เล่ห์ร้าย
ตอนที่ 5.
“เป็นยังไงล่ะ ดาราดาวรุ่งที่คุณเลือกดันต้องมาพัวพันกับคดีฆ่าคนตาย แล้วก่อนหน้านี้ก็มีข่าวฉาวไม่เว้นแต่ละวัน ผมบอกแล้วว่าให้ใช้พระเอกเก่า ไม่ต้องไปแย่งกับใครไม่ต้องเสียค่าตัวมากขนาดนี้ด้วย” ธรรมโรจน์ประมุขใหญ่แห่งคฤหาสน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจกับลัลนาผู้เป็นภรรยาที่นั่งจิบกาแฟหอมกรุ่นอยู่บนโต๊ะอาหารทางด้านซ้ายมือ พร้อมกับเลื่อนหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวข่าวตัวใหญ่เรื่องคดีฆาตกรรมดาราหน้าใหม่ โดยมีดาราดาวรุ่งที่เป็นพรีเซ็นเตอร์รายล่าสุดของบริษัทตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย
“มันก็แค่ข่าว แล้วก็เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย ยังไม่มีหลักฐานสักหน่อยว่าปลายฟ้าเป็นคนลงมือ” ลัลนาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แล้วก็เลื่อนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นออกไปเหมือนไม่ได้สนใจ
“ถ้าภาพลักษณ์ของสินค้าตัวใหม่ของเราต้องเสียหาย ผมจะถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของคุณ”
“มันก็เป็นความรับผิดชอบของฉันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว หรือถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนพรีเซ็นเตอร์ก็ได้นะ แต่ถ้ายอดขายไม่ดีขึ้น คุณจะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคุณไหมคะ คุณโรจน์”
บทสนทนายังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เด็กชายที่แต่งกายในชุดนักเรียนเรียบร้อย นั่งรับประทานอาหารเช้าไปเงียบๆ เพราะบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้ามักจะเป็นเช่นนี้เสมอ มีแค่การพูดคุยในเรื่องของธุรกิจ เรื่องงานสังคมต่างๆ หรือต่างคนต่างรับประทานกันไปเงียบๆ
เมื่อเด็กชายอิ่มอาหารจึงวางช้อน แล้วยกมือไหว้ทั้งสอง ซึ่งคุณท่านและคุณหญิงของบ้านก็เพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น ก่อนหยิบกระเป๋าหนังสือเดินออกมา แล้วก็พบกับชายหนุ่มร่างสูง ซึ่งก็คือ ธรรมทาน พี่ชายที่อายุห่างกันหลายปี พึ่งเรียนจบกลับมาจากเมืองนอก ที่เดินสวนเข้ามาจากด้านนอกพอดี ลลิตยกมือไหว้และเดินเลี่ยงออกไป เป็นเช่นนี้เสมอ เพราะวัยที่ห่างกันมาก และธรรมทานไปใช้ชีวิตร่ำเรียนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมานานหลายปี ทั้งสองจึงจะพูดคุยกันเพียงแค่เรื่องที่จำเป็น ไม่มีการหยอกล้อ เล่นสนิทสนมกันเหมือนพี่น้องอื่นๆ
“ทาน แกจะไปนอนค้างที่ไหนฉันไม่เคยว่า แต่ให้อย่าเสียงานเสียการ และอย่าให้มีเรื่องเสื่อมเสียมาถึงวงศ์ตระกูลก็แล้วกัน” เสียงประมุขของบ้านเอ่ยกับผู้มาใหม่เสียงเรียบ
“ครับ คุณพ่อ”
“อย่าลืมสรุปเรื่องสินค้าตัวใหม่ที่ฉันให้แกไปดูมาด้วยล่ะ”
“ได้ครับ”
“รับอาหารเช้าไหมคะคุณทาน” หัวหน้าแม่บ้านเอ่ยถามขึ้นตามหน้าที่
“ไม่ล่ะ ขอตัวนะครับ คุณพ่อคุณแม่” ร่างสูงของธรรมทานก็ผละออกไป
ความสัมพันธ์ในแบบครอบครัวที่มีเพียงเปลือกนอกที่สวยหรู แต่ภายในกลับกลวงและว่างเปล่าเหลือเกินในจิตใจของเด็กชาย ก่อนหน้าที่ลลิตจะรู้ความจริงว่าตนเองไม่ได้เกิดมาจากความรักเหมือนดังเด็กคนอื่นๆ เด็กชายเองก็เคยทำตัวสร้างปัญหา เกเร เรียกร้องความสนใจ โดยหวังให้พ่อและแม่กลับมาเอาใจใส่ จนกระทั่งได้รับรู้ความจริง ว่าการมีอยู่ของครอบครัวคือละครโรงใหญ่ที่เอาไว้แสดงหลอกผู้คนที่อยู่ในสังคมชั้นสูง
ในวันนั้น...
วันที่พ่อและแม่มีปากเสียงกันครั้งใหญ่ ลลิตในวัยเพียง 7 ปี จับใจความได้ว่าที่พ่อและแม่แต่งงานกันไม่ใช่เพราะความรัก แต่เป็นเรื่องของธุรกิจ แล้วก็มีธรรมทานออกมาแต่พอเวลาผ่านไป ก็คิดได้ว่าธุรกิจของตัวเองใหญ่โตมาก เกินกว่าที่ลูกชายคนเดียวจะดูแลได้ เลยตัดสินใจที่จะมีลูกอีกคนเพื่อเอามาช่วยดูแลกิจการ เหตุผลของการเกิดมาของเด็กชายก็เพื่อธุรกิจมีหน้าที่เป็นทายาทเพื่อสืบทอดธุรกิจแห่งตระกูลใหญ่นี้เท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วในใจของเด็กชายไม่ได้หวังจะต้องการบ้านหลังใหญ่ที่พ่อแม่ไม่เคยอยู่ ของเล่นราคาแพงมายมากที่ซื้อมาเพื่อหลอกเด็กให้หยุดร้องไห้งอแง ลลิตต้องการเพียงอ้อมกอดที่อบอุ่นของพ่อและแม่เพียงเท่านั้น ด้วยความเสียใจ เด็กชายวิ่งร้องไห้ออกไปโดยมุ่งหน้าตรงไปที่เรือนคุณปู่ ที่สร้างเป็นเรือนเล็กแยกออกไปทางด้านหลังของคฤหาสน์ เพื่อให้คุณปู่ที่แสนใจดีได้ปลอบประโลมจิตใจดวงน้อยที่กำลังแตกสลายบอบช้ำ
คุณปู่ผู้อบอุ่นอ่อนโยนและเข้าใจ คอยปลอบประโลมใจของเด็กชายเรื่อยมาในยามที่เด็กชายถูกพ่อแม่ทิ้งเอาไว้เพียงลำพังกับพี่เลี้ยง เด็กชายใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับคุณปู่ที่คอยเล่านิทาน สอนเรื่องสนุกสานให้ลลิตยิ้มได้
แต่เนื่องด้วยพื้นที่บริเวณนั้นยังอยู่ในช่วงของการตกแต่งที่ยังไม่เรียบร้อย เด็กชายจึงสะดุดเข้ากับกองไม้แล้วพลัดตกลงไปในบ่อน้ำที่ขุดไว้เพื่อทำสระจำลอง แม้ไม่ใช่บ่อที่ลึกแต่ด้วยความตกใจและยังว่ายน้ำไม่เป็น เด็กชายตะเกียกตะกายเพื่อจะขึ้นจากน้ำ ปากก็ส่งเสียงร้อง แต่สองแขนเล็กยิ่งตีน้ำเพื่อพยุงตัวก็ยิ่งเหนื่อยล้า เหมือนจะจมลงไปทุกทีๆ
แต่ในวินาทีสุดท้ายที่คิดว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว คงจะต้องจมน้ำแน่ๆ ก็กลับมีวงแขนของใครคนหนึ่งเข้ามาคว้าร่างของเด็กชายเอาไว้ แล้วพากลับขึ้นไปจนพ้นน้ำ ร่างเล็กหอบอ่อนแรง น้ำตาไหลร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มที่มาช่วยชีวิตเอาไว้ก็กอดร่างเล็กให้คลายอาการตระหนก มือลูบที่หลังไหล่เบาๆ ปากก็พูดปลอบโยนไปเรื่อยๆ จนลลิตลดอาการสั่นเทาลง เด็กหนุ่มจึงปล่อยเด็กชายให้เป็นอิสระ แล้วจับหันซ้ายหันขวาดูว่าเด็กชายได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่
“ฮืออ เลือดๆ เลือดออกด้วย” ลลิตร้องออกมา เมื่อยกมือขึ้นดูแล้วเห็นของเหลวสีแดงจางๆ ติดปลายนิ้วขึ้นมา เริ่มเบะหน้าร้องไห้อีกครั้งแต่เมื่อลองนึกดู ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเจ็บตรงไหน แล้วสายตาก็พลันไปเห็นเสื้อสีอ่อนที่เปียกน้ำจนโชกของคน ตรงหน้า มีจุดเลือดสีแดงไหลซึมออกมาจากที่เอว จึงชี้ให้เด็กหนุ่มดู
“เจ็บไหม เลือดออกใหญ่เลย ฮือๆ” ร่างเล็กร้องไห้ไป ถามคนตรงหน้าไป เด็กหนุ่มเปิดเสื้อขึ้นเหลียวหน้าหันกลับไปดู เริ่มรู้สึกแสบๆ ที่บริเวณเหนือสะโพกเป็นรอยถากยาวเลือดไหลซึมออกมาตลอด
“ไม่เป็นไรหรอกนะ แผลนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย” เด็กหนุ่มปลอบใจเจ้าตัวเล็กที่นั่งมองแผลของเขาน้ำตาหยดเผาะๆ ฝ่ามือก็ลูบ ผมที่เปียกลู่ติดกับใบหน้าขาวๆ ที่ตอนนี้จะออกไปทางซีดๆ เสียมากกว่า แต่แล้วเด็กชายก็ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วกดไหล่ของเด็กหนุ่มไว้
“รออยู่นี่ก่อนนะ จะไปเอายาก่อน” แล้วร่างเล็กก็วิ่งตรงไปทางเรือนพักคนรับใช้ที่อยู่ใกล้ที่สุด เด็กหนุ่มได้แต่มองตามหลังเล็กๆ ไปจนสุดสายตา จะเรียกไว้ก็เรียกไม่ทัน เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะลุกขึ้นโดยไม่รอเจ้าตัวเล็ก และใช้ชายเสื้อกดๆ แผลเอาไว้เพื่อให้เลือดหยุดไหล
ลลิตวิ่งกลับมาพร้อมกับหอบอุปกรณ์ที่ใช้ทำแผลมาด้วย ร่างเล็กมาหยุดตรงจุดที่วิ่งออกไปเมื่อครู่แต่กลับไม่พบใครเสียแล้ว จึงคิดว่าจะกลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากอีกทางเสียก่อน
“ตาวินไปทำอะไรมาน่ะ เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเชียว” เสียงหญิงสาววัยกลางคนพูดกับเด็กหนุ่มที่ช่วยลลิตไว้อย่างเอ็นดู
“ลูกแม่ต่างหาก” เด็กชายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ลงไปเล่นน้ำมาล่ะสิ อยากเล่นทำไมไม่บอกแม่ สระดีๆ ก็มี” คนเป็นแม่ยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้อเล่นเช่นเคย
“เปล่าคร้าบบบ ลงไปช่วยเด็กตกน้ำมา สงสัยเป็นลูกคนงานเนื้อตัวมอมเชียวคงมาเล่นแถวนั้นแล้วพลัดตกลงไปน่ะครับ แต่พอช่วยขึ้นมาก็เห็นวิ่งได้แล้วเลยไม่ได้ตามคนอื่นมาช่วยอีก”
“เป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว งั้นเรารีบกลับกันดีกว่าลูก แม่ลาคุณท่านแล้ว” หญิงคนนั้นโอบเด็กหนุ่มพาไปขึ้นรถที่จอดรออยู่
เด็กชายมองสองแม่ลูกที่พูดคุยหยอกล้อ โอบกอดกันเดินขึ้นรถไป แล้วรู้สึกอยากได้รับการโอบกอดแบบนั้นบ้าง แต่เมื่อหวนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ลลิตก็ได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นเช่นนั้นนี่นา ความรู้สึกอุ่นๆ จากวงแขนของเด็กหนุ่มไม่ได้จางหายไปเลย แม้ร่างเล็กจะยังอยู่ในชุดที่เปียกน้ำก็ตาม
หลังจากนั้นเด็กชายก็เฝ้ามองแขกของคุณปู่อยู่บ่อยครั้ง จนรู้เรื่องราวหลายๆ อย่างของครอบครัวนี้ คนแม่ที่อบอุ่นอ่อนโยน แต่ก็เข้มแข็ง คนลูกก็ถอดแบบแม่แทบจะไม่ผิดเพี้ยน รอยยิ้มสดใส แววตามองโลกด้วยความสุข ทั้งที่เหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าความสุขเลยแม้แต่น้อย
ลลิตนั่งคิดถึงเหตุการณ์เก่าๆ ที่พบกับวิธวินท์เป็นครั้งแรกที่ติดอยู่ในหัวใจจนไม่อาจลืมอ้อมกอดนั้นลงได้ เด็กชายกำลังนั่งรถออกจากโรงเรียนแต่ในวันนี้กลับยังรู้สึกว่าไม่อยากตรงกลับบ้าน เพราะชายหนุ่มมีเรียนเพิ่มตอนเย็น ไม่ได้มาสอนการบ้านให้เหมือนเดิม เด็กชายจึงตัดสินใจแวะร้านดอกไม้เพื่อซื้อดอกกุหลาบช่อใหญ่ และแวะซื้อกระเช้าผลไม้เพื่อไปเยี่ยมวิสา มารดาของวิธวินท์นั่นเอง
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กชายเข้าไปเยี่ยมวิสา ลลิตเคยเข้าไปใช้เวลาพูดคุยกับวิสาอยู่หลายครั้ง แม่ของชายหนุ่มใช้คุณปู่เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตจึงมีหลายๆ อย่างที่ทำให้เด็กชายสบายใจเวลาที่ได้อยู่ใกล้
ลลิตเดินถือช่อดอกไม้ โดยมีสมบูรณ์หิ้วกระเช้าผลไม้เดินตาม เด็กชายเคาะประตูห้องผู้ป่วยเบาๆ แต่ได้ยินเสียงคุยเฮฮาออกมาจากด้านใน วิธวินท์เป็นคนเดินมาเปิดประตู
“อ๊ะ คุณหนู” ชายหนุ่มอุทานออกมาอย่างตกใจที่เห็นเด็กชายมาอยู่ตรงนี้
“หลบไปสิ” ลลิตพูดออกมาเบาๆ รู้สึกแปลกใจเช่นกันที่เห็นวิธวินท์ที่นี่ เมื่อเด็กชายก้าวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เสียงพูดคุยเฮฮาก็เงียบลงโดยอัตโนมัติ ทุกคนต่างหันมาให้ความสนใจกับผู้มาใหม่ แต่เด็กชายไม่สนใจมองใคร เดินตรงไปที่มารดาของวิธวินท์ที่นอนอยู่บนเตียง
“คุณหนูริชมาได้ยังไงคะเนี่ย” วิสาขยับตัวลุกขึ้นมาทักทาย เด็กชายก็ส่งช่อดอกไม้ให้แล้วยกมือขึ้นไหว้
“ก็มาเยี่ยมคุณน้าแหละครับ มีผลไม้มาด้วย” สมบูรณ์วางกระเช้าผลไม้ไว้ที่โต๊ะวางมุมห้อง
“เอามาให้ลำบากทำไมกันคะ แค่คุณหนูมา น้าก็ดีใจแล้ว” วิสาพูดไปมือก็ลูบที่มือของเด็กชายที่เกาะอยู่ข้างเตียงไป
“วันนี้คุณน้ามีแขก คงไม่ค่อยสะดวก ริชขอตัวกลับก่อนดีกว่าครับ”
“เพื่อนๆ ตาวินทั้งนั้นแหละค่ะ เห็นว่าอาจารย์ยกเลิกชั้นเรียนเลยเฮกันมาอยู่นี่ คนกันเองทั้งนั้นเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไว้ริชมาใหม่คราวหน้าดีกว่า” ลลิตเอ่ยย้ำอีกครั้งก่อนกล่าวลาแล้วเดินนำสมบูรณ์ออกไป
เพื่อนๆ ของชายหนุ่มต่างมองหน้ากันอย่างมีเลศนัยแต่ทุกคนต่างก็เงียบไว้ หยิบยกเอาเรื่องเฮฮามาเล่าให้มารดาของเพื่อนฟังจนค่ำทุกคนลากลับกันหมด วิธวินท์จึงเดินออกไปส่งแล้วก็ถูกเพื่อนๆ ดึงตัวออกไป
“เฮ้ย คนนี้ใช่มั้ยวะ”
“เด็กคนนี้รึเปล่าที่มึงบอก”
“น่ารักนี่หว่า”
“คุณหนูนี่ตัวโคตรเล็กเลย”
ทุกคนต่างรัวคำถามใส่ชายหนุ่มกันเซ็งแซ่เหมือนนกแตกรัง
“ไอ้วิน มึงจะเงียบทำไมวะ คนนี้แน่ๆ เลย น่ารักว่ะ”
สุดท้ายชายหนุ่มก็ถูกเพื่อนรุมล้อมต้อนจนหลังติดกำแพง จนหมดทางที่จะหนีจึงพยักหน้าแล้วตอบเบาๆ
“ใช่...”
“กูว่าแล้ว” แล้วทุกคนก็เลิกสนใจชายหนุ่ม หันมาจับกลุ่มคุยกันเอง หัวข้อก็ไม่พ้นเรื่องของเด็กชายที่พึ่งพบเมื่อเย็นนั่นเอง
เมื่อชายหนุ่มถูกปล่อยตัวออกมาจึงกลับมาที่ห้องพักของมารดาอีกครั้งแต่ยังไม่ได้เข้าไป เขายืนพิงกำแพงที่หน้าห้องแล้วคิดถึงคำพูดของคุณสมบูรณ์ที่คุยกับเขาตอนช่วงที่คุณหนูคุยอยู่กับแม่
“วันนี้เป็นวันเกิดของคุณหนูครับ ปกติก็จะไม่ได้จัดงานเลี้ยงอะไรอยู่แล้ว ที่พิเศษหน่อยก็จะมีแค่เป่าเทียนบนเค้กก้อนเล็กๆ กับคุณปู่เพียงสองคน แต่พอคุณท่านเสีย คุณหนูก็เก็บตัวเงียบทุกปี แต่วันนี้เกิดอยากมาเยี่ยมคุณวิสา อาจเพราะคุณสองคนคงจะทำให้คุณหนูคิดถึงคุณปู่”
=========> โปรดติดตามตอนต่อไป

คุณหนูโตขึ้นอีกปีแล้ว บรูโน่เริ่มห่าง คุกๆๆๆ มาอีกนิดนึง