การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 243017 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
อย่าเครียดครับ อย่าเครียด

ติ่ด ตะดะดิ่ ตี๊ดิ่ด ติ๊ด ติ่ด

มา เล่นเกม กันดีกว่า

ติ่ด ตะดะดิ่ ตี๊ดิ่ด ติ๊ด ติ่ด ตื่อ ตือ ตือ ตื๊อออ

ผมไม่ได้เล่นมาปีกว่าและ พอมาเล่นอีกทีก็ลืมไปเยอะเลย
ไอ้สี่เหลี่ยมนี่ก้อยังไม่ผ่านซะที ใครช่วยหน่อย
ส่วนวงกลม กะ rpg ผ่านแล้ว
เกมอื่นๆหลายเกมก็ผ่านแล้ว บางอันก็ยัง มาเล่นกันๆๆ

ใครทำได้เท่าไหร่มาแปะบอกกันมั่งเน้อ ส่วนถ้าใครอยากได้รูปที่สมบูรณ์แล้วก็บอกนะคับ

ติ่ด ตะดะดิ่ ตี๊ดิ่ด ติ๊ด ติ่ด

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป

เรื่องเกมส์นี่  โง่ว่ะ

ได้แค่  LV.3

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

เรื่องเกมส์นี่  โง่ว่ะ

ได้แค่  LV.3


พี่ปืนก็เล่น วันก่อนเมามันกันอยู่สองคน


ติ่ด ตะดะดิ่ ตี๊ดิ่ด ติ๊ด ติ่ด ตื่อ ตือ ตือ ตื๊อออ ~

ปล. ว่าแต่อ่านยัง เมล์น่ะ


ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
สักวันก็ต้องมีคนเจ็บ ไม่วันนี้ก็วันข้างหน้า
ทว่าปัญหาแบบนี้ ก็ต้องตัดสินใจ เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ก่อนตัดสินใจให้ดูให้แน่ใจว่าใช่หรือไม่
เมื่อตัดสินใจแล้วก็ทำให้มันเด็ดขาด
เจ็บณตอนนี้ ดีกว่าปล่อยให้ยืดเยื้อไป
มันยิ่งเรื้อรังและรักษาได้ยาก
อย่างที่เคยทำมา ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
มีแต่ทำร้ายเหมือนเอามีดกรีดรอยเดิมซ้ำไปมา
 :a9: :a9: :a9: :a9: :a9:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เศร้าคับ

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนนี้แล้วไม่ค่อยเข้าใจนะ ว่าทำไมเมฆต้องคิดมากด้วยอ่ะ
ก็ซันบอกว่าไม่ได้รักไคล์นี่นา แต่เคยชอบเท่านั้น
แล้วตอนนี้ซันก็มีเมฆแล้ว คงไม่เป็นไรมั้ง

sun

  • บุคคลทั่วไป
:เฮ้อ:    อ่านแล้วได้แต่ถอนใจเฮือกๆแทน
เหมือนจะกระจ่างนะ ที่ซันบอก..แต่อ่านแล้ว
มันคลุมเคลือ ยังไงมิรู้ อ่ะ ...เหมือนซัน ยังปกปิดอะไรอยู่    :a6:
มันมีอะไรลึกๆมากกว่านี้อีกใช่มะเนี่ย...   :sad2:

กลาย เป็น เราสามคน ไปซะแล่ะ   :m17: 

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ยังรู้สึกว่า ซันยังมีอะไรที่ไม่ได้บอกเมฆอีกอ่ะ  :a6:  :a6:  :a6:

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
สุดท้ายก็เป็นอย่างที่ผมกลัวจิงๆด้วย

ว่าแล้วมันต้องเป็นแบบนี้ :เฮ้อ:

สุดท้ายก็ลำบากใจ คิดมากแล้วก็ปวดหัว

มารอดูความเป็นไปครับผม

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 23


สี่ชั่วโมงของการนั่งรถอันยาวนานและขับหลงนิดหน่อยทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยว แกรนด์แคนยอน และความรู้สึกอึมครึมจากเรื่องที่คาใจผมมาตั้งแต่เมื่อคืนหายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือเพียงความปวดเมื่อยและความเพลียจากการผิดที่ผิดเวลา อดนอน ตื่นเช้า และจากการนั่งทั้งเครื่องบินและต่อด้วยรถยนต์นานๆติดๆกันสองวันแบบนี้เอาไว้ทั่วทั้งร่างกาย

เมื่อคืนหลังจากที่ผมรู้เรื่องทั้งหมดจากปากของไอ้ซันแล้ว เราสามคนก็ไปทานอาหารกันที่ร้านเล็กๆไม่ไกลจากโรงแรมนัก ความรู้สึกของผมก็แค่สับสนและกังวลนิดหน่อยแต่เนื่องจากความเพลียจากการเดินทางมันมีมากกว่าจึงทำให้คืนนั้นผมนอนหลับไปอย่างไม่คิดอะไรมากนัก แต่ทว่าตอนเช้าของวันนี้เมื่อผมเห็นหน้าของไอ้ซันที่ดูท่าทางมันเองก็คงทั้งเหนื่อยและกังวลความรู้สึกของผมอยู่เช่นกัน และใบหน้าของไคล์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกำลังคุยกัน มันก็เผลอทำให้ผมจินตนาการไปถึงช่วงเวลาที่เขาเคยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสองคนในขณะที่ผมกลับต้องจมอยู่กับความทุกข์และต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมคนเดียว ผมจึงเกิดความรู้สึกหดหู่ น้อยใจ และสับสนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

แต่ตอนนี้ผมจะไม่คิดอะไรอีกแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือคำพูดของไอ้ซันที่มันบอกผมเมื่อคืนมากกว่า......... คำพูดที่มันบอกว่า มันรักผมมาก

เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้

หลังจากที่เข้ามาในตัวเมืองแฟล็กสต๊าฟและขับวนเพราะหลงถนนอยู่สักพัก พวกเราก็หาวิสิทเตอร์ เซ็นเตอร์เจอ ตั้งแต่เข้ามาในตัวเมืองนี้ผมก็เกิดความประทับใจกับเมืองเล็กๆนี้ขึ้นมาทันทีเพราะความสงบ ความสะอาด และความเป็นระเบียบของเมืองอย่างที่ผมไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าจะเป็นแบบนี้ แฟล็กสต๊าฟ เป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่ที่มีบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ และสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือผู้คนเดินถนนนั้นน้อยมากในขณะที่รถบนถนนก็วิ่งกันอยู่ขวักไขว่ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกขัดกันอย่างประหลาดในแง่ของจำนวนประชากรของเมืองๆนี้ แต่นั่นอาจเป็นเพราะเราขับรถผ่านแค่บางส่วนของตัวเมืองเท่านั้นก็ได้

ไอ้ซันค่อยๆเลี้ยวรถเข้าไปในลาดจอดรถของวิสิทเตอร์ เซ็นเตอร์ทันที ก่อนที่จะเผลอขับเลยไปอีกครั้ง

“เมืองดูเงียบๆเนอะ” ผมพูดขณะที่มองไปยังถนนฝั่งตรงข้ามที่มีร้านค้าต่างๆเรียงรายอยู่มากมาย ลักษณะคล้ายๆกับสยามเซ็นเตอร์ของบ้านเรา แต่ที่นี่มีทั้งร้านค้า ร้านของที่ระลึก ร้านของเล่น ร้านหนังสือ ร้านอาหาร และผับบาร์ครบครัน หรือผมจะดูผิดไปก็ไม่รู้ เพราะทุกร้านนั้นปิดหมด เท่าที่เห็นนั้นไม่มีร้านไหนเปิดให้บริการเลยสักร้าน

“นี่มันวันหยุดอะไรหรือไงวะ” ผมพูดขึ้นเบาๆ

“อ้าว นี่มัน แอมแทร็ค นี่นา” ไคล์พูดขึ้น

“อะไรนะ” ผมหันไปถามไคล์

“นี่ไง” เขาชี้นิ้วไปที่ป้ายที่แขวนอยู่ถัดจากป้าย วิสทิเตอร์ เซ็นเตอร์ “แอมแทร็ค สถานีรถไฟน่ะครับ”

ผมพยักหน้าเบาๆ เพราะด้านหลังของอาคารหลังนี้ก็มีรางรถไฟตัดผ่านอยู่จริงๆ

“เอาล่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้นหลังจากรถจอดสนิท “ต่อไปจะเอายังไง”

“ก็ไปถามเขาสิ ว่าเราจะไปที่ไหนยังไงดี” ผมพูด

“ไปวอลมาร์ทใช่มั๊ย แล้วไงต่อดี”

“เอาเหอะ ไปถึงก็รู้เองแหละน่า” ผมพูดพลางเปิดประตูรถออก ซันกับไคล์ก็ทำเช่นเดียวกัน

เราสามคนเปิดประตูเดินเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ๆห้องหนึ่ง ตรงกลางห้องมีโต๊ะเคาน์เตอร์โค้งลักษณะคล้ายกับวงกลม โดยมีคนท่าทางเหมือนกับพนักงานนั่งอยู่ด้านในสามสี่คนรวมทั้งคนที่ก้มลงอ่านเอกสารบนโต๊ะและคนที่เดินอยู่ตามมุมต่างๆของห้องอีกสามสี่คน และบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยเหล่าโบรชัวร์ ใบปลิว และเอกสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆเต็มไปหมด รวมทั้งบนผนังก็มีใบปลิว แผนที่ เช่นเดียวกับบนโต๊ะแขวนอยู่ให้หยิบได้ฟรีอยู่มากมายเช่นกัน นอกจากนั้นตรงมุมห้องก็ยังมีขายของที่ระลึกเล็กๆเช่น โปสการ์ด หรือ ของกระจุกกระจิกอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเมืองและแกรนด์แคนยอนอีกด้วย เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเมืองๆนี้โปรโมททั้งการท่องเที่ยวของเมืองตัวเองและของแกรนด์แคนยอนด้วยเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นการที่เราตั้งใจจะมาถามเรื่องเกี่ยวกับแกรนด์แคนยอนที่นี่ก็คงไม่ผิดหวังแน่นอน

“สวัสดีครับ มีอะไรให้เราช่วยมั๊ย” ผู้ชายอ้วนๆท่าทางใจดีคนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ทักขึ้น

“สวัสดีครับ” พวกเราสามคนพูดขึ้นพร้อมๆกัน

“สวัสดีค่ะ สบายดีมั๊ยคะ” ผู้หญิงที่เหลืออีกสองคนตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มองหาอะไรอยู่รึเปล่าค่ะ”

“อ๋อครับ คือ เราอยากจะขอแผนที่ของเมืองนี้หน่อยได้มั๊ยครับ พวกเรากำลังหาทางไปวอลมาร์ท น่ะครับ” ไคล์เป็นคนตอบ

“ได้แน่นอนครับ” ผู้ชายคนเดิมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนและหยิบโบรชัวร์แผ่นหนึ่งยื่นให้เรา “นี่คือแผนที่เดินรถบัสของเรา พวกคุณสามารถขึ้นสายสีแดงไปได้เลย.........”

“อ๋อ คือพวกเราขับรถมาน่ะครับ” ไคล์พูดขัดขึ้น

“โอ้ ขับรถมาเหรอครับ” ผู้ชายคนนั้นทำท่าแปลกใจ

“มาจากไหนกันเหรอคะ” ผู้หญิงผมยาวใส่แว่นที่นั่งอยู่ถามขึ้น

“เอ่ออ” ไคล์หันมามองเราสองคนแล้วจึงหันไปตอบ “อังกฤษครับ”

และก็เป็นอย่างที่คาด ทั้งสามคนทำท่าแปลกใจขึ้นมาทันที ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะผมกับซันดูยังไงๆก็คนเอเชียร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนไคล์ก็ดูยากเหลือเกินว่ามีเชื้อสายไหนถ้าไม่ได้ภาษาอังกฤษช่วย แต่พวกเราสามคนกลับมาเดินทางอยู่ด้วยกันและบอกว่ามาจากอังกฤษอีกต่างหาก ก็คงอยู่เหนือความคาดหมายของคนอื่นๆอยู่บ้างจริงๆ

“พวกผมเป็นคนไทยครับ มาจากประเทศไทยแต่ไปเรียนอยู่อังกฤษ” ผมชิงตอบขึ้นมาก่อน “ส่วนคนนี้” ผมชี้ไปที่ไคล์ “เป็นลูกครึ่งน่ะครับ”

“ใช่ครับ” ไคล์พยักหน้ารับ

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ผู้หญิงอีกคนร้องขึ้น “มาเที่ยวกันเหรอคะ”

“พวกเรากำลังจะขึ้นไปแกรนด์แคนยอน น่ะครับ” คราวนี้ไอ้ซันพูดขึ้นมาบ้าง

“โอโห ยอดเลย แล้วนี่ครั้งแรกที่อเมริกาของพวกคุณหรือเปล่า” ผู้ชายคนเดิมถามขึ้น

“ไม่ใช่สำหรับเขาครับ เพราะเขามีพ่อเป็นคนที่แอลเอ ญาติๆเขาก็อยู่แอลเอ แต่ครั้งแรกสำหรับพวกเรา” ไอ้ซันเป็นฝ่ายตอบ “ตกลงผมจะต้องขับรถไปถนนเส้นไหนถึงจะไปที่วอลมาร์ทได้ครับเนี่ย” มันรีบตัดบท คงเพราะรู้สึกรำคาญ

“จริงสินะ นี่ครับ แผนที่” ชายพุงพลุ้ยคนนั้นยื่นแผนที่ให้ซัน ผม และไคล์คนละฉบับ “นี่คือถนน และชื่อเส้นทางเกือบทั้งหมดของที่นี่ แบบนี้น่าจะดูง่ายกว่า” เขาอธิบาย พลางใช้นิ้วชี้ไล่ไปตามถนนเส้นต่างๆ “จะเห็นว่า วอลมาร์ท อยู่ตรงมุมนี้ของเมืองเลยทีเดียว ถ้าขับรถไปก็ไม่ยาก ใช้เวลาประมาณสิบถึงสิบห้านาทีก็คงถึง ขึ้นอยู่กับว่าคุณขับเร็วแค่ไหน” เขาหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี

“แล้วไง ตกลงจะไปวอลมาร์ท หรือไป มอลล์” ผมถามซันเป็นภาษาไทย

“มึงคิดว่าไงอ่ะ ไหนๆจะเดินซื้อของแล้ว ไปห้างใหญ่ๆเลยดีมั๊ย”

“ไคล์คิดว่าไง” ผมหันไปถามไคล์

“ผมว่า ไปวอลมาร์ทก็คงพอนะ ไม่ได้ซื้ออะไรเยอะแยะนี่ครับ แถม........” ไคล์ไล่นิ้วไปตามแผนที่ “มอลล์อยู่อีกมุมของเมืองเลยนะ” เขาจิ้มไปยังมุมบนขวาของแผนที่

“เออ จริงว่ะ แม่งห่างกันคนละซีกเลย” ไอ้ซันพูด

“อืมมม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วเรื่องแกรนด์ แคนยอน..........” ไคล์พูดขึ้น

“นั่นคือภาษาของพวกคุณเหรอคะ” ผู้หญิงหลังเคาน์เตอร์ถามขึ้น

“อ๋อ ครับ” ผมตอบ “ภาษาไทย”

“แล้วน้องคนนี้ก็พูดได้ด้วย” เขาชี้ไปที่ไคล์ “เก่งจังเลย ดูท่าทางคุณก็ไม่เหมือนคนเอเชีย หรือคนไทยเหมือนอีกสองคนนะ ดูออกเป็นแนวฮิสแปนนิคมากกว่า แต่กลับพูดได้ทั้งอังกฤษ แล้วก็ไทย”

“ครับ พ่อผมเป็นเม็กซิกันอเมริกัน ส่วนแม่เป็นคนไทย” ไคล์ตอบยิ้มๆ แล้วหันหลับมาพูดกับเราเป็นภาษาไทยต่อ “ทำไมคนชอบสนใจเรื่องหน้าตากับภาษาผมกันจังนะ” เขาบ่น

“ก็เรามันแปลกจริงๆนี่” ไอ้ซันตอบแล้วหัวเราะในลำคอ ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“แถมยังหน้าตาดี” ผมเสริม

“ไม่เอาน่า......” ไคล์ร้อง “ตกลงเรื่องแกรนด์แคนยอน พี่อยากให้ผมถามอะไรเขาบ้างล่ะเนี่ย”

“อืมมม นั่นสินะ” ผมคิด แล้วหันไปหาผู้ชายคนเดิม “ตอนนี้ที่แกรนด์แคนยอนสภาพอากาศเป็นอย่างไรบ้างครับ พวกผมควรเตรียมตัวยังไงบ้างเนี่ย เพราะที่กำลังจะไปวอลมาร์ทก็เพื่อจะไปหาซื้อของมาเผื่อไว้พอดี”

“ตอนนี้ที่แกรนด์แคนยอนเหรอ.......” เขาหันไปมองหน้าผู้หญิงอีกสองคนเหมือนจะขอความช่วยเหลือ “ตอนนี้ก็ปลายฤดูหนาวแล้ว แต่อากาศก็ยังเย็นอยู่นะ อ้อ ที่สำคัญคือโลชั่นทาผิว ลิปมัน อะไรพวกนั้นที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังน่ะ มีรึยัง” เขาถาม

