ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One step closer (ครึ่งแรก)ในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี แสงจากดวงอาทิตย์สาดจ้าโดยไร้เมฆบดบัง
แต่ถึงแม้ไอร้อนภายนอกจะแผดเผารุนแรงสักเพียงใด ภายในอาคารสำนักงานกลับเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำเสียจนพนักงานแทบทุกคนต้องสวมแจ็คเก็ตหรือห่มผ้าคลุมไหล่กันหนาวให้วุ่น ณรงค์ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องหยิบแจ็คเก็ตซึ่งปกติวางพาดบนพนักเก้าอี้ขึ้นมาสวม แต่เมื่อเหลือบเห็นรุ่นน้องสาวที่นั่งเยื้องไปฝั่งตรงข้ามก็อดจะแซวไม่ได้
“หนาวเว่อร์ไปรึเปล่าผึ้ง? ทำยังกับอยู่ขั้วโลกเหนือ”
ยุพดีเหล่มองคนถาม เพราะนอกจากเธอจะสวมแจ๊คเก็ตแบบหนาฟูซึ่งรูดซิปขึ้นจนสุดแล้ว ยังดึงฮู้ดคลุมศีรษะราวกับพวกชนเผ่าเอสกิโมอีกต่างหาก “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะพี่รงค์ ก็รู้หรอกว่าอากาศข้างนอกมันร้อน แต่ทำไมจะต้องเร่งแอร์ขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ เดี๋ยวพนักงานป่วยยกบริษัทกันพอดี”
อิสราซึ่งสวมแจ็คเก็ตเหมือนกันและนั่งถัดไปจากณรงค์หัวเราะ “ช่วยไม่ได้นี่นา แอร์ที่นี่ดันเป็นแอร์กลาง ถ้าบริษัทเราขอให้ลดอุณหภูมิ เดี๋ยวบริษัทอื่นก็บ่นร้อนอีก ทางอาคารก็เลยช่วยอะไรไม่ได้น่ะสิ”
ยุพดีตวัดสายตามองเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์เหมือนกัน จากนั้นก็บ่นอุบอิบแล้วทำงานต่อ ณรงค์หัวเราะพลางหยิบกระบอกน้ำพลาสติกขึ้นเปิดดื่ม แต่พอเห็นว่าไม่มีน้ำสักหยดจึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อเติมน้ำ
โชคดีว่าหลังจากผ่านเทศกาลสงกรานต์มาได้สองเดือน งานที่ชุกจนมือเป็นระวิงเมื่อตอนต้นปีก็ค่อยๆ ลดลง โดยลูกค้ารายล่าสุดที่เพิ่งส่งแบบให้พิจารณาก็ยังไม่ตอบกลับมา ช่วงนี้งานของเขาจึงไม่มีอะไรเร่งด่วนมากนัก
ขณะที่กำลังรองน้ำโดยกดจากคูลเลอร์ในห้องครัว เสียงเลื่อนประตูเปิดก็ดึงความสนใจให้เหลือบตาขึ้นมอง และเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาคือหนุ่มลูกครึ่ง หนึ่งในผู้บริหารและยังอยู่ในสถานะเป็น ‘คนพิเศษ’ ของเขา ใบหน้าของณรงค์ก็สดใสขึ้นทันที
“กลับจากประชุมข้างนอกแล้วเหรอ?”
ณรงค์ถามเนื่องจากวันนี้พวกเขายังไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่เช้า ไรอันพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็เลื่อนประตูปิดตามหลัง ผิวแก้มสีงาช้างของหนุ่มลูกครึ่งมีสีเลือดฝาดเรื่อๆ เนื่องจากเพิ่งเข้ามาในอาคาร
“อืม แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็จะมีประชุมผู้บริหารอีก ผมเลยแวะมากินน้ำก่อน”
ไรอันตอบพลางเปิดตู้แพนทรี่ด้านบนเพื่อหยิบแก้วน้ำ ณรงค์ที่ยังรองน้ำไม่เต็มกระบอกจึงหยุดกดและถอยให้ก่อน ไรอันเหลือบตามองเขาแล้วก็ขยับตัวเข้าไปกดน้ำแทน “ขอบคุณ”
นับตั้งแต่กลับจากไปเยี่ยมบ้านของณรงค์ที่กาญจนบุรีเมื่อสองเดือนก่อนและยอมรับว่าเขาเป็นแฟน ไรอันก็พูดภาษาไทยด้วยบ่อยขึ้น เว้นแต่บางทีที่ขี้เกียจก็อาจจะพูดภาษาอังกฤษเหมือนเดิม
ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มขึ้นแบบที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครคาดคิด เพราะแม้จะทำงานในบริษัทเดียวกันนับตั้งแต่ไรอันมารับตำแหน่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่เมืองไทย แต่พวกเขาก็แทบจะไม่เคยได้แลกเปลี่ยนคำพูดกันสักครั้ง ถึงแม้ณรงค์จะสนใจมองอีกฝ่ายบ้างเพราะรู้สึกว่าบุคลิกน่าสนใจดี แต่เขาก็ไม่เคยคิดไกลไปถึงขั้นอยากจีบหรือสานสัมพันธ์มากไปกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงานเลยสักนิด
ซึ่งทั้งหมดนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่วันคริสต์มาสที่ผ่านมา...
ไรอันยืนหันหลังให้ณรงค์และก้มศีรษะเล็กน้อยขณะรองน้ำจากคูลเลอร์ เสื้อเชิ้ตบริเวณแผ่นหลังมีเหงื่อซึมบางๆ และต่อให้ไม่ได้ตั้งใจจะคิดลามก แต่ณรงค์ก็อดมองภาพตรงหน้าแล้วคิดไปถึงวันที่ทั้งสองอาบน้ำด้วยกันที่บ้านสวนไม่ได้
ทั้งแผ่นหลังและช่วงบ่ากว้างโปร่งซึ่งเนียนลื่นไร้ไฝฝ้า ลำแขนเพรียวแต่มีกล้ามเนื้อกำลังพอดี ท่อนเอวสอบที่นำสายตาลงสู่สะโพกเกร็งเครียด และท่อนขาแข็งแรงอย่างคนที่ออกกำลังสม่ำเสมอ ทุกส่วนสัดที่ถูกบดบังด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงแสล็คล้วนเคยผ่านสายตาและการสัมผัสของเขามาแล้วทั้งสิ้น
ราวกับรู้ตัวว่าโดนจ้อง ไรอันเลยเอี้ยวคอมามองเขานิดหนึ่งทั้งที่ยังยืนท่าเดิม หนุ่มลูกครึ่งกระตุกมุมปากขึ้นแล้วหันกลับไปกดน้ำต่อ ณรงค์เลยหัวเราะในคอเพราะรู้ว่าถูกจับได้
อย่างน้อยก็ไม่เดินหนีหรือหันมาแยกเขี้ยวใส่ล่ะน่า...
ณรงค์ยืนมองไรอันยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวเกลี้ยงอย่างเงียบๆ พอหนุ่มลูกครึ่งก้มลงเติมน้ำใส่แก้วอีกครั้งก็ถามขึ้น
“ว่าแต่เย็นนี้ผมเลิกงานเร็ว ไปกินข้าวเย็นด้วยกันมั้ย?”
ปกติแล้วทั้งสองเลิกงานไม่ค่อยจะตรงกัน ดังนั้นการทานมื้อเย็นร่วมกันในวันธรรมดาจึงเป็นเรื่องที่นานทีปีหนจะเกิดขึ้นสักที
ไรอันส่ายหน้าพลางใช้หลังมือปาดคราบน้ำบนริมฝีปาก “Sorry เย็นนี้ผมมีนัดกินข้าวกับลูกค้า คุณกลับก่อนได้เลย”
หนุ่มลูกครึ่งหันไปวางแก้วเปล่าลงในอ่างล้างจาน แต่พอหันมาเห็นแววตาผิดหวังของณรงค์ หนุ่มลูกครึ่งก็ยกมือตบไหล่เขาเบาๆ
“Don’t make a face like that. ยังไงวันเสาร์ก็ได้กินข้าวด้วยกันอยู่แล้วนี่คุณ อุตส่าห์ได้เลิกเร็วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะน่า”
ไรอันพูดจบก็เดินออกจากครัว ณรงค์จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วกดน้ำจากคูลเลอร์ใส่กระบอกพลาสติกที่รองค้างไว้ ถึงแม้ใจหนึ่งจะรู้สึกดีที่ไรอันยังพูดเอาใจเขาบ้าง แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์เท่าที่ดำเนินอยู่ไม่เพียงพอกับความรู้สึกในใจมากขึ้นเรื่อยๆ
อยากทำอะไรให้ไรอันรู้ว่าเขาแคร์มากกว่าการพาไปกินข้าวในวันหยุดบ้าง...
++------++
ในวันศุกร์ต่อมา ณรงค์มาถึงออฟฟิศสายกว่าเวลาเข้างานเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทของเขาไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องเวลาเข้าออกงานของพนักงานสักเท่าไหร่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มีงานที่ต้องรีบเข้ามาเคลียร์ให้เสร็จอยู่ดี
วันนี้งานเดียวของณรงค์คือออกไปประชุมกับลูกค้าเพื่อรับบรีฟโครงการปรับปรุงคอมมิวนิตี้มอลล์ย่านชานเมือง ซึ่งกว่าจะถึงเวลานัดก็บ่ายโมง ตอนกลางวันเขาจึงกินข้าวแถวๆ สำนักงานกับพวกรุ่นน้องในทีมก่อน พอใกล้ถึงเวลาจึงค่อยขับรถออกไป
เนื่องจากสถานที่อยู่ไกลออกไปนอกตัวเมืองมาก กว่าการประชุมจะจบและณรงค์ได้กลับเข้าบริษัทอีกครั้งก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ชายหนุ่มเรียกประชุมรุ่นน้องทั้งสองในทีมเพื่อบรีฟงาน หลังจากอธิบายธีมจนเข้าใจและแบ่งงานกันเรียบร้อยก็พากันกลับไปที่โต๊ะ แต่แล้วณรงค์ก็เหลือบไปเห็นว่าห้องทำงานของไรอันยังปิดไฟมืดเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด
วันนี้ประชุมข้างนอกทั้งวันหรือไงนะ...
ชายหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้ว ก่อนจะตัดสินใจเดินไปถามจากเลขาของไรอันดู ถึงแม้ในทางปฏิบัติแล้วเขาจะไม่มีงานที่ต้องติดต่อกับฝ่ายนั้นโดยตรงในระยะนี้ แต่ถ้าแค่แกล้งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็คงไม่ผิดปกตินัก
“อ้าวเหมย วันนี้นายเราไม่เข้าออฟฟิศเหรอ?”
ณรงค์ทำทีเป็นหยุดแวะถามระหว่างทางที่จะเดินไปห้องน้ำ เมธาวีซึ่งนั่งมีโต๊ะทำงานอยู่หน้าห้องของไรอันจึงเงยหน้าขึ้นพลางขยับแว่นที่สวม หญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับณรงค์ แต่อายุงานที่บริษัทน้อยกว่าเพราะเพิ่งเข้ามาทำที่นี่เมื่อกลางปีที่แล้ว
“อื้อ โทรมาลาป่วยตั้งแต่เช้าแล้วแหละ รงค์มีอะไรกับเขาหรือเปล่า?”
คำตอบที่ได้ทำให้คิ้วของชายหนุ่มมุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็พยายามไม่แสดงอาการไม่พอใจแล้วทำทีเป็นถามต่อ
“อ๋อเปล่า แค่ถามดูเพราะเห็นทุกวันเขาต้องเข้าออฟฟิศไง นึกว่าลาพักร้อนกลับไปออสเตรเลียซะอีก”
เลขาสาวหัวเราะ “จะไปได้ยังไงล่ะจ๊ะ ยังไม่ใช่ช่วงวันหยุดซักหน่อย จะว่าไปเขาก็บ่นว่าเวียนหัวตั้งแต่เย็นวานแล้วนะ แต่วันนี้คงไม่ไหวจริงๆ เลยโทรมาบอกเราเมื่อเช้าว่าให้แคนเซิลนัดลูกค้าของวันนี้ทั้งหมดเลย”
ณรงค์รู้สึกว่ามือที่ล้วงกระเป๋าอยู่กำแน่นขึ้น ทว่าใบหน้ายังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม “วันนี้นายไม่อยู่ทั้งวัน เหมยก็สบายเลยสิ”
“ไม่มีหรอกย่ะ นายไม่อยู่แต่ฝากงานให้เต็มเลยเนี่ย ถ้ารงค์ว่างจะแบ่งไปทำก็ได้นะ”
คนโดนชวนรีบส่ายหน้า “ไม่เอาล่ะ ขอกลับไปทำงานตัวเองดีกว่า”
ณรงค์ตอบแล้วก็เดินสาวเท้าเร็วๆ กลับไปที่โต๊ะทำงาน รอยยิ้มเมื่อครู่ก่อนถูกความไม่พอใจพัดให้หายไปโดยสิ้นเชิง และนอกจากความหงุดหงิดที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนแล้ว เขายังสัมผัสได้ถึงกระแสของความน้อยใจที่แทรกประสมอยู่ด้วย
ไม่สบายทำไมไม่บอกกันสักคำ...
ชายหนุ่มกลับมาถึงโต๊ะปุ๊บก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกจากบริษัทโดยไม่ลาใคร พอลงลิฟต์ไปถึงที่รถก็หยิบมือถือมากดโทรออก แต่ทั้งที่โทรซ้ำถึงสามครั้ง ไรอันก็ไม่รับสายเลยสักครั้ง สุดท้ายณรงค์จึงตัดสายทิ้งแล้วรีบขับรถออกสู่ถนนใหญ่อย่างเร่งรีบ เพราะดูเหมือนทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าไรอันป่วยมากน้อยแค่ไหนคือไปดูให้เห็นกับตาที่คอนโดเท่านั้น
โชคไม่ค่อยเข้าข้างคนที่กำลังร้อนใจสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากตอนนี้จะเป็นเย็นวันศุกร์ ช่วงเวลาที่ณรงค์ขับรถออกมายังคาบเกี่ยวระหว่างเวลาเลิกงานและเลิกเรียนอีกด้วย การจราจรบนถนนจึงติดขัดเป็นพิเศษโดยเฉพาะย่านออฟฟิศของเขาเอง กว่าจะพารถหลบหลีกการจราจรเข้าในซอยและลัดเลาะไปจนถึงคอนโดของไรอันได้ เวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงและตะวันเริ่มลับขอบฟ้าแล้ว ทั้งที่ระยะทางไม่ได้ห่างไกลกันมากเลยแท้ๆ
ณรงค์จอดรถบริเวณที่ว่างด้านหน้าใกล้กับรั้วของคอนโด ฝ่ายพนักงานรักษาความปลอดภัยนั้นคุ้นเคยกับเขาดีเพราะมาส่งไรอันบ่อย จึงยิ้มทักทายและเปิดประตูอาคารให้โดยไม่ขอดูบัตรหรือถามว่ามาหาใคร พอขึ้นลิฟต์ถึงชั้นที่ยี่สิบ ณรงค์ก็แทบจะวิ่งไปที่ห้องซึ่งติดหมายเลขที่คุ้นเคยทันที
ชายหนุ่มกดกริ่งที่หน้าห้องรัวๆ แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองรีบจัดจนไม่ได้แวะซื้อของติดมือมาเยี่ยมคนป่วยเลย แต่หลังจากรอครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตูสักที ชายหนุ่มจึงยกนิ้วขึ้นเพื่อจะกดกริ่งอีกครั้ง แต่นิ้วที่กำลังยื่นออกไปก็ชะงักเมื่อประตูถูกเปิดจากด้านในเสียก่อน
“ไร...ขอโทษครับ”
คนที่เปิดประตูออกมาและมองหน้าเขาด้วยแววตาแปลกใจไม่แพ้กันคือชายหนุ่มที่น่าจะอายุมากกว่าเล็กน้อย แต่ด้านรูปร่างแล้วสูงใหญ่ใกล้เคียงกัน ตอนแรกณรงค์นึกว่าตัวเองไม่ดูตาม้าตาเรือจนกดกริ่งผิดห้อง แต่พอชำเลืองมองเลขห้องอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว คราวนี้เขาจึงหันกลับไปขมวดคิ้วใส่คนที่ออกมาเปิดประตูแทน
หมอนี่เป็นใคร?
ดูเหมือนความไม่เป็นมิตรในแววตาของเขาจะเข้มข้นพอใช้ เพราะคนถูกมองยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญ
“เพื่อนของไรอันเหรอ? เข้ามาสิ เขานอนอยู่ข้างในน่ะครับ”
ชายหนุ่มแปลกหน้าเปิดประตูกว้างขึ้นและเบี่ยงตัวให้ เมื่อมั่นใจแล้วว่ามาถูกที่ ณรงค์จึงก้าวเข้าไปข้างในทันทีโดยไม่ต้องรอให้เชิญซ้ำ หลังจากถอดรองเท้าแล้วเขาก็หยุดยืนมองคนที่กำลังปิดประตูด้วยแววตาคลางแคลงไม่หาย
ชายหนุ่มที่เป็นคนเปิดประตูให้หันกลับมา และดูเหมือนจะอ่านแววตาของณรงค์ออก จึงกระตุกยิ้มบนมุมปากเล็กน้อยและผายมือไปทางประตูห้องนอน “อยู่ในห้องนอนครับ พอดีวันนี้เขาหลับๆ ตื่นๆ ทั้งวัน ไม่แน่ตอนนี้อาจจะตื่นแล้วเพราะเสียงกริ่งของคุณเมื่อกี้ก็ได้”
พอพูดยาวขึ้น ณรงค์ก็จับได้ถึงสำเนียงที่แปร่งเล็กน้อยเหมือนคนพูดไม่ค่อยชินกับการใช้ภาษาไทย และเมื่อมองดีๆ เขาก็เห็นว่านัยน์ตาของคนพูดเป็นสีน้ำตาลอมเทาจางๆ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะสนใจหนุ่มแปลกหน้าคนนี้มากไปกว่าคนที่นอนอยู่ในห้องอีกแล้ว
เมื่อเปิดประตูห้องนอนออก ณรงค์ก็พบว่าคนที่เขาอยากเจอทั้งวันและทำให้เป็นห่วงแทบบ้ากำลังค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ผิวหน้าที่ปกติเป็นสีงาช้างแดงเรื่อและนัยน์ตาฉ่ำปรอย ส่วนผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกก็ยุ่งเหยิงเพราะนอนมาทั้งวัน
“James? Who was it? ...คุณมาทำไม?”
++---tbc---++
เนื่องจากเขียนระหว่างที่ยังมึนๆ เล็กน้อย ถ้าอ่านตรงไหนแล้วแปร่ง แหม่ง สะกดผิด ฯลฯ วานชี้บอกกันตามสะดวกค่า