เตชวัฒน์ประคองร่างของวรินทร์ที่เดินกระเพลก เข้าไปในงานเปิดตัวนาฬิกาจากสวิสของไฮโซสาว
“ไหวไหมไนท์” เขากระซิบถามแผ่วเบาเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งเซ” วริศรินทร์พยักหน้ารับว่าไหม เขาค่อยๆ ประคองอีกฝ่ายเดินไปที่หลังเวทีช้าๆ
เตชวัฒน์นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วรู้สึกเหมือนกับมันคือความฝัน ในตอนเช้าที่เขาตื่นมาเขาไม่ได้เห็นไนท์มีท่าทีนอนหมดอาลัยตายอยาก แต่ที่เขาเห็นคือวริศรินทร์ที่นั่งทานอาหารของโรงพยาบาลช้าๆ ไม่เหมือนคนที่คิดจะตายเมื่อวาน ถ้าไม่ใช่ความเจ็บปวดที่หัวไหล่เขาคงคิดว่าเขาเพียงแค่ฝันไป
ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บแต่วริศรินทร์ก็ยังคงมาทำงานตามตาราง การเดินแบบแฟชั่นโชว์นาฬิกาเริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงฮือฮาของเหล่าผู้ที่มาร่าวมงานและยิ่งฮือฮามากขึ้นไปอีกเมื่อนาฬิกาฝังเพชรที่โฆษณาไว้ว่ามีแค่เรือนเดียวกลับมีอีกเรือนโผล่ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้เรียกความสนใจออกไปจากเวทีเช่นเดียวกับร่างสูงโปร่งที่ทรุดลงไป ข้อเท้าขาวมีเลือดซึมออกมา ช่างเเต่งหน้าและช่างแต่งตัวต่างหน้าซีด เมื่อเห็นเลือดจำนวนมาก
“น้องไนท์ไหวไหมค่ะ เรียกรถพยาบาลไหม” ผู้ควบคุมเวทีเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าวริศรินทร์น่าซีดเผือดกับเลือดที่ไหลออกมาจนเห็นได้ชัด
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” เตชวัฒน์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนรอยยิ้มของเขาช่วยควบคุมความตื่นตระหนกได้ เตชวัฒน์จัดการห้ามเลือดอย่างคร่าวๆ แล้วอุ้มวริศรินทร์ออกจากงาน และเพราะความโชีดีที่นักข่าวมัวแต่ไปสนใจสองไฮโซที่มีเรื่องกันอยู่ในงานทำให้ไม่มีใครสนใจเขาที่อุ้มร่างโปร่งออกมาอย่างเงียบเชียบ
“เป็นยังไงบ้างไนท์” เตชวัฒน์ถามร่างทีนอนลงบนเตียงอย่างอ่อนเพลีย ความอ่อนล้าจากเหตุการเพลิงไหม้เมื่อวานทำให้ใบหน้าที่ธรรมดาดุซีดเวียวอยู่แล้วซีดหนักเข้าไปอีก รวมทั้งความเจ็บปวดจากการฝืนเดินแฟชั่นโชว์จนบาดแผลฉีกขาด หมอสั่งให้วริศรินทร์งดการเคลื่อนไหวหรือการเดินที่ต้องทิ้งน้ำหนักลงไปที่ข้อเท้าข้างที่เจ็บ
“หิวหรือยังครับ เจ็บไหม” เตชวัฒน์ยังคงถามอย่างใจเย็นแต่ก็มีเสียงลมหายใจและสายตาของไนท์เท่านั่นที่แสดงว่ายังรับรู้อยู่ เขาได้แต่ถอดถอนใจกับความเฉยเมยของอีกฝ่ายแม้จะพยายามทำตัวเคยชินแล้วก็ตาม
เตชวัฒน์ปล่อยให้วริศรินทร์นอนอยู่บนเตียงส่วนเขาต้องโทรไปจัดการเรื่องขอพักงานของไนท์ เพราะการบาดเจ็บที่ข้อเท้าซึ่งเป็นจุดที่ต้องรับน้ำหนักของทั้งร่างนั้นถ้ายิ่งฝีนก็จะยิ่งหายช้าเหมือนในครั้งนี้ที่วริศรินทร์ฝีนเข้าร่วมการเดินแฟชั่นโชว์
เมื่อเขากลับมาอีกทีเขาก็พบกับใบหน้าซีดเซียวที่หลับไปอย่างอ่อนเพลีย เตชวัฒน์ลูบแก้มที่ปกติจะเย็นชืดที่ตอนนี้เริ่มมีอุณภูมิร้อนขึ้นด้วยพิษไข้ เขาเคลื่อนตัวอย่างแผ่วเบานำผ้าชุดน้ำมาเช็ดให้ที่ใบหน้า หวังให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น ทันทีที่ผ่าชุบน้ำเย็นเฉียบวัมผัสที่ข้าแก้มแล้วซับไปทั่วใบหน้า ดวงตาสีดำปรือตาขึ้นมอง ฝ่ามือเรียวยกขึ้นจับมือเขาเอาไว้ เตชวัฒน์ชะงักเมืออีกฝ่ายไม่ได้ปัดออกแต่ไนท์กุมมือของเขา วริศรินทร์พลิกตัวนอนตะแคงแล้วใช้ใบหน้าซบกับฝ่ามือของเตชวัฒน์
เตชวัฒน์มองใบหน้าที่หลับสนิท ไออุ่นยังคงอยู่ที่ เขามองภาพของร่างสูงโปร่งที่หลับอยู่แล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับอดีตของไนท์ บางครั้งเขารู้สึกว่าวริศรินทร์พร้มจะตาย ทั้งในกองเพลิงและที่โรงพยาบาลเมื่อคืน แต่พอในตอนเช้าอีกฝ่ายกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างที่เขาเห็นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น บางครั้งวริศรินทน์ทำให้เขารู้สึกว่า ตัวเองเป็นแค่ไนท์ที่เป็นเพียงด็กหนุ่มทั่วไปที่ดูไร้มนุษยสัมพันธ์เท่านั้น
เขาเหลือบมองเวลาที่ใกล้จะถึงเวลาเย็นแล้ว เขาดึงมือออกอย่างแผ่วเบาแล้วเคลื่อนตัวช้าๆ ออกจากห้องเพื่อไม่รบกวนการพักผ่อนของอีกฝ่าย เขาเปิดตู้เย็นดูว่ามีอะไรที่เขาพอจะทำเป็นมือเย็นได้แต่ก็ส่ายหน้า เขาคงต้องออกไปซื้ออะไรเข้ามาเพิ่มเติม เตชวัฒน์ไปเดินดูซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ไม่ไกล ซื้ออาหารสำเร็จรูปและอาหารสดหลายอย่าง รวมทั้งขนมหวานเล็กน้อย ทุกอย่างเขาต้องดูส่วนผสมอย่างละเอียด เขาไม่รู้ว่าไนท์แพ้ไข่ถึงขั้นไหนและเขาไม่อยากเสี่ยงกว่าจะกลับมาถึงที่พักเขาก็พบว่าไฟในห้องยังคงปิดเงียบ เขานำข้าวของที่ซื้อมาไปวางไว้ เขาคิดว่าไนท์คงจะตื่นแล้วเพราะไฟห้องนอนเปิดอยู่ เตชวัฒน์ตั้งใจจะเข้าไปถามว่ามื้อเย็นไนท์อยากจะทานอะไรแต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งล้มลงอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน เหมือนร่างสูงโปร่งสะดุดล้ม เขาเห็นไนท์นอนอยู่บนพื้นลืมตามองเพดานอย่างเลื่อนลอย
“ไนท์ เป็นอะไร” เขาถลาเข้าไปดูความเรียบร้อย บาดแผลที่ข้อเท้าไม่มีรอยเลือด วริศรินทร์มองใบหน้าคมที่เลื่อเข้ามาดูอาการของเขา
“หิว” เสียงแหบพร่าที่ถูกเค้นออก เมื่อเข้าประคองเขาสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่กระจายออกมา เตชวัฒน์อุ้มร่างโปร่งขึ้นไปวางไว้บนเตียงอย่างแผ่วเบาด้วยความเป็นห่วง ไม่มีคำพุดใดๆออกมาจากอีกฝ่ายอีกเลย
“เดี๋ยวพี่ไปทำข้าวต้มให้กิน รอแป๊บนะครับ” เสียงของเขายังคงอ่อนโยนอยู่เช่นเดิม
เตชวัฒน์เข้าครัวทำข้าวต้มและเปิดผักกาดกระป๋องเพื่อให้อีกฝ่ายทานง่ายๆ ระว่างรอข้าวต้มสุขเขาตัดสินใจโทรหาวุฒิพลผู้เป็นอาอีกครั้ง เขาทนไม่ไหวกับความเป็นห่วงที่มีให้กับวริศรินทร์ เขายอมรับว่ากลัว กลัวว่าถ้าคลาดสายตาไปอีกฝ่ายจะจากไปในทีที่เขาเอื้อมไม่ถึง
“ถ้าแกห่วงไนท์นักก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันเลยสิ ยังไงแกก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวของน้องเขานี่ ไม่แปลกหรอกที่พี่อยากจะดูแลน้อง อาฝากไนท์ด้วยแล้วกัน”
..................
อยากให้เตใจเต้นแรงๆเนอะ หาอะไรมาบริหารหัวใจเตดีกว่า