“น่าจะมีแล้วนะ” ผมหันไปมองหน้าอีกสองคนที่เหลือ

“ไปพักอยู่กี่วันคะ” ผู้หญิงใส่แว่นถาม

“ห้าวันครับ”

“โอโห นานเหมือนกันนะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เพราะที่นั่นมีร้านขายของอยู่ชื่อ เจเนอรัล สโตร์ มีครบทุกอย่างเหมือนกัน” อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วย

“แต่พวกผมได้ยินมาว่ามันขายแพงกว่าข้างล่างนี่นี่ครับ” ไอ้ซันพูดขึ้น

“มันก็ใช่นะ” ผู้หญิงคนเดิมพยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นเอาไงดี ตกลงจะแวะไปวอลมาร์ทมั๊ย” ซันหันมาถามความเห็นของผม

“ไปดิ่มึง อุตส่าห์วนมาถึงนี่แล้ว ซื้อขนมเอาไว้เยอะๆก็ยังดี แล้วอยากได้อะไรก็ไปหยิบๆเอา จะได้ไม่ต้องไปซื้อข้างบนนั้นทีหลัง เรายังไม่รู้เลยว่าบนนั้นเป็นยังไงบ้างน่ะ เตรียมพร้อมไว้ดีที่สุด”

ไคล์พยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นก็...... ขอบคุณมากนะครับ” ผมหันไปพูดกับพนักงานทั้งสาม ไคล์กับซันเองก็เช่นกัน หลังจากร่ำรากันเสร็จเรียบร้อยเราทั้งสามก็ออกรถขับไปตามถนนที่ผู้ชายคนนั้นบอกตามแผนที่ ผมให้ไคล์เป็นคนบอกทางเสียส่วนมากส่วนผมเอาแต่มองชื่อถนนและดูบรรดาร้านค้าบ้านเรือนริมถนนที่ผ่านตาไปเรื่อยๆอย่างชอบใจ เมืองสงบๆแบบนี้นี่แหละที่ผมชอบ มีทั้งร้านหนังสือ ร้านค้า โรงหนัง โรงพยาบาลครบครัน แต่ก็ดูสงบและเป็นธรรมชาติ

“อยากอยู่เมืองแบบนี้มั่งจังว่ะ” ผมเปรยขึ้นเบาๆ

“มึงว่าไงนะ” ไอ้ซันทวนคำ

“ก็มันสงบดี กูชอบ”

“มันก็ใช่ แต่กูว่ามันไม่มีอะไรเลยว่ะ”

“ไม่มีที่ไหน มึงก็เห็นในแผนที่ มีออกครบทุกอย่าง ดูๆแล้วกูว่ามันเหมือนในหนังอ่ะ ที่คนในเมืองรู้จักกันเกือบหมดทุกคนเลย ไปไหนก็สะดวกแถมเมืองยังสะอาดอีกต่างหาก”

“มึงนี่ก็เพ้อเกินไป เมืองมันไม่เล็กขนาดนั้นนะเว้ย ดูดีๆสิเนี่ย นี่มันก็ใหญ่เหมือนกันนะ ถ้าคนในหมู่บ้านนั้นรู้จักกันหมดน่ะ ค่อยไม่แปลกหน่อย” ไอ้ซันชี้ไปยังหมู่บ้านที่มีอาคารเป็นรูปทรงแปลกตาและถูกทาสีด้วยสีสันราวกับลูกกวาดทางด้านขวามือ

“เออ กูรู้น่า มึงนี่ขัดจินตนาการกูจริง” ผมถอนหายใจเบาๆ

วอลมาร์ทเป็นห้างที่ขึ้นชื่อเรื่องความถูกของสินค้า ดูๆไปก็คงไม่ต่างกับโลตัสบ้านเราสักเท่าไหร่ ผม ซัน และไคล์ใช้เวลาเกือบสี่สิบนาทีหมดไปกับการเลือกซื้อขนมและของกินจำพวกของแห้งต่างๆเสียมาก นอกจากนั้นเราก็แทบไม่ได้ซื้อของอย่างอื่นเพิ่มเลยเพราะว่าเราซื้อเตรียมกันไว้ตั้งแต่ตอนก่อนออกเดินทางมาที่นี่แล้ว ขณะที่เรากำลังจ่ายเงินไคล์ก็ถามพนักงานได้ความมาว่าจากที่แฟล็กสต๊าฟนี้ไปยังแกรนด์แคนยอนใช้เวลาเดินทางราวๆอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ซึ่งขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว พวกเราจึงรีบออกเดินทางกันอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

ขณะขับรถออกจากเมืองแฟล็กสต๊าฟผมก็ยังอดชื่นชมความสงบและเป็นธรรมชาติของที่นี่ไม่ได้ ทั้งภูเขาและป่าไม้มีให้เห็นได้อยู่เรื่อยๆ ยิ่งเราขับรถออกจากเมืองไกลเท่าใดผมก็ยิ่งสังเกตเห็นว่าธรรมชาติข้างทางนั้นยังคงอุดมสมบูรณ์ดีถึงแม้ว่าพันธุ์ไม้ส่วนมากจะเป็นพืชจำพวกพุ่มไม้ กระบองเพชร หรือพวกพืชไร้ใบก็ตาม

ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าตั้งแต่เราออกจากแฟล็กสต๊าฟมาก็ใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาทีแล้ว

“ใกล้แล้วมั๊ง” ผมพูด

“นั่นสิ เมื่อกี๊ป้ายก็บอกว่าอีกไม่กี่ไมล์นี้แหละ” ไอ้ซันตอบ

“มึงเหนื่อยมั๊ย ขับรถยาวเลย”

“ก็นิดหน่อยว่ะ” ไอ้ซันหมุนคอเสียงดังกร๊อบ “แต่ก็ไม่เท่าไหร่อ่ะ ว่าแต่มึงรู้สึกหูอื้อๆมั่งมั๊ย”

“อือ นิดหน่อยว่ะ”

“เพราะความสูงมั๊งครับ” ไคล์ที่นั่งอยู่ด้านหลังตอบ

“สงสัยจะอย่างนั้น” ผมเห็นด้วย

“นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ” ไอ้ซันร้องขึ้นแล้วชี้ไปข้างหน้า “ถึงทูซายานแล้ว”

ทูซายานคือเมืองที่เล็กมากๆจนดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านเสียมากกว่า ข้างทางมีโรงแรม ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกตั้งอยู่เรียงรายกันเป็นช่วงๆ ถนนที่พวกเราใช้อยู่นั่นคือถนนสายหลัก เพราะอย่างนั้นจึงมีขนาดค่อนข้างกว้างมาก และสิ่งก่อสร้างที่ถูกตั้งอยู่ข้างถนนก็ล้วนแต่เป็นจุดเด่นๆของที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะโรงแรม โรงหนังไอแม็กซ์ หรือแม้แต่สนามบินขนาดเล็ก และถ้าเรามาถึงที่นี่แล้ว ตามที่หลายๆคนบอก อีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีเราก็ควรจะมองเห็นทางเข้าสู่แกรนด์แคนยอนเสียที

ไอ้ซันเร่งความเร็วของรถขึ้นทันที

“มึงจะเร่งไปไหน” ผมท้วง

“เอาน่า ถนนโล่งจะตาย แถมอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วด้วย กูอยากถึงไวๆ เมื่อยขับรถเต็มที่แล้ว”

“กูก็อยากถึงไวๆ แต่ถึงแกรนด์แคนยอนนะ ไม่ใช่สวรรค์”

“กูไม่พามึงไปสวรรค์หรอกน่า ไม่ต้องห่วง”

“อ้าว ถึงแล้วนี่ไงครับ” ไคล์พูดพลางชี้ไปที่ป้ายขนาดใหญ่เบื้องหน้าของเราสามคน

“ยินดีต้อนรับสู่ แกรนด์แคนยอนครับ สุภาพบุรุษทุกๆท่าน.........” ไอ้ซันพูดด้วยความโล่งอก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:31:47 โดย ExecutioneR »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ซันโล่งอก เราก็พลอยโล่งอกไปด้วย
วันนี้เที่ยวกันอย่างเดียว ค่อยยังชั่วหายเครียดหน่อยนะจ๊ะ
เมฆอย่าเครียดนะ ตอนนี้ซันรักเมฆคนเดียวก็พอแล้ว

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
The Long and Winding Road
 :undecided:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเดินทางของŪ
«ตอบ #252 เมื่อ30-08-2007 12:47:54 »

ซันโล่งอก เราก็พลอยโล่งอกไปด้วย
วันนี้เที่ยวกันอย่างเดียว ค่อยยังชั่วหายเครียดหน่อยนะจ๊ะ
เมฆอย่าเครียดนะ ตอนนี้ซันรักเมฆคนเดียวก็พอแล้ว

เห็นด้วยคับ อย่าคิดมากเลย .... ผมว่าซันรักเมฆเกินกว่าจะทำให้เมฆต้องมานั่งเสียใจทีหลังนะ  :impress:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
งานเขียนเริ่มฉีกแนว ท่องออกไปบนโลกกว้าง
 :m18: :m18: :m18: :m18:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ถึงแกรนด์แคนยอนแล้ว  :m1:  :m1:  :m1:

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
ดีจัง ตอนนี้ไม่เครียด เที่ยวอย่างเดียว หุหุ

อ่านแล้วอยากไปบ้างจังเลย  :m1:

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
อยากไปมั่งจังคับจะมีใครพาไปมั่งมั้ยเนี่ย :เฮ้อ:


sun

  • บุคคลทั่วไป
:m1:     ขอไปเที่ยวแกรนแคนยอน ด้วยคนค่ะ  (เกาะหลังคาไปแย้วกัน คิคิ)       :a9:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 24


เมื่อเข้าสู่ประตูทางผ่านเข้าสู่แกรนด์แคนยอน สิ่งแรกที่สะดุดตาผมทันทีคือเหล่าป่าสนที่ขึ้นอยู่แน่นขนัดเต็มสองข้างทางดูคล้ายๆกับเขาใหญ่บ้านเราอย่างไรอย่างนั้น แต่จะพูดว่าแน่นขนัดนั้นก็คงไม่ถูกนักเพราะว่าป่าสนในเขตหนาวและที่เขตสูงแบบนี้จะขึ้นอยู่แบบโปร่งๆมากกว่า ดูแปลกตาไปจากความเคยชินของผมอยู่ไม่น้อย

“มึงอย่าเพิ่งเหม่อ เราต้องไปที่ไหนกันเนี่ย เอาแผนที่มาดูสิ” ไอ้ซันร้องเรียกผม

ผมหยิบแผนที่ที่พนักงานแจกให้ที่ทางเข้ามากางออก “ที่พักของเราคือ ยาวาพาย ลอดจ์ มึงขับไปตามถนนนี่แหละ เดี๋ยวก็ถึง”

“ลองเปิดกระจกดูดีมั๊ย” ไคล์ถามพลางเปิดกระจกรถลง “อยากรู้ว่าอากาศตอนนี้เป็นยังไงบ้างน่ะ”

ผมเองก็ทำตามเช่นเดียวกัน เมื่อกระจกรถถูกเปิดลงจนสุด ผมก็ยื่นแขนออกไปรับอากาศภายนอก “เหี้ยและ ร้อนว่ะ แดดจ้าเลย”

“อ้าว ก็คงใช่ เวลากลางวันขนาดนี้” ไอ้ซันหัวเราะ

“มันจะหนาวมั๊ยวะนี่” ผมบ่น

“ก็อาจเป็นไปได้นะ” ไคล์ตอบ “ผมว่าตอนกลางคืนอากาศน่าจะเย็น”

“ก็คงอย่างที่ไคล์พูดนั่นแหละ” ไอ้ซันเห็นด้วย

เราขับรถไปตามถนนและป้ายบอกทางที่มีอยู่ให้เห็นเป็นระยะๆจนมาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง

“เอาไงวะ ตรงไป หรือเลี้ยวขวา” ไอ้ซันถาม

“ตรงไป” ผมตอบ เนื่องจากด้านซ้ายมือของเราคือ คาเฟทีเรียที่มีชื่อว่า ยาวาพาย และผมยังเห็นคำว่า ยาวาพายลอดจ์และป้ายที่บอกว่าติดต่อห้องพักด้านนี้อีกด้วย “จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้าที่จอดรถ” ผมชี้ทาง

เมื่อเราเลี้ยวซ้ายไปตามถนน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเราก็คือลานจอดรถขนาดใหญ่และด้านขวามือของผมคือที่ทำการไปรษณีย์ ธนาคาร และร้านค้าที่ชื่อ เจเนอรัล สโตร์ อย่างที่พนักงานในแฟล็กสต๊าฟบอกจริงๆ

“อย่างนี้คงไม่อดตาย” ไอ้ซันพูดขณะเลี้ยวเข้าจอดรถ “แล้วฟรอนท์เดสค์ที่เราต้องเช็คอินอยู่ตรงไหนล่ะเนี่ย”

“ผมว่าข้างในนั้นนะ” ไคล์ชี้ไปยังประตูทางเข้าที่มีป้ายเขียนว่า แคนย่อน คาเฟ่

เมื่อรถจอดสนิท เราสามคนก็ลงจากรถ ผมกำลังจะเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางออกมาแต่ไอ้ซันก็ส่งเสียงห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องๆ ทั้งสองคนรออยู่ที่นี่แหละ ขอเข้าไปถามให้ชัวร์ก่อนว่ายังไง เดี๋ยวกูมา” พูดจบมันก็วิ่งเหยาะๆออกไปทันที ทิ้งผมกับไคล์ให้ยืนรออยู่ที่รถสองคน ผมมองหน้าไคล์ที่กำลังยืนบิดขี้เกียจอยู่แล้วก็คิดถึงสิ่งที่ไอ้ซันบอกผมเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กหน้าตาดีอย่างไคล์จะชอบผู้ชายจริงๆ แถมยังเป็นไอ้ซันอีกต่างหาก แต่จะว่าไปถ้ามันเป็นความประทับใจหรือความฝังใจที่เขามีให้แก่พี่ชาย มันก็อาจจะไม่แปลกก็ได้ล่ะมั๊ง

“อะไรเหรอ” ไคล์ถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมเองก็ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน

“งั้นยังไงๆก็ขอพูดภาษาอังกฤษก็แล้วกันนะ เพราะว่าตั้งแต่สองสามวันมานี้ใช้ภาษาไทยแทบตลอดเลย และที่สำคัญ ซันกับศิลาพูดกันเร็วมาก ผมฟังไม่ทัน บางทีก็ฟังไม่รู้เรื่อง และศัพท์บางคำผมก็ไม่รู้จักอีกต่างหาก” เขาหัวเราะ

“อ้าว อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมไม่บอกล่ะ”

ไคล์ยักไหล่ “ก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหนานี่” เขากวาดสายตามองไปรอบๆ “อากาศดีนะ”

“อื้มม ใช่” ผมยืดแขนออกไปจนสุด “ร้อนไปนิด แต่ก็ลมเย็นดี และที่สำคัญ.......” ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ท้องฟ้าสวยมากๆเลย”

ท้องฟ้าที่นี่โปร่งมาก ก้อนเมฆสีขาวรูปร่างแปลกๆลอยอยู่อย่างเอื่อยเฉื่อยตัดกับท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือผมอุปทานไปเองนะ แต่ผมคิดว่าก้อนเมฆและท้องฟ้าของที่นี่สวยมากๆและแตกต่างจากท้องฟ้าในเมืองใหญ่ๆที่ผมเคยอยู่เคยไปมาจริงๆ ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างลักษณะคล้ายๆกับจรวดที่พุ่งดิ่งลงมาจากท้องฟ้าทิ้งให้เกิดควันสีขาวเป็นสายอยู่ตรงขอบฟ้าด้านหน้า นั่นคงเป็นจรวดที่ใช้สำหรับพยากรณ์อากาศอย่างที่เคยได้ยินมาล่ะมั๊ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท้องฟ้าใสๆแบบนี้ก็ทำให้ผมนึกอยากเห็นตอนกลางคืนไวๆเหลือเกินว่ามันจะสวยงามสักแค่ไหน

ผมยืดตัวบิดขี้เกียจอีกสองสามครั้งและขณะที่ผมหันไปมองยังทางเดินระหว่างเจเนอรัล สโตร์กับธนาคาร ก็เห็นคนเอเชียวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งทั้งชายและหญิงเดินพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ แต่สิ่งที่สะดุดตาของผมก็คือ เสื้อยืดที่ผู้ชายคนหนึ่งใส่นั้นมีภาษาไทยปักอยู่ด้วยเป็นคำว่า “ฉันรักประเทศไทย”

ผมยืนมองพวกเขาอยู่สักพักด้วยความฉงนใจเล็กน้อยจนพวกเขาเดินหายเข้าไปในที่ทำการไปรษณีย์

“เฮ้” เสียงของไอ้ซันดังขึ้นทางด้านหลังของผม “ไปเถอะ ขนของไปกันเลย กูได้กุญแจแล้ว” มันชูกุญแจขึ้นให้พวกเราดู

“บอกให้ขน แล้วให้ขนไปไหนวะ ไหนล่ะที่พัก” ผมหันซ้ายหันขวา

“อยู่ด้านหลังนู้นน่ะ ไปทางนี้ได้” ไอ้ซันชี้ไปยังทางเดินเล็กๆเลียบผ่านด้านข้างร้านอาหารที่ส่วนนั้นมีลักษณะคล้ายๆโดมกระจก “ต้องเดินหน่อยว่ะ”

เราสามคนออกเดินและลากกระเป๋าไปยังที่พัก มันใช้เวลาประมาณสิบนาทีถึงจะมาถึง ที่พักของเรานั้นไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นลักษณะของโมเต็ลมากกว่า ด้านหน้าของอาคารก็มีลาดจอดรถอยู่เช่นกัน

“แล้วทำไมเราไม่มาจอดตรงนี้วะนี่” ผมถาม

“เดี๋ยวเอามาจอด เมื่อกี๊มาไม่ถูก ตอนนี้ถูกแล้ว” ไอ้ซันไขกุญแจห้องและผลักประตูเข้าไป

ห้องของเราไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่มีพัดลมเพดานแขวนอยู่ด้านบนแทน แต่ผมคิดว่าความร้อนนั้นคงไม่ใช่ปัญหาแน่นอนอยู่แล้ว การตบแต่งก็มีลักษณะคล้ายๆกับแนวของอินเดียนหรือชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองนั่นเอง ดูเป็นแบบคันทรี่เล็กๆแต่ก็มีความร่วมสมัยอยู่ในตัว

“เฮ้อออ” ไอ้ซันทิ้งตัวลงบนที่นอนทันทีที่เปิดประตูห้องออก

“เหนื่อยเหรอ” ไคล์ถาม

“อืม” ซันพยักหน้าตอบ “แต่ที่สำคัญคือหิวว่ะ”

“งั้นเราไปกินข้าวกันก่อนเลยมั๊ย เดี๋ยวค่อยกลับมาจัดของทีหลัง” ผมเสนอความคิด

“ก็ดีเหมือนกัน ไปกันเถอะ” ไอ้ซันดีดตัวขึ้นนั่ง จากนั้นเราสามคนก็พากันเดินกลับไปยังทางเดิมที่เราเดินผ่านเมื่อครู่ ผมล้วงหยิบโทรศัพท์มือถืออออกมาจากกระเป๋าเพื่อที่จะโทรหาพ่อและบอกให้ไอ้ซันทำเช่นเดียวกัน แต่เมื่อผมและมันเห็นโทรศัพท์ของตัวเองก็ต้องร้องออกมาพร้อมๆกันด้วยความประหลาดใจ

“เฮ้ยยย”

“อ้าว เวรแล้วไง”

“อะไรเหรอครับ” ไคล์ถามพลางล้วงเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาดูเช่นเดียวกัน

“ไม่มีสัญญาณ” ผมชูมือถือให้เขาดู

“จริงด้วย” ไคล์ร้องออกมาด้วยความผิดหวัง

“ที่นี่มันบ้านนอกขนาดนั้นเลยเหรอวะเนี่ย” ไอ้ซันสบถออกมาด้วยความเซ็ง

“ไม่เป็นไรมั๊ง เดี๋ยวซื้อบัตรโทรศัพท์เอาก็ได้ แก้ขัดไปก่อน” ผมพูด

เมื่อเรามาถึงด้านหน้าของร้านอาหาร ประตูเดียวกับที่ไอ้ซันเดินเข้าไปตอนแรก ผมก็สังเกตเห็นว่าทางซ้ายมือของเรานั้นเป็นร้านขายของที่ระลึก ผมสะกิดให้ไคล์ดูรูปวาดของ แกรนด์แคนยอนในยามพระอาทิตย์ตกดินที่ถูกแขวนอยู่บนผนัง เมื่อผมมองเข้าไปในร้านก็เห็นว่ามีสินค้าต่างๆมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นหมวก เสื้อผ้า ของใช้ ของกิน ของเล่น และอื่นๆอีกมากมาย

“เดี๋ยวค่อยแวะ ไปกินข้าวกันก่อนเหอะ” ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อเห็นผมกับไคล์มีท่าทีสนใจกับสินค้าในร้าน

ร้านอาหารแห่งนี้เป็นคาเฟทีเรียที่ขายทั้งอังเทร่หรืออาหารจากหลัก มีป้ายที่บอกว่าจุดนี้คือ สเตชั่นเบอร์เกอร์ พิซซ่า และ ชิคเก้น เรียงรายกันตามลำดับเป็นแถวตามแนวยาวของเคาน์เตอร์ ดูๆแล้วลักษณะคล้ายๆกับแม็คโดนัลด์อยู่เหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่ว่ามีอาหารมากกว่าและมีช่องแคชเชียร์ให้จ่ายเงินต่างหาก ลูกค้าในร้านต่างก็กำลังทยอยเดินมาซื้ออาหารกันอยู่เรื่อยๆ บางคนก็กำลังสั่งอาหาร บางคนก็กำลังเลือกอาหาร แต่ไม่มีคิวต่อซื้ออาหารยาวอย่างที่ผมคิดเลย เพราะตอนเดินผ่านที่นั่งผมเห็นมีคนนั่งอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ทว่าคิวต่อซื้ออาหารนั้นเกือบจะไม่มีเลยทีเดียว ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะมันเลยเวลาเที่ยงมานานแล้วก็เป็นได้

ผม ซัน และไคล์ หยิบถาดที่ถูกวางกองตั้งเอาไว้ด้านหน้ามาคนละถาด ไคล์เดินตรงไปยังมุมของหวานเลือกมองดูเค้กและพายที่ถูกแช่อยู่ในคูลเลอร์ ส่วนผมกับซันหยุดยืนอ่านเมนูที่เป็นป้ายอยู่ทางด้านบนของสเตชั่นอังเทร่ซึ่งเป็นสเตชั่นแรกสุด

ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของผมนั่นคือคนที่กำลังยืนขายของอยู่ต่างหาก นอกจากพนักงานต่างชาติที่เป็นทั้งอเมริกันและคนชาติอะไรไม่ทราบแต่ผมเดาว่าน่าจะเป็นพวกเม็กซิกันแล้วผมยังเห็นมีคนเอเชียอยู่อีกหนึ่งคนด้วย เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งยืนขายให้ลูกค้าอยู่ตรงโซนไก่ทอดซึ่งเป็นสเตชั่นสุดท้ายพอดี

“มึงจะกินอะไร” ไอ้ซันถามผมขณะที่เราเดินผ่านมาถึงสเตชั่นเบอร์เกอร์

“กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่กูไม่อยากกินเบอร์เกอร์อ่ะ” ผมตอบ พนักงานหญิงแก่ๆหน้าคล้ายคนเอเชียที่ยืนประจำสเตชั่นอยู่ยิ้มให้พวกเรา

“คนเอเชียป่าววะ” ผมกระซิบถามไอ้ซัน

“กูว่าพวกอินเดียนว่ะ มึงดูหางเปียดิ่”

“ไอ้บ้า” ผมหัวเราะ “ดูเปียแล้วมันบอกได้เลยเนอะ ว่าเป็นคนเอเชียหรือพวกเนทีฟอเมริกันน่ะ” ผมเอาถาดเคาะหัวของมันเบาๆ ขณะเดียวกันก็มีลูกค้ามาซื้อเบอร์เกอร์ที่พนักงานหญิงคนนั้นพอดี

“เห็นมั๊ย ฟังสำเนียงภาษอังกฤษดิ่ คนอเมริกันพื้นเมือง ไม่ใช่คนเอเชียจริงๆนั่นแหละ” ไอ้ซันพูด

“แล้วคนนั้นล่ะ” ผมกระซิบและชี้ไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นที่กำลังวุ่นอยู่กับการขายอาหารให้ลูกค้าที่ยืนต่อแถวกันอยู่ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สังเกตเห็นเราสองคนเลยแม้แต่นิดเดียว อาจเป็นเพราะเขากำลังยุ่งอยู่ก็ได้

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งแล้วมองเด็กหนุ่มคนนั้นไม่วางตาจนผมต้องเอาศอกกระทุ้งมันที่สีข้าง “เฮ้ย มองอะไรนานนักวะ”

“โอ๊ย” มันเอามือถูที่เอวเบาๆ

“กูรู้ว่าเขาหน้าตาดี แต่มึงจะมองนานไปหน่อยไหม” ผมแซว

“เปล่าๆ กูไม่ได้มองเขาเพราะหน้าตาดี......” ไอ้ซันหันไปมองยังเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง “แต่ว่า......”

“ไง สองคนกินอะไรกันดีครับ” ไคล์ทักขึ้นทางด้านหลังของพวกเรา ในถาดของเขาตอนนี้มีเลมอนเค้กวางอยู่หนึ่งชิ้นแล้วก็ซุปอีกหนึ่งถ้วย “ผมว่าผมจะลองไก่ทอดนะ คนขายตรงอังเทร่บอกว่าอร่อยน่ะ” ไคล์พยักเพยิดไปทางหญิงสาวผมดำท่าทางจะเป็นคนละตินให้เราดู เมื่อเธอเห็นว่าเรากำลังมองอยู่เธอก็โบกมือให้เราสามคนอย่างอารมณ์ดีทันที

“คนเอกวาดอร์น่ะครับ” ไคล์บอกพวกเราโดยที่เราไม่ต้องถาม “พูดสเปนเหมือนกัน”

“อ้อ” ผมเออออ

“ตกลงมึงจะกินไร เมฆ” ไอ้ซันถามผม

“กูกินไก่ทอดมั่งก็ได้ กูรู้สึกยังไม่ค่อยหิวว่ะ” ผมตอบ

“งั้นกูไปเลือกอังเทร่ดีกว่า มึงไปซื้อกับไคล์ก่อนเลยก็ได้” พูดจบไอ้ซันก็เดินไปต่อแถวที่สเตชั่นอังเทร่

“งั้นเราไปกันดีกว่า” ไคล์ชวนผมเป็นภาษาอังกฤษ

“ตกลงจะพูดอังกฤษกันใช่มั๊ยเนี่ย” ผมถามกลับ

ไคล์หันมายิ้มขณะที่วางถาดลงบนเคาน์เตอร์ ผมเดินตามเขาไปติดๆ บนเมนูมีเซ็ทให้เลือกอยู่สองเซ็ทนั่นคือแบบไก่ทอดสองชิ้นกับสามชิ้น และแต่ละชุดจะประกอบไปด้วย เวดจ์ฟราย โควสลอว์ และ บิสกิต ส่วนไก่ทอดก็มีให้เลือกทั้ง อก น่อง ปีก และสะโพก

“ไคล์ จะเลือกอะไรล่ะ เอาเป็นเซ็ทหรือว่าแยกชิ้นดี” ผมถามเขา คนข้างหน้าไคล์ก็ซื้อเสร็จพอดี เราจึงขยับเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์มากขึ้นเพื่อที่จะสั่งอาหาร

“สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยมั๊ยครับ” เด็กหนุ่มคนนั้นทักขึ้น ผมละสายตาจากป้ายเมนูบนบอร์ดด้านบนลงมามองหน้าของเขาชัดๆ

เด็กหนุ่มคนนี้ดูๆแล้วน่าจะอายุพอๆกับผมหรือไคล์นี่แหละ เขาใส่ชุดพนักงานที่ต้องสวมหมวกเลยไม่เห็นว่าทรงผมของเขาเป็นอย่างไร แต่เขาคนนี้ก็มีผิวขาว โครงหน้ารูปไข่ แลดูสะอาด และท่าทางจะมีเชื้อจีนอยู่ด้วย นอกจากนั้นตาของเขาก็ยังสวยมาก เป็นลักษณะของตี๋ตาโตนั่นเอง แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผมนั้นไม่ใช่หน้าตาหล่อเหลาของเขาหรอก หากแต่เป็นป้ายชื่อที่มีชื่อเขียนเอาไว้ว่า พีท และด้านล่างนั้นเป็นคำว่า ไทยแลนด์

“ผมขอ ชุดสองชิ้นก็แล้วกันครับ” ไคล์สั่งอาหาร

“โอเคครับ” เขาตอบและก็หันไปหยิบจาน จากนั้นก็คีบไก่ออกมาจากวอร์มเมอร์อย่างรวดเร็ว เขาทำงานได้รวดเร็ว ดูท่าทางคล่องแคล่วและเอาจริงเอาจังมาก เหงื่อที่ผุดออกมาเป็นเม็ดใสๆตรงใต้ขอบหมวกบอกผมถึงความร้อนและความเหนื่อยจากการทำงานได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นผมยังไม่เห็นเขายิ้มรับลูกค้าเลยสักครั้งด้วย

“นี่ครับ” เขายื่นจานส่งให้ไคล์ จากนั้นก็หันมาหาผม เมื่อเขาหันมาเห็นผม ผมสังเกตว่าเขาดูชะงักไปครู่หนึ่งและมีสีหน้าประหลาดใจฉายแววขึ้นมาเล็กน้อย

“คนไทยเหรอครับ” ผมถาม

“อ่ะ อ้อ ใช่ครับ” เขาตอบและยิ้มส่งยิ้มน้อยๆให้แก่ผม ไคล์เองเมื่อได้ยินดังนั้นก็หันหลับมาทันที

“อ้าว คนไทยเหรอเนี่ย”

“ไม่เห็นป้ายชื่อเขาเหรอ” ผมชี้ให้เขาดูที่ป้ายชื่อที่ถูกติดอยู่บนอกเสื้อด้านซ้ายของเขา “ไทยแลนด์ เห็นมั๊ย”

“เออ จริงด้วยแฮะ” ไคล์หัวเราะ “งั้นผมไปจ่ายเงินแล้วก็หาที่นั่งก่อนเลยนะ” เขาพูดจากนั้นก็หันหลังเดินจากไป

“เอ่อ มาเที่ยวเหรอครับ” พีทพูดขึ้น

“ครับ มากับเพื่อนน่ะ” ผมหันไปมองรอบข้าง ไม่มีลูกค้ามาต่อแถว คงทำให้ผมสามารถยืนคุยกับเขาได้ครู่หนึ่งล่ะ

“แล้วคนนั้น เขาก็คนไทยเหรอครับ” พีทชี้ไปที่ไคล์ที่กำลังยืนจ่ายเงินอยู่ทางด้านหลังของผม

“อ๋อ คนนั้นลูกครึ่งน่ะ เป็นญาติกับเพื่อนผมเอง” ผมหันไปทางซ้ายมองหาไอ้ซันก็เห็นมันกำลังเดินตรงมาหาผมพอดี “พูดถึงก็มาเลยนี่ไง” ผมชี้ไปที่ไอ้ซัน

“ซื้อเสร็จหรือยัง” ไอ้ซันถามผม

“ยัง ซัน นี่คนไทยจริงๆด้วยว่ะ ชื่อ...... พีท” ผมอ่านที่ป้ายชื่อของเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“เออ กูรู้อยู่แล้ว” มันบอกผม จากนั้นก็หันไปหาพีทที่กำลังยืนมองเราสองคนอยู่ “สวัสดีครับ”

“ครับ” เขาตอบกลับมาสั้นๆ

“มึงรู้ได้ไง ว่าเขาเป็นคนไทย” ผมถาม

“ก็กูไม่เซ่อเหมือนมึงนี่ ไอ้เมฆ” มันพูดจบก็หันหลังเดินไปทางแคชเชียร์ทันที

“อะไรของมันวะ” ผมมองตามมันไปจากนั้นก็หันหลับมาหาพีทที่ยังคงยืนมองผมอยู่อย่างเดิม “โทษทีนะครับ งั้นผมขอชุดสามชิ้นก็แล้วกัน ขอเป็นขาสอง อกหนึ่งนะ”

“ได้ครับ” พีทรับคำจากนั้นก็หายไปด้านหลังตู้วอร์มเมอร์อีกครั้ง

“ปกติทำงานอยู่ที่นี่เหรอครับ” ผมถาม

“เปล่าครับ โครงการ เวิร์คแอนด์ทราเวล น่ะครับ สำหรับเด็กมหาลัยมาทำงานที่อเมริกาช่วงซัมเมอร์” เขาตอบขณะที่กำลังคีบไก่อยู่ด้วย

“อ๋ออ มีมากันหลายคนมั๊ยครับเนี่ย”

“หลายครับ เฉพาะที่แกรนด์แคนยอนนี่ก็หลายคนมากๆ ผมว่าถึงร้อย”

“โอโห เยอะขนาดนั้นเลย”

“ใช่ครับ” เขาก้มลงไปหยิบโควสลอว์ที่ชั้นข้างใต้มาวางไว้ในจาน “ทำกันทุกที่ทุกอย่างล่ะครับ ทั้งในร้านอาหารแบบผม ในครัว ในโรงแรม ทุกอย่างจริงๆ เดี๋ยวพี่อยู่ที่นี่พี่ก็เห็นครับ ว่าคนไทยเยอะจริงๆ” เขายื่นจานมาให้กับผม “เสร็จแล้วครับ”

“อ้าว ยังไม่ได้ เวดจ์ฟรายเลย”

“เออ จริงด้วย” เขาแสดงอาการตกใจเล็กน้อยแล้วก็หายกลับไปหลังวอร์มเมอร์อีกครั้ง

“แล้วเหนื่อยมั๊ย ทำงานแบบนี้” ผมถาม เพราะผมเองก็เคยตั้งใจอยากจะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยอยู่แล้วเช่นเดียวกัน

“ก็นิดหน่อยครับ ถ้ายุ่งๆก็เหนื่อยหน่อย ช่วงนี้ลูกค้าก็เยอะพอควร เพราะเป็นช่วงสปริงเบรคพอดี” เขากลับมาพร้อมกับมันฝรั่งเต็มถาดกระดาษจนล้น “เอ่อ...... แล้วพี่พักที่ไหน กี่วันล่ะครับ”

“โอ๊ย ไม่ต้องเรียกพี่หรอก เราก็รุ่นเดียวกันนี่แหละ เผลอๆผมจะอายุน้อยกว่าด้วยมั๊งครับเนี่ย” ผมหัวเราะ

“อ่ะ เอ่ออ” เขาอึกอักไปครู่หนึ่ง

“เรามาพักกันห้าวันครับ พักที่ยาวาพายเวสต์นี่แหละ” ผมรับจานมาวางลงบนถาดของตัวเอง

“ครับ” เขาตอบสั้นๆ

“เอ่อ งั้นก็โชคดีนะครับ ผมไปละ เดี๋ยวเพื่อนรอนาน”

“ครับ โชคดีนะครับ ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ” เขาบอก

ผมเดินมาสมทบกับไคล์และซันที่โต๊ะตรงริมกระจก เมื่อมองออกไปจะเห็นทางเดินที่พวกผมเพิ่งเดินผ่านกันมาด้วย โต๊ะที่พวกผมนั่งกันอยู่นั้นจะอยู่ติดกับกำแพงที่มีเครื่องกดน้ำตั้งอยู่พอดี อีกฟากของกำแพงที่มีเครื่องกดน้ำนี้ก็จะเป็นสเตชั่นขายไก่ของพีท ทำให้จุดที่พวกผมนั่งนั้นค่อนข้างจะอยู่ลับตาคนและค่อนๆมาทางหลังร้านเลยทีเดียว

“แล้วจะเอายังไงดีวะ เรื่องโทรศัพท์” ผมถามขึ้นหลังจากเริ่มทานอาหารไปได้สักครู่

“นั่นสิ แต่เดี๋ยวลองไปดูที่ร้านขายของนั่นก็ได้มั๊ง ว่าจะมีบัตรโทรศัพท์ขายหรือเปล่า” ไอ้ซันชี้นิ้วโป้งไปทางเจเนอรัล สโตร์

“อืมม อยากรีบๆบอกพวกคุณป้าเสียก่อนว่าเรามาถึงกันแล้วน่ะ เดี๋ยวพวกท่านจะเป็นห่วง กูก็ต้องบอกพ่อกูด้วยเหมือนกัน”

“เดี๋ยวกินเสร็จค่อยเดินไปดูก็แล้วกัน”

“ว่าแต่ เรื่องนั้นก็อีกเรื่อง แต่ถ้าสมมติเราแยกกันเดินเราจะติดต่อกันยังไงล่ะครับเนี่ย” ไคล์พูดขึ้น

“เออว่ะ” ผมกับซันร้องขึ้นพร้อมๆกัน

“ทำไงดีวะเนี่ย” ไอ้ซันพูดน้ำเสียงวิตก

“กูว่าก็พยายามอย่าแยกกันก็แล้วกัน และเอางี้สิ ก็นัดเวลากันเอาก็ได้ว่าจะไปเจอกันที่ไหนกี่โมง ถ้าไม่ชัวร์ก็เอาตรงจุดนี้เป็นที่นัดพบไปก่อนก็แล้วกัน” ผมเสนอ

“อย่างนั้นก็ดี” ไอ้ซันและไคล์พยักหน้าพร้อมๆกัน

“แต่จะว่าไป นี่มันก็บ่ายครึ่งแล้วเนอะ กูก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย หลังจากนี้เราจะไปไหนกันดี หรือจะกลับไปพักที่ห้องก่อน” ไอ้ซันดันจานข้าวที่ว่างเปล่าของตัวเองออกแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจ

“กูยังไม่อยากนอนว่ะ”

“ผมก็ด้วย” ไคล์พูด

“มึงกลับไปนอนก่อนก็ได้ มึงขับรถมาทั้งวันแล้วนี่ เวลาเที่ยวยังมีอีกเยอะแยะ”

“เอางั้นเหรอ”

“อืม แต่จะว่าไป........” ผมหันไปมองหน้าไคล์แล้วหันหลับมาหาซันอีกครั้ง “กูก็ยังไม่รู้เลยอยู่ดีแหละ ว่าถ้าไม่กลับไปนอนกูจะไปไหนน่ะ”

“นั่นสิครับ” ไคล์พยักหน้าเห็นด้วย

“นั่นไง ถามเขาดูดีกว่า” ผมหันไปเห็นพีทกำลังเดินออกมาจากทางหลังร้านเพื่อมากดน้ำพอดี

แต่ตอนนี้พีทไม่ได้ใส่หมวกอีกแล้ว ผมสั้นๆที่ถูกหมวกกดจนเรียบเกือบจะติดหน้าผากของเขายิ่งทำให้เขาดูเด็กมากขึ้นไปอีก ซ้ำตอนนี้เขายังใส่เสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำตาลแก่และสะพายกระเป๋าเป้ไว้ที่ไหล่ขวาอีกด้วย ท่าทางเขาจะเลิกงานแล้วพอดี

“พีท” ผมเรียกเขา

พีทหันรีหันขวางหาที่มาของเสียงอยู่ครู่หนึ่งก็หันมาเห็นพวกเรา จากนั้นเขาจึงเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับแก้วโค้กแก้วใหญ่ในมือ “มีอะไรเหรอครับ”

“เลิกงานแล้วเหรอครับ” ผมถาม

“ครับ บ่ายครึ่ง เปลี่ยนกะพอดี”

“อ๋อ นั่งด้วยกันก่อนสิ” ผมเลื่อนเก้าอี้ข้างๆผมให้เขานั่ง “นี่เพื่อนผม ชื่อซัน ส่วนนี่ ไคล์ พูดไทยได้ ไม่ต้องห่วง”

“สวัสดีครับ” พีททัก ไคล์ยิ้มและพยักหน้าส่วนไอ้ซันแค่ก้มหัวน้อยๆแล้วก็จ้องพีทตาเขม็ง

“ส่วนผมชื่อเมฆครับ” ผมแนะนำตัว

“ครับ” พีทตอบรับสั้นๆ แล้วจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงก้มหน้าหลบ

“น้องรัก จะกลับกันรึยัง” เสียงใสๆของผู้หญิงดังขึ้นมาจากทางทิศเดียวกับที่พีทเพิ่งเดินออกมา พวกเราสี่คนหันไปตามเสียงเรียกนั้นทันที

“อ๋อ ยังครับพี่นก กำลังคุยกับพวกพี่ๆอยู่ เป็นคนไทยน่ะครับ” พีทหันไปตอบผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงที่ชื่อนกก็ใส่เสื้อคลุมทับชุดพนักงานและมีกระเป๋าสะพายอยู่เช่นเดียวกัน แต่ยูนิฟอร์มของเขาเป็นสีขาวล้วนดูลักษณะเหมือนกับชุดของพ่อครัว

“สวัสดีค่ะ” เขาเดินตรงมาหาพวกเราแล้วก้มหัวให้เล็กน้อย

“นี่พี่นกครับ ทำงานเป็นผู้ช่วยกุ๊กอยู่ในครัว ตอนเช้าก็มีคนไทยแค่ผมกับพี่เขานี่แหละ” พีทอธิบาย

“อ๋อ เอ่อ ครับ ผมเมฆครับ อายุยี่สิบ ส่วนนี่เพื่อนผม ไอ้ซัน อายุสิบเก้า เรียนอยู่ที่อังกฤษ และนี่ไคล์ เพิ่งจะสิบหก ยังอยู่เกรดสิบอยู่ครับ”

“กำลังจะสิบเจ็ดแล้วต่างหาก” ไคล์แก้

จากนั้นนกก็ถามพวกเราคำถามเดียวกับที่พีทเคยถามผมอีกเช่นเดิม เช่นพักที่ไหน มาจากไหน จะพักอยู่กี่วัน อะไรพวกนั้น ผมกับไคล์ก็ช่วยๆกันตอบ เท่าที่ผมสังเกตระหว่างที่พวกเรานั่งคุยกันอยู่นั้นจะเห็นว่านกมีท่าทีสนใจไคล์ไม่น้อยเลยทีเดียว และอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ไอ้ซันที่เอาแต่นั่งเงียบมาครู่ใหญ่ๆแล้ว ผมเห็นมันเอาแต่จ้องหน้าของพีทสลับกับผมด้วยสายตาเหมือนกับมีแววสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

“งั้นขอตัวก่อนนะค่ะ พอดีว่าจะไปหางานที่อื่นทำต่อน่ะค่ะ” นกบอกพวกเรา “งั้นพี่ไปก่อนนะพี แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน” นกลุกขึ้นยืน “นี่แล้วก็พักผ่อนด้วยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่ไหวอีกหรอก”

“ครับ กลับดีๆนะครับพี่” พีทบอกลานกที่กำลังเดินจากไป “เอ้อ จริงสิพี่นก พรุ่งนี้รู้สึกว่าผมต้องไปเป็นบัสเซ่อร์นะ”

นกหยุดเดินแล้วหันมามองพีทด้วยสีหน้ารำคาญใจ “อีกแล้วเหรอเนี่ย นี่ อย่าบอกนะว่าเพราะเหตุผลเดิม”

พีทพยักหน้า

“แกเอ๊ย เออ เอาเหอะ ถ้าเหนื่อยก็เปลี่ยนกับคนอื่นเขาดูแล้วกัน แล้วทีหลังน่ะ หัดเถียงมันมั่งนะ ไอ้ผู้จัดการบ้าๆอย่างนั้นนะ คนอะไร ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” เมื่อพูดจบนกก็เดินจากไปพร้อมกับส่ายหัวไปด้วย

“เอ่อ คือที่พี่เรียกพีทมาเนี่ย พี่อยากจะถามว่าพอจะแนะนำที่เที่ยวให้พวกเราหน่อยได้มั๊ยครับ” ผมถามขึ้นเมื่อนกเดินลับไปจากสายตา

“อ๋อ ได้สิครับ พวกพี่มีรถใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ครับ”

“แต่ผมแนะนำให้พี่ขึ้นรถบัสของที่นี่ดีกว่านะครับ ง่ายกว่า สะดวกด้วย”

“เหรอครับ ไอ้คันที่วิ่งอยู่เนี่ยน่ะเหรอ” ผมชี้ไปที่ด้านนอก รถบัสสีขาวที่ด้านหน้ามีไฟกระพริบว่า บลู เร๊าท์ กำลังวิ่งผ่านไปจอดยังป้ายรถพอดี

“ครับ อันนั้นคือสายสีน้ำเงิน หลักๆก็ขึ้นแค่คันนี้แหละครับ แต่มันจะมีสายสีแดงกับสีเขียวด้วย แต่ว่ามันไม่วิ่งทับกันหรอกครับ มันจะพาเราไปคนละที่ เพราะงั้นหลักๆก็คือขึ้นสายสีน้ำเงินนี่แหละ”

“อ้ออ เหมือนในแผนที่ที่เป็นเส้นสีๆนี่ใช่มั๊ย” ผมชี้ไปยังแผนที่ที่ไคล์เพิ่งกางออก

“ใช่ครับ ตรงสีแดงนี้” พีทชี้ไปที่จุดๆหนึ่ง เป็นรอยเริ่มของเส้นสีแดง “มันจะเป็นป้ายเปลี่ยนรถกับสายสีน้ำเงินน่ะครับ เพราะปกติสายสีน้ำเงินมันจะวิ่งวนอยู่แล้ว แต่สายสีแดงนี้จะพาไปดูพระอาทิตย์ตก จุดนี้จะเรียกว่า เฮอร์มิท เรสท์ ครับ”

“พระอาทิตย์ตก......” ผมหันไปหาไอ้ซัน “สนใจมั๊ย ไอ้แสบ”

“อื้มม ก็ดีนี่” มันพยักหน้าตอบ

“แล้วถ้าอย่างตอนบ่ายๆนี้ล่ะ พวกเราไปไหนได้มั่งครับ” ไคล์ถามขึ้น

“ก็นั่งรถไปชมวิวที่ ยาวาพาย อ๊อบเซิฟเวชั่น หรือไป แมเธอร์ พ็อยท์ก็ได้ครับ ขึ้นรถที่ป้ายหน้าร้านนี่เลยก็ได้ คนขับเขาจะพูดบอกข้อมูลตลอด แถมรถวิ่งไปวงกลม ไม่หลงหรอกครับ”

“อืมม ก็ดีนะ สนใจมั๊ย ไคล์” ผมหันไปถามไคล์

“น่าสนใจดีครับ” ไคล์ตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง

“แต่มึงต้องไปซื้อของในเจเนอรัล สโตร์ ก่อนนะ อย่าลืม” ไอ้ซันพูดขึ้น

“เออๆ กูไม่ลืมหรอกน่า ตกลงมึงจะกลับไปนอนรึเปล่าล่ะ หรือจะไปเที่ยวพร้อมกูด้วย”

“กูว่ากูกลับไปนอนดีกว่า ขับรถเหนื่อยว่ะ”

”อืม เอางั้นก็ได้” ผมหันไปหาพีท “ขอบคุณมากนะครับ แล้วพรุ่งนี้ก็ยังต้องมาทำงานด้วยใช่มั๊ย”

“ครับ พรุ่งนี้ผมทำสองกะเลยด้วย ตั้งแต่เช้ายันมืดนั่นแหละครับ”

“โอโห ไม่เหนื่อยแย่เหรอ”

“ก็เหนื่อยแหละครับ แต่ผมชินแล้ว” พีทขยับสายกระเป๋าให้กระชับขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ยังไงก็เที่ยวให้สนุกนะครับ”

“โอเคครับ ขอบคุณมากๆนะครับสำหรับข้อมูล” ผมโบกมือลา ไคล์กับซันก็ทำเช่นเดียวกัน

“งั้นคราวนี้เราก็ไปซื้อของกันได้แล้วมั๊ง” ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อพีทเดินออกจากร้านไป


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:32:57 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


ทางเข้าร้านอาหารที่ซันเดินไปเช็คอินและที่ตั้งของร้านอาหารกับกิ๊ฟท์ช็อปคับ




เจเนอรัลสโตร์ และลานจอดรถที่พวกเขามาถึงกันเป็นที่แรกคับ





สวยมั๊ยย ฟ้าใสมั๊ยเอ่ยยย แต่ต่อจากนี้อาจจะมีฟ้าเหลือง (ฮา) นี่ก็อีกมุมหนึ่งของลานจอดรถที่พวกเขามาถึงคับ



ไคล์มาหยิบเลมอนเค้กตรงนี้เอง



นั่งกันอยู่แถวๆนี้แหละ ลึกๆๆๆข้างในนั่นเลยย




รถสายสีน้ำเงิน (แต่เสือกคาดแถบสีเขียว) ที่พีทพูดถึง


.
.
.


มีใครอยากได้โปสการ์ดและของฝากเล็กๆน้อยๆจากแกรนด์ แคนยอนมั๊ยคับ ขอเสียงโหน่ยยย  :m4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
อยากได้ค่ะ 
แต่อยากให้ลงต่อเร็ว ๆ หน่อยนะคะ
อยากอ่านต่อแล้ว :m13:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
มีรูปประกอบด้วย
 :a10:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
อิอิ อยากได้โปสการ์ดด้วยค้าบบบบ  :impress:

แล้วฟ้าจะเหลืองตอนช่วงไหนหล่ะคับ? อยากรู้ว่าจะสวยน่าดูขนาดไหน  o17

ดีจัง มีรูปภาพประกอบนิยายด้วย ....  :m4: หาข้อมูลดีมากเลยครับ ..... รอมาต่อตอนต่อไปนะคร้าบบบ

KevinKung

  • บุคคลทั่วไป
โอยยยยย ตามอ่านไม่ทัน  :a6:

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
มาต่อเร็วๆนะคับ o1

อยากได้โปสการ์ดคับผม :m19:

แต่ตอนนี้อยากเห็นฟ้าเหลืองมากกว่าว่าจะเป็นยังไงสวยขนาดไหน :laugh:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ใครอยากได้ของขวัญ มาเล่นทายปัญหากันดีกว่าคับ ใครตอบถูกได้รางวัล เดี๋ยวคุยกันหลังไมค์

ผมถามว่า ผมกะไอ้ทึ่มนั้น ใครรุกใครรับ ครับ (ฮาาาาาาาาา)

ซะเมื่อไหร่เล่า!! ใครกล้าตอบจริงแล้ว(เจือก)ตอบผิดมีหยิกแก้มตูดสี่เกลียวครึ่งแน่

ผมถามว่า ลองทายดูซิว่าผมกะไอ้ทึ่มคบกันมานานขนาดไหนแล้วครับ ตอบเป็นหลักเดือนเน้อ เอาที่ใกล้เคียงที่สุดก็แล้วกัน

ใบ้ให้ว่าไม่นานมากหรอก แต่ก็นานพอจะเสียดายถ้าเลิกกัน 5555

เดี๋ยวพรุ่งนี้บ่ายๆเย็นๆ ผมมาเช็คคำตอบหนา

ขอบคุณทุกคนมากครับ  o14

ปล. ก็ตั้งใจจะมีของฝากมาให้อยู่แล้วล่ะ แต่ให้ทุกคนคงไม่ไหวเท่านั้นเอง  :m13:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ว้าวมีรูปปลากรอบ  :a3:  :a3:  :a3:

ปล. ขอทายว่า 14 เดือน  :m23:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป


............ขอทายว่า 11เดือนอ่า........

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ขอทายว่า 13 เดือน :m18:

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่งอ่านยิ่งอยากไป ยิ่งมีรูปประกอบก็อยากไปไม่ไหวแล้ว หุหุ

ส่วนคำถามขอตอบว่า 11 เดือน 19 วันครับผม อิอิ :a10:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด