The rainbow project เรื่องสั้น 7 เรื่อง 7 คนเขียน (อัพให้ใหม่ง่ายกว่าทำลิ้งค์)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The rainbow project เรื่องสั้น 7 เรื่อง 7 คนเขียน (อัพให้ใหม่ง่ายกว่าทำลิ้งค์)  (อ่าน 271414 ครั้ง)

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Rainbow Project [Vermilion] "Butterfly" by MonarcH Part 3 PG. 2 [20/05/2011]
«ตอบ #480 เมื่อ20-05-2011 23:47:20 »

น่าติดตามมากๆค่ะ จะรอดมั้ยนี่ตากริช ยุทธนี่มีลับลมคมในอะไรรึเปล่าเนี่ย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2011 23:56:51 โดย โจ๊กกุ้ง »

Mountain

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักมาก อ้ากกก

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
คุณหนูเคะราชินีมากเลยค่ะ ชอบ อิอิ

Mountain

  • บุคคลทั่วไป

ภาพฝัน

  • บุคคลทั่วไป
ผมคงต้องรอภาพฟันลงตอนหน้าก่อนถึงจะลงได้นะครับ

เพราะงั้นอยากอ่านเร็ว ๆ ต้องไปเร่ง ภาพฝันนะครับ



เรานะเสร็จนานแล้ว คุณนะหายไปไหน รอคุณมาเช็คนิยายเหมือนกัน

Mountain

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ stormphoenix

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2269
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-3
Re: The Rainbow Project [Vermilion] "Butterfly" by MonarcH Part 3 PG. 2 [20/05/2011]
«ตอบ #486 เมื่อ21-05-2011 02:22:44 »

โถ อิหนูร้องไห้ซะแล้ว
(แต่ดันร้องเพราะอยากแต่ทำไรไม่ได้555)


เห็นด้วยกับรีนี้ :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ iiดาวพระสุขლii

  • คิดการใหญ่ ใจต้องเหี้ย(ม),,
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +746/-3
แวะมาเจิมคุณน้อง....  อิอิ

Nassiiz

  • บุคคลทั่วไป
The rainbow project [Green] "Doom" โดย Nassiiz /Chapter.2 -Police Station-
«ตอบ #488 เมื่อ21-05-2011 03:08:42 »













-------------------------------------------------------------------------------------


Ps. เห็นคอมเม้นต์มาว่าอ่านลำบาก ผู้เขียนเลยขยายไฟล์ภาพขึ้นมาอีกหน่อย
หวังว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกได้นะคะ ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นค่ะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2011 03:26:16 โดย Nassiiz »

ภาพฝัน

  • บุคคลทั่วไป
   เตชวัฒน์กำลังยืนหลบมุมดูวริศรินทร์ที่กำลังก้าวขึ้นไปเดินแฟชั่นโชว์อยู่หลังเวที คราวนี้เป็นเสื้อสูทคอเลคชั่นใหม่ของแบรน AmaD แบรนใหม่ที่กำลังเข้ามาตีตลาดในเมืองไทย จากการสำรวจตารางงานของไนท์ส่วนใหญ่จะเป็นการเดินแฟชั่นเสียส่วนมาก หรือไม่ก็ถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสาร แต่ก็ถือว่าไน์มีงานค่อนข้างชุดเลยจริงๆ วริศรินทร์เดินกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมจะขึ้นเดินในชุดใหม่

   “ไงครับ” เสียงเรียกจากด้านหลังเขาพบกับระพีพัฒน์ที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เตชวัฒน์จำได้ว่าเมื่อวานระพีพัฒน์ได้สาดน้ำใส่หน้าของไนท์ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากไนท์ยังคงมีแค่เพียงความเงียบเท่านั้น

   วริศรินทร์ไม่ได้สนใจ ไม่ได้มองหน้าระพีพัฒน์เลยสักนิด เขารับการเช็คความเรียบร้อยจากช่างแหน่งหน้าแล้วเดินออกไปนอกเวทีทันที ร่างสูงโปร่งที่เดินอยู่บนเวทีเดินอย่างมั่นคง แต่ในจังหวะที่หมุนตัวกลับไหล่ของระพีพัฒน์ที่เดินตามมากระแทกอย่างแรงอย่างจงใจใจ จนร่างของวริศรินเสียหลักล้มลงและเพราะเวทีที่แคบ ทำให้ร่างสูงโปร่งตกลงไปที่เวทีด้านล่างแต่วริศรินทร์ตั้งหลังทันทำให้ลงไปนั่งตั้งหลังอยู่ที่พื้น ทุกอย่างนิ่งสงบ สีหน้าของวริศรินทร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้สักนิดใบหน้ายังคงเรียบเฉย เขาขยับตัวลุกขึ้นอย่างมันคง ร่างโปร่งโค้งคำนับช้าๆ ก่อนก้าวตรงไปหาหม่อมหลวง รัชฎาภรณ์ หญิงสาวสูงวัยซึ่งถือเป็นประธานในงานครั้งนี้ ร่างโปร่งคำนับแล้วชันเขา ฝ่ามือสัมผัสที่หน้าอก ดอกไม้ช่อเล็กที่ประดับอยู่ที่อกเสื้อถูกดึงออกมามอบให้กับท่าน เมื่อหม่อมหลวง รัชฎาภรณ์ รับช่อดอกไม้จากมือ วริศรินทร์ลุกขึ้นยืนถวายคำนับอีกครั้ง แล้วหันหลังกลับไปที่เวที แขนเรียวจับที่ขอบเวที แล้วดึงตัวเองขึ้นสู่ด้านบน เมื่อกลับขึ้นมาบน วริศรินทร์ยืนอยู่บนเวทีอีกครั้ง เขาคำนับแล้วแขกทุกท่านแล้วหันหลังกลับเดินเข้าเวทีไป

   “น้องค่ะ พี่วิมลหัวใจจะวาย โชคดีนะค่ะเนี่ยที่แก้สถานะกาลทัน” วิมลหนึ่งในผู้รับผิดชอบแฟชั่นโชว์ครั้งนี้เข้ามาตบหลังตบไหล่ แต่ไม่ได้รับคำตอบจากร่างสูงโปร่ง เขาตรงไปหาช่างเเต่งหน้าเพื่อเปลี่ยนชุดสำหรับการเดินรอบสุดท้ายปิดงาน หลายคนซุบซิบถึงความไร้มนุษยสัมพันธ์ของเขา

   “สมแล้วเนอะที่ได้ฉายาเจ้าชายน้ำเเข็ง” เสียงซุบซิบดังขึ้นมาแผ่วเบาเพียงชั่วเวลาหนึ่งก็ต้องกลับไปทำงานในหน้าที่ของตน

   ระพีพัฒน์รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ว่าจะทำอะไรอีกฝ่ายก็ยังคงเมินเฉยไม่เห็นหัวกัน แถมการกระทำของเขากลับไปสร้างชื่อเสียงให้ฝั่งตรงข้ามซะอีก เขาได้แต่เข้นเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะปั้นหน้าเดินเข้าไปขอโทษเมื่อทุกอย่างจบลง

   “ไนท์ครับ” เขาเดินตรงเข้าไปหาร่างสองร่างที่ยืนอยู่คู่กันเพื่อเตรียมเก็บของกลับ วริศรินทร์ที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมจะกลับพร้อมเตชวัฒน์หันมามองระพีพัฒน์ด้วยหางตา

   “ผมขอโทษที่ชนเมื่อกี้ ไนท์เก่งมากเลยที่แก้สถานะการณ์ได” เขาทำขสีหน้าสำนึกผิดและกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ หลายๆ คนแอบลอบสังเกตว่าจะมีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทระหว่างนายแบบหนุ่มทั้งสองหรือไม่

   เตชวัฒน์หันกลับมามองระพีพัฒน์ทันที เขาระวังยืนระวังอยู่ข้างๆ ไนท์ที่ยังคงเมินเฉย ไม่แม้แต่มองหน้า ร่างโปร่งก้มหน้าก้มตาเก็บของอยู่เงียบๆ เขาทำเหมือนระพีพัฒน์เป็นเพียงอากาศธาตุ

   “ไม่เป็นไรหรอกครับมันเป็นเพียงอุบัตติเหตุ” จนสุดท้ายเขาต้องเป้นฝ่ายออกปากเเทนเมื่อสัมฟัสถงบรรยากาศที่เริ่มอึดอัด

   “ไม่ได้หรอกครับ มันเป้นความผิดของผมที่ไม่ระวัง ถ้าไม่ใช่เพราะไนท์หัวไวงานนี้คงพังไปแล้ว” แม้ระพีพัฒน์แสดงเป็นฝ่ายเข้ามาขอโทษ แต่ในใจเขากลับรู้สึกหงุดหงิดที่วริศรินทร์ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ยิ่งโดยเมินเฉยเขายิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายทำตัวหยิ่งยโสมองคนอื่นต่ำกว่าตัวเองตลอดเวลา

   “เรื่องมันผ่านมาแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอโทษด้วยนะครับพวกผมคงต้องขอตัวก่อน ไนท์มีถ่ายละครช่วงเย็น” เตชวัฒน์เป็นคนทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัดเขาเอื้อมมือไปรับประเป๋าเมื่อเห็นว่าวริศรินทร์เก็บของเสร็จแล้วๆ ก้าวนำออกไป

   “แหม๋นึกว่าจะได้เห็นนายแบบทะเลาะกันซะแล้ว แอบเสียดายนะเนี่ย” เหล่าสตาร์ฟเริ่มจับกลุ่มซุบซิบนินทาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

   “นั่นสิ เป็นเดี๊ยนนะ เอาแล้วดูก็รู้ว่าน้องพีนะจงใจ”

   “แหม คิดดูสิโดนชนจนตกเวที ต้องโดนชนแรงมากแน่ๆ น้องไนท์ก็นะ เย็นจริงๆ นั่นแหละ โดนทำขนาดนี้ยังเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้” เสียงวิพากวิจารณ์ยังคงดังต่อไป หลายคนว่าวริศรินทณืใจเย็น หลายคนว่าวริศรินทร์มองว่าระพีพัฒน์นะมันคนละชั้น เสียงวิพากวิจารณ์ยังคงดังต่อเนื่องอย่างสนุกปาก





   ช่วงเย็นไนท์มีคิวถ่ายละครทีมีคิวบู๊ งานนี้ไนท์แสดงเป็นเพื่อนพระรอง หลงรักนางเอกแต่เพราะพระเอกเป็นเจ้าของไร่ทำให้มีศัตรูมากมาย จนถูกทำร้านจนสลบจับไปขังไว้ในกระท่อม แล้วไนท์ต้องเข้าไปช่วย แต่เพราะไฟที่ลุกลามเร็วเกินไปทำให้พระรองหนีไม่ทันตายในกองเพลิ และพระเอกกับนางเอกก็ครองรักกัน

   เตชวัฒน์อ่านบทแล้วรู้สึกเลยว่าวงการบันเทิงไทยคิดได้แค่นี้เหรอ มีมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ แต่พอเห็นจำนวนเงินค่าตัวไนท์แล้วเขาก็พบว่ามันเป็นจำนวนเงินที่สูงมากอาจเพราะฉากนี้เป็นฉากที่อันตราย ไนท์มีเข้าฉาก2 วันคือเย็นวันนี้ กับพรุ่งนี้ที่จะเป็นฉากลุยเข้าไปในกองไฟ

   “คัท ไนท์ครับช่วยแสดงอารมณ์ออกมาหน่อยสิครับ ฉากนี้ต้องปะทะอารมณ์กับปลายฟ้า ไนท์ทำหน้าเฉยแบบนี้ ไม่ได้นะครับ เพราะไนท์ต้องเสียใจ” ผู้กำกับสั่งคัทแล้วเตือนวริศรินทร์ วริศรินทร์ยังคงนิ่งเฉย

   “แอคชั่น” เริ่มต้นดำเนินเรื่องอีกครั้ง

   “นายไม่รู้เหรอว่าผมรักเธอ” เสียงปลายดังขึ้นมาไนท์ที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับปลายฟ้าที่ตะดกนออกมา

   “ผมรักทอฝัน แล้วผมจะดูแลทอฝันให้ดี  ก้องถ้านายคิดว่าผมดุแลทอฝันได้ไม่ดีพอ” ปลายฟ้าขยับเข้ามาใกล้กับวริศรินทร์

   “ดีพอ” เสียงเย็นๆ ของวริศรินทร์ดังขึ้นมา ใบหน้าที่เฉยเมยจ้องตรงมายังปลายฟ้าที่กำลังสวมบทบาท

   “ความรัก” เสียงไนท์ดังขึ้นมาแล้วขาดหายไป

   “ไม่มีอะไรดีพอ” เสียงของไนท์ดังมาแผ่วเบาแล้วขาดหายไป

   “คัท” เสียงผู้กับกำสั่งคัทอีกครั้ง

   “พอใช้ได้นะไนท์ แต่มันยังดูไม่ค่อยมีความรู้สึกเจ็บปวด ไนท์ลองแสดงอารมณ์มากกว่านี้สิครับ” ผู้กับกับเตือนอีกครั้ง ต้องผ่านอีก3เทค ถึงจะผ่านฉากนั้นมาได้

   “ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ทกคนต้องเหนื่อย” เตชวัฒน์เข้าไปทำหน้าที่พูดขอบคุณแทนวริศรินทร์ที่ยังคงเงียบ

   “ไม่เป็นไรหรอก ครับ ธรรมดาครับมันก็ต้องมีคัทบ้าง ผมยังเคยถ่ายซ่อมอยู่บ่อยๆ” ปลายฟ้าตอบรับอย่างสดใสตามลักษณะของดารานิสัยดี เตชวัฒน์ยิ้มให้กับใบหน้ายิ้มแย้มที่ดูสดชื่นร่าเริง แล้วหันกลับไปมองวีิศรินทร์ที่ยังคงดูเหนื่อยอ่อน

   “เดี๋ยวมีสัมภาษณ์นักข่าวด้วยกันนี่นา ไนท์เราเดินไปด้วยกันเลยดีกว่า” ลายฟ้าชวนอย่างเป็นกันเอง เตชวัฒน์เห็นก็รู้สึกโล่งใจที่ปลายฟ้าไม่มีปฏิกิริยาที่ไม่ดีกับไนท์

   วริศรินทร์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่ปลายฟ้าเดินมาโอบไหล่วริษรินทร์อย่างสนิทสนมเป็นกันเองทันทีทั้งสองเดินไปหานักข่าวที่รอสัมภาษณ์ด้วยกัน   

   “สวัสดีครับ พี่พี่นักข่าว” ปลายฟ้าทักทายเหล่านักข่าว ส่วนไนท์ทำเพียงมองเท่านั้น

   “อุ้ยวันนี้น้องไนท์กับปลายฟ้ามายืนคู่กันแบบนี้ทำให้พวกพี่จะสลยด้วยออร่าของความหล่อ โอ๊ยถ้าพี่เป็นลมขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ” นักข่าวหยอกล้ออย่างเป็นกันเองเรียกเสียงหัสเราะออกมาจากรอบข้าง

   “ผมก็จะพาพี่ไปโรงพยาบาลด้วยตัวเองไงครับ” ปลายฟ้ายิ้มหวานโปรยเสน่ห์

   “งั้นขอเป็นลมตอนนี้เลยได้ไหม” นักข่าวสาวสัพยอกอย่างสนุกสนาน

   “ฮ่าฮ่า ได้ครับ ว่าแต่พี่นักข่าวมาวัยนนี้มีอะไรจะคุยกับผมครับ” ปลายฟ้าเปลี่ยนเรื่องชวนเข้าเรื่องงานขึ้นมาทันที

   “สัมภาษค่ะรู้สึกยังไงค่ะที่ได้มาร่วมงานกับหม่อมเอียดแล้วเป็นงานแรกเลยใช่ไหมที่ได้ร่วมงานกับน้องไนท์ เจอน้องไนท์แบบนี้แสดงว่างานนนี้ต้องมีคิวบู๊อะไรเสี่ยงๆแน่ๆเลย” นักข่าวป้อนคำถามแล้วยื่นไมค์ไปทางวริศรินทร์ที่ยืนเงียบอยู่นาน ใบหน้าที่หล่อเหล่าแต่นิงสนิทย์ดางตาสีดำใสที่เชื่อว่าถ้าใครได้สบตาจะต้องหลงเสนห์ รวมทักบุคลิกที่ดูเยียบเย็นและเมินเฉย ทำให้ไนท์หรือวริศรินทร์เป็นเจ้าชายน้ำแข็ง เจ้าชายน้ำแข็งที่ใครๆก็อยากค้นหา

   “ก็ไม่ขนาดนั้นครับ” เสียงตอบสั้นๆ กับความเงียบ เสียงพูดที่ได้ยินนานๆครั้ง แต่เทียบไม่ได้กับรอยยิ้ม หลายคนถึงขนาดบอกว่ารอยยิ้มของวริศรินทร์มีค่าดั่งทองคำ เพราะน้อยคนนักที่จะได้เห็นเจ้าชายน้ำแข็งผู้เย็นชามีรอยยิ้ม

   “น้องไนท์ทำถ่อมตัวไป จริงไหมค่ะปลายฟ้า” นักข่าวหันไปสัมภาษณ์ปลายฟ้าต่อ

   “จริงครับ มีฉากเสี่ยงขนาดที่เห็นแล้วต้องผวา ผมรู้สึกดีใจจริงๆที่ได้ร่วมงานกับไนท์” นักข่าวไปลี่ยนเป้าหมายไปสัมภาษณ์ปลายฟ้าที่ยังคงตอบคำถามอย่างสนุกสนาน พอนักข่าวหันมาถามอีกครั้งไนท์ก็ตอบด้วยประโยคสั้นๆแล้วเงียบ จนปลายฟ้าต้องพูดแซวขึ้นมาเพื่อบรรเทาบรรยากาศที่อึดอัก แต่นักข่าวหลายคนก็พยายามจะสัมภาษณ์ชวริศรินทร์ให้ได้

   “ขอตัวนะครับ เหนื่อย” วริศรินทร์ปลีกตัวออกจากดงนักข่าวทิ้งปลายฟ้าที่ยังคงตอบคำถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เตชวัฒน์ยื่นน้ำให้ไนท์เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าเหนื่อนเมื่อเจอเหล่านักข่าวยิ่งคำถามให้หลายชุด

   “เหนื่อยหน่อยนะครับ” เตชวัฒน์ยิ้มให้อบอุ่น เขาเดินไปหยิบของเพื่อืี่จะพาไนท์กลับไปส่ง เขาดูดวงตาที่อ่อนล้าเหมือนกำลังง่วงนอนแล้วอดลูบหัวอีกฝ่ายไม่ได้ วริศรินทร์เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแต่ก็ยังคงมีแต่ความเงียบ

   “ตายแล้ว น้องไนท์ระวังค่ะ มันสกปรก” ลุกหมาสีขมุกขมัววิ่งเข้ามาตะกายวริศรินทร์ เหล่าบรรดาสตาร์ฟในกองถ่ายรีบตะโกนบอก เมื่อกางเกงยีนส์ขายาวราคาแพงถูกลุกหมาขมุกขมัวตะกายจนสกปรกหลายคนกลัวว่าไนท์จะโมโห หรือไม่พอใจจจนโวยวายกลับชะงัก เมื่อวริศรินทร์ก้มลงนั่งยองๆแล้วเกาหูลุกหมาตัวนั้นแผ่วเบา แต่ที่ทำให้เกิดเสียงฮือฮาก็คือรอยยิ้มบางๆที่ริมฝีปาก เมื่อลุกหมาตัวน้อยแลบลิ้นเลียฝ่ามือของวริศทร์อย่างน่าเอ็มดู

   เสียงฮือฮาของเหล่าสตาร์ฟที่บอกว่าวริศรินทร์ยิ้มทำให้นักข่างที่ยืนสัมภาษณ์ปล่ยฟ้าชะงักหันไปถ่ายรูปวริศรินทร์ในทันที ช่างภาพกดชัตเตอร์อย่างถี่ระรัวเมื่อจับภาพ เมื่อไนท์รู้สึกว่าตัวเองโดนถ่ายรูปอย่างไม่ทันตั้งตัวจังยกมือขึ้นปิดหน้าทันทีด้วยความตกใจ เตชวัฒน์เห็นดังนั้นจึงประคองไนท์ลุกขึ้นยืนแล้วจูงเดินออกมาเมื่อเห็นว่านักข่าวตั้งท่าจะกรูเข้ามา

   เสียงฮือฮายังคงดังอยู่เหล่านักข่าวรีบถามช่างภาพว่าจับภาพเมื่อครู่นี้ได้ไหม เสียงวิพากวิจารย์ยังคงเซ็งแซ่เรื่องรอยยิ้มที่ไม่คาดหมาย

   “น้องไนท์เวลายิ้มนี่ดูดีมากเลยเนอะ ไม่น่าเชื่อเป้นบุญตาที่ได้เห็นขนาดยิ้มน้อยๆ ยังดูดีขนาดนี้ ถ้ายิ้มกว้างๆนะ ต้องหล่อมากๆ แน่ๆ เลย ยิ้มบางๆยังรู้สึกเลยว่าน้ำแข็งละลาย” หลายคนยังคงพูดถึงรอยยิ้มที่ได้เห็น

   “พรุงนี้ต้องพาดข่าวหน้าหนึ่งแน่ๆ น้องไนท์ยิ้มนี่ ฉันเชื่อเลยว่าไม่มีใครเห็น ต้องขอบคุณไอ้,ุกหมานะเนี่ย” ช่างแต่งหน้าสาวเทียมพูด

   “แต่น้องไนท์ก็ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย ไม่คิดเลยว่าจะมีมุมแบบนี้ ปกติเห็นเย็นชาอย่างกับน้ำแข็ง” เสียงวิพาพวิจารย์อย่างสนุกสนานและตื่นเต้น เช่นเดียวกับนักข่าวที่ดูจะดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของวริศรินทร์แม้เพียงแวบเดียว และกล้องที่สามารถจับภาพไว้ได้ จนลืมใครบางคนที่พวกเขาทิ้งไว้ขณะที่สัมภาษณ์อยู่





   เตชวัฒน์มองวริศรินทร์ที่หลับอยู่ในรถแม้รถจะจอดอยู่ใต้คอนโดแล้วก็ตาม หลายอย่างในตัวของวริศนทร์ทำให้เขารู้สึกว่า ไนท์มีความเป็นเด็กผสมอยู่ในตัวเอง เขาอยากรู้ว่าจริงๆแล้วไนท์เป็นอย่างไรกันแน่ บางครั้งเหมือนจะเย็นชา แต่เมื่อกี้กลับยิ้มเมื่อลูกหมาตัวน้อยเข้ามาเล่นด้วย

   “ไนท์ตื่น ครับตื่น” เตชวัฒน์เปิดประตูรถด้านหลังแล้วเขย่าตัววริศรินทร์เบาๆ วริศรินทร์รู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นมามองเมื่อเห็นว่าเป็นเตชวัฒน์เขาทำท่าจะหลับต่อ

   “ไนท์ถาไนท์ไม่ลุกพี่จะอุ้นนะ” เตชวัฒนืแกล้งขู่อีกฝ่าย แต่แทนที่วริศรินทร์จะโวยวาย กลับยกแขนตัวแองขึ้นมาเหมือนกับบอกว่าจะอุ้มก็ตามใจ

   “พี่เตอุ้มจริงๆ นะ” เขาย้ำอีกครั้ง ไม่มีคำตอบจากวริศรินทร์ เตชวัฒน์อุ้มวริศน์ออกมาจากรถอย่างทุลักทุเล

   “ไนท์ยืนแป๊บครับ ขี่หลังพี่” วริศรินทร์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เตชวัฒน์รู้สึกถึงร่างที่ค่อนข้างเบาของนายแบบหนุ่ม เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอชวนจั๊กจี้อยู่ที่ข้างๆ หู กับการกอดรัดจากด้านหลัง

   เตชวัฒน์วางวริศรินทร์ลงบนเตียง ถอดรองเท้าแล้วห่มผ้าให้จนเรียบร้อย

   “พี่เตกลับก่อนนะครับ” เขากระซิบ วริศรินทร์พยักหน้ารับแล้วหลับต่อ

   “เด็กหนอเด็ก” เขารู้สึเหมือนวริศรินทร์เด็กเกินกว่าอายุจริง ทั้งที่วริศรินทร์ก็อายุ 21 จะ 22แล้ว แต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายเด็กกว่านั้น เตชวัฒน์มองใบหน้ายามหลับของนายแบบหนุ่มแล้วหลุดยิ้มออกมา เขาส่ายหน้าอย่างเอ็มนดูแล้วจัดการล๊อกห้องเพื่อกลับบ้านตนเอง


....................................................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ stormphoenix

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2269
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-3
Re: The rainbow project [Green] "Doom" โดย Nassiiz (ตอน
«ตอบ #490 เมื่อ21-05-2011 03:28:03 »

 :z13: :laugh: :laugh:



เรื่องนี้น่ากลัว  ผีดิบทั้งเรื่องหรือเปล่าน้อออออออ

แล้วสุดท้ายไม่พระเอกก้อนายเอกต้องตายเพราะเอาระเบิดเข้าไปวางกลางฝูงซอมบี้  หรือโดนซอมบี้ฆ่าตาย 55555

ปล.เค้าจิ้นเอาเองนะ  อย่าได้ถือโทษโกรธน้องเลย


ปลล.บวกพี่กรีนหนึ่งด้วย รู้สึกมีแต่สีนี้แหละ  ที่ยังไม่ได้บวก  555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2011 03:55:19 โดย stormphoenix »

ออฟไลน์ stormphoenix

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2269
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-3
Re: The rainbow project [Indigo] "รักลวงตา"
«ตอบ #491 เมื่อ21-05-2011 03:29:22 »

 :z13:คนนี้ด้วย :laugh:



อร๊ายน้องไนท์น่ารัก  พี่เตก้อนะ อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย




เกลียดอิพีอ่ะ  คนอะไรก้อไม่รู้  น่าตบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2011 03:38:58 โดย stormphoenix »

สายลมห่มฟ้า

  • บุคคลทั่วไป


ตอนที่ 5 กองถ่าย

                ปลายฟ้าต้องเคลียร์งานทุกอย่างที่รับไว้ก่อนให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะถึงคิวแสดงให้กับหนังของหม่อมเอียด เขาต้องการทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับหนังเรื่องนี้ เพราะมันอาจทำให้ได้รับรางวัลเกี่ยวกับการแสดงเลยก็ได้กับบทบาทนี้ และก็ไม่อยากถูกอเล็กซ์แสดงได้ดีกว่า เพราะบทบาทของทั้งสองมันโดดเด่นใกล้กันมาก
“ฟ้า ฟ้ารู้หรือยังครับว่าวันนี้ช่วงเย็นต้องเขาฉากกับไนท์” สายลมบอกคิดเมื่อขึ้นมานั่งบนรถตู้
“ไนท์!! เขาแสดงเรื่องนี้ด้วยเหรอครับ ทำไมผมไม่เห็นรู้มาก่อน” ปลายฟ้าทำหน้าแปลกใจ
“เข้าเพิ่งแจ้งมาทางเมลพี่เมื่อคืนนี้เอง พี่เห็นฟ้าหลับแล้วเลยรอบอกตอนเช้านี่เลยไง เขามาเป็นนักแสดงรับเชิญเข้าสองฉากก็ตายแล้ว” สายลมอธิบายพร้อมกับหยิบบทที่เพิ่มขึ้นมาส่งให้
“แล้วทำไมมันกะทันหันแบบนี้ละพี่ เขาไม่คิดบ้างหรือว่าผมจะเตรียมตัวไม่ทัน”
“คงเป็นฝีมือคุณเตกับท่านประธานน่ะ เพราะพี่เห็นคุณเตเขามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ไนท์อยู่ เขาคงต้องการดันไนท์ให้ดังกว่าเดิมแน่ ๆ”
“คุณเต ที่บอกว่าเป็นหลานท่านประธานใช่ไหมครับ” ปลายฟ้าพูดไปก้มหน้าอ่านบทที่ได้มาใหม่อย่างตั้งใจ
“ใช่ คนนั้นแหละ แต่เขาคิดยังไงถึงจะดันไนท์นะ คนที่เงียบขนาดนั้น”
“ก็คนบ้าเหมือนกันไงครับ เขาถึงเข้าใจกัน”
“ฟ้าอย่าไปพูดให้ใครได้ยินนะครับ มันไม่ดี” สายลมเตือน
“ครับ ผมจะกล้าไปพูดกับใครเล่าถ้าไม่ใช่พี่” ถึงจะสนทนาตอบโต้แต่สายตาเขาก็ยังไม่ละไปจากบทหนังในมือ


“คัท ไนท์ครับช่วยแสดงอารมณ์ออกมาหน่อยสิครับ ฉากนี้ต้องปะทะอารมณ์กับปลายฟ้า ไนท์ทำหน้าเฉยแบบนี้ ไม่ได้นะครับ เพราะไนท์ต้องเสียใจ” เสียงตะโกนบอกวิธีการแสดงดังขึ้นหลังเดินกล้องได้ไม่นาน
“แอคชั่น” คำสั่งเดินกล้องเกิดขึ้นอีกครั้งโดยไม่ต้องรอให้นักแสดงตั้งตัวก่อน
“นายไม่รู้เหรอว่าผมรักเธอ ผมรักทอฝัน แล้วผมจะดูแลทอฝันให้ดี ก้องถ้านายคิดว่าผมดูแลทอฝันได้ไม่ดีพอ” ปลายฟ้าแสดงสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีมาก ทั้งทางสีหน้าและแววตา
“ดีพอ ความรัก ไม่มีอะไรดีพอ” เสียงของไนท์ดังมาแผ่วเบาแล้วขาดหายไป
“คัท” เสียงผู้กำกับสั่งหยุดการแสดงอีกครั้ง
“พอใช้ได้นะไนท์ แต่มันยังดูไม่ค่อยแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาเท่าไหร่ ไนท์ลองแสดงอารมณ์มากกว่านี้สิครับ”
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้ทุกคนต้องเหนื่อย” เตชวัฒน์พูดเมื่อการถ่ายทำของวันนี้เสร็จสิ้น
 “ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องธรรมดามันก็ต้องมีคัทกันบ้าง ผมยังเคยต้องกลับมาถ่ายซ่อมอยู่บ่อย ๆ” ปลายฟ้ายิ้มรับเมื่อเตชวัฒน์ ผู้จัดการส่วนตัวของไนท์เขามาพูด
“เดี๋ยวมีสัมภาษณ์นักข่าวด้วยกันนี่นา ไนท์เราเดินไปด้วยกันเลยดีกว่า”
ไนท์ยังคงนิ่งเงียบจนปลายฟ้าเดินมาโอบไหล่พาไปสัมภาษณ์นักข่าวด้วยกัน

กว่าจะจบการให้สัมภาษณ์ก็พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้ว ปลายฟ้ากำลังเดินกลับขึ้นรถตู้ที่ขับมาจอดรอข้างกองถ่าย
“คุณปลายฟ้าคะ มีคนฝากของพวกพวกนี้ไว้ให้ค่ะ” ทีมงานวิ่งหอบกล่องของขวัญห่อด้วยกระดาษอย่างดี ผูกโบว์ใหญ่สีน้ำเงินเข้มพร้อมการ์ดโทนสีเดียวกัน
“ใครฝากมาพอจะรู้ไหมครับ” ปลายฟ้ายิ้มให้คนที่วิ่งเอาของมาส่งอย่างขอบคุณ
“ไม่ทราบเหมือนกันคะ รู้เพียงแต่ว่ามีคนเอามาฝากไว้ให้แต่เช้าแล้ว” ทีมงานแทบหายเหนื่อยเมื่อเห็นรอยยิ้มของปลายฟ้า
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับที่เป็นธุระให้ ผมไปก่อนนะครับ” ก่อนปิดประตูรถปลายฟ้ายังไม่ลืมส่งยิ้มพิมพ์ใจให้อีกครั้ง ทำเอาทีมงานถึงกับยืนฝันกันที่ตรงนั้นเลยทีเดียว
ปลายฟ้าโยนกล่องของขวัญทั้งไปเบาะหลังอย่างไม่สนใจ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่ประจำปรับเบาะแอนตัวลงนอน
“คนอะไรวะ เล่นแข็งอย่างกับท่อนไม้ ทำให้คนอื่นเขาช้าไปกันหมดเลย” ปลายฟ้าเริ่มบ่นออกมาให้สายลมฟัง
“ฟ้าหมายถึงไนท์หรือเปล่าครับ”
“แล้วพี่จะให้ผมพูดถึงใครล่ะ ไอ้อเล็กซ์มันเล่นดีกว่าเป็นไหน ๆ ฉายาเจ้าชายน้ำแข็ง ผมว่ามันแกล้งทำมากกว่า เรียกร้องหาจุดขายให้กับตัวเอง เพราะไม่งั้นก็คงไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว”
“ไนท์เขาอาจเป็นแบบนั้นจริง ๆ ก็ได้นะฟ้า”
“ไม่จริงหรอกเชื่อผมสิ มันนะทำตีสองหน้า ระหว่างสัมภาษณ์มันยังหาทางแย่งซีนผมไปจนได้เลย หลานท่านประธานอะไรนั่นอีกคน คอยตามช่วยกันจนออกนอกหน้า สงสัยคงมีอะไรมาเกินกว่าผู้จัดการส่วนตัวแน่ ๆ”
คำพูดนี้ทำเอาสายลมถึงกับอึดอัดได้เหมือนกัน เพราะว่าเขาเองเข้ามาขอเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ปลายฟ้าก็เพราะว่าชอบในตัวปลายฟ้าเหมือนกัน
“อย่าไปพาลถึงคุณเตสิฟ้า ยังไงเขาก็เป็นหลานท่านประธานนะครับ” สายลมเตือน
“ครับ ขอให้พรุ่งนี้ไอ้เจ้าชายท่อนไม้มันจะเล่นได้ดีกว่านี้นะครับ ตอนเย็นเราติดงานเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ด้วยใช่ไหม” ปลายฟ้าทำหน้าเบื่อเมื่อคิดถึงวันพรุ่งนี้
“ใช่แล้ว เพราะงั้นคืนนี้ฟ้าต้องกลับไปพักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ”
“เขาเห็นผมเป็นเครื่องจักรหรือยังไงกัน ตารางงานแน่นจนแทบไม่มีเวลาจะหายใจอยู่แล้ว” ปลายฟ้าถอนหายใจเบา ๆ
สายลมก็ได้แต่มองอย่างช่วยอะไรมากไม่ได้ นอกจากเพียงการให้กำลังใจ และดูแลปลายฟ้าให้ดีที่สุดที่เขาจะทำได้


ปลายฟ้ามาถึงกองถ่ายแต่เช้าเหมือนเดิม วันนี้เป็นคิวบู๊ที่เขาต้องโดนจับตัวไว้ แล้วมีไนท์ที่เป็นเพื่อนมาช่วยไว้ แต่ฉากนี้มีอันตรายจนสามารถใช้ตัวแสดงแทนได้ แต่ปลายฟ้าไม่ยอมให้เพราะเขารู้ว่าไนท์เองก็ไม่ใช้เหมือนกัน
“น้องปลายฟ้า พี่ว่าใช้สแตนด์อินดีกว่านะคะ ฉากแบบนี้มันเสี่ยงไปนาพี่ว่า” ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมจะระวังตัวเองให้มาก ๆ ผมอยากให้คนดูคุมค่ากับที่เสียเงินเข้ามาดูหนังที่ผมแสดงด้วยไงครับ” ปลายฟ้ายิ้มให้แทนคำขอบคุณที่เป็นห่วง
“เพราะแบบนี้ไง แฟนคลับปลายฟ้าถึงมากขึ้นทุกวัน ๆ” ช่างแต่งหน้าชมกลับก่อนจะสนทนากันเรื่องอื่นจนแต่งหน้าเสร็จ

กระท่อมหลังใหญ่ถูกเซ็ตไว้ที่ชายป่า ปลายฟ้าถูกจับมัดไว้กับเก้าอี้ด้วยเชือกหลวม ๆ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้แก้เชือกหนีออกมาด้วยตัวเองได้ รอบ ๆ กระท่อมถูกสาดไว้ด้วยนำมันเบนซินจนกลิ่นฉุนจมูก เขาตื่นเต้นเมื่อเห็นทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว เพราะถ้าพลาดเขาอาจบาดเจ็บพักงานไปหลายวันแน่ ๆ
“ตั้งใจนะครับ ถ่ายครั้งเดียวขอให้ผ่านนะครับ ทำตามที่ซ้อมเมื่อกี้ให้ดี” ผู้กำกับพูดผ่านโทรโข่งเพื่อให้ทุกคนได้ยิน
“แอคชั่น!!”
สิ้นเสียงคำสั่งประตูกระท่อมก็ถูกพังเข้ามา ไนท์วิ่งเข้ามาหาปลายฟ้าที่กำลังดิ้นรนให้ตนเองพ้นจากพันธนาการ กระท่อมถูกเผาทันที
“แคก แคก หนีไป รีบหนีไปก่อนไม่ต้องห่วงผม” ปลายฟ้าแสดงตามบทได้อย่างราบรื่น แม้เปลวไฟจะโหมลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เราต้องไปด้วยกัน” ไนท์สนทนาตอบตามบท พร้อมกับแก้เชือกให้ปลายฟ้า เขาเข้าไปพยุงปลายฟ้าไว้เพื่อจะพาหนีออกมาทางประตูตามบทที่ได้รับ
“แย่แล้วไฟลามเร็วเกินไป” เสียงทีมงานตะโกนบอกกันจ้าละหวั่น
สองนักแสดงยังติดอยู่ข้างใน ทางออกที่จะใช้หลบหนีถูกไฟล้อมไว้หมดแล้ว
“กรี๊ดดดด” เสียงร้องของทีมงาน ทั้งสาวแท้สาวเทียมดังระงมไปทั่วกองถ่าย
เปลวเพลิงโหมลุกลามอย่างรวดเร็วจนถึงหลังคา แบบนี้กระท่อมคงทานไว้ไม่ได้นาน คงต้องถล่มลงมาแน่นอน
“ทำยังไงดีล่ะทีนี้ ไนท์ช่วยกันคิดหน่อย” ปลายฟ้ามันไปถามความเห็นของคนที่ติดอยู่ด้วยกัน
ความร้อนของพระเพลิงทำให้ทั้งสองคนชุ่มไปด้วยเหงื่อ
โครม!!
ผนังด้านหนึ่งพังลงมาพร้อมกับร่างคนฝ่าเข้ามาด้านใน
“ฟ้าไนท์มาทางนี้เร็ว” สายลมจับมือทั้งสองคนไว้ ก่อนดึงให้มาอยู่ตรงทางที่เขาเข้ามา
“พี่นับถึงสามพุ่งออกไปพร้อมกันเลยนะ” สายลมหันไปบอกปลายฟ้ากับไนท์ เขาใช้ตัวเองโอบปลายฟ้าไว้เพื่อกันความร้อนจากเปลวไฟ
“หนึ่ง สอง สาม” สิ้นคำสายลมพุ่งตัวพาปลายฟ้าออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่าเปลวเพลิงออกมาได้เขามองหน้าไนท์ทันที
“ไนท์ไม่ยอมออกมา รีบดับไปเร็วเข้ากระท่อมใกล้จะพังแล้ว” สายลมรีบตะโกนบอกทีมงานเมื่อมองไม่เห็นนักแสดงอีกคน
สิ้นเสียงตะโกนเขาเห็นร่างบางคนพุ่งเข้าไปในกระท่อมอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีเวลาสนใจมากนัก เพราะเหมือนปลายฟ้าจะสำลักควันไฟเข้าไปเยอะพอสมควร เขารีบพาปลายฟ้ามาที่บนรถพยาบาล ที่ทางทีมงานติดต่อไว้อย่างรวดเร็ว

“ช่วยดูปลายฟ้าหน่อยครับ” สายลมโอบจนแทบจะอุ้มปลายฟ้ามานอนบนรถพยาบาล
พยาบาลรีบเข้ามาดูแลปลายฟ้าอย่างเร่งด่วน ตอนนี้มีรถพยาบาลตามาเสริมอีกคันเพื่อรับสถานการณ์ ปลายฟ้าไม่ได้เป็นอะไรมานอกเสียจากรอยขีดข่วนเล็กน้อยพร้อมกับอาการสำลักควัน เพียงครู่เดียวก็เป็นปกติ
ปลายฟ้าลุกขึ้นมามองสถานการณ์ข้างในที่ยังวุ่นวายกันอยู่ เขาเดินมาหาสายลมที่ยืนไม่เป็นสุขรอดูอาการเขาอยู่ที่ข้างรถพยาบาล
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ พี่สายลมสบายใจได้แล้วครับ” ปลายฟ้าเดินเข้ามาบอกพร้อมรอยยิ้มเพื่อให้คนที่เป็นห่วงสบายใจ
“ฟ้าพี่เป็นห่วงฟ้ามากเลยรู้ไหมครับ คราวหน้าพี่ไม่ให้ฟ้าเล่นเองแล้วฉากพวกนี้” สายลมพูดอย่างหัวเสีย กับการตัดสินใจของตัวเองที่ยอมให้ปลายฟ้าเล่นฉากเสี่ยงแบบนี้
“ไม่เกี่ยวกับพี่เลย พี่สายลมอย่าโทษตัวเองสิครับ” ปลายฟ้าเดินไปจับต้นแขนข้างขวาเบา ๆ
“โอ๊ยยย!!”
สายลมร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อปลายฟ้าสัมผัสโดนขาเขา
“พี่สายลมเป็นอะไรไปครับ” ปลายฟ้าตกใจ
สายลมจับแขนตัวเองค่อย ๆ ดู เห็นลิ่มไม้ขนาดใหญ่ปักอยู่ที่ท้องแขนด้านหลัง คงเพราะความเป็นห่วงปลายฟ้าเขาเลยไม่รู้สึกเจ็บก่อนหน้านี้ หลังจากที่ปลายฟ้าปลอดภัยมันถึงแสดงอาการออกมา ปลายฟ้าเองก็เห็นลิ่มไม้ขนาดไหญ๋นั่นพร้อมกัน
“พยาบาลครับ คุณพยาบาล ช่วยทางนี้ด้วยครับ” ปลายฟ้ารีบตะโกนเรียกพยาบาลที่ยืนรอดูเหตุการณ์อยู่แถวนั้น
หลังจากที่ขยับเมื่อครู่ทำให้เลือดไหลออกจากแผลของสายลมอย่างมาก พยาบาลรีบเข้ามาห้ามเลือดก่อนพาไปนั่งบนรถ คีมคีบถูกใช้ดึงเอาลิ่มไม้ขนาดใหญ่ออกจากต้นแขนของสายลม เลือดสีแดงไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ปลายฟ้ายืนมองอย่างหวาดหวั่น เขารู้สึกกลัวถ้าสายลมต้องมาเป็นอะไรเพราะเขา
“แผลใหญ่มาก แต่โชคดีไม่โดนเส้นเลือด คงต้องเย็บสดทนเจ็บหน่อยนะคะ” พยาบาลสาวร่างเล็กพูดพร้อมหยิบอุปกรณ์มาไว้ในมือ
เข็มรูปตะขออันเล็กถูกร้อยด้วยด้ายสำหรับเย็บแผลถูกคีบขึ้นมา
“ทนเจ็บนิดเดียวนะคะ” พูดจบเธอฝังเข็มลงไปในเนื้อตรงปากแผลอย่างชำนาญ
“อึก อึก” สายลมกัดฟันตัวเองไว้แน่นจนเกิดเสียงเบา ๆ ออกมา
ปลายฟ้าเองก็ลุ้นสองมือบีบกำจนแน่นทั้งสองข้าง เขากลั้นใจไปกับสายลมทุกครั้งที่เข็มแทงผ่านเนื้อ
“เสร็จแล้วคะ อย่าลืมไปตรวจซ้ำอีกทีนะคะ แล้วอีกเจ็ดวันค่อยไปดูแผลตัดไหมที่โรงพยาบาล” พยาบาลบอกหลังจากเย็บและพันแผลเสร็จแล้ว
“ขอบคุณครับ ถ้าไม่มีพวกคุณป่านนี้ผมคงทำอะไรไม่ถูกแล้ว” ปลายฟ้ายกมือไหว้ขอบคุณพยาบาล พยาบาลเองรับไหว้พร้อมกับอาการขัดเขินเล็กน้อย

สายลมพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ต้นแขนขวาถูกพันไว้ด้วยผ้าก็อตสีขาวอย่างเป็นระเบียบ เห็นปลายฟ้ายืนทำหน้าเศร้ามองอยู่ข้างรถ เขาลุกเดินเข้าไปหา พอเดินเข้าไปใกล้ปลายฟ้ากโผกอดเขาไว้อย่างรวดเร็ว
“ผมนึกว่าพี่จะเป็นอะไรไปเสียแล้ว” ปลายฟ้าพูดพร้อมกับร้องไห้ออกมา
“พี่ไม่เป็นอะไรแล้วครับ แผลแค่นี้เองไกลหัวใจ” สายลมพูดปลอบโยนพร้อมลูบศีรษะคนที่กอดอยู่เบา ๆ
“ครับ ผมรู้แล้วแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ขอบคุณนะครับพี่ชาย” ปลายฟ้ากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
‘พี่ชาย’
คำลงท้ายที่ปลายฟ้าบอกกับเขาตอนนี้ มันเหมือนเป็นคำที่แสนดีแต่เขากลับรู้สึกแย่ลง ผลสุดท้ายเขาก็คงเป็นได้แค่พี่ชายเท่านั้นเองใช่ไหม สายลมค่อยจับตัวปลายฟ้าออกจากตัวเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ปลายฟ้าแสดงความห่วงใหญ่เขามากขนาดนี้
“ไม่เป็นไรหรอกครับน้องชาย” สายลมกัดฟันฝืนตอบออกไป


หลังเหตุการณ์สงบไนท์ถูกพาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการทันที ปลายฟ้าอยู่คอยดูทีมงานอีกพักใหญ่ อเล็กซ์ก็เดินทางมาถึงพร้อมกับหม่อมเอียดแล้วกนักข่าว
“คุณปลายฟ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” อเล็กซ์รีบเข้ามาถาม พร้อมกับนักข่าวกลุ้มรุมเข้ามา
แสงแฟรตสว่างวูบวาบรัวถี่เมื่อทั้งสองคนเจอหน้ากัน
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ”
หลังจากที่ทั้งสองคนทักทายกันเสร็จนักข่าวก็เริ่มถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงจะเพิ่งผ่านเหตุการณ์หน้าตื่นเต้นมา แต่ปลายฟ้าก็ยังยิ้มแย้มทำให้ทุกคนสบายใจมากขึ้น


“ยกเลิกงานเปิดตัวสินค้าไหมครับ เดี๋ยวพี่จัดการให้” สายลมถามเมื่อทั้งสองกลับขึ้นมาบนรถตู้ของตัวเอง
“ไม่ต้องหรอกครับผมยังไหว ว่าแต่พี่เถอะไหวหรือเปล่า”
“พี่ไหวสิครับ พี่นั่นแหละไหวหรือเปล่า ยกเลิกก็ได้นะจะได้กลับห้องเลย” ปลายฟ้าแสดงความห่วงใย
“พี่ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อยทำไมจะไม่ไหวละครับ งั้นฟ้าพักผ่อนไปก่อนนะเดี๋ยวถึงแล้วพี่เรียกเอง”
“ครับ” ปลายฟ้าเอนเบาะนอนพักผ่อน เขาเหลือบไปเห็นกล่องของขวัญผูกโบว์สีน้ำเงินพร้อมการ์ดสีโทนเดียวกันวางไว้เบาะข้าง ๆ
“พี่สายลมครับ นี่ของเมื่อวานไม่ใช่หรือครับ” ปลายฟ้าถาม เพราะปกติสายลมน่าจะเก็บขึ้นห้องไปให้แล้ว
“ไม่ใช่นะครับ ทีมงานเขาฝากมาให้ตั้งแต่เช้าแล้วพี่ลืมบอก”
ปลายฟ้าหยิบของขึ้นมาดู ก่อนโยนลงไปเบาะหลังเหมือนแบบเมื่อวาน



=======> โปรดติดตามตอนต่อไป

จงกลนี

  • บุคคลทั่วไป
แอบเอาฉากวาบหวามระหว่างผีกับคนมาฝาก 555 ลองไปอ่านกันดูเอาเองนะคะ
ขอให้สนุกกับการอ่านค่ะ
 

 
ตอนที่ 9  "อ้อมกอด"
"หมวดมาพอดีเลย มีคนมานั่งรอพบหมวดอยู่ที่โต๊ะนะครับ" จ่ามืดบอกเมื่อสวนกับหมวดพชรที่บันใดทางขึ้นชั้นสองของสถานีตำรวจ
""ขอบคุณนะครับจ่ามืด" 'ใคร!' ร้อยตำรวจโทพชร กล่าวขอบคุณ ก่อนจะสงสัยว่าใครมานั่งรอเขาอยู่
"ไอ้ตัวแสบ มาทำไมวะเนี่ย" เสียงบ่นอุบอิบออกมาแทบจะทันทีที่เห็นว่าร่างเล็กนั่งรอเขาอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เมื่อเดินผ่านเข้าไปพ้น partitionซึ่งกั้นโต๊ะทำงานแต่ละโต๊ะออกเป็นสัดส่วนของตำรวจแต่ละคน
"ตำรวจที่นี่เค้าทักทายประชาชนที่มาพบกันแบบนี้เหรอครับหมวด" หน่องสวนกลับทันทีที่ร่างสูงผ่านเข้ามาและได้ยินเสียงบ่นแผ่ว ๆ นั้นอย่างชัดเจน
"เอ่อ... สวัสดียามเช้าคุณนักข่าว" หมวดพชร กัดฟันทักทายคนตรงหน้า พร้อมกับทำหน้าบึ้ง ๆ ส่งไปให้ 'กวนใช้ได้เลยคนเรา...'
"สวัสดีครับหมวด ดูท่าทางหมวดไม่ค่อยจะยินดีให้ผมมาหาสักเท่าไหร่นะครับ" หน่องตอบพลางหันมายิ้มยั่วใส่
"จริง ๆ ผมไม่ค่อยอยากจะเจอคุณสักเท่าไหร่หรอกคุณนักข่าว" หมวดหนุ่มบอกตามตรงด้วยน้ำเสียงเรียบ ใบหน้านิ่งเกือบจะบึ้งตึง พลางแอบคิดอยู่ในใจ 'จริง ๆ เวลายิ้มก็ดูน่ารักดีนี่'
"แต่ผมอยากเจอหมวดนี่ มีเรื่องอยากจะถามหมวดสักหน่อย" หน่องบอกพร้อมส่งรอยยิ้มประจบชัดเจน ก่อนจะกลับมานั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะอีกครั้ง เมื่อเจ้าของโต๊ะเดินเข้าไปนั่งประจำที่ของตน
"จะมาหาข่าวอีกหรือคุณ ผมไม่มีข่าวให้คุณแล้วล่ะ" ผู้หมวดหนุ่มหันมาแยกเขี้ยวเข้าใส่อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก
"ไม่ใช่ ผมแค่จะมาถามเรื่องเพื่อนของผมเท่านั้นครับหมวด" หน่องตอบก่อนจะพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
"อยากจะรู้อะไรอีกล่ะคุณ ผมก็บอกเท่าที่จะบอกได้ไปหมดแล้วนี่" ร้อยตำรวจโทพชรถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าใส่หน่องที่นั่งตรงข้าม
"ผมอยากรู้ว่าเพื่อนผมตายได้ยังไง กับใครเป็นคนฆ่าเพื่อนผม" หน่องสบตานิ่งก่อนจะเอ่ยบอกคนตรงหน้า
"ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันกับคุณนั่นแหละ ผมกำลังสืบอยู่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนแล้วกัน" ผู้หมวดหนุ่มบอกก่อนจะขยับกายลุกขึ้นจากที่นั่ง
"เดี๋ยวหมวด ถ้าผมจะบอกว่าผมจะช่วยหมวดสืบเรื่องนี้ล่ะ" หน่องบอละล่ำละลักพลางคว้าจับเข้าที่ข้อมือหนาของคนตรงหน้าเพื่อรั้งเอาไว้
"อะไรนะ! คุณจะช่วยผมให้ยุ่งนะสิ อย่าเลยผมยังไม่อยากหัวหงอกก่อนวัย" หมวดพชรบอกก่อนจะเหลือบสายตาขุ่นขวางไปที่มือของหน่องซึ่งกำลังจับข้อมือของเขาอยู่ก่อนจะใช้มือของเขาจับออก แล้วผละเดินหนีจากไปช้า ๆ
"น่านะหมวด ให้ผมช่วยเถอะ ผมอยากช่วยจริง ๆ นะ โธ่โว้ย!" หน่องตะโกนไล่หลังไปอย่างหัวเสีย ก่อนจะออกวิ่งตามหลังหมวดพชรไป
"อยู่เฉย ๆ น่ะดีแล้ว มีอะไรผมจะบอกคุณเองดีไหม" ร้อยตำรวจโทพชรพูดเสียงดังเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากระชั้นตามมาข้างหลังขณะที่ตัวเองกำลังก้าวเดินลงบันไดต่อไปอย่างช้า ๆ
"เดี๋ยวหมวด หยุดคุยกันก่อนสิ" หน่องหยุดยืนพูดอยู่ตรงขั้นบนสุด ก่อนจะซอยเท้าตามลงไปอีกครั้ง
"อุ๊บ... โอ๊ย!" ร่างของหน่องปะทะเข้ากับอกของหมวดเพชรที่หยุดหันหลังกลับมาอย่างกะทันหัน ผู้หมวดหนุ่มคว้าเอาหน่องเข้ามากอดไว้แนบกับอกของตนก่อนที่ทั้งสองจะกลิ้งหลุน ๆ จากชานพักบันไดลงมานอนกอดเกยกันอยู่บนเชิงบันไดขั้นสุดท้ายโดยมีหน่องขึ้นไปนอนคว่ำหลับตาปี๋ซุกแนบอกของหมวดพชรพร้อมกอดเอาไว้เสียแน่น
เสียงหัวใจเต้นราวกับตีกลองประชันดังก้องและได้ยินชัดเจนกันทั้งสองคน หน่องคลายวงแขนที่โอบรอบคอของหมวดพชรออกแล้วมาจับเข้าที่แผ่นอกหนาแทนเพื่อ หวังจะพยุงตัวลุกขึ้น ก่อนจะหลุบตามองไปที่อกของนายตำรวจพร้อมกับใบหน้าที่แดงเรื่อลามไปถึงใบหูด้วยความอาย แต่ก็ต้องฟุบกลับลงไปซุกที่อกอีกครั้งเมื่อคนข้างล่างออกแรงรัดรั้งกลับไปอีกครั้ง
"เป็นอะไรมากหรือเปล่า" ร้อยตำรวจโทพชร ถามเสียงอ่อนโยนด้วยเป็นห่วงคนในอ้อมอก ก่อนจะแอบสูดหายใจเอาจากเรือนผมของหน่อง  'ผมนิ่ม หอมจัง'
"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณหมวดมาก" หน่องตอบอุบอิบสะเทิ้นอาย 'จะกอดไว้ทำไมเล่า ปล่อยได้แล้วมั้ง แค่นี้ก็อายจะแย่อยู่แล้ว'
"เป็นอะไรกันมากไหมครับหมวด ผมเห็นตอนกำลังกลิ้งลงมาพอดี" จ่ามืดที่เดินกลับมาจะขึ้นไปชั้นบนเอ่ยทักถาม
"ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน" เสียงตอบพร้อมเพรียง ก่อนที่หน่องจะรีบผละออกจากอกอุ่นและรีบลุกขึ้นมายืนพร้อมอีกคนก่อนจะต่างคนต่างปัดเศษฝุ่นเศษดินออกจากเสื้อผ้าของตัวเองอย่างเร็วรี่แก้เก้อเขิน
"แต่ผมว่าหมวดกลับไปเปลี่ยนกางเกงก่อนดีกว่า เป้ากางเกงแตกครับหมวด" จ่ามืดกระซิบบอกเบา ๆ กะจะให้รู้แค่สองคน แต่ก็ดังพอที่จะทำให้คนข้าง ๆ ได้ยินไปด้วย ผู้หมวดหนุ่มหันหลังกะจะชะโงกดูให้ชัด ๆ แต่กลับเป็นการหันส่วนที่ขาดเข้าหาอีกคนแทน ซึ่งอีกคนก็ได้แต่รีบก้มหน้ามองส่วนเท้าของตัวเองด้วยความเขินอายแทนคนตัวใหญ่ข้าง ๆ ที่ไม่รู้สึกรู้สมกับเรื่องน่าอายเช่นนี้สักเท่าไหร่
"ขอบคุณครับจ่า เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนกางเกงที่บ้านพักก่อนนะครับ" ร้อยตำรวจโทพชร บอกก่อนจะคว้าข้อมือของหน่องให้เดินตามไปขึ้นรถด้วยกัน
"คุณก็ต้องไปด้วยกันกับผม ดูสิเลือดไหลออกขนาดนี้ ไปทำแผลที่บ้านพักผมก่อนก็แล้วกัน" ผู้หมวดหนุ่มบอกพลางหมุนแขนให้หน่องดูแผลที่ข้อศอกก่อนจะเปิดประตูยัดร่างของหน่องเข้าไปไว้ในรถแล้วตัวเองก็วิ่งกลับไปขึ้นด้านฝั่งคนขับ ก่อนพารถกระบะตราโล่เคลื่อนออกไป
 
 
แสงไฟกระพริบไหววูบวาบสอดคล้องตามกับจังหวะท่วงทำนองกระชั้นถี่ เสียงเบสหนัก ๆ จากเครื่องขยายเสียงกำลังขับสูง ร่างแน่นของหนุ่มหล่อหน้าคมยักย้ายอยู่บนฟลอร์ท่ามกลางเพศเดียวกันที่เต้นสีเบียดเสียดร่างกายเข้าใกล้เพื่อพยายาม แนบชิด เรือนร่างในเสื้อเชิ้ตสีม่วงอ่อนผ้ามันเงาที่ปลดกระดุมโชว์กล้ามอกแน่นน่ากัดเอาไว้เสียสามเม็ด และกางเกงเดฟสีดำรัด ๆ อวดเรือนร่างล่อตาล่อใจ เม็ดเหงื่อผุดพรายบนผิวหน้าและผิวเนื้อที่หน้าอกขาว ๆ ยั่วตะเข้ตะโขงอย่างจงใจ สักครู่เสียงดนตรีเปลี่ยนจังหวะกลับมาเนิบช้า คนที่เต้นอยู่รอบ ๆ บางตาลงไปกว่าเดิม แต่เขาก็ยังคงเต้นอยู่ต่อไปราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และดูโดดเด่นท่ามกลางแสงสลัวรอบกาย
ชายวัยกลางคนบนโซฟาหนานุ่ม ที่นั่งหลบมุมแอบมองดูอยู่นาน หันไปพยักพเยิดให้กับลูกน้องในชุดสากลสีดำที่ยืนอยู่ข้างกาย พลางชี้นิ้วไปทางชายหนุ่มหน้าคมตรงหน้า ก่อนที่ลูกน้องจะค้อมกายจากไป
แก้วไวน์ทรงสูงถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าชายหนุ่มหน้าคม ซึ่งเจ้าตัวถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะเหลือบตาตามแขนขึ้นไปมองคนตรงหน้าตรง ๆ
"เจ้านายพี่สนใจน้อง ไปดื่มกับท่านที่โต๊ะหน่อยสิ" ชายในชุดดำเอ่ยดัง ๆ ที่ข้างหูของเขาเพื่อแข่งกับเสียงเพลง
"แล้วเจ้านายพี่อยู่ไหนล่ะ" เขาถามกลับที่ข้างหู เขาหันไปมองตามมือที่ชายชุดดำชี้บอก พร้อมกับยกแก้วไวน์ส่งไปข้างหน้า แล้วยกขึ้นดื่มจนหมดในคราวเดียว ก่อนจะออกเดินตามหลังชายชุดดำไป
 
 
เสียงหัวร่อต่อกระซิก ดังแว่วออกมาจากหลังประตูไม้หนา ที่มีชายในชุดดำยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าถึงสองคน
อากาศภายในห้องเย็นเยียบจนหนาว แต่สองร่างที่กำลังโรมรันกลับชุ่มโชกไปด้วยหยดเหงื่อ แรงพิศวาสกลับทำให้ทั้งสองร้อนระอุ  กล้ามเนื้อบนร่างหดเกร็งเขม็งเมื่อไปถึงขีดสุดตามครรลองแห่งอารมณ์ปรารถนา หยาดหยดร้อนวาบฉีดพ่นเข้าไปภายในพร้อมกับเสียงครางประหนึ่งใจจะขาดของชายที่สูงวัยกว่า  ก่อนเจ้าตัวจะหยุดหอบหายใจแล้วฟุบลงไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่มีรอยขบกัด ฟอนเฟ้นแดงเป็นจ้ำ ๆ กระจายไปทั่ว เขานอนพักเพียงครู่ก่อนจะโดนจับผลิกกลับคร่อมทับด้วยเด็กหนุ่มหน้าคม เด็กหนุ่มตามลงไปประกบปากด้วยปาก แล้วจึงใช้ลิ้นชื้น ๆ ตวัดเลื่อนไปซอกไซ้บนร่างของชายสูงวัยกว่า จูบกัดขบเม้มบนร่างอวบหนาอุดมไปด้วยไขมัน ก่อนจะพูดว่า
"ทีนี้ตาผมบ้างนะป๋า เดี๋ยวผมขอทำอะไรที่มันกว่านี้อีกนิดนึงนะครับ" เขาบอกพร้อมกับควานมือไปหยิบผ้าแพรยาวโปร่งเบาจากใต้หมอนออกมามัดมือของร่าง เจ้าเนื้อทั้งสองข้างเอาไว้กับหัวเตียง ก่อนจะเอาชายผ้าที่เหลือพันรอบลำคอหนาแล้วรั้งให้หงายปล่อยชายยาวรั้งโยงเอา ไว้กับหัวเตียงอีกครั้ง คนที่โดนพันธนาการเบิ่งตากว้างก่อนจะส่งยิ้มกลับมาให้อย่างพึงใจ พร้อมกับส่วนกลางลำตัวที่กลับมาตื่นตัวชูชันขึ้นมาอีกครั้งในทันที
ชายหนุ่มหน้าคมยกขาของคนข้างล่างข้างหนึ่งขึ้นมาพาดบนบ่าปล่อยอีกข้างให้ เหยียดยาว เขาค่อย ๆ ชำแรกเบิกช่องทางด้วยปลายนิ้วก่อนขยับหมุนวนคว้านไปรอบ ๆ ร่างหนาได้แต่ส่งเสียงครางอย่างพึงใจพร้อมกับบิดกายอย่างสุขสม ส่วนที่ใหญ่กว่านิ้วถูกส่งเข้าไปแทนที่ในทันทีเติมเต็มคับแน่นร่องหลืบจนปริแยกโลหิตสีเข้มไหลซึม ด้วยขนาดที่เกินพอดีไปมาก  แต่คนที่รองรับอยู่กลับยกยิ้มด้วยถูกใจ และเผลอร้องคราง
"แรง ๆ เลย ป๋าชอบ"
"ป๋าโด๊ปหน่อยไหมจะได้นาน ๆ ทน ๆ" เด็กหนุ่มควานไปใต้หมอนอีกครั้งก่อนจะหยิบซองซิปพลาสติกสีขุ่นมาเปิดออกแล้วหยิบยาออกมาใส่ปากตัวเองก่อนจะบีบปากคนข้างใต้ร่างให้อ้าออก แล้วเทกรอกยาลงไปเสียหลายเม็ด
"โอ๊ย ๆ ๆ เอาอีก ป๋าใกล้แล้ว" เสียงกระเส่าแหบพร่าสั่งการ ก่อนจะเกรงขาจิกทั้งผ้าปูที่นอนแล้วปลดปล่อยไอรักของตัวเองพวยพุ่งออกมามากมายเนืองนองบนหน้าท้องโดยไม่ถูกสัมผัสหรือแตะต้องแต่อย่างใด อาการหอบหายใจเหน็ดเหนื่อย พยายามสูดโกยอากาศเข้าปอดเพื่อบรรเทา แต่ก็ติดขัดด้วยแพรบางที่พันเอาไว้รอบ ๆ ลำคอ  เด็กหนุ่มกลับตระโบมฟอนเฟ้นกระแทกกระทั้นสุดตัวด้วยความแรงที่เพิ่มมากขึ้น มากขึ้น เขม็งเกร็งร่างกระตุกฝังกายแนบแน่นและปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนเอาไว้ภายใน ของร่างเจ้าเนื้อ ที่ยังคงนอนหลับตาหอบหายใจรวยริน ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาพบกับความน่าสะพรึงตรงหน้า จากเด็กหนุ่มหน้าคมที่เพิ่งจะนำพาความกระสันอิ่มเอมมาให้ กลับแปรเปลี่ยนไปจากที่เห็นแต่เดิม ท่ามกลางความสลัวเลือนรางของแสงไฟสีส้มที่ข้างหัวเตียง ใบหน้าสยองขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดสีดำยุบยับ ดวงตาขุ่นขาวมัวเบิกโพลงถลน ริมฝีปากดำคล้ำเผยอยกยิ้มแสยะแยกเขี้ยวขาว มือขาวเย็นยะเยือกคว้ากุมเข้าที่รอบลำคอก่อนจะผละออกบีบกรามให้อ้าปากออก แล้วเทยาเม็ดในซองพลาสติกใส่ลงไปเสียทั้งหมด แล้วใช้มือปิดปากของเหยื่อเอาไว้จนแน่น ร่างเปลือยเปล่าเจ้าเนื้อพยายามบิดกายขืนสู้ แต่ติดที่ถูกพันธนาการเอาไว้ แพรแดงไหลรูดบีบรัดลำคอหนาแน่นเข้าไปอีก
ใบหน้ากลมใหญ่แดงก่ำ พยายามหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด ดวงตาเบิกโพลงหวาดกลัวต่อสิ่งที่ปรากฏ
อมนุษย์ตรงหน้าในอาภรณ์สีดำยาวรุ่ยร่ายเปียกชื้นเคลื่อนกายคร่อมทับ ใบหน้าสยองผมสีซีดแนบลู่ติดกับหนังหัวห่างจากหน้าแดง ๆ ของเหยื่อเพียงแค่นิ้วมือกั้น หยดน้ำเย็นจัดหล่นกระทบใส่ร่างอวบอ้วนข้างใต้จนเปียกปอน ความหนาวเย็นแล่นลู่ เส้นผมบริเวณท้ายทอยลุกชัน ร่างอวบหนาวสะท้านสุดขั้วหัวใจ แรงพยายามดิ้นหนีเฮือกสุดท้าย ทำได้เพียงสะบัดหน้าหนี ก่อนที่ผ้าแพรจะรัดแน่นจนสุดแรงลิ้นปลิ้นจุกปากหนาอูมดวงตาเบิกกว้างและลมหายใจที่ขาดหายไป ทิ้งไว้เพียงร่างอวบหนาเปล่าเปลือยซึ่งถูกพันธนาการมัดโยงด้วยแถบแพรสีแดงสดเอาไว้ รอยยิ้มสยองจากริมฝีปากดำคล้ำที่ประดับบนใบหน้าขาวซีดของอมนุษย์ที่คร่อมทับร่างก่อนจะเงยหน้าหัวเราะเปล่งเสียงสั่นประสาทดังก้อง ก่อนจะค่อย ๆ จางเลือนหายไปพร้อมกับหลอดไฟฟ้าที่แตกกระจายทีละหลอด จนห้องชุดทั้งห้องมืดมิด และร่างของการ์ดหน้าประตูที่วูบหมดสติล้มคว่ำลงกับพื้นพรมหนา
.............................................................................

แรงเทียน

  • บุคคลทั่วไป
                                    

ตอนที่ ๔

“ไม่ได้นะเทียน จะเลื่อนงานไปไม่ได้พี่ไม่ยอม ทุกอย่างเราเตรียมไว้หมดแล้วนะจะมาบอกเลื่อนกะทันหันแบบนี้ได้ยังไง”
วิภาวีหวีดเสียงขึ้นดังกลางที่ประชุม เทียนบุญสูดลมหายใจเข้าปอด คิดไว้แล้วว่ามันต้องออกมาในรูปแบบนี้
“เทียนทราบครับพี่ภา แต่เทียนคิดว่าเทียนอยากจะให้ชื่อเสียงของเทียนเป็นที่รู้จักของนักข่าวหรือวงสังคมก่อนครับ”
“แล้วจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนล่ะเทียน ชื่อของเธอถึงจะเป็นที่รู้จักของคนในสังคมหรือนักข่าวน่ะ จะอีกกี่เดือน กี่ปี”
เป็นประโยคที่ทำให้ไฟในใจมันโหมกระหน่ำขึ้น สายตาปราดมองดูเจ้าของคำพูดอย่างเหยียดหยัน
“งานนี้เทียนรับผิดชอบเองนี่ครับ ไม่ว่าจะอีกกี่เดือน กี่ปี เทียนจะต้องทำให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเทียนจะเป็นคนรับผิดชอบเอง อีกอย่าง การมีชื่อเสียงในวงการนี้ เทียนว่ามันไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนั้นหรอกครับพี่ภา”
“หึ เสียเวลา แล้วนี่จะยังไง ทำงานแบบนี้ไม่โปรเลยนะเทียน”
เทียนบุญเม้มปากแน่น
“โปรไม่โปรผลงานมันยังไม่ออกมา เลื่อนไปแค่อาทิตย์เดียวนี่คงไม่เป็นไรมากหรอกมั้งครับพี่ภา”
“ใครบอกไม่เป็นไร ถ้าคอลั่มออกไม่ทันหนังสือล่ะ เธอจะรับผิดชอบยังไง”
“ทันแน่นอนครับ พี่ภาไม่ต้องห่วง เทียนเคยทำกับสำนักงานแม่มาแล้ว เรื่องแค่นี้ทำไมเทียนจะไม่มีปัญญา อย่างที่เทียนบอกไป เทียนจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้เอง ไม่ว่าจะยังไง และเทียนจะขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย งานนี้เทียนเป็นคนรับผิดชอบเอง และอยากจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง กรุณาเชื่อใจเทียนด้วยครับ”
เทียนบุญจ้องหน้าวิภาวีเขม็ง ภายในห้องประชุมเงียบสนิทไม่มีเสียงจากปากของใครเล็ดลอดออกมา มีเพียงสายตาที่มองดูคนทั้งสองห้ำหั่นกันด้วยแววตาและคำพูด
“ทานคะ เมย์อยากให้ทานเชิญเทียนมางานด้วยน่ะค่ะ”
มณีอารียาเองก็เตรียมงานตัวเป็นเกลียว งานที่จะเกิดขึ้นจะต้องสมบูรณ์แบบที่สุด และงานนี้จะถือเป็นการตบหน้าใครบางคน ใครคนนั้นอาจจะหงายหลังหน้าชาไปเลยก็ได้ คนที่เป็นเพศแม่ไม่ใช่จะยอมใครง่ายๆ จะทำให้เขารู้ว่าเพศแม่นี่เองที่มีค่าคู่ควรกว่าคนสองเพศอย่างเขา
“จะดีเหรอเมย์ แล้วเรื่องนายแบบนั่นล่ะ”
“ดีสิคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะทาน เทียนเขาเคยทำงานเมืองนอกมาก่อนไม่ใช่เหรอคะ เมย์ว่าเขาน่าจะยอมรับได้”
“แต่ทานว่ามันจะเป็นการหักหน้าเขาเกินไปไหมเมย์”
“ไม่หรอกค่ะทาน ทำไมคะ ห่วงเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ นี่มันเป็นธุรกิจนะทาน ใครดีใครได้สิ ในเมื่อเขาบอกยกเลิกนายแบบแล้ว มันก็สิทธิ์ของใครก็ได้ที่จะจ้างไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่เทียนยกเลิกเพราะทานไปขอร้องเขานะเมย์”
“ทานคะ”
เสียงของมณีอารียาเริ่มแข็ง
“ทานก็บอกเทียนไปสิคะว่าพอดีคุณพ่อท่านเปลี่ยนใจเลือกนายแบบคนอื่น ไนท์ไงคะดังเหมือนกัน”
“เอ่อ เมย์ ”
“เปิดตัวคอลลั่มเล็กๆ ทำไมต้องใช้นายแบบดังๆด้วย มีนายแบบขึ้นใหม่อีกเป็นร้อยไม่เอาล่ะคะ แค่นี้นะคะทาน หวังว่าวันศุกร์นี้เมย์จะได้เห็นทานมางานเมย์กับเทียนนะคะ”
มณีอารียาวางสายไปแล้ว เธอแสยะยิ้มออกมาอย่างสะใจ ช่วยไมได้นะอยากมาลองดีกับคนอย่างมณีอารียาก่อน นี่มันแค่บทเรียนแรกกับการที่จะแย่งคู่หมั้น แค่บทเรียนแรก
“พิม ไนท์น่ะเราก็จะเอานะ เอาสองคนเลย”
“อ้าวแล้วปลายฟ้าล่ะเมย์”
“เราเปลี่ยนตีม เราอยากได้สองคน ทำตามที่เราบอก”
มณีอารียาเดินไปดูความเรียบร้อยตามตู้โชว์เครื่องเพชร ไปหยุดลงตรงหน้าตู้โชว์นาฬิกาชิ้นพิเศษที่เธอภาคภูมิใจ นาฬิกาฝังเพชรทั้งเรือน เรือนเดียวในโลกที่เธอสั่งทำเป็นพิเศษ งานครั้งนี้ชื่อเสียงของเธอจะต้องโด่งดังเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
“งานเปิดร้านเพชรเหรอทาน”
ธรรมทานเองก็ยอมโทรศัพท์ไปชวนเทียนบุญตามที่มณีอารียาต้องการ
“ใช่เทียน อยากให้เทียนไปกับทานน่ะ”
“งานของมันน่ะเหรอ”
“ใช่ ไปไหมครับที่รัก”
ธรรมทานรู้ดีว่าการออดอ้อนของเขาได้ผลเสมอ ไม่ว่าจะเวลาใด
“ได้สิ อยากให้ไปก็จะไป”
แสยะยิ้มออกมาแววตาฉายเล่ห์บางอย่าง
“ครับเดี๋ยวทานจะไปรับเองนะเทียนไม่ต้องขับรถมา”
“แล้วเขามีอะไรพิเศษเหรอทาน มีไหม หรือว่าแค่เปิดร้านเพชร เล็กๆ”
“เห็นบอกว่ามีนาฬิกาสั่งทำพิเศษนะ เพชรทั้งเรือน นาฬิกาสุลต่านน่ะ”
“อ้อ แค่นี้เองเหรอ”
ธรรมทานวางสายไปแล้ว เทียนบุญรีบออกจากที่ทำงานตรงไปยังห้างชื่อดังนั้นทันที
“ทาน วันนี้ไม่ชวนเมย์เขาออกไปกินข้าวเหรอ”
พอถึงชั้นที่ร้านเพชรของมณีอารียาอยู่เทียนบุญก็กดโทรศัพท์ไปหาธรรมทาน เดินวนดูว่าตรงไหนที่จะพอนั่งมองความเคลื่อนไหวของคนภายในร้านได้บ้าง ร้านกาแฟอีกชั้นคือที่เหมาะสมที่สุด
“ทำไมเหรอเทียน ทานทำงานอยู่เลย”
“ก็ข้าวเที่ยงไงทาน ถึงเทียนจะเป็นคนรักของทาน แต่เทียนก็รู้นะว่าอะไรคืออะไร น่าสงสารเมย์เขาออกนะที่มีคู่หมั้นแต่ใจของเขามีให้คนอื่นน่ะ เทียนให้ทานไปกินข้าวกับเมย์ได้นะ ให้เวลาเธอบ้างเธอจะได้ไม่สงสัยไงทาน”
“เทียน นี่ความคิดเทียนเหรอ น่ารักจริงๆเลย ทานหนักใจมาตลอดนะว่าเทียนจะไม่ยอม”
“แหมทาน ทานยังไม่รู้จักเทียนอีกเหรอ เทียนไม่ใช่คนใจดำแบบนั้นสักหน่อยนะ”
ร้านเพชรของมณีอารียาแม้จะยังมีการตกแต่งเตรียมรับวันงานแต่กระนั้นร้านก็ยังเปิดให้บริการอยู่เช่นเคย เทียนบุญนั่งลงร้านกาแฟบนชั้นลอยเลือกที่นั่งที่สามารถมองเห็นทางเข้าออกได้อย่างชัดเจนอยู่บนชั้นสูงขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น
“หึหึ แรงนักเหรออีชะนี หน้าชาก็คราวนี้ล่ะมึง”
เทียนบุญเอ่ยขึ้นแล้วรีบลุกจากที่นั่งเมื่อเห็นมณีอารียาถือกระเป๋าออกจากร้านไป
“เปิดอยู่ไหมครับ”
เทียนบุญเดินตรงเข้าไปในร้าน
“สวัสดีค่ะ เปิดค่ะ สนใจเครื่องเพชรเหรอคะ”
“ครับ ผมอยากดูนาฬิกาน่ะครับ ฝังเพชรเยอะๆมีไหม”
เทียนบุญไม่ได้สนใจมองพนักงานที่มาต้อนรับแต่อย่างใด แต่สายตามองหาสิ่งที่เขาอยากจะเห็น
“อ้อ สนใจนาฬิกาฝังเพชรเหรอคะ คืออาทิตย์หน้าร้านเราจะมีงานเปิดตัวน่ะคะ ถ้าว่างเรียนเชิญนะคะ”
“ที่ร้านมีนาฬิกาฝังเพชรไหมครับ ผมอยากจะขอดูหน่อย”
“มีค่ะ มีอยู่ชิ้นนึงที่เราภาคภูมิใจมาก มีชิ้นเดียวในโลกเลยนะคะ เพราะคุณเมย์เจ้าของร้านสั่งทำพิเศษจากสวิสต์”
“อืม ครับ ขอดูเรือนนั้นครับ”
“เอ่อ คือเรายังไม่ขายนะคะ แต่จองไว้ก่อนได้”
“ครับ ผมก็แค่อยากจะดู เพราะมีงบอยู่ ยี่สิบล้าน ถ้าแพงไปก็คงไม่ไหว”
พนักงานสาวทำตาโต
“แต่ตอนนี้นาฬิกามันอยู่ที่เซฟของธนาคารน่ะคะคุณผู้ชาย”
“มีบัวร์ชัวร์ไหมล่ะครับ ผมจะได้เอาไปประกอบการตัดสินใจ แล้วราคาอยู่ที่เท่าไหร่ครับ”
“มีค่ะ ราคาเปิดตัวเราขายอยู่ที่ สิบสามล้านแปดแสนค่ะ”
“อ้อ สบายมาก น่าจะสวยนะ ถ้าถูกใจผมขอโทรฯมาจองเลยได้ไหมครับ”
“ยินดีค่ะ ว่าแต่คุณผู้ชายชื่ออะไรนะคะ ไม่ทราบมีนามบัตรไหม”
“อ้อ พอดีผมยังไม่ได้พิมพ์น่ะครับ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก”
เทียนบุญไม่สนใจเออีกต่อไปพอได้บัวร์ชัวร์เกี่ยวกับนาฬิกาเรือนพิเศษก็สาวเท้าออกจากร้านทันที
“เรือนเดียวในโลก หึหึ”
ความคิดของเทียนบุญแตกแขนงไปอย่างรวดเร็ว สายตาที่ฉายแววออกมามันสะท้อนความเคียดแค้นในใจ
“พ่อ เทียนมีเรื่องอยากจะให้ช่วย”
เทียนบุญเอ่ยขึ้นตอนก่อนทานข้าวเย็น โต๊ะถูกตั้งสำรับไว้สำหรับสี่คน แต่มีเพียงคุณเทียนทิพย์และเทียนบุญเท่านั้นที่นั่งอยู่
“มีอะไรเทียน”
เทียนบุญบอกความต้องการออกไป คุณเทียนทิพย์กำลังจะอ้าปากพูดออกมา แต่ปาริฉัตรก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี   
“หึ ดีจังนะ ให้เจ้าของบ้านมานั่งรอกินข้าวเนี่ย”
“เทียน”
บิดาเอ่ยเสียงคำรามปรามเอาไว้
“ขอโทษด้วยนะคะคุณเทียน พอดีกำลังจัดของให้ตาแม็คอยู่น่ะจ๊ะ”
“แล้วไม่รู้เวลาเหรอ อยู่ที่นี่มาก็นานแล้วนะ อะไร”
“พอทีๆ มาๆฉัตรมานั่ง แล้วตาแม็คล่ะ”
เทียนบุญกัดฟันแน่น
“ตาแม็คกำลังลงมาค่ะ ลูกจะไปเข้าค่าย รด ต้องจัดของให้หน่อย”
“งั้นเทียนขอเบอร์ติดต่อด้วยนะพ่อ ไม่กงไม่กินมันแล้ว เสียอารมณ์ รอนานเซ็ง”
“เทียน ทำไมทำตัวแบบนี้”
เสียงตวาดดังลั่นของเจ้าของบ้านดังขึ้น
“หรือพ่อจะให้เทียนทำมากกว่านี้ ทำเยอะกว่านี้ก็ได้นะ พ่อก็รู้ว่าเทียนรู้สึกยังไง แล้วยังมาทำตัวแบบนี้อีก ไม่ใช่เทียนไม่ประนีประนอมนะ แต่ทำแบบนี้เทียนไม่ชอบ เทียนเป็นคนยังไงพ่อก็น่าจะรู้ดี อย่าให้ไม่ชอบไปมากกว่านี้ มันจะอยู่กันลำบาก”
เทียนบุญลุกออกจากโต๊ะทันทีไม่สนใจฟังเสียงของบิดา
“เฮ้อ โทษทีนะฉัตร นิสัยเริ่มเสียลงทุกวันๆ ตั้งแต่แม่มัน เอ่อ”
หลุดปากออกมาแล้วมองไปที่ผู้หญิงอีกคนที่ตนก็เรียกเขาว่าแม่ของลูกเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณ ฉัตรเข้าใจลูก ผิดที่ฉัตรเองล่ะค่ะ ที่ลงมาช้า ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าลูกเทียนแกไม่ชอบ”
“เอาน่า มาๆกินข้าว ช่างหัวมัน”
“อ๊ะ”
พอเดินขึ้นชั้นบนก็ปะหน้ากับทินกรที่กำลังเดินออกจากห้อง เขาหน้าเจื่อนลงทันที
“เอ่อ”
“หลบ”
เพราะความตื่นกลัวที่มีอยู่ทำให้ทินกรยืนนิ่งขวางทางของเทียนบุญอยู่
“พี่ไม่กินข้าวเหรอครับ”
เขาเอ่ยเสียงออกมาตะกุกตะกัก คุณปาริฉัตรเรียกทินกรเข้าไปคุย ไม่อยากให้เกิดความบาดหมางมากไปกว่านี้ในครอบครัว
“กินไม่ลง ไม่อยากร่วมโต๊ะกับคนอื่นน่ะ”
เทียนบุญมองทินกรด้วยหางตาเน้นยำคำที่แทงใจเขา แล้วแสยะยิ้มออกมา
“เอ่อ”
“เสวยสุขกันให้พอ ก่อนที่จะไม่ได้ทำ ระวังไว้ให้ดีเถอะแก”
เทียนบุญสะบัดหน้าเดินผ่านไป
“อีตุ๊ดเอ๊ย สัด”
ทินกรเอ่ยออกมาเบาๆ
“ว่าอะไรนะ เมื่อกี๊แกว่าอะไร หา”
หันกลับมาถลึงตาแหวเสียงขึ้น ทินกรหน้าซีดลงทันที
“แกกล้าดียังไง หา เป็นแค่ผู้อาศัย นี่แกด่าชั้นเหรอ”
“อะไรกันลูก มีอะไรกัน เทียนว่าอะไรน้อง”
“เทียนจะไปว่าอะไรมัน มันน่ะสิมาว่าเทียน สอนลูกยังไง ไร้มารยาท รู้อะไรบ้างถึงได้พูดออกมา รู้เหรอว่ามันเป็นยังไง”
“อย่ามาว่าแม่ผมนะ”
“ทำไมจะว่าไม่ได้ สอนลูกแบบนี้สิมันถึงไม่รู้สักสัมมาคารวะ ต่ำ ชาติพรรณเป็นกาแต่กระแดะอยากจะมาสิงฝูงหงส์ ไม่เจียม”
“อีห่า มึงจะหยุดไม่หยุด มึงดีนักเหรอ ดีแต่ปากหมาไปวันๆ”
“ไอ้”
“พอแล้วๆ เทียนเข้าห้องไป”
“แม็ค ทำไมไปพูดกับพี่เขาแบบนั้นลูกไม่ดีนะ”
ทั้งสองหน้าซีดเผือด ทินกรเองอดทนกับอารมณ์ร้ายของเทียนบุญมานานไม่ชอบ ไม่เคยชอบ แต่ก็ด้วยมารดาของตนขอเอาไว้ เทียนบุญเม้มปากแน่น
“กริยามารยาทแบบนี้ เทียนไม่นับเป็นน้อง ต่ำช้าที่สุด”
“พ่อบอกให้หยุดเทียน”
“ผมก็ไม่ได้อยากมีพี่นิสัยเลวๆแบบนี้หรอก”
“ไอ้”
เทียนบุญปรี่เข้าหา ผลักไปที่หน้าผากของทินกรอย่างแรง จนเขาเซไปอีกทาง
“เทียน พ่อบอกให้หยุด”
คุณเทียนทิพย์แทรกตัวเข้าไปขวาง เทียนบุญง้างหมัดกัดฟันแน่น จ้องหน้าของทินกรที่หลบอยู่เบื้องหลังของบิดาอย่างเกลียดชัง
“อย่าหาว่าเทียนร้ายนะพ่อ แต่ถ้าไม่เคารพเทียน เทียนจะทำให้เจ็บ มึงจำเอาไว้”
เทียนสะบัดหน้าเข้าห้องไปแล้ว คุณเทียนทิพย์พยายามจะรั้งแขนเอาไว้แต่ไม่ทัน
“ทำไมไม่เชื่อแม่เลยแม็ค ทำไมไปว่าพี่เขา ทำไมเราไม่อดทน เราเป็นแค่ผู้อาศัย เรามาทีหลังนะ”
คุณปาริฉัตรร่ำไห้ออกมาจับแขนบุตรชายเอาไว้
“ฉัตร ไม่เอาอย่าพูดแบบนี้ เทียนมันนิสัยไม่ดีเอง ลูกแม็คไม่ผิดหรอก”
“แม่ แม็คไม่ได้เริ่มนะ”
“อย่ามาเถียง เราเป็นใคร แม่บอกกี่ครั้งแล้ว จะต้องให้แม่ทำยังไงเราถึงจะยอม หา แม็ค จะให้แม่ทำยังไง”
“ฉัตรไม่เอาๆ ไม่เป็นไรลูกแม็ค พี่เขาอารมณ์ร้ายแบบนี้ล่ะเดี๋ยวพ่อจัดการให้ ไม่ต้องคิดมาก”
“อย่าไปโอ๋ลูกแบบนั้นสิคะคุณ ลูกเด็กกว่าลูกเทียนเยอะ แม่ไม่อยากให้เราไปอะไรกับพี่เขานะแม็ค เข้าใจแม่ใช่ไหม”
“ใช่แม่ แม็คเข้าใจ ลูกเมียน้อยอย่างผม จะมีสิทธิ์อะไรล่ะ”
“แม็ค”
บริเวณชั้นแรกสองของห้างดังย่านสุขุมวิท มีผู้คนมากหน้าหลายตาที่ล้วนแล้วแต่งกายในชุดที่ไม่มีใครยอมน้อยหน้าใครออกันแน่นอยู่บริเวณหน้าร้านเพชร แสงแฟลชวูบวาบที่นักข่าวจากแวดวงสังคมไฮโซกดชัตเตอร์กันมือเป็นระวิง หนุ่มสาวที่เป็นคนในแวดวงสังคมนี้ต่างยืนโพสต์ท่าให้ช่างภาพถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนาน หน้ากากที่สวมใส่มาจากบ้านตอนนี้ถอดไม่ได้ ไม่มีใครยอมถอด ปั้นหน้า ยิ้มสวย หัวเราะร่าเริง นี่คือความจริง?
“ขอบคุณนะคะที่มาในงาน”
เสียงของเจ้าของร้านที่แต่งตัวสวยสะพรั่งยืนรอรับผู้ที่มาในงานอยู่หน้าร้าน  เธอสวยเด่นกว่าใครจนตากล้องไม่ยอมออกห่างจากเธอจับภาพในทุกอิริยาบถก็ว่าได้ มณีอารียาสวมเดรสสีแดงเพลิง งามระยับด้วยเครื่องประดับเพชรที่เข้าชุดกัน
“เหมาะสมกันมากครับ คุณโป้ง ชิดหน่อยครับ ชิดหน่อย”
เสียงช่างภาพร้องบอกให้ชายหนุ่มรูปงามอีกคนที่ยืนเคียงข้างมณีอารียา กนิฐ หลัวตระกูล ชายหนุ่มที่ติดสอยห้อยตามมณีอารียาไปทุกๆงาน เขายืนเด่นเคียงข้างอยู่กับมณีอารียาไม่ยอมห่าง เคียงข้างกันจนคนอื่นเขาคิดว่านี่ล่ะคือคู่หมั้น คู่หมายของเธอ
“เดี๋ยวก็มีคนเอาผมกับเมย์ไปแซวว่าเป็นแฟนกันหรอกครับพี่ๆ”
เขาหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“อ้าว ทำไมล่ะครับ ไม่ใช่แฟนกันหรอกเหรอ แหมแรกๆก็เพื่อนกันนี่ล่ะครับคุณโป้ง คอยดูเถอะ เดี๋ยวก็มีข่าวดี”
“ไม่จริงหรอกครับพี่ เมย์เขามี”
“โป้ง ไม่ต้องพูด”
มณีอารียาดังคอไว้แล้วจับต้นแขนแนบตัวชิดกับเขาเข้าไปอีก
“อ้าว ทำไมล่ะเมย์ เรามีสิทธิ์เป็นแค่เพื่อนของเมย์นี่”
“นั่นล่ะไม่ต้องพูด”
มณีอารียายิ้มให้แล้วหันไปชักสีหน้าเพื่อให้ช่างภาพถ่ายรูป มือยังเกาะแขนของเขาอยู่ไม่ยอมปล่อย แขกที่มาในงานคัดคนที่เชิญมาทั้งนั้น มีหน้ามีตาทางสังคมไม่วงการใดก็วงการหนึ่ง และไม่ใช่แค่เพียงคนที่เพิ่งเข้าวงการมาเท่านั้น คนที่มาในงานล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงในวงการมาแล้วนานพอสมควรจึงได้รับเกียรติเชิญมาในงาน ภายในร้านจัดเป็นที่นั่งแล้วมีเวทียาวเกือบถึงทางเข้าหน้าร้าน ดอกไม้ลูกปัดคริสตัลถูกร้อยระโยงรยางค์เต็มไปหมด ยิ่งเวลามันสะท้อนแสงไฟเหมือนร้านนี้เต็มไปด้วยเพชรสมดังใจของเจ้าของร้านเอง
“ทำไมใส่สีดำทั้งตัวแบบนี้ล่ะเทียน”
ธรรมทานเอ่ยขึ้นตอนเจอหน้าเทียนบุญที่หน้าบ้าน รถยุโรปคันงามมันดูงามยิ่งกว่าเมื่อคนขับก้าวขาลงมาจากรถ อาภรณ์ประดับคนมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาทำให้รถคันนี้มันดูมีราคามากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ผมที่ลงน้ำมันหวีจัดทรงเข้ากับสมัยนิยม รองเท้าหนังสีน้ำตาลแต่มันวับ เสื้อเชิ้ตตัวในสีเทาควันบุหรี่ทับด้วยแจ็กเก็ตสีเทาเข้มๆ กางเกงสีกรมท่าเข้มๆ
“อะไรทาน เรามาจากเมืองแฟชั่นนะ ใครเขาถือกัน ไม่ถือพวงหรีดไปด้วยก็บุญหัวแค่ไหนแล้ว”
ช่วงท้ายประโยคลดเสียงลง เทียนบุญไม่ได้สนใจอะไรกับคำท้วงติง เขาเดินก้าวขึ้นรถไปทันที
“ต้องมีของอะไรให้ไหมเนี่ย”
“ไม่ต้องหรอก เขาสิควรจะมีของให้เรา เพราะเราไปงานเขา”
เทียนบุญไม่ตอบแต่หันมองออกไปหน้ากระจก ฉายรอยยิ้มออกมาอย่างที่ไม่มีใครสามารถจะอ่านมันออก
“ทานเข้างานไปก่อนนะ เดี๋ยวเทียนไปเข้าห้องน้ำก่อน”
พอถึงห้างทั้งคู่ก็เดินตรงไปยังบริเวณงาน สายตาทุกคู่ที่ทั้งสองเดินผ่านต่างจ้องมองมาเป็นตาเดียว ชายหนุ่มในชุดสีอ่อนก็งามราวเทพบุตร อีกคนก็ไม่ต่างกัน เทียนบุญแต่กายด้วยชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อเชิ้ตด้านในเป็นเสื้อผ้าซาดินปักดิ้นด้วยหินสีดำระยับคล้ายนิล กางเกงสแล็คอย่างดีขาทรงลีบตามแฟชั่น รองเท้าหนังปลายแหลม เข็มขัดเป็นคริสตัลที่สั่งทำพิเศษของร้านเสื้อยี่ห้อดังของอังกฤษ
“เดี๋ยวทานรอก็ได้”
“ไม่จำเป็นหรอกทาน เทียนเข้าห้องน้ำนะ รู้ว่างานอยู่ที่ไหน”
เทียนบุญเดินปลีกตัวไป ส่วนธรรมทานก็เดินเข้างานไป
“ทาน ทางนี้ค่ะทางนี้”
มณีอารียาพอเห็นหน้าก็ปรี่เข้าไปหาธรรมทาน ส่วนชายคนที่ยืนเคียงคู่อยู่ก่อนหน้าเขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว
“อ้าวแล้วคุณเทียนล่ะคะทาน ไม่มาด้วยเหรอ”
เป้าหมายของเธอคืออีกคนไม่ใช่ธรรมทาน สายตามองหาตามหลัง แต่ก็ไม่มีแม้เงา
“อ้อ เทียนไปห้องน้ำน่ะ เดี๋ยวคงมา งานเริ่มหรือยังเมย์”
“หึหึ คงไปเตรียมใจช็อก อีกสิบนาทีค่ะทาน เข้าไปด้านในกันเถอะ”
แสยะยิ้มออกมาแล้วเกาะแขนของชายหนุ่มไปยืนให้นักข่าวถ่ายภาพ
“คู่หมั้นเมย์เองค่ะ ธรรมทาน”
มณีอารียาประกาศยิ้มให้ช่างกล้อง พลันแสงวูบวาบก็สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เสียงร้องถามเกี่ยวกับตัวธรรมทานดังระงมไปหมด สายตาคู่หนึ่งมองอยู่ด้วยความผิดหวัง คนที่เขารักมานานเฝ้าตามทุกฝีก้าว เวลานี้เธอไม่ได้หันมาแม้จะชายตามองเลย เรามันเป็นแค่คนที่มีค่าเวลาที่เขาเหงา เท่านั้นเองหรือ
“ของล่ะ”
เทียนบุญไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำแต่อย่างใด เขาเดินผ่านออกไปทางลานจอดรถนัดพบกับชายรูปร่างสันทัดหน้าตาดูท่าทางฉ้อฉลเพราะแววตาดูกลิ้งกรอกไปมาพิกล
“นี่ครับคุณเทียน”
เขาเปิดกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มนั้นออก เทียนบุญหยิบของในนั้นขึ้นมาพิจารณาดูทันที
“สวยมาก นี่ของนาย ขอบใจมาก”
เสียงประกาศบนเวทีดังขึ้นแล้วว่างานเปิดตัวร้านเพชรที่เจ้าของร้านประกาศกร้าวว่าร้านของตนหรูที่สุดในกรุงเทพฯตอนนี้ สิ้นเสียงของพิธีกรเสียงเพลงก็กระหึ่มดังขึ้น
“เดี๋ยวๆ ผมยังไม่ได้เข้างานเลย”
เทียนบุญรอจังหวะที่เสียงพิธีกรประกาศ เห็นนักข่าวกำลังทยอยเดินกันเข้าไปในร้าน เขาร้องเรียกไว้ด้วยเสียงอันดัง
“ผมมาทันไหมเนี่ย”
เทียนบุญยกข้อมือขึ้นทำท่าปาดเหงื่อ สายตาของนักข่าวทุกคนหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงตากล้องของสำนักข่าวในแวดวงไฮโซเท่านั้นที่ถ่ายภาพเขาได้ภาพหนึ่ง
“หนอย คอยดูเถอะ”
เสียงเพลงดังเร่งจังหวะขึ้น นางแบบเดินรายเรียงออกมาอย่างแช่มช้อยโชว์เครื่องเพชรที่ประดับระยิบระยับอยู่บนกาย แต่นางแบบเป็นแค่ตัวประกอบเวที เพราะจุดสนใจของงานอยู่ที่ตัวของนายแบบ ปลายฟ้า และไนท์ ทั้งสองเดินออกมาทีละคน โดยไนท์เดินออกมาก่อน เขาเปลือยท่อนบน มีเพียงนาฬิกาบนข้อมือที่ฝังเพชรวาวระยับเนื้อตัวทาฉาบไปด้วยสีทอง ไนท์ยืนนิ่งอยู่กลางเวที ถึงเวลาปรากฏตัวของปลายฟ้านายแบบ ดาราดังแห่งยุค เขาเดินออกมาเสียงฮือฮาดังขึ้นทันที ปลายฟ้าแต่งตัวเหมือนๆกับไนท์แต่เสียงฮือฮามันดังมาจากการนาฬิกาบนข้อมือของเขา เพชรที่ฝังอยู่รายรอบไปทั้งตัวเรือนของนาฬิกามันทำให้ข้อมือของเขาดูระยับแพรวพราวเด่นกว่าหน้าตาของเขาเสียอีก
“ผลงานชิ้นมาสเตอร์พีชของทางร้านเราครับ นาฬิกาสุลต่าน ออกแบบโดยคุณมณีอารียา มีเพียงเรือนเดียวในโลก เท่านั้น”
เทียนบุญเข้าไปยืนอยู่ในบริเวณงานพอดี เขาตัวสูงพอที่จะมองเห็นตัวนายแบบได้อย่างชัดเจน พอเห็นก็เซไปด้านหลัง
“แก ร้ายกาจมากนะ”
กัดฟันกำหมัดแน่น ไม่คิดว่าธรรมทานจะรู้เห็นกับมณีอารียาด้วย โกรธจนหน้าแดงมือสั่น ความแค้นมันดันดีดขึ้นจนหน้าแดงฉานไปด้วยเลือดของความเกลียดชัง
“แกจะได้รู้นังเมย์ ใครมันจะแน่กว่าใคร”
พอพูดจบเทียนบุญก็แกล้งสะดุดขาตัวเองล้มลง
“โอ๊ย ล้ม”
เสียงร้องที่ดังกลบเสียงของพิธีกร หรือแม้แต่เสียงเพลงดังขึ้น ทุกคนหันไปมองตามต้นเสียง เทียนบุญที่กำลังพยายามดันตัวลุกขึ้นมา มีการ์ดยื่นมือไปฉุดเขาขึ้นมา วินาทีนั้นเอง
“อ๊ะ นั่น”
เสียงฮือฮาดังขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ทุกสายตาต่างก็มองข้อมือของเทียนบุญเป็นตาเดียว
“ทำไมมัน”
“คุณเอ่อ”
นักข่าวท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นแต่ด้วยที่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาของเทียนบุญมาก่อน
“ผมชื่อเทียนครับ เทียนบุญ”
ยิ้มออกมายืนเชิดหน้าขึ้น ทำหน้าอกให้ผึ่งผาย
“ใช่คุณเทียน ลูกคุณเทียนทิพย์ที่เพิ่งกลับจากอังกฤษหรือเปล่าคะ”
“ครับ พ่อผมเอง”
“ตายจริง ที่ทำงานให้กับนิตยาสาร”
นักข่าวสาวสังคมเอ่ยชื่อนิตยาสารขึ้นแล้วเสียงฮือฮาก็ดังขึ้น ตอนนี้บนเวทีมีนายแบบและนางแบบยืนอยู่ แต่นักข่าวเกือบทั้งหมดพุ่งความสนใจมาที่ตัวเทียนบุญ มากกว่าเครื่องเพชรบนกายนายแบบและนางแบบบนเวทีเสียอีก
“แล้วนี่นาฬิกา”
“อ้อ พอดีซื้อตอนไปเที่ยวสวิสต์น่ะครับ เห็นมันเวอร์ๆดีเลยซื้อมาเผื่อมีโอกาสใส่ มีจริงๆด้วย”
พอรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมณีอารียาก็ลุกขึ้นมอง พอเห็นว่าใคร พอแลเห็นว่าอะไรบนข้อมือเธอถึงกลับทรุดนั่งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง หน้าซีดหายใจไม่ถนัด
“พี่เมย์ ไหวมั้ย”
มกุฏโกเมนที่เกณฑ์เพื่อนฝูงที่มหาวิทยาลัยมาช่วยเสริ์ฟแชมเปญในงานเข้ามาประคองร่างพี่สาวเอาไว้ มีธรรมทานอีกคน
“ไม่เป็นไร เจไปดูแลหลังเวทีให้พี่หน่อย เผื่อเขาต้องการอะไรเพิ่ม
มณีอารียาเอ่ยออกไปเสียงขาดๆหายๆ ไม่อยากให้น้องชายเห็นในสิ่งที่ตัวเองจะทำในต่อไปนี้
“ตายจริง เหมือนกับบนเวทีเลยค่ะ”
เสียงฮือฮาดังเพิ่มขึ้นไปอีก
“ของปลอมหรือเปล่า”
มณีอารียาสุดที่จะทนดูอยู่ได้ นี่มันงานเปิดตัวร้านเพชรของเธอไม่ใช่หรือ ไม่ใช่งานเปิดตัวคนอื่น เสียงกระแทกฝ่าวงของนักข่าวไป สายตาของเธอแค้นจัด เม้มปากแน่น
“อุ๊ย พอดีสั่งทำนะครับ ต้นตระกูลผมไม่เคยใช้ของปลอม เศษเพชรแค่นี้เอง ราคาไม่เท่าไหร่ เรื่องอะไรจะไปใช้ของปลอมให้ข้อมือระคายเคือง”
เทียนบุญพูดแล้วหัวเราะเหมือนไม่ถือสา แต่ในใจมันดีดร้องสาแก่ใจอยู่
“ไม่มีทาง นาฬิกาเรือนนี้สั่งทำพิเศษแค่เรือนเดียว ฉันเป็นคนออกแบบเอง ไม่มีทางที่จะไปเหมือนใคร”
“เอ่อ แต่ตอนไปสวิสต์เขาบอกว่าทำออกมาหลายเรือนนะครับ ขอโทษจริงๆ ผมไม่ยักรู้ว่า มันจะซ้ำกับฟีนาเล่ของคุณ”
แสร้งทำเสียงรู้สึกผิด นักข่าวก็ถ่ายภาพวูบวาบไม่ยอมให้แสงแฟลชมันจางหายไปเลย สีหน้าของมณีอารียาเกินจะปั้น
“ไปก่อนๆ เมย์ ออกไปทางโน้นก่อน”
คนที่มาดึงตัวมณีอารียาออกไปคือกนิฐส่วนธรรมทานยืนอึ้งอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง ไม่คิดว่าเทียนบุญจะมีนาฬิกาเพชรที่เหมือนกับเรือนที่อยู่บนข้อมือของปลายฟ้านายแบบดังบนเวที เหมือนจนคิดว่าทำออกมาพร้อมกัน ธรรมทานหน้าซีดเพราะช่วงหนึ่งเทียนบุญปรายตามาทางเขา สายตาแบบนั้นเขาเข็ดไปจนวันตาย
“ขอตัวนะครับพี่นักข่าว อ้อ ผมทำงานเป็นผู้ช่วยให้นิตยาสาร”
ถือโอกาสเปิดตัว และมันก็เป็นการเปิดตัวที่ไม่ได้ลงทุนอะไรเลยสักแดงเดียว
“อาทิตย์หน้าวันศุกร์นะครับ ผมขอเชิญพี่ๆสื่อมวลชนไปร่วมงานเปิดตัวคอลั่มใหม่ของนิตยาสารของเรา รับรองครับ ไม่มีซ้ำแบบใครแบบนี้ แน่นอน”
แสยะยิ้มออกมาแล้วเดินตามมณีอารียาเข้าไป แววตาฉายความโกรธแค้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เลว เป็นไงล่ะ อยากลองดีนัก เป็นยังไง”
พอเข้าไปในห้องชั้นในที่เป็นที่พักของมณีอารียา แต่วันนี้ใช้ทำเป็นห้องแต่งตัวชั่วคราว ในนั้นมีคนอยู่ไม่น้อย แต่เทียนบุญไม่ได้เกรงกลังผู้ใด
“แก สาระเลว แกไปจ้างใครทำมา แกต้องการจะหักหน้าฉันใช่มั้ย”
มณีอารียาแผดเสียงขึ้น ช่างแต่งหน้าที่นั่งอยู่หลบกันเป็นแถบๆ
“อ้อ นาฬิกานี่น่ะเหรอ ฮึฮึ ปัญญามีแค่นี้ริอ่านจะทำเรื่องใหญ่ แกเองก็เหมือนกัน แกใช่ไหมที่ให้ทานไปขอเรื่องนายแบบจากฉัน หนอยเลวที่สุด”
“หึหึ โง่ก็เป็นนี่ เป็นไง ได้ข่าวโดนประณามนี่ เก่งนักไม่ใช่เหรอ”
“หนอยแก”
“หยุดนะคุณ ไม่งั้นผมเรียกตำรวจจริงๆนะ”
กนิฐเข้ามาขวางไว้เพราะเทียนบุญโผเข้าไปตั้งใจจะตบให้หนำใจ เขากัดปากแน่น
“ออกไปจากงานของฉัน อีตัวเสนียด”
“ไปแน่ ขายถูกเนอะเครื่องเพชรน่ะ หรือว่าของมันคุณภาพต่ำเหมือนเจ้าของร้าน”
“อีกะเทย”
มณีอารียาสุดจะทนหยิบเอาแก้วแชมเปญในถาดที่เพื่อนๆของมกุฏโกเมนถืออยู่ตั้งใจจะสาดใส่ตัวของเทียนบุญแต่มีนักข่าวเข้ามาเสียก่อน
“ว้าย สะดุด”
เธอไม่ยอมง่ายๆ แกล้งเซไปด้านหน้าแล้วสาดแชมเปญในมือใส่หน้าของเทียนบุญจนเปียกชุ่ม
“อ๊ะ ตกใจ”
เทียนบุญเองก็ใช่ว่าจะยอม เขารีบฉวยเอาแก้วในถาดที่เด็กคนนั้นยืนอึ้งอยู่รีบสาดใส่ตัวของมณีอารียาเหมือนกัน ไม่มีคำพูดจากปากใคร มีแต่อ้าปากค้าง กับสายตาสองคู่ที่ฟาดฟันกันอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ คุณเมย์”
นักข่าวถามขึ้น
“อ้อ ไม่มีอะไรครับ เมื่อกี๊เมย์เขาสะดุด คุณ เอ่อ เขาก็คงตกใจ พี่ๆเชิญด้านนอกก่อนนะครับ ถ่ายรูปเครื่องเพชรของเราหน่อย”
กนิฐดันให้นักข่าวออกจากห้องไป
“แกระวังตัวไว้ให้ดี อีกะเทย แกเจอฉันแน่”
“มาเถอะ มาเสียที อย่าดีแต่เห่า เท่าที่เห็น ทำได้แค่นี้เองเหรอ เธอ มณีอารียา หรือว่ามีสมองแค่นี้”
เทียนบุญเน้นชื่อของมณีอารียาแล้วเดินออกไป บ่ายังตั้งตรง หน้าตายิ้มแย้ม เขาเดินออกไปทักทายนักข่าว ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอยืมงานเปิดตัวร้านเพชร เปิดตัวเองให้ดังกว่าเจ้าของงานหน่อยเถอะ

แรงเทียน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2011 18:09:31 โดย แรงเทียน »

PrinceTae

  • บุคคลทั่วไป
 


เล่ห์ร้าย
ตอนที่ 3.
ลลิตนั่งอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหารตัวยาวเพียงลำพัง ในห้องรับประทานอาหารที่ตกแต่งไว้อย่างสวยหรู แต่กลับไม่ค่อยมีใครในครอบครัวกลับมาใช้
“คุณพ่อคุณแม่ล่ะ” เด็กชายเอ่ยถามหัวหน้าแม่บ้านที่คอยมาดูแลอาหารค่ำให้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คุณท่านติดประชุม คุณผู้หญิงไปงานเลี้ยงค่ะ”
“อืม” เด็กชายตอบรับเบาๆ พยักหน้ารับรู้ แล้วเริ่มทานอาหารไปเงียบๆ

“น่าสงสารคุณหนูริชเนอะป้าเนอะ กินข้าวคนเดียวทุกวัน” เสียงซุบซิบจากสาวใช้ที่คอยมาบริการอาหารเอ่ยขึ้นเบาๆ
“จริงด้วย อายุแค่นี้ปล่อยให้อยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียวแทบทุกวัน” อีกเสียงกระซิบตอบแสดงความเห็นบ้าง
“นังพวกนี้นี่ เรื่องของเจ้านายอย่าพูดมาก” เสียงเอ็ดเบาๆ จากหัวหน้าแม่บ้านทำให้สาวใช้เงียบลง
แต่คำพูดพวกนี้เด็กชายได้ยินบ่อยจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว มันชินชาไปหมด  คำพูดแก้ตัวที่หัวหน้าแม่บ้านใช้บอกให้สบายใจ ก็ไม่รู้จะจริงหรือไม่ ลลิตไม่สนใจอีกแล้วว่าพ่อจะไปทำงาน ไปประชุม หรือไปกับผู้หญิงอื่นที่ไหน แม่จะไปงานเลี้ยงงานการกุศลอะไร ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไป เด็กชายเพียงถอยออกมาอยู่ในมุมของตัวเองจะดีกว่า
“คุณแม่บ้าน ถ้าคุณสมบูรณ์ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ให้เตรียมรถให้ฉันด้วย ฉันจะออกไปข้างนอก” เด็กชายรวบช้อนแล้วเอ่ยขึ้น ก่อนจะลุกไปจากห้องอาหารเงียบๆ

ภายในรถคันใหญ่ที่แล่นเรื่อยไปตามถนน มีเด็กชายนั่งพิงเบาะหันหน้าออกมองไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา ดวงตาเหม่อมองแสงไฟที่ไหววูบตามข้างทางอย่างไร้จุดหมาย
“ไปไหนดีครับคุณหนู”
“ไปเดินเล่นที่เดิมก็ได้” สถานที่ๆ เด็กชายเอ่ยตอบหมายถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ชอบไปเดินเรื่อยเปื่อยบ่อยครั้ง เวลาที่ลลิตไม่อยากอยู่ที่บ้านหลังใหญ่เพียงลำพัง

พอเด็กชายได้เดินเตร็ดเตร่มองดูนั่นดูนี่ เห็นสินค้ามากมายที่เรียงรายอยู่ตามร้านก็รู้สึกดีขึ้น เด็กชายเลือกซื้อของเล่นอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ แวะซื้อของเล่นฝากให้ลูกสาววัยอนุบาลของบอดี้การ์ดคนสนิท และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง จนกระทั่งเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าผู้ชาย ลลิตสะดุดตาเข้ากับหุ่นโชว์เสื้อผ้าชุดหนึ่ง เสื้อเชิ้ตสีอ่อน กับกางเกงขายาวพอดีตัวสีเทา และรองเท้าหนังแบบผูกเชือกสีขาวทรงทันสมัยที่โชว์ไว้ด้วยกันก็ดูเข้าชุดกันดี ลลิตจัดการซื้อชุดนั้นทั้งชุด แล้วเด็กชายก็รับถุงพวกนั้นมาถือไว้เอง ไม่ได้ให้สมบูรณ์ถือให้เหมือนของที่ซื้อมาก่อนหน้านี้
ของที่ซื้อทุกอย่างถูกเก็บไว้หลังรถยกเว้นถุงเสื้อผ้าและของเล่นชิ้นใหม่ของคุณหนูที่เอามานั่งเล่นระหว่างกลับบ้าน แต่เด็กชายนั่งคิดอะไรไปสักพักก็คิดว่าอยากเห็นบรูโน่ใส่ชุดนี้ซะตอนนี้เลย เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงให้สมบูรณ์จอดรถแถวนั้น และยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรและสั่งให้มาหาในทันที

.......

ลลิตยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมจนอารมณ์เริ่มกลับมาเป็นปกติ จึงเหลือบตามองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ช้าๆ ก็เห็นวิธวินท์แต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ดูดีเหมาะสมกับชุดที่เด็กชายซื้อมาให้ คิดไปคิดมาก็อยากพาบรูโน่ลงไปเดินอวดคนอื่นบ้าง
“คุณสมบูรณ์จอดตรงนี้แหละ ฉันจะลงเดิน”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะตามดูแลคุณหนูอยู่ห่างๆ นะครับ”
“ตามใจ” ลลิตรับคำไปลอยๆ เพราะรู้ดีว่าถึงปฏิเสธไป บอดี้การ์ดร่างใหญ่ก็จะขัดคำสั่งอยู่ดี

พอก้าวลงจากรถ ลลิตก็มองที่ชายหนุ่มที่ลงมายืนข้างกัน
“ฉันให้นายมาเที่ยวกับฉัน ไม่ได้จะพามาสมัครงาน” เด็กชายเอ่ยขึ้นแล้วมองวิธวินท์ตาขวาง ก็เพราะชายหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้อย่างเรียบร้อยจนเกินไป ชายเสื้อทับในอีกต่างหาก ลลิตหันไปหาชายหนุ่มแล้วจัดการดึงชายเสื้อออกจากกางเกงให้
“เชื่อเค้าเลย ติดกระดุมแขนด้วยเหรอเนี่ย” เด็กชายบ่นพึมพำๆ ออกมาระหว่างแกะกระดุมแขนเสื้อแล้วดึงให้มันไปพับอยู่ที่ข้อศอก
“ดีนะที่ไม่ติดกระดุมคอด้วย” ลลิตบ่นกับตัวเองเบาๆ ไปเรื่อยเปื่อย พร้อมกับปลดกระดุมเสื้อของวิธวินท์ลงมาสามเม็ด
ชายหนุ่มยืนนิ่งมองร่างเล็กที่กำลังจัดโน่น ดึงนี่ให้เขา ปากก็บ่นงุ๊งงิ๊งไปเรื่อย
"เอาล่ะดีขึ้นแล้ว ไปกันได้"

ลลิตเดินนำชายหนุ่มดูนั่นดูนี่ตามข้างทางไปเรื่อยๆ จนถึงทางเข้าถนนเส้นหนึ่ง มองเข้าไปเห็นป้ายไฟหลากหลายสีสันดึงดูดใจให้เด็กชายเดินเข้าไปดู ผู้คนหนาตาแม้เวลาจะใกล้เที่ยงคืนแล้ว
วิธวินท์รีบเดินประชิดลลิตมากขึ้นเพราะผู้คนมากมาย คงจะไว้ใจใครไม่ได้และใช้ลำตัวของตนบังเด็กชายเอาไว้ ช่วงที่ผู้คนเบียดเสียดชายหนุ่มก็ยกแขนขึ้นคอยกันไม่ให้ใครเข้าใกล้ลลิต เด็กชายเดินกินขนมที่ซื้อมาจากร้านข้างทาง ตาก็สอดส่ายมองร้านค้ามากมายไปด้วย แล้วหันเอี้ยวตัวกลับไปเพื่อจะส่งขนมเข้าปากวิธวินท์ ชายหนุ่มทำท่าจะใช้มือรับ
“ไม่ต้องจับ กินเข้าไป” ชายหนุ่มจึงอ้าปากออกรับขนมเข้าปากแล้วเคี้ยวกิน ลลิตใส่ขนมเข้าปากตัวเองบ้าง ใส่ปากวิธวินท์บ้างจนหมด ชายหนุ่มรีบรับถุงขนมเปล่ามาถือไว้เสียเองเพื่อรอการทิ้ง
“เช็ดมือให้หน่อย” เด็กชายยื่นมือมาที่วิธวินท์ ชายหนุ่มดึงกระดาษทิชชู่ที่ได้มาพร้อมขนมเช็ดมือให้คุณหนูอย่างเบามือ
ระหว่างที่วิธวินท์ง่วนกับการเช็ดมือให้เด็กชาย ลลิตซึ่งหันมองรอบๆ ก็เกิดไปต้องตาเข้ากับร้านขนาดใหญ่ มีไฟสีส้มสดใส ป้ายหน้าร้านโดดเด่น The Butterfly Boy
“บรูโน่ ฉันอยากเข้าร้านนี้” ลลิตชี้ให้วิธวินท์ดูร้านที่หมายตา ชายหนุ่มอ่านป้ายหน้าร้านและมองดูการตกแต่งก็พอจะรู้ว่าร้านที่เด็กชายต้องการจะเข้าไปเป็นสถานที่เช่นไร
“แต่คุณหนูครับ นี่มันบาร์โชว์นะครับ” ชายหนุ่มทำหน้าปุเลี่ยน ในชีวิตเขาไม่เคยเข้าสถานที่แบบนี้มาก่อนเลย
“ก็เพราะมีโชว์สิถึงอยากเข้า” เด็กชายยิ่งสนุกขึ้นไปอีกเมื่อเห็นวิธวินท์ทำหน้าจ๋อย
“แต่คุณหนูอายุไม่ถึง”
“ขัดคำสั่งฉันเหรอ มาเร็วบรูโน่” ลลิตดึงข้อมือชายหนุ่มให้เดินตามมา

“ขอดูบัตรด้วยครับ” เสียงการ์ดหน้าร้านเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในร้าน
วิธวินท์ดึงกระเป๋าเงินจะหยิบบัตรออกให้ตรวจ แต่ลลิตพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ได้เอามา”
“งั้นขอโทษนะครับ เข้าไม่ได้” การ์ดเอ่ยบอกแล้วทำท่าผายมือเชิญให้ออกไป
ลลิตล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรใบละพันยัดใส่มือการ์ด การ์ดทำท่าจะไม่รับแต่สุดท้ายก็รับไว้
“แต่ผมขอถามผู้จัดการก่อน” การ์ดหนุ่มลังเลเพราะเห็นท่าทางการแต่งตัวของทั้งสองคงไม่ใช่นักเที่ยวธรรมดา ทางร้านอาจจะได้ลูกค้ารายใหญ่
“เอานี่ไปด้วย ” ลลิตส่งนามบัตรของบริษัทแนบไปด้วย
ทั้งสองถูกกันให้ไปรอที่ทางเข้าด้านใน แสงไฟวูบวาบและเสียงดนตรีที่ดังเล็ดลอดออกมาจากภายใน ดึงความสนใจของเด็กชายได้มาก ลิลิตเขย่งเท้ามองชะเง้อเข้าไปภายในแต่ประตูกระจกทึบแสงทำให้ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจนนัก

รอสักครู่การ์ดคนเดิมก็เดินกลับมาพร้อมกับผู้จัดการร้าน ที่เป็นชายหนุ่มร่างโปร่งบางกว่าวิธวินท์ และยังดูหนุ่มกว่าที่จะมีตำแหน่งเป็นผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ แต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และยังมีเกย์สาวแต่งกายด้วยชุดสวยตามมาด้วยอีกคน
“ยินดีต้อนรับครับคุณหนู” ผู้จัดการหนุ่มเอ่ยต้อนรับ
“มากันกี่ท่านคะ” เกย์สาวคนนั้นเอ่ยถาม พร้อมกับเชื้อเชิญให้ทั้งสองเข้าไปภายใน
“ฉันมากับผู้ติดตามแค่สองคน”
“พี่ชื่อธัญญ่านะคะ นี่พี่กริชเป็นผู้จัดการ พี่ญ่าจะจัดโต๊ะที่ดีที่สุดให้คุณหนูเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไร เราต้องการแค่โต๊ะมุมๆ เห็นเวทีชัดๆก็พอ” ลลิตโต้ตอบกลับไป
“เชิญทางนี้เลยครับ” ผู้จัดการร้านนำทางไปยังโต๊ะที่เด็กชายต้องการ
เวลาเกือบเที่ยงคืนบรรยากาศภายในร้านหนาแน่นไปด้วยหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ บางกลุ่มดูเป็นหญิงสาวประเภทสองส่งเสียงกันอื้ออึง แล้วยังมีเสียงเพลงจังหวะเร้าใจ พนักงานภายในร้านแต่งกายด้วยชั้นในสีขาวตัวจิ๋วเดินถือถาดเครื่องดื่มสวนกันไปมา ลลิตเดินคอตรงไปจนถึงโต๊ะที่ทางผู้จัดการแนะนำ วิธวินท์ก็ได้แต่เดินก้มหน้าก้มตา ตามทุกคนไป
“ต้องการเด็กของเราไว้ดูแลเครื่องดื่มไหมคะคุณหนู”
“ไม่ดีกว่า เราแค่อยากดูโชว์ ที่นี่เสียค่าใช้จ่ายยังไง ฉันพึ่งมาครั้งแรก” ลลิตถามในสิ่งที่สงสัย
“ก็เสียค่าเข้าคนละ300 และค่าดริ้งให้เด็กที่มานั่งแก้วล่ะ 200ค่ะ”
“งั้นเราไม่เอาเด็กนั่ง แต่จะซื้อดริ้งให้กับเด็กทุกคน”
แล้วผู้ดูแลร้านทั้งสองก็ปล่อยให้ลลิตและวิธวินท์อยู่ตามลำพังหลังจากตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายและให้เด็กในร้านจัดอาหารทานเล่นและเครื่องดื่มให้กับทั้งคู่
เมื่ออยู่ตามลำพังเด็กชายขยับตัวขึ้นไปกระซิบที่ข้างหูวิธวินท์ เพราะเสียงในร้านดังมาก
“ดูไว้นะบรูโน่ จะได้เอาไปทำให้ฉันดู”
แล้วเด็กชายก็กลับไปนั่งละเลียดคอกเทลสีฟ้าใสในแก้วทรงสวยที่เจ้าตัวไม่รู้จักชื่อแต่เลือกจากสีที่เห็นในเมนู และหยิบขนมขบเคี้ยวเข้าปาก ปล่อยให้วิธวินท์นั่งมองแก้วน้ำอัดลมด้วยความตกใจกับคำสั่งเอาแต่ใจที่ได้รับมา
เด็กชายมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่รู้สึกเขินอายเหมือนเช่นที่เคยสั่งให้ชายหนุ่มทำให้ดูแม้แต่น้อย ทั้งที่บนเวทีมีชายหนุ่มรูปงามมากหน้าหลายตา โยกย้ายอยู่ในท่วงท่าลีลาที่เย้ายวน

สายตาของเด็กชายก็ไปหยุดที่ชายหนุ่มร่างโปร่งที่เดินเข้าไปทักผู้จัดการหนุ่มของร้าน ลลิตมองนิ่งๆ ทบทวนความทรงจำ ชายคนนั้นก็คือ เทียนบุญ เพื่อนสนิทที่เรียนอยู่เมืองนอกกับธรรมทานพี่ชายของลลิตนั่นเอง ในเมื่อเพื่อนกลับมาแล้ว พี่ชายของเขาก็คงกลับมาด้วย แต่ไม่ยักจะพบกันที่บ้าน เด็กชายนั่งคิดถึงพี่ชายที่อายุห่างกันหลายปีจึงทำให้ไม่สนิทสนมกันนัก
ลลิตเลิกคิดเรื่องของพี่ชายและเพื่อน แล้วกลับมาสนใจค็อกเทลแก้วใหม่ที่มาส่งให้ถึงโต๊ะ เครื่องดื่มสีสวยรสออกหวานผสมแอลกอฮอล์เล็กน้อย ทำให้เด็กชายติดใจเรียกเด็กในร้านสั่งให้มาส่งแก้วต่อแก้ว ปล่อยให้วิธวินท์นั่งกลืนน้ำลายลงคอดูโชว์ที่แสนจะดุเดือดบนเวทีต่อไป

จนกระทั่งบนโต๊ะมีแก้วเปล่าต่างขนาดวางอยู่เกือบเต็มโต๊ะ ผิดกับแก้วทรงสูงที่ใส่น้ำอัดลมที่ตอนนี้น้ำแข็งละลายจนน้ำในแก้วสีจืดจาง ลลิตเริ่มตัวอ่อนมาพิงวิธวินท์ที่นั่งตัวแข็งเป็นหลักให้เด็กชาย ลลิตไถผมนุ่มนิ่มกับไหล่ของชายหนุ่ม ในมือยังถือแก้วมีก้านที่บรรจุน้ำสีเขียวอ่อน ที่ปากแก้วโรยด้วยเกลือมีมะนาวฝานเสียบตกแต่งไว้ เด็กชายยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด แล้วทำท่าจะเรียกเด็กมาสั่งแก้วใหม่ แต่วิธวินท์ดึงข้อมือเด็กชายเอาไว้เสียก่อน ลลิตหันมาเอียงคอมองตาปรือ
“พอเถอะครับคุณหนู ดื่มเยอะแล้วนะครับ” ชายหนุ่มก้มลงไปพูดใกล้ๆ
“อีกแก้วนะบรูโน่ นะๆ” เสียงเด็กชายอ้อแอ้โยเยไม่ได้มีอาการออกคำสั่งเหมือนครั้งก่อนๆ แถมยังซุกหน้าถูแก้มนิ่มๆ กับต้นแขนของชายหนุ่มเป็นการออดอ้อนอีกด้วย
“อีกแก้วเดียวนะครับ หมดแก้วนี้เรากลับกันนะ”
“อืออ” ลลิตส่งเสียงครางตอบรับในลำคอ เกาะแขนวิธวินท์ยกตัวขึ้นจูบเบาๆ ที่ข้างแก้ม
“บรูโน่ใจดีจัง” เสียงแผ่วเบา กับลมหายใจอุ่นๆ เป่าอยู่ริมหู จนชายหนุ่มต้องเอียงหูหลบเพราะความรู้สึกจั๊กกะจี้
เด็กชายกลับลงมานั่งที่เดิมแล้วเรียกเด็กในร้านมาสั่งเครื่องดื่มด้วยร่างเอนๆ เอียงๆ วิธวินท์จึงยกแขนขึ้นโอบไหล่เล็กเอาไว้แล้วดึงเข้ามาพิงกับลำตัวของเขา หน้าขาวแก้มแดงระเรื่อแนบอยู่ที่อกของชายหนุ่ม
“นี่บรูโน่ กลับไปแล้วฉันจะซื้อกางเกงแบบนี้ให้ใส่น๊า” เด็กชายพูดอ้อแอ้อยู่ที่อกวิธวินท์เมื่อเด็กในร้านเอาเครื่องดื่มที่สั่งไปมาส่ง
ชายหนุ่มมองตามกางเกงตัวจิ๋ว ที่เมื่อคิดว่าต้องใส่ก็เกิดอาการหนาวสันหลังวูบ
เมื่อลลิตดื่มแก้วสุดท้ายจนหมด จึงเรียกเก็บค่าใช้จ่ายซึ่งผู้ดูแลที่เป็นเกย์สาวก็ออกมาดูแลทั้งสองด้วยตัวเองอีกครั้ง และสอบถามความพอใจ เด็กชายกระซิบกระซาบตอบกลับไป เพราะเวลานี้ร้านยังไม่ปิดบริการ เสียงดนตรีและโชว์ก็ยังมีอยู่ ไม่รู้ว่าลลิตพูดอะไรแต่เกย์สาวก็ยิ้มแก้มปริ ยกมือขึ้นมาบีบแก้มคุณหนูอย่างเอ็นดู วิธวินท์ได้แต่มองทั้งสองเฉยๆ เพราะไม่ได้ยินบทสนทนานั้น คิดในใจว่าในเวลาปกติคุณหนูคงไม่ให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆ แน่
“ขอบคุณที่มาใช้บริการนะคะ นี่ค่ะคุณหนู” ธัญญ่ายื่นบัตรเครดิตการ์ดสีทองพร้อมใบเสร็จส่งให้เด็กชาย เด็กชายส่งต่อให้วิธวินท์ดู
“และสิ่งนี้เป็นอภินันทนาการจาก The Butterfly Boy แวะมาหาพี่ญ่าอีกนะคะคุณหนู” ธัญญ่าส่งถุงกระดาษที่ปิดผนึกอย่างดีให้กับเด็กชายแล้วเดินมาส่งจนถึงหน้าร้านและโบกมือลาเมื่อทั้งสองเดินออกไป
วิธวินท์ประคองลลิตที่หันหน้าไปโบกมือตอบธัญญ่าพาเดินออกมาจากร้าน พบกับสมบูรณ์ที่รออยู่ด้านหน้าร้าน วิธวินท์อุ้มเด็กชายขึ้นไปนั่งบนรถจัดท่าให้นั่งอย่างเรียบร้อย
“เดี๋ยวผมกลับเองก็ได้ครับคุณสมบูรณ์”
“ไม่เอา บรูโน่ต้องไปด้วย น๊า ไปด้วยกันนะ” เสียงเด็กชายสวนขึ้นมาทันที มือยังแปะป่ายดึงแขนเสื้อของชายหนุ่มไว้
“ครับผม ไปด้วยครับ” เมื่อวิธวินท์รับคำเ ด็กชายจึงเอนตัวนอนหนุนที่ตัก
“คุณสมบูรณ์ ไปเรือนคุณปู่ บรูโน่จะนอนด้วย”
“เอ่อ คือผม” ชายหนุ่มทำท่าจะปฏิเสธ
“เดี๋ยวพอคุณหนูหลับ ผมค่อยออกมาส่งคุณวินก็ได้ครับ” สมบูรณ์กระซิบกระซาบให้ชายหนุ่มได้ยิน วิธวินท์จึงพยักหน้าตอบรับปล่อยให้เด็กชายนอนหลับไปบนตัก มือหนึ่งเกาะแขนของชายหนุ่มไว้ อีกมือก็กอดถุงกระดาษไม่ยอมปล่อย

วิธวินท์อุ้มเด็กชายลงเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าเรือนคุณปู่ สมบูรณ์รีบวิ่งมาเปิดประตูรถให้เพื่ออำนวยความสะดวก และยืนรอที่รถเพื่อจะไปส่งชายหนุ่มต่อ แต่พอเงยหน้ามองไปก็เห็นใบหน้าของเด็กชายที่พาดอยู่บนไหล่วิธวินท์ ปรือตาขึ้นมาแล้วโบกมือไล่ และทำปากขมุบขมิบบอกสมบูรณ์ให้กลับไปซะ สมบูรณ์ยืนรีๆ รอๆ จนชายหนุ่มอุ้มเด็กชายเข้าเรือนไปพักใหญ่แต่ก็ยังไม่กลับออกมา จึงขับรถไปเก็บและไปพักผ่อนบ้าง


=========> โปรดติดตามตอนต่อไป

จะเป็นสก๊อยก็ต้องเริ่มจากหาแฟนเป็นเด็กแว๊นซ์ก่อน  :3130:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2011 09:51:09 โดย PrinceTae »

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
ว้าววววว กางเกงตัวเล็ก จะเป็นเหตุรึเปล่าหว่า อคิๆ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ขอเตรียมกล้องก่อนนะ  ตอนหน้าจะปลดเปลื้องแล้วใช่ป่ะ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
น่าฮักเหลือหลาย
ชั้นแพ้ผู้ชายรักสัตว์


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออนไลน์ eiky

  • Played Me!!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1760/-3

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ใครแต่งอ่ะ ยังเดาไม่ออก
แต่หลงรักเรื่องนี้ซะแล้ว
สึเหลืองน่ารัก คึกคักเวลาลงเล่น (เชียร์ออกหน้่าออกตา)

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
555 หมาน้อยไม่ธรรมดาจริง ๆ ทำให้น้ำแข็งละลายได้ แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
ตอน 10 จะมาแล้ววววววววววววววว

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
^^^  เนียนนะ  ทำมาเป็นรอ  อิ อิ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: The Rainbow Project [Vermilion] "Butterfly" by MonarcH Part 3 PG. 2 [20/05/2011]
«ตอบ #505 เมื่อ21-05-2011 10:33:41 »

เมื่อกี้เพิ่งเชียร์สีเหลืองไป
ขอหลายใจมาเชียร์สีส้มด้วยได้มั้ย
งานผู้บริหารบาร์นี่โดนใจจริงๆ
นายยุทธดูท่าน่าสงสัย ไม่ซื่อเท่าที่ควร
ตกลงเรื่องใน Project นี่ Link กันหมด ต้องตามไปอ่านทุกเรื่องซะแล้ว

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ธรรมทาน  ตัวประกอบไร้ค่า

hahn

  • บุคคลทั่วไป
เจ้าชายน้ำแข็งเริ่มละลายแล้ว พี่เตล่ะจะเห็นความน่ารักของน้องบ้างไหม +1

ออฟไลน์ Cha Ris Ma

  • สาระไม่ค่อยมี...หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +670/-0
ตกลงไม่ได้แย่งธรรมทานกัน เทียนกับเมย์เค้าเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน
 :z2:

ออฟไลน์ Cha Ris Ma

  • สาระไม่ค่อยมี...หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +670/-0
เจ้าชายข้ำแข็งละลายได้เพราะน้องหมา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด