[แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55  (อ่าน 316988 ครั้ง)

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
คุณพนิตใจร้ายจังเลยอะ โจร้องไห้เลย ผู้ชายไม่ร้องไห้ง่าย ๆ หรอกนะ เฮ้อ  :m15:

ออฟไลน์ Maprang_W

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
บทโศกมาจนได้
แต่ไม่เป็นไร เชื่อว่าพอคุณพนิตเข้าใจ
ว่าทำไมน้องโจถึงได้รักมากมายขนาดนี้
ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นเอง

ออฟไลน์ Pepor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-3
พี่นิตใจร้าย มาเหมือนให้ความหวังแล้วก็ทิ้งไป โจจะแก้เเกมยังไงดี

ออฟไลน์ parakoparako

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
 :sad4: อ่านช่วงแรกๆของตอนี้รู้สึกว่า
"ตอนนี้มันหวานจังหน้า"
แต่ ซักพักมันชักจะ "ดาร์ค"แว๊กกกกกกกกก
เด่วแบนคุณพนิตเลยนิ
แกล้งน้องโจอยู่ได้ ชิๆ

ออฟไลน์ kururu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-3

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
อ้าวววววว  พี่นิต แค่โจไม่สนองตอบ กับบทสนทนา ถึงกับตัดเยื่อใยกันเลยหรือ
สงสารโจที่สุด

ออฟไลน์ misso

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ตอนแรก  :-[

ตอนสุดท้าย  :a5:

น้ำตาลหมด ความหวานหดหาย

ฮือๆ พี่นิต ทำม้ายยยย ทำน้องโจได้ลงคอ น้องแค่มนุษยสัมพันธ์ติดลบนิดหน่อยเอง แต่น้องเค้าจริงใจนะ อย่าใจร้ายกับน้องโจนักสิ  :sad4:

มาต่อไวๆนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
สงสารโจมากกก
คุณพนิตใจร้าย 
โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยนะ  คนอ่านยังอยากได้โจเลย หุหุ

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
ตอนแรกยิ้มหน้าบานเบอะเลยค่ะ
โจน่ารักมากกกกกก อ้อนคุณพนิตได้น่ารักสุดๆ
ใช้โอกาสของการเป็นคนป่วยได้อย่างคุ้มค่ามาก  o13

แต่  o22

คุณพนิต ทามมายยยยย :serius2: 
น้องโจผิดตรงไหน ช่องว่างระหว่างวัยพี่นิตคิดไปเองทั้งนั้น
พี่นิตปิดกั้นตัวเองเกินไปนะคะ รักโลกส่วนตัวแต่ก็ต้องลองเปิดใจให้ใครบ้างสิ
ฮื้อออ  เนี่ย มาบอกโจแบบนี้ คนอ่านช้ำใจค่ะ
เดี๋ยวจะแกล้งอัดวิดีโอตอนโจยิ้ม ไปเปิดฉายอยู่หน้าบ้าน เอาให้คุณพนิตหน้ามืดบ่อยๆเลย
ฮึ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ parakoparako

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
ถ้าเปลี่ยนคุณพนิตเป็น "คงฉ่วย"คุญน้องโจเสร็จไปตั้งแต่ตอนมาทวงต้นฉบับ
แต่แรกแล้ว ฮึ่ยๆ

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
พี่นิตใจแข็งจริงๆเลย :serius2:

โจจัดการ :oo1: เร็วๆเลย :laugh:

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
เข้าใจคุณพนิตนะ เป็นใครเจออย่างโจเข้าไปก็อึดอัด

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**ในที่สุด ก็เขียนจบไปอีกตอนจนได้ เฮ!! :mc4:

แล้วก็ยังคงสถานะผู้อพยพมาเดือนกว่าอย่างเหนียวแน่น (ไม่ได้กลับไปดูบ้านเลยสักครั้้ง บ้านจ๋า :sad4:)

โว้ย ท่วมนานจนชักเครียด (เพราะพิมพ์หนังสือก็ไปเอาไม่ได้ เอามาได้ก็ส่งไม่ได้ น่าเครียดมั้ย?!)

เพราะงั้น... มาอ่านอะไรเฉื่อยๆ กันเถอะ!! (มันมาลงตรงนี้ได้ไงล่ะเนี่ย??!! :a5:)
---------------------------------------------

Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่9

   เพราะเมื่อคืนผมมัวแต่นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เช้าวันต่อมาพอลืมตาขึ้นมองนาฬิกาก็เห็นว่าเข็มยาวชี้ที่เลขสิบเข้าไปแล้ว พอเห็นว่าตื่นสายขนาดนี้ ผมก็แทบจะกระโดดลงมาจากเตียง รีบลงไปล้างหน้าแปรงฟัน รดน้ำต้นกล้วยไม้ที่อยู่หน้าบ้าน แล้วปั่นจักรยานออกไปทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆ พอกลับมาถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์แผดเสียงลั่นออกมาจากด้านใน ผมเลยต้องรีบไขกุญแจ วิ่งเข้าไปรับโทรศัพท์ โดยทิ้งทั้งจักรยานและประตูรั้ว ให้เปิดอ้าไว้อย่างนั้น   
   “สวัสดีค่ะคุณพนิต อรนภานะคะ วันนี้คุณพนิตจะเข้ามาส่งต้นฉบับเองรึเปล่าคะ”
   ผมกะพริบตาปริบๆ อยู่พัก ถึงนึกได้ว่าเป็นสายเลขาฯของสุภาพงษ์ที่สำนักงาน “อืม เปล่า ผมส่งไปแล้วน่ะ”
   “เอ๋ ส่งไปรษณีย์มาหรือคะ?” เสียงอรนภาตอนกลับมา ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “เปล่า ผมเอาไปให้คุณสุภาพงษ์เมื่อวานน่ะ เขายังไม่ได้เข้าไปหรือ?”
   “คุณสุภาพงษ์เธอไม่สบายค่ะ เมื่อเช้าเพิ่งโทรมาบอกว่าวันนี้เข้าออฟฟิศไม่ไหว ว่าแต่เมื่อวานคุณพนิตเอาต้นฉบับไปส่งให้ที่ห้องเลยเหรอคะ”
   “อืม........” ผมคราง ชักรู้สึกว่า ผมพูดอะไรที่ฟังดูไม่เหมาะสมไปรึเปล่านะ “พอดีมันมีเหตุนิดหน่อยน่ะ ที่จริงผมตั้งใจจะไปส่งที่ออฟฟิศ แต่พอดีเพื่อนเขาแวะมาหาผมที่บ้าน ก็เลยถือโอกาสแวะไปเยี่ยมไข้เขาด้วยเลยน่ะ”
   “อ๋อ ค่ะ อาการเขาเป็นไงบ้างคะ เมื่อเช้าท่าทางเสียงเขาดูแย่มากเลยค่ะ”
   “............” ผมนิ่งไปพักหนึ่ง ถึงพอจะหาคำพูดตอบอรนภาไปได้ “ก็ไข้นั่นแหละ พักผ่อนวันสองวันก็น่าจะหาย”
   “อืม.. ค่ะ ยังไงคุณพนิตเองก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ”
   “ครับ” ผมตอบ จากนั้นเธอก็วางสายไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งอยู่หน้าโทรศัพท์
   สุภาพงษ์........
   เมื่อวานผมเขียนต้นฉบับเสร็จก่อนเวลา เลยตั้งใจจะไปส่งให้เขาที่สำนักงาน แต่กลับถูกเจ้าคุณากรหลอกพาไปเยี่ยมไข้เขาเสียได้ ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะอยู่เฝ้าไข้เขาสักคืนหรอก เพราะเห็นว่าอยู่คนเดียวไม่มีใคร แต่ก็ดันมาอารมณ์เสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องจนได้
   ที่จริงเขาก็แค่คนที่ไม่ค่อยพูด แถมก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน ที่ผมทำลงไปเมื่อวาน ถือว่าใจร้ายเกินไปรึเปล่านะ...?
   พอมานึกย้อนถึงน้ำตาของเขาก่อนที่ผมจะออกจากห้องแล้ว ก็รู้สึกขึ้นมาจริงๆ นั่นล่ะ ว่าผมอาจจะทำเกินไปหน่อย อย่างน้อย บอกเขาแบบนั้นแล้ว ก็น่าจะหาใครไปอยู่ปลอบใจเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าทิ้งเขาออกมาแบบนั้น แต่จนใจที่ผมไม่มีเบอร์ของคุณากร แล้วก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาอย่างไรดี จะโทรกลับไปถามสุภาพงษ์ว่าเป็นไงบ้างก็น่าเกลียด
   ผมวนเวียนคิดเรื่องนี้จนดึก ถึงได้ตื่นซะสายโด่งแบบนี้ไงล่ะ แถมตื่นมาแล้วก็ได้รู้อีกว่าเขาไปทำงานไม่ไหว
   เพราะผมรึเปล่านะ.....
   “ลุงนิต!”
   ผมสะดุ้งโหยง เงยหน้ามองออกไป ก็เห็นเด็กผู้ชายอายุสักเจ็ดแปดขวบสองคนมายืนหน้าตื่นอยู่ตรงหน้าบ้าน ท่าทางจะเห็นว่ามีจักรยานล้มอยู่เลยดูจะตกใจใหญ่ คงคิดว่าผมเป็นอะไรล่ะมั้ง
   “ลุงนิต” เจ้าเด็กสองคนนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาตามหาผมถึงบ้าน ผมเลยต้องรีบออกไปก่อน “มีอะไรกันเหรอ?”
   “ตกใจหมดเลย คิดว่าลุงเป็นอะไรไปแล้ว เห็นรถล้มอยู่หน้าบ้าน” หนึ่งในนั้นตอบ ผมจำได้ว่าเป็นสองพี่น้องจากบ้านเช่าที่เข้ามาเล่นบ้านผมบ่อยๆ ย้ายมาอยู่แถวนี้ได้สักเกือบครึ่งปีแล้วมั้ง
   “อ้อ ลุงรีบเข้าไปรับโทรศัพท์น่ะ มีเรื่องอะไรล่ะ?” ผมถามต่อ เจ้าเด็กสองคนนั้นมองหน้าผมอยู่พัก แล้วเม้มปากนิดๆ “แม่บอกให้มาลาน่ะครับ พรุ่งนี้พวกผมจะย้ายออกแล้ว ไปแต่เช้าเลย”
   “อืม..” ผมส่งเสียงในคอ มองหน้าเด็กทั้งสอง “เก็บของเสร็จหรือยังล่ะ?”
   “ยังครับ เดี๋ยวต้องไปช่วยแม่เก็บของต่อ” คนน้องตอบ แล้วเดินมาหาผม “ลุง ผมไปแล้วลุงจะคิดถึงผมมั้ย?”
   ผมเผลอหัวเราะออกมา แล้วก็เลยย่อตัวลงนั่ง ยกมือลูบศีรษะเจ้าเด็กคนนั้นอย่างเอ็นดู “คิดถึงสิ”
   “งั้นผมย้ายมาอยู่กับลุงได้มั้ย ผมไม่อยากย้ายบ้านเลย” เด็กคนน้องพูดต่อ ได้ยินคนพี่เอ็ดขึ้น “ไม่ได้นะ แม่บอกว่าอย่ามารบกวนลุงนิตบ่อยๆ เกรงใจลุงนิตบ้าง”
   “ลุงนิตใจดี ลุงนิตไม่ว่าหรอก” คนน้องตอบ แล้วหันหน้ามาหาผม “ลุงนิตให้ผมอยู่ด้วยนะ”
   “มาอยู่กับลุงแล้วไม่คิดถึงพี่ถึงพ่อแม่หรือไงน่ะ” ผมตอบกลับไป เจ้าเด็กน้อยทำท่าคิดหนัก ผมเลยพูดต่อ “นี่... เดี๋ยวสักพักก็ได้เจอกันอีกนั่นแหละ ไว้โตขึ้น ค่อยกลับมาหาลุงก็ได้ ลุงไม่หนีไปไหนหรอก”
   “แต่ผมไม่อยากย้ายบ้านนี่นา”
   “ทำไมล่ะ บ้านใหม่ไม่น่าอยู่หรือไง?” ผมถามเล่นๆ เจ้าเด็กน้อยทำหน้ายู่ “ไม่รู้ ผมชอบแถวนี้มากกว่า อยู่ที่นี่มาเล่นกับเพื่อนที่บ้านลุงได้นี่นา บ้านใหม่ผมไม่มีที่แบบนี้หรอก”
   “อ้อ... งั้นไว้ช่วงปิดเทอมก็ค่อยขอพ่อแม่มาเที่ยวสิ หัดขึ้นรถเมล์กันเป็นแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าจะย้ายไปต่างจังหวัด”
   “อือ ครับ แต่แม่บอกว่า นั่งรถมาหาลุงได้” คนพี่ตอบ แล้วหันไปหาน้อง “โก้กลับได้แล้ว เดี๋ยวแม่ว่านะ”
   พอเห็นเจ้าคนน้องทำท่ายึกยักไม่ยอมกลับ ผมเลยต้องตะล่อมต่อ “กลับบ้านไปช่วยแม่เก็บของก่อนนะ ไว้เดี๋ยวปิดเทอมถ้าโก้มา ลุงจะทำชิงช้าใหม่เอาไว้ให้นั่งเลย”
   “จริงนะครับ” เจ้าเด็กน้อยทำตาโต ผมพยักหน้า “อืม รับรองว่านั่งได้หลายคน ทนกว่าอันนี้แน่ๆ เพราะงั้น กลับบ้านไปช่วยแม่เก็บของก่อน อย่าดื้อนะ ไม่งั้นลุงไม่ให้กลับมาแล้วนะ”
