ตอนที่สาม "ความต่าง"
แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ถนนสายนี้ไม่เคยเงียบเหงา แสงนีออนหลากสีจากร้านรวงที่เรียงรายไปตลอดเส้นทางส่องสว่างไปทั่วทั้งสอง ฝั่งฟากของถนนซึ่งมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ บรรดาผีเสื้อราตรีออกกรีดกรายเริงระบำอย่างสนุกสนานไปตามจังหวะเสียงเพลงที่แต่ละร้านขยันเปิดเพื่อดึงดูดใจให้เข้า ไปเยี่ยมเยือน แต่ที่ดูโดดเด่นจนแทบจะเป็นตำนานของถนนสายนี้ คือร้านที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงปากซอยยอดนิยมของบรรดาผู้ฝักใฝ่ในเพศรสของพวก เดียวกัน "เดอะ บัตเตอร์ฟลาย บอย" อาโกโก้บาร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องราตรี เพราะโชว์สนุกตระการตา พนักงานหน้าตาดี บริการได้ถึงอกถึงใจจนเป็นที่ประทับใจของลูกค้า
ชายหนุ่มเดินเข้าไปทางประตูด้านหลังของร้านจนไปหยุดอยู่หน้ามาม่าซังผู้ ซึ่งเคยดูแลช่วยเหลือเขามาตลอด นับจากวันแรกที่เขาเข้ามาทำงานจนไต่เต้าขึ้นสู่ความเป็นดาวเด่นของบาร์แห่ง นี้
"แหม... หรั่ง เจ๊กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย ไปไงมาไงถึงได้มาจนถึงนี่ได้ล่ะจ๊ะ" มาม่าซังในชุดกี่เพ้าไหมซาตินสีดำประดับขนเฟอร์สีแสดพวงยาวรอบบริเวณลำคออัน เป็นยูนิฟอร์มของร้าน ทักทายก่อนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบคร่าว ๆ พลางเลื่อนมือขึ้นคล้องแขนชายหนุ่มให้ก้าวตามไปยังห้องรับรองพิเศษ
"ก็คิดถึงเจ๊ไงครับ ผมเลยมาหา... ว่าจะแวะมาใช้บริการในฐานะลูกค้าบ้างไงครับ" อเล็กช์คลี่ยิ้มหยอดหวานทีเล่นทีจริง
"ต๊าย! ปากหวานไม่เปลี่ยนเลยนะจ๊ะ ดีล่ะ... เจ๊จะได้มอมแล้วรูดทรัพย์ให้หมดตัวเลยดีไหม" มาม่าซังสัพยอกกลับไปอย่างเอ็นดู
"กลัวที่ไหนครับเจ๊ จัดมาเลยดีกว่า" อเล็กซ์รับมุขตามน้ำ แถมย้ำความต้องการของตน
"งั้นเดี๋ยวเจ๊สั่งเด็กให้ยกเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟก่อนแล้วกัน อยากดื่มอะไรดีจ๊ะรูปหล่อ" มาม่าซังถามด้วยกิริยาจริตจะก้านหูตาแพรวพราวตามอาชีพของหล่อน
"ขอเป็นบรั่นดีแล้วกันครับเจ๊"
"โอเช... เดี๋ยวเจ๊จัดเต็มให้เลยแล้วกัน บรั่นดีพร้อมเพื่อนนั่งดื่มระดับดาวเด่นของร้านเลยนะจ๊ะ" หล่อนบอกพลางยกยิ้มอย่างรู้กันก่อนจะเปิดประตูออกไปจัดเตรียมทุกอย่างเพื่อ สนองความต้องการของลูกค้าวีไอพี ไม่ถึงอึดใจประตูห้องรับรองพิเศษก็เปิดออกอีกครั้งโดยมาม่าซังคนเดิม พร้อมกับเด็กหนุ่มผิวขาวหน้าตาดี ตามมาด้วยบริกรที่ยกเอาบรั่นดีในขวดทรงกลมคอเรียวสวยและแก้วกระเปาะกลมก้านเตี้ยในถาดมาวางบนโต๊ะกลาง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรินเสิร์ฟให้อย่างรู้หน้าที่ทันทีที่มาม่าซังขยิบตาให้ พลางนั่งลงประกบแขกคนสำคัญ
"หรั่งจ๊ะ นี่น้องยุทธ เพิ่งมาอยู่ได้ไม่นานแต่ก็ขึ้นหม้อเป็นดาวดังของที่นี่ตอนนี้เลยนะ
ยุทธจ๊ะ นี่พี่หรั่งจ้ะ ลูกค้าคนสำคัญของพี่เชียวนะ" มาม่าซังเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันอย่างเป็นทางการขึ้นมาอีกหน่อย
"สวัสดีครับพี่" ยุทธหันมายิ้มให้ก่อนจะยกมือไหว้และเอ่ยทักทาย
"ตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวเจ๊ไปดูแขกข้างนอกก่อนนะคะ ยุทธดูแลพี่เค้าดี ๆ ด้วยนะ" มาม่าซังเอ่ยขอตัวพร้อมสั่งกำชับให้ยุทธดูแลแขกเป็นอย่างดี ก่อนจะปล่อยให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัวโดยไม่ลืมที่จะกดล็อคลูกบิดประตูเมื่อออกจากห้อง
"ครับ" ยุทธรับคำ พร้อมกับเอื้อมไปคว้าเอาแก้วเครื่องดื่มสีอำพันบนโต๊ะมาป้อนส่งให้ถึงปาก
"มาทำที่นี่นานหรือยังครับ" อเล็กซ์ถามก่อนจะอ้าปากรับและดื่มบรั่นดีที่ยุทธป้อนให้
"ก็ไม่นานนะครับยังไม่ทันจะครบเดือนเลย" ยุทธบอกตามตรง
"แล้วบริการดีกับทุกคนแบบนี้รึเปล่า" อเล็กซ์กระเซ้ายั่วยิ้ม
"ผมก็ต้องบริการแขกทุกคนเป็นอย่างดีอยู่แล้วล่ะครับ" ยุทธตอบกลับพลางส่งสายตายั่วยวน
"บริการดี แล้วอย่างอื่นจะดีด้วยไหม" อเล็กซ์เอ่ยถามเสียงแหบพร่า
"ก็คงต้องลองดูเองล่ะครับ จะได้รู้ว่าดีไหม" ยุทธเอ่ยตอบก่อนจะยื่นหน้าของตนให้เข้าไปใกล้กับคนตรงหน้าพร้อมกับเผยอริมฝีปากแตะเพียงแผ่วเบากับกลีบปากหนาได้รูป สวยนั้น อเล็กซ์กลับตอบรับจูบด้วยความพึงใจ ผิวหน้าขาว ๆ อมชมพูของเขา กลับเริ่มแดงจัดขึ้นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และความยั่วยวนของยุทธ เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นประคองท้ายทอยพร้อมกับสนองตอบจูบทักทายของยุทธ กลับด้วยความเร่าร้อนที่มากกว่าของอีกฝ่าย ทั้งสองแทบจะพากันลืมหายใจ ยุทธเองก็ใช้สองมือของตนโอบกระชับคล้องรอบลำคอของอเล็กซ์เอาไว้ ก่อนที่อเล็กซ์ จะผลักให้ยุทธ เอนหลังราบลงไปกับโซฟาที่นั่งอยู่ และยุทธเองก็รู้ดีว่าจะตนเองต้องตอบสนองคนตรงหน้าอย่างไร ความเงียบเข้ามาครอบคลุมทั้งสองเอาไว้ มีเพียงเสียงเพลงที่เปิดแผ่ว ๆ คลอเบา ๆ จากลำโพงเล็ก ๆ ของเครื่องเสียงชั้นดีหวานแว่วกังวานอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนที่พายุอารมณ์ของทั้งสองคนจะพัดโหมกระพือ ให้ไฟสวาทลุกโชนต่อเนื่องเนิ่นนานกว่าจะดับมอดลงได้ ทิ้งไว้แต่เพียงหยาดเหงื่อบนผิวเปลือยเปล่า และอาการหอบหายใจอย่างอ่อนแรงเท่านั้น
ในบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งแถบชานเมืองกรุงเทพ ท่ามกลางความมืดของราตรี สายลมพัดโชยกลิ่นหอมของดอกราตรีที่ปลูกอยู่เป็นซุ้มข้างตัวบ้าน เข้าไปยังหน้าต่างห้องนอนของหน่อง ถึงแม้นจะปิดไฟในห้องเสียจนมืดเมื่อเจ้าตัวเริ่มจะเข้าสู่ห้วงนิทรา แสงจันทร์ที่ลอดส่องจากหน้าต่างสาดกระทบเข้ากับวงหน้าหวานที่กำลังพริ้มตา หลับ แพขนตาหนา และคิ้วเข้ม ๆ ประดับบนเรียวหน้า พร้อมริมฝีปากบางที่อมยิ้มอย่างมีความสุขในค่ำคืนนี้ ถึงแม้นว่าหน่องจะต้องนอนเดียวดายอยู่บนที่นอนหนานุ่มอุ่นสบาย แต่หน่องก็มีความสุข ในอ้อมกอดของหน่องตอนนี้ มีเพียงตุ๊กตาหมีโพลาร์ยัดใยสังเคราะห์นุ่มนิ่มขนาดไม่ใหญ่นักอยู่เพียงตัว เดียวเท่านั้น แต่ตุ๊กตาตัวนี้ คุณสุมาลีมารดาเลี้ยงที่รับหน่องมาอยู่ด้วย ขอให้คุณอธิปผู้สามีซื้อให้หน่องในคืนแรกที่หน่องจะต้องนอนในห้องส่วนตัว ห้องนี้เพียงลำพังในคืนแรก หลังจากที่นอนกับพ่อและแม่ได้เพียงหนึ่งสัปดาห์นับแต่วันที่มาอาศัยอยู่ใน บ้านหลังนี้ แม้นว่ากาลเวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ตุ๊กตาตัวนี้ เป็นของเล่นส่วนตัวชิ้นแรกที่หน่องเคยมี จากที่หนานุ่มกอดแน่น กลับกลายเป็นแบนแฟบลงไปกว่าเดิมมากแต่เขาก็ยังคงรักและนอนกอดด้วยทุกคืนตลอด มา โดยไม่เคยคิดจะทิ้งขว้าง ถึงต่อมาเขาจะมีของชิ้นอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีกหลายชิ้นก็ตาม
"หน่อง... ตื่นรึยังลูก เดี๋ยวจะสายเอานะจ๊ะ" คุณสุมาลีร้องเรียกที่หน้าประตูก่อนจะลองหมุนบิดลูกบิดประตูและพบว่าประตู ไม่ได้ล็อค จึงเปิดออกแล้วเข้าไปร้องเรียกหน่องจนถึงเตียง
"หน่อง... เช้าแล้วนะลูก อย่ามัวแต่ขี้เซาซิจ๊ะ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก" คุณสุมาลีร้องเรียกพร้อมเขย่าตัวปลุกลูกชาย
"ครับ ตื่นแล้วครับแม่" หน่องตอบรับก่อนจะปรือตามองแม่ของตน ก่อนจะตาโต ตกใจเมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่ฝาผนังห้อง พร้อมตะโกนเสียงดัง
"จะเจ็ดโมงแล้ว" พร้อมกับเด้งตัวกระโดลงจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว
"แม่เตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วลงไปกินด้วยนะลูก" คุณสุมาลีบอกพลางเดินออกจากห้องไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารของบ้าน
"สายแล้ว!" หน่องส่งเสียงดังพลางวิ่งไปตามทางเดินก่อนจะเอาบัตรประจำตัวพนักงานแนบเข้า กับเครื่องสแกนบัตร เมื่อเครื่องส่งเสียงบี๊บสั้น ๆ พร้อมกับที่เขามองดูตัวเลขดิจิตอลบนหน้าจอ ที่บอกเวลา แปดโมงยี่สิบเก้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นแปดโมสามสิบหลังจากเสียงบี๊บนั้น พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
"เฮ้อ… ฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดพอดี"
"ผมเข้าใจนะว่าเส้นยาแดงพอดี แต่งานเมื่อวานล่ะ เรียบร้อยดีไหม" เสียง บก. เอ่ยแซวด้วยสีหน้านิ่งเรียบแต่ดวงตาเต้นระยิบ ด้วยเสียงดุ ๆ ส่งมาให้ จากทางด้านหลัง
"อุ้ย บก. ผมตกใจหมดเลย" หน่องพูดก่อนจะหมุนตัวกลับมาส่งยิ้มปุเลี่ยนให้คนตรงหน้า
"เรียบร้อยดีครับ เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บที่โต๊ะแล้วจะรีบเอางานไปส่งที่ห้องนะครับ" หน่องตอบก่อนจะทำหน้าจ๋อยเมื่อสบตาดุ ๆ คู่นั้น พร้อมกับวิ่งเอาของไปเก็บที่โต๊ะ ก่อนจะค้นหางานส่วนของเจ้าตัวจากในกระเป๋าออกมาถือไว้ แล้ววิ่งกลับไปหา บก. ที่ห้องทันที
"ดี เดี๋ยวผมจะเอาลงข่าวกรอบบ่ายนี้เลยนะ แต่... ทีหลังไม่ต้องเขียนเยอะขนาดนี้นะ แค่ข่าวบันเทิงนิดหน่อย ถึงจะข่าวดังมากก็ตาม เอาแค่พอรู้เรื่องก็ได้" บก.ยังคงแกล้งทำเป็นเสียงเข้ม ก่อนจะเว้นวรรคและทำเสียงดุใส่อีกครั้ง
"ก็ข่าวแรกของผมนี่ครับ บก. งั้นผมไปแก้มาส่งให้ใหม่ก็ได้ ขอเวลาอีกสักสิบนาทีนะครับ" หน่องตอบร้อนรน
"เอางี้ อีกสิบนาทีเอามาให้ผมแล้วเรามาดูพร้อมกันอีกที" บก.ตอบพร้อมกับส่งยิ้มไปให้อีกครั้ง
"ครับ ขอบคุณครับ บก." หน่องรีบบอกพลางวิ่งตื๋อออกจากห้องไปที่โต๊ะทำงาน และวิ่งกลับมาที่ห้อง บก.อีกครั้ง
"อืม... ดีขึ้นนะ แต่ยังใช้ไม่ได้ ดูตรงนี้สิ" บก.ชมพอหอมปากหอมคอก่อนชี้แนะข้อผิดพลาดให้หน่องเข้าใจว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร
"ทีนี้เข้าใจรึยัง" บก.เอ่ยถามพร้อมยกยิ้มบางอย่างใจดี
"เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับ บก.ต่อไปผมจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นครับ" หน่องตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
"แล้วคนนี้ใคร ดาราใหม่ของหม่อมเหรอ" บก.เอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเหลือบไปเห็นภาพประกอบข่าวที่หน่องถ่ายมาได้
"ใช่ครับ" หน่องบอกตามตรง
"หน้าตาดีทีเดียว ไม่ขอสัมภาษณ์ไปเลยล่ะ" บก.เอ่ยถาม
"ผมนัดไว้แล้วครับ พรุ่งนี้แหละครับบก." หน่องตอบ
"งั้นดีเลย ผมยกคอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษกรอบบ่ายเสาร์นี้ให้คุณไปเลยแล้วกัน ตั้งใจทำงานนะ" บก.เห็นดีพร้อมกับสั่งกำชับงานมาอีกที
"ขอบคุณครับ ผมจะตั้งใจทำเต็มที่เลยครับบก." หน่องตอบพร้อมรอยยิ้ม และหัวใจพองโตคับอกด้วยความดีใจ
บรรยากาศในการถ่ายทำภาพยนตร์ เป็นไปด้วยความเคร่งเครียด เนื่องด้วยเป็นซีนที่พระเอกกำลังปะทะอารมณ์ขั้นรุนแรงกับดาราหนุ่มรูปหล่อ อยู่อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ทั้งสองทำการรับส่งบทในส่วนของตนและถ่ายทอดออกมาได้ดีจนน่าตกใจ ทั้งกองพากันเงียบกริบรอชมและลุ้นไปด้วยใจจดจ่อ ขณะที่กล้องสามตัวทำงานของมันไปอย่างต่อเนื่องพลันพระเอกหนุ่มที่กำลังอิน กับบทบาทการแสดงของตน ก็ส่งหมัดลุ่น ๆ เข้าไปที่โหนกแก้มของพระรองหน้าใหม่ ส่งผลให้คนโดนสอยเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาจริง ๆ กลายเป็นว่าพระเอกกับพระรองซัดกันนัวอยู่กลางกองถ่าย ต่างฝ่ายก็ไม่มีใครยอมใคร
"คัต"