแบบนี้หรอก แต่ถ้าไปดูอะไรกับเพื่อนกับฝูง มันก็ต้องมีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้างใช่ไหมล่ะ? ไม่ใช่ว่านั่งเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้...
   หรือว่านี่จะเป็นเพราะช่องว่างระหว่างวัยนะ..............?
   ผมหันไปมองสุภาพงษ์อีกครั้ง ก็เห็นเขาจ้องโทรทัศน์อย่างจริงๆ จังๆ จะว่าไปแล้ว เขาอายุห่างกับผมสักสิบกว่าปีได้ แต่นับตามวัย เขาก็เข้าวัยผู้ใหญ่แล้วล่ะ ความคิดความอ่านอะไรไม่น่าจะห่างไกลกันมากเท่าไหร่ แต่คงเพราะนิสัยเงียบๆ ของเขาล่ะมั้ง ปกติชวนคุยธรรมดาก็แทบจะไม่พูดอะไรอยู่แล้ว มาเจอผมชวนบ่นแบบนี้ก็คงจะตอบโต้ได้แค่นั้นแหละ แต่ผมสิ... รู้สึกเหมือนพูดกับฝากับโซฟายังไงไม่รู้ แบบนี้ผมกลับไปดูโทรทัศน์ที่บ้านคนเดียวก็ได้ จะมีคนนั่งดูข้างๆ ไปทำไมกัน
   แต่เผอิญนี่ไม่ใช่บ้านผม และผมยังไม่คิดจะกลับเพราะเหตุผลแค่นี้ ผมเลยทำเป็นลืมไปว่ามีคนนั่งอยู่ข้างๆ แล้วเสพข่าวจากโทรทัศน์อย่างจริงๆ จังๆ เอาไว้เป็นข้อมูลไว้คุยกับเพื่อนกับฝูง
   นั่งดูเงียบๆ กันได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าสุภาพงษ์ขยับเข้ามาใกล้ ผมเลยขยับหนี พอเขาขยับมือมาจะจับมือผม ผมก็ดึงออก ในเมื่อเขาไม่พูดกับผม ผมก็ไม่คุยภาษากายกับเขาหรอก
หัดจับไม้จับมือกับโซฟาซะบ้าง จะได้รู้ว่าคุยกับฝาเป็นยังไง
พอจับมือผมไม่ได้ นั่งใกล้ผมก็ขยับหนี สุภาพงษ์ถึงรู้ว่าต้องเปิดปากบ้าง “พี่นิต....”
“อืม” ผมส่งเสียงในคอ พลางทำท่าสนใจข่าวเศรษฐกิจในจอเสียเต็มประดา แต่หูน่ะ เงี่ยฟังอยู่ว่าเขาจะพูดอะไรต่ออีก
“ผมขอโทษ...”
แน่ะ... ประโยคนี้อีกแล้ว นี่เขาคิดว่าคำขอโทษเป็นใบเบิกทางหรือไงนะ ผมหันหน้ากลับไปหาเขา “ขอโทษเรื่องอะไรน่ะ?”
สุภาพงษ์ทำหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ สุดท้ายก็ตอบออกมา “พี่นิตโกรธผมเรื่องอะไรครับ?”
ผมถลึงตาใส่เขา “ไม่ได้โกรธอะไรนี่”
คิ้วของสุภาพงษ์ขมวดเข้าหากันหน่อยๆ “แต่พี่นิตทำท่าทางเหมือนโกรธนี่ครับ”
“อ้อ....” ผมลากเสียง “งั้นเธอก็น่าจะรู้ ว่าพี่โกรธอะไร”
สุภาพงษ์ขบริมฝีปากล่างอีก หลังจากขมวดคิ้วอยู่พัก ก็พูดออกมา “ผมไม่รู้ พี่นิตบอกผมเถอะครับ ผมจะได้แก้ไข”
ผมมองหน้าเขา สูดหายใจลึก แล้วระบายออกมาแรงๆ “ช่างมันเถอะ”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นทั้งอย่างนั้น ไม่รู้สิ ไม่ใช่กงการอะไรที่ผมจะต้องอธิบายให้เขาฟังนี่ สุภาพงษ์ลุกขึ้นตามผมมา
“พี่นิต!”
ไม่พูดเปล่า ยื่นมือมาคว้าแขนผมเอาไว้ด้วย ผมเลยสะบัดแขนออก แต่คราวนี้เขาไม่ยอมปล่อย จับแน่นเลย
