
ตอนที่ 10 บ่วงกรรม
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่บนชั้นสองของคฤหาสน์ลังงามท่ามกลางความมืดมิด อากาศเย็นเยือกจากการทำงานของเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ร่างของชายสูงวัยที่ใคร ๆ ต่างเรียกขานแทนชื่อว่าท่าน กำลังนอนหลับข้างกายมีชายหนุ่มดาราวัยรุ่นชื่อดังที่กำลังมีผลงานเผยแพร่ ร่วมเรียงเคียงหมอนบนที่นอนขนาดใหญ่ เรือนร่างของทั้งสองคนเปลือยเปล่าแนบชิดภายใต้ผ้าห่มนวมหนานุ่ม ไออุ่นของร่างกายช่วยคลายความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศได้เป็นอย่างดี ตัวเลขเรืองแสงสีแดงจากนาฬิกาดิจิตอลที่โต๊ะข้างเตียงบ่งบอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะรุ่งเช้าแล้ว ร่างหนานอนกระสับกระส่ายพลิกกายไปมาเหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายขึ้นเต็มหน้า ไหลย้อยไปตามลำคอ เสียงหายใจดังฟืดฟาด
ท่ามกลางความมืดที่มองไม่เห็นรอบกาย เขาเดินโดดเดี่ยวเพียงลำพัง เสียงหัวเราะของใครสักคนที่เขาเองก็ไม่รู้คอยตามหลอกหลอนเป็นระยะ ๆ เขาเดินต่อไปเรื่อย ๆ พยายามหันเดินไปตามที่มาของเสียงหัวเราะเยียบเย็นนั้น แต่ดูเหมือนว่าเสียงนั้น ผลันหายไปทันทีที่เขาเดินเข้าไปจนใกล้ แล้วกลับไปโผล่อีกที่หนึ่ง ถึงแม้ใครคนนั้นจะไม่เข้ามาลงมือทำร้ายแก่ตัวเขา แต่เสียงหัวเราะสั่นประสาทก็ยังคงดำเนินอยู่แบบเดิมเรื่อย ๆ ท่ามกลางความมืดที่เพียงแค่ยกฝ่ามือของตนเองขึ้นมามองดู ก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ ไม่เห็นแม้เพียงเงาสลัวเลือนราง แต่เสียงนั้นก็คอยตามติดชวนให้ขวัญผวาดังชัดเจนอยู่ร่ำไป เขาหยุดยืนและพยายามกวาดสายตาฝ่าความมืดไปรอบ ๆ แล้วตะโกนถามกลับไป
"นั่นใคร?" แต่เสียงที่ได้ยินตอบกลับมายังคงเป็นเพียงเสียงหัวเราะซึ่งเจาะจงยั่วประสาทดังขึ้นมาจากทางด้านหลังใกล้ ๆ จนเขาต้องหันตัวกลับไปทางที่ได้ยินและพยายามไขว่คว้าแต่ก็สัมผัสได้เพียงอากาศรอบ ๆ ตัวเท่านั้น
"ใคร?" เขาเปล่งเสียงถามออกไปอย่างแผ่วเบา ความกลัวเขาเกาะกินหัวใจของเขาเสียแล้ว เขาหวาดผวากับสิ่งที่มองไม่เห็น ก่อนจะหันไปทางด้านซ้ายมือ ตามความรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เขามาหาเขาอย่างช้า ๆ เขารับรู้ได้จากการเคลื่อนที่ของอากาศวูบวาบผ่านตัวของเขาไป แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ด้วยการสัมผัส เขาหมุนตัวกลับไปทางด้านหลังอีกครั้ง เมื่อเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ได้ยินดังขึ้น พร้อมกับลมที่พัดผ่านต้นคอของเขาแผ่ว ๆ ราวกับว่ามีใครกำลังหายใจรดใส่ต้นคอด้านหลังอยู่ สองมือที่เพียรพยายามคว้าจับ สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า และเสียงหัวเราที่ดังก้องขึ้นมาอีกครั้งจากที่ไกลออกไป
"มึงเป็นใคร? มึงต้องการอะไร? บอกมาสิ มึงจะเอาอะไรจากกูวะ" เขาตะโกนกลับไปอีกครั้ง แต่คำตอบที่ได้ก็ยังเป็นเพียงเสียงหัวเราะอยู่เช่นเดิม
"เฮ้ย!" เขาตะโกนเสียงดังก้อง พร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่งหายใจเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลโซมร่างเปลือยเปล่าจนชุ่ม
"ท่าน เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอ" เด็กหนุ่มคราวลูกที่นอนอยู่ข้าง ๆ ผุดลุกขึ้นมานั่งพลางเขย่าตัวเพื่อปลุกให้ตื่นก่อนถามไถ่
"ไม่มีอะไรหรอก นอนต่อเถอะ" เขาบอกก่อนจะลุกเดินหายลับเข้าประตูห้องน้ำไป
"หวัดดีครับหมวด ผัดกะเพรารวมมิตรน่ากินจัง" หน่องที่เดินไปหยุดยืนตรงหน้าเอ่ยทักทายพร้อมยิ้มทะเล้นใส่ ทำเอาอีกคนที่นั่งอยู่และกำลังยกช้อนตักข้าวจะส่งเข้าปากต้องอ้าปากค้างเมื่อมองขึ้นไปเห็นหน้าคนตัวเล็กก่อนจะลดมือลงวางช้อนไว้ในจานข้าวของตัวเอง
"นี่คุณจะมาป่วนอะไรแต่เช้าอีกล่ะนี่วันนี้ ไม่มีการมีงานทำเหรอ" ผู้หมวดหนุ่มบ่นกลับพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดแทบจะชนกัน
"ก็มาทำงานไงครับหมวด" หน่องบอกก่อนจะลงนั่งที่เก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม
"แล้วหมวดไม่คิดจะชวนผมกินด้วยเหรอครับ" หน่องถามพร้อมยักคิ้วข้างเดียวส่งไปให้
"งั้นกินก่อนเรื่องงานเอาไว้ทีหลัง ผมกลัวอาหารจะหมดอร่อยและพาลจะไม่ย่อยเอา" หมวดพชรบอกพลางหันไปกวักมือเรียกจ้อยลูกแม่ค้าอาหารตามสั่งที่กำลังปรุงอาหารอยู่หน้าเตาให้เดิมมาหา
"คุณนักข่าวจะกินอะไรก็สั่งเอาเลยนะ เจ้จงเค้าทำกับข้าวอร่อยทุกอย่าง ผมเอาหัวเป็นประกันเลย" ร้อยตำรวจโทพชรบอกก่อนจะก้มลงตักอาหารของตนเองใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
"พี่เอาเหมือนของหมวดจานนึงนะน้อง แต่ขอมะนาวสักซีกด้วยนะ แล้วก็...โอเลี้ยงแก้วนึง" หน่องสั่งอาหารแบบเดียวกับคนตรงหน้าพร้อมเครื่องดื่ม
"มะนาวเอามาทำไม" หมวดหนุ่มนึกแปลกใจกับของที่หน่องสั่งมาจนอดถามขึ้นมาตรง ๆ ไม่ได้
"เดี๋ยวหมวดก็รู้ รอไม่นานหรอก" หน่องบอกด้วยท่าทียียวน รอเพียงไม่นานนักอาหารและเครื่องดื่มที่สั่งก็มาส่งถึงโต๊ะ
"ทำแบบนี้ไงหมวด อร่อยขึ้นอีกนะ ลองชิมดูสิ" หน่องบอกพร้อมกับบีบมะนาวซีกเล็ก ๆ โรยน้ำมะนาวเล็กน้อยลงไปบนผัดกระเพราที่ราดหน้าข้าวบนจาน ก่อนจะตักเข้าปากแล้วยิ้มพร้อมกับเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
"อร่อยจริงเหรอ" หมวดพชร ถามแบบสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง จนหน่องเองต้องตักข้าวในจานของตนไปวางไว้ในจานที่เกือบจะว่างเปล่าของคนตรงหน้า พลางพยักพเยิดให้ลองกินดู
"ก็อร่อย แปลกดีนี่" หมวดหนุ่มบอกหลังจากตักเข้าปากชิมตามคำเชิญชวน
"ก็มันหอมกลิ่นมะนาวดีออกใช่ไหมล่ะ" หน่องบอกพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้
"อืม..." หมวดหนุ่มขานรับพลางส่งยิ้มกลับและมองสบตาคนตรงหน้านิ่ง ๆ
"หมวด! หมวด! หมวด! นี่หมวดไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยเหรอ" หน่องบอกด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนจากยิ้มแย้มเป็นแก้มพอง ๆ ด้วยลมในปาก ก่อนจะเอาสันมือเคาะโต๊ะเบา ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนตรงหน้า
"ฮา ๆ ๆ " หมวดหนุ่มเผลอหลุดเสียงหัวเราะ เมื่อได้เห็นหน้าของคนตรงข้าม
"แล้วคุณว่าอะไรละครับ ผมไม่ทันได้ฟังจริง ๆ"
"หมวดนี่นะ ชอบกวนให้อารมณ์เสียเรื่อยเลย" หน่องบ่นออกมาเบา ๆ อีกครั้งก่อนจะบอกอีกครั้ง
"ผมจะชวนหมวดให้ไปกับผมหน่อยเย็นนี้ ผมไม่กล้าไปคนเดียวเสียด้วยสิ" หน่องบอกชวนเชิญ
"ไปไหนเหรอคุณ ถึงไม่กล้าไปคนเดียว" หมวดพชรเอ่ยถาม
"บาร์เดอะบัตเตอร์ฟลายบอยนะสิหมวด" หน่องบอกพลางระบายลมหายใจออกมาเสียยาวเหยียด
"เดอะบัตเตอร์ฟลายบอย" ร้อยตำรวจโทพชรเอ่ยทวนชื่อนั้นซ้ำอีกครั้ง
หนุ่มใหญ่หน้าตาดีในชุดสูทสีเทาตัดเย็บประณีตเดิมนำแขกต่างชาติชมผลิตภัณฑ์ในโชว์รูมกระจกใสติดเครื่องปรับอากาศ เขาหยิบม้วนแผ่นหนังขนาดใหญ่ที่มีลายสวยงามตามธรรมชาติของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ออกมาสะบัดคลี่ให้กางออก หนังของมันผ่านการฟอกย้อมจนนุ่มน่าสัมผัส ปราศจากเกล็ดแข็งปราการกั้นภัยตามธรรมชาติของมัน คุณภาพของแผ่นหนังชั้นเลิศที่หลายคนอยากจับจองเป็นเจ้าของสำหรับผู้นิยม
"หนังจระเข้จากฟาร์มของผม พวกคุณลองสัมผัสดูสิ" เขาเอ่ยบอกเป็นภาษาอังกฤษภาษาสื่อกลางในการเจรจาครั้งนี้ก่อนจะส่งชิ้นส่วนแผ่นหนังในมือไปให้
"สวยมาก แล้วทางคุณสามารถฟอกย้อมให้เป็นสีที่เราต้องการได้รึเปล่า" หนึ่งเสียงของชายหนุ่มคู่เจรจาทางการค้าเอ่ยถาม
"เรามีโรงฟอกย้อมของเราเอง เราย้อมได้ทุกสีตามที่คุณออเดอร์มาแน่นอน" เขาตอบพลางส่งยิ้มการค้าไปให้
"แล้วคุณรับประกันว่าจะส่งของให้เราได้ทันตามกำหนด" สาวผมทองสวมแว่นเอ่ยถามพลางขยับแว่นสายตาออกจ้องมองแผ่นหนังจระเข้ในมือพร้อมลูบคลำ
"ไม่มีปัญหาครับ หนังจระเข้สีชมพูอมม่วงขนาดใหญ่พิเศษ ล็อตแรกวันที่ 15 ในอีกสองเดือนข้างหน้าจำนวนสามร้อยชิ้น และอีกสี่ร้อยชิ้น วันที่ 15 ในเดือนถัดไปไม่พลาดครับ แล้วนี่คือตัวอย่างที่ทางคุณขอมาเมื่ออาทิตย์ก่อน" เขาบอกก่อนจะหันไปรับม้วนหนังสีม่วงอมชมพู จากมือของพนักงานด้านหลัง ออกมากางแผ่ออก
มันเป็นรูปทรงที่ได้จากการชำแหละออกจากสัตว์เลื้อยคลานทั้งตัวฟอกย้อมเป็นสีชมพูอมม่วงสวยงามมันเงา แต่สัมผัสได้ถึงความนุ่นลื่นในชิ้นหนังได้เป็นอย่างดี ถึงแม้มูลค่าราคาของมันจะสูงมากแล้วก็ตามที แต่หากถูกนำไปแปรรูปเป็นกระเป๋าใบสวยติดโลโก้ยี่ห้อหรู ๆ ราคาของมันจะถีบตัวสูงขึ้นอีกตามแบรนด์นั้น
"ไม่ทราบว่าสีนี้เป็นที่ถูกใจของพวกคุณไหม" เขาถามความคิดเห็นจากลูกค้าต่างชาติอีกครั้ง
"มันสวยมาก สีชมพูตรงตามที่ทางเราต้องการเลย" แหม่มผมทองใส่แว่นบอกแก่เขา
"ขอบคุณที่พวกคุณชื่นชอบมัน นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ผมขอเชิญพวกคุณที่ห้องอาหาร เชิญตามผมมาทางนี้" เขาบอก ก่อนจะหันไปชักชวนให้แขกต่างชาติเดินตามไปร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยกัน
ความงามของแสงสุดท้ายของวันสิ้นสุดลง ความมืดเริ่มครอบคลุม แสงดาวเริ่มส่องระยิบวิววับในม่านดำของรัตติกาล มองเห็นได้ผ่านหน้าต่างกระจกใสขนาดใหญ่ โต๊ะอาหารค่ำถูกปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตาด้านบนมีเชิงเทียนที่มีเทียนสีม่วงอ่อนจุดเอาไว้ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ดอกไม้หลากสีในโทนม่วงชมพูอ่อนแก่ไล่สีสอดสลับ ประดับเอาไว้รายรอบเชิงเทียนอย่างสวยงาม บรรยากาศโดยรอบชวนให้น่าอภิรมย์เสียยิ่งนัก แสงสีส้มแดงที่อาบย้อมผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มจนบางส่วนที่แสงส่องกระทบกลายเป็นสีม่วงแดง ผู้ร่วมรับประทานอาหารต่างพากันนั่งลงบนเก้าอี้ที่ติดป้ายชื่อของตนเอาไว้ พนักงานเริ่มเสิร์ฟไวน์แดงในแก้วทรงสูงอย่างทั่วถึง
"ผมขอดื่มให้กับความสำเร็จของข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกันของเรา" ชายในชุดสูทสีเทาทำหน้าที่เจ้าภาพลุกขึ้นยืนก่อนเอ่ยเชิญทุกคนร่วมดื่มด้วยการชูแก้วไวน์ขึ้นสูงไปเบื้องหน้าก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วยกแก้วไวน์แดงในมือของตนขึ้นดื่ม
"ขอให้ทุกคนอร่อยกับอาหารเมนูพิเศษในค่ำคืนนี้" เขาเอ่ยออกมาอีกครั้งหลังจากนั่งลงกับที่ พนักงานเสิร์ฟเริ่มลำเลียงทยอยออเดิร์ฟเริ่มจากคอกเทลกุ้งในผลอะโวคาโดลูกโต แล้วตามด้วยสลัดผักแนมกับหมูทอดชิ้นใหญ่ ซุปปูน้ำข้นหอมมันเคียงกับดินเนอร์โรลเนื้อนิ่ม ก่อนจะตามด้วยเมนคอร์สสเต็กเนื้อจระเข้ที่ย่างมาจนส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายให้สอ
ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ไม่มีใครรู้สึกถึงความอบอ้าวของอากาศภายนอก เมฆดำเริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกลจนในที่สุดก็บดบังแสงระยิบระยับบนฟ้าของดาวดวงน้อยเอาไว้ทั้งหมด อากาศภายนอกเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็ว สายลมพัดกรูเกรียวกรรโชกแรงกิ่งไม้ไหวเอนโอนไปตามลม ก่อนที่หยาดพิรุนจากฟากฟ้าจะเริ่มหล่นตกกระทบกระจกดังเปาะแปะเบา ๆ ลำแสงสว่างวาบเพียงครู่ก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังสนั่นลั่นเปรี้ยงของสายฟ้าผ่าลงตรงกิ่งไม้ใหญ่หน้ากระจกจนเนื้อไม้ปริขาดร่วงหล่นลงมากระแทกกระจกใสจนแตกเสียงกระจกแตกดังเพล้งก่อนเศษเล็กเศษน้อยชิ้นส่วนของกระจกใสจะกระจายเกลื่อนกล่นเต็มพื้น สายลมพัดผ่านเข้ามาให้ห้องอาหาร เปลวเทียนเล่มน้อยเต้นไหวก่อนจะดับวูบลม ลมแรงพัดเอาข้าวของเครื่องใช้ในห้องปลิวกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
"เรากลับเข้าไปรอให้ฝนหยุดที่ออฟฟิศด้านในของฟาร์มกันเถอะ" หนุ่มใหญ่ในชุดสูทสีเทาเอ่ยชวนก่อนจะก้าวนำคู่ค้าออกไปจากห้องอาหาร เขาพาชาวต่างชาดลัดเลาะไปตามทางเดินที่มุงหลังคาผ่านจุดที่ให้คนนั่งชมการแสดงจากคนและสัตว์เลื้อยคลานสี่ขาขนาดใหญ่ เขาหยุดยืนรอแขกเพียงครู่ก่อนจะนำออกวิ่งฝ่าสายฝนที่ซัดกระหน่ำถึงแม้จะมีหลังคาคุ้มอยู่ แต่ที่พื้นไม้ของทางเดินยกสูงจากพื้นที่ทอดยาวกลับเจิ่งนองไปด้วยน้ำ
ผมเผ้าและเสื้อผ้าของทุกคนเปียกปอนจากน้ำฝนที่กระเซ็นมาโดน
"พระเจ้า" แหม่มผมทองหลุดร้องตกใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจเสียยาว ด้วยเพราะชายชุดสูสีเทาหันกลับเอามือมารั้งแขนของเธอเอาไว้ได้ทันไม่เสียหลักลื่นล้มลงไปได้เสียก่อน
"ไม่เป็นไรนะคุณ" เขาเอ่ยถามพลางหันไปมองคนอื่นรอบ ๆ ทีมาหยุดยืนออรอดูอยู่
"ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณมาก เรารีบไปต่อกันเถอะ" หล่อนตอบก่อนจะเอ่ยชักชวนให้ไปต่อ
เขาออกวิ่งนำอีกครั้ง ระดับน้ำในบ่อพักจระเข้เริ่มสูงขึ้น สายฝนที่กระหน่ำหนักลงมาอีกโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ด้วยความเร่งรีบเขาเองไม่ทันสังเกตน้ำที่เจิ่งนองทำให้เขาเสียหลักกลิ้งไปจนสุดทางเดินแต่ก่อนที่เขาจะพลัดตกลงไป ฝ่ามือหนาก็คว้าจับเหนี่ยวยึดแผ่นไม้ใกล้มือเอาไว้ได้เสียก่อน ร่างของเขาจึงห้อยโตงเตงมีเพียงสองมือที่พยายามเหนี่ยวรั้งร่างของตัวเองเอาไว้อย่าเหนียวแน่น สองมือออกแรงจับยึดและพยายามดึงร่างของตัวเองขึ้นไป ส่วนอกเกือบจะโพล่พ้นพื้นไม้ขึ้นมาแล้ว ชาวต่างชาติทั้งกลุ่มพยายามวิ่งเข้ามาหวังจะช่วยเอาตัวเขาขึ้นมา
ทันได้นั้นแสงสว่างวาบเจิดจ้าก็เกิดขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจะพื้นชานกว้างที่พวกเข้ายืนอยู่สั่นจนรู้สึกได้ สายฟ้าที่ฟาดเข้ากับกิ่งไม้ที่ระชายคาอยู่ส่งผลให้เกิดเปลวเพลิงขนาดย่อมสว่างไสวจนเห็นอะไรได้ชัดเจน ในขณะที่เขาพยายามหาทางช่วยเหลือตัวเองอยู่นั้น ที่เบื้องล่างในน้ำ จระเข้ขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 6 เมตร กำลังว่ายน้ำใกล้เข้ามาช้า ๆ ด้วยจุดที่มีคนพยายามกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่นั้น เป็นที่จัดแสดงวิธีการให้อาหารจระเข้ สัญชาติญาณนของมัน จึงรู้เพียงว่ามีคนกำลังจะให้อาหารมันอยู่ ร่างของคนที่พยายามกระเสือกกระสนสั่นไหวล่อตาล่อใจสัตว์เลื้อยคลานให้รีบเร่งว่ายเร็วขึ้นอีกก่อนจะกระโจนขึ้นไปในอากาศคาบงับเอาขาส่วนขาของร่างนั้นให้ร่วงลงมาด้วยแรงมหาศาลจนน้ำในบ่อแตกกระจายเป็นวงกว้างก่อนจะสะบัดงับเข้ากลางลำตัวอีกครั้ง แล้วหมุนตัวฉีกร่างเหยื่อออกเป็นชิ้น ๆ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังก้องเป็นระยะก่อนจะเงียบหายไป ที่ด้านบนเสียงกรีดร้องเสียขวัญและเสียงเอะอะอึกกะทึกดังก้องเสียงร้องขอความช่วยเหลือดูวุ่นวายสับสนท่ามกลางเสียงฝนฟ้าคะนอง ทุกคนมัวแต่ตกในกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนไม่มีใครสังเกตเห็น ส่วนหนึ่งของใบหน้าชวนสยองขาวซีดซึ่งส่งยิ้มสยองแสยะอย่างพึงใจที่โผล่พ้นน้ำมาแค่ส่วนหัวเท่านั้นราวกับว่าความตายของคนตรงหน้าเป็นเรื่องน่าอภิรมย์ ก่อนจะจางหายไปราวกับอากาศธาตุ
...
อ่านกันไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ ตอนหน้า 2 คนเค้าจะไปเที่ยวบาร์กันแล้ว ฮิ้วววววววววววววววว...
ปล. คำผิดแปะเอาไว้ก่อน คนเขียนตาจะมิดแล้วค่ะ ใครเจอก็บอกกันด้วยนะเจ้าคะ