   เด็กคนน้องเงียบไปพัก สุดท้ายก็พยักหน้า ยอมกลับไปแต่โดยดี ผมมองสองคนเดินกลับไปที่บ้าน แล้วก็นึกขึ้นมาว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มีเด็กๆ แวะเวียนมาอยู่แถวนี้มากมายเหลือเกิน มาเล่นที่บ้านผมก็เยอะ แต่น้อยคนหรอกที่จะกลับมาเยี่ยมที่นี่อีกครั้ง บางคนเจอกันก็จำกันไม่ได้เสียแล้ว
   อย่างสุภาพงษ์ไง....
   ผมปิดประตูรั้ว เข็นจักรยานกลับเข้ามาในบ้าน นึกไปก็น่าแปลกใจเหมือนกัน ทำไมสุภาพงษ์ถึงไม่บอกผมแต่แรกนะว่าเคยอยู่ใกล้บ้านกัน เขาคงจำผมได้หรอก เพราะเขามาบ้านผมถูกโดยไม่ต้องถามทางเลยสักคำ ตอนนั้นผมยังนึกอยู่เลยว่าเขาเก่งจริงๆ ที่มาถึงที่นี่ได้ นี่ถ้าเคยมาเล่นที่บ้านก็น่าจะทักทายกันหน่อย ไม่ใช่มาบอกผมตอนหลังแบบนี้
   แถมมาบอกในลักษณะนั้นอีก...
   พอคิดว่าตัวเองถึงกับเป็นลมล้มตึงลงไปเพราะคำพูดของเขาวันนั้น ผมก็เกิดอาการหน้าร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แก่ขนาดนี้แล้ว ทำไมผมถึงยังใจเต้นกับเรื่องพวกนี้อีกนะ คงเพราะผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน นึกไม่ถึงด้วยว่ามันจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
   แต่ผมไม่รู้สึกดีใจเลย ตกใจเสียมากกว่า
   จู่ๆ บรรณาธิการของตัวเองก็มาบอกว่าเคยอยู่ข้างบ้าน แถมยัง........ ใครจะดีใจผมไม่รู้ แต่ผมไม่ดีใจแน่ ถึงแม้ผมจะยอมรับว่าชอบมองหน้าเขาเอามากๆ ก็เถอะนะ
   สุภาพงษ์เป็นบรรณาธิการผม เด็กกว่าผมตั้งสิบกว่าปี แถมเป็นผู้ชาย แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกตกใจได้แล้วล่ะ แล้วต่อให้เขาเป็นผู้หญิง ผมก็คงไม่ปลื้มอะไร เพราะคิดว่าไม่มีปัญญาจะเลี้ยงไหวแน่
   ผมว่าผมใช้ชีวิตคู่กับใครไม่ไหวหรอก.... แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว...
   เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งเฮือก รีบเดินจ้ำๆ เข้าไปรับโทรศัพท์ทันที พลางนึกว่าใครโทรมานักหนานะ
   “อ้าว คุณพนิตอยู่เหรอครับ?!” ปลายเสียงทักขึ้นอย่างแปลกใจทันทีที่ผมกรอกเสียงลงไป ผมสิควรจะแปลกใจมากกว่า โทรมาเองแล้วมาพูดแบบนี้ได้ไงน่ะ
   “ใครครับ” ผมถามเสียงเข้ม นึกว่าถ้าเป็นพวกโทรศัพท์ป่วนเมืองล่ะก็จะเทศนาสั่งสอนสักยกหนึ่ง ได้ยินเสียงปลายสายตอบเร็วทันใจ “กั้งครับ คุณพนิตไม่ได้อยู่กับไอ้โจเหรอครับ?”
   “เปล่า” ผมตอบ พลางนึกว่าเขาจะถามทำไมนะ ในเมื่อที่โทรเข้ามาก็โทรศัพท์บ้าน ถ้าผมอยู่กับสุภาพงษ์แล้วผมจะรับโทรศัพท์เขาได้ยังไง “ผมกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
   “ห๊ะ!!” คุณากรร้องเสียงดังอย่างไม่เกรงใจคนปลายสายอย่างผม “คุณพนิตทิ้งมันให้อยู่คนเดียวหรือครับ?!”
   “อืม” ผมส่งเสียงตอบกลับไปอย่างรำคาญ แล้วก็พูดต่อ “คุณกั้ง ผมว่าคุณแวะไปดูเขาหน่อยก็ดีนะ เขาอยู่คนเดียวน่ะ”
   “โธ่...” คุณากรส่งเสียงครางกลับมา “ก็แล้วทำไมคุณพนิตไม่อยู่เป็นเพื่อนเขาล่ะครับ”
   ผมเงียบไปเสีย เพราะขี้เกียจเล่าเรื่องที่หงุดหงิดเขาเมื่อวาน คุณากรเห็นผมเงียบไปพักใหญ่ ก็เลยพูดต่อ “งั้นเดี่ยวผมแวะไปก็ได้... ไอ้โจนะ ไอ้โจ...” ได้ยินเสียงเขาบ่นกระปอดกระแปดออกมาอีกสองสามคำ ก่อนจะวางโทรศัพท์ไป ผมถอนหายใจเฮือก นึกดีใจว่าในที่สุดสุภาพงษ์คงมีใครไปดูแลอาการสักที ไม่รู้ว่าอาการเขาหนักขนาดไหน หวังว่าคงไม่เป็นอะไรมากนะ
   ผมวางโทรศัพท์แล้ว ก็เดินมาเปิดโทรทัศน์ ดูนั่นดูนี่ไปตามเรื่อง ผมเพิ่งส่งตอนล่าสุดไปเมื่อวาน ยังอีกหลายวันกว่าจะถึงกำหนดของอีกเรื่อง แล้วที่สำคัญ คนมาทวงต้นฉบับผมป่วย คงไม่มีใครมาเร่งผมในช่วงนี้หรอก
   ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณากรไปถึงห้องของสุภาพงษ์รึยังนะ... แล้วสุภาพงษ์จะเป็นอะไรมากรึเปล่า ไม่ใช่ว่าโดนผมพูดเมื่อวานแล้วเขาจะป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้นหรอกนะ แต่เห็นยังโทรไปลางานได้ ก็น่าจะยังไม่หนักเท่าไหร่ล่ะมั้ง
   หวังว่าคุณากรคงจะดูแลเขาได้นะ....
   ผมดูโทรทัศน์ไปได้พัก ก็รู้สึกเบื่อ เลยปิด แล้วก็ว่าจะไปนั่งคิดเรื่องที่หน้าเครื่องพิมพ์ต่อ เรื่องของเด็กหญิงพิมชนกคิดไม่ยากอยู่แล้ว เขียนเสร็จก่อนก็ดี สุภาพงษ์จะได้ไม่ต้องลำบากมาตามทวงอีก
   ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง จะไปหาหมอหรือยังนะ
   กระดาษบนเครื่องพิมพ์ดีดน่ะเป็นหัวเรื่องของเด็กหญิงพิมชนก แต่ในหัวผมดันมีแต่เรื่องของสุภาพงษ์เต็มไปหมด ให้ตายสิ ทำไมผมถึงปากหนักไม่ขอเบอร์โทรของคุณากรมานะ จะได้โทรถามเขาได้ว่าสุภาพงษ์เป็นยังไงบ้าง
   พอเห็นท่าว่าเรื่องเด็กหญิงพิมชนกจะกลายเป็นเรื่องของนายสุภาพงษ์ไป ผมเลยผละจากเครื่องพิมพ์ดีด กลับมาดูโทรทัศน์ต่อ แต่ยังไม่ทันจะหยิบรีโมทฯมากดเปลี่ยนช่อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ผมรีบวางรีโมทฯแล้วตรงไปรับทันที
   “คุณพนิตครับ ผมกั้งนะครับ คุณพนิตมีหยิบกุญแจที่ผมให้กลับบ้านรึเปล่าครับ” เสียงปลายสายพูดเร็วปรื๋อ ทำเอาผมต้องจับต้นชนปลายอยู่พักใหญ่ “หมายถึงกุญแจห้องของสุภาพงษ์หรือ?”
   “ครับ ผมอยู่หน้าห้องมันแล้ว แต่ไม่มีกุญแจไขเข้าไป เรียกมันก็ไม่เปิด สงสัยนอนอยู่มั้ง คุณพนิตมีหยิบไปรึเปล่าครับ”
   “อืม” ผมตอบกลับไป ได้ยินเสียงเขาพูดอีก “งั้นรีบมาเลยนะครับ เพราะผมเองก็ต้องรีบไปทำงานเหมือนกัน”
   “เอ่อ... หา?!” ผมอุทานออกไปด้วยความงุนงง คุณากรกรอกเสียงกลับมาอีก “ผมไปทำงานก่อนนะครับคุณพนิต แวะมาดูไอ้โจด้วยนะครับ เผื่อมันตายจะได้เรียกป่อเต็กตึ้ง”
   “อย่าพูดอะไรบ้าๆ แบบนั้นนะ” ผมเอ็ดเขาไป จู่ๆ มาพูดเรื่องตายได้ไงน่ะ ได้ยินเสียงคุณากรตอบกลับมา “ครับๆ มานะครับคุณพนิต อย่าทิ้งโจมันไว้คนเดียวนะครับ มันชอบคุณพนิตมากเลยนะ”
   ผมอ้าปากพะงาบๆ อยู่พัก ถึงพอจะกรอกเสียงตอบลงไปได้ “อืม”
   “งั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ” คุณากรพูด แล้ววางสายไป ผมมองนาฬิกา เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว แดดกำลังร้อนได้ที่ จะให้ออกไปข้างนอกก็ดูจะฝืนสังขารพอควร แต่ว่าเมื่อเช้าผมทานข้าวสาย แล้วสุภาพงษ์ก็ดูท่าทางจะป่วยหนัก แถมยังอยู่คนเดียว....
-------------------------------------
   ท้ายที่สุด ผมก็ยอมจะฝ่าแดดออกมาเรียกรถแท็กซี่ เพื่อกลับไปดูอาการของสุภาพงษ์ที่คอนโดฯอีกครั้ง ให้ตายสิ เขาทำให้ผมต้องนั่งแท็กซี่สองวันติดกันแล้วนะ
   ผมมาถึงคอนโดฯของสุภาพงษ์ประมาณบ่ายๆ เห็นมีขนมปังขายอยู่ตรงใกล้ๆ ทางเข้า เลยซื้อติดไม้ติดมือขึ้นไป เผื่อว่าเขาจะหิว เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการเขาเป็นอะไรขนาดไหนแล้ว เผื่อไว้ก่อนก็คงไม่เสียหายอะไร
   ถึงหน้าประตู ผมยกมือเคาะเบาๆ พอเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับ หรือใครมาเปิดประตูสักที ก็เลยค่อยหยิบกุญแจมาไขเข้าไป
   ห้องของสุภาพงษ์ยังดูเป็นปกติเหมือนเมื่อวาน เพียงแต่โต๊ะรับแขกดูโล่งขึ้นหน่อย และไม่มีเจ้าของห้องนอนอยู่ตรงโซฟาแล้ว ผมก้มลงไปดูชั้นวางรองเท้าก็เห็นยังอยู่ครบคู่ดี เลยถือวิสาสะเดินไปเปิดประตูห้องนอนของเขา
   เฮ้อ... เขากำลังนอนหลับอยู่จริงๆ ด้วย เสื้อผ้าก็ยังเป็นของเมื่อวานตอนที่ผมออกมา ท่าทางเขาคงจะยังไม่ได้อาบน้ำ
   ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่า เขานอนกอดอะไรอยู่ด้วย ไม่ใช่หมอนข้าง เหมือนเป็นถุงผ้าอะไรสักอย่าง วินาทีต่อมาผมถึงจำได้ว่าเป็นถุงใส่เสื้อผ้าของผมเอง
   “..............................”
   ผมบอกความรู้สึกไม่ถูก อธิบายไม่ได้หรอกว่ามันเป็นยังไง ตอนที่เห็นว่าเขากอดถุงใส่เสื้อผ้าผมอยู่ พอเงยหน้าขึ้นไปหน่อย ก็เห็นตรงหัวเตียงมีซองใส่ต้นฉบับวางเอาไว้
   อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนเขานอนพร้อมกับของพวกนี้........
   ผมค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างเขา หน้าตาเขาดูแย่กว่าเมื่อวานเสียอีก ผมเห็นมือตัวเองสั่น ตอนที่ยกไปแตะหน้าผากเขา พอแตะโดน ผมถึงกับสะดุ้ง เพราะตัวเขาร้อนจี๋ แบบนี้ผมว่าอาการเขาไม่ธรรดมาแล้วล่ะ
“โจ..” ผมเรียกชื่อเขา แล้วลองเขย่าตัวเขาดู แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะรู้สึกตัวเลย แบบนี้ปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ดีแน่ ผมรีบเดินไปหยิบอ่างใส่น้ำ กับผ้ามาช่วยเช็ดตัวเขา แต่ตัวเขาร้อนจัดขนาดนี้ เช็ดแค่หน้าผากคงไม่พอแน่ ผมเลยจำต้องจัดการพลิกตัวเขาให้หงายขึ้นมาก่อน สุภาพงษ์ก็ตัวหนักจริงๆ กว่าผมจะพลิกตัวเขาได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แถมพลิกขึ้นมาแล้วยังกอดถุงใส่เสื้อผมแน่นไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก นี่ขนาดไม่รู้สึกตัวนะเนี่ย
เพราะต้องการจะเช็ดตัวเขาด้วย ผมเลยต้องดึงถุงใบนั้นออก ถุงก็ของผม เสื้อก็ของผมแท้ๆ แต่เขาดันจับเสียแน่น ตอนแรกว่าจะค่อยๆ ดึงออกก็ไม่ไหว เลยต้องง้างออกมาแทน
“อื้อ!!” พอดึงถุงใส่เสื้อผ้าออกมาได้ สุภาพงษ์ก็เริ่มส่งเสียงทันที แถมคว้ามือออกมาอย่างกับว่าผมจะขโมยของเขาอย่างนั้นแหละ “พี่นิต อย่าไปนะ”
ผมชะงักกึก มือเขาที่คว้ามั่วๆ มาก็เลยคว้าทั้งแขนทั้งถุงที่อยู่ในมือผม คว้าได้แล้วเขาก็เอาไปกอดแน่น “พี่นิต...”
“............” เอาล่ะ ผมตั้งใจจะเช็ดตัวลดความร้อนให้เขา เพราะงั้น ถูกเขากอดมือแน่นแบบนี้ไม่เข้าท่าแน่ๆ ไข้เขายังสูงอยู่ ปล่อยให้เพ้อไปคงจะเป็นอันตราย ผมเลยพยายามจะดึงมือออก แต่สุภาพงษ์นอกจากตัวใหญ่แล้วแรงยังเยอะอีกต่างหาก ขนาดว่าป่วยนะเนี่ย ผมดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก แถมเหมือนเขาจับแน่นขึ้นด้วย ผมไม่รู้จะทำไง เลยก้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ ลองพูดกับเขาดู “โจ พี่นิตเองนะ... โจปล่อยพี่ก่อน พี่จะได้เช็ดตัวให้”
สุภาพงษ์สั่นศีรษะแบบไม่ค่อยจะได้สติ จากนั้นก็ยิ่งกอดถุงเสื้อผ้าพร้อมมือผมแน่นกว่าเดิม ผมไม่รู้จะทำไง เลยต้องใช้อีกมือไปคว้าผ้ากับอ่างมาช่วยเช็ดตัวให้เขา เพราะมีอยู่มือเดียว น้ำเลยกระเซ็นเปียกเตียงไปหลายรอย ถ้าเขาตื่นมาแล้วจะโทษใครเรื่องนี้ ก็คงต้องโทษตัวเองนั่นแหละ ทำตัวเป็นเด็กติดมือพ่อติดมือแม่ไปได้
ผมเริ่มเช็ดจากหน้าเขาก่อน แต่เพราะถูกจับมืออยู่ ท่ามันเลยไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ จะนั่งก็ไม่นั่ง จะนอนก็ไม่นอน เอื้อมๆ แบบแปลกๆ แต่เอาน่ะ ไม่มีใครเข้ามาเห็นหรอก แล้วผมก็ทำไปด้วยความหวังดีอย่างที่สุด เพราะงั้น ถึงหน้าเขาจะเปียกสักหน่อย เสื้อเขาจะเลอะน้ำ เตียงเขาจะเปียกเป็นหย่อมๆ เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะมาว่าอะไรผมหลังจากนี้
   สุภาพงษ์สะดุ้งหน่อยตอนที่ผมแตะผ้าลงบนตัวเขา แต่ก็ไม่ได้ดิ้นไม่ได้โวยวายอะไร ผมเลยเช็ดตัวเขาต่อ เพราะตัวเขาร้อนจัด เช็ดไปได้รอบหนึ่งก็ต้องเอาผ้าไปล้างน้ำ ดีที่พอเช็ดแล้วท่าทางเขาจะรู้สึกสบายขึ้น เลยยอมคลายมือออกหน่อย ผมเลยขยับได้ถนัดขึ้น ผมล้างผ้าเสร็จแล้วก็หันกลับมาเช็ดหน้าเขาต่อ
   เฮ้อ... เขาก็หน้าตาดีหรอกนะ... นิสัยก็พอจะใช้ได้ ไม่น่ามาฝังใจอยู่แบบนี้เลย
   ผมเช็ดหน้าพลางมองคางได้รูปของเขาเพลินๆ จู่ๆ เขาก็ปล่อยมือผม ผมเลยขยับมือออกมาเตรียมจะปลดกระดุมเสื้อเขาออก จะได้เช็ดเนื้อเช็ดตัวด้านในให้ แต่ยังไม่ทันได้ปลดกระดุมเขาสักเม็ด ผมก็มีอันต้องสะดุ้ง เมื่อรู้สึกว่าเอวถูกมืออุ่นจัดคู่หนึ่งจับเอาไว้ พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นสุภาพงษ์กำลังมองผมอยู่ ตาสีดำของเขาดูทั้งตกใจ ทั้งงุนงง แต่ผมสิ อึ้งกว่าเขาอีก
   “พี่นิต!”
   ผมคิดอยู่หรอกว่าเขาคงตกใจแน่ ที่จู่ๆ ก็มีใครคนอื่นมาเช็ดตัวให้ แถมท่าทางที่ผมเช็ดตัวเขาอยู่ก็ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่... อย่างที่บอกนั่นแหละ เพราะเขาจับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ผมเลยขยับตัวไม่ค่อยสะดวก ตัวเขาก็สูงกว่าผม ดังนั้นผมเลยต้องแนบตัวลงไปบนตัวเขาเพื่อจะเช็ดตัวให้ ก็บอกแล้วว่าท่าทางมันน่าเกลียด แต่ผมไม่คิดว่าจะมีใครเห็นนี่นา
   “เอ่อ...” ผมเปล่งเสียงในคอแก้เก้ออย่างไร้ความหมาย กะว่าจะยิ้มให้เขาสักหน่อย แล้วอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ สุภาพงษ์ก็รวบเอวผมไว้แน่น จนหน้าผมซุกลงบนซอกคอของเขา อืม... เหมือนตัวเขาจะเย็นลงหน่อยแล้วล่ะมั้ง ที่ผมเช็ดตัวไปตะกี้คงได้ผลบ้างล่ะ
   ผมพยายามจะยันตัวลุกขึ้น เพราะเชื่อแน่ว่าท่าทางที่เป็นอยู่ตอนนี้คงน่าเกลียดอย่างที่สุดแน่ๆ แต่สุภาพงษ์ก็กอดแน่นซะเหลือเกิน อย่างกับกลัวผมจะลอยไปไหนงั้นแหละ ผมเลยได้แต่เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็เห็นสายตาสีดำสนิทของเขาที่เบือนกลับมามองพอดี
   “พี่นิต”
   “เอ้อ.. โจ คือพี่...” ผมเตรียมจะบอกเขาว่า ผมกำลังพยายามจะเช็ดตัวลดไข้เขาอยู่ แต่ยังไม่ทันได้พูด สุภาพงษ์ขยับมือขึ้นมาตรงหลังผม แล้วรวบตัวผมเข้าไปอีก หน้าผมเลยซุกไปที่ซอกคอของเขาอีกแล้ว ได้ยินสุภาพงษ์พูดเสียงพร่า
   “ผมรักพี่นะ ผมรักพี่ที่สุดเลย”
   ผมอ้าปากพะงาบๆ นึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรตอบเขาไป แน่นอนว่าผมยังไม่ทันคิดออก ก็ได้ยินเสียงเขาพูดต่ออีก “อย่าไปไหนเลยนะ อย่าทิ้งผมไปเลยนะ”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “...................” ผมอึ้งไปพัก สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะเขา “พี่อยู่นี่แล้วไง”
   สุภาพงษ์ยังกอดผมแน่นอยู่พัก สุดท้ายก็ยอมคลายอ้อมแขนออก ผมเลยยันตัวลุกขึ้นมาได้ พอเห็นผมเงยหน้า เขาก็รีบยุดมือผมไว้ “อย่าทิ้งผมนะ”
   ผมมองดูดวงตาสีดำคู่นั้นของเขา ดวงตาที่ผมมักจะพยายามหลบเลี่ยงอยู่หลายครั้ง แล้วยิ้มให้เขาไป “พี่ไม่ไปไหนหรอก พี่จะเช็ดตัวให้ โจไม่สบายอยู่นะ”
   สุภาพงษ์กะพริบตามองอยู่อีกพักใหญ่ “พี่นิตไม่หนีผมนะ”
   “อืม”
   นั่นแหละ เขาถึงยอมปล่อยมือผมออก แต่ก็ขับมาจับขากางเกงผมไว้แทน ผมถอนหายใจแล้วยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบผ้าที่หล่นอยู่แถวนั้นขึ้นมา โชคดีที่อ่างไม่คว่ำ มีน้ำหกนิดหน่อยแต่ยังพอจะใช้เช็ดตัวเขาต่อได้ ผมเลื่อนอ่างเข้ามา ชุบผ้าลงไป บิดแล้วหันไปพูดกับเขาต่อ “โจ พี่ถอดเสื้อเธอนะ จะได้เช็ดตัวได้”
   สุภาพงษ์พยักหน้าหน่อยๆ ผมเลยเลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเขาออก เช็ดไปตามซอกคอซอกแขนของเขาเพื่อลดความร้อน พอถอดเสื้อออกแล้ว ผมถึงคิดได้ว่าน่าจะให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเลย เพราะตัวนี้ใส่มาตั้งแต่เมื่อวาน เริ่มจะมีกลิ่นมีอะไรบ้างแล้วล่ะ
   “โจ พี่ว่าเปลี่ยนเสื้อดีกว่านะ เดี๋ยวพี่ไปหยิบตัวใหม่ให้” ผมพูด และขยับตัวจะลงจากเตียงไปหยิบเสื้อตัวใหม่มาให้เขา แต่ก็ถูกยึดข้อมือไว้อีก พอหันหน้าไปก็เห็นสุภาพงษ์ทำหน้าน่าสงสาร ผมเลยก้มลงไป แล้วลูบศีรษะเขาเบาๆ “พี่ไปหยิบเสื้อ ใกล้ๆ นี่เอง ไม่ได้ไปไหนหรอก”
   เขามองผม ยังคงจับมือผมแน่น สักพักก็พูดออกมา “เดี๋ยวผมเปลี่ยนเอง”
   จากนั้นสุภาพงษ์ก็พยายามจะลุกขึ้น ผมเลยช่วยประคองเขา พอลุกขึ้นมาได้ เขาก็จับมือผมแน่น ทำท่าจะพาเดินเข้าห้องน้ำไปทั้งแบบนั้น ผมเลยต้องพูดขึ้นอีก “โจ หยิบเสื้อผ้าใหม่ก่อนสิ”
   สุภาพงษ์มีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะยังไม่สร่างไข้ดี แต่สักพักก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อนอนออกมาชุดหนึ่ง โดยที่มืออีกข้างยังจับเอาไว้แน่น ท่าทางเขาจะกลัวผมหนีหายไปจริงๆ พอเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ ผมก็หยุด เพื่อจะรอให้เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ สุภาพงษ์หันมามองหน้าผม “พี่นิต...”
   “เข้าไปเถอะ เดี๋ยวพี่รอ” ผมว่า และรอให้เขาปล่อยมือแล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียที แต่สุภาพงษ์ก็ไม่ยอมปล่อย ยืนนิ่งๆ เหมือนจะรอผมเดินนำเข้าห้องน้ำไปก่อน ผมมองเขาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “พี่ไม่หนีไปไหนหรอก”
   สุภาพงษ์เม้มริมฝีปากเป็นเส้นบาง แล้วหันหน้ามาพูดกับผม “พี่นิตเข้าไปกับผมนะ”
   เอ่อ... ให้ตายสิ เขาคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่กันนะ โตจนเป็นพ่อคนได้แล้ว ยังจะให้คนอื่นตามไปเปลี่ยนเสื้อด้วยในห้องน้ำอีก
   ผมจ้องหน้าเขา เตรียมจะอ้าปากบอกให้เขารู้ตัว แต่พอเห็นสายตาเซื่องๆ ที่มองมา คงเพราะพิษไข้ด้วยล่ะมั้ง ผมเลยพาลพูดไม่ออก สุดท้ายก็เผลอพยักหน้าออกไปแทน สุภาพงษ์เม้มปากอีกครั้ง แล้วจูงผมเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็เริ่มถอดเสื้อผ้า
   เฮ้ย! เดี๋ยวสิ!
   ผมถึงกับเกือบลืมหายใจ ก็รู้อยู่หรอกว่าเขาหุ่นดี จำได้ว่าไปค้างบ้านคราวก่อน ก็ทำเอาผมมองตาค้างมาแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เวลามาดูอะไรแบบนี้ เขาไม่สบายอยู่ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนผมยังพยายามจะให้เขาถอดเสื้อผ้าออกมาเปลี่ยน  ผมไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ แต่ว่า ทำไมพอเห็นเขาก้มลงถอดเสื้อเอง ลมหายใจผมถึงได้ติดขัดขึ้นมาก็ไม่รู้ ขนาดว่ากระดุมพวกนั้นผมเป็นคนปลดออกเองนะเนี่ย
   สุภาพงษ์ถอดเสื้อออกแล้ว ก็เตรียมจะถอดกางเกง ผมรู้สึกเลยว่าถ้าขืนดูต่อไป ผมคงได้เป็นลมหน้ามืดแน่ๆ คราวนี้ไม่รู้ว่าใครจะช่วยใครได้แล้ว คนหนึ่งก็ป่วย อีกคนก็เป็นลม จะพากันล่มไปหมดน่ะสิ คิดได้ดังนั้น ก่อนที่จะหูอื้อตาลายไปมากกว่านี้ ผมเลยรีบหันหน้าเข้าหาประตูห้องน้ำแทนเสีย แล้วรอว่าเมื่อไหร่สุภาพงษ์จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสักที
   เวลาผ่านไปสักพัก ผมชักเมื่อย มองแต่ประตูห้องน้ำจนแทบจะจำตำหนิได้หมดอยู่แล้ว เลยต้องอ้าปากพูดขึ้นมา “โจ เสร็จหรือยังน่ะ”
   “อือ... ครับ” เขาตอบผมเสียงอู้อี้ คงเพราะกำลังคัดจมูกล่ะมั้ง ผมเลยหันหน้าไปมอง เห็นเขากำลังเดินเข้ามาพอดี หน้าตาเขาดีขึ้นกว่าตะกี้หน่อยหนึ่งมั้ง แต่กระดุมเสื้อนอนเขาสิ ติดผิดมาแต่ไกลเลย
   “โจ....” ผมยังไม่ทันจะได้อ้าปากบอกเขาเรื่องติดกระดุมผิด สุภาพงษ์ก็ยื่นมือมา ดึงตัวผมเข้าไปกอดอีกแล้ว คราวนี้เหมือนเขาจะเอาหน้ามาซุกไว้ตรงคอผมด้วยล่ะ
   ใจมันเต้นตึกๆ ขึ้นมาอีกแล้วสิ
   “พี่นิต..” เขาเรียกชื่อผม แล้วกอดผมแน่นขึ้น ผมไม่รู้จะทำได้ ก็เลยยกมือขึ้นกอดตอบเขาเบาๆ “ไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย?”
   สุภาพงษ์เบียดศีรษะเข้ากับแก้มผม ตัวเขายังร้อนอยู่นะ ผมว่าเขาไข้หนักพอสมควรเลยล่ะ “โจ... ออกไปหาหมออีกครั้งนะ”
   สุภาพงษ์สั่นศีรษะทั้งอย่างนั้น เขายังกอดผมไม่ปล่อย “ผมไม่เป็นไรหรอก พี่นิตอย่าทิ้งผมไปเลยนะ”
   ผมถอนหายใจออกมา “นี่ พี่ไม่ทิ้งไปไหนหรอก ไปหาหมอหน่อยเถอะนะ เธอไข้ขึ้นสูง พี่เป็นห่วง”
   สุภาพงษ์ยอมคลายอ้อมกอดลงหน่อยหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วเม้มปากเป็นเส้นตรง ผมเลยพูดต่อ “ไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปด้วย”
   หลังจากมองผมอยู่อีกพัก เขาก็ยอมพยักหน้า
-----------------------------------------------
   ผมจูงมือสุภาพงษ์ไปหาหมอที่คลินิกใกล้ๆ แถวนั้น อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าผมตั้งใจจะจูงมืออะไรเขาหรอก แต่เพราะเขาจับไม่ยอมปล่อย อย่างกับลูกติดผมงั้นแหละ ผมเลยจำต้องจูงมือเขาออกมาทั้งแบบนั้น ท่ามกลางสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
   อืม... ดีนะที่ผมมีอายุแล้ว เลยพอจะเชิดหน้าเดิน ทำนองว่าจูงน้องจูงนุ่งแทนได้ นี่ถ้าอายุเท่ากัน ให้ตายผมก็ไม่ยอมจับมือเดินกับเขาแบบนี้แน่ แล้วก็เพราะเขาป่วยอยู่ด้วยล่ะ
   หมอที่คลินิกบอกว่า สุภาพงษ์ป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่ที่ไข้สูงอาจจะเพราะพักผ่อนไม่พอ เลยไม่ได้ให้ยาเพิ่มมาจากก่อนหน้านี้ แต่กำชับให้พักผ่อนมากขึ้น
   ขากลับมาโชคดีหน่อย สุภาพงษ์ไม่จับมือผมแล้ว แต่เปลี่ยนมาเดินใกล้ๆ แล้วจับชายเสื้อผมไว้หน่อยๆ แทน ท่าจะกลัวผมหนีกลับไปแบบเมื่อวานล่ะมั้งเนี่ย มานึกดูแล้ว คนที่ทำให้เขาพักผ่อนไม่พอ อาจจะเป็นผมก็ได้
   ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเขานอนร้องไห้กับเสื้อผ้าและต้นฉบับผมด้วยรึเปล่า....
   “โจ... ทานอะไรก่อนไหมล่ะ?” ผมเอ่ยปากชวน เพราะเห็นว่าร้านแผงลอยที่ขายข้าวต้มที่ตอนขามากำลังจัดร้านอยู่ เปิดขายแล้ว สุภาพงษ์เงียบไปพัก ก็พยักหน้า เราสองคนเลยเดินไปสั่งข้าวต้มกับกับสองสามอย่างมานั่งทานกัน ระหว่างทานอยู่เขาก็เริ่มพูดบ้าง
   “พี่นิต เมื่อวานผมขอโทษนะ”
   ผมมองหน้าเขา แล้วยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก”
   “................” เขาเม้มปากเป็นเส้นบาง จากนั้นก็พูดต่อ “พี่อย่าเกลียดผมนะ”
   ผมกะพริบตาปริบๆ สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือก ยิ้มให้เขาอีกครั้ง “พี่ไม่เกลียดโจหรอก อย่าคิดมากเลย”
   ดวงตาสีดำคู่นั้นมองผมอยู่นาน ท้ายที่สุดเจ้าตัวก็พยักหน้า “อือ... ถ้าผมทำอะไรให้รำคาญ พี่บอกผมนะ”
   “อืม”
   “อย่าทิ้งผมไปแบบเมื่อวานนะ”
   “อืม...”
   “ผมชอบพี่มากนะ”
   ดีที่ผมกลืนข้าวต้มลงไปแล้ว ไม่งั้นได้พ่นออกมาแน่ๆ ผมหันกลับมาจ้องสุภาพงษ์อีกครั้ง เห็นเขาทำหน้าหงอยทันที จ้องได้สักพัก ผมจึงถามบ้าง “โจ... ทำไมตอนเจอกันครั้งแรก โจไม่บอกพี่เรื่องที่เคยอยู่แถวบ้านล่ะ?”
   สุภาพงษ์เม้มปาก แล้วหลุบตาลงต่ำ “ผมพูดไม่ออก”
   ผมฟังแล้วก็ต้องนิ่วหน้า เขาพูดไม่ออกเรื่องที่เคยอยู่บ้านใกล้ผม แต่สามารถเจรจาตกลงเรื่องที่ให้ผมไปเขียนเรื่องให้ได้ แบบนี้มันจะฟังขึ้นได้ไง
   “นี่... โจมาถึงบ้านพี่ ชวนพี่ให้มาเขียนเรื่องลงหนังสือให้ แต่โจไม่บอกพี่สักคำว่าเคยอยู่บ้านใกล้กัน แล้วเพิ่งมาบอกตอนหลังแบบนี้ พี่ก็งงกับโจเหมือนกันนะ”
   สุภาพงษ์เม้มปากแน่น จากนั้นก็ช้อนตาขึ้นมองผม “ก็ผม... ผม..... ผมพูดไม่ออกหรอก จะให้ผมบอกเหรอ ว่าผมชอบพี่ตั้งแต่อยู่ข้างบ้านแล้ว”
   ผมไม่สำลักข้าวต้ม แต่เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง ดีนะที่เขาพูดไม่ดัง แล้วไม่มีโต๊ะไหนนั่งอยู่ข้างๆ แถมเสียงรถก็พอจะดังกลบเสียงเขาได้ เพราะงั้น ผมแน่ใจว่านอกจากผมแล้ว คงไม่มีใครได้ยินที่เขาพูดหรอก
   “ทานข้าวเถอะ เดี๋ยวค่อยไปคุยกันต่อบนห้อง” ผมบอกเขา เพราะกลัวว่าสุภาพงษ์จะพูดอะไรที่ชวนให้ผมต้องมุดหน้าลงกับทางเท้าออกมาอีก เขาหน้าแดงนิดๆ เม้มปากหน่อยๆ แต่ก็ยอมก้มหน้าก้มตาทานข้าวต้มแต่โดยดี ผมเลยก้มหน้าก้มตาทานด้วย
   เฮ่อ... นี่ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงไม่บอกว่าเคยรู้จักผม ไม่ได้อยากจะรู้ว่าเขาคิดอะไรกับผมเสียหน่อย นี่เขาพูดความรู้สึกอื่นกับผมไม่เป็นแล้วหรือไงนะ........
   ทานข้าวเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินกลับห้อง คราวนี้สุภาพงษ์จับเสื้อผมแน่นกว่าเดิน เรียกว่าถ้าเขาจับผมอุ้มได้ คงจะอุ้มเลยล่ะ ท่าทางกลัวผมหนีกลับมากจริงๆ ผมเลยเดินรอๆ เขาหน่อย กลัวว่าเขาจะเผลออุ้มผมจริงๆ คราวนี้ผมคงวางหน้าเหมือนถูกน้องชายอุ้มไม่ได้หรอกนะ แค่จับชายเสื้อนี่ก็ทำเอาผมตากหน้าพอแล้วล่ะ ยังดีที่ตอนขึ้นลิฟต์ มีคนอื่นขึ้นมาด้วย ไม่งั้นเขาคงจะจับมือผมอีกมั้ง แต่เอาเถอะ สุดท้ายผมก็พาเขาไปหาหมอแล้วกลับมาที่ห้องได้สำเร็จล่ะ
   “โจ...” ผมเรียกเขาตอนที่เราเข้าไปในห้องกันแล้ว กะจะบอกว่าให้เขาไปอาบน้ำสักรอบก่อน เพราะเห็นว่ามีเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ สุภาพงษ์หันหน้ามาหาผมทันที แล้วคว้ามือผมขึ้นมาจับ โดยที่ผมยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ
   “พี่นิต... ขอบคุณนะครับ” เขาพูด แล้วเม้มปากเป็นเส้นบาง จนผมพอจะสังเกตได้ว่าเขากำลังยิ้มอยู่
   เอ้อ.. ให้ตายสิ ผมล่ะพูดเรื่องจะให้เขาไปอาบน้ำก่อนไม่ออกเลย
----------------------------------------------
**เหมือนเรื่องนี้จะยาวกว่าที่คิดเอาไว้ล่ะ (ไม่น่าเชื่อ เพิ่งมารู้ว่า เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา!!!<<โดนโบก :z6:)