“อะไรอีกล่ะ?” ผมหันกลับมาถามเขาในที่สุด เห็นสุภาพงษ์ยืนกัดปาก คิ้วย่นนิดๆ เรายืนกันแบบนั้นอยู่พัก อารมณ์ผมก็พอจะเย็นลงได้ ในเมื่อเขายังไม่ยอมพูดอะไรเหมือนเดิม ผมพูดเองก็แล้วกัน
“ช่างมันเถอะ พี่จะถือว่ามันเป็นนิสัยส่วนตัวของเธอแล้วกัน”
“พี่นิต” สุภาพงษ์เรียกชื่อผมอีก คราวนี้เขามีอย่างอื่นพูดต่อด้วย “พี่บอกผมเถอะ ผมรู้ว่าผมนิสัยไม่ดี พี่บอกผมนะ ผมจะได้แก้ไข”
นี่ถ้าเขาเป็นเด็กอายุสักเจ็ดแปดขวบ หรือสักสิบสี่สิบห้า ผมจะบอกเขาหรอก ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ไม่ดีเลย แต่นี่เขาอายุสามสิบสี่เข้าไปแล้ว ผมพูดไปก็เท่านั้นแหละ สามสิบสี่ปี ใครมันจะไปแก้นิสัยของตัวเองได้ ขนาดผมแก่กว่าเขายังแก้นิสัยเสียตัวเองไม่ได้เลย อีกอย่าง เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องแก้เพื่อผมด้วย
“โจ...” ผมเรียกชื่อเขา สูดหายใจอยู่อีกหลายครั้ง ถึงพอจะพูดตอบเขาได้ “พี่ว่าโจเลิกหวังอะไรจากพี่จะดีกว่า”
ดวงตาของสุภาพงษ์เบิ่งขึ้นหน่อยหนึ่ง “ผมไม่ได้หวังอะไรนะ”
“อืม..” ผมครางในคอ จ้องหน้าเขากลับ “พี่ว่าเราเป็นแค่บรรณาธิการกับนักเขียนแหละดีแล้ว พี่มีหน้าที่เขียนงานให้โจ โจก็เช็กงานพี่ เราไม่ต้องรู้จักอะไรกันมากกว่านี้หรอก”
สุภาพงษ์มองผมตาค้าง ผมเห็นเขาขยับปากเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง แต่กลายเป็นว่า น้ำตาหยดหนึ่งร่วงออกมาจากตาเขาแทน
ผมกลืนน้ำลาย บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ สุภาพงษ์ยืนจ้องผมเงียบๆ น้ำตาอีกหลายหยดไหลออกมาหลังจากนั้น
ผมเบือนหน้าหนี แล้วดึงแขนออก สูดหายใจลึกอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมา “พี่กลับนะ”
-------------------------------------
   โชคดีที่ช่วงหัวค่ำ รถแถวนั้นไม่ค่อยติดแล้ว ผมเลยนั่งรถเมล์กลับมาถึงบ้านโดยใช้เวลาสักสิบห้านาทีเห็นจะได้ ตลอดทางผมรู้สึกแปลบๆ ในอก คงเพราะน้ำตาของสุภาพงษ์ล่ะมั้ง
   เกิดมาผมไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะเป็นสาเหตุให้ผู้ชายคนหนึ่งต้องร้องไห้
   ความผิดของผมหรืออย่างไรกันนะ.........?
   ผมไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ ว่าสุภาพงษ์จะชอบผม ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เขาจะชอบผมตั้งแต่สมัยเด็กๆ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เขาคิดแบบนั้น แล้วก็ไม่พร้อมจะรับความรู้สึกแบบนั้นจากเขาด้วย
