((แม่ครับ.. เราพูดเรื่องนี้กันหลายหนแล้วนะครับ))
ทอมชะงักเท้าเมื่อได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดของจิมขณะพูดคุยโทรศัพท์ทางไกลกับมารดา ถึงจะฟังภาษาไม่ออกแต่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สบอารมณ์
((เอาเป็นว่าผมรับปากว่าจะกลับไปเยี่ยม แต่เรื่องมาเรียผมเสียใจที่ไม่สามารถตกลงได้ ไว้ผมจะบอกเหตุผลทีหลังล่ะกัน บายครับแม่))
จิมวางโทรศัพท์ลงพร้อมกับถอนหายใจ คุยกับมารดาทีไรรู้สึกเหนื่อยใจทุกครั้ง เขาหลับตาพิงพนัก สมองคิดหาวิธีที่จะให้มารดาเลิกยุ่งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขาโดยเฉพาะเรื่องคู่ครอง
“จิม..”
จิมสะดุ้งลืมตาขึ้นก็เจอะใบหน้างามอยู่ห่างไม่ถึงคืบ อาการเหนื่อยใจหายเป็นปลิดทิ้ง กลิ่นอาฟเตอร์เชฟโชยกรุ่นจนอดใจไม่ไหว ขยับตัวขึ้นจูบแก้มเทพบุตรแสนรักด้วยความรวดเร็ว
ทอมผละออกตีหน้ายักษ์และคว้าหมอนอิงฟาดใส่ จิมยอมให้ตีแต่โดยดี ก็มันลืมตัวนี่นา ทั้งรูปทั้งกลิ่นเชิญชวนขนาดนี้ใครจะอดใจไหว
ทอมทรุดตัวลงนั่ง จิมขยับเข้ามาขอโทษเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ขอโทษจ้ะ ลืมตัวไปหน่อย ก็นายอยากหอมทำไม”
ทอมตาเขียวใส่หน้าบึ้งจนจิมไม่กล้ากระเซ้าต่อ รีบรายงานเรื่องของเจ้าหนูเพื่อคลายอารมณ์โกรธของทอมลง
“หาครูสอนพิเศษให้แม็กกี้ได้แล้วนะ ทอม.. จะให้ไปเรียนที่บ้านครูหรือให้ครูมาสอนที่นี่” จิมถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“ให้ครูมาสอนที่บ้าน”
ทอมตอบโดยไม่เสียเวลาคิด ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะปล่อยแม็กกี้ออกไปพบปะคนแปลกหน้านอกบ้าน นับจากวันที่แม็กกี้จำเหตุการณ์ต่างๆ ได้ทั้งหมดจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แม้เด็กชายจะมีอารมณ์เบิกบานแจ่มใสขึ้น ยิ้มและหัวเราะสนุกเหมือนเด็กทั่วๆ ไป แต่เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นก็ยังอยู่ภายในจิตใต้สำนึก แม็กกี้ยังมีอาการตกใจและหวาดกลัวเมื่อเห็นเหตุการณ์หรือภาพคนถูกทำร้าย จนทอมต้องสั่งห้ามไม่ให้คนในบ้านดูหนังที่มีการชกต่อยหรือทำร้ายกันหากแม็กกี้นั่งดูอยู่ด้วย หมอมาริสาบอกว่าเด็กชายยังมีอาการทางจิต ซึ่งต้องใช้เวลาและพยายามเลี่ยงไม่ให้พบปะกับเรื่องร้ายหรือเหตุการณ์รุนแรง
สองวันก่อนแม็กกี้บอกเขาว่าตัวเองหายป่วยและแข็งแรงดีแล้ว อยากกลับไปเรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ด้วยเหตุผลที่เขายังไม่ได้จดทะเบียนรับแม็กกี้เป็นบุตรตามกฎหมาย และการที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับเด็กชายอย่างเงียบที่สุด ไหนจะอาการทางจิตที่พร้อมจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ เขาจึงให้เหตุผลว่าเข้าเรียนกลางปีแบบนี้จะเรียนไม่ทันเพื่อน ถ้าอยากเรียนจริงๆ จะหาครูมาสอนพิเศษให้ที่บ้าน แม็กกี้หน้าจ๋อยแต่ก็ยินยอมโดยดี
“มีปัญหาเหรอ” ทอมถามด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย
จิมส่ายหน้า
“ไม่มี.. แล้วแต่เราอยู่แล้ว ครูผู้หญิงเพิ่งจบได้ไม่กี่เดือน อัธยาศัยน่ารัก น่าจะเข้ากับแม็กกี้ได้ ไม่มีปัญหาหรอก”
“ฉันหมายถึงปัญหากับแม่นาย ไม่ได้หมายถึงครู แม่เรียกนายกลับไปเยี่ยมบ้านใช่มั้ย..”
