เล่ห์ร้าย
ตอนที่ 2.
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่อาจรู้ได้ ภายในห้องเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมหายใจถี่กระชั้นที่ลอดออกมาแผ่วเบาจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่กลางห้องเท่านั้น ใบหน้าแดงก่ำ หลับตาแน่น หน้าท้องที่เกร็งจนเห็นเป็นลอนกล้ามเนื้อขึ้นมาอย่างชัดเจน
ลลิตทำตาโตเมื่อก้มลงมองผลของคำสั่งที่ตนเองได้กล่าวออกไป แก้มขาวร้อนฉ่าเริ่มแต้มด้วยจุดแดงแสดงถึงความเขินอาย ริมฝีปากอิ่มถูกขบไว้เบาๆ เพื่อระงับความตื่นเต้น แอบเหลือบตามองชายหนุ่มดูว่ายังหลับตาอยู่หรือไม่ แล้วมองความแข็งขืนตรงหน้าอีกครั้ง มือที่กำชายเสื้อไว้แน่นสั่นน้อยๆ ต้องใช้ความกล้ามากมายที่จะปล่อยมือออกแล้วเอื้อมมาด้านหน้าช้าๆ เด็กชายกลั้นหายใจเอาไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว
แกร๊ก!!
เสียงการเคลื่อนไหวแผ่วเบาจากภายนอก ทำให้เด็กชายสะดุ้งลนลานถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว
“พอได้แล้ว” เมื่อพาร่างกลับมานั่งลงที่โซฟาเดิมเรียบร้อย ลลิตก็เรียกสติวิธวินท์ที่กำลังปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด
ชายหนุ่มหยุดมือ หอบหายใจเบาๆ ใบหน้าแดงก่ำ
“ไปจัดการตัวเองในห้องน้ำนั่นก็แล้วกัน” เด็กชายเมินหน้า มือเล็กสะบัดไปทางห้องน้ำ
คำสั่งครั้งนี้วิธวินท์แทบไม่เสียเวลาคิดสักวินาที รีบเก็บเสื้อผ้าแล้วก้าวยาวๆ ไปตามทิศทางนั้นทันที
เมื่อลับหลังชายหนุ่มแล้ว ลลิตจึงถอนหายใจยาวยืดออกมา
ก๊อกๆ
“คุณหนูครับ ของที่สั่งไปได้แล้วครับ” เสียงของบอดี้การ์ดร่างใหญ่ ชื่อว่าสมบูรณ์ เป็นคนสนิทที่ดูแลลลิตมาหลายปีแล้ว
เด็กชายเดินไปรับของที่ประตู โดยไม่ให้คนสนิทเข้ามาด้วย ลลิตเปิดดูของที่ได้รับมา ริมฝีปากอิ่มเหยียดยิ้มออกเล็กน้อย เห็นรอยบุ๋มที่ข้างแก้มซ้ายจางๆ แล้วจึงกลับมานั่งรอวิธวินท์อยู่ที่เดิม แต่ความคิดกลับล่องลอยไปถึงสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่
“ไม่เห็นเหมือนที่ดูในการ์ตูนเลย” เด็กชายพึมพำกับตัวเองเบาๆ มือก็สะกิดกล่องหนังสีดำที่ได้รับมาเล็กน้อยแก้เขิน
ในใจก็นึกเอาสิ่งที่เห็นด้วยตาไปเปรียบเทียบกับหนังสือและหนังการ์ตูนที่เด็กชายเคยผ่านตามาบ้าง
“เกือบได้แตะแล้วด้วย” ลลิตหลับตาปี๋ เอามือทั้งสองมาแนบแก้มร้อนๆ ของตัวเองแล้วออกแรงกดเบาๆ นัยน์ตากรอกไปมองยังทิศทางของห้องน้ำที่ชายหนุ่มหายเข้าไปเมื่อครู่ แล้วพยายามสงบสติตัวเองกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
ชายหนุ่มเดินก้มหน้าแล้วมาหยุดที่ตรงหน้าเด็กชายอีกครั้ง
“นั่งลงสิ ไม่ต้องกลัวฉันกัดหรอกน่า” เด็กชายเอ่ยเสียงขึ้นจมูกแสดงอาการไม่พอใจเล็กน้อย
“ครับ” วิธวินท์นั่งลงแต่ก็ยังคงก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม
“จะอายอะไรนักหนา ไม่เคยช่วยตัวเองหรือไง” ลลิตขยับตัวเข้าไปใกล้โซฟาเดี่ยวที่ชายหนุ่มนั่งมากขึ้น
“เอ่อ..คือ..ก็เคยครับ แต่..”