   ผมอาจจะปฏิเสธเขาช้าไปสักหน่อย แต่นี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
   ถึงผมจะชอบมองหน้าเขา แต่เขาคงไม่ใช่คนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจแน่ๆ
   ผมถอนหายใจเฮือก ถอดเสื้อออก เตรียมตัวจะอาบน้ำเข้านอน ถึงเพิ่งรู้ว่าหยิบกุญแจห้องของเขาติดมาด้วย แถมยังลืมถุงใส่เสื้อผ้าไว้ที่ห้องของเขาอีก
   เอาน่ะ ไว้หลังจากนี้ พออะไรๆ มันเข้าที่เข้าทางแล้ว ค่อยไปขอคืนก็ได้ กุญแจก็เดี๋ยวค่อยนั่งรถกลับไปฝากไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์คอนโดฯเขาพรุ่งนี้
   ผมคงทำได้ดีที่สุดเท่านี้แหละ
   อาบน้ำแปรงฟันเสร็จแล้ว ผมก็เดินเข้าห้องนอน นึกดีใจว่ายังไม่ดึกเท่าไหร่ พรุ่งนี้ผมคงตื่นเช้าพอจะรีบเอากุญแจห้องไปคืนตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้าก่อนที่สุภาพงษ์จะไปทำงานได้ แต่เขาคงจะมีอีกดอกหนึ่งล่ะมั้ง ก็ดอกนี้คุณากรเป็นคนทิ้งเอาไว้นี่นา
   พอนึกถึงคุณากรแล้ว ผมก็ถอนหายใจอีก นี่ถ้าเขากับสุภาพงษ์เคยเป็นแฟนกัน เขาก็ดูน่าสงสารอยู่นะ ที่ต้องมาเลิกกับแฟนเพราะผม จำได้ว่าตอนเจอกันครั้งแรก เขาเคยเล่าเรื่องทำนองว่าแฟนเก่าทิ้งไปเพราะไปเจอคนข้างบ้านที่แอบชอบมานาน ไม่รู้สิ ผมรู้สึกผิดขึ้นมาเลยล่ะ ถ้านั่นเป็นเรื่องราวของเขาจริงๆ
   ผมว่าคุณากรคงเข้ากับสุภาพงษ์ได้ดีกว่าผม พวกเขารู้จักกันมานาน อาจจะเคยเป็นแฟนกันมาก่อนด้วยซ้ำ ตอนที่สุภาพงษ์ป่วย ควรจะได้คนอย่างคุณากรมาคอยอยู่เป็นเพื่อน แทนที่จะมาพยายามให้ผมที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเป็นพิเศษช่วยดูแล....
   ท่าทางคุณากรคงจะเข้าใจผิดไปล่ะมั้ง ว่าถ้าพาผมไปแล้ว สุภาพงษ์คงจะหายไวขึ้น
   ผมนึกถึงภาพน้ำตาของสุภาพงษ์ตอนที่ออกมาแล้ว ก็บอกกับตัวเองว่า เขาคงไม่หายไวแน่ๆ และคงจะหายช้าเพราะผมด้วย
   แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ภาวนาในใจ ให้เขาหายในที่สุด
   หายได้โดยไม่ต้องมีผม
--------------------------------------------------
*** ฮืออออ :o12: ตอนที่เริ่มเขียนตอนนี้ ยังไม่คิดเลยนะว่าจะจบตอนได้ดราม่าขนาดนี้เนี่ย.... ถึงจะวางแผนไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องมีดราม่าระหว่างนิสัยของสุภาพงษ์และคุณพนิต แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้นะเนี่ย..!! (อ้อ เรอะ!! ได้ยินว่าไม่มีอะไรจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอฟ่ะ นี่มันล่อมาตั้งตอน8แล้วนะ!!!!!)

เขียนไปเขียนมา อยากจะบอกว่า เรื่องนี้ผิดที่สุภาพงษ์คนเดียวเลย นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นนพรัตน์นะ คุณพนิตเสร็จไปแล้ว... แต่... ก็สงสารนายโจแหะ... ไม่รู้จิ๊ 8ตอนนี่ นายโจโดนพี่นิตทำร้ายจิตใจแบบไม่รู้ตัวตลอดเลย :sad4:

สงสารก็สงสาร หมั่นไส้ก็หมั่นไส้นายโจนะเนี่ย.... แต่คาดว่า จบตอนนี้แล้ว คนอ่านคงหมั่นไส้คุณพนิต แช่งให้กอดคานตายไปทั้งแบบนี้แน่ๆ เลย....

อย่าเกลียดคุณพนิตเลยน๊าาาา :sad4: คุณพนิตแกแค่รักโลกส่วนตัวของแก่มากกว่าคุณบ.ก.เท่านั้นเอง (ปกป้องกันสุดๆ)

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
(me/เอามือตบหน้าผากตัวเอง แปะ!!)
ไม่รู้จะเห็นใจใครดี ระหว่างคุณนักเขียนกับคุณบ.ก.

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
กรี๊ดดดด อ่านตอนแรกๆอิชั้นก็กรี๊ดกร๊าดอยู่หรอกนะ
ก็แหมมโจเล่นรุกเร็วถ้าป่วยแล้วมีอะไรคืบหน้าขนาดนี้ก็อยากให้ป่วยบ่อยๆ ฮ่าๆ
แถมฮาที่ความหล่อของโจเล่นทำเอาคุณพนิตจะเป็นลม หล่อจนตาพร่าาาาเลยทีเดียว
แต่มันไม่จบเพียงเท่านี้!ตอนนี้มันมีอะไรมากกว่าทที่คิด! กรี๊ดดดมีระเบิดทิ้งไว้ตอนจบ!
คุณจูออนมาต่อเร็วๆเลยสงสารหนูโจ :dont2:
คุณพนิตทำหนูโจร้องไห้เค้าโป้งแล้ว!! :a14:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2011 17:15:18 โดย PoP~Pu »

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
 :o211:
โจ นายมันรุกช้าเกินไปแล้ว
ดูเหมือคุณพนิตจะรักคานยิ่งชีพนะ :haun5:

ออฟไลน์ Heisei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ง่า...จะบอกว่าเข้าใจนะ  แบบนิสัยเข้ากันไม่ได้  แม้ว่าเค้าจะเป็นคนดีขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วความสัมพันธ์มันก็จะจบอยู่แค่ที่ระดับนึง มากกว่านี้ไปไม่ได้  เหมือนกับ"เคมีมันไม่ตรง" อะไรทำนองนั้น

จะน่าสงสารก็ตรงสุภาพงษ์...  รักพี่นิตซะขนาดนั้น  แล้วจะทำไงดีเนี่ยยย :sad4:

ปล. พี่นิตนี่ก็นะ  แค่เด็กยิ้มแค่เนี้ย เป็นลม  อย่างนี้ถ้าตอน :oo1:...ไม่ช๊อคตายเลยเร๊อะ!! :laugh:

ออฟไลน์ pixie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่าา หลังจากซุ่มมานาน เพิ่งจะมาเม้น เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งมีโอกาสตามอ่านงานเขียนหลายๆ เรื่องของคุณจูออน ต้องยอมรับว่าเป็นคนที่เขียนนิยายได้สนุกมากกก แล้วก็เขียนจบไม่ค่อยทิ้งเรื่องด้วย(ตรงนี้ต้องขอชื่นชมจากใจ) โดยส่วนตัวชอบเรื่อง stair กับ deep blue red sky มากค่ะ แล้วก็มาจนเรื่องนี้ ปกติก็เฉยๆกระเดียดไปทางแหยงนิดๆกับเรื่องพวกลุงๆนะ จนตอนนี้งงว่า เราเป็นสายโอจิเต็มขั้นตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า(ตั้งแต่แรกเจอคุณไพ?) สำหรับตอนนี้ พี่นิตทำร้ายจิตใจโจตลอดเลยน๊าา ตาโจก็เฉื่อยตลอด จับกด(?)เลยซิคะ อย่างไปเกร็ง ฮ่าๆๆ   พล่ามยาวและไปดีกว่า เป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆให้อ่านนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






RanJeri

  • บุคคลทั่วไป
คุณพินิตใจร้าย
น้องโจออกจะรักพี่มาก
ให้โอกาสหัวใจตัวเองซักหน่อยน๊าาาาาาาา

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
สมควรไปตรวจร่างกายอย่างแรง  แค่โจยิ้มก็เป็นลมซะแล้ว 

ออฟไลน์ irksome

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
"หัดจับไม้จับมือกับโซฟาซะบ้าง จะได้รู้ว่าคุยกับฝาเป็นยังไง"
โอยยยยย ตอนนี้ฮามาก  :laugh: ไม่ไหวอ่ะ ชอบบบบบ 5555555555

แงงง ตอนนี้คุณพนิตใจร้ายอ่ะ สงสารโจ
แต่โจก็ไม่ทำไรให้มันเคลียร์ๆเองนิเนอะ มัวแต่ไม่ค่อยพูด
เอาใจช่วยให้สองคนนี้เจ้าใจกันไวๆ  :n1: แฮ่

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
 :fire:ถ้าคุยกับโจมันยากนักก็กดเลยเด้พี่นิต!!

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ม่ายยยยยยยยย เราไม่เห็นใจโจ เพราะโจที่มองคุณพนิตมานานมาก
น่าจะหัดใช้โอกาสที่ได้มาในการเข้าใจมากกว่านี้สิ
เค้ามาบ้านแล้วยังจะนั่งนิ่งอยู่ได้


แห้วก็สมควรแระ

ออฟไลน์ kissme

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 457
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เมื่อไหร่จะรู้ตัว เฮ้อ!!
รู้ใจตัวเองสักทีซิพี่นิต  กล้า ๆ หน่อยก่อนจะสายเกิน หึ.........งอนแทนโจ

ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
พี่นิตใจแข็งจัง 

สงสาร บ.ก. อ่ะ  แอบรักพี่นิตมานาน  แต่พี่นิตมาพูดแบบนี้

มันก็ต้องมีเสียใจบ้างไรบ้างเป็นเรื่องธรรมดา   :o12:    :o12:   :o12:

อย่างไงก็เจช่วย บ.ก. ให้เอาชนะใจพี่นิตให้ได้และยอมรับความรักของ บ.ก. 

สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆคร้า บ.ก. 

ออฟไลน์ pak_kikkok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ตอนนี้ถึงจะดราม่า แต่คุณพนิตก็แอบทำฮาไปหลายดอก... :z2:


เป้นบุคคลที่ประมาณว่าคิดเองเออเอง...โกรธเองอะไรเองหายโกรธเองทำใจได้เอง อยู่คนเดียว
โจน้อยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พลอยไม่เข้าใจ ฮ่าาา :serius2:

คุณพนิตโลกส่วนตัวสุงจริงอะไรจริง.. แต่ก็หวังให้โจเข้าไปบ้างได้สักนิดก็ยังดีอ่าน้าาา

ใจจริงแอบนึกว่าตอนนี้คุณพนิตจะโดนกดซะแล้วววว ฮ่าา(ได้แต่แอบหวัง คึคึคึ) :impress3:

แต่สุดท้าย กลายเป้นโจเสร็จคุณพนิตแทน(?) ฮ่าาาาา หัวใจน่ะค่ะ...สลายราบคาบเลยงานนี้
คุณพนิตใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยย  :o12:

แบบหักดิบกันดื้อๆแบบนี้ โจร้องไห้ก็ไม่หวั่นด้วยนะ..ปัดมือออกกลับบ้านเฉยเลย
ฮืออออออออออออออออออออออออ :sad4:

ทำไมคุณพนิตใจร้ายแบบเน้! :fire: ถึงไม่อยากโกรธคุณพนิต แล้วก็ไม่ได้อยากแช่งให้คุณพนิตขึ้นคาน(เพราะถ้าคุณพนิตขึ้นคาน เดี๋ยวโจก็ไม่ได้คุณพนิตเป็นแฟน)ก็เถอะ :m31:
แต่แหม่ๆๆๆๆ เล่นทำร้ายจิตใจคนหนุ่มขนาดนั้น ฮืออออออออออ :o12:


เวลาเข้ามาเช้คแล้วเห้นเรื่องนี้อัพทีไร ใจเต้นตึกตักเหมือนสาวน้อย..ทั้งที่อายุอานามก็มากโข ฮ่าฮ่าาาา :o8:


มารอลุ้นว่าเมื่อไหร่คุณพนิตจะเสร็จโจ ฮ่าาาา :haun4:
(ไม่รอใจอ่อนแล้วค่ะงานนี้ รอเสร็จโจลูกเดียว) o13

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เข้าใจคุณพนิตนะ คนที่อยู่เป็นโสดมานานนี่ ก็สี่สิบอัพแหละ
ความรู้สึกอิสระ มันอยู่ในเม็ดเลือดทุกเม็ดนะ อิ อิเว่อร์ไปปะ
ยิ่งคนที่มีโลกส่วนตัวสูงนี่ จะคิดเยอะเลยแหละ ถ้าเขารู้สึกว่า
มีใครสักคนกำลังก้าวเข้ามาในโลกของเขา โดยที่เขายังไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรด้วย
 

คันจัง

  • บุคคลทั่วไป
เย้ๆๆ เรื่องเฉื่อยๆ แต่อัพเรื่อยๆ มาแล้ววว  o13
พี่นิต: รู้งี้พาไปเตียงดีกว่า  :-[
คนเขียนน่าจะให้พนิตพาโจไปที่เตียงนะคะ  :z1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด