เอ๊า เร่เข้ามา FC เบอร์ 4 ทั้งหลาย ตอนนี้เค้ามีบทแล้ว
รักจัง.........ตอนที่9
การเดินตลาดหาเฉาก๋วยกินให้บรรยากาศประหลาดประแหล่มเหลือจะกล่าว ตั้งแต่กระโดดลงจากรถที่ลุงอ็อดขับมาส่ง เดินเข้าตลาดผ่านร้านรวงมาได้ครึ่งทาง ผมก็ยังเดินนำโดยมีร่างสูงใหญ่เงียบกริบเดินตามอยู่ข้างหลัง เป็นลำดับการเดินตามเดินนำที่ช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
ปกติแล้วถ้าไม่เดินอยู่ข้างกันไอ้มิคมักก้าวล้ำนำไปหนึ่งสเต็ปเสมอ ร่างสูงใหญ่กับแผ่นหลังกว้างมักเดินแหวกผู้คนให้ผมเดินตามก่อนหันมาคว้าไหล่กันไปเป็นที่พักแขนแล้วชวนคุยสัพเพเหระ คนที่เดินหล่อไม่เกรงใจคนรอบข้าง ไม่แคร์สายตาเป็นสิบเป็นร้อยที่แอบเหล่แอบมอง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมที่เดินเยื้องหลัง รับรู้ความฮ็อตของเพื่อนจนถึงกับปลงอนิจาอยู่หลายครั้ง เป็นอย่างนั้นจนกลายเป็นความคุ้นชิน
แต่วันนี้ผมกลับเป็นฝ่ายเดินนำ ย่ำพื้นตลาดในรองเท้าแตะเหมือนมาคนเดียว ไอ้มิคที่เดินอยู่ข้างหลังทิ้งระยะห่างหนึ่งช่วงแขนยาวยืดแถมยังปิดปากเงียบสนิทจนเริ่มไม่แน่ใจว่าเพื่อนยังเขินไม่เลิกหรือนึกรังเกียจกันขึ้นมาเฉียบพลัน
“เฉาก๋วยสอง ไม่เอาหวานหนึ่งครับ”
ผมบอกแม่ค้าร้านเฉาก๋วย สั่งไปสองแบบไม่ถามความสมัครใจแล้วยื่นถ้วยแรกไม่หวานให้คนที่เดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ไอ้มิครับถ้วยเฉาก๋วยพร้อมยื่นแบงค์ห้าสิบผ่านหน้าผมไปโดยปราศจากคำพูด แถมยังยืนรอให้ผมเป็นฝ่ายออกเดินนำอีกต่างหาก
“ปวดฟัน ปวดขา ปวดขี้?”
ปากผมกระตุกออกไปแบบยั้งไม่อยู่ แม่ค้าเฉาก๋วยถึงกับเหล่มอง คนโดนถามตอบกลับด้วยการส่ายหน้าแล้วเปิดยิ้มจางเหมือนจะเอาใจ เห็นยิ้มเพื่อนแล้วรู้สึกว่าถ้าแผงข้างๆมีทุเรียนหน้าไอ้กิมมีสิทธิ์แหก โทษฐานข่มขู่คุกคามพระเอกของปวงชน
“สาดมิค เป็นอะไรของมึงวะ” ผมด่าแบบลดวอรุ่มเสียง
“เดินตามหลังกูไม่พูดไม่จา ถ้าปวดฟันพูดไม่ได้ ปวดขาขี้เกียจเดินหรือปวดขี้อยากเข้าส้วมก็บอกมาจะได้กลับบ้าน”
เจอบทว้ากอย่างนี้ของผมเข้าไปถ้าเป็นปกติไอ้มิคต้องยื่นมือมาตบหัวไอ้กิมเรียกสติ แต่เนื่องจากวันนี้เหมือนจะไม่ค่อยปกติด้วยกันทั้งคู่ คนตรงหน้าผมเลยได้แต่เปิดยิ้มจางพลางถอนหายใจก่อนเอื้อมมือมาพาดไหล่แล้วดันเอื่อยๆให้ออกเดิน จากหางตาพึ่งเห็นแม่ค้าวางตะบวยตักเฉาก๋วยกลับเข้าที่ หวุดหวิดจะได้ชิมไม้ตักเฉาก๋วยไปแบบเฉียดฉิว
“เดินเงียบไม่ยอมพูดแล้วยังมาถอนหายใจทิ้งใส่กูอีก มีอะไรพูดมาเลยดีกว่า” ผมถามอย่างคนพาล เพราะแม้ขาจะยอมเดินตามแรงดันแต่ปากยังพาไปตามจิตใจที่ไม่สงบ
ไอ้มิคไม่ต่อปากต่อคำแต่ก้มเอาปากมาแนบอยู่กับขมับผม ไม่ใช่การฉกจูบ ไม่ใช่ทำเล่นๆเหมือนปัดผ่าน แต่ปากร้อนๆแนบอยู่กับขมับผมนิ่งนาน อย่างน้อยก็นานเหลือในความรู้สึกผมที่ได้แต่เหลือกตามองคนเดินผ่านสะดุ้งกับฉากเด็ดกลางตลาด
ไอ้มิคที่ทำเหมือนทั้งตลาดมีเพียงเราสองละริมฝีปากไปแบบอ้อยอิ่งแล้วทิ้งสายตามามองกันเหมือนอยู่ในฉากส่งท้ายหนังรักโรแมนติก สองตาพระเอกมืดบอดมองไม่เห็นใครอื่นนอกจากผมที่ยืนเข้าคู่อยู่ตรงหน้า เห็นสายตาพระเอกแล้วรู้สึกเหมือนโดนของ มือไม้ที่กำลังจะยกตบกระโหลกคนหน้าไม่อายพลันอ่อนปวกเปียกจนได้แต่ยืนตาเหลือกตอบรับสถานการณ์
“… ทำยังไงดีกิม”
ไอ้มิคว่ามาเบาๆให้เดาไปได้หลายทางก่อนซบหน้าลงมาบนไหล่ผมเหมือนหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ
“What can I do…?” เสียงทุ้มเข้มฟังอู้อี้อยู่ชิดติดไหล่ “to make you mine… just mine alone.”
สำเนียงเสียงต่างชาติจากคนข้างๆทำให้คนพูดเหมือนจะหดเล็กลงกลายเป็นเด็กหน้าขาว ส่วนผมเองกลายเป็นเด็กหน้าคล้ำ ตลาดกลางหัวหินเปลี่ยนเป็นป่าละเมาะเต็มไปด้วยต้นหูกวางสูงใหญ่ แม้จะคุยกันมาแรมเดือนด้วยภาษาไทยตกๆหล่นๆ แต่เมื่อถึงคราวที่สุขจนหน้าขาวเป็นไข่ปอกระบายยิ้มกว้างหรือเวลาขบคิดจนคิ้วขมวดมุ่นแล้วเผลอหลุดปาก สิ่งที่เอ่ยออกมามักเป็นภาษาที่เจ้าตัวใช้มาตั้งแต่เกิด เหมือนเป็นการแสดงความจริงใจ เหมือนต้องการย้ำความจริงจัง
“… ยังจะต้องทำอะไรอีกว้า”
ความรู้สึกฟูๆที่พองอยู่ในอกทำให้ผมหมดความสนใจกับสิ่งรอบข้าง ช่างมันเหอะว่ายืนกันอยู่กลางตลาด ช่างมันว่าใครจะมองแล้วหันไปซุบซิบนินทา นาทีนี้สิ่งที่ผมสนใจมีอย่างเดียว คือทำตัวปากตรงกับใจจนไม่น่าเชื่อว่าออกมาจากปากตัวเอง
“แค่นี้กูก็มองไม่เห็นใคร ยกให้มึงไปทั้งใจตั้งนานแล้ว”
สารภาพว่าอายจนปากแทบเบี้ยวแต่หัวที่เด้งขึ้นมาจากไหล่เหมือนติดสปริงกับตาสีอ่อนจางเบิกกว้างหนึ่งคู่ที่จ้องตรงมาทำให้ผมรู้สึกว่าถึงปากจะเบี้ยวตาจะเหล่ก็คงไม่เป็นไร ผลัดกันอายคนละนิดละหน่อยก็กระชุ่มกระชวยดีเหมือนกัน
“รุ่นนี้มีใบรับประกันแต่ไม่รับเปลี่ยนรับคืน ต้องเอาใจใส่จนกว่าจะหมดอายุใช้งานกันไปข้าง”
ผมกล้อมแกล้มแก้เก้อเพราะไอ้มิคเอาแต่แหกตาจ้องกันโดยไม่มีคำตอบคำโต้หลุดมาจากปาก เอาแต่ยืนจ้องมาตาไม่กระพริบ ลักษณะการมองดูไปออกจะคล้ายตื่นตะลึงมากกว่ายินดีปรีดา มองมาเหมือนเห็นผมมีเขางอกออกมาจากหัวหรือตาผลุบยุบเข้ากระโหลก ท่าทางไม่เหมือนคนได้ยินคำสารภาพรักแม้แต่น้อย
“… เฮ้ย พูดอะไรมั่งดิ”
โดนจ้องจนรู้สึกอึดอัดขัดข้อง กำลังใจเริ่มผันแปรไปเป็นความรู้สึกหน่วงๆในอกเนื่องจากปฏิกริยานอกเหนือความคาดหมาย หรือผมจะตีความภาษาอังกฤษสองประโยคเอียงกะเท่เร่เข้าข้างตัวเองเกินไป
“……………”
“I do.”
“หา?”
“Yes! I do!” ไอ้มิคว่ามาพร้อมเปิดยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ตาสีจางเหมือนจะเข้มขึ้นหลายเฉดจนทำให้หน้าเปื้อนยิ้มดูเคร่งขรึมจริงจัง
“ไม่มีเปลี่ยนไม่มีคืน จะอยู่ตรงนี้” มือข้างที่เคยมีแหวนกระดำกระด่างยกขึ้นตบลงบนบริเวณหัวใจเบาๆ “ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“…………”
เป็นการตอบรับคำบอกที่ทำให้คนสารภาพอย่างผมหมดปัญญาตอบสนอง ได้แต่ยืนนิ่งให้ความรู้สึกของตัวเองผสมปนเปไปกับความรู้สึกของอีกฝ่าย นิ่งอึ้งไปนานจนไอ้มิคเข้าใจอาการหมดสมรรถภาพทางความคิดของผม ตาสีจางยังคงมีรอยยิ้มขณะกระชับวงแขนบนไหล่แล้วดันเอื่อยๆให้ออกเดินกันอีกครั้ง
ไอ้มิคเดินกอดไหล่ผมผ่านตลาดผ่านผู้คน ผ่านความรู้สึกที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตนี้ แต่ระหว่างที่แอบเหล่คนที่เดินอยู่ชิดติดกันก็ต้องยอมรับว่าผมได้สัมผัสแล้วกับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกคันๆในหัวใจที่เรียกกันว่าความรัก
________________________________
กลับจากตลาดถึงบ้านพักตอนห้าโมงเกือบครึ่งด้วยความรู้สึกฟูๆในอกที่ยังไม่จางหาย ไอ้มิคที่ชวนแวะกินไอติมโบราณกลางตลาดก็มียิ้มมุมปากที่ยังไม่เลอะเลือน เดาเอาว่าเพื่อนก็คงอยู่ในห้วงอารมณ์สีชมพูไม่ผิดกัน ได้เห็นไอ้มิคอารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใสจนหน้าสว่างเหมือนเปร่งแสงได้อย่างนี้ผมก็สุขตามไปด้วย แต่เป็นสุขที่ทำให้ต้องตระเตรียมแผนการไปปรึกษาเรื่องการเสริมหล่อกับไอ้อ่ำทันทีที่กลับถึงกรุงเทพ
ถึงกรุงเทพเมื่อไหร่ต้องไปเคาะห้องไอ้อ่ำให้มันช่วยเล็คเชอร์วิธีการพอกหน้าทาโคลนรวมไปถึงเทคนิคการแต่งเสริมเติมหล่อแปดร้อยเล่มเกวียนแล้วเอามาประยุกต์ใช้อย่างเร่งด่วน ไม่ได้นะครับ จะมามัวนิ่งนอนใจปล่อยไปตามมีตามเกิดอย่างที่ผ่านมาไม่ได้เป็นอันขาด อย่างน้อยหล่อขึ้นอีกนิดน่ามองขึ้นอีกหน่อยคนที่เดินอยู่ชิดติดกันจะได้ไม่เหล่สายตาไปมองใคร ใจเราจะได้ไม่ต้องกระตุกเป็นจังหวะแปลกประหลาดให้บ่อยครั้ง
สายตาคนเดินตลาดโดยเฉพาะสาวๆในร้านไอติมถึงกับทำให้ผมขนลุกซู่ เป็นไปได้อยากโก่งหลังพองขนขู่ให้รู้แล้วรู้รอด สายตาที่เหล่มาตกอยู่ที่คนนั่งกินไอติมโบราณตรงข้ามกับผม เป็นสายตาเสือสิงห์กระทิงสาว มองไอ้มิคเหมือนเจอคู่แท้จากพรมลิขิตบันดาลชักพา สายตาฝันๆที่เห็นแล้วต้องรีบยกมือตบหน้าตัวเองซะที ไม่แน่ใจว่าตาหนึ่งคู่บนใบหน้าเหลือกไปฝันๆเหมือนสาวรอบตัวหรือไม่
ไอ้มิคตกเป็นเป้าสายตาเป้าความสนใจอย่างนี้ไม่ใช่ครั้งแรก จะว่าไปผมก็ชินเสียแล้วเวลาไปไหนมาไหนแล้วเห็นสายตาเสือ แต่วันนี้พอได้มาเห็นว่าคนอื่นมองไอ้มิคยังไง เห็นว่าไอ้มิคเป็นที่ต้องการของตลาดขนาดไหน ถึงคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมจะไม่ได้เหล่สายตาไปตกที่สาวไหนนอกจากไอติมมะม่วงกับหน้าไอ้กิม แต่อยู่ดีๆหัวใจมันก็กระตุกจนต้องรีบจ้วงไอติมกล้วยให้หมดถ้วยแล้วลากอีกฝ่ายออกมาจากร้าน
การที่เห็นคนอื่นมองไอ้มิคแล้วรู้สึกใจกระตุกผิดจังหวะว่าไปอาจเป็นผลจากการเลื่อนฐานะทางความสัมพันธ์ ตอนเป็นเพื่อนถึงจะรู้สึกเกินกว่าเพื่อนแต่ก็ยังมีคำว่าเพื่อนเป็นตัวขวาง แต่ตอนนี้เลื่อนฐานะกันเองจากเพื่อนเป็นแฟนพร้อมความรู้สึกเต็มๆจนล้นเรี่ยราดออกมานอกอก พอเห็นคนอื่นมองแฟนเราด้วยสายตาอยากจะเอาไปเป็นแฟนตัว มันก็เลยเกิดอาการหงุดหงิดงุ่นง่านด้วยความหึงหวงห่วงหา แหม อยู่มาจนป่านนี้พึ่งจะรู้ว่าตัวเองก็ขี้หึงขึ้นมาถึงหัว
การเดินตลาดครั้งนี้ให้อะไรมากมายกว่าที่คิด นอกจากจะได้สารภาพรักกับการตอบรับที่เหมือนว่ายืนกันอยู่บนแท่นปรมาพิธีก่อนเข้าสู่ประตูวิวาห์ ได้รู้ว่าตัวเองเป็นหลิวเตอหัวเวอร์ชั่นผู้ชายข้าใครอย่าคิดแตะ และยังได้มะพร้าวสองทลายกับกางเกงเลสีเจ็บๆอีกแปดตัวมาเป็นของฝากเพื่อนพ้องที่ถูกลืม
เดินหอบของพะรุงพะรังยังไม่ทันพ้นรั้วบ้านก็ได้ยินเสียงเห่าของเดอะร็อค หมาสีน้ำตาลที่มองครั้งแรกนึกว่าวัว ดังแว่วมาจากหลังบ้านตามด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายไทยปนอังกฤษบ่งบอกว่าวงบอลชายหาดกำลังเมามันส์กันอย่างเต็มที่ ผมวางของไว้รวมๆกับของที่คนอื่นขนซื้อกันมาแล้วหันไปบอกไอ้มิคให้ล่วงหน้าไปโลด เนื่องจากไอ้กิมโดจข้าศึกบุกต้องรีบไปตั้งกองบัญชาการ แล้วหายหัวเข้าห้องตัวเองมาปลดทุกข์ พร้อมเปลี่ยนยีนส์ที่ใส่มาแล้วสองอาทิตย์เป็นกางเกงสามส่วนเหมาะแก่กิจกรรมที่จะไปเข้าร่วม
วอลเล่ย์บอลชายหาดที่ตั้งวงขึงเน็ตกันอยู่หลังบ้านประกอบด้วยสมาชิกข้างละสี่ มิกาเอลกับพลพรรคและน้องมินท์ อีกฝากที่กำลังกระโดดตบจนตัวแอ่นคือน้องตองจากเบาะหน้ากับพรรคพวกจากรถแวนอีกคัน สาบานได้ว่าไม่ได้มีใจเอนเอียงโอนเอนแต่อย่างใด หากแต่สายตามันเหล่ไปก่อนความนึกคิด เหล่ไปเห็นอดีตเบอร์สี่ในดวงใจในเสื้อกล้ามสีชมพูจืดจางกำลังหันไปแปะมือเรียกเสียงเฮจากทีมตัว หน้าหล่อเหลาเหมือนเคยยกยิ้มมุมปากแล้วชูนิ้วโป้งให้ตองมือตบ เท่ห์เหลือหลายแต่ใจผมกลับสงบ รู้สึกเหมือนมองคนๆหนึ่ง ไม่รู้สึกพิเศษเหมือนที่เคยเป็นมา
เสียงเห่าที่ดังอยู่ไม่ไกลเรียกให้หันไปมอง เดอะร็อคตะกุยสี่ขาห้อตามจานร่อนสีส้มแป๋นแล้วกระโดดขึ้นงับด้วยความปราดเปรียวผิดกับขนาดตัว หางสีน้ำตาลไหม้ขนาดเท่าแขนผมแกว่งไกวจนตูดบิดระหว่างวิ่งกลับมาหาเจ้าของ ไอ้มิคตบหัวเดอะร็อคชมเชยระหว่างดึงจานร่อนออกจากปากแล้วตั้งท่าเริ่มเกมส์ใหม่ แต่ครั้งนี้พอเหวี่ยงแขนร่อนจานออกไปแล้วคนขว้างกลับวิ่งแข่งกับหมาตามจานไปด้วย ดูแล้วบอกไม่ได้ว่าใครสนุกกว่ากัน
ผมเดินเข้าไปหย่อนก้นลงพื้นไม่ไกลจากแอนนาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่แถววงวอลเล่ย์ ห่างไปไม่ไกลเหล่าผู้สูงอายุกำลังจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรสใต้เต็นท์ริมหาด แอนนาที่มีหมวกฟางกับแว่นดำกิ๊บเก๋เงยมายิ้มให้หนึ่งทีแล้วก้มไปอ่านหนังสือด้วยท่าทางหมกมุ่นตามเดิม แดดกำลังร่มลมกำลังตก ถึงบรรยากาศจะเรียกไม่ได้ว่าสงบเพราะเสียงนักกีฬาที่เชียร์กันเองโหวกเหวกโวยวายกับเสียงเดอะร็อกเห่ามาเป็นระยะ แต่ลมเย็นๆก็ทำให้ผมอดใจไม่ไหวต้องเอนหลังลงติดทรายแล้วหลับตาไปด้วยความเคลิ้ม
นอนฟังเสียงคนเสียงคลื่นปนกันไปจนสติเริ่มจะหลุดออกจากร่างก็พอดีกับมีอะไรนุ่มๆคลุมลงมาบนหน้าช่วยบังแสง ผมที่ดึงสติกลับมาทันเหล่ลอดผ้าขนหนูออกไปเห็นขาขาวๆของแอนนาเปลี่ยนเป็นขาผู้ชายเลยวาดมือตบไปบนเข่าคนข้างๆเป็นเชิงทักทาย
“หมดแรงแล้วหรือไง” ผมถามโดยไม่ได้ชักมือกลับ
“อากาศดีว่ะ คืนนี้เอาเต็นท์มากางนอนแถวนี้ท่าจะดี นอนกลางดินกินกลางทราย ไม่เคยใช่ไหมล่ะ… แต่ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวพี่กิมดูแลเอง”
คนที่นั่งขัดสมาธอยู่ข้างผมไม่ตอบอะไร คาดว่าเป็นเพราะกำลังดื่มน้ำดับกระหายจากขวดน้ำที่วางกลับมาข้างตัว ผมที่ยังหลับตาลูบเข่าอีกฝ่ายเล่นไปเรื่อยชักจะเคลิ้มขึ้นมาอีกครั้งเลยตะแคงตัวเข้าหามุมมืด กระเถิบขึ้นไปหลบหน้าหลบตาอยู่แถวต้นขาคนข้างๆ รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยว่าจะไม่มีใครมายุ่งกับของๆเรา วางใจจนเริ่มจะปล่อยเสียงกรนที่กลับกลายเป็นเสียงกรี๊ดพร้อมหัวใจที่ตกไปอยู่ตาตุ่ม
โลกมืดๆใต้ผ้าขนหนูข้างซอกขาโดนเหวี่ยงกระเจิงด้วยมือใครบางคนที่ลากตัวผมให้หมุนกลับเหมือนพลิกปลาบนเขียงก่อนหิ้วปีกจนตัวลอยแล้วตวัดกันขึ้นบ่าเหมือนกระสอบข้าวสาร ถึงจะยังไม่เห็นหน้าเห็นตาคนที่แบกกันอยู่แต่คิดไปแล้วว่าต้องเป็นไอ้มิค มากันแค่นี้คนที่จะเล่นแบบนี้กับผมถ้าไม่ใช่ไอ้มิคจะมีใคร แต่เหล่ลอดผ้าที่ยังเกี่ยวติดอยู่ครึ่งหน้า ทำไมไอ้มิคที่นั่งให้ผมซุกหน้าเข้าขายังนิ่งอยู่กับที่ แล้วไอ้คนที่แบกผมขึ้นบ่านี่มันใคร!
ด้วยอารามตกใจที่ไม่รู้ว่าจะโดนแบกไปไหน จากใคร แล้วทำไมไอ้มิคไม่ยื่นมือยื่นตีนเข้ามาแทรกทำให้ผมแหกปากโวยวายประกอบการดิ้นยิ่งกว่าผู้หญิงจะโดนชุดไปข่มขืน เห็นลอดสีข้างคนแบกว่ามันมุ่งหน้าลงทะเล แหงนหัวกลับมาเห็นแว็บๆว่าวงวอลเล่ย์ชะงักการเล่นเพราะเสียงเหมือนคนจะโดนเชือดที่ออกจากปากผม ทุกคนชะงักแต่ไม่มีทีท่าว่าใครจะยื่นมือช่วย แล้วในจังหวะที่ผ้าขนหนูบนหลังหัวไถลลงพื้นหลุดออกไปจากสายตา ปากผมก็อ้าค้างแล้วหุบปิดแทบจะในจังหวะเดียวกัน
คนที่ผมซุกหน้าเข้าขาหามุมมืดยังนั่งอยู่กับที่ สายตาที่มองมามีแววขำก่อนหันไปหาแอนนาที่ทิ้งตัวลงนั่ง คนที่ผมลูบหัวเข่าเล่นอยู่เป็นนานอยู่ในเสื้อกล้ามสีชมพูจางๆ ใบหน้าหล่อเหล่านั้นคุ้นตาแต่ไม่คุ้นใจ หน้าขาวๆของคนที่ผมเคยไปยกธงแฟนพันธ์ุแท้อยู่ติดกันหลายเดือน
ก่อนจะคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไรคนที่แบกผมเดินดุ่มๆอยู่ติดบ่าก็ทำการสละร่าง ตวัดผมเข้าแขนก่อนเหวี่ยงกันลงทะเลเกือบจะท่าเดียวกับตอนเขวี้ยงจานร่อนให้เดอะร็อควิ่งไปคาบ ผมรู้สึกได้ว่าลอยหวืออยู่หลายวินาทีก่อนตกกระแทกน้ำแบบท่าไม่สวย ขากางแขนโก่งแถมเอาหน้าลงจอดให้น้ำทะเลทะลักเข้ากกหูมาเต็มเต็ง ยังไม่ทันได้ตะเกียดตะกายหันหัวหันหางให้ถูกทิศถูกที่ก็มีอันได้ทะลึ่งขึ้นมาฮุบอากาศจากมือที่ดึงกันขึ้นมา ก่อนโดนลากออกทะเลไปไกลจนเท้าไม่แตะพื้น
ถึงจะยอมยื่นมือมาช่วยลูบหน้าลูบตาแล้วตบหลังไล่อาการสำลักค็อกแค็ก แต่คนที่ลอยตัวให้ผมเกาะเป็นหลักกลับไม่พูดอะไรซักคำ เดือดร้อนผมต้องรีบกลืนน้ำลายหลายอึกไล่อาการฝาดคอพลางตะแคงหัวไล่น้ำทะเลออกจากหูจะได้มีปากมีเสียงมาพูดกันให้รู้เรื่อง แต่ทันทีที่กระพริบตาหาจุดโฟกัสเจอ ความโกรธความอยากอธิบายกลับโดนกลืนหายลงคอแล้วทำได้เพียงมองตอบสายตาอีกคู่ที่จ้องกันอยู่
เพียงหนึ่งสบตาใจที่พึ่งกลับมาจากตะตุ่มก็เหมือนจะล่วงตุ๋มลงไปอีกครั้ง ขนหัวขนคอพาลจะลุกทั้งที่ยังเปียก เล่นเอาต้องยกมือออกจากไหล่แล้วแอบตีขาหาระยะห่าง ในใจคิดคำนวนอยู่ว่าต้องจ้วงน้ำกี่ครั้งต่อนาทีชีวิตนี้ถึงจะรอดไปขึ้นฝั่งก่อนโดนจับกดน้ำทรมานผู้ต้องหา ได้แต่คิดยังไม่ทันได้ง้างแขนตีวง คนที่จ้องผมด้วยหน้านิ้งนิ่งก็ออกแอ็กชั่นมาก่อนเสียแล้ว
ไอ้มิคเหมือนรู้อาการจะหนีเอาตัวรอดของผม ชิงยื่นมือมาคว้ากันเข้าไปล็อคไหล่ให้ไปไหนไม่รอด วงแขนแข็งๆดันผมให้ลอยตัวอยู่เหนือน้ำแล้วเลื่อนมือลงมาล็อคสะโพก หน้าหล่อเหลาแต่เรียบเฉยอยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ เป็นท่าล่อแหลมหมิ่นเหม่จนแทบไม่กล้าหายใจเข้า
“… เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้อธิบายได้” ผมรีบกระตุกปากทันทีที่ยังพอมองเห็นโอกาส
“กูนอนอยู่ดีๆแล้วก็มีผ้าโป๊ะลงมา กูนึกว่ามึงถึงได้ลูบได้คลำ เอ้ย ถึงได้เขยิบเข้าไป สาบานเลยเอ้าว่าผิดคน!”
คนฟังยังคงออกอาการนิ่งหลังฟังคำสารภาพ ก่อนใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้เปียกน้ำทะเลจนดูเซ็กซี่เหลือใจจะโน้มเข้ามาใกล้จนสองตาผมไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากตาสีจางกับปากสีสดของอีกฝ่าย
“แล้วรู้สึกดีหรือเปล่า”
“หา?”
“ที่ได้ลูบได้จับน่ะ รู้สึกดีไหม”
ไอ้มิคย้ำคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่สายตาคมกริบมองมาอย่างเอาเรื่อง
“ถามอะไรวะ ก็ต้องดีสิ” ผมตอบไปตามความสัตย์ก่อนรีบกระตุกปากต่อประโยคเมื่อคนที่วาดแขนล็อคกันอยู่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเตรียมออกอาการเต็มที่
“ก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นใครอีกคน คนที่กูพึ่งสารภาพรักไปหน้าด้านๆแถวร้านเฉาก๊วย”
ว่าไปแล้วต้องแอบหยิกก้นตัวเองใต้น้ำเค็มลดอาการขัดเขิน แต่อีกฝ่ายที่กำลังจะจับไอ้กิมฟาดแทนขวดโค้กถึงกับอึ้งกับมุขเอาตัวรอดของผม ปมคิ้วบนหน้าหล่อเหลาคลายออก ริมฝีปากที่ผมเหล่ตาไปตกอยู่บ่อยครั้งระบายยิ้มไม่มากไม่น้อย แล้วเจ้าของรอยยิ้มก็หรี่ตามองมาอย่างร้าย
“ถึงเข้าใจผิดก็ใช่จะพ้นข้อหา” เสียงทุ้มเข้มมาพร้อมความเย็นของฝ่ามือที่ยื่นมาช่วยปัดหยดน้ำใต้จมูก
“แต่เห็นแก่ปากดีๆ” ว่าพลางกดนิ้วโป้งลงบนปากแล้วคลึงย้ำจนเจ้าของปากอย่างผมแทบจะละลายเหลวเปลวเป็นเนื้อเดียวกับน้ำทะเล
“ครั้งนี้จะยกไว้ก่อน”
ตาที่หรุบลงมองการกระทำของมือตัวเองช่างยั่วเย้าบาดใจจนคนมองตามอย่างผมต้องแอบกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก
“… โห ขอบคุณครับ” ผมแกล้งยกมือไหว้อีกฝ่ายท่วมหัว ต้องกระพริบตาหลายครั้งกว่าจะเรียกสติที่เกือบกระเจิดกระเจิงไปกับนิ้วร้อนๆหนึ่งนิ้วกลับคืนมาได้
“แต่”
คนใจกว้างเหลือบตาขึ้นมาจ้องกันใหม่ หัวแม่โป้งสากๆลากมาคว้าคอผมไว้เหมือนว่าแค่ล็อคก้นล็อคเอวจนตัวติดกันอยู่อย่างนี้ยังไม่หนำใจ
“ถ้ามีให้เห็นอีก…”
ศาลเตี้ยประจำตัวผมเอ่ยค้างไว้แค่นั้นให้ แต่ถึงแม้ปากจะไม่ได้บอกออกมาเป็นคำพูดแต่ทุกส่วนของร่างกายโดยเฉพาะดวงตาสีอ่อนที่ยังมีแววร้ายไม่จืดจางก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าถ้ามีเหตุการณ์ทำนองนี้ทำนองนั้นเกิดให้เห็นอีกรับรองว่าไอ้กิมเอ็งตาย ตายแบบศพไม่สวยอีกต่างหาก ฟันธง!
โปรดติดตามตอนต่อไป
=========================================================================
กิมเอ๋ย อย่าจำผิดบ่อยๆละ เดี๋ยวศพไม่สวยจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