สงสัยโจคงอยากจะป่วยแบบนี้ไปอีกนานล่ะ อิอิ :laugh:

***แอบคิดว่าเรื่องนี้เขียนแล้วหลุดๆ เยอะแฮะ.... (แต่เรื่องมันก็หลวมๆ อยู่แล้วเหมือนกัน เง้ออออ)

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
พี่นิตเริ่มจะจนมุมกับความรู้สึกของตัวเองแล้ว :m1:
คุณโจก็ช่างอ้อน น่ารักจัง :m3:

คันจัง

  • บุคคลทั่วไป
เย้ๆ ในที่สุดก็มาต่อแล้ววววว

ออฟไลน์ misso

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
เย้ มาต่อแล้วววว

ตอนนี้พี่นิตก็โดนอ้อนซะ บทเดียวนี่โดนอ้อนซะยาว ท่าจะรอดยากแล้วล่ะพี่นิต o3

คุณพนิตก็นะ ขำตอนโดนจูงมือ กับตอนคิดว่าจะโดนอุ้ม แหม่ น่ารักจริงเชียว

ว่าแต่ในอดีตเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าน้อออ

เอ้อ ตอนที่กั้งโทรหาคุณพนิตอะค่ะ  ที่บอก "คุณพนิตมีหยิบกุญแจ..." กับข้างล่างถัดลงมาอีกหน่อยคำเดียวกัน น่าจะเป็น มีกุญแจ หรือไม่ก็ ได้หยิบกุญแจ มากกว่ามั้ยคะ

ขอบคุณมากค่า มาต่อไวๆนะคะ

เป็นกำลังใจให้เรื่องน้ำท่วม ขอให้น้ำลดได้กลับบ้านไวๆนะคะ เครียดมากๆก็มาต่อนิยายคลายเครียดไงคะ o18 สู้ๆน้า  :กอด1:


ออฟไลน์ pak_kikkok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
อ้างถึง
ผมว่าผมใช้ชีวิตคู่กับใครไม่ไหวหรอก.... แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว...

โอ้ววววว ตบเข่าดังฉาด!!! :laugh3: ให้มันได้อย่างนี้สิ.....ปมเรื่องมาแล้วๆๆๆ อยากรู้จังเลยว่าครั้งเดียวครั้งนั้น....มันครั้งไหนกันหรือคุณพนิต!

คึคึคึ

อยากจะกรีดร้องดังๆมากๆเลยค่ะ วันนี้ไปบ่นไว้ที่บล็อคคุณju-on แล้วก็ได้อ่านตอนที่ 9 แล้วจริงๆ  :call:
โฮกกมากเลยล่ะค่ะ กรี๊ดดดดด

ขอบคุณมากๆเลยนะค้า :3123:

เข้าเรื่องบ้างดีกว่า
ท่าทางว่าโจป่วยคราวนี้จะป่วยนานเลยนะคะ ฮ่าฮ่า เพราะป่วยตั้งแต่ตอนแปด ตอนเก้าก็ยังป่วย ดูท่าว่าจะลากยาวไปถึงตอนสิบสองเลยหรือเลป่าคะ? ฮ่าฮ่ :impress:า (เวอร์ละ)
ไม่หรอกค่าาาา อยกให้โจป่วยนานนนนนนนนนนนๆๆๆๆๆ เพราะว่าโจป่วยแบบนี้อ้อนคุณพนิตได้แบบนอนสต๊อปเลยอ่า
แล้วดูเหมือนว่าคุณพนิตเองก็จะใจอ่อนลงเรื่อยๆ และเรื่อยขึ้นทุกทีสิน้า


ขอบอกตามตรงว่าตอนนี้เป็นอะไรที่แบบว่า ถ้าคุณพนิตยังใจแข็งนะคะ...คงแนะนำให้ลุงไปบวช ฮ่าฮ่า
ก็ขึ้นมาเห็นโจนอนกอดถุงเสื้อผ้าตัวเองอยู่ :man1: แบบนั้น....ไม่ให้คิดไกลก็บ้าแล้ว! ไม่เขินก็บ้าแล้ว
แต่บอกตามตรงว่าตรงใจจริงๆไม่คิดว่าโจจะละเมอเพ้อพกได้มากขนาดนี้
อย่างว่าอาจจะเป็นไข้ด้วย...กายป่วย ใจป่วย...เลยมีผลออกมาเป็นอย่างโจนี่แหล่ะค่ะ
ฮ่าฮ่าาาาาาาา

แล้วตอนนี้ก็นะ...จำได้ว่าตอนที่แล้วโจป่วยแล้วพูดมาก...อะไรก็พี่นิตครับพี่นิตครับ....
แต่คราวนี้มาไข้หนักกว่าเดิม...ปากบอก ชอบพี่นิตมากๆเลยนะครับ..ชอบอย่างนู้นอย่างนี้...อย่าหนีไปนะครับ อย่าทิ้งผมนะครับ...
โอ๊ยยยยยยย เขินแทนคุณพนิตจริงๆค่ะให้ตาายยยย

สภาพคุณพนิตเลยอยากเอาหน้าซุกทางเท้า..แบบเน้! :z3: คึคึคึ


แต่คุณพนิตคะ...คนป่วยนะคะคนป่วย คุณพนิตยังมีกะจิตกะใจไปแอบมองหุ่นล่ำๆเค้าอีกนะคะนั่น...ก๊ากกกกกก :-[

ก่อนหน้านี้ก็นั่งไล่อ่านเรื่องนี้ใหม่อีกรอบ...อ่านไปถึงตอนห้า ก็กลับไปดูคอมเม้นท์ในบล็อคคุณ ju-on บอกว่าวันนี้จะมาลงเรื่องนี้ได้ ก็เลยแอบขออ่านต่อ....แบบไม่คิดว่าจะมาต่อเลย ฮ่าฮ่า
อยากจะร้องกรี๊ดดังๆจริงๆค่ะงานนี้

ขอบคุณมากๆเลยนะค้าที่มาต่อเรื่องนี้ ฮือออออ ต่อชีวิตไปได้อีกหลายวัน



ปล.กำลังงงๆ กับถุงเสื้อผ้าคุณพนิตที่โจกอด...ว่าถุงผ้าคุณพนิตเอามาตอนไหน เดี๋ยวต้องกลับไปอ่านตอนที่แล้วใหม่ก่อน..เหมือนจะลืมอะไรไปแน่ๆเลย
(ตายแล้ว..อายุก้ยังไม่เท่าคุณพนิตแต่ขี้หลงขี้ลืมเป้นคุณพนิตไปแล้วอ่ะ :z2:!)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
สงสารก็สงสารนายโจ แต่ก็เข้าใจคุณพณิตนะ อยู่กับคนเงียบเป็นเป่าสากอย่างนั้นเป็นใครก็อึดอัด เฮ้อออ ยืดยาดเป็นหอยทากซะจริงนะนายโจ

ออฟไลน์ silverphoenix

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +347/-3
ท่าทางคุณ JuoN จะชอบคู่ที่อายุต่างกันเยอะๆแฮะ  แบบ..สิบปีขึ้นไปไรเงี้ย 5555

และดูจะเป็นนายเอกแก่กว่าซะด้วย 
ตั้งแต่คงฉ่วย  คุณไพฑูรย์  ลุงนิตอีก พี่ฟ้าด้วยมั้ยเนี่ย..55
แต่ก็ยังสู้เรเธียร์ไม่ได้เนอะ  แก่กว่า สองพันแปดร้อย นี่...เป็นอะไรที่สุดยอดมั่กๆ

ยังไงก็ยังมีคู่ที่ไล่เลี่ยกันอยุนาา  เนอะ  หุหุ

+1 ให้ตามที่บอกไว้แล้วนะคะ

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
ยังสงสารน้องโจอยู่ แต่ที่ติดใจก็คือประโยคนี้ !!! ".... แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว..."

กริ้ดดดดดดดดดดดดดด มันคืออะไรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
โจน่าสงสาร  คุณพนิตก็ใจแข็งเกิ๊นนน

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
เหมือนคุณสุภาพงษ์จะยึดติดอยู่กับความทรงจำในอดีตที่มีแต่คุณพนิตอย่างไงไม่รู้
แบบว่า ฝังอกฝังใจ มากกว่า แอบรักเฉยๆ อ่ะนะ... ทำไมหนอ ???

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
อ่านโจแล้วนึกถึงน้องหมาตัวโตๆ  :man1:

พี่นิตดูจะเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ

 :กอด1:  :pig4:

ออฟไลน์ Pepor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-3
เหมือนคุณพนิตจะมีความหลังฝังใจเลยไม่คิดจะรักโจอีกเลย  ว่าแต่เรื่องนี้พระเอกเฉื่อยจริงๆ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ป่วยอีกนานๆเลยนะ ชอบโมเม้นต์นี้จัง

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
โอมมม ขอให้คุณพนิตใจอ่อนซะทีๆๆ :amen:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
   ผมว่าผมใช้ชีวิตคู่กับใครไม่ไหวหรอก.... แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว...
จากข้อความนี้แสดงว่าคุณพนิตเคยใช้ชีวิตคู่กับบางคนมาก่อน และเป็นชีวิตคู่ที่ไม่น่าประทับใจใช่ปะคะ
เอ่อ ไม่รู้จะพูดว่าไง คนอ่านน่ะสงสารโจจะแย่ แต่คุณพนิตยังคิดไม่ตกอยู่นะคะว่าจะสนองความต้องการของโจได้ไหม
คงมีเรื่องฝังใจไม่ดีในชีวิตคู่กระมัง
มาลุ้นกันต่อว่าคุณพนิตจะใจอ่อนไหม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด