“สวัสดีครับ คุณอรจิรา”
เพื่อนผมทักทายเธอด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นอ่อนน้อมที่สุด มันโค้งให้อรจิรา ซะหัวเกือบถึงเข่า อรจิรามีสีหน้าตกใจที่เห็นผมกับเจ้าสันต์ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นทำหน้าเชิดใส่
“อ้าวสวัสดีคุณสันต์ คุณเรียว จะไปทานข้าวหรือครับ”
ศัตรูหัวใจของผม ทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางเขาดูเป็นคนดี น่าคบหา เสียดายไม่น่ามาแย่งผู้หญิงไปจากผมเลย แต่จะโทษเขาก็ไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าอรจิรากับผมเคยเป็นแฟน
กัน เนื่องจากเขาเพิ่งจะมารับตำแหน่งใหม่เพียงแค่หกเดือน อรจิราเก่งมากที่สามารถจับเขาเป็นแฟนได้ เธอเจอเขาเมื่องานปิกนิกของบริษัทเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา อรจิราขึ้นไปประกวด เป็นขวัญใจชาวประกัน แล้วก็คว้าตำแหน่งมาได้ โดยที่นายอนันต์คนนี้เป็นผู้ขึ้นไปมอบรางวัล แล้วสองคนนั่นก็สานความสัมพันธ์กันเรื่อยมา
“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ตามองไปที่แฟนสาวของผมที่ยืนปั้นหน้าเชิดอยู่
“หวัดดีอร”
ผมทักทายเธอ แต่อรจิรา เพียงแค่หันมาพยักหน้าให้ผม สันต์เบ้หน้า คงไม่ชอบใจที่เห็น อรจิรา ทำท่าแบบนั้นกับผม
“คุณอนันต์ไปทานที่ไหนหรือครับ”
เจ้าสันต์หันมาถามศัตรูหัวใจของผม เขาบอกชื่อร้านอาหารอิตาลีหรูหราแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดร้านอยู่ใกล้ๆกับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ ร้านนี้ค่อนข้างแพงทีเดียว แพงจนผมคิดว่าคงไม่มีปัญญาที่จะไปกินอย่างนั้นได้บ่อยๆ เขาถามพวกเรากลับว่าไปกินที่ไหน เจ้าสันต์ชิงตอบว่า เราสองคนจะไปทานอาหารที่ร้านบ้านคุณป้า ร้านอาหารเก่าแก่ ที่ต้องเดินไปอีกสองช่วงตึกถึงจะเจอ พวกเราชอบไปกินที่นั่นบ่อย เพราะแม่ครัวที่นี่ทำอาหารอร่อย ร้าน ถึงแม้ว่าจะเอาส่วนหนึ่งของบ้านมาทำ แต่การจัดแต่งบ้านก็ดูสวยดี แถมซ้ำบ้านก็ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ แสดงออกถึงความผูกพันที่แยกไม่ออกระหว่างคนที่เป็นเจ้าของและธรรมชาติ
“ผมเคยเห็นร้านนี้เหมือนกัน บรรยากาศน่านั่ง เป็นร้านเล็กๆ แต่ตกแต่งดูสวยทีเดียว คิดว่าวันหลังจะไปนั่งทานดูบ้าง ได้ยินมาว่า อาหารร้านนี้ทำอร่อยมาก”
“ครับผมกับเพื่อนชอบไปทานบ่อยๆครับ ทานเป็นประจำ เกือบจะทุกสัปดาห์เลย มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ไปร้านนี้เสมอ คนทำอาหารที่นี่ทำเก่ง แล้วราคาก็ไม่แพงด้วยครับ”
ผมบอกเขาถึงความชื่นชอบที่มีให้กับร้านนี้
“เมื่อก่อนเราไปกันหลายคนครับ แต่ตอนนี้เพื่อนบางคนของเราเขาไม่ชอบทานอาหารไทยแล้ว เขาชอบทานอาหารอย่างอื่นมากกว่า เขาคงเห็นว่า อาหารร้านนี้ มันคงไม่ถูกปาก
น่ะครับ”
เจ้าสันต์อดไม่ได้ที่จะแดกดัน อรจิรา ผมเห็นอดีตคนรักของผม ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ เธอเกาะแขนหนุ่มคนใหม่ของเธอโดยอัตโนมัติ และดึงเบาๆ
“ไปกันเถอะค่ะคุณอนันต์ อรหิวแล้ว”
“ก็ดีครับ ผมก็หิวเหมือนกัน”
เขาหันมาบอกเธอด้วยเสียงนุ่มนวล ก่อนจะหันมาขอตัวกับผม พอดีลิฟท์มาถึง คนทั้งสองก็ก้าวเข้าไป มีพนักงานบริษัทผมอีกสองคนก้าวตาม ผมทำท่าลังเล จะไม่ไปกับลิฟท์ตัวนี้ แต่เจ้าสันต์ฉุดผมให้ก้าวตามไปด้วย มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตอนดันผมให้ไปยืนเผชิญหน้ากับอรจิรา ความจริง ลิฟท์ไม่ได้เต็มจนกระทั่งเบียดกัน แต่มันจงใจที่จะให้ผมเผชิญหน้ากับอรจิรามากกว่า
เธอยืนนิ่ง เม้มริมฝีปาก ตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขที่ระบุชั้น มันค่อยๆเลื่อนลงอย่างช้าๆและเปิดออกตามชั้นต่างๆที่กดเรียก มีผู้โดยสารคนใหม่เดินเข้ามาเรื่อยๆ เจ้าสันต์ก็ยิ่งเบียดผมให้ชิดอรจิรามากยิ่งขึ้น ผมสังเกตเห็นความอึดอัดใจฉายชัดบนสีหน้าและแววตาของอดีตคนรักของผม เธอคงนึกภาวนาให้ลิฟท์มันถึงชั้นล่างไวไว เพื่อที่จะได้ออกไปให้พ้นจากสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจนี้
ในที่สุดลิฟท์ก็เปิดออก ผมรอให้คนอื่นๆออกไปก่อน จากนั้นก็รีบเดินออกไปก่อนอรจิรา ผมไม่อยากให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเลิกกันไปแล้ว ผมก็ไม่ปรารถนาจะเป็นศัตรูกับเธอ อย่างน้อยๆในอดีต เราก็เคยรักกัน แม้ว่าเธอจะเปลี่ยนใจจากผม แต่ผมก็ไม่มีสิทธิจะไปโกรธเธอ เพราะผมเองที่ให้ทุกอย่างที่เธอต้องการไม่ได้
พวกเราเดินแยกไปทางด้านขวาของตึก ส่วนอรจิรา และคุณอนันต์เดินแยกไปทางซ้าย ตลอดทางในการเดินไปยังร้านบ้านคุณป้า ผมไม่ได้พูดอะไรกับเจ้าสันต์แม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งมันอดรนทนไม่ได้จึงพูดเหน็บแนมผมขึ้นมา
“เห็นแฟนเก่า แล้วทำเป็นอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาเลยนะ ยังตัดใจไม่ได้หรือไง”
“เปล่า”
ผมปฏิเสธ มันไม่จริงทั้งหมดหรอก การได้เห็นอรจิรา มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของผมบ้าง แต่เป็นเชิงเห็นอกเห็นใจมากกว่า ผมมีความรู้สึกว่า เธอกำลังปกปิดความลับเรื่องผมกับแฟนคนใหม่อยู่ แล้วการที่เธอทำอย่างนั้นทำให้เธอไม่มีความสุข เพราะต้องคอยระแวดระวังว่า จะมีใครมาเปิดโปงความลับของเธอ
“ฉันเห็นแกมองเขาตาละห้อยเชียว ตัดใจเสียทีเถิดว้า เขาไม่รักแก อย่างที่แกรักเขา ตีจากแกไป หาคนที่ดีกว่ารวยกว่า แล้วทิ้งให้แกชอกช้ำใจ แกจะไปคิดถึงเขาทำไมอีก ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกนะโว้ย แต่ถ้าแกไม่เจอผู้หญิงดีๆจริงๆ ฉันก็จะแนะนำให้แกรู้จักผู้ชายดีๆสักคน เพื่อว่าแกจะมีดวงทางนี้”
เจ้าสันต์พูดปลอบใจผม พร้อมเสนอตัวเป็นพ่อสื่อ ผมฟังข้อเสนอของมันแล้วสะดุ้งเฮือก ตรงที่มันบอกว่า ผมอาจจะมีดวงทางมีแฟนเป็นผู้ชาย คำพูดมันจี้ใจผมจริงๆ
“ไอ้บ้า ไม่มีทางโว้ย”
ผมรีบพูด ใจก็คิดว่า ผมไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นจริงๆหรอก
“จริงๆนะ ผู้ชายบางคนก็เป็นคนที่ดี แล้วก็พร้อมที่จะมีรักแท้ด้วย เพียงรอให้แกเปิดใจกว้างเท่านั้น ฉันว่าถ้าแกมองข้ามเรื่องเพศที่กำเนิดไป แล้วมองถึงความดีในจิตใจของคน แกอาจจะเจอผู้ชายสักคนที่แกถูกใจก็ได้ ฉันว่าหน้าอย่างแกน่ะ หาไม่อยากหรอก หน้าตาออกแนวหวานๆใสๆแบบนี้ มันสเปคเกย์ชัดๆ รับรองมีผู้ชายมาชอบแกเยอะแน่ๆ เพียงแต่พอแกไม่เปิดทางให้พวกเขา เขาก็เลยไม่กล้าเข้ามาหาแกไง”
มันพยายามโน้มน้าวผม ท่าทางคงอยากได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์รักร่วมเพศเพิ่มขึ้นมาอีกคน
“ฉันไม่เปลี่ยนใจเป็นเกย์หรอกโว้ย”
“เออซิวะ ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน ฉันไม่ได้ให้แกลุกขึ้นมากลายเป็นเกย์ซะเมื่อไหร่ แค่ให้แกลองเปิดโอกาสให้คนที่รักแกเข้ามาในชีวิต อาจจะหญิงหรือชายก็ได้ อย่าปิดกั้นตนเอง อย่าเอาความผิดหวังจากความรักครั้งเก่า มาทำให้แกไม่ยอมจะมีรักอีกครั้งน่ะ”
เจ้าสันต์บอกผม ดูท่าทางมันซีเรียสจริงจัง กับการมี หรือไม่มีแฟนของผมมาก ผมเดาเอาว่า เป็นเพราะความรักเพื่อน ที่เจ้าสันต์มันแสดงออกต่อผม กับความหมั่นไส้ในตัวของอรจิรา ที่ทำให้ผมอกหักช้ำใจ มันต้องการให้ผมมีแฟนคนใหม่เร็วๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงอรจิราอีก แต่การที่มันพยายามให้ผมเปิดโอกาสให้ผู้ชายเข้ามาในชีวิตผมนี่สิ ผมไม่เข้าใจเจตนามันจริงๆ แล้วถ้าผมเกิดมีแฟนเป็นเกย์อย่างที่มันอยากให้เป็น ชีวิตผมในที่ทำงานจะยังมีความสุขเหมือนเดิมไหมนะ แล้วผมนะจะชนะอรจิราจริงๆหรือ จะทำให้เธอคิดว่าผมมีคุณค่าสำหรับเธออย่างที่เจ้าสันต์มันชอบพูดบ่อยๆ หรือจะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เธอหัวเราะเยาะหาว่าผมสิ้นท่าจนต้องคว้าเกย์มาเป็นแฟนกันแน่
“แค่แกเปิดใจยอมรับ และเลิกรังเกียจพวกเราเท่านั้นแหละ ฉันว่าแกคงหาคนดีๆได้แน่”
เจ้าสันต์ยังคงโน้มน้าวต่อเนื่อง ผมทำเป็นเฉยๆกับสิ่งที่ได้ยิน นึกในใจว่า แค่เด็กเดียร์คนเดียวก็แย่แล้ว หกเดือนนี้ ผมคงต้องเผชิญอะไรอีกมากมายที่คาดเดาไม่ถูก เผลอตกปากรับคำไปแล้ว ก็ต้องอดทนจนกว่ามันจะสิ้นสุด
“บางทีถ้าแกได้ลองคบกับผู้ชายบางคนดู ได้มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกับเขา ศึกษานิสัยใจคอกันไป นายอาจจะนึกรักคนๆนั้น โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นเพศอะไรก็ได้ ดีไม่ดี อาจจะครองรักกันได้อย่างยาวนานยิ่งกว่าชายจริงหญิงแท้อีกนะ ถึงแม้ว่าพวกเกย์อย่างฉันจะดูว่ามั่ว ดูว่าไม่เคยมีรักแท้ต่อกัน แต่ก็มีหลายคู่ที่อยู่กันมายืนยง โดยไม่เปลี่ยนใจต่อกันเลย
ฉันว่าคนดีๆ ที่มีจิตใจอ่อนโยนอย่างแก คงจะหาผู้ชายดีๆมารัก มาอยู่ด้วยได้แน่”
เจ้าเพื่อนตัวดีของผม ยังคงพล่ามถึงสิ่งดีๆที่ผมอาจจะได้รับ หากผมบังเอิญมีแฟนเป็นเกย์ขึ้นมา ผมคิดว่า เป็นเพราะมันเองนิยมชมชอบในตัวของผู้ชาย มันก็เลยพยายามจะให้ผมได้ลองรักผู้ชายดูบ้าง ผมไม่โต้ตอบอะไร เพราะขี้เกียจพูดเสริม หรือขัดคอมัน ไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มันมากความ แต่ในใจนึกหวาดวิตก กลัวจะเป็นอย่างที่มันพูด ผมกลัวว่าเวลา 6 เดือนจากนี้ มันจะเปลี่ยนแปลงผมไปจากสิ่งที่ผมเป็น
โชคดีที่เราเดินกันมาจนถึงร้านบ้านคุณป้าพอดี เรื่องที่เราคุยก็เลยยุติลงโดยปริยาย ผมเดินนำเจ้าสันต์เข้าไปในร้าน เวลาเที่ยงอย่างนี้ ร้านค่อนข้างจะแน่นพอสมควร ผมพยายามมองหาที่ว่าง แต่ก็ไม่เจอ มีแต่คนนั่งเต็มไปหมด พลันสายตาผมก็เหลือบไปเห็นโต๊ะว่างที่อยู่ตรงซุ้มไม้เลื้อย ทางด้านใน ซึ่งอยู่ติดกับสวนสวยบ้านคุณป้า ซึ่งเป็นที่ประจำของผม ซึ่งมักจะมานั่งกินเสมอ แต่ตอนนี้ มีป้ายตั้งวางไว้ แสดงว่ามีคนจองไว้แล้ว ผมมองอย่างเสียดาย อุตส่าห์เดินมาตั้งไกล แต่ก็ไม่มีที่จะให้นั่งทาน ผมหันหลังกลับด้วยความผิดหวัง แต่ยังไม่ทันจะบอกเจ้าสันต์ให้ไปหากินที่ร้านอื่น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลัง
“คุณเรียวใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
ผมมองพนักงานเสิร์ฟหน้าตาดีที่เรียกผมอย่างงงๆ งงที่เขารู้จักชื่อผมได้อย่างไร
“ที่นั่งของคุณอยู่ตรงนี้ครับ”
เขาบอกพลางเดินนำผมและเจ้าสันต์ไปยังทิศทางที่เป็นโต๊ะนั่งตรงซุ้มไม้เลื้อย ผมมองสบตากับเจ้าสันต์ มันแอบกระซิบถามผมว่า ผมจองไว้หรือเปล่า ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วตอบมันไปว่า ผมคิดว่ามันจอง พอมันส่ายหน้า ผมก็ได้แต่เกิดความสงสัยในใจว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ไง ใครมาจองที่ให้ผมกับเจ้าสันต์ เขารู้ได้ไงว่าผมจะมาทานอาหารที่นี่
เจ้าสันต์เตรียมอ้าปากจะถามสิ่งที่มันกับผมสงสัยออกไป แต่ผมส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม คิดในใจว่า จะเป็นใครจองให้ก็ช่างเถอะ ขอไม่ติดใจสงสัยชั่วคราว ตอนนี้ผมหิวแล้ว อยากจะทานอาหารให้เสร็จไวๆ จะได้ขึ้นไปทำงานที่มันกำลังคั่งค้างอยู่ มีงานกองเต็มเลยที่รอให้ผมพิจารณา
“คุณเรียวทาน ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ และไข่ดาวใช่ไหมครับ เราทำเตรียมไว้ให้แล้วครับ”
ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปาก พนักงานหนุ่มคนนั้นก็สวนขึ้นมา ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆ เด็กหนุ่มคนนี้คงเป็นพนักงานเสิร์ฟคนใหม่ที่เจ้าสันต์อยากมาเจอ ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อน ท่าทางคงจะเพิ่งมาทำงาน ซึ่งเขาไม่น่าจะจำได้ว่าผมชอบสั่งอะไรมาทานเป็นประจำ
เจ้าสันต์มองผมยิ้มๆ ท่าทางมันคงสงสัยแบบเดียวกับผม รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ ทั้งเรื่องโต๊ะ แล้วก็เรื่องอาหาร รวมทั้งการรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของผมด้วย ถึงแม้ว่าผมจะมาทานข้าวที่ร้านนี้บ่อยมาก เคยคุยกับเจ้าของร้านบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ทางร้านจดจำสิ่งต่างๆเกี่ยวกับตัวผมได้ถึงขนาดนี้ เอาเถอะผมขี้เกียจหาคำตอบ เอาไว้ผมกินอิ่มแล้ว และทำงานเสร็จค่อยมาหาว่า มันเพราะอะไร ตอนนี้ผมไม่อยากใช้สมองไปกับเรื่องใดทั้งสิ้น
“อื้อ แหมกำลังอยากจะกินพอดีเลย ขอบคุณนะที่จำได้”
“สงสัยร้านป้าฝึกหัดพนักงานให้จำรายละเอียดสิ่งที่ลูกค้าชอบอ่ะ ก็เลยจัดทำให้ คงจะเป็นบริการใหม่ของร้าน ใช่ไหมจ๊ะน้อง”
เจ้าสันต์พยายามคาดเดา ท้ายเสียงหันไปถามเด็กหนุ่มพนักงานเสิร์ฟเสียงอ่อนเสียหวาน
“ครับ เราพยายามจะให้บริการที่เป็นเยี่ยมครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับมา
“แล้วน้องชื่ออะไรล่ะจ๊ะ คราวหลังพี่จะได้เรียกถูก” เจ้าสันต์หยอดอีกแล้ว
“แซ่บครับ”
เด็กหนุ่มตอบเสียงเบาๆ
“หา อะไรนะ” สันต์ถามซ้ำ เหมือนว่าได้ยินไม่ถนัด
“น้องชื่ออะไรนะ”
“แซ่บครับ ชื่อเล่น” เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นบอกอายๆ เจ้าสันต์ยิ้มกริ่ม หูตาแพรวพราว
“ชื่อเหมาะกับร้านเลยนะ หวังว่าจะแซ่บจริงดังชื่อ”
เด็กหนุ่มหน้าแดงด้วยความอาย ผมเห็นเจ้าสันต์ส่งสายตาหวานใส่เด็กหนุ่ม มันแสดงความสนใจพนักงานคนนี้จนออกนอกหน้า จนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้
“นี่ แกสั่งของคาวก่อนดีไหม กินของหวานก่อน ระวังมันจะเลี่ยนนะโว้ย”
เจ้าสันต์หันมาค้อนผม จากนั้นก็บอกชื่ออาหารที่มันต้องการกินออกไป แต่ก็ไม่วายพูดหยอดว่า
“ไม่ต้องจำหรอกนะ แซ่บ พี่น่ะ ไม่ชอบกินอะไรซ้ำชาก แบบเพื่อนพี่คนนี้ พี่ชอบเปลี่ยนรสชาติไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอของแซ่บ อุ้ย ของอร่อยถูกใจ”
ผมยิ้มขำกับความพยายามของมัน เจ้าสันต์นี่มันขยันหาช่องทางในการที่จะจีบเด็กหนุ่มๆหน้าตาดีอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ มันมีบัญชีรายชื่อหนุ่มๆในลิสต์ของมันมากมาย รอให้ทำความรู้จักแล้วสานต่อความสัมพันธ์ น่าแปลกที่เจ้าเพื่อนผมมันรู้สึกสนุกสนานที่ได้ทำอย่างนั้น มันไม่เคยปิดบังในสิ่งที่ตัวเองทำ แถมซ้ำยังไม่สนใจด้วยว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวมันยังไง
มีหลายคนในที่ทำงานรู้ว่าเจ้าสันต์มีรสนิยมทางเพศชอบผู้ชายด้วยกัน ในขณะที่บางคนก็ไม่รู้ เจ้าสันต์ไม่ได้ปกปิด แต่ก็ไม่เคยเปิดเผยถึงขั้นเที่ยวไปเล่าให้ใครฟัง มันก็อยู่ของมันเฉยๆไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับใคร มันเป็นคนที่บ้างาน ขยันขันแข็ง แต่บทจะเที่ยวมันก็เที่ยวหัวราน้ำเหมือนกัน มีเพื่อนร่วมงานบางคนที่รู้เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของมันก็พากันวิพากษ์วิจารณ์มันอย่างเสียๆหายๆ แต่มันก็ไม่แคร์ ไม่เคยโต้ตอบ แล้วก็ไม่แก้ตัวด้วย มันบอกกับผมว่า เรื่องของมัน ความสุขของมัน คนอื่นไม่เกี่ยว แล้วมันก็ไม่ยอมให้คนเหล่านี้มาทำให้วิถีชีวิตมันเปลี่ยนไปด้วย ผมล่ะทึ่งกับการใช้ชีวิตของมันจริงๆ
“มาแล้วครับ อาหารตามที่สั่ง”
เด็กเสิร์ฟคนเดิมซึ่งเพิ่งเดินจากไปเมื่อสักครู่กลับมาพร้อมกับถาดใส่อาหาร เขาวาง ข้าวราดปลาหมึกผัดน้ำพริกเผาไข่ดาว ให้กับเจ้าสันต์ เพื่อนผม หันไปขอบคุณทำตาหวานเยิ้ม
เด็กหนุ่มยิ้มอายๆ แต่ไม่ยอมมองตอบ เขาเอาจานอาหารของผมมาวางตรงหน้า ผมกับเจ้าสันต์มองจานและอาหารที่อยู่ในนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“ทำไมมันจานใหญ่อย่างนี้ล่ะ สั่งธรรมดานะไม่ใช่พิเศษ”
ผมถามเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย เมื่อเห็นจานของตนเอง มันเป็นจานขนาดใหญ่กว่าจานของเจ้าสันต์ มีข้าวผัดน้ำพริกวางตรงกลางเป็นรูปทรงถ้วย แต่น่าจะเป็นถ้วยขนาดใหญ่พอสมควร มีไข่ดาวแฝดโปะรูปหัวใจโปะอยู่ข้างบน เครื่องเคียงมากมายอยู่รายรอบจาน แถมซ้ำมีน้ำพริกถ้วยเบ้อเริ่มและเครื่องเคียงแยกมาให้ต่างหากอีกจานหนึ่ง มันเยอะมากมายกว่าที่ผมเคยทานที่ร้านนี้จนผมเองยังรู้สึกงง
“นี่ขนาดปกติแล้วนะครับ”
เด็กหนุ่มยืนยัน ผมกระพริบตาปริบๆ พยายามนึกว่า ก่อนหน้านั้น ตนเองกินข้าวร้านป้า ขนาดนี้เลยหรือ เจ้าสันต์มองจานข้าวขนาดธรรมดาของตนเอง และจานข้าวขนาดใหญ่กว่าปกติของผมสลับกันไปมา มันโวยวายด้วยความอิจฉาว่า
“ทำไมของเจ้าเรียวได้เยอะกว่าพี่อ่ะ จานใหญ่กว่า กับข้าวก็เยอะกว่า แถมซ้ำ มีจานพิเศษให้อีกต่างหาก ดูสิ ไข่ดาว ก็เป็นไข่แฝด แถมซ้ำยังเป็นรูปหัวใจอีกด้วย”
“ไม่รู้ครับ คนทำอาหาร เขาส่งมาให้แบบนี้ครับ”
.