ตอนที่สอง "เพื่อนรัก"
แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปวูบวาบเป็นระยะ ๆ เมื่อนักข่าวบันเทิงจากทุกสื่อต่างเข้ามาแย่งถ่ายรูปในวันสำคัญวันนี้ ด้วยเป็นวันเปิดกล้องพร้อมแถลงข่าวการถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่องใหม่ยิ่งใหญ่แห่งปี ที่ทุมทุนสร้างมหาศาล อำนวยการสร้างโดย บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของวงการ ภายใต้การกำกับและดูแลโดยหม่อมเอียด นักแสดงนำและนักแสดงสมทบจึงมารวมกันคับคั่งครบทุกตัวคน นักข่าวต่างพากันแย่งสัมภาษณ์นักแสดงจนดูวุ่นวาย แต่เมื่อพิธีกรกล่าวเชิญผู้สื่อข่าวให้เข้ามานั่งยังเก้าอี้ที่ได้จัดเตรียม เอาไว้ ความโกลาหลจึงสงบลง
หลังจากช่วงเวลาของพิธีการผ่านพ้นไปความวุ่นวายก็กลับมาเยือนอีกครั้ง แต่ก็กินเวลาไม่มากนัก ด้วยเป็นเพราะนักข่าวต่างรุมสัมภาษณ์ด้วยการยิงคำถามกับนักแสดงเป็นราย ๆ ไปอย่างพร้อมเพรียงในคราวเดียวกัน จนในที่สุดก็ถึงเวลาพักรับประทานอาหารว่างที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมรอไว้ อเล็กซ์ ที่เหน็ดเหนื่อยจากการถูกกลุ้มรุมปลีกตัวแยกออกมาหาเครื่องดื่มที่มุมกาแฟ เขาเดินเข้าไปยืนข้างชายหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่ง โดยที่อีกคนยังมิได้สังเกตเห็นถึงการมาของเขา มือหนาเอื้อมไปคว้าหยิบถ้วยกาแฟที่คว่ำรออยู่ แต่ก็พลาดไปฉวยเอามือของคนด้านข้างที่กำลังเอื้อมมาจับถ้วยกาแฟใบเดียวกัน ไว้ได้เสียก่อน
“ขอโทษครับเชิญคุณก่อน” อเล็กซ์ทำได้แต่เพียงกล่าวขอโทษเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มหูแบบสุภาพ พลางหันไปมองหน้าของเจ้าของมือนุ่มนั้นเต็มตาก่อนจะร้องเรียกด้วยความยินดี และเอามือออกจากมือของอีกคน
“หน่อง! หน่องใช่ไหม! เป็นหน่องจริง ๆ ใช่ไหม?” อเล็กซ์ร้องถามละล่ำละลัก
คนตรงหน้าได้แต่ทำหน้ายุ่งมองมาแบบสงสัย ว่าดาราหนุ่มรู้จักตนเองได้อย่างไร แต่เมื่อมองไปได้สักครู่ ความทรงจำเก่า ๆ ที่แสนเลือนรางก็กลับเด่นชัดขึ้นมาแทบจะทันที ภาพวงหน้าของเด็กชายเพื่อนสนิทในวัยเยาว์ซ้อนทับกันได้พอดิบพอดีกับดาราหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเปล่งเสียงร้องเรียกออกมาอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ
“หรั่ง! หรั่งจริง ๆ ด้วย หน่องจำแทบไม่ได้เลย... ไม่คิดว่าหน่องจะได้มาเจอกับหรั่งอีกนะนี่”
หลังจากที่ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพอประมาณ ทั้งสองก็พากันปลีกตัวไปพูดคุยอย่างออกรสอยู่ในบริเวณสวนนอกห้องจัดเลี้ยง โดยเลือกม้านั่งซึ่งถูกจัดวางไว้ริมบ่อปลาข้างสถานที่จัดงานเป็นมุมส่วนตัว เพื่อระลึกความหลังและรับรู้ความเป็นไป ของกันและกัน ภายใต้บรรยากาศของละอองน้ำฉ่ำเย็นจากน้ำพุในบ่อ และความร่มรื่นเขียวขจีของแมกไม้ในสวนซึ่งสร้างความอิ่มเอมแก่ทั้งคู่ จนเวลาผ่านมาได้ครู่ใหญ่ อ๊อบที่เดินตามหาอเล็กซ์มาซะทั่วงานก็เข้ามาถึงยังบริเวณที่เพื่อนทั้งสองคน นั่งคุยอยู่ก่อนแล้ว
“อเล็กซ์ มาอยู่นี่เอง แล้วทำไมมานั่งอยู่นี่ได้ล่ะ” อ๊อบก้าวพรวดเข้ามาพร้อมกับยิงคำถามใส่ตามวิสัยใจร้อนของเจ้าตัวแล้วก็ต้อง ชะงัก เมื่อเห็นอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันกับอเล็กซ์พลางขมวดคิ้วส่งแทนคำถามไปยัง เด็กในสังกัด
“พี่อ๊อบ... นี่หน่องเพื่อนผมเอง ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้ว หน่อง... นี่พี่อ๊อบผู้จัดการเราเอง” อเล็กซ์กล่าวแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
“สวัสดีครับพี่อ๊อบ... ผมเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ๆ ของหรั่งครับ” คนตัวเล็กได้แต่กล่าวทักทายพลางกระพุ่มมือไหว้คนตรงหน้า ก่อนจะหยิบนามบัตรในกระเป๋าส่งไปให้คนอายุมากกว่า
“สวัสดีจ้ะ” อ๊อบที่ได้แต่ทักทายกลับตามมารยาท กลับต้องตาโตเมื่อเห็นว่า กระดาษใบเล็กในมือนอกจากจะระบุชื่อ นิวัฒน์ แก่นกำภู และเบอร์โทรศัพท์ ยังระบุตำแหน่งของคนตรงหน้าว่าเป็นผู้สื่อข่าวบันเทิงของนิตยสารชั้นดีใน เครือสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศอีกด้วย
“แหมอเล็กซ์ มีเพื่อนเป็นนักข่าวสายบันเทิงก็ไม่เคยบอกพี่สักนิดเลยนะเรา” อ๊อบทำทีแสร้งเป็นต่อว่าไปให้อเล็กซ์แบบเสียไม่ได้ แต่กลับส่งยิ้มประดิษฐ์หวานไปให้กับหน่องแบบเต็มใจ และหน่องเองก็จับสังเกตในกิริยานั้นได้
“ถ้างั้นพี่ฝากหนูเขียนเชียร์อเล็กซ์ให้พี่หน่อยได้ไหมคะ คนกันเองนะคะ ถือว่าช่วย ๆ กันทำมาหากิน แล้วนี่ได้สัมภาษณ์กันไปบ้างรึยังคะ เดี๋ยวพี่จะได้นัดสัมภาษณ์แบบส่วนตัวให้นะคะ เอาเป็นสักวันศุกร์นี้ก็ได้นะคะ อเล็กซ์เค้าว่างพอดี ส่วนเวลากับสถานที่เดี๋ยวพี่ให้อเล็กซ์เค้าโทรไปบอกตามเบอร์ในนามบัตรนะคะ” อ๊อบจีบปากจีบคอบอกระรัวตามแบบของตัวเอง
“ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมจะไปตามนัดนะครับ แต่วันนี้ผมขอถ่ายรูปหรั่งเอาไว้ก่อนนะครับพี่ วิวแถวนี้สวยดีด้วย” หน่องบอกพลางคว้ากล่องถ่ายรูปคู่มือจากกระเป๋าที่วางเอาไว้บนเก้าอี้ข้างตัว ขึ้นมาปรับโฟกัส แล้วกดชัตเตอร์เก็บภาพเพื่อนเก่าบันทึกลงในเมมโมรี่การ์ดของกล้อง
“มา ๆ เพื่อนสองคนไม่ได้เจอกันนาน มา... พี่จัดให้นะคะ น้องยืนข้าง ๆ อเล็กซ์นะ... เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” อ๊อบบอกพลางเจ้ากี้เจ้าการจัดท่าทางให้ทั้งสอง ก่อนจะแบมือขออุปกรณ์ถ่ายภาพจากมือของหน่องมากดบันทึกภาพของทั้งสองคนไปเสีย หลายรูป แล้วจึงส่งกล้องคืนกลับมาให้ผู้เป็นเจ้าของ
“เอาไว้วันศุกร์เราเจอกันใหม่นะคะ พี่ขอบคุณมากเลยค่ะ” อ๊อบบอกพลางกระพุ่มมือไหว้ด้วยความเคยชินจนคนถูกไหว้รับไหว้แทบไม่ทันจึง ต้องร้องบอก
“พี่ครับ...ไม่ต้องไหว้ก็ได้ครับ ผมขอบคุณมากนะครับ แล้วเราเจอกันวันศุกร์นะครับ... สวัสดีครับพี่” หน่องละล่ำละลักบอกพลางกระพุ่มมือไหว้คนอาวุโสกว่า
“จ้า... วันนี้อเล็กซ์ไม่มีคิวงานที่ไหนแล้วนะคะ เชิญตามสบายเลยค่ะคุณน้อง” อ๊อบบอกพลางหันหลังเดินจากไปช้า ๆ
เพื่อนทั้งสองใช้เวลาพูดคุยกันต่ออีกสักพักก็แยกย้ายจากกันโดยไม่ลืมที่จะแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของกันและกันเอาไว้เรียบร้อย
"แม่ครับ ทายสิว่าวันนี้หน่องไปเจอใครมา" หน่องโผกอดแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นแทบจะทันทีที่เห็นหน้า ก่อนจะเอ่ยถาม พลางเอาศีรษะถูบริเวณต้นแขนของผู้เป็นมารดาอย่างออดอ้อน
"แม่จะรู้ได้ยังไงล่ะ ไอ้ลูกคนนี้... แม่ไม่ได้ไปด้วยเสียหน่อย" คนเป็นแม่ไม่เพียงแต่เลี่ยงตอบคำถามกลับกอดรัดฟัดหอมสองแก้มของหน่องไปเสีย หลายฟอด
"หน่องถึงให้แม่ทายไงครับ" หน่องบอกพลางหัวเราะร่า
"บอกแม่มาเถอะ... แม่ไม่อยากทายแล้วจ้ะ" สุมาลีบอกพลางเอามือลูบเรือนผมนุ่มบนศีรษะของลูกชายอย่างแผ่วเบา
"แม่จำวันที่ไปรับหน่องมาอยู่ด้วยได้ไหม... ที่เพื่อนหน่องวิ่งร้องไห้ตามมาส่งหน่องจนรถของแม่กับพ่อพ้นประตูรั้วน่ะครับ" หน่องบอกพลางเอนตัวลงเอาหัวไปหนุนตักและนอนจ้องไปที่แม่ด้วยดวงตาเป็นประกาย
"เพื่อนหน่องที่ชื่อ... หรั่งใช่ไหม แหมผ่านมาเป็นสิบปี ยังได้มาเจอกันอีกนะลูก ถือเป็นโชคดีของทั้งสองคนเลยนะที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง... แล้วเจอกันได้ยังไงล่ะ" สุมาลีบอกพลางยิ้มหวานส่งให้ก่อนซักถามที่มาที่ไป
"วันนี้หน่องไปทำข่าวข้างนอก เป็นงานเปิดตัวเปิดกองถ่ายหนังใหม่ของหม่อมเอียดครับ แล้วหน่องก็ไปเจอกับหรั่งที่นั่น แต่แม่รู้ไหม... ตอนนี้หรั่งเค้าเป็นดาราแล้วนะแม่ ถึงจะเป็นแค่พระรอง... แต่อีกหน่อยหน่องว่าหรั่งต้องได้เป็นพระเอกเต็มตัวแน่ ๆ เลยแม่" ชายหนุ่มเล่าพลางยิ้มตอบมารดาของตน
"ดีจัง... แม่ดีใจด้วยนะ แล้วแม่จะไปดูนะครับ แต่ตอนนี้ แม่ต้องไปทำกับข้าวก่อนแล้ว... เดี๋ยวพ่อเราเขากลับมาจะมาว่าแม่ว่าไม่ทำอาหารเย็นเอาไว้ให้ แล้วลูกหิวรึยังล่ะหน่อง" สุมาลีบอกพลางเอาหมอนอิงซุกไปใต้ศีรษะลูกชายก่อนจะกระถดตัวลุกขึ้นยืนขณะที่ ถามด้วยความเป็นห่วง
"ยังไม่หิวครับแม่ หน่องรอกินพร้อมพ่อดีกว่า"
ลูกชายตอบพร้อมกับสำทับว่ารอผู้เป็นบิดา ด้วยรู้ดีว่าอีกไม่นานก็คงจะกลับมาถึง เพราะพ่อของเขาไม่เคยกลับถึงบ้านค่ำมากนัก หากไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้ามักจะกลับมากินข้าวพร้อมกันทุกวันอยู่เสมอ เมื่อลูกชายบอกมาแบบนั้นคุณสุมาลีจึงลุกไปเตรียมอาหารมื้อเย็นไว้รอท่า ในเมื่อตอนนี้ก็ใกล้จะได้เวลากลับของหัวหน้าครอบครัวด้วยเช่นกัน
"เป็นไงเรา... ทำงานมาได้จะครึ่งเดือนแล้ว ได้เขียนข่าวจริง ๆ กับเขามั่งหรือยัง" ผู้เป็นพ่อถามลูกชายระหว่างมื้อค่ำบนโต๊ะอาหาร
"หน่องเขียนแล้วนะครับพ่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้หน่องเอาไปส่งให้ บก.ดูก่อน... แต่ข่าวนี้รับประกันว่าต้องได้ลงพิมพ์กรอบบ่ายพรุ่งนี้แน่ ๆ" เจ้าตัวตอบบิดาพร้อมสำทับด้วยความแน่ใจว่าข่าวที่เขาเขียนจะต้องได้พิมพ์ลง หนังสือ เพราะเป็นข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง
"มั่นใจจริงนะเรา ไปทำข่าวอะไรมาล่ะ" คนเป็นพ่อถามกระเซ้า พร้อมกับหัวเราะถูกใจ
"ก็ข่าวเปิดกล้องหนังของหม่อมเอียดไงครับ ข่าวใหญ่ขนาดนั้น... ยังไงเค้าก็ต้องเอาของหน่องลงอยู่ดีแหละครับ" ชายหนุ่มตอบเฉลยพร้อมหัวเราะร่าให้กับบิดา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"วันนี้นะ... พ่อรู้ไหมว่าหน่องไปเจอใครมาด้วยล่ะพ่อ"
"ก็ไปเจอหม่อมเอียดกับดาราน่ะสิ... ไอ้ลูกคนนี้นี่ถามแปลก ๆ" บิดาตอบกลั้วหัวเราะพลางยกยิ้มยั่วกลับไปให้ลูกชาย
"โหพ่อ... ตอบแบบนี้แล้วหน่องจะไปต่อถูกไหมนั่น คืออย่างนี้พ่อ... พ่อจำวันที่ไปรับหน่องมาอยู่ด้วยได้ไหมครับ เพื่อนหน่องคนที่วิ่งร้องไห้ตามหลังรถพ่อมาส่งหน่องไงครับ"
"เอ... เพื่อนหน่องคนนั้น... แต่ผ่านมาหลายปีแล้วนะหน่อง พ่อจำชื่อไม่ได้แล้วนะ" ผู้เป็นบิดาตอบจริงจังพลางหยุดยิ้มและหันไปมองหน้าของบุตรชายช้า ๆ อย่างตั้งใจฟังความต่อ
"หรั่งไงครับพ่อ ตอนนี้หรั่งเค้าเป็นดาราแล้ว... เป็นพระรองด้วย เล่นประกบพระเอกดังในหนังของหม่อมเอียดด้วยนะพ่อ... หน่องมีเพื่อนเป็นดารานะพ่อ" เจ้าตัวตอบพลางหัวเราะร่าและรอยยิ้มเต็มหน้าไปให้บิดา
"อ้าว... อย่างนี้ก็ขอสัมภาษณ์ตัวต่อตัวลงสกู๊ปพิเศษเลยสิ ในฐานะดาราเพื่อนของนักข่าว" อธิปกล่าวกระเซ้าเย้ายั่ว
"หน่องนัดไว้แล้วครับ... วันมะรืนนี้แหละ ยังไงพรุ่งนี้เช้าหน่องก็ต้องไปบอก บก.ที่ออฟฟิศก่อนอยู่ดี" หน่องคลี่ยิ้มบอกอย่างภาคภูมิใจที่ตัวเองได้โอกาสนำเสนองานสำคัญ
อเล็กซ์กำลังนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่นที่มีฟองครีมขาวละเอียดของครีมบาธหอม ฟุ้งไปทั่วทั้งห้องปกคลุมตัวอยู่ ชายหนุ่มนอนหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข เพราะสายน้ำและกลิ่นหอมช่วยผ่อนคลายความเมื่อล้าของร่างกายได้เป็นอย่างดี ประกอบกับในวันนี้ เขาดีใจที่ได้เจอเพื่อนรักซึ่งห่างหายจากกันไปเป็นสิบปี ด้วยนับจากวันที่เพื่อนรักจากไปเขาทั้งสองก็ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย และไม่เคยได้ข่าวของกันและกันแม้แต่น้อย วันนี้เขามีความสุข หัวใจพองฟูจนคับอก และเป็นหนึ่งในเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งของเขา จนอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมาคนเดียว
ในวันนี้เขาเหมือนได้วันเวลาเก่า ๆ ที่เลือนหายไปกลับคืนมาอีกครั้ง พรุ่งนี้เขาจะโทรไปชวนหน่องให้มาที่บ้านของเขา คอนโดที่เขาอยู่ เพื่อจะได้นัดสัมภาษณ์ให้เรียบร้อย แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นข้ออ้างที่จะได้ทำให้เขากับเพื่อนได้เจอกันอีกครั้งเท่านั้นเอง 'แบบนี้ต้องฉลอง' เมื่อคิดได้ เขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกดระบายน้ำในอ่างออกก่อนเปิดฝักบัวให้สายน้ำเย็นจัด ไหลรดลงบนร่างเพื่อชะล้างฟองครีมนุ่มจนหมดจดจึงปิดน้ำแล้วคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาซับตัวจนแห้ง ก่อนจะแต่งตัวแล้วผลุนผลันออกไปหาความสำราญยามค่ำคืน