จิมพยักหน้า คิ้วเข้มขมวดทันทีที่พูดถึงปัญหานี้
“แล้วทำไมต้องทำหน้ายุ่งยากใจขนาดนั้น ฉันไม่มีปัญหาหรอกนะ ถ้านายจะกลับไปเยี่ยมแม่ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่นายกลับไป มันสองปีผ่านมาแล้ว”
จิมถอนใจเฮือก ...แค่กลับไปเยี่ยมแม่ไม่ใช่ปัญหาหรอก...
“นายอยู่กับแม็กกี้สองคนได้เหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ ตอนนี้แม็กกี้ก็หายดีแล้ว อย่าบอกนะว่านายยุ่งยากใจเพราะเป็นห่วงฉัน”
“ถึงไม่มีอะไรน่าห่วงแต่ฉันก็ไม่สบายใจนักหรอกที่จะต้องจากนายไป มันไม่ใช่แค่วันสองวันนะ อย่างน้อยสองอาทิตย์ จากกันนานขนาดนั้น ฉันทนคิดถึงนายไม่ไหวหรอก ทอม..”
จิมพูดจากความรู้สึกของตัวเอง แต่ทอมกลับหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์กับเหตุผลของจิม
“เหลวไหลสิ้นดี คิดถึงบ้าบออะไรกัน คนที่นายควรคิดถึงคือพ่อแม่.. ไม่ใช่ฉัน.. นายเป็นลูกประสาอะไรจิม.. นึกถึงหัวอกท่านบ้างซิ ไม่ได้เห็นหน้าลูกเกือบ 2 ปีแล้ว ขอให้กลับไปเยี่ยมบ้าน นายกลับยึกยักอ้างเหตุผลไร้สาระ
เห็นคนอื่นสำคัญกว่าพ่อแม่ตัวเอง มันเข้าข่ายลูกอกตัญญูแล้วรู้มั้ย”
จิมนั่งตะลึง ไม่เข้าใจว่าทำไมทอมจึงหัวเสียถึงขนาดต่อว่าเขาด้วยคำพูดรุนแรงแบบนี้ ประโยคสุดท้ายถ้าเป็นคนอื่นพูดคงเจอเขาสวนด้วยหมัดไปแล้ว
“ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะไม่ไป แค่บอกว่าไปนานหลายวันฉันคงคิดถึงนายมาก ทำไมต้องหัวเสียด้วยล่ะ ฉันไม่เคยเห็นคนอื่นสำคัญกว่าพ่อแม่ และนายก็ไม่ใช่คนอื่นสำหรับฉัน.. นายเป็นคนสำคัญในชีวิตของฉันรองจากพ่อและแม่นะทอม.. ฉันรักนายมาก นายก็รู้..”
สีหน้าจิมจริงจังและลึกซึ้งจนทอมรู้สึกผิดที่พูดจารุนแรงไป พร้อมกับรู้สึกเขิน เขาไม่ชินกับการถูกจิมบอกรักซะที ทั้งที่ได้ฟังมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ได้ยินจิมสารภาพความในใจทีไร เขารู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าแบบนี้ทุกครั้ง
“เอ่อ.. จะยังไงก็เหอะ ฉันอยากให้นายกลับไปเยี่ยมครอบครัวโดยไม่ต้องพะวงถึงฉัน ฉันอยู่กับแม็กกี้สองคนได้ จะไปนานเป็นอาทิตย์ เป็นเดือนหรือนานแค่ไหนก็ได้ฉันไม่มีปัญหา เพราะช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้นายไม่มีเวลาได้พักผ่อนเป็นส่วนตัวเลย ถือซะว่าไปพักร้อนเลยล่ะกัน”
ทอมพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่คนฟังกลับยิ้มไม่ออก นั่งอึ้งเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง เป็นครั้งแรกที่จิมได้รับอนุญาตให้ลาพักด้วยความเต็มใจ ที่ผ่านมาแค่ขอลาไปทำธุระ 2-3 วัน ก็ถูกย้ำนักย้ำหนาให้รีบกลับ แต่วันนี้ทอม อนุญาตให้เขาลาพักได้โดยไม่มีกำหนด แบบนี้แล้วเขาควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ.. ทำไมกลับรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“ล้อเล่นใช่มั้ย ทอม.. ที่ว่าให้ไปนานแค่ไหนก็ได้น่ะ”
“ไม่ได้ล้อเล่น จิม.. ฉันยินดีให้นายพักตามสบายเลย กี่วันก็ได้ไม่ต้องห่วง ฉันมีแม็กกี้อยู่เป็นเพื่อนแล้ว ไม่เหงาหรอก” น้ำเสียงและสีหน้าของทอมส่อแววยินดีจริงๆ จนจิมพูดไม่ออก
“ทำไมต้องทำหน้าลำบากใจด้วย ฉันแค่อยากให้นายไปเยี่ยมแม่และถือโอกาสพักผ่อนไปด้วย หรือว่านายมีปัญหาเรื่องอื่น จริงซี!.. มาเรียคือใครเหรอ”
จิมสะดุ้งเมื่อทอมเอ่ยชื่อหญิงสาวที่เป็นตัวปัญหาของเขา
“เอ่อ.. เป็นญาติห่างๆ น่ะ ไม่มีปัญหาเรื่องอื่นหรอก ถ้านายออกปาก
แบบนี้ ฉันก็จะได้กลับไปเยี่ยมบ้านอย่างสบายใจ”
จิมตัดบทไม่อยากให้ทอมซักมากความกว่านี้ ทอมมีสีหน้าสบายใจจนเขารู้สึกขัดตาและหงุดหงิดใจ
“จะไปเมื่อไร เร็วๆ นี้เลยหรือเปล่า”
ทอมซักอย่างใคร่รู้ แต่ในความรู้สึกของจิมเหมือนอยากให้ไปเร็วๆ เขาเริ่มฉุนจึงตอบตัดบทประชดไป
“ก็คง 2-3 วันนี้แหล่ะ”
“จริงเหรอ.. งั้นเดี๋ยวฉันเขียนเช็คให้นะ”
“ค่าอะไร” น้ำเสียงห้วนเพราะรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
“ค่าใช้จ่ายเดินทางและระหว่างพักร้อนที่บ้านไง ฉันให้เป็นโบนัสพิเศษกับนายน่ะ จิม..”
“ฉันไม่ต้องการ!!..”
ทอมสะดุ้งหน้าเสียกับเสียงตวาด จิมรู้สึกตัวกล่าวขอโทษเสียงอ่อน
“ขอโทษ ทอม.. เราคุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือว่าฉันไม่ต้องการเงินจากนายอีก ฉันมีเงินเก็บมากพอที่จะกลับไปอยู่เป็นปีๆ ได้เลย ตอนนี้นายไม่ใช่หนุ่มโสดตัวคนเดียวแล้ว อาชีพใหม่ของนายรายได้ก็ยังไม่แน่นอน เก็บเงินไว้ใช้ในเรื่องที่จำเป็น ไว้ให้แม็กกี้เรียนหนังสือด้วย โอเค..”
ทอมพยักหน้ารับและยิ้มให้
“ก็ได้.. แล้วแต่นาย ว่าแต่.. แน่ใจนะว่านายไม่ได้มีปัญหากับแม่ ดูท่าทางนายหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์เลย มีปัญหาอะไรก็ขอให้บอก บางทีฉันอาจจะช่วยได้นะ”
จิมถอนใจเฮือก
...ให้ตายเถอะ!!.. วันนี้เทพบุตรของเขาเป็นอะไร นอกจากจะพูดจาไม่เข้าหูแล้ว ยังเซ้าซี้ถามเรื่องที่เขาพยายามเลี่ยงไม่อยากพูดอีก..
“ช่วยไม่ได้หรอก เป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ”
“ส่วนตัว?.. แม้แต่กับฉันเหรอ..”
“ก็.. เอ่อ.. เป็นปัญหาทางบ้านน่ะ นายไม่จำเป็นต้องรู้..”
“แต่ฉันอยากรู้นี่นา เผื่อจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง หรือว่านายไม่เชื่อใจฉัน”
จิมส่ายหน้าเมื่อเทพบุตรสุดรักครวญเสียงอ่อย
..ทอมนะทอม.. เป็นแบบนี้ทุกที ต้องได้ดั่งใจทุกเรื่อง รู้ก็ทั้งรู้ว่าฉันทนเห็นสีหน้าออดอ้อนของนายไม่ได้..
จิมตัดสินใจเล่าปัญหาให้ฟัง ในเมื่อเซ้าซี้อยากรู้ให้ได้เขาก็จะบอก จะได้หยั่งรู้ความในใจของทอมด้วย

ทอมนั่งนิ่งฟังด้วยสีหน้าครุ่นคิด จิมรู้สึกผิดหวังที่เทพบุตรของเขาอยู่ในอาการสงบแทนที่จะโวยวายซักถามด้วยอารมณ์
“ไม่น่าปฏิเสธไปเลย” ทอมรำพึงเบาๆ
คิ้วเข้มขมวด
“ทำไม.. นายเห็นว่าฉันควรรับข้อเสนอของแม่งั้นเหรอ”
“เปล่า.. แค่คิดว่าน่าจะลองทำความรู้จักกับเธอก่อนตัดสินใจ”
“ทำความรู้จัก” จิมทวนคำ เริ่มรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของทอม
“รู้จักทำไม เพื่ออะไร..”
“ก็.. เธออาจสวยขึ้นกว่าเดิม มีอัธยาศัยน่ารัก นายเห็นแล้วอาจจะถูกใจเธอก็ได้..”
จิมสะอึกกับความเห็นของทอม รอยยิ้มบนใบหน้างามสอดรับกับคำพูดจนเขารู้สึกเจ็บแปลบในอก ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น เป็นเขาหรือทอมกันแน่ที่สติไม่อยู่กับตัว...
จิมรวบรวมจิตใจให้เข้มแข็งย้ำความรู้สึกในใจให้ทอมได้รับรู้อีกครั้ง
“จะสวยหรือน่ารักขนาดไหนฉันก็ไม่มีวันถูกใจหรอก ฉันปฏิเสธข้อเสนอของแม่ไปเพราะอะไรนายก็น่าจะเข้าใจดี ไม่เอาน่ะทอม.. อย่าล้อเล่นแบบนี้.. อย่าทำเหมือนนายไม่รับรู้และไม่เข้าใจความรู้สึกที่ฉันมีให้ ตอนนี้เราคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ.. ฉันรักนายและนายก็รักฉัน เพียงแต่นายยังไม่พร้อมและฉันก็ยินดีที่จะรอ.. เพราะฉะนั้นฉันไม่สามารถทำตามข้อเสนอของแม่ได้ ปฏิเสธไปก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ..”
“ผิด” ทอมสวนกลับด้วยสีหน้าเครียด
“มันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว นายต้องนึกถึงหัวอกของพ่อแม่ ท่านไม่ได้อยากให้นายมีครอบครัวอย่างเดียวแต่อยากได้หลานด้วย นายเป็นลูกชาย คนเดียวของตระกูลการ์เซีย ต้องมีทายาทและผู้สืบสกุลให้ตระกูล ความ สัมพันธ์ระหว่างเรามันแค่เรื่องฉาบฉวย เรื่องเล่นๆ เท่านั้น ไม่มีทางเป็นจริงไปได้ บางทีอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเราอยู่ใกล้ชิดกันมากเกินไป ความรู้สึกที่มีให้กันจึงสับสน ความรักระหว่างเราอาจไม่ใช่อย่างคนรักก็ได้ ลองอยู่ห่างกันสักพัก บางทีทั้งฉันและนายอาจเข้าใจความรู้สึกของตัวเองดีขึ้น...”
จิมนั่งตะลึง ทุกคำพูดของทอมเหมือนลูกธนูอาบยาพิษปักตรงกลางใจเขา ตัวยากำลังแทรกซึมและทำลายเนื้อเยื่อหัวใจของเขาให้แหลกสลายลง
...โอ!!.. พระเจ้า.. เจ็บ.. เขาเจ็บมากเหลือเกิน เข้าใจถ่องแท้ในนาทีนี้แล้วถึงอาการและคำพูดแปลกๆ ของทอมในวันนี้...
จิมฝืนยิ้มกล่าวน้ำเสียงแหบพร่า
“ข้อสมมติฐานของนายน่าฟังและอาจเป็นไปได้สำหรับนาย ทอม.. แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน ความรู้สึกที่ฉันมีให้นายเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเล่น และฉันไม่เคยสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง..”
จิมแย้มยิ้มในสีหน้าทั้งที่ในใจกำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เขาต้องใช้ความพยายามอย่างสูงซ่อนความขมขื่นไว้ภายใน
“ขอบใจที่นายเป็นห่วงตระกูลการ์เซียของฉัน ขอบใจที่เตือนสติไม่ให้ฉันกลายเป็นลูกอกตัญญู ฉันจะเดินทางในอีก 2 วัน จะลองไปทำความรู้จักกับเธอดูตามคำแนะนำของนาย บางทีฉันอาจจะยอมรับข้อเสนอของแม่..”
ทอมกลับเป็นฝ่ายหน้าจ๋อยลง นั่งฟังตาปริบๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
“ลองอยู่ห่างกันสักพักก็ดี นายจะได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาฉันอาจเป็นฝ่ายเซ้าซี้และฝืนความรู้สึกของนายโดยไม่รู้ตัว”
จิมลุกขึ้นยืน
“แต่รู้อะไรไว้อย่างนะ ทอม.. ถึงฉันจะยอมแต่งงานกับมาเรีย มีทายาทวิ่งเล่นเป็นโขลง ฉันก็ไม่มีวันตัดใจเลิกรักนาย”
ทอมมองตามร่างสูงเดินขึ้นบันไดหายลับไป สับสนกับความรู้สึกของตัวเองในนาทีนี้ อุตส่าห์ได้โอกาสบอกตัดสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้ให้จบลงแล้ว ทำไมถึงไม่รู้สึกโล่งอกเลย กลับเจ็บข้างในอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะจิมยินยอมโดยดีอย่างน่าใจหาย ไม่โวยวาย ไม่อ้อนวอนขอร้องสักคำอย่างนั้นเหรอ..
...ไม่นะ เขาต้องเข้มแข็ง ยอมรับความเจ็บปวดเสียเอง เพื่อแม็กกี้และเพื่อตระกูลการ์เซียของจิม...
ทอมกำลังคิดหาวิธีที่จะยุติความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิมอยู่พอดี ปัญหาของจิมในวันนี้เป็นเหตุการณ์เหมาะเจาะและสอดรับกับเหตุผลในการตัดสินใจของเขา แต่เมื่อตัดใจพูดไปแล้วเขาก็แทบอยากจะกลับคำในทันที ถ้าเพียงแต่จิมจะถามย้ำอีกครั้งว่า ...ที่พูดมาทั้งหมดจริงหรือเปล่า ทอม..
“ขอบใจที่นายไม่ถามฉัน จิมมี่..” ทอมรู้สึกเจ็บและแน่นในอกจนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ
