ตอนที่ 8 "บุญบาป"
หน่องลุกขึ้นมาแต่เช้าฟ้ายังไม่ทันจะสางดี เรียกได้ว่าตื่นก่อนไก่โห่เสียด้วยซ้ำ หน่องลงไปในครัวทำกับข้าวอย่างง่ายๆ แต่ด้วยความตั้งใจ หมูทอดกระเทียมพริกไทกับผัดผักรวมใส่กุ้ง ถูกตักใส่ถุงพลาสติกมัดเอาไว้ด้วยหนังยางอย่างเรียบร้อยในถาดอลูมิเนียมใบ ใหญ่บนโต๊ะกินข้าวกลางครัวเล็กๆ กับข้าวถูกจัดเอาไว้อย่างละห้าถุง หน่องหันกลับไปคดข้าวที่ไอน้ำร้อนพลุ่งออกจากหม้อทันทีที่เปิดฝาออก ข้าวเมล็ดสวยยาวเรียวส่งกลิ่นของข้าวสุกกระจายไปทั่ว
"หน่องตื่นมาทำกับข้าวแต่เช้าเลยหรือลูก กลิ่นหอมยั่วน้ำลายดีจัง" คุณสุมาลีที่เดินลงมาจากชั้นบนเอ่ยถามก่อนจะกล่าวชม
"หน่องจะใส่บาตรให้หรั่งครับแม่" หน่องตอบพร้อมรอยยิ้มเศร้าๆ
"ดีแล้วลูก เดี๋ยวแม่ไปใส่บาตรกับหน่องด้วยนะจ๊ะ เอ๊ะยังขาดของหวานนี่หน่อง" คุณสุมาลีบอกก่อนจะทักถามด้วยสังเกตเห็นในสิ่งที่ขาดหายไป
"ไม่เป็นไรมั้งครับแม่แค่นี้ก็คงพอแล้วละครับ" หน่องตอบ
"พอดีเลยป้านีข้างบ้านเอาเค้กกล้วยหอมก้อนใหญ่มาให้เมื่อว่านตอนบ่าย ยังไม่มีใครได้กิน เราเอามาหั่นใส่ถุงเอาก็ได้" คุณสุมาลีบอกพลางหันเดินไปเปิดตู้กับข้าวก่อนจะหยิบขนมออกมาจัดการตามที่ว่า
โต๊ะพับเล็ก ๆ ที่หน่องยกไปกางปูผ้าลายดอกไม้สีสวยเอาไว้อย่างเรียบร้อยบริเวณหน้ารั้วบ้าน บนโต๊ะมีถาดที่บรรจุถุงอาหารคาวหวานวางเอาไว้เคียงคู่กับขันอลูมิเนียมลายไทยที่บรรจุข้าวสวยพร้อมทัพพีตักข้าวลายเข้าคู่กันอย่างสวยงาม พระภิกษุสามรูปเดินแถวมาช้าๆ อย่างเป็นระเบียบและสำรวม ชายจีวรสีเหลืองไหวน้อยๆ ขณะย่างก้าว มองเห็นได้ชัดมาแต่ไกล ด้วยเป็นเวลาเช้าและถนนในซอยตัดเป็นเส้นตรง บางคราท่านก็แวะรับภัตตาหารคาวหวานที่มีบางบ้านนิมนต์ให้รับบาตรตามรายทาง ก่อนพระสงฆ์ทั้งสามรูปจะเดินมาจนถึงหน้าบ้านที่หน่องและคุณสุมาลีคอยท่าอยู่
"นิมนต์รับบาตรด้วยเจ้าค่ะหลวงพ่อ" คุณสุมาลีเอ่ยเชื้อเชิญ พร้อมยกมือพนมไหว้
พระสงฆ์ทั้งสามรูปเปิดฝาบาตรออกเพื่อรับข้าวที่หน่องตักถวาย ก่อนที่คุณสุมาลีจะหยิบกับข้าวในถุงใส่ลงไปในบาตรแล้วจึงตามด้วยขนมที่จัดไว้เป็นอันดับสุดท้าย พระสงฆ์ปิดฝาบาตรก่อนจะเอ่ยให้พร แล้วจึงเดินจากไปด้วยกิริยาสำรวม
"แม่ครับ พระมาบิณฑบาตแค่สามรูปเองเหรอครับ" หน่องถามอย่างสงสัย
"ปรกติแม่ใส่บาตรเฉพาะวันพระ แม่ก็เห็นท่านเข้ามาบิณฑบาตในซอยบ้านเราแค่สามรูปนี้เท่านั้นแหละจ้ะ เอ๊ะ!" คุณสุมาลีบอกก่อนสายตาจะสังเกตเห็น จีวรสีกลักที่โผล่พ้นจากหัวมุมของซอยย่อยเบื้องหน้า
"หน่อง พระมาอีกสองรูปแน่ะ" คุณสุมาลีบอกพลางระบายยิ้มบาง หน่องจึงหันกลับไปมองตามสายตาของผู้เป็นแม่
"ครบห้าองค์...ดีจังเลยนะครับ" หน่องบอกอย่างพึงใจ
"นมัสการพระคุณเจ้า นิมนต์รับบาตรด้วยครับท่าน" หน่องเอ่ยอย่างสุภาพ ด้วยสังเกตเห็นภิกษุสูงวัยที่เดินนำอีกองค์ที่ยังดูหนุ่มกว่าหลายปี ด้วยท่าทางที่น่าเลื่อมใสศรัทธา ผิดแผกแตกต่างไปกว่าพระรูปอื่นที่พานพบมา
ทั้งสองหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหน่องและคุณสุมาลี ก่อนจะเปลื้องฝาบาตรเพื่อรับภัตตาหารที่ค่อยๆ ลำเลียงใส่ลงไปด้วยมือของหน่องและคุณสุมาลี ทั้งสองรูปปิดฝา กล่าวให้พร ในขณะที่หน่องและคุณสุมาลีย่อตัวลงก้มหน้ายกมือพนมไหว้
"เกิดแก่เจ็บตายไม่มีใครหลีกหนีได้พ้นหรอกนะโยม ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง การจากเป็นทุกก็จริง แต่ไม่มีใครหลีกหนีกรรมที่ตัวเองก่อเอาไว้ได้พ้นแม้สักคน บุญกับบาปไม่อาจสามารถหักล้างกันหรือทำแทนกันได้ กรรมย่อมตามทันผู้ประพฤติกรรมเสมอ แม้วันนี้อาจไม่เห็น แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เห็น สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่คนที่ยังอยู่พึงมีสตินะโยม" เสียงกังวานฟังชัดแม้นจะแหบพร่าไปบ้างตามวัยเอ่ยบอกพร้อมกับมองตรงมาที่หน่องด้วยความเมตตา
"อะไรที่เป็นห่วงคอยผูกมัดก็ควรปล่อยวาง อย่ายึดมั่นถือมั่นกันอีกเลย" น้ำเสียงรื่นหูจากภิกษุหนุ่มเอ่ยเพียงเบา ๆ
"อาตมาทั้งสองเพียงผ่านทางมา เลยมาขอบิณฑบาต อย่าจองเวรต่อกันไปอีกเลย ในเมื่ออยู่กันคนละภพภูมิเสียแล้ว" ภิกษุชราเอ่ยบอกอย่างเมตตา พลางหันมองผ่านไปยังริมกำแพงรั้วเบื้องหลังของหน่อง
"โชคดีมีสุข บุญรักษานะโยม" ประโยคอวยพรเพียงสั้น ๆ ประโยคเดียวที่หน่องและคุณสุมาลีได้ยินและสัมผัสความเมตตาได้จากน้ำเสียงของภิกษุชรา รอยยิ้มอิ่มเอมอย่างเป็นสุขถูกจุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมกัน "สาธุ" เมื่อหน่องและคุณสุมาลีเงยหน้าขึ้นมากลับพบเพียงแค่ความว่างเปล่าภิกษุทั้งสองที่เคยอยู่ตรงหน้ากลับหายไปทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
"หน่องเดี๋ยวอย่าลืมกรวดน้ำด้วยนะลูก" คุณสุมาลีเอ่ยบอกขณะที่ช่วยหน่องถือภาชนะเข้ามาเก็บในบ้าน
"ครับแม่" หน่องตอบรับก่อนจะวางโต๊ะพับแอบไว้ที่มุมหนึ่งในห้องครัว
"หลวงลุงครับ ดูท่าว่าเรื่องคงยังไม่จบลงง่าย ๆ เพียงเท่านี้นะครับ" ฐานวโรเอ่ยกับภิกษุผู้สูงวัยกว่า
"เราทำได้เพียงแค่นี้แหละฐานวโร อันที่จริงมันก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์แต่แรกแล้ว กรรมของใคร ไม่มีใครไปตัดกรรมนั้นแทนได้ เราคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของแต่ละคนเถิด" ภิกษุชราเอ่ยตอบ
น้ำในแก้วใสไหลรินรดยังโคนต้นไม้ใหญ่ด้วยมือของหน่อง ก่อนจะซึมหายลงไปในดินจนหมด
"หน่องทำบุญใส่บาตรไปให้แล้วนะหรั่ง ขอให้บุญที่หน่องทำไปถึงหรั่งด้วยนะ หน่องจะหาตัวคนที่ทำกับหรั่งให้ได้ เขาจะต้องชดใช้ความผิดที่ทำกับหรั่ง กฎหมายจะลงโทษพวกมันเอง" หน่องบอกพร้อมกับเอาแก้วน้ำไปเก็บ แล้วจึงรีบออกจากบ้านเพื่อไปทำงานโดยที่หน่องไม่ได้ยินเสียงขอบใจเบา ๆ ของเพื่อนผู้จากไป เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบฝากผ่านสายลมที่โชยพัดมาเอื่อยๆ
"เฮ้ย!" พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ตัวใหญ่หรา ทำให้ร้อยตำรวจโทพชร เผลอร้องเสียงดังและกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนจนสุดความสูง จากที่เขาเพิ่งจะเดินเข้ามาคลี่หนังสือพิมพ์กรอบบ่ายซึ่งเพิ่งจะฝากเด็กร้านข้าวข้างล่างซื้อเข้ามาให้อ่าน จนเพื่อนตำรวจนายอื่นหันกลับมามองที่เขาเป็นตาเดียวกัน
"ขอโทษครับ ไม่มีอะไรครับ" ผู้หมวดหนุ่มแก้ตัวพร้อมส่งยิ้มเก้อเขินไปทั่ว ก่อนจะลงนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานอีกครั้งพลางครุ่นคิด 'ก็บอกให้ช่วยกันปิดข่าวไว้ก่อน ไหงเล่นออกสื่อขนาดนี้... ฝีมือนายตัวเล็กแน่ ๆ เลย เห็นเงียบ ๆ ติ๋ม ๆ ดื้อเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ' แล้วอ่านข่าวด้านในโดยละเอียด
"สวัสดีครับ" หน่องยกหูโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขาขึ้นรับสาย หลังจากที่ปล่อยให้มันส่งเสียงเรียกอยู่นาน
"สวัสดีครับ ขอสายคุณนิวัฒน์ แก่นกำภูครับ"
"กำลังพูดครับ ไม่ทราบว่าใครกำลังพูดสายอยู่ครับ" หน่องตอบรับเสียงคนปลายสาย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย
"ผมร้อยตำรวจโทพชร พงษ์ภิญโญครับ จะโทรมาถามเรื่องข่าววันนี้..." ผู้หมวดหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ
"อ๋อ ข่าวขอหรั่ง ผมเขียนเองแหละครับหมวด" หน่องพูดสวนกลับไป
"ผมว่าแล้วว่าต้องเป็นฝีมือคุณ ก็ไหนผมบอกว่าให้ช่วยปิดข่าวไว้ก่อน ทำไมคุณถึงทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นมาขนาดนี้" ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยเสียงเข้มกลับมา
"ผมก็ทำตามหน้าที่ของผม เหมือนกับที่หมวดก็ต้องทำตามหน้าที่ของหมวด ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ คุณจะมาห้ามไม่ให้ผมนำเสนอข่าวไม่ได้เสียด้วย" หน่องตอบยียวนใส่
"ผมไม่ได้ห้ามคุณเขียนข่าว แต่ผมขอความร่วมมือปิดเรื่องสาเหตุการตายเอาไว้ก่อน แต่คุณเองเขียนข่าวจนคนเค้ารู้ไปทั่วแล้วว่าดาราถูกฆ่าถ่วงน้ำ" หมวดหนุ่มยังคงต่อว่าเสียงแข็ง
"ก็มันจริงนี่ แต่ผมก็ยังไม่ได้เขียนในส่วนที่อยู่ในรายงานของคุณเลยนะหมวด หมวดว่างให้ผมสัมภาษณ์ไหมล่ะ ผมจะได้เขียนข่าวฉบับพรุ่งนี้เสียเลย" หน่องเถียงกลับพร้อมกับยิ้มสะใจที่ได้กวนคนขี้โมโหที่อยู่ปลายสาย
"ผมไม่บอกอะไรกับคุณแล้ว... คุณนี่มัน... ดื้อจริง ๆ ดื้อเสียจน... ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมจะเอาไม้เรียวไปฟาดให้ก้นลายเลยเชียว" ผู้หมวดหนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกก่อนจะวางสายไป
เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องสายสี่ชิ้นแว่วกังวานขับกล่อมแขกผู้มีเกียรติ ที่ได้รับเชิญมาร่วมงานมงคลสมรสสุดหรูบนดาดฟ้าเรือลำใหญ่ที่ตกแต่งด้วยดวงไฟขนาดเล็กกระพริบแข่งกับแสงของดวงดาวบนฟ้ากว้าง
ลิลลี่และกุหลาบสีขาวแซมด้วยริบบิ้นผ้าสีเงินยวงประดับเอาไว้ทั่วส่งกลิ่นหอมกรุ่น สายลมตามธรรมชาติจากลำน้ำเจ้าพระยาพัดนำความเย็นสบายมาให้โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องปรับอากาศ เจ้าบ่าวในทักซิโด้สีขาวและเจ้าสาวยืนคล้องแขนคอยทักทายแขกเหรื่อด้วยรอยยิ้ม ชุดยาวเกาะอกสีงาช้างช่วยขับผิวสีน้ำผึ้งของเจ้าสาวให้นวลเนียน แหวนเพชรเจ็ดกะรัตที่นิ้วนางข้างซ้ายส่องประกายพราวล้อแสงไฟ เรือลำหรูแล่นออกจากท่าเมื่อแขกสองร้อยคนที่เชิญไว้ทยอยขึ้นเรือจนครบตามรายชื่อ ขวดแก้วคริสตัลเนื้อดีเจียระไนเหลี่ยมสะท้อนแสงไฟระยิบบรรจุน้ำหอมกลิ่นหวานนุ่มในถุงผ้าไหมสีกลีบบัวซึ่งปักชื่อคู่บ่าวสาวเอาไว้ด้วยไหมสีทองรับกับเกลียวไหมที่ปากถุง คือของชำร่วยที่ผู้มาร่วมงานได้รับหลังจากลงนามอวยพรบ่าวสาวในสมุดประสาทพร
พิธีกรกล่าวเชิญให้แขกนั่งประจำที่ซึ่งมีป้ายชื่อกำกับเอาไว้เด่นชัด ก่อนจะกล่าวเชิญบ่าวสาวขึ้นไปบนเวที ขั้นตอนของพิธีการดำเนินไปอย่างเรียบร้อยก่อนที่บ่าวสาวจะกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงาน บริกรนำอาหารเข้ามาเสิร์ฟตามลำดับจนจบด้วยเมนคอร์ส บ่าวสาวจึงขึ้นมาทำการตัดเค้กฉลองสมรสเจ็ดชั้นที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม วงดนตรีเริ่มเล่นเพลงที่เร็วขึ้นจังหวะสนุกสนาน บางคนออกมาเต้นรำบนฟลอร์ด้านหน้า ไวน์แดงชั้นดีราคาแพงถูกบริกรนำเสิร์ฟอยู่ตลอดราวกับว่าเป็นน้ำเปล่าเพื่อ ตอกย้ำสถานภาพทางการเงินของบ่าวสาว
"ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ดื่มเข้าไปเยอะเกิน" เจ้าบ่าวกระซิบบอกที่ข้างหูของเจ้าสาว
"เดี๋ยวชั้นรออยู่ตรงนี้แล้วกัน ไหวไหมล่ะคะคุณ เมารึเปล่า" สาวเจ้าตอบเพียงให้ได้ยินกันสองคน
"เมา แต่ผมไหวน่า ไม่ต้องห่วง คุณรอตรงนี้เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวผมมา" เจ้าบ่าวบอกพร้อมดวงตาหวานเยิ้มก่อนจะเดินหนีไปทำธุระส่วนตัว
ร่างของเจ้าบ่าวในชุดสูทสากลสีขาวเดินมุ่งไปทางท้ายเรือตามความยาวของลำเรือใหญ่ เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นเพียงเบา ก่อนจะดังขึ้นเมื่อเขาก้าวลงไปตามขั้นบันใดที่ทำจากเหล็ก เพื่อเดินไปจักการกับธุระส่วนตัวของเขา ฝ่ามือหนาผลักบานสวิงไม้ของประตูห้องน้ำออกก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม พื้นกระเบื้องดินเผาเคลือบด้านสีน้ำตาลแดง อัจกลับแบบโบราณลวดลายอ่อนช้อยแต่แทนที่จะจุดด้วยเปลวไฟแบบสมัยเก่ากลับใช้ หลอดไฟสีส้มนวลใส่เอาไว้แทนที่ แสงสลัวเย็นตาส่องกระทบกระจกเงาบานใหญ่ในกรอบไม้สลักเสลาลายเครือวัลย์ปิดทองประดับกระจกสีแวววาม เงาดำพาดผ่านไปทั่วขณะที่เขาเคลื่อนไหว
ชายหนุ่มเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าโถปัสสาวะกระเบื้องเคลือบสีนวลริมในสุดของห้องสุขาแล้วรูดซิบจัดการปลดเปลื้องความอัด แน่นเจ็บหน่วงในกระเพาะปัสสาวะของตน อันเป็นผลมาจากเครื่องดื่มที่กินเข้าไปมาก จนเมื่อรู้สึกโล่งสบายจึงเก็บเข้าที่แล้วหันกายเดินไปที่อ่างล้างหน้าซึ่งทำจากไม้มะค่าโมงลวดลายสวยงามตามธรรมชาติหน้ากระจกเงาบานใหญ่ เขาเปิดก๊อกเอาอุ้งมือรองน้ำไว้แล้วจึงก้มลงไปล้างหน้าเพียงหวังจะใช้น้ำเย็นขับไล่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในร่างให้เบาบางลง เขาเอื้อมมือไปหยิบกระดาษเช็ดหน้าด้านข้างขึ้นมาซับน้ำบนใบหน้า เหลือบแลไปเห็นสิ่งผิดแปลกออกไปผ่านทางหางตา ด้วยความสงสัยใคร่รู้เขาหมุนตัวหันกลับไปมอง พลันพบกับความว่างเปล่า
'เมาจนตาลายเลยกู' เขาเดินออกไปอย่างช้าๆ มือหนาจับยึดราวบันใดเหล็กเอาไว้มั่นเพื่อช่วยพยุงส่งตัวเองให้เดินขึ้นไปยังดาดฟ้าเรืออีกครั้ง เสียงรองเท้าหนังดังกุกกัก เมื่อกระทบกับขั้นบันใดที่เดินผ่าน ลมเย็นกรรโชกแรงพัดร่างของเขาจนเซนิดๆ ก่อนที่สายเปลือยสื่อนำไฟฟ้าที่ขาดร่วงหล่นลงมาเฉียดร่างตกไปอยู่บนพื้นตรงที่ร่างของเขาเซออกมาจากจุดเดิม เขาเผลอระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
"ปัง... ฟิ้ว... พึบ...พึบ..." เสียงพลุดังขึ้นฟ้าก่อนจะไปแตกกระจายบนม่านดำของรัตติกาล ก่อให้เกิดประกายแสงสว่างไสวไปทั่วดาดฟ้าของเรือสำราญลำใหญ่ที่แล่นเอื่อยไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ทุกคนต่างหันไปให้ความสนใจต่อสิ่งสวยงามบนฟากฟ้า จนไม่มีใครพอที่จะให้ความสนใจกับเจ้าบ่าวที่กำลังเดินโซเซ ขึ้นบันใดที่ทางท้ายเรือ ท่ามกลางความมืด ไฟที่ส่องให้แสงสว่างบริเวณท้ายเรือกับดับลง สายของดวงไฟกระพริบที่ประดับตกแต่งเอาไว้ กลับขาดร่วงลงมาใส่เจ้าบ่าวที่ยืนโงนเงนสั่นไหว เพราะสายเปลือยของสื่อนำไฟฟ้าชั้นดีตกมาค้างคาอยู่ที่ลำคอก่อนสายเส้นอื่นๆ ที่เจ้าตัวกระเสือกกระสนหมุนร่างพานม้วนเอาไว้ด้วยลำคอขอตนจนแน่นขึ้นแน่นขึ้น เขากระเสือกกระสนพยายามดิ้นรนให้ร่างหลุดรอดจากพันธนาการ แต่ยิ่งดิ้นกลับยิ่งถูกรัดแน่นขึ้น นัยน์ตาเบิกโพลงลิ้นจุกออกมานอกริมฝีปากที่ค่อยๆ เขียวคล้ำ ร่างสั่นเทิ้มเริ่มกระตุกน้อยลงพร้อมๆ กับลมหายใจ ที่ค่อยๆ แผ่วลง ก่อนที่ร่างของเขาจะหมุนเป็นครั้งสุดท้ายปะทะเข้ากับราวกั้นตรงกราบเรือ แล้วร่วงหล่นลงจากเรือสำราญหรู สู่ผืนน้ำดำมืด ด้วยแรงดูดมหาศาลจากใต้ท้องเรือที่กำลังแล่นดูดกลืนร่างของเขาลงไป สายน้ำพัดร่างของเขาไปยังส่วนท้ายเรือ ซึ่งมีใบจักรที่กำลังหมุนตัดสายน้ำเต็มกำลัง ใบจักรเหล็กขนาดใหญ่หมุนฟาดเข้าใส่ร่างเจ้าบ่าวหมาดๆ จนชุดสากลสีขาวที่สวมใส่ถูกย้อมอาบไปด้วยสีแดงฉาน ส่วนของลำคอหลุดออกจากร่างพร้อมกับลมหายใจ ร่างไร้หัวที่ถูกสายไฟพันม้วนลากลอยผลุบโผล่อยู่ในน้ำตามหลังเรือลำหรูไปติดๆ ทิ้งไว้เพียงใบหน้าสยองขาวซีดที่กำลังแสยะยิ้มน่ากลัวอย่างพึงใจราวกับเด็กที่ได้ของเล่น โดยมีส่วนศีรษะของเจ้าบ่าวหนุ่มรูปหล่อซึ่งอยู่ในอุ้งมือของอมนุษย์ที่ยืนอยู่บนผืนน้ำท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล