บทที่ 7 "ฝัน"
แสงอาทิตย์แผดแรงทะลุม่านโปร่งเบาที่ปลิวไหวเพยิบตามแรงลม คนที่นอนหลับไม่ยอมตื่นต้องกระเถิบถอยหนีความร้อนที่รุกไล่พลางตวัดผ้าห่มมา คลุมหัวหูเสียจนมิดทั้งที่อากาศร้อนอบ อ้าวจนเหงื่อเริ่มซึมออกมาบนผิวหน้า แต่เจ้าตัวก็ยังอยากจะนอนต่ออีกสักหน่อยด้วยรู้ดีว่าวันนี้เขาไม่ต้องรีบลุก ตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานเพราะเป็นวันหยุดพักผ่อนของเขา ประกอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเย็นเล่นเอาหน่องกว่าจะได้หลับก็ค่อนคืนไปนานโข
"ก็อก ๆ" เสียงเคาะประตูหน้าห้องนอนดังขึ้นและหยุดไปก่อนที่เสียงสัญญาณสายเรียกเข้าจะดังขึ้นตามมาไล่เลี่ย
"ตรื๊ด ๆ ตรื๊ด ๆ ตรื๊ด ๆ"
"ตื่นแล้วครับแม่ ประตูไม่ได้ล็อคครับ" หน่องตอบด้วยรู้ดีว่าจะคนที่มาเคาะเรียกคือมารดาของตน ก่อนจะหันไปหยิบเครื่องมือสื่อสารมากดรับแล้วยกขึ้นข้างหู
"สวัสดีครับ หน่องครับ" หน่องกรอกเสียงลงไปตามสาย
ประตูห้องนอนเปิดขึ้นพร้อมกับร่างของแม่ที่เดิมมาหยุดนั่งลงริมที่นอนหนา พร้อมกับสายตาสงสัยใคร่รู้เมื่อสบดวงตาของลูกชายที่แดงก่ำช้ำบวม หล่อนเอานิ้วมือกรีดไล่คราบชื้นของน้ำบนหางตาทั้งสองข้างของลูกชายก่อนจะเอามือไปลูบเรือนผมนิ่มที่กระเซอะกระเซิงจับลูบให้เข้าที่เข้าทาง
"พี่จะชวนหน่องไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย หมวดเค้าอยากจะถามอะไรเพิ่มด้วย... อีกอย่างหมวดเค้าบอกว่าผลนิติเวชออกแล้ว..." อ๊อบแจ้งความประสงค์มาตามสาย
"ได้ครับพี่อ๊อบ วันนี้หน่องหยุดไม่ต้องไปทำงาน เดี๋ยวหน่องไปหา จะให้หน่องไปเจอพี่อ๊อบที่ไหนครับ" หน่องบอกรัวเร็ว
"ไม่ต้องเดี๋ยวพี่ไปรับเอง หน่องแต่งตัวรอเถอะ พี่จวนจะถึงแล้ว ไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเจอกันนะหน่อง" อ๊อบบอกก่อนวางสาย
"หน่องเป็นอะไรไปลูก เมื่อคืนก็กลับมาเสียดึกเลยนี่ แล้วร้องไห้จนตาบวมเลยนะครับ" คุณสุมาลีถามพลางลูบศีรษะของหน่องอย่างแผ่วเบา
"หรั่งตายแล้วครับแม่ เดี๋ยวพี่อ๊อบจะมารับหน่องไปข้างนอกนะครับ" หน่องบอกพลางซุกหน้าลงบนอกแม่
"ตายเมื่อไหร่ แล้วตายได้ยังไง" คุณสุมาลีถามอย่างตกใจ พลางกอดหน่องเข้ามาแนบอกขึ้นอีก
"รายละเอียดยังไม่ทราบครับ หน่องไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะครับ" หน่องผละออกจากอ้อมอกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปหอมแก้มมารดา ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับภารกิจส่วนตัวแล้วลงไปรออ๊อบ ที่หน้าบ้าน
รถเลี้ยวเข้าจอดที่ลานจอดรถหน้าสถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุ หลังจากจอดรถก็พากันเดินขึ้นไปบนสถานี แต่ทั้งสองก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนายตำรวจหนุ่มที่นัดกันไว้ อ๊อบถามไถ่จากตำรวจนายอื่นแถวนั้นก่อนจะพาหน่องไปนั่งรอที่หน้าโต๊ะทำงานของ หมวดพชร
"อีกเดี๋ยวหมวดคงจะมา นั่งรอสักครู่นะครับ วันนี้แกไปทำคดีตั้งแต่เช้าแล้วครับ" นายดาบสูงวัยเอ่ยบอกกับทั้งสอง
"ขอบคุณมากครับ" หน่องตอบพลางผงกหัว
"อ้อ.. มาพอดีเลยครับ" ดาบบอกพลางหันไปทางประตูทางเข้า ทำให้หน่องต้องชำเลืองตามองตามไปด้วย
"ขอโทษที่มาช้านะครับ" ร.ต.ท.พชร เดินส่งยิ้มมาให้แต่ไกลก่อนจะเอ่ยปากบอก
"ไม่เป็นไรหมวด อ๊อบกับหน่องก็เพิ่งจะมาถึงได้สักครู่นี่เอง" อ๊อบบอกแทนเพื่ออีกคนพร้อมรอยยิ้มเซียว ๆ
"ผมเพิ่งได้รายงานชันสูตรก่อนจะโทรหาคุณอำนาจ คือจริง ๆ แล้ว..." ผู้หมวดพชร เอ่ยบอกรายละเอียดคร่าว ๆ ก่อนจะถามคำถามที่สงสัยบางข้อกับทั้งสอง
"หมวดหมายความว่า อเล็กซ์ตายเพราะโดนถ่วงน้ำ..." อ๊อบหลุดพูดเสียงสูงพร้อมยกมือขึ้นทาบอกก่อนจะแผ่วเสียงเบาลงในตอนท้าย
"ใครทำ?" หน่องหลุดถามออกมา
"คำตอบนั้นผมก็อยากรู้เหมือนกัน เค้าเคยมีศัตรูหรือขัดแย้งกับใครรึเปล่า?" หมวดหนุ่มตอบพลางหันไปสบตากับหน่อง ก่อนจะเอ่ยถาม
"ไม่มีนะหมวด อเล็กซ์เพิ่งจะเข้าวงการได้ไม่นาน งานก็กำลังไปได้สวย แล้วหมวดเจออย่างอื่นอีกไหมในรายงานของหมวด" อ๊อบบอกพร้อมกับความงุนงงสงสัย
"ก็เจอยาหลายเม็ดที่ในกระเพาะอาหารกับหลอดลม เป็นพวกมีฤทธิ์กล่อมประสาท กับ..." หมวดพชร บอกก่อนจะกลืนประโยคท้ายเอาไว้
"หรั่งเล่นยาด้วยเหรอ แล้วอะไรอีกละหมวด" หน่องถามพลางหันไปมองทางอ๊อบ ก่อนจะหันกลับมาสบตานิ่งของนายตำรวจหนุ่ม
"ร่องรอยฉีกขาดของเนื้อเยื่อทางทวารหนัก กับสารคัดหลั่งจำนวนมากคาดว่าน่าจะมีเกินสองคน" หมวดหนุ่มเอ่ยบอกเสียงเรียบพร้อมใบหน้านิ่ง
"ฮะ! หมวดจะบอกว่าอเล็กซ์โดนข่มขืนเหรอ... พระเจ้า... โอ้..." อ๊อบตกใจแทบจะลุกเต้นผาง ดีที่หน่องหันไปคว้าแขนให้นั่งลงได้เสียก่อน
"ไม่น่าจะใช่ เพราะหากโดนข่มขืนบาดแผลคงจะฉีกขาดมากกว่านี้อีกหลายเท่า แล้วตามตัวไม่มีร่องรอยการโดนทำร้ายสักแห่ง มีแค่รอยฟันกับรอยเม้มเท่านั้นเอง" หมวดหนุ่มยังคงตีสีหน้านิ่งในขณะที่พูด
"แล้วต้องทำยังไงต่อล่ะนี่ทีนี้ เฮ้อ..." อ๊อบบอกพลางถอนหายใจยาว
"ผมขอให้คุณปิดข่าวเอาไว้ก่อนนะครับ แล้วผมจะรีบสืบต่อ ยังไงถ้าพวกคุณเจอหรือนึกอะไรขึ้นได้ก็โทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ ผมจะรีบหาตัวคนผิดให้ได้เร็ว ๆ" หมวดหนุ่มบอกย้ำอีกครั้ง ทั้งสามใช้เวลาพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่หน่องและอ๊อบจะขอตัวแยกกลับไป
"หมวดครับท่านผู้กำกับขอเชิญที่ห้องครับ" นายดาบเดินมาบอกหลังจากที่อ๊อบกับหน่องคล้อยหลังจากไปแล้ว
"ขอบคุณครับดาบ ผมจะไปเดี๋ยวนี้" หมวดพชรบอกขอบคุณ
"ก๊อก ๆ ขออนุญาตครับท่าน" หมวดพชร ยกมือขึ้นเคาะประตูก่อนเอ่ยขออนุญาตกับคนในห้อง
"เชิญเข้ามาเลยหมวด" เสียคนในห้องเอ่ยเชิญ
"พอดีผมเพิ่งจะวางสายจากผู้ใหญ่เมื่อกี้นี่เอง ท่านขอให้ผมช่วยพูดกับคุณให้หน่อย จริง ๆ แล้วผมก็อึดอัดใจนะ แต่คนที่โทรมาน่ะ ระดับ รองผบ.เชียวนะ เฮ้อ..." ท่านผู้กำกับเอ่ยบอกด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก
"เรื่องอะไรครับท่าน" หมวดหนุ่มถามอย่างสงสัย
"ก็คดีที่คุณทำอยู่นะสิ ดาราที่มีคนพบศพในบึงนั่นแหละ เค้าบอกว่าให้คุณรีบ ๆ ปิดคดีสรุปสำนวนง่าย ๆ เร็ว ๆ ไม่ต้องสืบให้ลึกไปกว่านี้แล้ว ผมเข้าใจดีว่าคุณเป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน" ผู้กำกับบอกพร้อมสีหน้ากระอักกระอ่วน
"ครับ ผมเข้าใจท่านดี ถ้างั้นผมจะรีบทำคดีให้เสร็จเร็ว ๆ แล้วกันครับท่าน ผมขอตัวก่อนครับ" ผู้หมวดหนุ่มกล่าวเสียงเรียบพลางเดินออกมาจากห้อง ทั้ง ๆ ที่ภายในใจกลับร้อนรุ่ม 'ทำไมถึงได้ยุ่งขนาดนี้... ถึงกับต้องให้รองผบ.โทรมา... แล้วไอ้ความถูกต้องกับความเป็นธรรม... คนตายจะไปเรียกร้องหาเอาจากที่ไหนได้ กฎหมายจะมีเอาไว้เพื่ออะไร'
ท้องฟ้าตอนบ่ายที่มืดสลัวราวกับเย็นค่ำ เมฆดำที่ลอยคล้อยต่ำ ลมกรรโชกพัดแรงกิ่งไม้ไหวเอนใบร่วงเกลื่อนกล่น บางส่วนปลิวตามลมเข้าไปในตัวบ้านทางประตูที่เปิดอ้าค้างเอาไว้ เสียงฟ้าคำรามลั่นมาเป็นระยะ ๆ ก่อนน้ำจากฟ้าจะกระหน่ำซัดสาดลงมาอย่างมากมาย
"ปัง!" เสียงประตูไม้ที่เปิดทิ้งเอาไว้กระแทกปิดเสียงดังสนั่น ทำลายความเงียบในอาณาเขตของบ้านหลังใหญ่
"เปรี้ยง! โครม!" อสนีบาตฟาดผ่าลงบนกิ่งของต้นมะม่วงใหญ่ที่ปลูกมานานลำต้นใหญ่หนาที่ยืนต้นตระหง่านสูงกว่าต้นไม้อื่นในสวนหลังบ้าน เปลวเพลิงไหวเต้นระริกวูบวาบอยู่บนส่วนแขนงที่ฉีกขาดของกิ่งที่มีขนาดใหญ่ ตามอายุของต้นก่อนจะจนร่วงหล่นลงมา เปลวไฟลุกโชนลามเลียตามกิ่งและใบด้วยเชื้อปะทุชั้นดีตามธรรมชาติยางไม้แห้ง สีน้ำตาลแข็งที่เกาะอยู่รอบ ๆ กิ่งที่ร่วงลงมาพาดคาอยู่ระหว่างพื้นและรถจักรยานยนต์ซึ่งล้มคว่ำตะแคง พื้นที่ใต้ต้นด้วยน้ำหนักของกิ่ง น้ำมันจากในถังเชื้อเพลิงไหลนองกระจายวงไปรอบ ๆ ไฟจากกิ่งมะม่วงค่อย ๆ ลามเลียไปยังส่วนเบาะที่ทำจากหนังเทียมหุ้มฟองน้ำ ความร้อนจากเปลวเพลิงทำให้เกิดควันสีดำส่งกลิ่นเหม็นไหม้ลอยคลุ้งขึ้นสูง
"ฉิบหาย!" เสียงสบถหลุดร้องออกมาจากปากซึ่งประดับด้วยเรียวหนวดเมื่อร่างกำยำที่อุดมด้วยมัดกล้ามหนาเปิดประตูหลังบ้านแล้ววิ่ง ออกมาด้วยผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวพันเอวเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ เขาวิ่งไปที่รถพลางกระชากเอากิ่งที่เป็นเชื้อไฟนั้นออก ก่อนจะหันไปฉวยหยิบเอากิ่งไม้ใบหนาใกล้ ๆ เอามาฟาดลงไปยังรถที่เปลวไฟกำลังเริ่มลุกโชนขึ้น ด้วยหวังเพียงแต่จะดับไฟให้มอดลงโดยที่ไม่รู้ว่ากิ่งไม้ในมือนั้นถูกอาบเอา ไว้ด้วยน้ำมันเบนซินเสียจนชุ่ม ตอนที่เขาเงื้อขึ้นสูงละอองน้ำมันไหลหยดกระเด็นเปรอะเปื้อนเนื้อตัวและหัวหู
"เฮ้อ..." เสียงถอนหายใจ พร้อมกับเปลวเพลิงที่รถจักรยานยนต์มอดดับลง เขาพยายามยกรถที่ล้มตะแคงอยู่นั้นขึ้นมา
"โอ๊ย!" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมือของเขาคว้าจับไปโดนส่วนที่ไฟเพิ่งจะมอดดับลง ก่อนจะปล่อยมือสะบัดเร่า ๆ
"ร้อนฉิบหาย" เขาสบถบ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะกลับไปใช้ความพยายามก้มลงไปยกรถขึ้นมาอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นสายฝนก็กระหน่ำหนาหนักราวกับฟ้าถล่ม ก่อนสายฟ้าจะฟาดผ่าขึ้นอีกครั้งตรงกิ่งไม้ที่ใหญ่กว่าเดิม เปลวเพลิงลุกไหม้โชนก่อนจะร่วงหล่นลงมาใส่ศีรษะของคนข้างล่าง
"โอ๊ย! อ้า..." เปลวเพลิงลามเลียลุกไหม้ตั้งแต่ผมบนศีรษะและเนื้อตัวบริเวณที่เปรอะเปื้อน น้ำมันเชื้อเพลิง ส่งกลิ่นเนื้อเหม็นไหม้คละคลุ้ง สองมือพยายามตะเกียกตะกายเอาตัวรอดแต่น้ำหนักของกิ่งไม้ใหญ่กดทับให้ร่างหนา นอนก้มหน้าจนไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายหนีไปไหนได้ ร่างกำยำทำได้เพียงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด สองแขนที่เปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ยื่นยกสูงออกไปสองมือพยายามไขว่คว้าจับได้ เพียงอากาศธาตุ
"โอ๊ย.. ช่วยด้วย... ช่วยด้วย..." เสียงโหยหวนสั่นประสาทกรีดร้องดังก้อง แต่ก็ไม่มีใครสักคนสามารถที่จะได้ยินเพราะเสียงฝนที่กระหน่ำเทลงมาดังกลบ เสียงร้องของเขาเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่รอบ ๆ บ้านมีเวรยามคอยตรวจตราอยู่หลายคนในยามปรกติ แต่วันนี้บางส่วนไปอยู่เสียที่วัดเพราะเป็นงานตั้งสวดพระอภิธรรมศพของว่าน เป็นคืนแรก และบางส่วนก็พากันหลบไปหาที่กำบังจากสายฝน บรรยากาศโดยรอบจึงแทบจะปราศจากผู้คน เสียงโอดโอยยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องพร้อมกลิ่นของเนื้อคนไหม้ไฟ และเปลวเพลิงที่ลุกโหมแรงขึ้น
"ช่วยด้วย... โอ๊ย... อ้า........................" เสียงคร่ำครวญน่าเวทนาหยุดลงพร้อมกับร่างที่นอนแน่นิ่งและเปลวเพลิงที่ กำลังลุกท่วมร่าง เสียงปริแตกของกิ่งไม้ปะทุด้วยความร้อนแรงจากเปลวไฟที่ลุกโชน
ร่างโปร่งแลทะลุผ่านในอาภรณ์สีดำที่ห้อยหัวลงมาจากต้นมะม่วงสูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านใบดกหนาจนบดบังแรงฝนใต้ต้นเอาไว้ เสียมิด ทั้งที่รอบข้างพ้นใต้ร่มครึ้มดกหนาสายฝนกำลังกระหน่ำจนชุ่มโชกเจิ่งนอง ใบหน้าสยองขาวซีด มีเพียงแสงไฟวูบวาบและร่างลุกไหม้สะท้อนออกมาจากหน่วยตาขาวขุ่นฝ้ามัว ที่แสยะยิ้มส่งให้อย่างพึงใจก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป
สายลมพัดกรูเกลียว ละอองน้ำเย็นของสายฝนที่กระหน่ำปลิวกระเด็นผ่านเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน
อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว จากที่เคยร้อนอ้าวกลับเย็นยะเยือกราวกับอากาศในฤดูหนาว หน่องที่นอนกอดตุ๊กตาหมีโพลาสีขาวเอาไว้แนบอกเสียแน่น เสื้อยืดย้วย ๆ มอซอที่เจ้าตัวสวมใส่ คอกว้างไหลตกจากลาดไหล่ของร่างบางเผยให้เห็นลำคอที่สวมสายสร้อยเอาไว้ แสงสะท้อนแวมวาวของจี้เพชรสีชมพู ท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนที่แสนเหน็บหนาว หน่องคว้ามือป่ายปะก่อนจะตวัดผ้าห่มนวมที่เจ้าตัวเผลอถีบพ้นออกจากร่างเมื่อ หัวค่ำขึ้นมาห่อหัวหูจนมิดโพล่พ้นเพียงแค่ส่วนของวงหน้าขาวแสนหวานราวกับหนอนผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังกลายเป็นดักแด้รอตื่นขึ้นมาโบยบินด้วยปีกกว้างใหญ่ที่สวยงามของตน
มือที่ใหญ่กว่ากางสายสร้อยที่ห้อยจี้เพชรสีชมพูเอาไว้ตรงหน้าก่อนจะยกลงแนบลำคอขาวของตนแล้วจึงติดตะขอสวมให้ที่ด้านหลัง ก่อนจะเอามือสองข้างนั้นโอบเอวกอดไว้พร้อมกับเอาคางมาเกยเอาไว้ที่ไหล่ของเขา
"หน่องชอบไหม หรั่งเลือกเองกับมือเลยนะ" เสียงจากคนที่อยู่ด้านหลังพูดกระซิบลงข้างหูของตน
"ชอบสิ แต่มันไม่แพงไปเหรอ...หน่องเกรงใจ..." เสียงยินดีที่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มสวยก่อนจะแผ่วลงในตอนท้ายของประโยค
"ตอนนี้หรั่งมีทุกอย่างที่อยากจะมีแล้ว ทั้งชื่อเสียงเงินทองที่กำลังไหลมาเทมา ไม่มีอะไรแพงเกินไปสำหรับของขวัญที่หรั่งอยากจะให้หน่องหรอก" เสียงนุ่มแผ่วเบาอีกครั้งที่ข้างหูซึ่งกำลังแดงระเรื่อ ก่อนจะจับคนตัวเล็กกว่าหมุนกลับมาสบตาหวานฉ่ำของตน
"หรั่งก็... ถ้ามีแล้วก็เก็บ ๆ เอาไว้สิจะได้มีเยอะ ๆ ไง" หน่องตอบพลางหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้าจ้องมองสบตากับคนตรงหน้าเท่าไหร่
"หรั่งก็เก็บเอาไว้ให้หน่องแหละดีไหม" หรั่งพูดพร้อมยกยิ้มกว้างอย่างพึงใจเมื่อเห็นใบหน้าขาวของคนตรงหน้าขึ้นซับ สีระเรื่อ ก่อนจะสวมกอดเอาไว้อีกครั้งในอ้อมอกหนาของตน
"หรั่งก็มีหน่องคนเดียว หรั่งจะคอยเป็นกำลังใจ และจะคอยดูแลหน่องอยู่ข้าง ๆ ไม่หนีไปไหนดีไหม" เสียงนุ่มดังฟังชัดทุกคำ ทำเอาคนที่ซุกอยู่กับอกแทบจะมุดแทรกหน้าที่แดงกว่าเดิมพร้อมรอยยิ้มจนตามิด มุดเข้าไปซ่อนไว้ภายในอกแกร่งแน่นนั้น วงแขนยกขึ้นไปโอบเอวสวมกอดตอบแทนอ้อมกอดจากไออกอุ่นที่ได้รับ
"ก็ตามใจสิ ถ้าหรั่งไม่เบื่อไปเสียก่อนนะ.." เสียงกระซิบจากคนในอ้อมอกหนาแผ่วเบาแต่ได้ยินแจ่มชัด
"ก็หรั่งรักหน่องนี่นา จะให้รีบเบื่อเร็ว ๆ ไปได้ยังไง" หรั่งตอบพร้อมกับเอามือผลักหน่องให้ออกห่างจากอกก่อนจะใช้มือเชยคางของหน่อง ขึ้นมาพร้อมกับยื่นปลายจมูกโด่งสัมผัสผิวแก้มใสของหน่องแล้วสูดดมความหอมจากแก้มขาวนวล ก่อนจะรวบตัวไปกอดเอาไว้เสียแน่นอีกครั้ง
"หรั่งสัญญาว่าจะอยู่กับหน่องและจะไม่ทิ้งหน่องไปไหน จนกว่าหน่องจะไม่ต้องการหรั่งอีกแล้ว หรั่งสัญญา" เสียงนุ่มทุ้มที่แฝงความหนักแน่นอยู่ในที กระซิบลงที่ข้างหูของหน่องอีกครั้งพร้อมปลายจมูกที่ยื่นมาสูดดมความหอมจาก แก้มนวลอย่างพึงพอใจ