ห้างบิ๊กซีในวันอาทิตย์ผู้คนพลุกพล่านมากมายเหมือนเดิม เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงพากันมาพักผ่อนและชอปปิ้งจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้ากัน
THANA ซีนิเพล็กซ์ ชั้น 2 คลาคล่ำด้วยผู้คนไม่เคยว่างเว้น ทิวไผ่เลือกรอบค่ำ ไม่หัววันหรือดึกเกินไปเพราะต้องกลับเข้าหอ เพื่อเริ่มต้นการเรียนสัปดาห์ใหม่ในวันรุ่งขึ้น ทิวไผ่จึงต้องโทรจองตั๋วไว้ก่อนไม่งั้นจะต้องมารอเข้าคิวแต่เนิ่น ๆ ไม่เช่นนั้นก็จะพลาดโอกาสรอบ และที่นั่งมุมดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดายเพราะรอบนี้เป็นรอบยอดฮิตที่คนเลือกกัน
ทิวไผ่กุมมือของต้นข้าวไว้ตลอดเวลา หนุ่มหน้าใสพยายามสลัดและขัดขืนยังไงก็ไม่ยอมปล่อยติดหนึบเป็นปลิงดูดเลือด คอยส่งแป๊บซี่ ป๊อบคอร์นและขนมขบเคี้ยวป้อนให้อยู่ตลอดเวลา แถมยังชอบคะยั้นคะยอให้ต้นข้าวป้อนป๊อปคอร์นให้บ่อย ๆ ทิวไผ่มองสบตาและส่งสายตาหวานเยิ้มให้ตลอด ต้นข้าวรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก จนไม่กล้าที่จะมองสบตาด้วย แต่ทิวไผ่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ
“ต้นสนุกมั้ยครับ” หนังจบอารมณ์ไม่จบอย่างว่า เขาไม่อยากลุกออกจากที่เลย คงไม่มีอะไรที่จะพิเศษสุดสำหรับเขาเท่ากับการได้อยู่กับต้นข้าวอีกแล้ว ทิวไผ่คว้ามือต้นข้าวมากุมไว้ขณะเดินออกจากโรงหนัง
....แอบแต๊ะอั๋งอีกแล้ว...อีตานี่หนิ.... (แต่ก็ยอมให้เค้าจับซะงั้น ชอบอาดี๊....อิอิ)
“ก็ ซึ้งดีอ่ะ...” ...ซีซันเชนจ์ ...เรื่องราวความรักใส ๆ ของหนุ่มสาวในวัยเรียน เหมือนทิวไผ่จะจงใจเลือกเรื่องนี้รึเปล่านะ ทำไมมันใกล้เคียงกับชีวิตจริงของเราจัง หนึ่งชายสองหญิง ที่ทุกคนเป็นเพื่อนกัน แต่พระเอกก็เลือกเพียงคนเดียว....ไม่สิ เราไม่ใช่ผู้หญิง มันสามชายตะหาก....
เสียดายที่สายฟ้าไม่ได้มาด้วย เพราะพี่รหัสนัดเลี้ยงสังสรรค์กัน เห็นบอกว่าพี่น้ำของเขาเป็นตัวตั้งตัวตีงานนี้ด้วยนี่นะ เจ้าตัวเล็กเลยขัดไม่ได้ด้วยล่ะ แถมยังแอบแขวะว่า ไม่อยากมาเป็น กขค. เหอๆ ไอ้ตัวแสบ....
“ไปกินไอติมกันนะ....”
.
.
“ต้นกินอะไรดีครับ” ทิวไผ่ถามขึ้น เมื่อเลือกที่นั่งได้มุมหนึ่งภายในร้านสเวนเซ่น
“อืม...เอาไรดี งั้นเอา Fifty nine STICKY CHEWY CHOC 3 ลูก อัลมอนด์บด ไม่ใส่กล้อย เพิ่มวีฟครีมกับเชอรี่ครับ”
“ผมเอา Banana-Split เพิ่มอัลมอนด์บด สตอเบอรี่สด วีฟครีมเหมือนกันครับ” ทิวไผ่หันไปบอกพนักงานสาวที่มารับออเดอร์ ต้นข้าวมองคนตรงหน้าอย่างเคือง ๆ ที่สั่งคล้ายตัวเอง
ไอศครีมมื้อนี้คงจะหอมหวานที่สุดในชีวิตเท่าที่เขาเคยกินมาเพราะมีหวานใจมานั่งกินเป็นเพื่อน แค่ได้นั่งส่งสายตาหวานฉ่ำให้แล้วเห็นท่าทางเขินอายของหนุ่มร่างบางเขาก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
“อ้าม......อ้าปากซิ ผมป้อน” ทิวไผ่ตักไอศกรีมในถ้วยของตนจะป้อนต้นข้าว
“ไม่เอ๊า...อายคน” ต้นข้าวทำท่าเขิน ๆ มองซ้ายมองขวาไปยังโต๊ะข้าง ๆ
“น่านะ คนอุตส่าห์ป้อน” ทำท่าทางงอนๆ เป็นเด็กอีกแล้ว
“คำเดียวนะ แต่ไม่เอากล้วยอ่ะ ขอเชอรี่ ได้ปะ”
“อ้าว...ต้นไม่ได้ชอบกินกล้วยหรอกเหรอ” ... ขนาดเวลากินยังมีหน้ามาพูดจาทำท่าทางหื่น ๆ อีก ไม่เลือกเวลาเลยนะนาย....
“ก็สั่งอยู่มะกี้บอกไม่ใส่กล้วย ไม่ได้ยินหรอ” ต้นข้าวต่อว่าหนุ่มหน้าเข้ม แล้วอ้าปากรับเอาลูกเชอรี่สีแดงสดรสหวานเจี๊ยบแล้วรีบหลุบตาต่ำหลบสายตาที่ทิวไผ่จ้องมองทันที
“ป้อนผมมั่งสิ” ทิวไผ่ส่งสายตาออดอ้อน
“ไม่...กินกล้วยของนายไปสิ”
“โหย กล้วยตัวเองผมกินไม่ถึงหรอกครับ เก็บไว้ให้ใครบางคนกินดีกว่า” ...นั่น ๆ ๆ...เห็นเราทำดีด้วยหน่อย หื่นมากไปแล้ว ย๊ากส์...เดี๋ยวควักลูกตาด้วยช้อนตักไอติมเลย....
“ถ้าไม่หยุดหื่นอีกนะ จะตัดให้เป็ดกินคอยดูสิ”
“ใจร้าย....ของรักของหวงเค้านะ”....ตีหน้าเศร้าเข้าไป หึหึ สม....
“นะ ๆ ๆ ป้อนผมหน่อยสิ คำเดียวก็ได้” ...อ้อนเข้าไป....
“ไอติมจะละลายหมดแล้ว รีบ ๆ เข้าสิ”
“ไม่ยอมป้อนใช่ไหม” พูดจบทิวไผ่ก็คว้ามือที่ต้นข้าวกำลังตักไอติมค้างไว้ แล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะไปอ้าปากงับไอติมในช้อนนั้น ก่อนถอยกลับมานั่งยิ้มกริ่มในที่ของตน
ต้นข้าวอึ้งอยู่อย่างนั้นพักนึง ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆร้าน ก็พบว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครไปซะแล้ว แม้แต่พี่พนักงานสาว ๆ ที่เค้าท์เตอร์ของร้านก็ไม่เว้น เค้าคงคิดว่า ไอ้สองตัวนี่มันเล่นอะไรกันมั้ง อายว้อย......
………………………………………………………………………………………………………..
วันเวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งวันเหมือนหนึ่งนาที หนึ่งปีเหมือนหนึ่งวัน ต่างจากช่วงเวลาที่เรามีความทุกข์ มันแสนจะทรมานและยาวนานกว่าวันเวลาจะผ่านพ้นไปในแต่ละวินาทีราวชั่วกัปชั่วกัลป์
ทิวไผ่รู้สึกว่ายิ่งเขากับต้นข้าวเข้ากันได้ดีมากขึ้นเท่าไหร่ ดวงตามารปริศนาคู่นั้นยิ่งเพ่งเล็งพวกเขามากขึ้น ต้นข้าวจะรู้สึกอย่างเขามั้ยนะ แต่เจ้าหนุ่มหน้าใสนั่นไม่เห็นมีแววทุกข์ร้อนอะไรเลยนี่นา หรือว่าเราหวาดระแวงคิดไปเองหรือเปล่า ที่กลัวว่าจะเสียเขาไป
“ต้นครับ เย็นนี้เราไปกินข้าวที่ Eat me กันไหม เดี๋ยวชวนพี่น้ำกับสายฟ้าไปด้วย จะได้มีเพื่อนคุยกันสนุก ๆ”
...ชวนจ๊าง...ไอ้ชวนพอเป็นพิธีตามมารยาทสุภาพบุรุษขาหลุดลุ่ยของนายเนี่ย เห็นชวนที่ไรขัดไม่ได้ซักที แต่เอ๊ะ...วันนี้มาแปลก ปกติอยากไปกันแค่สองคนนี่นา ไข้ขึ้นหรือเปล่า ต้นข้าวเอามืออังหน้าผากทิวไผ่ทำท่าทางจริงจังเชิงล้อเลียน
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่”
“ทำไร ผมไม่ได้เป็นไข้ซักหน่อย”
‘........คนธรรมดาหนึ่งคน คนนี้ ไม่มีอะไรเลยไม่มีซักอย่าง เพราะทุกสิ่งและก็เพราะทุกอย่าง มันเป็นของเธอ จะอยู่รอเธอเป็นคนสุดท้าย ถ้าเธอต้องการใครให้ส่งสายตา เรียกให้ไป ใจฉันก็จะมา เป็นผู้ชายของเธอ......’
‘...เข็ม...’ เพื่อนสาวตัวอันตรายคนนี้ต้องมีอะไรแน่ ๆ เพราะไม่ได้ติดต่อกับเขามานานแล้วนี่นา
“ต้นแปบนะครับเดี๋ยวผมโทรศัพท์แปบ” “ฮัลโหล....................” ทิวไผ่เดินแยกออกไปยืนคุยโทรศัพท์ห่าง ๆ
......น่าแปลก ปกตินายนี่คุยโทรศัพท์ไม่เคยทำท่าทางปกปิดเรานี่นามีอะไรหรือเปล่า แต่ว่า...แอบไปเปลี่ยนริงโทนมาเมื่อไหร่ฟระ.....
.
.
“ฮัลโหล ไผ่เหรอคะ ไม่ได้คุยกันตั้งนานคิดถึงจัง” ...แล้วเวลาเจอกันที่คณะเรายิ้มให้ทำเป็นเมินใส่นี่นะ...
“หวัดดีครับ เข็มมีอะไรหรอครับ”
“แหม...ไม่มีอะไรจะโทรหาไม่ได้หรือไงคะ หรือว่ากลัวแฟนเข้าใจผิด ...ว่าแต่ไผ่สบายดีหรือเปล่าคะ อุ๊ยตาย ไม่น่าถาม ไม่สบายสิแปลก คนกำลังอินเลิฟนี่เนอะ โฮะ ๆ ๆ ...ยังไงก็ขอให้มีความสุขกันมาก ๆ นะคะ...”
“...............” ทิวไผ่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรที่ปานฝันรู้เรื่องของเขากับต้นข้าว เพราะเขาไม่ได้ปิดบังอะไร เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าเพื่อนฝูงเท่านั้น มีเพียงเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่รู้สึกระแคะระคาย และแซวกันบ้าง ส่วนเพื่อนในคณะคนอื่น ๆ ก็เฉย ๆ แต่ที่ปานฝันโทรมากระแนะกระแหนเขา มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
“เงียบทำไมล่ะคะ อึ้งอะไรเหรอ....”
“เปล่าหรอกครับ ขอบคุณนะครับสำหรับคำอวยพร” ถึงแม้มันจะไม่ได้ออกมาจากใจจริงเลยซักนิดก็เถอะ
“เข็มมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มี.....”
“จะรีบไปไหนกันเหรอคะ อืม...พาแฟนไปดินเนอร์สินะ”
“งั้นแค่นี้นะครับ”
“เดี๋ยว....” ‘...ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด...’ “หึ ไอ้บ้าเอ๊ยยังไม่สะใจเลย...เดี๋ยวก็รู้ว่าจะมีความสุขกันไปได้ซักกี่น้ำ...”
...
“นี่นาย...มีอะไรหรือเปล่า ไม่ค่อยพูดค่อยจา” ต้นข้าวตัดสินใจถามขึ้นหลังจากเห็นทิวไผ่ เงียบ ๆ มาตั้งแต่หลังจากคุยโทรศัพท์เมื่อตอนเย็นจนกระทั่งบนโต๊ะอาหารค่ำตอนนี้
“ปะเปล่า...กำลังคิดว่าอาทิตย์นี้จะพาต้นไปเที่ยวไหนดีน่ะครับ” ทิวไผ่พูดและยิ้มแบบฝืน ๆ ‘...จริงเหรอ...’
“น้องสองคนนี่ท่าทางรักกันดีนะครับ น่าอิจฉาจัง ไม่เหมือนพี่เลย คนบางคนใจด๊ำดำ เราชวนไปเที่ยวไหนบอกไม่ค่อยว่างเลย ....ต้องแอบเอาพี่รหัสมาบังหน้าถึงจะยอม...”
สายชลพูดเชิงตัดพ้อ ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในตอนท้าย แต่สายฟ้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว
“เหอะ ๆ รักกันมากกก....เลยครับพี่ แบบว่าถ้าคิดจะชวนไปไหนแล้ว เราขัดไม่ได้หรอกครับ” ต้นข้าวกัดฟันพูดเน้นเสียง พลางชำเลืองไปยังทิวไผ่ที่นั่งยิ้มแหย ๆ อยู่ข้าง ๆ
“แหม น่าปลื้มออกนะครับ มีคนคอยเทคแคร์ดีขนาดนี้ แต่ของพี่สิ ไม่รู้ทำไมใจแข็งนัก จะทรมานพี่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ฮือ ๆ ๆ...”
“ช่วยไม่ได้.... ถ้าเบื่อ ก็ไปหาคนที่เค้าง่าย ๆ สิ” สายฟ้าประชดรุ่นพี่หนุ่ม
‘...ตี๊ด ๆ ตี๊ด ๆ…’ เสียงข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้นกลางวงสนทนา
....ใครส่งแมสเสจมาตอนนี้นะ....
ข้อความ MMS ใหม่
จากเบอร์ : ส่วนตัว
อ่านเดียวนี้ ............
“ขอตัวแปบนะครับ” ทิวไผ่ลุกขึ้นเดินออกไปนอกร้านโดยมีต้นข้าวมองตามหลังไป ....แค่อ่านแมสเสจทำไมต้องลุกออกไปด้วยนะ วันนี้นายนี่ท่าทางแปลก ๆ มีพิรุธขึ้นทุกที.....
.
.
ทิวไผ่โมโหจนตัวสั่น สิ่งที่เขากลัวและไม่เคยปารถนา ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นแล้ว เมื่อเห็นภาพที่เขาและต้นข้าวกำลังยืนกอดกันกลมอยู่ในห้องน้ำของคณะในเย็นวันนั้น
ใครกันนะที่ทำแบบนี้ ต้องเป็นมันแน่ ๆ ไอ้คนมุมตึกนั่น แล้วมันเป็นใคร ต้องการอะไร หรือว่าจะเป็น......
“ฮัลโหล หวัดดีค่ะไผ่ คิดถึงเข็มมากเลยเหรอคะ ถึงโทรมาได้น่ะ” ปานฝันรับสายและพูดเสียงระรื่น
“เข็มทำแบบนี้ทำไม ผมทำอะไรให้เข็มไม่พอใจหรือเปล่า ทำไมเข็มต้องทำแบบนี้” ทิวไผ่ตอบกลับดุดันท่าทางเอาเรื่อง
“...ไผ่พูดอะไรคะ เข็มงง”
“อย่ามาทำบ้องแบ๊ว ถ้าไม่ใช่เข็มแล้วจะเป็นใคร เป็นเพราะผมปฏิเสธเข็มใช่ไหม ถ้าเข็มโกรธผม เกลียดผม ก็ทำกับผมคนเดียวสิ ทำไมต้องทำร้าย..... ทำร้าย คนอื่นที่เค้าไม่เกี่ยวข้องด้วย” หนุ่มหน้าเข้มบริภาษเพื่อนสาวชุดใหญ่
“นี่ไผ่คะ มีหลักฐานอะไรมาโบ้ยเข็มอย่างนี้ได้ไงคะ ตัวเองไปสร้างศัตรูหรือทำให้คนเค้าหมั่นไส้ไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ อยู่ ๆ มาด่า ๆ ๆ เข็มแบบเนี๊ยะ ไม่แฟร์เลยนะคะ ส่วนอีเรื่องนั้นน่ะ เข็มไม่เคยเก็บมาใส่หัวให้รกสมองเปล่า ๆ หรอกค่ะ แล้วเข็มก็ไม่ได้รู้เรื่องทำร้ายใครคนนั้นของไผ่อะไรนั่นด้วย มาด่าผู้หญิงแบบนี้ไม่ค่อยแมนเลยนะคะ อ้อ...ลืมไป ไผ่ก็ไม่ได้แมนจริง ๆ นี่นะ หึ หึ หวัดดีค่ะ” ‘…ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด...’
ปานฝันตอกกลับจนทิวไผ่ได้แต่นิ่งอึ้ง
“ปั๊ดโธ่เว้ย...อะไรกันนักกันหนาวะ”...ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร ก็ทุกอย่างมันทำให้เชื่ออย่างนั้นนี่.... หนุ่มหน้าเข้มสบถอย่างหัวเสีย
.
.
ทิวไผ่พยายามควบคุมสติอารมณ์ให้เย็นลง ก่อนเดินกลับเข้ามาในร้าน
“ต้น เรากลับกันเถอะ” ...ยังไงของนายเนี่ย....
“.............” หนุ่มนายใสได้แต่ทำหน้างง ๆ
“ขอโทษนะครับพี่น้ำ ผมมีธุระด่วนต้องไปทำ ฝากพี่ดูแลฟ้าด้วยนะครับ” ทิวไผ่ล่ำลาก่อนจะจูงมือต้นข้าวเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
ทิวไผ่ขับรถมอเตอร์ไซค์พาต้นข้าวตรงดิ่งมายังสวนสาธารณะประจำมหาวิทยาลัย บรรยากาศยามค่ำคืนที่นี่ค่อนข้างเย็นสบาย มีดวงไฟสปอร์ตไลท์บนเสาขนาดใหญ่ให้แสงสว่างเล็ดลอดทิวหมู่แมกไม้พอเลือนราง
เขาพาหนุ่มร่างบางมานั่งยังมุมสงบมุมหนึ่ง
...เนี่ยนะธุระด่วนของนาย... ต้นข้าวพึมพำในใจ และชำเลืองมองหนุ่มหน้าเข้มที่นั่งกอดเข่าแหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย หนุ่มหน้าใสถอนหายใจ ทิวไผ่ต้องมีอะไรไม่สบายใจแน่ ๆ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และมันคงจะเป็นปัญหาใหญ่หนักอกของเขาทีเดียว
ต้นข้าวเลือกที่เงียบไม่พูดอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสายลมเย็นพัดโชยทำให้เขาสบายใจขึ้นเองดีกว่า ส่วนเขาจะขอนั่งเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้าง
หนุ่มร่างบางขยับเข้าไปนั่งชันเข่าข้าง ๆ เขา แล้วโน้มศีรษะลงพิงไหล่หนาแกร่งนั้น ทิวไผ่ยกแขนข้างนั้นโอบไหล่ต้นข้าวไว้ ก่อนจะหันมาสบตา แววตาเศร้า กังวล และสับสนวุ่นวาย ของเขาทำเอาต้นข้าวห่อเหี่ยวใจและรู้สึกทุกข์ไปกับเขาด้วยอย่างบอกไม่ถูก แต่ต้นข้าวก็ส่งกำลังใจอย่างเปี่ยมล้นผ่านดวงตาคู่สวยนั้นตอบกลับไป
“ต้นครับ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ผมจะรัก และพร้อมที่จะปกป้องต้นเสมอนะครับ” ทิวไผ่พูดขึ้นหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน แววตาเมื่อซักครู่ดูเปี่ยมด้วยความรักและความห่วงใย เปล่งประกายความเข้มแข็งและมั่นคง ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นความไม่แน่ใจ
“เรา ก็จะ...รัก ไผ่ตลอดไปนะ” และแล้วแววตาแห่งความมุ่งมั่นก็เข้ามาแทนที่ในดวงตาของหนุ่มหล่อ เขากระชับวงแขนแน่นขึ้น สองหนุ่มมองขึ้นไปบนฟากฟ้า หมู่ดาวน้อยใหญ่ในฟ้ากว้างกำลังส่งแสงระยิบระยับให้กำลังใจพวกเขา พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามต่าง ๆ เพื่อ ไปให้ถึงจุดหมายแห่งรักด้วยกัน
...