“แล้วเคยทำอย่างว่ามั้ย” เด็กชายไม่รอช้ายิงคำถามมากมายที่วิ่งวนอยู่ในหัวออกไปทันที ตากลมใสมองจ้องวิธวินท์ที่นั่งก้มหน้า ตัวตรงหัวเข่าชิดแทบจะหลอมรวมกัน มือสองข้างผสานกันอยู่ที่หน้าตัก นิ้วโป้งเขี่ยกันไปมา
“ก็..เอ่อ คือ แบบว่า” วิธวินท์อึกๆ อักๆ
“ว่าไงล่ะเคยหรือไม่เคย” เด็กชายตวัดเสียงเล็กน้อยแสดงออกถึงความไม่พอใจที่กรุ่นอยู่ภายใน
“เคยครับ” วิธวินท์โพล่งโกหกคำโตออกไป จะให้บอกความจริงได้อย่างไร มันออกจะน่าอายสักหน่อยที่ชายหนุ่มวัยขนาดเขาจะไม่มีประสบการณ์เซ็กส์แบบเต็มรูปแบบเลยสักครั้ง แม้จะมีสาวน้อยสาวใหญ่เข้ามาส่งไมตรีอยู่เรื่อยๆ แต่แค่ตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐให้ได้กับทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยพยุงครอบครัววิธวินท์ก็แทบจะหมดเวลาหายใจแล้ว
“นายมีแฟนหรือเปล่า” ยิ่งถามเสียงเด็กชายยิ่งต่ำลง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย
“ม่ะ ไม่มีครับ”
“ดี ระหว่างสัญญาห้ามมีแฟน ห้ามไปทำเรื่องอย่างว่ากับใคร”
“ครับ” ชายหนุ่มรับปากอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะกลัวหรือเพราะติดที่พันธะสัญญาแต่อย่างใด เป็นเพราะว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาชายหนุ่มก็ทำมาได้ แล้วทำไมจะทำต่อไปอีกไม่ได้ล่ะ
“ดีมาก อืม...บรูโน่ เข้ามาใกล้ๆ ฉันสิ” ลลิตเปล่งเสียงเรียกออกมา วิธวินท์เหลือบตามองซ้ายขวา แต่ก็ไม่เห็นใคร จนเงยหน้ามองไปยังคุณหนูที่นั่งพิงโซฟามองตรงมาที่เขา ชายหนุ่มจึงเอานิ้วชี้ที่ตัวเอง
“ผมชื่อวิธวินท์ครับ หรือจะเรียกวินก็ได้”
“ไม่ ตั้งแต่นี้ไปนายชื่อบรูโน่ มานี่ซิ” เด็กชายยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง เปิดกล่องที่อยู่ข้างตัวแล้วหยิบบางสิ่งออกมา
“มาสิ” ลลิตเรียกอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้าแรงๆ ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นตามคำสั่ง
“นั่งลงกับพื้นสิ ข้างหน้าฉันเนี่ย” เมื่อชายหนุ่มจะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาข้างกาย เด็กชายกลับเอ่ยบอกเสียก่อน
วิธวินท์จึงต้องย่อตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น ความสูงของเขาตอนนี้เท่ากับลลิตที่นั่งอยู่บนโซฟาพอดิบพอดี เด็กชายเอื้อมมือไปจะสวมสายสร้อยที่คอของชายหนุ่ม ความเย็นของสร้อยทำให้ชายหนุ่มผงะออกเล็กน้อยตามสัญชาติญาณ
“อยู่นิ่งๆ” เด็กชายก้มลงไป ด้วยวงแขนที่เล็กทำให้ใกล้ชิดกันมาก จนชายหนุ่มต้องเกร็งตัวกลั้นลมหายใจ แต่ไม่ทันเสียแล้วกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผมสีดำตัดแต่งเป็นทรงสั้นๆ รับกับศีรษะได้รูปเพียงแค่เห็นด้วยหางตาก็รู้สึกได้เลยว่ามันน่าจะละมุนมือมาก จนวิธวินท์เอียงคอหลบออกไปอีกทาง จมูกของชายหนุ่มก็ไปปะทะกับต้นแขนเล็กๆ ขาวเนียนที่พ้นออกมาจากแขนเสื้อ สัมผัสนุ่มจนวิธวินท์ลืมตัวสูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ หอมจัง คำนี้ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของชายหนุ่ม แต่เมื่อลลิตขยับตัวออกไปสติของชายหนุ่มก็กลับมา จึงก้มลงมองสร้อยที่ถูกใส่ให้ที่คอ เป็นสายสร้อยทองคำขาวยาวลงมาถึงลิ้นปี่ร้อยจี้เป็นลูกกระดิ่งแต่ไม่มีเสียงขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย
“นายเป็นของฉัน” ลลิตพูดพร้อมทั้งลูบเบาๆ ที่ผมตรงขมับของวิธวินท์
“บรูโน่ อ่ะ ฉันให้ ฉันโทรไปเมื่อไหร่ต้องรีบรับ ห้ามปิดเครื่อง ห้ามแบตหมด เด็ดขาด” เด็กชายส่งกล่องบรรจุโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่ราคาของมันคงพอๆ กับเงินเดือนของชายหนุ่มสองสามเดือนรวมกัน
“ถ้าผมเรียนหรือทำงานอยู่ล่ะครับ”
“ฉันไม่โง่หรอกน่า ตอนนายเรียนฉันก็เรียนอยู่เหมือนกัน ตารางงานของนายฉันก็มี ฉันรู้หรอกน่าว่าควรโทรไปตอนไหน”
เมื่อพูดจบเด็กชายก็ลุกขึ้น
“ไปสอนการบ้านฉันได้แล้ว”
“ครับๆ” วิธวินท์รับคำแล้วรีบลุกเดินตามลลิตไป
ความจริงแล้วลลิตมีครูพิเศษที่คุณท่านจ้างไว้เพื่อมาสอนที่บ้านอยู่แล้ว แต่เด็กชายก็ได้ปฏิเสธไป เพื่อให้ชายหนุ่มเป็นคนสอนแทนที่เรือนคุณปู่
ในทุกวันที่วิธวินท์มาพบคุณหนูริช พอพลบค่ำชายหนุ่มจะนั่งรถคันใหญ่ออกจากคฤหาสน์ตรงไปที่โรงพยาบาลที่แม่ของเขาพักรักษาตัวอยู่
“ขอโทษครับคุณสมบูรณ์ รบกวนแวะร้านดอกไม้ได้ไหมครับ” วิธวินท์หันไปบอกบอดี้การ์ดคนสนิทของคุณหนู ซึ่งเป็นผู้ขับรถออกมาส่งเขาด้วยตัวเองด้วยน้ำเสียงแสดงความเกรงใจที่วันนี้ต้องแวะกลางทาง เพราะร้านดอกไม้ในโรงพยาบาลมีราคาสูงจนชายหนุ่มไม่สามารถซื้อได้บ่อยนัก
“จะซื้อดอกไม้เพื่อไปเยี่ยมคุณวิสาหรือครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับรับคำเบาๆ
“คุณหนูริชสั่งดอกกุหลาบขาวไว้ให้คุณแล้วครับ” แล้วบอดี้การ์ดหนุ่มก็ขับรถต่อไป
ชายหนุ่มเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลไปยังห้องพิเศษที่แม่ของเขาพักรักษาตัวอยู่ ในมือถือดอกกุหลาบขาวช่อใหญ่ดอกไม้ที่แม่ของชายหนุ่มโปรดปรานเป็นที่สุด ชายหนุ่มยกช่อดอกไม้ขึ้นดมเบาๆ พาลคิดถึงคนที่สั่งดอกไม้ช่อใหญ่นั้นให้รอยยิ้มเล็กๆ จุดขึ้นที่มุมปาก ส่ายศีรษะน้อยๆ นึกไปถึงคำสั่งที่เอาแต่ใจต่างๆ นานาที่สรรหามาทำให้ชายหนุ่มลำบากใจ แต่ในที่สุดก็ต้องยอมจำนนแก่แววตาดื้อดึงคู่นั้นอยู่ดี คืนนั้นวิธวินท์ทานอาหารค่ำและนอนค้างกับแม่ของเขาโดยที่ไม่ได้กลับบ้าน
‘♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪ … ♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪ …’ เสียงดนตรีจากโทรศัพท์เครื่องหรูที่วางไว้ตรงหัวนอนของชายหนุ่มดังขึ้น ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบขึ้นมาดูชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอเครื่อง -คุณหนูริช- ชื่อนี้ทำให้วิธวินท์เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งตัวตรง
“ครับ” ชายหนุ่มรีบกดรับ แล้วกรอกเสียงลงไปทันที
“บรูโน่ ทำไมรับช้า” เสียงเด็กชายดังต่อว่ามาจากในสาย
“เอ่อ..”
“ช่างมัน ออกมาหาฉันที่...เดี๋ยวนี้ ฉันให้เวลา 20นาทีต้องมาถึง ..ตื้ดๆๆๆๆ” ก่อนที่วิธวินท์จะบอกเหตุผลคุณหนูก็สั่งเสียงรัวมาเสียก่อน แล้วตัดสายไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธทั้งสิ้น ชายหนุ่มมองหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาห้าทุ่มสิบห้านาที
วิธวินท์มองไปที่เตียงคนไข้ก็เห็นผู้เป็นแม่นอนหลับสนิท ก้มมองตัวเองที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มขายาว ขากางเกงขาดนิดๆ บ่งบอกว่าเจ้าของสวมใส่มานานปี คงพอออกไปข้างนอกได้ ชายหนุ่มคิดในใจ จึงรีบหยิบข้าวของสำคัญ แล้วย่องออกจากห้องอย่างเงียบๆ
สถานที่ที่คุณหนูริชให้ชายหนุ่มไปพบคือหน้าโรงแรมหรูใจกลางเมือง ซึ่งถึงจะดึกป่านนี้แล้วแต่การจราจรคงยังติดขัดอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มตัดสินใจใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากหน้าโรงพยาบาลซอกแซกไปตามท้องถนน เพื่อให้ไปถึงจุดนัดพบในเวลาที่กำหนด
เมื่อใกล้ถึงโรงแรมที่คุณหนูบอกแต่ต้องกลับรถอีกไกล วิธวินท์จึงตัดสินใจลงจากพาหนะแล้วสาวเท้าวิ่งตัดข้ามถนนที่รถติดจนแออัด แล้วก้าวเท้ายาวๆ ไปยังลานจอดรถของโรงแรมอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มหายใจหอบนิดๆ เมื่อมาหยุดอยู่ที่ข้างรถคันใหญ่พาหนะประจำตัวของคุณหนูริช พอสูดหายใจเข้าเต็มปอดก็รีบเปิดประตูก้าวขึ้นรถทันที
“ช้าไป 2นาที 35วินาที” เด็กชายเอ่ยทักเมื่อชายหนุ่มเปิดประตูรถแล้วย่อตัวลงนั่ง
“ขอโทษครับ ผมรีบเต็มที่แล้ว” วิธวินท์พูดปนหอบออกมาเบาๆ
“เปลี่ยนชุดซะ ใส่ออกมาได้ยังไง” ลลิตเบะปากน้อยๆ เมื่อมองชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่ เสื้อยืดสีขาวที่ใส่จนเนื้อผ้ามันบางลายที่พิมพ์อยู่กลางอกมองไม่ออกแล้วว่าเป็นลายอะไรชื้นเหงื่อนิดๆ กับกางเกงวอร์มย้วยๆ ชายขาลุ่ย และรองเท้าแตะแบนๆ แล้วหยิบถุงกระดาษสามสี่ใบส่งให้ชายหนุ่ม
วิธวินท์รับมาเปิดดูเป็นเสื้อกางเกง และรองเท้าผู้ชายแบบทันสมัย ราคาก็คงไม่ใช่น้อย
“ครับ” ชายหนุ่มทำท่าจะเปิดประตู ลลิตเอื้อมมือมาจับหน้าขาของเขาบีบเบาๆ
“จะไปไหนบรูโน่ เปลี่ยนในนี้แหละเสียเวลา” เด็กชายพูดออกมาเสียงเรียบ
“จะดีเหรอครับ”
“ดีสิ ฉันรอนายมานานพอแล้ว”
วิธวินท์ก็จนคำพูดที่จะทัดทาน จึงเริ่มถอดเสื้อออกเปลี่ยน เป็นเสื้อเชิ้ตสีอ่อนโชว์ไหล่กว้าง แล้วหยิบกางเกงขายาวทรงกระบอกพอดีตัวตัดเย็บจากผ้าเนื้อดี ชายหนุ่มเริ่มช้าลงอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าอายที่จะต้องเปลี่ยนชุด แต่ปัญหามันอยู่ที่ใต้กางเกงวอร์มของเขาหาได้มีปราการด่านสุดท้ายของท่านชายไม่
“คุณสมบรูณ์ออกรถได้แล้ว” เสียงคุณหนูดังขึ้น วิธวินท์หันขวับไปมอง แต่คุณหนูกลับไม่ได้สนใจที่เขา นั่งก้มหน้ากดของเล่นอิเล็กทรอนิกส์เครื่องใหม่ที่พึ่งจับจ่ายมาพร้อมกับเสื้อผ้าของชายหนุ่ม วิธวินท์แอบเหล่มองไปที่คุณสมบูรณ์ผู้ขับรถ ที่ขับไปเงียบๆ ไม่ได้สนใจสิ่งอื่น ชายหนุ่มจึงตัดสินใจ ถอดกางเกงวอร์มแล้วดึงกางเกงขากระบอกสวมแทนอย่างรวดเร็ว แต่เพราะความสูงของชายหนุ่ม ขากางเกงไม่ได้ขึ้นมาได้โดยง่าย วิธวินท์ยืดตัวขึ้นจนศีรษะชนกับหลังคารถเสียงดัง จนเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมามอง ระดับสายตาของลลิตก็ไปพบเข้ากับ ชายเสื้อที่ปิดอยู่ที่ท้องน้อย ขอบกางเกงหมิ่นเหม่อยู่ที่ขาอ่อน เด็กชายตาโตตกใจยกมือปิดปากตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นแม้ภายในรถจะสลัวแต่เด็กชายก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน กรอกตามองขึ้นสูงแล้วหันหน้าช้าๆ ออกนอกกระจกรถ
ได้แต่คิดในใจวนไปวนมาไอ้บ้าบรูโน่ กางเกงในก็ไม่ใส่ เห็นหมดเลย ในสมองก็ฉายภาพติดตานั้นซ้ำๆ จนนั่งเงียบอยู่ท่านั้นเป็นครู่ แม้จะเอาแต่ใจสั่งให้ทำแบบที่พบกันครั้งแรกอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่ชินเสียที
=========> โปรดติดตามตอนต่อไป